'ไร้สังกัด' เขียนว่า:
พรหมชาลสูตรที่ ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป หรือ กาย ก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะไปเหลือจิตบริสุทธิ์ อะไรที่ไหน เอาพรหมชาลสูตรที่ 1 มาลง แต่คุณไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย
พรหมชาลสูตรที่ ๑.
พระพุทธพจน์
" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่"
พรหมชาลสูตรที่ ๑.ชี้ชัดว่า
กายของตถาคต......... ยังดำรงอยู่ = กายนี้เป็นกายแท้ ที่เป็นอัตตา(เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ = กายอนัตตาที่ตายไป เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตหมายถึงจิตสังขาร นิพพานหมายถึงนิพพานจิต
พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี ”
คาถาพระนิพพานนิมิต
" นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา
นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา