โทษตัวร้าย!! ของความตระหนี่ ทำให้..จากมหาเศรษฐี กลายเป็นขอทานอัปลักษณ์ครั้งหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ สมัยนั้นมีเศรษฐีชราผู้หนึ่งนามว่าอานันทเศรษฐี
เขามีทรัพย์มากมายถึง ๘๐โกฏิ (แปดร้อยล้าน)! เศรษฐีผู้นี้แม้จะร่ำรวยเงินทองถึงปานฉะนี้ แต่แทนที่เขาจักใช้ทรัพย์ไปในทางที่ฉลาดอย่างผู้มีปัญญา เช่นบริจาคให้กับคนยากไร้ หรือนำไปสร้างถาวรวัตถุที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนแลสังคม ที่ไหนได้เขากลับมิได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ มิหนำซ้ำยังกระทำไปในทางตรงกันข้าม! ยิ่งมีทรัพย์มากเท่าไหร่ จิตใจเขาก็ยิ่งพอกพูนไปด้วยความโลภมากเท่านั้น
ทุก ๆ กึ่งเดือนเขามักจักเรียกบุตรหลานให้มาประชุมพร้อมกัน เพื่ออบรมตักเตือนมิให้ผู้เยาว์เหล่านั้นนำทรัพย์
ไปใช้ในทางไม่ถูกไม่ควรอยู่เสมอว่า
“นี่แน่ะเจ้าพวกผู้เยาว์! ทรัพย์ที่มีอยู่ ๘๐โกฏิพวกเจ้าอย่านึกว่ามันมากมายนักน่ะ ทรัพย์เหล่านี้ไม่ควรจักนำไปใช้ไม่ว่าจักเป็นกรณีใด ๆ ถ้าการนั้นไม่ก่อให้เกิดกำไรขึ้นมา โดยเฉพาะการบริจาคให้กับคนยากไร้หรือพวกนักบวชที่เกียจคร้านไม่ยอมทำมาหากิน ขอจงอย่าได้กระทำเป็นอันขาด! เพราะการให้ทานกับคนพวกนี้มันไม่ได้ทำให้ทรัพย์ของเราเพิ่มขึ้น มีแต่จักทำให้ทรัพย์ที่มีต้องลดน้อยถอยลงไปอีกจงสังวรไว้ว่าทุกครั้งที่พวกเจ้าใช้ทรัพย์ไปแม้จักเป็นปริมาณเล็กน้อยก็ตาม นั่นก็คือภาวะอันจักนำพวกเจ้าไปสู่การสิ้นทรัพย์ในที่สุด! เพราะทรัพย์จักต้องหมดลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง จงจำภาษิตที่ข้าจักกล่าวต่อไปนี้ให้ดี
น้ำมันหยอดตาแม้จักใช้ทีละหยดสองหยด แต่เนิ่นวันไปมันย่อมหมดลงได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น ทรัพย์ที่เจ้าใช้ไปทีละนิดทีละหน่อย ฤามันจักอยู่คู่กับเจ้าอย่างไม่มีวันหมดสิ้นไปได้?
ขอพวกเจ้า
จงดูจอมปลวกเป็นตัวอย่างเถิด จอมปลวกที่เห็นโตใหญ่ กว่าที่มันจักใหญ่เท่ากับภูเขาเลากาได้ก็ไม่เพราะต้องอาศัยความมานะบากบั่นของปลวกตัวเล็กตัวน้อยค่อยๆก่อค่อยๆสร้างกันมาดอกหรือ? อีกทั้งมธุรสหวานล้ำที่อยู่ในรวงรังผึ้ง กว่าจักถึงซึ่งความมากมาย ฤามิใช่เพราะต้องอาศัยความขยันขันแข็งของเหล่าผึ้งงานทำการเก็บเล็กผสมน้อย จึงมีน้ำหวานได้มากถึงปานฉะนี้! ดังนั้นขอพวกเจ้าจงถือเอาสัตว์ทั้งสองนี้เป็นครู จงพยายามหาทรัพย์มาให้มากที่สุดเท่าที่จักหาได้ แลจงอย่าได้ใช้ทรัพย์ออกไป แม้แต่เพียงเล็กน้อยเป็นอันขาด! ”
เศรษฐีเฒ่าพยายามพล่ามกล่าวตักเตือนบุตรหลานอยู่อย่างนี้เรื่อยมา ต่อมาไม่นานเขาก็ละสังขารไปจากโลกตามอายุขัย แต่เนื่องจากเป็นผู้ที่มากไปด้วยความโลภเป็นสันดาน ก่อนตายจึงมิอาจปล่อยวางในทรัพย์สมบัติได้ดังนั้นพอตายไปจึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงจัณฑาลนางหนึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาล ห่างจาก
กรุงสาวัตถีออกไปไม่ไกลนัก
ปกติ
ความเป็นอยู่จัณฑาลนางนี้ก็ถือว่าอัตคัดขัดสนอยู่แล้ว เพราะต้องขอทานเขาเลี้ยงชีพ พอเริ่มตั้งครรภ์สภาพขัดสนที่ว่ากลับต้องลำบากลำบนมากยิ่งขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าตัว และไม่เพียงแต่นางที่ลำบากขึ้น ความลำบากนี้ยังแผ่คลุมไปทุกครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาลแห่งนี้ด้วยต่างหาก!ลาภผลจากที่เคยมี พอได้ประทังชีวีกันตามอัตภาพ จู่ ๆ ก็พลันฝืดเคืองลงไป ผู้คนจากเคยทักทายกัน แม้บางมื้อบางวันจักกินเข้าไปก็แทบไม่อิ่มท้อง อยู่ ๆ ก็กลับบึ้งตึงโดยไม่ทราบสาเหตุ ความผิดปกติได้ขยายออกไปเป็นวงกว้างจนคนในชุมชนเริ่มรับรู้ ดังนั้นจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าจักต้องมีใครคนใดคนหนึ่งในชุมชนเขาที่เป็นคนกาลกินีแน่ เหตุอาเพสนี้ถึงได้เกิดขึ้น!
เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์มีมาก เพื่อมิให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต ผู้นำชุมชนจึงเรียกคนในชุมชนมาประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไข แหละผลที่ได้ก็เป็นดังคาด คือ
ในชุมชนพวกเขาจักต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นคนกลากินีอย่างแน่นอน ฉะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งคนผู้นี้ผู้นำชุมชนจึงสั่งแบ่งคนออกเป็นสองพวกเท่า ๆ กัน พวกแรกให้ไปขอทานยังด้านทิศเหนือในเช้าพรุ่งนี้ ส่วนพวกที่สองซึ่งมีหญิงจัญฑาลแลสามีร่วมอยู่ด้วย ให้ไปขอทานยังด้านทิศใต้! แล้วตอนเย็นกลับถึงชุมชนให้ผู้นำสองกลุ่มมารายงานผลให้เขาทราบ!รุ่งขึ้นจัญฑาลสองพวกก็ไปขอทานตามที่ตกลงกัน เย็นนั้นหลังจากที่เลิกขอทานปรากฏพวกที่ไปขอทานยังด้านทิศเหนือต่างก็หัวเราะเริงร่ากันมาตลอดทาง เนื่องจากวันนี้ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด อยู่ ๆ บรรดาผู้ใจบุญต่างออกมาบริจาคทานกันอย่างมากมายผิดหูผิดตา ทำให้พวกเขาได้ลาภเป็นของกินของใช้ติดไม้ติดมือกันมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ!
ส่วนพวกที่
ไปขอทานยังด้านทิศใต้หาได้มีโชคดีเยี่ยงนั้น! วันนี้ไม่รู้เป็นวันมหาอุบาทว์อันใด ไม่ว่าพวกเขาจะไปตรอกไหนซอยไหน ก็หาได้มีผู้ใดออกมาบริจาคทานแม้แต่เพียงรายเดียว บรรดาผู้ใจบุญซึ่งเคยมีบ้าง อยู่ ๆ ก็กลับเงียบหายไปเสียยังงั้น ไม่มีเฉียดกรายเข้ามาให้เห็นแม้เงา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกลับบ้านกันด้วยมือเปล่าทุกคน!และยิ่งมาเห็นพวกแรกสีหน้าระรื่นแจ่มใส กินข้าวกินปลากันอย่างอิ่มหมีพีมัน พวกเขาก็พลันหงุดหงิดขึ้นมาทันที พากันด่าทอถึงความโชคร้ายของตนว่าจักต้องมีคนที่เป็นกาลกิณีอยู่ในกลุ่มพวกเขาแน่ พวกเขาถึงได้อับโชคขนาดนี้!
