(๑๒๖) การบีบบังคับใจนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสรุปไว้อย่างไพเราะน่าฟังที่สุดว่า ท่านทั้งหลาย จงบีบบังคับใจของท่านให้อยู่ในอำนาจของท่าน เหมือนความช้างที่ฉลาดสามารถบังคับช้างที่ตกน้ำมันฉะนั้นฯ
(๑๒๗) คำหนึ่ง ซึ่งท่านจะต้องสนใจจริง ๆ คือ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า หมอช้างที่ฉลาด มิได้ตรัสว่าหมอช้างเฉย ๆ หรือหมอช้างที่โง่เขลา. เพราะถ้าเป็นหมอช้างธรรมดา หรือหมอช้างที่โง่เขลาแล้ว ก็รังแต่จะถูกช้างสลัดให้ตกลงมา และเหยียบหรือทำอันตรายให้แหลกราญไปเท่านั้นฯ
(๑๒๘) ใจของคนเรา ที่มีปีศาจแห่งการตามใจตัวเอง เพื่อความสุขทางเนื้อทางหนังเข้าสิงอยู่นั้นมันเป็นสิ่งที่กลับกรอกและดุร้ายยิ่งกว่าช้างที่ตกน้ำมันเป็นไหน ๆ แล้วเราเป็น หมอช้างที่โง่เขลาจะบังคับมันได้อย่างไรฯ
(๑๒๙) การบีบบังคับใจให้อยู่ในอำนาจ เพื่อรักษาสัจจะเอาไว้ให้ได้นั้น เราต้องอาศัยการทำตนให้เหมือนหมอช้างที่ฉลาดสามารถรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของช้างทุกประการฯ
(๑๓๐) มารยาหรือเล่ห์เหลี่ยมของใจที่คอยแต่จะเถลไถล มีอยู่อย่างไรในใจเรา เราก็พอจะรู้ แต่ดูเหมือนเราไม่สมัครที่เป็นหมอช้างที่ฉลาดนั้นมากกว่า โดยหาทางแก้ตัวต่าง ๆ นานา จนได้เป็นหมอช้างที่เหลงไหลไม่ได้เรื่องฯ (๑๓๑) เมื่อการบีบบังคับใจให้อยู่ในอำนาจแล้ว ก็ย่อมจะต้องเกิดการเจ็บปวดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราจำต้องมี ธรรมะข้อที่สาม ต่อไป ซึ่งเรียกว่า ความอดกลั้น หรือ ขันติ หมายถึงความอดทนได้ รอได้ คอยได้ จนกว่าจะประสบความสำเร็จฯ
(๑๓๒) ขอให้คิดดูเถิดว่า แม้ในกรณีที่ทำชั่วทำเลว ก็ยังต้องอาศัยความอดกลั้นอดทนรอได้ คอยได้เหมือนกัน แล้วเหตุใดในกรณีที่เป็นการทำความดี ซึ่งยากไปกว่าการทำชั่วนั้น จะไม่ต้องมีความอดกลั้นอดทนกันเล่าฯ
(๑๓๓) โจรขโมย ที่พยายามทำการปล้นสดมถ์ หรือตัดช่องย่องเบา เขายังต้องอดทน จนกว่าจะทำโจรกรรมนั้น ๆ ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการอดกลั้นอดทน รอได้คอยได้อยู่ไม่น้อย แม้ในกรณีที่ทำชั่ว, แล้วทำไมมนุษย์ที่จะทำการบีบบังคับใจ เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากในโลก ซึ่งนับว่าเป็นความดีอันใหญ่หลวงนี้ จะไม่ต้องพยายามทำการอดกลั้น อดทน รอได้ คอยได้เล่าฯ
(๑๓๔) เนื่องมาจากความปราศจากการอดทน รอได้ คอยได้นี่เอง ที่พาเราพากันไม่สามารถกำจัดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้สำเร็จลงไปได้. ฉะนั้นในกรณีที่เราจะเป็นผู้บังคับใจให้สำเร็จ เราจะต้องอดกลั้นอดทน แม้จะต้องทน จนเลือดตาไหลฯ
(๑๓๕) เราจะต้องอดกลั้นต่อทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ; เราต้องอดทนต่อดินฟ้าอากาศความเหนื่อยยากลำบากหรืออุปสรรคอื่น ๆ อันจะเกิดขึ้นในขณะที่เราประกอบการงานอันเป็นหน้าที่ของเรา. เราต้องอดกลั้นต่อคำนินทาว่าร้าย ประมาท ดูหมิ่นของคนจำพวกหนึ่ง ซึ่งจำเป็นจำต้องมีอยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกันฯ
(๑๓๖) เราต้องอดทนต่อความยั่วเย้าของอารมณ์ซึ่งเป็นเหยื่อล่อของปีศาจแห่งการตามใจตัวเองได้ทุก ๆ อย่าง แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่บังคับใจได้สำเร็จ มีความจริงใจในการเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องได้สำเร็จ สมตามความประสงค์ฯ
(๑๓๗) เพื่อมิให้ต้องอดทนมากไป จนถึงกับทนไม่ไหว พระพุทธเจ้าท่านยังได้ทรงประทานธรรมะสำหรับ ฆราวาสข้อที่สี่ ไว้ให้อีก เรียกว่า การระบายสิ่งชั่วร้ายออกจากใจอยู่เสมอ หรือเรียกเป็นภาษาบาลีว่า จาคะฯ
(๑๓๘) การระบายสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในใจ ให้ออกไปเสียจากใจอยู่เสมอ ๆ นั้น เป็นการช่วยให้มีสัจจะได้โดยง่าย ช่วยให้มีการบีบบังคับใจได้สำเร็จโดยง่าย และช่วยให้ไม่มีอะไรที่ต้องทนจนมากเกินไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อสุดท้าย หรือข้อสำคัญที่จะต้องตั้งใจทำกันจริง ๆ โดยไม่มีระยะว่างเว้นฯ
(๑๓๙) จงพยายามซักฟอกใจ เหมือนเราใช้สบู่ซักฟอกผ้าจนผ้าขาวสะอาด. สบู่ซักใจก็คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ตลอดขึ้นไปถึงข้อวัตรปฏิบัติ ตามทางแห่งศาสนา มีการสวดมนต์ภาวนา การควบคุมกายวาจา จิต การนึกถึงโลกหน้า นึกถึงความตาย นึกถึงบุญกุศล นึกถึงบรรพบุรุษ นึกถึงเกียรติของความเป็นมนุษย์อันถูกต้องของเราเองฯ
(๑๔๐) จงพยายามทำการบริจาคสิ่งที่ไม่ควร ที่จะมีอยู่ในใจให้หมดไปจากใจ จนมีใจสะอาด สว่าง และสงบเย็นเถิด สิ่งร้ายก็จะถูกแก้ไขให้กลายเป็นดี และไม่มีสิ่งร้ายใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกต่อไป ปัญหาต่าง ๆ ก็จะหมดสิ้นเองฯ (๑๔๑) การที่ฆราวาส เพียงแต่พยายามทำการบำเพ็ญฆราวาสธรรม ๔ ประการคือ สัจจะ ทมะ ขันติ และ จาคะ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์เท่านั้น จะเป็นการประพฤติธรรมะหมดทั้งพระไตรปิฎกอย่างครบถ้วนทีเดียว, เพราะพระไตรปิฎกมีใจความสำคัญอย่างเดียว กล่าวคือ การบังคับตัวเองได้ ซึ่งหมายความว่า การเอาชนะใจตนเองได้โดยเด็ดขาดฯ
(๑๔๒) บุคคลจะเป็นผู้ชนะทุกอย่าง ทุกประการ ชนะทั้งในโลกนี้และชนะทั้งโลกหน้า ไม่มีอะไรเหลืออยู่เป็นข้อบกพร่องได้ ก็เพราะอาศัยฆราวาสธรรม ๔ ประการ. พระพุทธเจ้าจึงทรงท้าของท่านไว้ว่า ไม่เชื่อก็จงลองไปถามสมณพราหมณ์ พวกอื่นเป็นอันมากดูเถิดว่า มีธรรมะเหล่าไหนอีกเล่า ที่เหมาะสำหรับฆราวาส ยิ่งไปกว่าธรรมะ ๔ ประการ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และ จาคะ นี้ฯ
(๑๔๓) ฆราวาสจงได้สนใจ ในธรรมะ ๔ ประการ อันเป็นเหมือนแก้วสารพัดนึกของฆราวาส ที่พระองค์ทรงประทานไว้ เป็นของขวัญอันประเสริฐสุดดวงนี้ ด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่งเถิด ท่านจะสามารถแก้ปัญหายุ่งยากทุก ๆ ชนิดที่เข้ามาเผชิญหน้าท่าน ให้ลุล่วงไปได้ทุกอย่างจริง ๆฯ
(๑๔๔) ผู้ประพฤติธรรม แม้จะประพฤติเพื่อประโยชน์สุขของตนเป็นเบื้องหน้าก็ตาม แต่ผลได้นั้นจะแผ่ซ่านไปทั่วโลก ทำให้กลายเป็นผู้ประพฤติประโยชน์แก่โลกทั้งโลก ไปโดยไม่รู้ตัวฯ
(๑๔๕) โลกทั้งโลกนี้ เปรียบเหมือนเรือลำเดียว ทุกคนที่อยู่ในโลกที่ยังมีจิตใจเป็นอย่างวิสัยโลก ย่อมได้รับผลอันเป็นขะตากรรมของโลกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นทางร้ายหรือทางดี. เมื่อโลกนี้เร่าร้อนพลโลกก็พลอยเร่าร้อนกันไปหมด ไม่มากก็น้อยฯ
(๑๔๖) หากใครคนหนึ่ง ที่นั่งไปด้วยกันในเรือลำเดียวกันเกิดอาละวาดขึ้นมา จนทำให้เรือลำนั้นจมลงไป หรือเอียงวูบวาบก็ย่อมทำให้คนทุกคนต้องจมน้ำ หรือเวียนศีรษะกันไปทั้งลำเรือไม่ยกเว้นว่าใคร เป็นตัวการหรือนั่งอยู่เฉย ๆ หรือถึงกับพยายามถ่วงป้องกันเอาไว้ไม่ให้เรือเอียงฯ
(๑๔๗) เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง พยุงเรือเอาไว้ได้ ไม่ทำให้คว่ำลงไป ทุกคนที่นั่งอยู่ในเรือก็รอดจากการเปียกน้ำ หรือการเวียนศีรษะเพราะเรือโคลง, ไม่ว่าเขาจะเป็นพวกที่เขย่าเรือให้จม หรือเป็นพวกที่นั่งอยู่เฉย ๆ หรือเป็นพวกที่พยายามช่วยพยุงเรือไว้ฯ
(๑๔๘) ผู้ประพฤติธรรมในโลกนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติประโยชน์แก่โลก โดยส่วนรวมอยู่เสมอไป. ธรรมะยังมีผู้ประพฤติอยู่ในโลกแม้เพียงคนเดียวอยู่เพียงใด โลกก็ยังชื่อว่ามีธรรมเป็นร่มโพธิ์ไทร คุ้มครองโลกไม่ให้ล่มจม อยู่เพียงนั้นฯ
(๑๔๙) เราไม่ต้องวิตกว่า คนส่วนมากเขาไม่ประพฤติธรรมะกัน, เพราะว่า อธรรม นั้นมีกำลังน้อย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนดีแม้มีน้อย ก็สามารถเอาชนะคนไม่ดี แม้มีจำนวนมากได้ ทั้งนี้เพราะว่าธรรมะเป็นสิ่งที่มีกำลัง อธรรมเป็นสิ่งไม่มีกำลังฯ
(๑๕๐) เพียงแต่พวกพุทธบริษัทเรา ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้พากันประพฤติธรรมะเท่านั้น ก็จะสามารถเป็นลูกตุ้มถ่วงเรือโลกลำนี้เอาไว้ไม่ให้ล่มจม หรือแล่นไปสู่ความล่มจมช้าเข้าเป็นอย่างน้อย เรือโลกยังไม่ล่มจมหรือล่มจมช้าไปเพียงใด นั่นย่อมเป็นผลแห่งการประพฤติธรรมของพวกพุทธบริษัทในฐานะผู้มีความกรุณาต่อพลโลกทั้งมวลฯ