ประเพณี "จกสาว"
เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ (จบ)
ปัญหาที่เล่าค้างไว้ ว่าเมื่อการลูบคลำได้บังเกิดอารมณ์ถึงขั้นสุดท้ายจะทำอย่างไร ปัญหานี้อยู่ที่ตัวสาว หากอารมณ์นั้นตรงกันถึงขีดสุด สาวเจ้าก็จะเปิดหน้าต่างซึ่งอยู่เหนือ "ช่องล้วงสาว" นั้นให้ไอ้หนุ่มปีนขึ้นไปหาเท่านั้นก็สิ้นเรื่องราว แต่มิได้หมายความว่าจะให้ไอ้หนุ่มได้กินไข่แดงฟรีๆ เมื่อนาทีอันสุดยอดนั้นผ่านไปแล้วสาวก็จะเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้ลุกขึ้นมาดูหน้าลูกเขยแมวขโมยคนนั้นทันที
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ประเพณี "ล้วงสาว" ก็ได้คลายไปอีกเปราะหนึ่งโดยกลายเป็นประเพณีของการได้ผัวได้เมียในแบบฉบับที่เขาเรียกกันว่าประเพณี "ซู" ความพิสดารของประเพณีนี้ก็มีแยกแตกแขนงออกไปอีก เพราะมันคาบเกี่ยวกับประเพณีแรก นั้นคือเมื่อเกิดการ "ซู" กันขึ้นซึ่งหมายถึงการลักลอบได้เสียกันเอง ถ้าหากว่าสาวเจ้าไม่ร้องเรียกพ่อแม่ให้รู้ว่าตนถูกไอ้หนุ่มกินไข่แดง หรือเผลอไปโดยกะว่าจะร้องเรียกแม่พ่อในตอนใกล้จะสว่าง ไอ้หนุ่มมันแว๊บหายตัวโดดหน้าต่างไปก็เป็นอันว่าชวด โดนกินไข่แดงฟรีไป แต่ถ้าสาวเจ้าไม่เผลอ หรือไม่ประมาทร้องเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้รู้เสียแล้วก็เป็นอันว่าเจ้าหนุ่มนั้นจะต้องเสียผี ตบแต่งตามประเพณี ถ้าหากไอ้หนุ่มไม่ยอมแต่งก็จะต้องเสียค่าสินไหมตามคำเรียกร้องของฝ่ายหญิง และไอ้หนุ่มคนนั้นก็อย่าได้มาแหย็มอีกต่อไปตลอดชาตินี้
ความยอกย้อนของประเพณี "ซู" ที่คาบเกี่ยวกับประเพณีล้วงสาวยังมีปลีกย่อยพิสดารออกไปอีกคือ หากไอ้หนุ่มยินยอมตบแต่งตามประเพณี ซู และอยู่กินกับสาวถึง ๓ วัน ต่อไปหมอจะโดดตุ๊บลงเรือนหายป๋อมไปเลยเป็นแรมเดือนยังไงก็แล้วแต่ หากหมอกลับมาสาวคนนั้นก็ยังเป็นสิทธิของหมออยู่ แต่หากหมอนั่นอยู่กับสาวเพียงคืนเดียว แล้วหายป๋อมไม่มาบ้านสาวอีกเลยเป็นระยะเวลาเลยสามวันขึ้น ถือว่าสาวคนนั้นอิสระไม่มีพันธะใดๆ ต่อกันอีก ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลกลใดก็ตาม ฟังดูให้ดีครับสามคืนกับคืนเดียวมีผลแตกต่างกันมหาศาลอย่างนี้ นี่แหละครับประเพณีอันพิสดารที่ให้ความอิสระในเรื่องความรักและกามารมณ์ โดยวางอยู่บนมาตรฐานของศีลธรรมอันดีงาม
ย้อนกล่าวถึงน้ำใจอันกว้างขวางของหนุ่มเจ้าถิ่นต่ออาคันตุกะ หากอาคันตุกะผู้นั้นอยู่ในหมู่บ้านนั้นนานเหมือนผู้เขียน การคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหานั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจรักใคร่ซึ่งกันและกัน และลงได้ถึงขั้นผูกแขนเป็น "เสี่ยวเหยเพยแพง" กันแล้วก็ยิ่งง่ายเข้า เพื่อนรักซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นหากหมอบังเอิญเป็นคนเจ้าชู้มีโค๊ตลับหลายอันกับสาวๆ หมอก็จะแบ่งปันโค๊ตอันนั้นให้ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับ "บัตรปันส่วน" หรือหากหมอไม่เจ้าชู้หมอก็จะไปขอจากเพื่อนๆ ที่เจ้าชู้มาเป็นการต้อนรับหรือรับรองแขกเมืองให้เรา ๑ อัน แล้วก็พาเราไปชี้ตัวสาวเจ้าของโค๊ต หรือนำไปแนะนำให้รู้จักกันโดยไม่ให้เกิดพิรุธว่าไอ้หนุ่มต่างถิ่นมันมีใบเบิกทางที่จะย่องมาล้วงตับสาวละ
ตานี้ก็เป็นบทบาทของเราเองที่จะขึ้นไป "แอ่ว" ดังได้กล่าวข้างต้นเป็นการกรุยทางแล้วก็ลองขอสิ่งแลกเปลี่ยน (โค๊ต) หากสาวไม่ให้ก็ บ่เป็นหยังดอก เพราะเรามีอยู่แล้ว กะว่าได้เวลาสาวควรจะหลับนอนแล้วเราก็ลาลงเรือนมาเสีย แล้วก็ย้อนกลับไปเคาะสัญญาณลับที่ช่องล้วงสาว
ในขณะที่ "แอ่ว" สายตาเราก็โลมเลียมหน้าตาส่วนสัดของสาวเจ้าไว้แล้ว (สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส) อดใจไว้อีกสักนิดก็จะได้พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสอยู่แล้วน่า อะไรทำนองนั้น ปากก็คุยไปตาก็โลมเลียมไป
สาวๆ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีอันนี้ ถ้าดูเพียงฉาบฉวยจะเหมือนคนใจง่าย แต่ที่จริงแล้วสาวๆ เหล่านั้นได้ถูกฝึกปรือให้มีความคิดเห็น มีความพอใจ โดยตนของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของเจ้าหล่อนเหล่านั้น ไม่มีใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปสอดแทรก ทั้งนี้ก็เพราะหมู่บ้านได้ตราประเพณีเสรีภาพ อิสรภาพ ทั้งกายและใจไว้แก่พวกหล่อนอย่างนั้นนี่... ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะอ่อนไหวไปกับคำโลมเลียมของหนุ่มและไม่หนุ่ม หากอารมณ์ของพวกหล่อนเกิดพ้องพานกันขึ้น
สาวที่หมู่บ้าน 'ห้วยกระเดียน' ไม่เห็นเป็นของแปลกหรือเป็นที่เสียหายอะไร ในเมื่อเจ้าหล่อนจะให้ "โค๊ต" ไปกับหนุ่มหลายๆ คน ในเมื่อหนุ่มๆ เหล่านั้นยังรักเผื่อเลือกได้ทำไมพวกเจ้าหล่อนจะทำบ้างไม่ได้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
ผู้เขียนผวาร่างไปที่ "ช่องล้วงสาว" เคาะป๊อกๆ ตามโค๊ตที่ได้รับมา ๒ ที ภายในห้องของสาวยังเงียบกริบอยู่ อีกอึดใจหนึ่งก็เคาะป๊อกๆ อีกสองที คราวนี้ได้ยินเสียงฟากไม้ไผ่ที่รองรับร่างของหล่อนดังกรอบแกรบ แสดงว่าเจ้าหล่อนรู้แล้วว่าเป็นสัญญาณหรือโค๊ตของใคร พออีกป๊อกๆ หนสุดท้าย สลักที่ปิดบนช่องล้วงก็ดังแกร๊กแต่หล่อนไม่เปิดเอง ผู้เขียนลองเอานิ้วมือดันเบาๆ มันก็เปิดออก แล้วผู้เขียนก็เสือกลำแขนเข้าไปจนสุดช่วงไหล่ เอามือควานคว้าหาตัวสาวเจ้า ปรากฏว่าควานพบแต่อากาศอันว่างเปล่าท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของเจ้าหล่อน ควานจนแขนล้าก็ไม่พบเจ้าของห้อง จึงเลยทอดแขนลงด้วยความอ่อนใจ ตอนนี้เองที่สาวเจ้าตะครุบมือของผู้เขียนปั๊บ หล่อนเอามือหนึ่งกดแขนไว้ให้อยู่นิ่งๆ กับที่ อีกมือหนึ่งของหล่อนก็คลำหา "โค๊ต" ที่นิ้วมือผู้เขียนได้ "โค๊ต" เป็นแหวนถักด้วยหวายสวมไว้ที่นิ้วกลาง หล่อนคลำดูที่แหวนนั้นจนมั่นใจแล้วจึงหยิกมั๊บลงบนหลังมือ แล้วร่างของหล่อนก็ขยับมาจนชิด "ช่องล้วงสาว" ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมมาถึงดึกนัก เค้าง่วงนอนแล้วไม่ใช่เหรอ วันหลังมาใหม่ดีกว่า ฯลฯ อะไรทำนองนี้เป็นเชิงเง้างอน ผู้เขียนก็โอ้โลมด้วยคำหวานเบาๆ เพื่อคล้อยตามอารมณ์งอนของเจ้าหล่อน
