ชื่อหนังสือ: บุตรธิดาแห่งดวงดาว
ผู้แต่ง: เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
สำนักพิมพ์: สามัญชน
เนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ:
ใช่หรือไม่ว่า ความเป็นจริง(Reality)โดยตัวของมันเองไม่มีชื่อเรียกขาน และมักอยู่เหนือคำนิยามที่เราบัญญัติขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ไม่เคยรู้ว่าตัวเองถูกเรียกว่าอะไร แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ และเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนไปตามกฏเกณฑ์อันยากที่เราจะเข้าถึง อย่าว่าจะแต่จะมีถ้อยคำอธิบายได้ครบถ้วน
เช่นเดียวกับแผ่นฟ้าท้องทะเล สายน้ำ หรือแม้แต่ความรู้สึกของผู้คน ฯลฯ
นึกภาพ… ห้วงยามที่เราเดินคนเดียวบนหาดทรายใกล้ค่ำ ขณะฟองคลื่นโลมไล้เปลือยขา และลมชื้นลูบเรือนแก้ม
ยามนั้น ตะวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้วยังทิ้งแสงสุดท้ายป้ายขอบเมฆ จากสุกแสดใสว่างเป็นม่วงครามหรี่เลือน ไม่นานเราจะพบตัวเองอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงน้ำซัดทรายและเสียงนกทะเล เรียกหามิตรสหาย
ถามว่า เราต้องคอยบอกตัวเองด้วยถ้อยคำวาจาหรือเปล่าว่านั่นคือคลื่น นี่คือหาดทราย สิ่งนั้นคือแสงอาทิตย์ หรือสิ่งนี้คือสายลม เราได้ยินเสียงนกที่กำลังกลับรังและมีความรู้สึกเย็นสบาย ชอบมาก ฯลฯ
คำตอบคือไม่เลย ตราบใดที่ไม่มีการคิดเข้ามาเจือปน สัมผัสที่เกิดขึ้นย่อมแผ่ซ่านสู่จิตใจอย่างไร้กำแพงกั้น
ในห้วงยามดังกล่าว ไม่ว่ายาวหรือสั้น เราไม่มีการคิดว่าตัวเองเป็นใคร และจะต้องทำอะไร พูดง่าย ๆ คือเราอยู่กับปัจจุบันขณะ และอยู่กับสรรพสิ่งรอบ ๆ จนแทบจะแยกกันไม่ออก เป็นหนี่งเดียวกับธรรมชาติ และว่างโล่งจากตัวตน
ใช่หรือไม่ว่า ระหว่างเรากับผู้อื่นสิ่งอื่น ระหว่างเรากับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา หรือแม้แต่สิ่งที่เราทำเอง มักมีม่านบางผืนหนึ่งที่คอยแปรความหมายให้เราเก็บรับ บ่อยครั้งม่านดังกล่าวถูกถักทอมาจากความรับรู้อันจำกัด บางทีก็มาจากบาดแผลส่วนตัว มาจากผลประโยชน์ที่อยากได้หรือไม่ก็เป็นความใฝ่ฝัน ฯลฯ
อันนี้ทำให้สิ่งที่เราสัมผัสมิใช่ความจริงโดยตัวของมันเอง แต่คือความจริงที่ถูกตีความ และนี่คือต้นเหตุที่ทำให้เรารู้สึกดีหรือไม่ดีกับทุกอย่างที่ผ่านพบ รวมทั้งทุกอย่างที่เราทำลงไป
เมื่อยกม่านดังกล่างออก บางทีเราจะพบว่าโลกที่เห็นและเป็นอยู่นั้นแตกต่างจากที่คิดโดยสิ้นเชิง เราสามารถสัมผัสสัมพันธ์กับทุกอย่างรอบ ๆ ตัวได้โดยตรงและลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ใช่ เหมือนกับห้วงยามที่เราเดินอยู่คนเดียวบนหาดทรายใกล้ค่ำขณะฟองคลื่นโลมไล้เปลือยขา และลมชื้นลูบเรือนแก้ม
ก็ถูก ทำเช่นนี้แล้ว คุณค่าความหมายของตัวตนที่เรายึดถืออาจถูกเปิดเผยให้เห็นว่าเป็นภาพลวงตา หากสิ่งที่จะได้คืนมาคือการเป็นหนึ่งเดียวกับโลกในทุกห้วงลมหายใจ
เมื่อมองทุกอย่างเท่าที่มันเป็นจริงอย่างเต็มตาโดยปราศจากอคติหรือฉันทาคติ เราจะไม่พบความแตกต่างระหว่างตนเองกับสรรพชีวิตเท่าใด กระทั่งมองเห็นชีวิตอยู่ในภูเขา ทะเล และแผ่นฟ้า ฯลฯ
ชีวิตที่ไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในคำนิยาม...