22 ธันวาคม 2567 19:50:34
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE
.:::
คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ? (อ่าน 2617 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
«
เมื่อ:
12 มกราคม 2554 10:32:08 »
Tweet
คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
มนูญ
- วิศวะ 16 ... ส่งมา
ปู่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค เคยเขียนไว้ว่า " โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์คือ การที่ศีลธรรมถูกศาสนาแย่งชิง ไม่ว่ามันจะมีค่า หรือจำเป็นเพียงใดต่อการบังคับให้คนในยุคโบราณทำดี การรวมของสองสิ่งนี้กลับให้ผลตรงข้าม และในช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้ควรถูกแยกออกจากกัน คนโง่ที่คิดว่าตนเองมีศีลธรรมแก่กล้ากว่า กลับเรียกร้องให้ผู้คนหวนคืนสู่ศีลธรรมด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ "
สำหรับชาวเราที่โตมากับการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน หรือคนที่เข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ อาจรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวที่ผูกกับระเบิดลูกใหญ่ ความคิดใดๆ ที่แย้งกับสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง มักยอมรับกันได้ยาก คุยเรื่องนี้แล้วอาจถูกตีหัว หรือถูกหาว่าเป็นมารศาสนาได้ง่ายๆ
ทว่าในฐานะของชาวพุทธที่ได้รับการสอนเรื่องกาลามสูตร นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะไตร่ตรองดูว่า มีความจริงมากน้อยแค่ไหนในคำกล่าวข้างต้น บางทีมันอาจเป็นโอกาสให้เราปัด " ฝุ่น " ที่เกาะใจเรามาโดยที่ไม่รู้ตัว ที่สำคัญคือหากเราจะเข้าใจตัวเอง และชีวิตมนุษย์บนโลกดีขึ้น ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องกล้าตั้งคำถาม และวิเคราะห์ข้อคิดแย้งใดๆ ให้ถึงแก่น
มนุษย์แทบทุกมุมโลกถูกสั่งสอนมาแต่เด็กให้เชื่อมคำว่า " ศีลธรรม " " การทำดี " เข้ากับคำว่า " ศาสนา " การเป็น atheist ( คนที่ไม่มีศาสนา, คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ) หรือ free thinker ในโลกนี้จึงมักถูกเข้าใจผิดเสมอ หลายคนฝังใจว่าการไร้ศาสนา คือการไร้ศีลธรรม
ทว่าการ " ไร้ศาสนา " กับ " ไร้ศีลธรรม " เป็นคนละเรื่องกัน แน่ละ คนไร้ศาสนาจำนวนมากกระทำเรื่องชั่วร้าย แต่ประวัติศาสตร์โลกเราก็บันทึกตัวอย่างมากมายของการกระทำชั่วโดยคนที่มีศาสนา ตั้งแต่ฮิตเลอร์ไปจนถึงผู้นำชาติมหาอำนาจที่ก่อสงครามเป็นว่าเล่น ล้วนแต่เป็นคนที่เข้าโบสถ์สม่ำเสมอ ดังนั้นการเชื่อมโยง " ไร้ศาสนา " กับ " ไร้ศีลธรรม " ก็เช่นการบอกว่า สุนัขทุกตัวที่ไม่ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ต้องเป็นสุนัขบ้า
คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ? อาจต้องเริ่มที่การตั้งคำถามว่า อะไรคือความดี ? เราวัดความดีอย่างไร ? ช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน ? ไม่เป็นเด็กแว๊น เด็กสก๊อย ? อะไรคือศาสนา ? มันคือการไม่ฆ่าคน ? ไม่โกหก ? ไม่ขโมย ? ไม่ประพฤติผิดในกาม ? มีเมตตาเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก ? ความดีเป็นสิ่งที่เกิดมากับจักรวาลหรือไม่? หรือว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้นบนโลก ? มันเกี่ยวกับการที่เราอยู่กันเป็นสังคมหรือไม่ ? ทำไมศาสนาเพิ่งถือกำเนิดมาในโลกนานหลังจากมนุษย์สร้างอารยธรรม ? สัตว์มีศาสนาหรือไม่ ?