ตอนที่หล่อนขยับตัวเข้ามาชิด "ช่องล้วงสาว" นั้น แขนของผู้เขียนเป็นอิสระแล้ว ผู้เขียนได้ยกมันขึ้นลูบไล้ตามหลังไหล่และลำแขนของเจ้าหล่อนอย่างแผ่วเบาละมุนละไม ไม่ปรากฏว่าสาวเจ้าขัดขืนแต่ประการใด แต่พอผู้เขียนทำท่าจะเลยเส้นขนานไปตามสัญชาตญาณของเพศผู้ สาวเจ้ากลับปัดป้องอย่างเหนียวแน่น ผู้เขียนจึงต้องใช้ลิ้นลมเข้าโลมเล้าอีกแรงหนึ่ง สาวเจ้าจึงทอดตัวลงนอนเหยียดอยู่ข้างๆ "ช่องล้วงสาว"
ปล่อยให้ผู้เขียนลูบไล้ไปตามสบาย ท่านลองหลับตานึกภาพเอาเองเถอะว่าการที่ผู้ชายอย่างเราท่าน มีโอกาสได้ลูบไล้ร่างของหญิงสาวด้วยความเต็มใจของเจ้าหล่อน เพียงมีแขนและมือข้างเดียวนั้น มันจะทารุณจิตใจสักเพียงไหน? ผู้เขียนชักกระตุกดิ้นงอแดยันอยู่เพียงฝ่ายเดียว สาวเจ้ากลับนอนหัวเราะคิ๊กๆ เหมือนจะยั่วให้ทลายฝาห้องเข้าไปพิชิตเสียสิ้นดี แต่ก็ทำไม่ได้ จนแล้วจนรอดมันก็ไอ้แค่นั้น วอนเสียงสั่นเสียงเครือให้สาวเปิดหน้าต่าง สาวก็เงียบเฉย แม้ว่าบางครั้งร่างของหล่อนจะบิดเบี้ยวไปมา แต่เสียงกระซิบที่ดังโต้ตอบออกมาก็มีอยู่เพียงประโยคเดียวซ้ำซากอยู่อย่างนั้นว่า...ไม่ได้ ไม่ได้ ..ผิดผี...ผิดผี...!! ไม่มีอะไรดีกว่ากระซิบกระซาบนัดหมายหล่อนอีกในคืนวันรุ่งขึ้น, นัดเวลา, นัดแนะโค๊ตใหม่ที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น ซักซ้อมกันจนเป็นที่ขึ้นใจ ผู้เขียนก็ลาสาวกลับไปนอนที่พักด้วยอาการอันโผเผเบาเนื้อเบาตัวพอประมาณ...เฮ่อ...เหนื่อย...คืนวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานัดผู้เขียนก็ตรงไปเลย โดยไม่ต้องขึ้นไปแอ่วอย่างเมื่อวานนี้ เมื่อได้โค๊ตที่ได้นัดหมายกันไว้ถูกต้องแล้ว “ช่องล้วงสาว” ก็เปิดออกมาดังแกร๊ก แต่คราวนี้สาวเจ้าเป็นคนเปิดเอง
มีการตรวจสอบเครื่องหมายที่นิ้วมืออีกเช่นเคย แต่คราวนี้สาวเจ้ายอมทอดตัวให้ลูบไล้เร็วกว่าคืนที่แล้ว กระบิดกระบวนต่างๆ ก็ไม่มี เสียงพูดคุยจากเจ้าหล่อนก็ชักจะหายไป มีแต่เสียงลมหายใจฟืดฟาดดังลอดฝาออกมาแทน ผู้เขียนได้รับทราบเคล็ดลับมาจากไอ้หนุ่มเจ้าของโค๊ตแล้วว่าจักต้องดำเนินการอย่างไรกับสาวนางผู้นี้ หลักใหญ่หรือเคล็ดที่ว่านี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากไอ้หนุ่มผู้ใจกว้างมันสอนไว้ว่า ให้ใจเย็น, ข่มอารมณ์, ดำเนินการอย่างละมุนละไม, อย่าตะกรุมตะกราม หากดำเนินการอย่างนี้ได้แล้วโดยไม่ด่วนวิ่งล่วงหน้าหล่อนไปถึงหลักชัยก่อนแล้ว ไม่นานนักดอกสาวเจ้าก็จะลุกพรวดพราดขึ้นมาเปิดหน้าต่างรับอย่างแน่นอน นั่นแหละคือชัยชนะของคำว่า ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง ๓๐ นาที เสียงครางของสาวกลายเป็นเสียงสะอื้นถี่ๆ อยู่พักหนึ่ง หน้าต่างเหนือ ‘ช่องล้วงสาว’ ก็เปิดผลั๊วะออกมา ก็ไม่มีปัญหาอะไรต่อไปอีกแล้วใช่ไหม? ครับ!
