[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 18:54:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 10 ข้อเท็จจริงที่หายไปในประวัติศาสตร์  (อ่าน 14293 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:18:39 »

10 ข้อเท็จจริงที่หายไปในประวัติศาสตร์

10. โทมัส อัลวา เอดิสัน ไม่ใช่คนประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก



ในความเป็นจริงแล้ว โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าตามที่คนทั่วไปเข้าใจแต่อย่างใด หลักการของหลอดไฟฟ้าถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้โดยนักประดิษฐ์หลายท่าน เช่น จูเซ็ปป์ สวอน (Juseph Swan) หรือ ไฮน์ริช เกอเบิล (Heinrich Goebel)

อย่างไรก็ตามเอดิสันได้คำนึงถึงการนำหลอดไฟฟ้าไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง โดยเอดิสันได้ทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟฟ้ายาวนานพอที่จะนำไปใช้ได้อย่างสะดวกสบายในบ้านเรือนหรือร้านค้า

นอกจากนั้นเอดิสันยังได้สร้างระบบผลิตและแจกจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเอดิสันอีกว่าสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาและจดสิทธิบัตรเป็นจำนวนถึง 1,093 ชิ้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ดั้งเดิมที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวแต่ผู้เดียว โดยไม่แบ่งปันให้กับผู้คิดค้นดั้งเดิม




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:21:00 »



9. เธอคือโป๊บ



เมื่อวันก่อนผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง เธอคือโป๊บ (Pope Joan) ที่สร้างจากเค้าโครงในตำนาน (โดยเนื้อเรื่องเอามาจากนิยายอีกที) เป็นเรื่องราวในตำนานของหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นพระชายและไปกรุงโรมเพื่อศึกษา ในที่สุดเธอก็ได้เป็นพระสันตะปาปา แต่เธอคลอดบุตรในขณะกำลังขึ้นม้า ภาพยนตร์เรื่องนี้โดนแบนหลายประเทศมาก (ยกเว้นไทย) เพราะว่าเนื้อหาค่องข้างหมิ่นศาสนามา หนังพยายามบอกว่าเรื่องพระสันตะปาปาเป็นเรื่องจริง หากแต่ปัจจุบันเรื่องราวของพระสันตะปาปาหญิงโจน (Pope Joan หรือ Popess Joan) ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า มีตัวตนจริงๆ หรือไม่

โดยตำนานกล่าวว่าพระสันตะปาปาหญิงโจนมี ชื่อเดิมคือโจฮานนา แองลิกัส (Johanna Anglicus) โดยใช้ชื่อผู้ชายว่าจอห์น (John) เกิดที่ไมนส์ (Mainz) เป็นผู้เชียวชาญศิลปวิทยาหลากหลายแขนง จนไม่มีผู้ทัดเทียม และภายหลังเธอเดินทางไปโรม ก็เปิดสอนวิชาศิลปศาสตร์จนที่เคารพรักแก่บรรดาศิษย์ จากนั้นก็เล่นการเมืองและถูกเลือกโดยพระสันตะปาปา ในขณะที่เธอเป็นพระสันตะปาปา เธอตั้งครรภ์โดยคนรักของเธอ โดยไม่รู้ว่า เมื่อไรจะถึงกำหนดคลอด เธอให้กำเนิดทารกเพศชาย และโดนการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมของกรุงโรม เธอต้องโดนลงโทษ โดยการผูกติดกับขาม้าแล้วก็ถูกลากไป และโดนโยนก้อนหินโดยประชาชนครึ่งหนึ่ง

แต่ไม่มีหลักฐานว่าที่ที่ฝังเธอเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเนื่องมากจากเหตุผลที่ว่า เธอเป็นผู้หญิง หรือมาจากความโง่ของหลักฐานก็ตาม และเรื่องราวของเธอถูกเขียนโดย (Martin of Opava) ใน Chronicon Pontificum et Imperatum แต่กระนั้นนักประวัติศาสตร์และผู้เคร่งศาสนา ต่างไม่เชื่อว่า พระสันตะปาปาหญิงโจนมีตัวตนจริงๆ เป็นเพียงเรื่องโกหกและเป็นตำนานลอย ๆ เท่านั้น สาเหตุเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ถูกพบในเอกสารที่เชื่อถือได้





บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:22:15 »

8. รูปร่างที่แท้จริงของเทวรูปโคโลสซูสเป็นอย่างไร



นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่ขาดหายไปในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เทวรูปโคโลสซูสเป็นที่เกาะโรดส์ ประเทศกรีก หล่อด้วยทองบรอนซ์ ในท่ายืน สูง 100 ฟุตโดยเฉพาะฐานที่รองรับรูปหล่อนั้นสูงกว่าตึก 5 ชั้น พระหัตถ์ขวาถือดวงประทีป ตั้งอยู่หน้าเมืองโรดส์ประเทศกรีก สร้างโดยกษัตริย์แชรัสแห่งลินดัส

เชื่อกันว่าเป็นรูปปั้นที่คอยกั้นอ่าวของเกาะแห่งนี้ของกรีกในทะเลเอเจียน สร้างเสร็จหลังจากใช้เวลา 12 ปี แล้วเสร็จเมื่อประมาณ 280 ปีก่อนคริสตกาล และต้องพังทลายลง เพราะแผ่นดินไหว ถูกทอดทิ้งเป็นเวลา 900 ปี จนถูกขายเป็นเศษเหล็ก ให้แก่ชาวเมืองซาราเซน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสงคราม จนเราไม่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์นี้เลยแม้แต่ซาก ส่วนภาพที่เห็นเป็นเพียงจินตนการของคนวาดเท่านั้น




แต่ที่น่าเหลือเชื่อคือเอกสารหลายชิ้นพรรณารูปปั้นนี้ไม่เหมือนกันเลย บ้างก็บอกว่ารูปปั้นอ้าขาจนเรือรอดได้ บ้างก็บอกว่ารูปปั้นไม่ได้อ้าขา




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:23:15 »

7. แรงงานสร้างพีระมิดไม่ใช้ทาส



จากที่เราอ่านประวัติศาสตร์เรามักเห็นฉากแรงงานสร้างพีระมิด โดยหนังสือบอกว่าพวกเขาเป็นทาส และมีคนโบยแส้ที่ด้านหลังใช่เปล่าครับ

หากแต่ปัจจุบันความคิดนี้ต้องเปลี่ยนไปเมื่อนักโบราณคดีค้นพบสุสานในอียิปต์ ซึ่งช่วยพิสูจน์ว่าแรงงานที่ช่วยกันสร้างพีระมิดนั้นไม่ใช่ทาสอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นคนที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี มีการจ่ายค่าแรงรวมถึงมีการจัดอาหารให้รับประทาน 3 มื้อต่อวันเป็นอย่างดี อีกทั้งการสร้างสุสานใกล้กับที่ฝังศพของกษัตริย์ แสดงให้เห็นว่าแรงงานเหล่านี้ไม่ใช่ทาสแต่อย่างใด

โดยคาดว่าแรงงานเหล่านั้นน่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ผู้มีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนกำลังทำนั้น มีส่วนช่วยให้องค์ฟาโรห์ได้ไปจุติบนสวรรค์ และเมื่อถึงเวลาที่ตนจะจากโลกนี้ไปบ้าง เทพฟาโรห์ก็จะได้พิทักษ์ปกป้องตนต่อไป






บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:24:49 »

6. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไวกิ้ง



ไวกิ้งที่เราได้เห็นภาพยนตร์หลายเรื่องนั้น ส่วนใหญ่มักตัวใหญ่น่ากลัวสวมหมวกขนสัตว์ โหดร้ายป่าเถื่อนชอบปล้นทรัพย์ฆ่าและข่มขื่นหญิงชาวบ้าน อีกทั้งตัวสกปรก ไร้สมอง เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของยุโรปอย่างแท้จริง นี่คือความรู้ที่ผิด

จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่าไวกิ้งไม่โหดร้ายอย่างที่คุณคิด ไวกิ้งไม่ใช่นักรบอย่างเดียว หากแต่เป็นพ่อค้าและนักตั้งถิ่นฐานที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนายุโรปกลาง พวกเขาอาบน้ำสัปดาห์ละครั้งในวันเสาร์เท่านั้น (อย่าลืมว่าอากาศยุโรปมันหนาว) ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่พวกเขาสูงแค่ 170 ซม. ซึ่งไม่สูงอย่างที่เราเข้าใจกัน ผมและหนวดสีทองที่เราเห็นในภาพยนตร์เป็นเพียงอุดมคติความเชื่อในวัฒนธรรมไวกิ้งที่ใช้สบู่พิเศษในการแต่งไม่ใช้เป็นมาตั้งแต่เกิด




อีกทั้งพวกเขาไม่ได้อาศัยเฉพาะสแกนดิเนเวีย พวกเขาอพยพไปหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย, แอฟริกา หรือแม้แต่อเมริกาเหนือ ส่วนพฤติกรรมที่ฆ่าและข่มขืนปล้มทรัพย์นั้นเป็นส่วนน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่เชื่อถือได้คือพวกนักบวชในยุโรปไม่ชอบพวกนี้เท่าไหร่ เนื่องจากครั้งหนึ่งพวกไวกิ้งเคยทำลายวัดและฆ่าพวกพระบาทหลวงหลายคน (ภายหลังไวกิ้งก็เข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกชน)




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:26:27 »



5. คลีโอพัตราไม่ใช่คนอียิปต์



คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย

แต่จนบัดนี้ยังมีหลายคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนอียิปต์ (อย่างน้อยก็การ์ตูนญี่ปุ่นล่ะ) เพราะว่าเธอเป็นชาวกรีกแท้ๆ บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่าคลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอ พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์




ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้ และเธอเป็นผู้ปกครองอียิปต์คนสุดท้ายที่มีเชื้อสายกรีก




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:28:25 »



4. กษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur)



กษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) เป็นกษัตริย์อังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในตำนานเล่าขานในฐานะวีรบุรุษในยุคกลาง ซึ่งได้ปกป้องเกาะบริเตนจากการรุกรานของชาวแซ็กซอนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6

รายละเอียดส่วนใหญ่เกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าขาน ตำนานพื้นบ้าน และวรรณกรรมที่แต่งขึ้น โดยส่วนมากมักเกินจริงไปหน่อย เช่น มีพ่อมดเมอร์ลินเป็นผู้ช่วยทำสงคราม, อาเธอร์สามารถต่อสู้ตามลำพังด้วยมือเปล่า และสังหารศัตรูไปถึง 960 คน



และแน่นอนเรื่องราวภูมิหลังที่แท้จริงทางประวัติศาสตร์ของตำนานกษัตริย์อาเธอร์เป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการมาเป็นเวลานานแล้ว หลายคนเชื่อว่าอาเธอร์เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่กระนั้นก็ยังขาดหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นเพียงพอ (และหลักฐานส่วนใหญ่เป็นของปลอม)

นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังโดยมากจึงไม่นับว่าอาเธอร์เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่มีตัวตนจริง นักประวัติศาสตร์ จนมีนักประวัติศาสตร์ออกมาบอกว่า "ไม่มีบุคคลใดในกรอบประวัติศาสตร์และตำนานที่จะทำให้นักประวัติศาสตร์เสียเวลามากเท่านี้"






บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:32:51 »



3. Lady Godiv



เลดี้โกไดวา (Lady Godiva) เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองโคเวนทรี (ประเทศอังกฤษมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 997-1067) เธอเป็นภรรยาของลีโอฟริก เอิร์ลแห่งเมอร์เซียและลอร์ดแห่งเมืองโคเวนทรี ผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินอังกฤษ เป็นคนละโมบและกดขี่ชอบเก็บภาษีประชาชนอย่างบ้าเลือด แม้เลดี้โกไดวาเฝ้าขอร้องสามีให้ลดภาษี แต่เขาไม่เคยยอม

จนกระทั่งวันหนึ่งลีโอฟริกได้คิดสนุกเลยบอกเลี้โกไดวาว่าถ้าเธอกล้าเปลือยกายขี่ม้ารอบเมือง เขาจะยอมลดภาษีให้ตามที่ขอ ซึ่งการการกระทำดังกล่าวสำหรับผู้หญิงอังกฤษสมัยกลางย่อมถือเป็นเรื่องต่ำช้าอย่างยิ่ง แต่เลดี้โกไดวาก็ตัดสินที่จะยอมทำตามดังกล่าว โดยเธอได้กระจายข่าวบอกชาวเมืองให้พวกเขาร่วมมือด้วยการปิด ประตูหน้าต่างหลบอยู่ในที่พักอาศัยขณะเธอขี่ม้าผ่านเปลือยกาย ซึ่งชาวบ้านก็ร่วมมือเป็นอย่างดี (ความจริงมีชายคนหนึ่งแอบดูนาง หากแต่เขาถูกสวรรค์ลงโทษด้วยการทำให้ตาบอดในเวลาต่อมา และชายคนนั้นชื่อทอม จนเกิดสำนวนว่า "ทอมนักถ้ำมอง" (Peeping Tom ในเวลาต่อมา) จนนางสามารถทำสิ่งที่สามีบอกได้สำเร็จ และส่งผลให้สามีของเธอยกเลิกภาษีตามสัญญาที่ว่าไว้

อีกทั้งเธอก็ไม่ถูกประณามซ้ำยังกลายเป็นวีรสตรีของชาวเมืองไปในทันที ทุกวันนี้ที่จัตุรัสกลางเมืองโคเวนทรีมีอนุสาวรีย์เลดี้โกไดวาตั้งอยู่อย่าง โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองภาคภูมิใจ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1678 สภาเมืองโคเวนทรีได้เริ่มจัดให้มีขบวนแห่ "เลดี้โกไดวา" บันทึกไว้เป็นครั้งแรก โดยจัดหาผู้หญิงมาสวมผ้าสีเนื้อรัดกายให้ดูคล้ายเปลือยเปล่า นั่งบนหลังม้าแห่ไปรอบเมืองเพื่อรำลึกการกระทำอันงดงามของโกไดวา

ในขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหลายคนไม่คิดว่าเรื่องของโกไดวาได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากหลักฐานระบุไว้เพียงว่าเธอเป็นภรรยาของเอิร์ลลีโอฟริก และข้อมูลยังบ่งชี้ว่าทั้งคู่ต่างก็มีน้ำใจงามและเคร่งศาสนา เช่นในปี 1043 ท่านเอิร์ลและเลดี้ได้บริจาคเงินพร้อมที่ดินเพื่อสร้างวัดในนิกายเบเนดิกทีนที่โคเวนทรี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโบสถ์โคเวนทรีที่ถูกระเบิดทำลายไปบางส่วนในสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ประดับด้วยพลอยล้ำค่างดงามอย่างที่ไม่มีวัดใดในอังกฤษยุคนั้นเทียบได้ และในช่วงทศวรรษ 1050 ทั้งสองยังบริจาคที่ดินและเงินมหาศาลเพื่อสร้างวัดและโบสถ์อีกหลายแห่ง เช่นที่ลินคอล์นเชียร์ ลีโอมินสเตอร์ และอีฟแชม นักประวัติศาสตร์หลายคนจึงไม่คิดว่าท่านเอิร์ลจะโหดหินจนโกไดวาต้องเปลือยร่างขี่ม้าขอความเป็นธรรมให้ประชาชน




ส่วนผู้ที่เชื่อว่าตำนานนี้เป็นเรื่องจริงก็จะอิงบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์อังกฤษฉบับภาษาละตินที่ชื่อ Flores Historiarum (Flowers of History) ของโรเจอร์แห่งเวนโดเวอร์ (Roger of Wendover) ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่ระบุเรื่องราวของเลดี้โกไดวาไว้ตามที่ระบุข้างต้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนแย้งว่าเวนโดเวอร์เป็นเพียงผู้บันทึกตำนานและเกร็ดประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเขียนบันทึกนี้ขึ้นเมื่อ 2 ศตวรรษหลังการตายของโกไดวา

ข้อความดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือ แม้จะมีบันทึกระบุว่าครั้งหนึ่งลีโอฟริกได้ยกเลิกภาษีให้ประชาชนจริงและประทับตราด้วยตราประจำตัวของเขาเองเลยก็ตาม ส่วนคนอื่นก็เสริมว่าบางทีเลดี้โกไดวาอาจไม่ได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้า หากแต่ปลดเชิงสัญลักษณ์ คือปลดทั้งเครื่องประดับกายและผม เพราะเมื่อสตรีสูงศักดิ์ปราศจากเครื่องประดับก็เท่ากับลดเกียรติของตนลงเทียบเท่าสตรีสามัญ




อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของโกไดวาจะเป็นเพียงตำนานหรือความจริงย่อมยากที่จะพิสูจน์ไม่ต่างจากทุกตำนานในโลก หากเหนือข้อเท็จจริงย่อมเป็นคุณค่าของตำนานที่ถูกส่งผ่านมากับกาลเวลา เฉกเช่นเรื่องของเลดี้โกไดวาที่เนื้อหาแท้จริงได้แทรกตัวอยู่ทั้งในบทกวี รูปปั้น ภาพเขียนของจิตรกรหลายยุคสมัย หรือกระทั่งในกระดาษห่อช็อกโกแลตยี่ห้อโกไดวา




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:50:16 »



2. สวนอีเดนอยู่ที่ไหนกันแน่



สวนอีเด็น หรือ สวนเอเดน (Garden of Eden) เป็นสถานที่บรรยายไว้ในพระธรรมปฐมกาลว่าเป็นสถานที่มนุษย์สองคนแรกที่พระเจ้าสร้างอาดัม และ อีฟ โดยสวนนั้นบรรยายไว้ว่าสวยงามราวกับสวรรค์ มีพืชพรรณอาหารอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยสัตว์ป่า แม่น้ำใสสะอาด

แต่ปัญหาคือถ้าสถานที่นี้มีจริง มันจะอยู่จุดไหนของโลกกันแน่ โดยหลายคนเชื่อว่าสวนอีเดนนี้อยู่ในโมโสโปเตเนียทางภาคกลาง เนื่องจากบันทึกการสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลได้กล่าวถึงที่ตั้งของสวนอีเด็นว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์เมเนีย, ยอดเขาอาระรัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์เมเนีย (พระธรรมปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 10-14) ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน




ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์เมเนีย แต่ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกัน และยังไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐมกาลเอง และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น "จูบิลี" สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิตทองคำ และยางไม้หอมซึ่งตรงกับการพรรณนาการสร้างโลกดังกล่าว




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 29.0.1547.76 Chrome 29.0.1547.76


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2556 11:53:26 »



1. Prester John



เพรสเตอร์ จอห์น เป็นชื่อของกษัตริย์ในตำนานยุคกลางของยุโรปครับ โดยเชื่อว่ากษัตริย์องค์นี้อยู่ในดินแดนหนึ่งในเอเชีย หรืออาจเป็นแอฟริกา โดยดินแดนแห่งนั้นเป็นเดินแดนแห่งความเพียบพร้อม ไม่มีคนจน ไม่มีโจร ไม่มีคนพูดโกหกหรือมุ่งร้ายต่อกัน

นอกจากจะเป็นกษัตริย์แล้วเพรสเตอร์ จอห์นยังเป็นประมุขศาสนาอีกด้วย ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีคนนับถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัด กล่าวกันว่าเขาสืบเชื้อสายจากมากี 3 ท่านที่เดินไปให้พรแก่พระเยซูเมื่อครั้งประสูติบนโลกอีกด้วย

เรื่องราวของเพรสเตอร์ จอห์นและอาณาจักรอันสมบูรณ์นั้นได้ถูกกล่าวถึงในบันทึกของบาทหลวงชาวเยอรมันท่านหนึ่งในสมัยเกิดสงครามครูเสดหลังชาวคริสต์ยึดดินแดนศักดิ์สิทธิจากชาวมุสลิม พวกเขาพยายามค้นหาอาณาจักรแห่งนี้หากแต่ไม่พบ แต่เชื่อกันว่าดินแดนแห่งที่ว่าน่าจะเป็น อินเดีย หรือไม่ก็เอธิโอเปีย หรือจะอยู่ในอบิสซิเนีย






บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
คำค้น: ข้อเท็จจริง ประวัติศาสตร์ พีระมิด ลึกลับ แปลก 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.234 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 26 ตุลาคม 2567 17:13:33