.บันทึกไว้ในแผ่นดิน
ฟ้ารู้ ดินรู้...ข้ารู้ แกรู้ ในหนังสือ คิดอย่างจีน (พิราบสำนักพิมพ์) เรื่องหนึ่งที่ ส.สุวรรณ เรียบเรียงไว้ ชื่อ ฟ้ารู้ ดินรู้ ข้ารู้ แกรู้
หลิวจี (ค.ศ.๑๓๑๑ - ๑๓๗๕) เขียนไว้ในหนังสือ อี้หลีจื่อ สมัยราชวงศ์หมิงว่า ในเมืองเสฉวน มีพ่อค้าขายยาสมุนไพร ๓ คน
คนหนึ่ง รับซื้อแต่สมุนไพรมีคุณภาพดี อาศัยราคาซื้อเป็นเกณฑ์ตั้งเป็นราคาขาย ไม่ตั้งราคาลอย ไม่เอากำไรเกินควร
คนสอง รับซื้อทั้งสมุนไพรคุณภาพดี และคุณภาพเลว ราคาขายมีแพงมีถูกตามความ ถ้าจ่ายแพงก็ได้สมุนไพรดี ถ้าจ่ายถูกก็ได้สมุนไพรเลว
คนที่สาม ไม่รับซื้อสมุนไพรชั้นดีเลย เอามากเข้าว่า แต่ก็ขายในราคาถูก ลูกค้าขอแถมก็แถมให้ไม่ถือสา
ดังนั้น ร้านพ่อค้าคนที่สาม จึงมีแต่ลูกค้ามาแย่งซื้อ ธรณีประตูร้านถูกเหยียบย่ำจนหักพัง ต้องเปลี่ยนเดือนละท่อน
ชั่วเวลาปีเดียว พ่อค้าคนนี้จึงร่ำรวยมหาศาล
พ่อค้าคนที่สอง ซื้อทั้งสมุนไพรดีเลว แม้มีลูกค้ามาอุดหนุนน้อยกว่า แต่สองปีให้หลังเขาก็ร่ำรวยขึ้นมา...เหมือนกัน
มาถึงพ่อค้าคนแรก ที่เลือกซื้อแต่สมุนไพรชั้นดี ขายในราคายุติธรรม การค้าแย่ที่สุด กระทั่งเวลาเที่ยงวัน ร้านค้าเขาเงียบเชียบราวกับยามค่ำคืน
พ่อค้าคนนี้ ยากจนถึงขนาดกินข้าวมื้อเช้าแล้ว มื้อเย็นข้าวไม่พอกิน
อี้หลีจื่อ ยกเรื่องสามพ่อค้าสมุนไพร เป็นตัวอย่างแล้ว ก็ถอนหายใจ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์สามพ่อค้าสมุนไพร ไม่แตกต่างจากสถานการณ์ขุนนางน้อยใหญ่ ในราชสำนักจีน
ที่เมืองฉู่ มีนายอำเภอสามคน แยกย้ายกันทำงานตามเมืองหัวเมืองชายแดน
นายอำเภอคนแรก รับราชการโดยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต แต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบ ฐานะเขายากจนมาก เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ค่าเรือเดินทางกลับบ้านก็ไม่มี ผู้คนที่รู้เรื่อง หาว่าเขาซื่อบื้อ รุมเยาะเย้ยไยไพ
นายอำเภอคนที่สอง จ้องหาโอกาส โกยได้ก็โกย มีฐานะร่ำรวย ผู้คนต่างสรรเสริญว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ
นายอำเภอคนที่สาม ตั้งหน้าตั้งตากอบโกย เอาเงินที่หาได้ไปคบค้าขุนนางใหญ่ ดูแลลูกน้องเหมือนลูก กับแขกที่ร่ำรวยเขาจะให้เกียรติต้อนรับใหญ่โต
เวลาผ่านไปสามปี นายอำเภอคนนี้ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายยุติธรรม
“นี่มิใช่เรื่องแปลก ประหลาด หรือ?” นี่น่าจะเป็นคำถาม