ความจริงประเพณีการล้วงสาว มันสิ้นสุดสมบูรณ์แบบตั้งแต่คืนแรกโน่นแล้วขอยืนยันอีกครั้งว่า ประเพณีการล้วงสาวมีเพียงแค่นั้นจริงๆ ผู้เขียนยอมรับว่าไอ้เพียงแค่นั้นของประเพณีนี้ ทำให้อารมณ์หนุ่มของผู้เขียนผ่อนคลาย หรือที่เรียกว่า “แก้ขัด” ไปได้อย่างสบายมาก แต่ก็อย่างว่าคำว่าพอของโลกมนุษย์มีซะเมื่อไหร่ ได้เท่านี้แล้วก็อยากจะได้ให้มันมากไปยิ่งกว่านั้น เป็นสันดานของมนุษย์
ส่วนเหตุเกิดในคืนที่สองนั้น มันได้กลายเป็นประเพณี “ซู” ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ ไปเสียแล้ว ไม่ใช่ประเพณีล้วงสาว
ผู้เขียนอาจเป็นคนโชคดีในการคบมิตร ไอ้หนุ่มเพื่อนเกลอผู้เสียสละหมอยังอุตส่าห์แนะทีเด็ดเกี่ยวกับทางหนีทีไล่ไว้เสร็จ เมื่อก้าวล้ำเข้าไปถึงขั้น “ซู” แล้วจะแก้ไขอย่างไร ไอ้เพื่อนรักมันบอกให้ผู้เขียนต่อยให้หนัก อย่าให้คู่ต่อสู้โงหัวขึ้นมาได้ ยิ่งใกล้จะสว่างเท่าไหร่ มีหมัดน็อคเท่าไหร่ น็อคให้สลบเหมือดไปเลย อย่าได้ปรานี
ดังนั้น พอไก่ขันครั้งที่ ๓ ผู้เขียนก็กล่อมสาวน้อยบ้านห้วยกะเดียนเสียสลบไสลไปเลย แล้วผู้เขียนก็ปาฏิหาริย์ตุ๊บลงทางหน้าต่าง หายลับไปกับความสลัวๆ ของเวลารุ่งอรุณ หวานไปรายหนึ่งละ
สามอาทิตย์ที่อยู่ ณ หมู่บ้านวิมานทิพย์แห่งนั้น ผู้เขียนได้ล้วงสาวโดยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของบรรดาเสี่ยวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันไม่เว้นแต่ละคืน และแทบทุกคืนมักจะถึงขั้น “ซู” ทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะได้ลับเคล็ดหรือทริกจากเพื่อนๆ นั่นเอง
เพียงอาทิตย์ที่ ๓ ผู้เขียนก็เดินโต๋เต๋ จำต้องอำลาหมู่บ้านพิสวาสแห่งนั้นกลับมาด้วยความอาลัย
จากวันนี้ไปจนถึงวันหน้า ประเพณีอันนี้ก็คงจักได้เป็นเพียงอดีตที่ฝังใจของผู้ได้ผ่านพบประสบมาเท่านั้น โลกได้วิวัฒนาการก้าวไกลไปจนมนุษย์ถึงโลกพระจันทร์แล้ว ประเพณีดังกล่าวนี้ก็คงสูญหายไปทีละนิดๆ จนกระทั่งมลายไปตามความเจริญของโลกยุคใหม่ ประเพณีอันพิสดารนี้วางมาตรการอยู่ได้ด้วยจิตใจของคนในสมัยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะถูกประคับประคองมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็คงจะดำเนินไปบนหลักการดังกล่าวนั้นไม่ได้ เพราะคนในยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจ ไปจนไม่มีสิ่งใดที่จะกระชากฉุดหยุดรั้งไว้ได้เสียแล้ว...น่าเสียดาย...[/size]
...เฮ๊อ...น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ...