[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:57:19 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อรรถกถาวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  (อ่าน 4391 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 16 ธันวาคม 2552 11:56:35 »



อรรถกถา วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร


สำดับนั้น พระบรมศาสดา ตรัสว่า
มีธรณีชื่อ วัชรใจ ใจนี้มีด้วยกันทุกคน ไม่มีผู้ใดที่ปราศจากใจ เป็นใจของสรรพสัตว์ที่แจ้งเองตื่นเอง อันพึงมีอยู่แล้ว เพราะเหตุว่า ความดี ความชั่วทั้งปวง ล้วนเกิดแต่ใจตนเอง ใจตนดี กายจะเป็นสุข ใจตนชั่ว กายจะได้รับทุกข์ ใจเป็นเจ้านายของกาย กายถูกบงการโดยใจ พุทธ จึงสำเร็จได้ด้วยใจ ธรรมะเรียนโดยใจ กุศลทำโดยใจ เภทภัยอุบัติโดยใจ ใจเป็นสวรรค์ก็ได้ ใจเป็นนรกก็ได้ ใจเป็นพุทธก็ได้ ใจสัมมาสำเร็จเป็นพุทธ ใจมิจฉาสำเร็จเป็นมาร ใจบุญเป็นเทวะ ใจบาปเป็นยักษา ใจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งบาป บุญ คุณ โทษทั้งปวง
บุคคลใดประจักษ์แจ้งในใจตน สำรวมได้ เป็นเจ้าเป็นนายตนได้ ไม่ประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย บำเพ็ญแต่กุศลกรรมทั้งปวง เจริญรอยตามและถือปฏิบัติตามพุทธ ตั้งปณิธานตามพุทธ บุคคลผู้นั้นจักสำเร็จเป็น พุทธ ในไม่ช้า

พระมัญชูศรีทูลถามว่าอันว่าวัชรสูตรนั้นคืออะไร

พระองค์ตรัสว่า.........................................................
วัชร อุปมาดังภาวะเดิม สูตรอุปมาดังใจตน หากบุคคลใด ประจักษ์แจ้งในใจตน เป็นภาวะเดิมของตน ก็เหมือนว่า บุคคลนั้นมีพระสูตรอยู่ในกายตน บุคคลใดที่ประจักษ์แจ้งในใจตน เห็นภาวะเดิมแห่งตน ได้สำเหนียกพุทธในใจตนตลอดเวลา แสดงธรรมสม่ำเสมอช่วยสรรพสัตว์สม่ำเสมอ ดำเนินพุทธกิจสม่ำเสมอ บุคคลผู้ได้มาแล้วซึ่งจรรยานี้ จักได้ชื่อว่า ผู้ถือ วัชรสูตร

พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า.........

ในวัชรสูตร พระพุทธองค์สรรเสริญว่าผู้ถือคาถา 4 บาท ไปประกาศแสดงแก่คนอื่น ๆ อันกุศลที่ได้รับนั้น จะประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าบุญกุศลที่ได้จากการนำสัตรัตนะกองเต็มอากาศทั่วทิศ บริจาคทาน คาถา 4 บาทนั้นคืออะไร ?
พระบรมศาสดาตรัสว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามีธรรมชาติของความเป็นพุทธ แท้จริงไม่เกิด - ไม่ดับ แต่โดยเหตุที่หลงงมงาย ไม่ตื่นไม่แจ้ง จึงมีขึ้นมีลง ทั้งนี้ก็โดยที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงตลอดไม่ตื่น ดังนั้นจึงตกต่ำชั่วกัปชั่วกัลป์
พุทธ ทั้งหลายตื่นตลอดไม่หลง ดังนั้นจึงสำเร็จพุทธธรรมตลอดกาล ผู้แสวงพุทธธรรม ระดับขั้นในวิถีดำเนินแบ่งออกเป็น 4 ขั้น เรียกคาถา 4 บาท

1. เรียกว่า ศูนย์กาย
2. เรียกว่า ศูนย์ใจ
3. เรียกว่า ศูนย์ภาวะ
4 .เรียกว่า ศูนย์ธรรม

อะไรคือ ศูนย์กาย กายนั้น บิดามารดา เป็นผู้ให้กำเนิด มีทวารทั้ง 9 ไหลตลอดเวลา นานาปฏิกูล ธาตุ 4 อันประสานรวมกันอยู่ ย่อมจะเสื่อมสลายในที่สุด ผู้มีสติปัญญา ประจักษ์แจ้งว่า กายเป็นมายา ใช้กายอันเป็นมายานี้ศึกษาพุทธ บำเพ็ญศีล ปฏิบัติธรรม เรียกว่า เห็นแจ้งศูนย์กาย นี้คือ คาถาบาทที่หนึ่ง
หันมาดูใจตน ไวที่สุด มีสภาวะเหมือนมี สภาวะดับเหมือนไม่มี ประจักษ์แจ้งใจจริงแท้ ตื่นตลอด ไม่หลงเลอะ ไม่หันแปรปรวนตามความคิดฝันเพ้อ เห็นแจ้งศูนย์ใจ นี้คือคาถา บาทที่สอง
หันมาดูภาวะเดิม สงบนิ่ง เข้าถึงโดยความรู้สึก เปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ประจักษ์แจ้งชัด ตื่นเองแจ้งเอง ทั้งสงบทั้งเคลื่อนไหว เรียกว่า เห็นแจ้งศูนย์ภาวะ นี้คือ คาถาบาทที่สาม
หันมาดูธรรมสูตร อันตถาคตแสดงนั้นล้วนเป็นธรรมวิถี โน้มนำอันสะดวกดาย อุปมาดังน้ำล้างฝุ่นละออง เปรียบประหนึ่งป่วยไข้ให้ยา ได้เห็นแจ้งใจตน แจ้งศูนย์ธรรมแล้วไข้หาย หยุดยา เรียกว่าเห็นแจ้งศูนย์ธรรม นี้คือคาถาบาทที่สี่อรรถธรรมของคาถา ๔ บาทนี้ เป็นประตูนำไปสู่การพ้นปุถุชน เข้าสู่อริยมรรค ตถาคตในสมัยแห่งกาล ๓ สำเร็จเป็นพุทธโพธิสัตว์บำเพ็ญตามระดับขั้นนี้
เห็นแจ้งบาทที่ 1 แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุโสดาปัตติผล
เห็นแจ้งบาทที่ 2 แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุสกทาคามิผล
เห็นแจ้งบาทที่ 3 แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุอนาคามิผล
เห็นแจ้งบาทที่ 4 แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุอรหัตผล
คาถา 4 บาทนี้ ได้เปิดประตูพุทธธรรมไว้กว้าง หากยึดถือปฏิบัติและนำไปประกาศแสดงแก่คนอื่น ๆ ทำให้ผู้ได้สำเหนียกเห็นแจ้ง ในพุทธทิฐิ ย่อมจะสำเร็จเป็นพุทธ ดังนั้นจึงได้บุญมหาศาล อันบุญกุศลที่ได้รับนั้น จะประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าการบริจาคทานด้วย สัตรัตนะ
พุทธอดีต พุทธอนาคต เป็นแนวเดียวกัน ล้วนอยู่ที่แต่ละคน ได้ประจักษ์แจ้งในใจตน เห็นภาวะเดิมแห่งตน แล้วบำเพ็ญตนสำเร็จ
ถ้าไม่เข้าสู่ทางพุทธ บำเพ็ญปฏิบัติก็ไม่มีวันสำเร็จเป็นพุทธได้ เพราะเหตุว่าไม่มีความเพียรแห่งพุทธ
ผู้แสวงพุทธนั้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ธันวาคม 2552 12:46:04 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2552 11:59:04 »



