ความทรงจำนอกมิติ : ทุกสิ่งทุกอย่างคือดนตรีที่มาจากการสั่นทั้งนั้น
ดนตรีจักรวาลและการสั่นหรือการสั่นสะเทือน (vibration) ในบทความนี้หมายถึงความจริงทางโลกที่พิสูจน์ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม โดยคณิตศาสตร์ของซูเปอร์สตริง ธีออรี่ โดยไม่มีทางที่จะผิดไปได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้กัน ทั้งๆ ที่มันมีความสำคัญที่สุดที่มนุษย์ทุกคนในโลกโดยไม่มีการยกเว้นจะต้องรู้ โดยเฉพาะนักชาตินิยมและทหาร ซึ่งรู้จักรากเหง้าหรือกำพืดของมนุษย์เราแค่ครึ่งๆ กลางๆ ทำให้มนุษยชาติที่มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเกิดความแตกแยก อย่างน้อยของเผ่าพันธุ์ระหว่างกันและกันให้เป็นชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าศาสนา วัฒนธรรมและภาษา ซึ่งตามมาทีหลัง ดังนั้นโลกจะได้สงบเสียทีเมื่อมนุษยชาติได้เลิกแบ่งแยกให้แปลกต่างจากกัน และยุติการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเพื่อนบ้านของเราที่ใช้งบประมาณถึง 25% ของประเทศเพื่อการนั้น โดยหาประโยชน์อันใดไม่ได้ นั่นคือเรื่องที่นักจิตวิทยาและนักคิดนักเขียนในปัจจุบันบอกเรา และก็คือสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนมาตลอด คือบอกว่ามนุษยชาติที่มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นได้มีวิวัฒนาการทางจิตตามสเปกตรัมของจิต (spectrum of consciousness ตั้งแต่การตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานมาเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน เรื่อยมากระทั่งเรามีอารยธรรม “สมัยใหม่” หรือยุคแห่งเหตุผลขึ้นมา) เรา-มนุษยชาติไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการทางด้านจิตเลย ดังที่โพลตินัสกล่าวไว้เมื่อร่วม 2,000 ปีมาแล้วว่า “มนุษย์ยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา” เรา-มนุษยชาติต่างล้วนพูดได้ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงเห็นแก่ตัว “ตัวกูของกู” กับความดีงามที่น่าใจหาย (self) มิไยเราจะยกยอปอปั้นหรือกฎ
กฎหมายจะลงโทษอย่างไร “คนก็ย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ” เว้นแต่เราจะมีวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปกตรัมสูงกว่านี้ เราเข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) มากกว่านี้ และดังที่ผู้เขียนว่าไว้ตลอดมาว่าวิวัฒนาการทางจิตซึ่งหมายถึงตัวรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตสำนึกที่บริหารโดยสมองไปสู่สภาวะจิตวิญญาณที่ก็เป็นตัวรู้หรือจิตสำนึกเหมือนกัน คือจะต้องมีวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาภายในเร็วๆ วันนี้ บางทีอาจจะภายใน 2-3 ปีก็ได้ หากเราสังเกตดูประชากรโลกที่ทุกวันนี้หันไปหาวัดเข้าโบสถ์และทำสมาธิมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อาจจะเพราะเรารู้ตัวว่าเราได้ทำกรรมต่อโลกไว้มากด้วยอวิชชาก็ได้
นั่นคือรากเหง้าของมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคำถามอันแรกสุดที่ถามว่า “เราคือใคร? และมาจากไหน?” นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ ซึ่งมีมาไม่ถึง 10 ปี และไม่มีทางผิดที่ว่านั้น - ที่มีลักษณะพิเศษ คือมีจำนวนจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด และเฉพาะจักรวาลของเราจักรวาลนี้เพียงแห่งเดียวก็มีเพียง 4% เท่านั้นที่มองเห็น ส่วนอีก 96% มองไม่เห็น ประกอบด้วย พลังงานมืด (dark energy) 73% อันเป็นพลังงานที่ให้การพองตัว (inflation) ที่นับวันยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และอีก 23% เป็นสสารมืด (dark matter) ที่ให้แรงโน้มถ่วงที่ป้องกันไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างหลุดลอยหายไป