ถ้าเราใช้ข้อปฏิบัติตามที่บัญญัติในศาสนาเป็นเครื่องวัดความดี เราก็อาจต้องถามต่อไปว่า ปลาวาฬปลาโลมาที่ช่วยชีวิตคนที่ประสบภัยกลางทะเลก็รู้จักทำดี ? ลิงบางสายพันธุ์ที่ช่วยกันดูแลลิงที่เจ็บป่วยก็มีศีลธรรม ?
การมองว่าสัตว์ก็สามารถพัฒนา " ศีลธรรม " ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หลักฐานทางวิทยาศาสตร์คล้อยไปในทิศทางว่า สายสัมพันธ์ในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีความเอื้ออาทรแบบเป็นพ่อแม่ลูก เมื่อพัฒนาสติปัญญาถึงระดับหนึ่ง ก็มักจะเกิดความรู้สึกทางศีลธรรม หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยเลี่ยงไม่พ้น เห็นชัดว่ารากฐานของศีลธรรมนั้นเริ่มจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ( empathy )
ลองสมมุติว่าคุณเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่ไร้สัตว์ มีแต่ธรรมชาติ คุณยังจะต้อง " ทำดี " หรือไม่ ? เมื่อวัดด้วยมาตรศีลธรรมของทุกศาสนาในโลก คำตอบก็คือ ไม่ ! คุณฆ่าคน และสัตว์ไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้คุณฆ่า คุณโกหกไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้คุณโกหก คุณขโมยของไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้ขโมย ฯลฯ นี่อาจหมายความว่าการทำดี และศีลธรรม ไปจนถึงศาสนาเป็นผลผลิตของสัตว์สังคม เป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสัตว์ชั้นสูงที่พัฒนาระบบประสาทถึงระดับหนึ่ง มองในมุมของหลักวิวัฒนาการ การกำเนิดของศาสนาในโลกเป็นกลไกที่จำเป็น เป็นระบบที่ทำให้สังคมอยู่รอดได้ เพราะสังคมที่ผู้คนเกื้อกูลกัน ย่อมมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าสังคมที่คนทะเลาะกัน เช่นเดียวกับสัตว์หลายชนิดที่อยู่เป็นฝูง เตือนภัยให้กันเมื่อศัตรูมา หากพวกมันทะเลาะกัน ย่อมจะตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์
เช่นนั้น เราสรุปได้ไหมว่า ความดีความเลวเป็นผลผลิตของมนุษยชาติ รากฐานของการเกิดความดีความชั่วมาจากการกำเนิดสังคม ? และหากก้าวไปไกลอีกขั้น ความดีความเลวเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เราสร้างขึ้นมา ?
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
«
ตอบ #1 เมื่อ:
12 มกราคม 2554 10:45:41 »
หากถามชาวพุทธทั่วไปที่เรียนวิชาศีลธรรมในห้องเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คือ
อริยสัจจ์ 4 (
ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค
) หรือโอวาทปาติโมกข์ (
ไม่ทำชั่ว-ทำดี-ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
) หรือมัชฌิมาปฏิปทา (
ทางสายกลาง
) น้อยคนเหลือเกินจะตอบว่าคือ
อิทัปปัจจยตา
หรือ
ปฏิจจสมุปบาท
บ้างบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้เลย
ทั้งที่มันเป็นสาระหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ในคืนวิสาขบูชา
อิทัปปัจจยตามองว่าโลก
เป็นเพียงการไหลต่อเนื่องของเหตุ และผล
( cause-effect ) โลกไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก ไม่มีอะไรมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง การมี หรือไม่มี
ถือเป็นทิฏฐิทั้งคู่
ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน เหตุทำให้เกิดผล ผลนั้นทำให้เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เกิดผลและเหตุต่อไปไม่สิ้นสุด
การไปหลงติดกับความเป็นคู่เป็นความเขลาอย่างหนึ่งเพราะมันเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น
หากใช้คำของพุทธทาสภิกขุที่เขียนไว้ในหนังสือ อิทัปปัจจยตา ก็คือ " หลักอิทัปปัจจยตา มุ่งที่จะขจัดความเห็นผิดสำคัญผิดว่ามีตัวตน สัตว์ บุคคล ตามที่คนเรารู้สึกกันได้เองตามสัญชาตญาณ หรือที่ยิ่งไปว่านั้นอีกก็คือ มุ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย และอื่นๆ ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม เพราะนั่นมนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ตามความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่แท้แล้วทั้งหมดทุกๆ คู่ ล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาเสมอกันหมด "
พูดง่ายๆ คือ สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์นี้เป็นเพียงสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมาเอง
บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าโลกนี้ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะมิพากันทำความชั่วทั้งหมดหรือ นี่เป็นการจับความไม่ครบเหมือนตาบอดคลำช้าง ไม่มีบุญ ไม่มีบาป " บอกเราว่า ระวังอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมุติ มิได้แปลว่าคุณต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะอิทัปปัจจยตา คือการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล ( cause-effect ) ทุกการกระทำ ( action ) ย่อมมีผลต่อเนื่อง ( consequence ) เสมอ และหลายผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ " กรรมตามสนอง " นั่นเอง
ในโลกยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนขยายตัวจนแทบล้นโลก ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม จนหลายคนสับสนบทบาทของศาสนา แต่นั่นมิได้หมายความว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป มันเพียงบอกเราว่า ศาสนาก็เช่นระบบอื่นๆ ในโลก จำต้องผ่านการ " รีเอ็นจิเนียริง " ( สังคายนา ) เป็นระยะ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
หากจุดหมายของศาสนายังคงเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราใช้ตาชั่งใดมาวัดว่า การยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ การเคารพความจริง ความรักธรรมชาติ การดูแลโลกที่กำลังบาดเจ็บจากมลพิษ การต่อต้านสงคราม ความรักสันติภาพ เหล่านี้ใช้แทนศาสนาไม่ได้ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจทำหน้าที่ได้เหมาะสมกว่าบทบาทของศาสนาเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อครั้งพลเมืองโลกมีเพียงไม่กี่ล้านคน ไม่ได้เชื่อมต่อแนบสนิทกันเช่นปัจจุบัน และโลกยังไม่ถูกข่มขืนทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นวันนี้
ร่ม
ไม่ว่าจะติดยี่ห้อใดก็ใช้กันฝนได้ทั้งนั้น แต
่ร่มมิใช่เครื่องมือเดียว
ที่ใช้กันฝน
ซึ่งอาจจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก หรือวัสดุที่หาได้ในท้องที่นั้นๆ
การประนามคนไร้ศาสนาว่าไร้ศีลธรรม ก็เท่ากับการลืมบทบาทของศาสนานั่นเอง
ไม่ต่างจากการพร่ำบ่นว่า
การทำดีคือการไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ขณะที่ยังฆ่าสัตว์มากินทุกวัน
สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา
บทบาทของศาสนาก็เช่นกัน
มองไปในอนาคต
บทบาทของศาสนาเพียงเพื่อแค่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ
ศาสนาในอนาคต ( อันใกล้ ? )
อาจต้องรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงสิ่งไร้ชีวิตอื่นๆ และจักรวาล
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
12 เมษายน 2551
คมคำคนคม
When I do good, I feel good ; when I do bad, I feel bad,
and that is my religion.
เมื่อข้าพเจ้าทำดี ข้าพเจ้ารู้สึกดี เมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องแย่ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่
และนั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า
Abraham Lincoln
อับราแฮม ลินคอล์น
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
«
ตอบ #2 เมื่อ:
12 มกราคม 2554 11:04:08 »
คมคำคนคม
ผู้ใดที่แสวงหาชื่อเสียงโดยเสี่ยงต่อการสูญเสียตัวตนมิใช่ปราชญ์
จวงจื๊อ
หลักการตลาดทั่วโลกนิยมใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเป็นพรีเซนเตอร์ หรือผู้นำเสนอสินค้า คนเหล่านี้ส่วนมากมักเป็นดาราหนัง นักกีฬาซึ่งชาวบ้านนิยม หลักการของมันคือใช้ความนิยมชมชอบใครคนหนึ่งเป็นผู้ชี้นำความคิดต่อกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อดาราที่ใครคนหนึ่งชื่นชอบบอกว่า “ฉันใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อนี้” คนที่ชอบดาราคนนั้นก็โน้มเอียงที่จะใช้ตามเธอ
เมื่อนักเทนนิสระดับโลกใช้ไม้เทนนิสยี่ห้อใด คนที่ชอบเขาหรือเธอก็เกิดภาพในใจขึ้นมาทันทีว่า ไม้เทนนิสยี่ห้อนั้นน่าจะดี หรือทำให้ตนเอง ‘ใกล้ชิด’ กับคนที่ชอบอีกนิด!
ทว่าโฆษณาที่ผูกสินค้ากับคนมีชื่อเสียงต้องระวังด้านลบของมันด้วย นั่นคือการเสื่อมชื่อเสียงชั่วข้ามคืน
ครั้งหนึ่งสินค้าตัวหนึ่งใช้นักมวยยอดนิยมคนหนึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ วันที่โฆษณาออกนั้น นักมวยผู้นั้นแพ้น็อกกลางเวที เจ้าของสินค้าต้องถอดโฆษณาของเขาออกทันที เพราะคงเป็นเรื่องขบขันอย่างยิ่งที่นักมวยพรีเซนเตอร์บอกว่า “ใช้ (ชื่อสินค้า) สิ แล้วจะเป็นแชมเปี้ยนเหมือนผม”!
ตัวอย่างด้านลบของการอิงกับคนดังในโลกมีอีกมากมาย นักฟุตบอลระดับดาราชกกันกลางสนาม, นักกอล์ฟระดับโลกมีข่าวฉาวนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า, นักมวยตบตีผู้หญิง, นักร้องทำหญิงสาวท้อง, ดาราสาวท้องไม่มีพ่อ ฯลฯ จนกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง
ปรัชญาพุทธสอนเรื่องนี้มาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ ความรุ่งโรจน์กับความเสื่อมเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน คนฉลาดจึงต้องระวังรู้อยู่เสมอว่า ความเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้ในนาทีข้างหน้านี้
ผมลองนึกดูว่ามีดาราภาพยนตร์ไทยสักกี่คนที่เคยโด่งดังในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก
และยังเป็นดาวค้างฟ้าจนถึงวันนี้
นับดูได้ไม่ครบนิ้วทั้งสองมือ โดยเฉพาะนักแสดงสตรี ขึ้นง่าย-ลงง่าย
ดาราหญิงในโลกตะวันออกนั้น หากสามารถรักษาความโด่งดังได้สักยี่สิบปี
ก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
นี่อาจเป็นเหตุผลให้ดาราบ้านเราจำนวนหนึ่งถือคติ ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ บางคนเล่นหนังหนึ่งปีได้จำนวนเรื่องเท่ากับนักแสดงตะวันตกเล่นสองชาติ
คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนหนึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาสถานะของความโด่งดังให้นานที่สุด บ้างยอมกระทั่งรับบทหรือการสร้างข่าวให้คนจำได้ แม้ว่าหมายถึงการแสดงภาพวาบหวิว เพราะไม่อาจละวางสถานะชื่อเสียงของตนได้
ชื่อเสียงก็เหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง หามาไม่ง่าย แต่รักษายิ่งยากกว่า
อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างชื่อเสียงกับชื่อเสีย(ง)
บางคนคิดว่าเมื่อมีคนพูดถึงก็คือมีชื่อเสียง
ทว่าความดังไม่ใช่ชื่อเสียง!
ฝรั่งมีสองคำ famous กับ notorious หรือชื่อเสียงกับชื่อเสีย(ง)
famous คือชื่อเสียงด้านดี
notorious คือความโด่งดังในด้านไม่ดี
ในปี ค.ศ. 1968 จิตรกรอเมริกัน แอนดี วอร์ฮอล กล่าวว่า “ในอนาคต ทุกคนจะมีชื่อเสียงระดับโลกแค่สิบห้านาที” (In the future, everyone will be world-famous for 15 minutes.) วลี 15 Minutes of Fame กลายเป็นสำนวนฮิต หมายถึงความดังช่วงระยะสั้นๆ ดังเหมือนดาวตก สว่างวูบแล้วตกเลย
โลกเราในวันนี้เต็มไปด้วยคนอยากมีชื่อเสียงโดยไม่นำพาวิธีการ ไม่สนใจว่าจะเป็น famous หรือ notorious ขอให้เป็น ‘talk of the town’ สักนาทีสองนาทีก็แล้วกัน รายการโทรทัศน์ ข่าว เรียลิตี โชว์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ผู้คนยอมทำเรื่องบ้าคลั่งเพียงเพื่อให้คนอื่นเห็นและพูดถึงเท่านั้น
ถือคติว่ามีคนพูดถึงในเชิงลบดีกว่าไม่มีคนพูดถึงเลย!
การโชว์เนื้อหนังมังสาและเต้า หากทำได้ถึงใจ ย่อมเป็นที่พูดถึงแน่นอน ทว่าสัจธรรมก็คือไม่เคยมีใครจำเต้าของใครได้ตลอดกาล เพราะคนอยากโชว์มีมากเหลือเกิน อาจมีข้อยกเว้น แต่เป็นกรณีพิเศษจริงๆ เช่นท่ายั่วยวนบางท่าของ มาริลีน มอนโร
ชื่อเสียงก็เหมือนแสงของดาว มีสองประเภทดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์
แสงของดาวเคราะห์เกิดจากแสงจากแหล่งต้นกำเนิดมากระทบ ส่วนแสงที่มาจากดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากภายในตัวตน
คนฉลาดจึงเลือกสถานะของชื่อเสียงเปล่งจากภายใน เพราะมันอยู่ทนนานกว่าล้านๆๆ เท่า จะเอา 15 Minutes of Fame ไปทำไมในเมื่อมันเป็นแสงสว่างชั่วคราวและไม่ใช่ของเราจริงๆ
ชื่อเสียงที่ดีมาจากการทำดีเสมอ
แต่การเป็น ‘ดาวฤกษ์’ ก็ไม่จำเป็นต้องส่องสว่างแบบส่งเสียง สว่างแบบเงียบๆ ก็ได้
เมื่อกระทำดีแล้วเสียใจว่าไม่เป็นที่รู้เห็นหรือพูดถึง ก็ไม่ใช่เรื่องทำดีแล้ว แต่เป็นเพียงการลงทุนชนิดหนึ่ง
การปิดทองหลังพระไม่ใช่เรื่องที่ต้องป่าวประกาศ อยู่ดึกทำงานก็ไม่ต้องประกาศให้ทุกคนในบริษัทรู้
บริจาคเงินช่วยเด็กก็ไม่ต้องลงข่าวคอลัมน์คนดัง
ความสุขมาจากการรู้สึกดีเมื่อทำดี ไม่ใช่เมื่อมีคนรู้ว่าเราทำดี
วินทร์ เลียววาริณ
8 มกราคม 2554
http://www.winbookclub.com/frontpage.php
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มกราคม 2554 13:13:29 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: หัวข้อค่ะ
»
บันทึกการเข้า
wondermay
บุคคลทั่วไป
Re: คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?
«
ตอบ #3 เมื่อ:
12 มกราคม 2554 13:26:22 »
ชอบๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
ไร้ศาสนากับ
ไร้ศีลธรรม
เป็นคนละเรื่องกัน
วิวัฒนาการ
ทางธรรมชาติ
ของสัตว์ชั้นสูง
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...