หลังจากสองกลุ่มกลับถึงชุมชนผู้นำชุมชนจึงเรียกหัวหน้ากลุ่มเข้าไปสอบถาม จากนั้นจึงประกาศให้คนในชุมชนมาประชุมพร้อมกันเพื่อชี้แจงวิธีการขั้นต่อไป
“พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ผลได้ประจักษ์แล้ว จักต้องมีพวกเราคนใดคนหนึ่งที่เป็นคนกาลกิณีอย่างแน่นอน แหละคนผู้นั้นก็อยู่ในกลุ่มที่ไปขอทานยังด้านทิศใต้วันนี้! ดังนั้นขอพวกที่ไปขอทานทางด้านทิศใต้จงฟังให้ดี ขอพวกท่านจงแบ่งคนของตนออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน แล้วให้พากันไปขอทานยังทางด้านทิศใต้เหมือนเดิม แต่ให้แยกกันไปคนละหมู่บ้านอย่าซ้ำกัน! เย็นพรุ่งนี้ได้ผลอย่างไรมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเป็นการด่วน! สำหรับวันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว ”หลังจากผู้นำชุมชนใช้วิธีแบ่งกลุ่มให้มีขนาดเล็กลง เล็กลงเรื่อย ๆ ในที่สุดหญิงจัณฑาลแลสามีก็จำต้องแยกกันไปขอทานคนละหมู่บ้าน!
เย็นวันนั้นหลังจากที่เลิกขอทานปรากฏหน้าบ้านเขาทั้งสองได้มีกลุ่มคนจำนวนมากซึ่งต่างก็เป็นเพื่อนบ้านในชุมชน พากันมายืนรอเพื่อจักดูว่าสามีภรรยาคู่นี้ ผู้ใดแน่ที่เป็นคนกาลกิณี!
และแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏ
ด้านซ้ายพวกเขามีชายผู้หนึ่งกำลังมุ่งมาทางบ้านหลังนี้ ในมือหอบหิ้วของกินของใช้มาจนล้นมือ สีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน! ขณะเดียวกันด้านขวาก็เห็นหญิงมีครรภ์นางหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางบ้านหลังนี้เช่นกัน มือทั้งสองของนางว่างเปล่า ใบหน้าซีดเซียวแทบไม่เห็นสีเลือด เดินโซซัดโซเซดังราวกับคนไม่มีวิญญาณ ภาพทั้งสองแม้ไม่มีคำบรรยายแต่ทุกคนก็ทราบแล้วว่า ใครคือคนกาลกิณี!บัดนี้เมื่อเหตุแห่งปัญหาถูกเผยออกมา เพื่อให้ความสงบกลับสู่ชุมชนโดยไว จัณฑาลทั้งหลายจึงมีความเห็น
หญิงมีครรภ์นางนี้ต้องออกไปจากชุมชนพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข! เมื่อเสียงส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องชายผู้เป็นสามีก็มิอาจทัดทานใดๆได้ จำต้องให้ภรรยาเก็บข้าวของไปจากชุมชน
ฝ่ายจัณฑาลิณีผู้มีกรรมหลังจากถูกขับออกจากหมู่เพื่อน นางก็ต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปตามยถากรรม ค่ำไหนก็นอนนั่น ต้องทนอดมื้อกินมื้อ ลำบากลำบนเหลือที่จักกล่าว แต่ถึงจะทุกข์เพียงใดก็ยังสู้ทนอุ้มท้องบุตรในครรภ์โดยมิเคยตัดพ้อต่อว่าแม้แต่เพียงครั้งเดียว! จนได้เวลาทลิทโทฤกษ์อันเป็นเวลาเกิดของพวกยาจกขอทาน หรือพวกคนเข็ญใจทั้งหลาย จัณฑาลนางนี้ก็คลอดลูกชายออกมาผู้หนึ่ง มีรูปกายที่ทุเรศอัปลักษณ์เกินกว่ามนุษย์จักพึงมี ตลอดหัวจรดเท้าไม่ว่าจักมองมุมไหนก็มิได้เหมือนผู้เหมือนคน แต่ดันพิกลไปเหมือนกับผีกับเปรตเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเสียยังงั้น! ทั้งนี้เพราะกรรมบันดาลให้เป็นไปแต่ถึงบุตรจักมีหน้าตาน่าเกลียดเพียงใดผู้เป็นแม่ก็หามีใจรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่น้อย นางเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักทะนุถนอมลูกรักอย่างเต็มกำลังความสามารถเสมอมา จนบุตรน้อยมีวัยพอจักรู้เดียงสา วันหนึ่งจึงเรียกลูกเข้ามา พร้อมกันนั้นก็ยื่นสมบัติล้ำค่าคือ
กะลาขอทานให้ไป จากนั้นจึงตัดใจสั่งสอนบุตรเป็นครั้งสุดท้ายว่า“ ลูกเอ๋ย! บัดนี้เจ้าก็เจริญมาด้วยวัยอันควร แม่นี้ไม่มีสิ่งใดจักให้เจ้าไว้เป็นสมบัติติดตัว เห็นอยู่ก็แต่กะลามะพร้าวใบนี้เท่านั้น ขอเจ้าจงใช้มันเป็นเครื่องเลี้ยงชีพสำหรับตนเถิด แลขอเจ้าจงจำไว้ว่า แม้เราจักมีชะตาอาภัพเพียงใด แต่ก็ยังภูมิใจมิเคยที่จักประพฤติตนเป็นโจรฤาคนพาล! ฉะนั้นเจ้าจงใช้กะลาที่แม่ให้นี้ เที่ยวขอทานผู้คนเลี้ยงชีวีเถิดลูกรัก!” บุตรน้อยเมื่อได้รับกะลามะพร้าวจากแม่ก็ดีใจ รีบอำลาผู้เป็นมารดาทันใด จากนั้นก็วิ่งลับหายปะปนไปกับผู้คนตามท้องถนนทันที!นับแต่แยกจากมารดาขอทานน้อยก็ใช้วิชาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เที่ยวขอทานผู้คนเรื่อยมา แต่ก็อดอยากไม่มีใครอยากให้
จนวันหนึ่งเขามาเจอเข้ากับปราสาทหลังหนึ่ง มีความใหญ่โตอลังการเป็นอย่างยิ่ง ในความรู้สึกเขาปราสาทหลังนี้มันช่างคุ้นตาเสียนี่กระไร? ไม่ว่าจักเป็นรูปทรงสีสัน ตลอดจนถึงหน้าต่างประตู เหมือนว่าจักเคยเห็นมาก่อนเสียอย่างงั้น!