ส.สุวรรณ เขียนว่า จริงๆแล้ว เรื่องคอร์รัปชันมีมานานอาจจะตั้งแต่มีมนุษย์ในโลก ที่ว่ากันว่า อาชีพโสเภณีเก่าแก่ที่สุดในโลก เห็นทีจะคลาดเคลื่อน พวกคอร์รัปชันน่าจะเกิดก่อนพวกโสเภณี
แต่หากจะพูดถึงศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีโสเภณีเหนือกว่าพวกคอร์รัปชัน โสเภณีแค่ลงทุนเอาเรือนกายไปแลกเงินมายาไส้ ไม่ได้โกงกินใคร
มีคำพังเพยจีน บทหนึ่ง “เหยียดหยามคนจน ไม่หยามเหยียดดอกทอง” มีความหมายว่า คนที่หาเลี้ยงชีพด้วยความบริสุทธิ์ มักมีฐานะยากจน จะมีแต่คนดูหมิ่นถิ่นแคลน
คนร่ำรวยจะได้รับการยกย่อง โดยไม่ได้คำนึงว่า หาเงินทองมาจากไหน
บทท้าย มีเรื่องเล่าของเอี๋ยงเจิ้น ขุนนางซื่อสัตย์สมัยราชวงศ์ฮั่น...วันหนึ่งมีคนเอาทองคำ ๑๐ ชั่งไปติดสินบน “ท่านรับไว้เถิด ไม่มีใครรู้เห็นดอก” สิ้นคำคะยั้นคะยอ เอี๋ยงเจิ้น โกรธสุดขีด ตวาด“แกรู้อย่างไรว่า ไม่มีใครรู้ อย่างน้อย เมื่อข้ารู้ แกรู้ ฟ้าก็รู้ ดินก็รู้”....กิเลน ประลองเชิง
หน้า ๓ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
เรื่องจริงๆ ของ "เปาเจิ่ง" หรือ "เปาบุ้นจิ้น" ส.สุวรรณ เขียนไว้ใน “คิดอย่างจีน” ว่า เรื่องของเปาเจิ่ง หรือเปาบุ้นจิ้น (ค.ศ.๙๙๙–๑๐๖๒) บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ “ซ่งสื่อ” ไม่กี่บรรทัด
เปาเจิ่ง เป็นคนตรงไปตรงมา รังเกียจข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ขูดรีดประชาชน แต่ไม่ใช่คนดุร้าย เคยให้อภัยคนทำผิดโดยไม่เจตนาเสมอ ไม่คบคนง่ายอย่างไร้หลักการ ไม่เสแสร้งหน้าชื่นป้อนคำหวาน มีชีวิตอยู่อย่างเปิดเผย แม้ยศถาบรรดาศักดิ์สูง แต่ก็ไม่มีฝักมีฝ่าย อาภรณ์เครื่องใช้ อาหารการกินก็ไม่แตกต่าง
เมื่อยังเป็นคนสามัญ เป่าเจิง ไม่ใช่สัตย์ซื่อเฉพาะตัวเอง แต่ก็ยังทำให้ญาติพี่น้อง ซื่อสัตย์ตาม น้าคนหนึ่งเคยแอบอ้างชื่อไปใช้ในทางมิชอบ เปาเจิ่งสั่งจับตัวมาโบย ๗๐ที หลังจากนั้น ก็ออกคำสั่งประจำครอบครัว “ลูกหลานรับราชการ ผู้ใดฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ห้ามกลับหมู่บ้าน เมื่อตายห้ามฝังในสุสานของตระกูล ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ มิใช่ลูกหลานเรา”
เมื่อเรื่องจริง ท่านเปามีแค่นี้ แล้วเรื่อง คดีประหาร พระราชบุตรเขย พระบรมวงศ์ ขุนพลทหาร ฯลฯ ที่คุ้นเคยจากเรื่องเล่า ในงิ้ว ในหนัง... เล่า...เอามาจากไหน?
ส.สุวรรณ เฉลยว่า แผ่นจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง องค์จักรพรรดิอ่อนแอ กลัวขุนศึกหัวเมืองก่อกบฏ ก็สั่งถอด ทำให้ชายแดนเกิดจุดอ่อน ถูกพวกต่างชาติรุกรานบ่อยๆ ภายในประเทศ ขุนนางก็ฉ้อราษฎร์บังหลวงเต็มที่ ยิ่งพวกที่มีเส้นสายทางพระประยูรวงศ์ ก็ยิ่งทำโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
สมัยราชวงศ์ซ่ง มีกบฏเนืองๆ กบฏที่มีชื่อเสียง คือกบฏเขา-เหลียงซาน (ซ้องกั๋ง) ประชาชนจีนยุคนั้น จึงมีชีวิตที่สิ้นหวัง หาที่พึ่งไม่ได้ เมื่อมีเปาเจิ่ง ขุนนางซื่อสัตย์ยืนหยัดผดุงความยุติธรรม...ประชาชนจึงแซ่ซ้องสรรเสริญ สนับสนุนเต็มที่ เรื่องเล่า ที่ดูกันในงิ้ว เปาเจิ่ง เป็นขุนนางผู้พิทักษ์ความยุติธรรม แม้แต่องค์จักรพรรดิทำผิด ก็กล้าสอบสวนลงโทษ หรือคดี พระราชบุตรเขย ทำผิดมหันต์ ก็ถูกประหาร
“เรื่องทำนองนี้ ไม่มีทางเป็นจริงได้” ส.สุวรรณว่า
เรื่องเล่าเหล่านี้ มีที่มาจาก ความคับแค้น ทุกข์เข็ญอย่างแสนสาหัสในใจประชาชน เมื่อหาทางออกไม่ได้ จึงถูกบีบคั้นออกมาในนิยาย แต่งเป็นบทงิ้ว แต่ก็ยังมีเรื่องจริงไม่น้อย ถูกบันทึกไว้ นับแต่เปาเจิ่ง เริ่มรับราชการ เมื่ออายุ ๓๕ ปี ตำแหน่งนายอำเภอ ข้าหลวงจังหวัด เสนาบดีฝ่ายตรวจสอบราชการแผ่นดิน ผู้ว่าการนครไคเฟิง และตำแหน่งสุดท้าย เป็นถึงเสนาบดีว่าการคลัง
เปาเจิ่ง ไม่เคยเกรงกลัวอิทธิพลมิชอบใดๆ ไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ใครทำผิดก็พิพากษาลงโทษตรงไปตรงมา มีคนผิดมากมาย ถูกสั่งตัดหัว
มีคนถาม...เปาเจิ่ง ยึดหลักการอะไร ตลอดชีวิตราชการ จึงมีแต่ความซื่อตรงมั่นคง “จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ คือหลักแก้ไขปัญหามูลฐาน ความเที่ยงตรงเป็นหลักในการดำรงชีวิต จงจดจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ไว้ อย่าทำตัวให้คนรุ่นหลังเย้ยหยัน”. ที่มา : คอลัมน์ ชักธงรบ "เรื่องจริงๆ ของท่านเปา" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ศาสตร์ดูคน หนังสือ คิดอย่างจีน (พิราบสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๔) เรื่องหนึ่ง ที่ ส.สุวรรณ เรียบเรียง ชื่อ ดูเหมือนใช่ แต่ไม่ใช่
เรื่องดูคนแม้แต่ขงจื่อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ยังดูคนผิด อยู่บ่อยๆ
หนังสือ “สื่อจี้” บันทึกว่า ขงจื่อบอกว่า ข้าพเจ้าดูคนจากวาทศิลป์ จึงดูไจอี๋ผิดไป ดูคนจากหน้าตา จึงดูจื่ออี่ผิดไป
ไจอี๋เป็นศิษย์คนหนึ่ง มีไหวพริบเจรจาพาที บุคลิกดี ท่วงท่าเป็นปัญญาชนผู้มีคุณธรรม ขงจื่อชื่นชมมาก แต่ต่อมาไจอี๋แสดงว่า ขาดความกตัญญูต่อบุพการี ไปร่วมมือกับเถียงฉางผู้มีอิทธิพลเมืองฉี ก่อการกบฏชิงอำนาจ สุดท้ายถูกประหารทั้งโคตร
ขงจื่อเคยพร่ำสอน สังคมจะดี เพราะคนในสังคมทำตัวสมฐานะ กษัตริย์สมเป็นกษัตริย์ ขุนนางสมเป็นขุนนาง พ่อสมเป็นพ่อ ลูกสมเป็นลูก ขุนนางต้องจงรักภักดีกษัตริย์
เรื่องของไจอี๋ ทำให้ขงจื่ออับอายขายหน้า
ส่วนจื่ออี่ศิษย์อีกคน หน้าตาขี้ริ้ว เมื่อมาสมัครเป็นศิษย์ ท่าทีสติปัญญาอ่อนด้อย ไม่มีวี่แววความสำเร็จ แต่เขากลับขยันหาความรู้ ซื่อตรง พูดน้อย ไม่คบคนพาล ไม่สอพลอคนมีอำนาจ
