- ว่าด้วยนิรมาณกาย : พระศากยมุนีพุทธเจ้า ในกรณีของนิรมาณกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้านี้ มีอ้างอยู่ในคัมภีร์มหายานไวปุลยธารณีสูตร ว่า “ในสมัยหนึ่งที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยังคิชกูฏบรรพต ในนครราชคฤห์ พร้อม ด้วยมหาภิกษุหมู่ใหญ่ ๖๒,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จํานวน ๘๐ โกฏิพระองค์ และอุบาสก ของแคว้นมคธจํานวน ๖๐โกฏิร้อยพันคน ฯ ครั้งนั้นจวนจะถึงกาลปรินิรวาณ พระตถาคตทรง เจริญตถตาสมาธิ และเมื่อออกจากสมาธิแล้วได้บังเกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย จากนั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้กล่าวแสดงธรรมที่จะยังให้ธรรมจักษุ คงอยู่ในโลกตราบกาลนาน พระตถาคตเจ้าจึงทรงแสดงมหายานไวปุลยธารณีสูตร ฯลฯ และตรัสว่า
ดูก่อน อชิตะ ด้วยเพลาที่เราตถาคตแสดงพระธรรมเทศนานี้แก่สรรพสัตว์ทั้งจตุรทวีป * อันบรรดาสรรพสัตว์ย่อมอาศัยฤทธาพละแห่งพระพุทธะ ให้ต่างแลเห็นพระศากยตถาคต อยู่เฉพาะตนดั่งเราตถาคตที่กําลังเทศนาอยู่นี้เป็นลําดับ ๆ ไปจนถึงชั้นอกนิษฐ์พรหมภูมิ** เหล่าสรรพสัตว์อีกทั้งพระตถาคต (ต่าง ๆ นั้น) ก็ดังเช่นเราตถาคตที่ได้เทศนานี้ ประดุจทวีป หนึ่งตลอดถึงตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุก็เป็นดุจฉะนี้ บรรดาสรรพสัตว์ย่อมจักมีมนสิการว่า “พระศากยตถาคตเจ้า ทรงมาถืออุบัติยังประเทศของเราด้วยพระองค์เองด้วยทรงจักหมุน เคลื่อนกงล้อแห่งพระมหาธรรมจักรแก่เรา”
* ทวีปทั้ง ๔ มี
๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสุเมรุ
๒) ปูรววิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสุเมรุ
๓) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสุเมรุ
๔) อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสุเมรุ
** พรหมชั้นสูงสุด มีความหมายโดยนัยยะว่า พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงมีความเสมอภาค เช่นเดียวกันกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า และ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ทรงมีความเสมอภาค เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงนิรมาณกายไปโปรดและประทานพระธรรมเทศนา แก่สรรพสัตว์ทั่วจักรวาล หรืออาศัยนัยยะตามประโยคที่ว่า “ให้ต่างแลเห็นพระศากยตถาคต อยู่เฉพาะตน” อาจหมายความว่า สรรพสัตว์ทั่วจักรวาลสามารถรับฟังพระธรรมเทศนา จากพระศากยตถาคตเจ้าได้ด้วยสภาวะแห่งใจเฉพาะตน
ดูก่อน อชิตะ เราตถาคตด้วยอาศัยอํานาจแห่งมหาอุบายเช่นนี้ ย่อมสามารถยังให้ในโลกธาตุ ที่มีจํานวนพ้นประมาณมิอาจกําหนดซึ่งขอบเขตนั้น (ทําให้) เมื่อคราอรุโณทัยสมัยย่อมจักสอด ส่องพุทธญาณวิถีสํารวจตรวจดูสรรพสัตว์ที่สมควรได้รับการสั่งสอน แล้วจึงประทานพระ ธรรมเทศนา ในเพลาเที่ยงวันแลพลบค่ำก็จักยังสอดส่องสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยธรรมจักษุอยู่ ตลอดเวลา แลในโลกธาตุเหล่านั้นก็ได้ประทานพระธรรมเทศนาต่าง ๆ แก่สรรพสัตว์ ด้วยพุทธ วิสัยนานาอันมิพึงจักประมาณหยั่งวัด อันสรรพสัตว์ผู้ศึกษา (การเป็น) โพธิสัตว์ทั้งปวงพึงบําเพ็ญ อยู่เช่นนี้
อันบรรดาโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ เป็นเช่นนั้น ๆ จริงดังพระองค์ตรัสแล้ว พระพุทธเจ้าข้า เมื่อคราที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ดํารง อยู่ทางด้านบูรพาทิศของโลกธาตุแห่งนี้ ในบรรดาพุทธเกษตรต่าง ๆ จํานวนคณนา เท่ากับเมล็ดทรายในคงคานทีสิบสายรวมกันนั้น ก็ได้ถวายสักการะแด่พระพุทธเจ้าผู้ ประเสริฐเหล่านั้นด้วย ในโลกธาตุหนึ่ง ๆ นั้น พบเพียงพระศากยตถาคตที่ทรงบังเกิดมี ขึ้นในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลายใน ๗ วาร จึงได้จาริกท่องเที่ยวไปอีกในทศทิศ ก็พบ เพียงพระศากยตถาคตที่บังเกิดอยู่ในโลก มิได้พบพระพุทธะอื่นใดเลย เมื่อจาริกโดย ทั่วแล้ว จึงนิวัติกลับมาสู่โลกธาตุแห่งนี้เพื่อสดับพระสัทธรรม พระพุทธเจ้าข้า”
และเรื่องนิรมาณกายของพระศากยมุนีนี้ก็มีการกล่าวถึงในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร ปริวรรคที่ ๑๑ ว่าด้วยปรากฏการณ์แห่งพระมหาสถูปไว้อย่างพิศดารว่า “พระศาสดา ประภูติรัตนเจ้าพระองค์นี้ ได้ทรงตั้งปณิธานสําคัญและจริงจังไว้ข้อหนึ่ง ปณิธานนั้น มีความว่า เมื่อพระศาสดาเจ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายในพุทธเกษตรต่างๆ ทรงแสดง พระธรรมบรรยายในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร ขอให้พระสถูปแห่งอาตมภาวะนี้ สถิตอยู่ใกล้พระตถาคตเจ้า เพื่อจะได้รับฟังพระธรรมบรรยายในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร นี้ และเมื่อพระศาสดาเจ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปรารถนาที่จะเปิดพระรูปแห่งพระ อาตมภาวะ(ของพระประภูติรัตนะ) เพื่อแสดงแก่พุทธบริษัท ๔
เมื่อนั้นขอให้พระรูปแห่ง พระตถาคต(ที่ประสงค์จะเปิดพระสถูป)ทั้งหลายในทศทิศ ในพุทธเกษตรต่าง ๆ จาก อาตมภาวะของพระองค์ ที่แสดงธรรมแก่สรรพสัตว์ภายใต้พระนามต่าง ๆ กัน ฯ มารวมกันฯ เพื่อเปิดเผยให้ประจักษ์แก่พุทธบริษัท ๔ ทันใดนั้น พระศาสดาเจ้า(พระศากยมุนี) ทรงเปล่งพระรัศมีจากพระอุษณีย์ ทันทีที่เปล่ง พระรัศมีออกไปนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทับอยู่ทางทิศตะวันออกใน ๕๐ ร้อยพัน หมื่นโกฏิโลกธาตุจํานวนมากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที ฯลฯ ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ปรากฏมีพระพุทธเจ้ากําลังทรงเทศนาสอนสรรพสัตว์ ฯ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็เช่นกัน เช่นเดียวกับทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งขั้วโลกเหนือ-ใต้ และในทศทิศแต่ละทิศ ฯ พระพุทธเจ้าใน พุทธเกษตรทั้งหลายจํานวนหลายร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์
พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นในทศทิศ ต่างรับสั่งแก่พระโพธิสัตว์ที่ห้อมล้อมอยู่ว่า กุลบุตรทั้งหลาย เราจักต้องไปยังสหาโลกธาตุ ยังพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า เพื่อ ถวายนมัสการแก่พระสถูปแห่งพระบรมสารีริกธาตุของพระประภูติรัตนตถาคตเจ้า ฯลฯ ในขณะนั้น พระตถาคตเจ้าทั้งหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยพระศาสดาศากยมุนีผู้ประกาศพระ ธรรมแก่สรรพสัตว์ ทางทิศตะวันออกในร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรมากมายดุจเม็ด ทรายในคงคานที ได้พากันเสด็จมาถึงและประทับทั่วทิศทั้ง ๘ ฯลฯ
เมื่อพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าทั้งหลายที่พระองค์ เนรมิตขึ้นนั้น เสด็จมาถึงพร้อมกันโดยไม่มีผู้ใดขาด ฯ แล้วประทับยืนอยู่ในฟากฟ้า พุทธบริษัท ๔ ในธรรมสภานั้นต่างพากันลุกขึ้นจากที่นั่งประนมมือยืนจ้องมองพระศาสดาเจ้าอยู่ พระศาสดา เจ้าจึงทรงใช้นิ้วดรรชนีขวาเปิดพระมหาสถูป ฯลฯ”
ตามอรรถของพระสูตรทั้งสองข้างต้นที่ได้แสดงถึงพระนิรมาณกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ว่ามีอยู่จํานวนมากมายในทศทิศ ซึ่งคัมภีร์มหายานไวปุลยธารณีสูตรเป็นการกล่าวยืนยันกรณี นิรมาณกายของพระศากยมุนีโดยพระโพธิสัตว์ทั้งปวงและคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็น การแสดงนิรมาณกายโดยพระศากยมุนีเอง และยังมีอีกหลายพระสูตรคัมภีร์ ที่กล่าวบรรยายใน เรื่องทํานองนี้
ดังนั้นพระมหาสูรยประภา หรือพระไวโรจนะจึงหมายความโดยนัยยะว่า พระปัญญาญาณแห่งพระพุทธะ ประดุจอาทิตย์ดวงใหญ่นับพันดวง สามารถกําจัด อวิชชาความมืดบอดของสรรพสัตว์ แล้วแสงแห่งปัญญาอันรุ่งโรจน์นั้นจักยังให้เมล็ด แห่งโพธิจิตในสรรพสัตว์ได้เจริญงอกงามด้วยต้องพุทธรังสีอันประเสริฐนี้.
จาก เว็บ มหาปารมิตา
http://www.mahaparamita.com/