สสารมืดนี้เองที่ทำให้แรงโน้มถ่วงกลายเป็นแรงที่อ่อนแอที่สุดในแรงทั้ง 4 แรงของจักรวาล โดยอธิบายก่อนนี้ไม่ได้ นอกจากนี้จักรวาลนี้จักรวาลเดียวที่มองเห็น (คือ 4% นั้น) จะประกอบไปด้วยกาแล็กซีมากมายถึง 10 ยกกำลัง 11 กาแล็กซี และแต่ละกาแล็กซีก็ประกอบด้วยดาวจำนวน 10 ยกกำลัง 11 หรือหนึ่งร้อยพันล้านดวงที่เท่ากับสมองของมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยเซลล์สมอง (neurones) ซึ่งมีจำนวนเท่านั้นเท่าๆ กันพอดี ฉะนั้นในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์คือจักรวาล จึงไม่มีคำว่าโลกแตก มีแต่ดับๆ เกิดๆ และมนุษย์จะต้องอยู่คู่ไปกับจักรวาล คุณภาพของมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด และสำคัญกว่าปริมาณมากนัก และสภาวะจิตวิญญาณจนกระทั่งได้นิพพานเท่านั้นที่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของจักรวาล
ผู้เขียนคาดหวังว่าเราและเด็กทุกๆ คนในโลกสามารถจะเรียนกับรู้ว่ามนุษย์ทุกคนมาจากแหล่งเดียวกันและมีเพียงเผ่าพันธุ์หนึ่งเดียวเท่านั้น จักรวาลนี้คือประเทศชาติหนึ่งเดียวของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์เราจะต้องเรียนและรู้รากเหง้าหรือกำพืดของตัวเอง เรียนกับรู้จักรวาลวิทยาใหม่ที่นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์แทบทั้งหมดในปัจจุบันรู้และเชื่อ ซึ่งเหมือนดนตรีหรือออร์เคสตร้าของจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เหมือนกับเชือกหรือสตริงที่เล็กละเอียดอย่างที่สุด (ขนาดเล็กกว่า 10 ยกกำลังลบ 24) ที่โดยคณิตศาสตร์จะไม่ผิดเลย นั่นคือจิต (ไร้สำนึก) ที่พุทธศาสนาบอกว่ามีมาตั้งแต่ก่อนจะมีจักรวาลเสียอีกและแยกออกจากพลังงานไมได้ และในปัจจุบันก็มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังๆ หลายคนเชื่อ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้รากเหง้าของเรา ประเด็นนี้ไม่ใช่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เช่นเมื่อก่อนเพียงไม่ถึง 10 ปีที่แล้ว ย้อนหลังกลับไปจากวันนี้
พุทธศาสนาโดย ดเวน เอลยิน นักจิตวิทยาซึ่งปฏิบัติสมาธิทางพุทธศาสนามานานบอกในหนังสือของเขา (Duane Elgin : The Living Universe, 2009) ว่าจักรวาลวิทยาใหม่ที่ได้มาจากซูเปอร์สตริงธีออรีมีความละม้ายคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาตรงที่มีจำนวนของจักรวาลที่หลากหลายที่ไม่มีสิ้นสุด เกิดๆ ดับๆ ไปเรื่อยๆ และบี อะลัน วอลเลซ นักปรัชญามีชื่อและเป็นพุทธได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา (B.AlanWallace : Hidden Dimension, 2007) ว่าจิต (ไร้สำนึก) ซึ่งคาร์ล ซี จุง เรียกว่าจิตร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) เพราะนักจักรวาลวิทยาในสมัยนั้นยังเชื่อว่าจักรวาลมีหนึ่งเดียว - โดยจิต (ไร้สำนึกนั้นจะโผล่ปรากฏออกมาจากสุญตา (เป็น non-dual หรือเป็นเนวสัญญานาสัญญาอันเป็นอรูปฌานสุดท้ายหรือวิมุตติ) - ทั้งๆ ที่จักรวาลในพุทธศาสนานั้นเกิดๆ ดับๆ เป็นอนันตจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด (นะ อันโต นะชาติ หรือ อนามัติโก ยามัง สังสาโร นะ บุพพยาติ นะ ปัญญายาติ มันมีแต่วิวัตตา สังวิวัตตาเรื่อยๆ ไป แต่ใครเล่าจะเชื่อในพุทธศาสนาจักรวาลวิทยาในตอนนั้นหรือแม้ในตอนนี้!! และผู้เขียนยังเชื่อต่อไปว่าพุทธศาสนาและลัทธิพระเวทพูดถึงการสั่นไหวหรือการสั่นสะเทือน (vibrations หรือ frequencies) จริงๆ แล้วศาสนาใหญ่ๆ แทบจะทุกศาสนาก็มีกล่าวไว้เหมือนๆ กันว่าคลื่นแห่งการสั่นสะเทือนไม่ว่าเป็นแสง หรือเป็นเสียง หรือเป็นเสียงดนตรี หรือเป็น “ศัพท์” ที่กูรูนานักในศาสนาซิกข์ หรือเป็นคำพูด (the Word of God) ที่จอห์น หรือธอมัส (นาร์ก แฮมมาร์ดี) หรือที่นะบีมูหะหมัดได้ยิน ทั้งหมดนี้ได้อธิบายถึงสัจธรรมความจริงที่แท้จริงหรือพระเจ้าของศาสนานั้นๆ ผู้เขียนคิดว่าจะมีพระเจ้าหรือไม่มีก็ไม่ได้แตกต่างกัน หากว่าในศาสนานั้นๆ พระเจ้าหมายถึงความจริงแท้ที่มีเพียง “หนึ่ง” เท่านั้น