1 ต้องถือศีล กินเจ เบื้องต้นต้องถือศีล  กินมังสวิรัติ เจ ละเว้นอบายมุข 6  ปูพื้นฐานแห่งพุทธ
2 ฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ดี เพื่อชี้แนะวิถีแห่งการบำเพ็ญ
3 เข้าใจ กระจ่างแจ้งชัด ในภาวะใจ
4 บำเพ็ญบุญหนุนเสริมมูลราก
5 ใช้เหตุปัจจัย เพื่อเพิ่มพูนกุศลมูลของตน
6 ประจักษ์แจ้งในกฏแห่งกรรม
7 ทำลายปีศาจมารร้าย กิเลส ออกห่างนอกรีตนอกรอย
8 เข้าถึงหลักธรรม ไม่ติตยึดในสังขตะ ปรุงแต่งขึ้น
9 ใช้วิริยะ เรียนพุทธ บำเพ็ญคุณประโยชน์
10 ใช้อภิญญา ช่ำชองนานาธรรม
หากบุคคลใด สมบูรณ์ด้วยอานิสงส์ 10 ประการนี้ก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิธรรม
ในสมัยแห่งปลายพระสัทธรรม จะมีสรรพสัตว์ ผู้มีความเขลาด้อยปัญญา หลงมัวเมาในมิจฉาทิฐิ ไม่บรรลุ บอกว่าบรรลุแล้ว บำเพ็ญกุศลเพียงเล็กน้อยโดยหวังจะได้อริยผลมหาศาล ไม่เข้าใจเจตนารมณ์แห่งพุทธ อวดอุตริหลอกตัวเอง แม้จะมีเหตุปัจจัยที่ดี ก็จักได้ผลอันเลวร้าย เพราะเหตุว่าเมล็ดพันธุ์ไม่แท้ จึงไม่ได้ผลแห่งสัมมาสัมโพธิ สูญเสียร่างคนเมื่อใด ก็ยากจะได้คืนมาเป็นคนอีก นับด้วยหมื่นกัปกัลป์ หลายล้าน ๆ ชาต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ธันวาคม 2552 12:46:30 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2552 12:08:48 »

เสียทรัพย์เสียไป- เสียศีลอย่าให้เสีย ต้องรักษาไว้

เพราะศีลเป็นสิ่ง สร้างทรัพย์เจ้าทรัพย์เสียถ้าว่าศีลล่ะก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดี
คนบริสุทธิ์แล้ว เป็น เจ้าของทรัพย์ ทรัพย์ดึงดูดในโลกให้มาหา ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ให้บริสุทธิ์จริง ๆ นะ
มนุษย์ ประมาทในอะไร เพลินใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นะซินั่นแหละ ประมาทล่ะ
เลินเล่อเผลอตัวเข้าใจว่า เป็นของจริง เป็นของหลอกลวงทั้งนั้น
เราเข้าใจว่าเป็น สุข เป็น ทุกข์แท้ ๆ
เข้าใจว่า สุขอย่างไรน่ะ ถ้าว่า ทุกข์แท้ ๆ เขาก็ ทิ้งกันหมดน่ะซิ นี่
ตั้งบ้าน กันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นสุข เป็นทุกข์อย่างไรล่ะ
มันก็ เป็นสุขแท้ ๆ ก็ทนไปอีกนี่กิเลสบาง
ปัญญาละเอียด ละก็เห็นว่า เป็นทุกข์จริง ๆ ล่ะ ทุกข์อย่างไรล่ะ
เห็นร้องไห้ ร้องครางไปตาม ๆ กันทีเดียว ก็ไม่ใช่ทุกข์ หรือ นั่นนะ
ร้องไห้ร้องครวญไปตาม ๆ กัน ไปซิ บ้านหนึ่งหมู่หนึ่ง เอามารวมกัน เข้าซิ บ่นเรื่องสุขกันมากไหมล่ะ ทุกข์กันทั้งนั้น
ที่ไหนไม่มีสุขเลย ทุกข์ทั้งนั้น นั่นแหละ

ทุกข์ ด้วยอะไร..........?

ทุกข์ ด้วย มันไม่เที่ยง มีแล้วหา มีจริงไม่ เกิดแล้วดับไป นี่มันทุกข์อย่างนี้น่ะ
ทุกข์ด้วยไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งนั้นจะเป็นของเรา หรือเรียกไม่ได้ หายไปหมด
มันจริงอย่างนี้นะ มันไม่เที่ยงเมื่อรู้สึกว่า เป็นหนทางตายอย่างนี้แล้ว เมื่อรู้จักแน่ รู้จักแน่น เป็นเช่นนี้แล้ว
ก็กลับความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ เสียใหม่ ว่า จะเอาอย่างไรกัน ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ได้อะไรบ้าง
มีอะไรในตัวเองมีไหม ?
ถ้าไม่มี ไม่เห็น ต้องอุตส่าห์ พยายามให้เห็น ให้เห็น ต้อง อุตส่าห์พยายามให้มี ให้เห็น ให้เห็นปรากฏ ฯ

24孝 15
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ธันวาคม 2552 13:08:12 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2552 12:09:35 »

สาธุ อนุโมทนาครับ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.102 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 23 ตุลาคม 2567 17:03:30