[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 18:30:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ทุกสิ่งทุกอย่างคือดนตรีที่มาจากการสั่นทั้งนั้น  (อ่าน 1514 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มีนาคม 2554 08:50:26 »

http://i184.photobucket.com/albums/x155/petermark83/ONEhumanity.gif
ความทรงจำนอกมิติ : ทุกสิ่งทุกอย่างคือดนตรีที่มาจากการสั่นทั้งนั้น


ดนตรีจักรวาลและการสั่นหรือการสั่นสะเทือน (vibration) ในบทความนี้หมายถึงความจริงทางโลกที่พิสูจน์ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม โดยคณิตศาสตร์ของซูเปอร์สตริง ธีออรี่ โดยไม่มีทางที่จะผิดไปได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้กัน ทั้งๆ ที่มันมีความสำคัญที่สุดที่มนุษย์ทุกคนในโลกโดยไม่มีการยกเว้นจะต้องรู้ โดยเฉพาะนักชาตินิยมและทหาร ซึ่งรู้จักรากเหง้าหรือกำพืดของมนุษย์เราแค่ครึ่งๆ กลางๆ ทำให้มนุษยชาติที่มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเกิดความแตกแยก อย่างน้อยของเผ่าพันธุ์ระหว่างกันและกันให้เป็นชาติพันธุ์ต่างๆ  ซึ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าศาสนา วัฒนธรรมและภาษา ซึ่งตามมาทีหลัง ดังนั้นโลกจะได้สงบเสียทีเมื่อมนุษยชาติได้เลิกแบ่งแยกให้แปลกต่างจากกัน และยุติการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเพื่อนบ้านของเราที่ใช้งบประมาณถึง 25% ของประเทศเพื่อการนั้น โดยหาประโยชน์อันใดไม่ได้ นั่นคือเรื่องที่นักจิตวิทยาและนักคิดนักเขียนในปัจจุบันบอกเรา และก็คือสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนมาตลอด คือบอกว่ามนุษยชาติที่มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นได้มีวิวัฒนาการทางจิตตามสเปกตรัมของจิต (spectrum of consciousness  ตั้งแต่การตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานมาเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน เรื่อยมากระทั่งเรามีอารยธรรม  “สมัยใหม่” หรือยุคแห่งเหตุผลขึ้นมา) เรา-มนุษยชาติไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการทางด้านจิตเลย ดังที่โพลตินัสกล่าวไว้เมื่อร่วม 2,000 ปีมาแล้วว่า “มนุษย์ยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา” เรา-มนุษยชาติต่างล้วนพูดได้ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงเห็นแก่ตัว “ตัวกูของกู” กับความดีงามที่น่าใจหาย (self) มิไยเราจะยกยอปอปั้นหรือกฎ

กฎหมายจะลงโทษอย่างไร “คนก็ย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ” เว้นแต่เราจะมีวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปกตรัมสูงกว่านี้ เราเข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) มากกว่านี้ และดังที่ผู้เขียนว่าไว้ตลอดมาว่าวิวัฒนาการทางจิตซึ่งหมายถึงตัวรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตสำนึกที่บริหารโดยสมองไปสู่สภาวะจิตวิญญาณที่ก็เป็นตัวรู้หรือจิตสำนึกเหมือนกัน คือจะต้องมีวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาภายในเร็วๆ วันนี้ บางทีอาจจะภายใน 2-3 ปีก็ได้ หากเราสังเกตดูประชากรโลกที่ทุกวันนี้หันไปหาวัดเข้าโบสถ์และทำสมาธิมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อาจจะเพราะเรารู้ตัวว่าเราได้ทำกรรมต่อโลกไว้มากด้วยอวิชชาก็ได้

นั่นคือรากเหง้าของมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคำถามอันแรกสุดที่ถามว่า “เราคือใคร? และมาจากไหน?” นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ ซึ่งมีมาไม่ถึง 10 ปี และไม่มีทางผิดที่ว่านั้น - ที่มีลักษณะพิเศษ  คือมีจำนวนจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด และเฉพาะจักรวาลของเราจักรวาลนี้เพียงแห่งเดียวก็มีเพียง 4% เท่านั้นที่มองเห็น ส่วนอีก 96% มองไม่เห็น ประกอบด้วย พลังงานมืด (dark energy) 73% อันเป็นพลังงานที่ให้การพองตัว (inflation) ที่นับวันยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และอีก 23% เป็นสสารมืด (dark matter) ที่ให้แรงโน้มถ่วงที่ป้องกันไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างหลุดลอยหายไป สสารมืดนี้เองที่ทำให้แรงโน้มถ่วงกลายเป็นแรงที่อ่อนแอที่สุดในแรงทั้ง 4 แรงของจักรวาล โดยอธิบายก่อนนี้ไม่ได้ นอกจากนี้จักรวาลนี้จักรวาลเดียวที่มองเห็น (คือ 4% นั้น) จะประกอบไปด้วยกาแล็กซีมากมายถึง 10 ยกกำลัง 11 กาแล็กซี และแต่ละกาแล็กซีก็ประกอบด้วยดาวจำนวน 10 ยกกำลัง 11 หรือหนึ่งร้อยพันล้านดวงที่เท่ากับสมองของมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยเซลล์สมอง (neurones) ซึ่งมีจำนวนเท่านั้นเท่าๆ กันพอดี ฉะนั้นในความเห็นของผู้เขียน  มนุษย์คือจักรวาล จึงไม่มีคำว่าโลกแตก มีแต่ดับๆ เกิดๆ และมนุษย์จะต้องอยู่คู่ไปกับจักรวาล คุณภาพของมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด และสำคัญกว่าปริมาณมากนัก และสภาวะจิตวิญญาณจนกระทั่งได้นิพพานเท่านั้นที่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของจักรวาล

ผู้เขียนคาดหวังว่าเราและเด็กทุกๆ คนในโลกสามารถจะเรียนกับรู้ว่ามนุษย์ทุกคนมาจากแหล่งเดียวกันและมีเพียงเผ่าพันธุ์หนึ่งเดียวเท่านั้น จักรวาลนี้คือประเทศชาติหนึ่งเดียวของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์เราจะต้องเรียนและรู้รากเหง้าหรือกำพืดของตัวเอง เรียนกับรู้จักรวาลวิทยาใหม่ที่นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์แทบทั้งหมดในปัจจุบันรู้และเชื่อ ซึ่งเหมือนดนตรีหรือออร์เคสตร้าของจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เหมือนกับเชือกหรือสตริงที่เล็กละเอียดอย่างที่สุด (ขนาดเล็กกว่า 10 ยกกำลังลบ 24) ที่โดยคณิตศาสตร์จะไม่ผิดเลย นั่นคือจิต (ไร้สำนึก) ที่พุทธศาสนาบอกว่ามีมาตั้งแต่ก่อนจะมีจักรวาลเสียอีกและแยกออกจากพลังงานไมได้ และในปัจจุบันก็มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังๆ หลายคนเชื่อ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้รากเหง้าของเรา ประเด็นนี้ไม่ใช่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เช่นเมื่อก่อนเพียงไม่ถึง 10 ปีที่แล้ว ย้อนหลังกลับไปจากวันนี้     

พุทธศาสนาโดย ดเวน เอลยิน นักจิตวิทยาซึ่งปฏิบัติสมาธิทางพุทธศาสนามานานบอกในหนังสือของเขา (Duane Elgin : The Living Universe, 2009) ว่าจักรวาลวิทยาใหม่ที่ได้มาจากซูเปอร์สตริงธีออรีมีความละม้ายคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาตรงที่มีจำนวนของจักรวาลที่หลากหลายที่ไม่มีสิ้นสุด เกิดๆ ดับๆ   ไปเรื่อยๆ และบี อะลัน วอลเลซ นักปรัชญามีชื่อและเป็นพุทธได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา  (B.AlanWallace : Hidden Dimension, 2007) ว่าจิต (ไร้สำนึก) ซึ่งคาร์ล ซี จุง เรียกว่าจิตร่วมจักรวาล  (universal unconscious continuum) เพราะนักจักรวาลวิทยาในสมัยนั้นยังเชื่อว่าจักรวาลมีหนึ่งเดียว -  โดยจิต (ไร้สำนึกนั้นจะโผล่ปรากฏออกมาจากสุญตา (เป็น non-dual หรือเป็นเนวสัญญานาสัญญาอันเป็นอรูปฌานสุดท้ายหรือวิมุตติ) - ทั้งๆ ที่จักรวาลในพุทธศาสนานั้นเกิดๆ ดับๆ เป็นอนันตจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด (นะ อันโต นะชาติ หรือ อนามัติโก ยามัง สังสาโร นะ บุพพยาติ นะ ปัญญายาติ มันมีแต่วิวัตตา  สังวิวัตตาเรื่อยๆ ไป แต่ใครเล่าจะเชื่อในพุทธศาสนาจักรวาลวิทยาในตอนนั้นหรือแม้ในตอนนี้!! และผู้เขียนยังเชื่อต่อไปว่าพุทธศาสนาและลัทธิพระเวทพูดถึงการสั่นไหวหรือการสั่นสะเทือน (vibrations หรือ  frequencies) จริงๆ แล้วศาสนาใหญ่ๆ แทบจะทุกศาสนาก็มีกล่าวไว้เหมือนๆ กันว่าคลื่นแห่งการสั่นสะเทือนไม่ว่าเป็นแสง หรือเป็นเสียง หรือเป็นเสียงดนตรี หรือเป็น “ศัพท์” ที่กูรูนานักในศาสนาซิกข์ หรือเป็นคำพูด (the Word of God) ที่จอห์น หรือธอมัส (นาร์ก แฮมมาร์ดี) หรือที่นะบีมูหะหมัดได้ยิน ทั้งหมดนี้ได้อธิบายถึงสัจธรรมความจริงที่แท้จริงหรือพระเจ้าของศาสนานั้นๆ ผู้เขียนคิดว่าจะมีพระเจ้าหรือไม่มีก็ไม่ได้แตกต่างกัน หากว่าในศาสนานั้นๆ พระเจ้าหมายถึงความจริงแท้ที่มีเพียง “หนึ่ง” เท่านั้น