อย่าลืมว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังแสงอันกระจ่างใสอยู่ข้างหลังศัพท์ หรือคำพูด หรือเชือกสตริงแห่งโน้ตเพลง หรือดนตรีออร์เคสตร้า คือความสั่นไหว หรือสั่นสะเทือน (vibration) คือคลื่น (frequency) และฉะนี้แล้วการสั่นสะเทือนก็คือความไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอันเป็นความจริงทางโลกทางสังคม ความจริงที่มองเห็นหรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตใจ (วิญญาณขันธ์) ความจริงของจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่เป็นผลผลิตของจักรวาลน้อยๆ หรือไมโครคอสมอส (microcosmos) หรือมนุษย์หรือสมองของมนุษย์ - จักรวาลภายใน - อันเป็นตัวรู้ (cognition) ของจิตรู้ที่บริหารโดยสมองไปตามสเปกตรัมของจิตที่สุดท้ายคือวิมุตตินิพพานที่คงที่ถาวร และไม่ตายไม่เปลี่ยนแปลงทางจิตอีกตลอดกาล (อสังขตธรรม) นั่นเป็นสภาวธรรมที่เป็นตรงกันข้ามกับจักรวาลภายนอกหรือแม็คโครคอสมอส (macrocosmos) หรือจักรวาลวิทยาใหม่ที่เราต้องเรียนเพื่อจะรู้ว่าเราคือใคร?
พุทธศาสนาบอกว่า จักรวาลที่มองเห็น (ไม่ได้บอกหรือบอกว่ามีเพียง 4%) คือความจริงทางโลก - แยกจากความจริงทางธรรมหรือความจริงแท้ - ที่ก่อนหน้านี้วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่าประกอบด้วยวัตถุที่แข็งกระด้าง และเราก็เชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่ามันตรงกับประสบการณ์และการรับรู้ของเรา แม้แต่เนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นรูปกายเราก็เชื่อเช่นนั้น แต่ทว่านั่น-ไม่จริงเลย และเราจะพูดว่าคนที่พูดเช่นนั้นคิดเช่นนั้นหากไม่บ้าก็เมา แต่ถ้าเราลงไปจนถึงที่สุด เราลงไปถึงระดับควอนตัมเม็คคานิกส์ เราก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พิสูจน์โดยสิ้นข้อสงสัยว่า ความแข็งกระด้างจะละลายหายไปจนเกือบทั้งหมด นั่นแสดงว่าการรับรู้ (perception) ของเรา ประสบการณ์ของเรา ตัวรู้หรือสมองของเราจะคำนึงถึงการดำรงรอด (existence) ของเราในโลกในจักรวาล 3 มิติ (บวก 1) นั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งหมดที่เล่าไปนั้น แปลก! ที่ศาสนาทุกๆ ศาสนาเท่าที่ได้อ่านมาไม่จำเพาะแต่พุทธศาสนาที่ผู้เขียนได้อ่านมากที่สุด และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่มากหลายคนต่างล้วนบอกว่าแสงหรือเสียง แสงที่พุทธศาสนากล่าวว่าจักรวาล (ที่มองเห็น แม้จะไม่มีแสงอาทิตย์ หรือแสงจันทร์ แต่ - ไม่เคยมืด และเสียงคือดนตรีออร์เคสตร้านั้น อีกนัยหนึ่งคือการสั่นไหวของคลื่นความถี่ (frequencies) หรือเสียงก้องสะท้อน (resonances) นั่นคือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ หรือธรรมะของพุทธศาสนานั่นเอง หรือพระเจ้า จึงอาจเป็นไปได้ที่ทุกๆ ศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาคือวิทยาศาสตร์ แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ ที่นักฟิสิกส์ใหม่แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี บอกเราว่า “ทั้ง 2 เหมือนกันยังกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน” (in complete agreement) ในการประชุมใหญ่ที่เบิร์กเลย์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นความจริงทางโลกหรือความจริงทางธรรม (ความจริงแท้) ล้วนต้องอาศัยการ “เห็นกับความเข้าใจ” ต้องเห็นกับเข้าใจ เพราะลึกล้ำและเป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาเองโดยธรรมชาติ-คือปฏิบัติได้จริงๆ.
http://www.thaipost.net/sunday/130311/35643