อ้างจาก: Owner board ที่ ตุลาคม 15, 2010, 08:06:39 PM
แล้วนิพพานไม่ได้เป็นบ้านเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขหรอกหรือ?
อย่างนั้นก็แสดงว่า เมื่อใดที่อุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต ใช่หรือไม่?
อย่างนั้นนิพพานเราก็สัมผัสกันได้เสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา ใช่หรือไม่? บ้านเมืองเป็นแค่สิ่งภายนอก (อายตนะภายนอก) ความสุขมันอยู่ในจิตครับ เมื่ออุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต แต่
จิตมันยังครองขันธ์ 5 หรือกายอยู่ พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า "นิพพานดิบ" ถ้าดับขันธ์ 5 ไปแล้ว เรียกว่า "นิพพานสุก" ในคิริมานนทสูตร (อุบายรักษาโรค) : ?คนหลง? และ ?คนรู้? http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=138 ดูกรอานนท์ อันว่าความสุขในพระนิพพานนั้นมี ๑ ประเภท คือ ดิบ ๑ สุก ๑ ได้ความว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ได้เสวยสุขในพระนิพพาน นั้นได้ชื่อว่า พระนิพพานดิบ เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นชื่อว่า พระนิพพานสุก .....
พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ ควรให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ ให้ถึงไว้เสียก่อนตาย
ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้ว ตายไปก็จักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่มีทางได้ แต่รู้แล้วเป็นแล้ว พยายามจะให้ได้ให้ถึง ก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา
ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพานมีอย่างเดียว ตายแล้วจึงจะได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนหลง ส่วนพระนิพพานดิบนั้น จักจัดเอาความสุขอย่างละเอียดเหมือนอย่างพระนิพพานสุกนั้นไม่ได้ แต่ก็เป็นความสุขอันละเอียด สุขุม หาสิ่งเปรียบมิได้อยู่แล้ว แต่หาก ยังมีกลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่ จึงไม่ละเอียดเหมือนพระนิพพานสุก เพราะพระนิพพานสุกไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์จะมากล้ำกราย ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง แต่พระนิพพานดิบนั้น ต้องให้ได้ไว้ก่อนตายฯ
นิพพาน ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง = ?
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่. ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ. อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.?
ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๖-๒๐๗
พุทธพจน์ข้างต้นน่าจะหมายถึง ธรรมกายที่เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น ที่เป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม เมืองพระนิพพานก็มี เพราะความสุขมันอยู่ในจิต ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่รับรู้ที่เป็นอายตนะข้างนอกจิต
ธรรมกายรวมทุกจิต(อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม) จึงได้นิรมิตฝั่งนี้ที่เป็นอนัตตา(ไม่เที่ยง มีทุกข์ มีความแปรปรวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย) คือ สังสารวัฏฏ์ มี นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิรมิตฝั่งโน้นที่เป็นอัตตา (เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่ปรปรวนเกิด แก่ เจ็บ ตาย - เมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรขึ้นมา นอกจากนี้ อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม ยังให้สิทธิกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์อรหันต์ สามารถนิรมิตเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรของตนขึ้นมาเองได้ด้วย เพื่อให้พระโพธิสัตว์องค์นั้นหรือหลายองค์ได้สอนธรรมให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ในที่นั้น ซึ่งไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ เช่น
แดนสุขาวดี ของพระอมิตาพุทธเจ้า และสวรรค์ของพระคริสต์ ที่เหล่านี้ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ แต่อย่างใด เพียงแต่วิญญาณที่จะเข้าไปได้ ต้องทำตามกติกาที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์นั้น วางไว้ก่อนเข้าไปเท่านั้นเอง ถ้าท่านยังสงสัยต่อว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง มีทั้งพุทธภาวะ(ธรรมกาย)และมีทั้งพุทธเกษตรแดนนิพพาน แสดงว่าท่านไปให้ความใส่ใจกับข้าว ของ เมือง ในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก และไม่ใส่ใจกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกท่าน ที่ยังต้องเผชิญยถากรรมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เพราะไปหลงกับสิ่งภายนอก ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากว่าจะตกนรก
พระอรหันต์ต่างๆชี้เรื่องนิพพานที่เป็นพุทธภาวะดั้งเดิม กับนิพพานที่เป็นบ้านเมืองไว้ดังนี้
1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
.....
เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี
เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก? 2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)
รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
หลวงปู่ดูลย์ อตโล "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้"
เข้าใจหรือยังครับ นิพพานมันมี 2 ระดับ ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้ ถ้ายังไม่เชื่ออีก ลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0 แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่ ผมคัดมานิดนึงให้ดู
" นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
" เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"