ก็จักไม่คุ้นได้อย่างไร? ในเมื่อ
ปราสาทหลังนี้มันก็คือปราสาทของเขาในชาติที่เป็นเศรษฐีจอมงกนั่นเอง! ดังนั้นพอมาเจอชาตินี้เขาจึงรู้สึกคุ้นเคยผูกพัน มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากพิจารณาอยู่นานว่าเคยเห็นปราสาทหลังนี้มาจากที่ไหน ในที่สุดก็จำได้ว่าปราสาทหลังนี้แท้จริงมันก็คือปราสาทของเขาเมื่อชาติที่แล้วนั่นเอง! ดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบสาวเท้าเข้าไปทันใด ขณะนั้นบรรดาข้าทาสที่ทำงานนอกตัวปราสาทเมื่อเห็นขอทานสกปรกมอมแมม หน้าตาน่าเกลียดราวกับผีกับเปรตกับปีศาจคลุกฝุ่นก็มิปาน เดินมุ่งมายังปราสาทตน ต่างก็พากันตะโกนขับไล่ด้วยเกรงว่าเขาจะมาทำให้ปราสาทพวกตนมัวหมอง
แต่ถึงจักขู่ตะคอกเพียงใดก็หาทำให้เด็กหน้าผีมีใจสะทกสะท้านไม่! มิหนำซ้ำยังกลับเดินลิ่วเข้ามาอีกต่างหาก เมื่อเห็นดังนั้นแต่ละคนจึงละจากหน้าที่ เดินไปช่วยกันจับเด็กขอทานเหวี่ยงออกมาจากบ้าน
เพลานั้น
สมเด็จพระผู้มีพระภาคได้เสด็จมายังบริเวณนั้นพอดี จึงทันทรงเห็นเหตุการณ์ ด้วยพระเมตตาพระองค์จึงตรัสกับเหล่าข้าทาสว่า “ ดูก่อนท่าน ทั้งหลาย! ขอจงงดโทษให้กับขอทานน้อยผู้นี้ด้วยเถิด เพื่อบาปจักได้ไม่เกิดกับพวกท่านมากไปกว่านี้! ” บรรดาข้าทาสพอฟังจึงหยุดมือลง พร้อมกันนั้นต่างก็ก้มลงกราบยังเบื้องพระพักตร์โดยพร้อมเพรียงกัน
สมเด็จพระศาสดาครั้นทรงเห็นพวกเขาคลายจากโทสะจึงทรงมีพระพุทธบรรหารตรัสกับพวกเขาว่า
แท้จริงขอทานผู้นี้ชาติที่แล้วก็คือท่านอานันทเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้นั่นเอง แต่เพราะกรรมที่เป็นคนตระหนี่ ไม่ยินดีในการบริจาคทาน พอตายไปบาปอกุศลจึงนำให้เขาไปเกิดในสกุลของคนจัณฑาล มีฐานะยากจน ต้องกระเสือกกระสนขอทานผู้คนเลี้ยงชีพ ไม่เพียงแค่นั้นกรรมยังส่งผลให้เขามีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์ เกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจักพึงมีด้วยต่างหาก!ทีแรกท่านมูลสิริเศรษฐีผู้บุตรก็ยังไม่เชื่อ แต่ขณะนั้นขอทานน้อยได้ฟื้นขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้เขาทดสอบ
โดยการพาไปชี้หลุมที่ฝังสมบัติไว้ โดยไม่บอกใครแม้แต่ลูกของตนเอง พร้อมกันนั้นก็ตรัสให้เขาพาคนทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นไปขุดเอาสมบัติที่เขาแอบไปฝังไว้ถึง ๕ แห่ง นำมาแสดงให้กับผู้คนได้เห็นกันหลังจากสมบัติถูกขุดขึ้นมาท่านมูลสิริเศรษฐีจึงยอมเชื่อในพระพุทธฏีกา จากนั้นจึงหันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาจริงจังมากขึ้น และไม่เพียงตัวเขา ต่อมาเขายังชักจูงบุตรหลานให้หันมาบริจาคทานรักษาศีลตามเขาด้วยต่างหาก เพื่อที่ว่าชาติหน้าฉันใดพอคนเหล่านี้ตายไป จักได้ไม่ต้องเกิดมามีสภาพที่น่าอเนจอนาถเหมือนดังปู่ทวดของตน! ส่วนตัวขอทานน้อยสุดท้ายลงเอยอย่างไร? ในตำรามิได้กล่าวไว้ ฉะนั้นจึงขอจบเรื่องเศรษฐีผู้มีกรรม เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ .
จากตัวอย่างคงเห็น
อานิสงส์ของการบริจาคทานกันแล้วกระมัง? ฉะนั้นใครที่ยังตระหนี่จนเพื่อนออกปาก ประเดี๋ยวเกิดมาหน้าเหี่ยวเหมือนขอทานหน้าผีไม่รู้นะ !อ้างอิงข้อมูลจาก :
http://www.dhammathai.org/karma/dbview.php?No=141สำรอง
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11917.0.htmlhttps://www.youtube.com/v/xMHZ5S2bsHc