อย่าลืมว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังแสงอันกระจ่างใสอยู่ข้างหลังศัพท์ หรือคำพูด หรือเชือกสตริงแห่งโน้ตเพลง หรือดนตรีออร์เคสตร้า คือความสั่นไหว หรือสั่นสะเทือน (vibration) คือคลื่น (frequency) และฉะนี้แล้วการสั่นสะเทือนก็คือความไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอันเป็นความจริงทางโลกทางสังคม ความจริงที่มองเห็นหรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตใจ (วิญญาณขันธ์) ความจริงของจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่เป็นผลผลิตของจักรวาลน้อยๆ หรือไมโครคอสมอส  (microcosmos) หรือมนุษย์หรือสมองของมนุษย์ - จักรวาลภายใน - อันเป็นตัวรู้ (cognition) ของจิตรู้ที่บริหารโดยสมองไปตามสเปกตรัมของจิตที่สุดท้ายคือวิมุตตินิพพานที่คงที่ถาวร และไม่ตายไม่เปลี่ยนแปลงทางจิตอีกตลอดกาล (อสังขตธรรม) นั่นเป็นสภาวธรรมที่เป็นตรงกันข้ามกับจักรวาลภายนอกหรือแม็คโครคอสมอส (macrocosmos) หรือจักรวาลวิทยาใหม่ที่เราต้องเรียนเพื่อจะรู้ว่าเราคือใคร?

พุทธศาสนาบอกว่า จักรวาลที่มองเห็น (ไม่ได้บอกหรือบอกว่ามีเพียง 4%) คือความจริงทางโลก -  แยกจากความจริงทางธรรมหรือความจริงแท้ - ที่ก่อนหน้านี้วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่าประกอบด้วยวัตถุที่แข็งกระด้าง และเราก็เชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่ามันตรงกับประสบการณ์และการรับรู้ของเรา แม้แต่เนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นรูปกายเราก็เชื่อเช่นนั้น แต่ทว่านั่น-ไม่จริงเลย และเราจะพูดว่าคนที่พูดเช่นนั้นคิดเช่นนั้นหากไม่บ้าก็เมา แต่ถ้าเราลงไปจนถึงที่สุด เราลงไปถึงระดับควอนตัมเม็คคานิกส์ เราก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พิสูจน์โดยสิ้นข้อสงสัยว่า ความแข็งกระด้างจะละลายหายไปจนเกือบทั้งหมด นั่นแสดงว่าการรับรู้ (perception) ของเรา ประสบการณ์ของเรา ตัวรู้หรือสมองของเราจะคำนึงถึงการดำรงรอด (existence) ของเราในโลกในจักรวาล 3 มิติ (บวก 1) นั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งหมดที่เล่าไปนั้น แปลก! ที่ศาสนาทุกๆ ศาสนาเท่าที่ได้อ่านมาไม่จำเพาะแต่พุทธศาสนาที่ผู้เขียนได้อ่านมากที่สุด และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่มากหลายคนต่างล้วนบอกว่าแสงหรือเสียง แสงที่พุทธศาสนากล่าวว่าจักรวาล (ที่มองเห็น แม้จะไม่มีแสงอาทิตย์ หรือแสงจันทร์ แต่ - ไม่เคยมืด และเสียงคือดนตรีออร์เคสตร้านั้น อีกนัยหนึ่งคือการสั่นไหวของคลื่นความถี่ (frequencies) หรือเสียงก้องสะท้อน  (resonances) นั่นคือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ หรือธรรมะของพุทธศาสนานั่นเอง หรือพระเจ้า จึงอาจเป็นไปได้ที่ทุกๆ ศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาคือวิทยาศาสตร์ แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ ที่นักฟิสิกส์ใหม่แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี บอกเราว่า “ทั้ง 2 เหมือนกันยังกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน” (in complete agreement) ในการประชุมใหญ่ที่เบิร์กเลย์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1996  ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นความจริงทางโลกหรือความจริงทางธรรม (ความจริงแท้) ล้วนต้องอาศัยการ “เห็นกับความเข้าใจ” ต้องเห็นกับเข้าใจ เพราะลึกล้ำและเป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาเองโดยธรรมชาติ-คือปฏิบัติได้จริงๆ.


http://www.thaipost.net/sunday/130311/35643

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.345 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 24 พฤศจิกายน 2567 03:59:08