ต่อมา ได้เผยแพร่ลัทธิหยู แพร่หลายทางภาคใต้ของจีน ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
แต่เรื่องที่ขงจื่อดูคนผิดพลาดมากกว่า เป็นเรื่องต่อไปนี้
ครั้งหนึ่งขงจื่อถูกทหารปิดล้อม ๗ วัน ระหว่างเมืองเฉินกับเมืองไช่ อาหารขาดแคลน ศิษย์ชื่อเอี๋ยนหุยไปหาข้าวมาหุง ข้าวใกล้สุกเอี๋ยนหุยหยิบข้าวใส่ปาก สักครู่ก็นำข้าวที่สุกแล้วมาให้ ขงจื่อเข้าใจว่าเอี๋ยนหุยไม่ซื่อ แสร้งบอก เมื่อครู่ข้าฝันถึงท่านพ่อ ถ้าหากข้าวสะอาดข้าจะเอาข้าวไปเซ่นไหว้ท่านพ่อ “ข้าวหม้อนี้ไม่สะอาด ใช้เซ่นไหว้ไม่ได้” เอี๋ยนหุยบอก
“เมื่อกี้มีสะเก็ดถ่านหล่นลงหม้อ จะเททิ้งก็เสียดาย ข้าพเจ้าจึงหยิบข้าวสกปรกใส่ปาก”
ขงจื่อถอนหายใจ พูดว่า แต่เดิมข้าคิดว่า สิ่งที่เชื่อได้คือดวงตาของข้าเอง แต่มาบัดนี้ เห็นทีจะเชื่อดวงตาไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือสมอง เห็นสิ่งใดก็ต้องขบคิดใคร่ครวญให้มาก
ในคัมภีร์หลีซื่อชุนชิว หนังสือปลายยุคจั้นกั๋ว เล่านิทาน เรื่องผีกับคน
ในเมืองเหลียงภาคเหนือของจีน มีผีประหลาดชอบหลอกคนเดินทาง คืนหนึ่งผู้เฒ่าเมามายเดินโซเซกลับบ้าน ผีแปลงเป็นลูกชาย มาหลอกหลอนกลั่นแกล้ง ผู้เฒ่าโกรธมาก กลับถึงบ้านเจอลูกชาย ก็ด่าโฉงเฉง ลูกชายคุกเข่ากราบ ยืนยันว่า ตัวเองเดินทางไปอีกเมือง คนละทิศทางที่พ่อเจอผี ผู้เฒ่าเชื่อ คืนต่อมาผู้เฒ่าวางแผนแก้แค้นผี เมาเดินกลับเส้นทางเก่า ลูกชายเป็นห่วงพ่อจะถูกผีหลอก ออกมาดักรอ พ่อเจอหน้าก็คว้าดาบฟันลูกชายตาย
หลี่ปู้อุ้ยเขียนไว้ในคัมภีร์ หลีซื่อชุนชิวว่า สิ่งที่คนเผลอไผล แยกจริงเท็จไม่ได้ ก็คือสิ่งที่ภายนอกดูคล้ายคลึงกัน...นักแกะสลักกังวลว่าจะเห็นหินที่คล้ายหยก เป็นหยก ธรรมราชากังวลว่า คนพูดเก่งคล้ายมีความรู้ เป็นคนเก่งมีความรู้ ราชาที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ดูคล้ายผู้มีสติปัญญา และขุนนางที่ทำให้บ้านเมืองพินาศ ดูคล้ายผู้ฉลาดจงรักภักดีที่มา : คอลัมน์ ชักธงรบ "ศาสตร์ดูคน" หน้า ๓ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ตักบาตรยามเช้า ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว
พระพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างไร? ในสังคมคอมมิวนิสต์ ในงานฉลองเจริญพระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีหลวงปู่พระมหาผ่อง ประธานคณะสงฆ์ลาว หรือที่พวกเราเรียกสะดวกปากว่า สังฆราชลาว เสด็จมาถวายคำอำนวยพรด้วย
หลวงปู่พระมหาผ่อง สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง ดวงตาแวววามแจ่มใส เห็นท่านแล้ว ไม่อยากเชื่อว่า วันนี้ท่านอายุ ๙๘ ปี อ่อนกว่าสมเด็จพระญาณสังวร ๒ ปี
ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย นิมนต์ท่านไปวิสัชนา หัวข้อ โฮจิมินห์กับพุทธศาสนา ที่สำนักงานพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เมื่อเย็นวันที่ ๑ ตุลาคม
เคยว่ากันว่า คอมมิวนิสต์น่ากลัวมาก เข้าบ้านเมืองใดชาวบ้านจะเดือดร้อน พระสงฆ์องค์เจ้าจะถูกจับไปทำนา วัดวาถูกทำลาย แล้วโฮจิมินห์ คอมมิวนิสต์ตัวพ่อ จะไปกันได้กับพุทธศาสนาอีท่าไหน?
คำตอบนี้ วิสัชนาได้จาก ... หลวงปู่พระมหาผ่อง
หลวงปู่พระมหาผ่อง แท้จริงท่านเป็นคนไทยเกิดในอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี แต่ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปเติบโตและบวชเรียนที่ฝั่งลาว บวชเป็นพระเคยอยู่วัดชนะสงคราม... สอบเปรียญ ๖ ประโยคได้ในสมัยรัชกาลที่ ๘
วัดชนะสงครามกับวัดบวรใกล้กัน มีตลาดบางลำพูคั่นกลาง หลวงปู่ออกบิณฑบาต สวนกันไปมากับพระมหาเจริญ (สมเด็จพระญาณสังวร) หลายครั้งจนคุ้นหน้า
สอบเปรียญ ๖ ได้ พระมหาผ่องก็กลับประเทศลาว
ย้อนหลังไปเรื่องราวของลุงโฮ (จิมินห์) พระหนุ่ม ปัญญาชนแถวหน้าของลาว ใช้เวลาค้นคว้าหลายปี เล่าเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในการรับรู้ของคนไทยมาก่อน ดังนี้
ตอนโฮจิมินห์มาอยู่ไทย มีข่าวว่า บ้านอยู่ในนครพนม...นั้นแท้จริง ช่วงแรกโฮจิมินห์มาบวชเป็นศิษย์หลวงพ่อบ๋าวเอิง อยู่วัดญวนสะพานขาว กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมาก็เปลี่ยนไปบวชเป็นพระไทยนิกายธรรมยุต ที่จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอีก ๑ ปี ต่อมาก็ไปรัสเซีย ศึกษาวิชาคอมมิวนิสต์ จาก เลนิน
เชื่อกันว่า โฮจิมินห์ รักษาศรัทธาของคนเวียดนามไว้ได้ กระทั่งตายแล้ว ยังมีคนเวียดนามเข้าคิวรอ ขอไปคารวะศพลุงโฮ วันละนับพัน เพราะตลอดชีวิตโอจิมินห์ เคร่งครัดในหลักการ ๑๐ ข้อ ทุกข้อตรงกับทศพิธราชธรรม ธรรมะของผู้นำ ของพุทธศาสนา
หลัง ๒ ธันวาคม ๒๕๑๘ ประเทศลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเจ้าเป็นระบอบสังคมนิยม ถามว่า สถาบันพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างไร
หลวงปู่พระมหาผ่อง วิสัชนา พุทธศาสนากับรัฐบาลสังคมนิยม มีเป้าหมายที่ประชาชน จึงผสมกลมกลืนไปกันได้ มีการเขียนธรรมนูญปกครองคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ ชำระคัมภีร์อานิสงส์ คัมภีร์เก่าทางพุทธศาสนาใหม่ ทำให้สถาบันพุทธศาสนาลาว นอกจากไม่เสียหาย บอบช้ำ ยังอยู่ได้อย่างยืนยงยั่งยืน พระสงฆ์ลาวมีวัตรปฏิบัติน่ากราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง
เชื่อแล้วในบัดนั้น คำสอนพระพุทธเจ้า คำสอนของเลนินที่โฮจิมินห์เรียนรู้อย่างเข้าใจ มีผลต่อการกู้ชาติเวียดนาม มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสถาบันสงฆ์ในลาว
ผมเข้าไปกราบ หลวงปู่พระมหาผ่อง แทบเท้าท่าน ผมเพิ่งได้รู้ว่า ไม่ได้กราบพระอย่างมีศรัทธาเต็มหัวใจอย่างนี้มานานเต็มที...• กิเลน ประลองเชิงสรุปจาก : คอลัมน์ ชักธงรบ “ลุงโฮกับมหาผ่อง” โดย กิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์ล่องหน(ผู้คายเหยื่อ ตามแบบเซ็น) พระอาจารย์เซ็น ระดับตำนานของญี่ปุ่นมีหลายท่าน ท่านหนึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลหลายแขวงหลายเขตจังหวัด ท่านชื่อ โตซุย
ท่านโตซุย มีปกติวิสัยชอบธุดงค์ เที่ยวแสดงธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ติดวัด ไม่ติดถิ่น ศิษย์หลายแห่งพยายามเอื้อเฟื้อเกื้อหนุน หาที่สะดวกสบาย พยายามหน่วงให้ท่านอยู่ประจำ แต่ก็ไม่มีแห่งไหนเอาท่านไว้อยู่
ท่านแสดงธรรมที่ไหน พอมีคนแตกตื่นเลื่อมใส ห้อมล้อมติดพัน ท่านก็หนี ใครฟังธรรมท่านแล้ว ก็มักภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์...ก็แตกหน่อขยายกอเพิ่มขึ้นมากมาย
นานหลายปี เริ่มมีคนสงสัย พระอาจารย์โตซุยหายไปไหน ไม่แวะเวียนกลับมาสอนเหมือนที่เคยสอน เริ่มจากถามกันเอง แล้วก็เริ่มรวมตัวกันออกค้นหา
แล้วก็พบว่า จุดสุดท้าย พระอาจารย์สอนอยู่ที่วัดทางใต้... วันหนึ่ง ท่านเรียกอุบาสก อุบาสิกา เหล่าสานุศิษย์มาชุมนุมกัน แล้วท่านก็แสดงธรรม
จบแล้ว พระอาจารย์ประกาศว่า “ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่แสดงธรรมด้วยปากอีก พวกเธอทั้งหลาย แยกย้ายไปอยู่เสียที่ไหนก็ได้ตามใจ...”
ศิษย์พยายามถาม แล้วท่านอาจารย์จะไปทางไหน ท่านก็ตอบว่า “ฉันไม่รู้”
จากจุดนั้น หลายหลายคน ก็ออกแยกย้ายกันตามหา
เวลาผ่านไป ๓ ปี ศิษย์คนหนึ่งก็ซอกแซกตามท่านเจอจนได้ ในซอกหลืบใต้สะพานเก่า ในเมืองเกียวโต
พระอาจารย์ใช้ชีวิตปนเปอยู่กับพวกขอทาน
ศิษย์คนนั้นดีใจมาก ทรุดลงกราบ กราบแล้วก็กราบอีก ขอฝากตัวอยู่ด้วย
พระอาจารย์โตซุย วางเฉย บอกว่า “เธออยากอยู่ก็ลองอยู่สักวันสองวัน ถ้าอยู่อย่างฉันได้ ฉันก็ไม่ว่า”
ศิษย์ดีใจ รีบเปลี่ยนชุดขอทาน...ติดตามอาจารย์ วันเดียว ขอทานใต้หลืบสะพานคนหนึ่ง ตายลง...จึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์กับศิษย์ จะต้องช่วยกันฝังศพ ให้แล้วเสร็จในเวลาคืนนั้น
กระบวนการหามศพไปฝังที่ภูเขา ศิษย์กับอาจารย์ช่วยกันอย่างยากลำบาก แต่ก็เสร็จก่อนรุ่งสว่าง กลับถึงใต้สะพานเหน็ดเหนื่อยกันมาก
ฟ้าสางพอดี ได้เวลาออกขอทาน
“เออ วันนี้ เราสองคนไม่ต้องออกขอทานก็ได้” พระอาจารย์ว่า “อาหารคนตาย ที่เหลือจากขอทานเมื่อวันก่อน ยังพอมีเหลืออยู่ เราเอามากินกันเถอะ”
ว่าแล้ว พระอาจารย์ก็นั่งกินเอากินเอา ขณะศิษย์นั่งกระอักกระอ่วน กลืนเข้าไปไม่ได้สักคำเดียว
“นั่นไง ฉันว่าแล้ว” พระอาจารย์โตซุย ว่า “เธอไม่สามารถอยู่อย่างฉันได้ ถ้าอย่างนั้นเธอไปได้แล้ว แล้วอย่าพยามยามมากวนฉันอีก” เรื่อง “ผู้คายเหยื่อ ตามแบบเซ็น” ...จบลงตรงนี้
หักมุมมาที่พระผู้ใหญ่สึกเป็นฆราวาสไปเคล้าคลออยู่กับโยมสีกา และตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "
ผู้กลืนเหยื่อ" !.
จาก : คอลัมชักธงรบ "พระอาจารย์ล่องหน" โดย กิเลน ประลองเชิง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พระยาน้อยสึกชี เรื่องพระระดับสมภารใหญ่สึก...แปลกกว่าการสึกธรรมดา...เพราะถูกพระเจ้าแผ่นดิน ขอร้องให้สึกมาช่วยราชการงานเมือง เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์พม่า แต่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของนวนิยาย ชื่อเรื่อง ราชาธิราช
อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ เลือกคัดตัดตอนที่ไพเราะจับใจ ไว้ในหนังสือสนุก (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ลองอ่านกันดู
ครั้นแล้ว พระยาน้อยจึงให้นิมนต์พระอาจารย์มะเปงเข้ามา จึงตรัสว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองพะโค กระทำการตอบแทนแก้แค้นสมิงมราหู แต่มีความวิตกนัก ด้วยเมืองตะเกิงนี้เป็นที่สำคัญมั่นคงอยู่ ทั้งข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ได้อาศัยตั้งมั่นเป็นที่ชัยภูมิดีอยู่แล้ว ถ้าไปทำศึกขัดสนลงประการใด จะได้กลับมาอาศัยส้องสุมผู้คน ซึ่งจะวางใจให้ผู้อื่นรักษานั้น ก็ไม่เห็นผู้ใดสมควร เห็นแต่พระคุณเจ้าผู้เดียวมีสติปัญญามาก อาจที่จะอยู่รักษาเมือง ปราบปรามเสี้ยนศัตรูให้ราบคาบ เป็นที่วางใจของข้าพเจ้าได้
นิมนต์พระคุณเจ้าสึกออกมา ช่วยรักษาเมืองด้วยเถิด
อนึ่ง พระคุณเจ้าถือเพศบรรพชิต บวชอยู่ดังนี้ ถ้าบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์ ตัดมูลราคะตัณหาขาดเด็ดจากสันดาน ก็จะประกอบด้วยสุขในญาณสมบัติ เป็นบรมสุขอย่างยิ่ง ถ้าพระคุณเจ้าสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์นั้น ข้าพเจ้าเห็นมีความสุขสองประการ คือจะดูฟ้อนรำ ดูเครื่องดีดสีตีเป่าขับเวลาใดๆ ก็ได้ ไม่มีผู้ห้ามปราม จัดเป็นความสุขของปุถุชนประการหนึ่ง
แลความสุขอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ ถึงเทพยดาอินทร์พรหมก็นับถือเป็นสุข ถ้าจะเรียกว่าเป็นของมีรส ก็เป็นรสอร่อยวิเศษอย่างดี
ถ้าผู้ใดบริโภคแล้ว รสอร่อยก็จะซาบซ่านทุกเส้นขน ราวกับได้บริโภครสทิพย์สุธาโภชน์ของสมเด็จอมรินทร์ในเทวโลก พระคุณเจ้าบวชมานานๆ ดังนี้ ยังไม่เคยพบเห็น ถ้าได้ลองชิมรสอันอร่อยสักครั้งหนึ่งสองครั้งแล้ว ก็จะติดใจไม่รู้อิ่ม
สักหน่อยจะเพลิดเพลิน ลืมความสุขในสมณะเป็นแท้
พระยาน้อยตรัสแนะนัยเป็นสำนวนให้พระอาจารย์มะเปงฟังดังนี้แล้ว ก็ทรงพระสรวล
แต่แรกพระอาจารย์มะเปง ก็อ้างข้อธรรมปฏิเสธจะสึก แต่เมื่อพระยาน้อยยกโวหารแวดล้อมอ้อนวอน พระอาจารย์ก็เริ่มใจอ่อน เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นผู้รั้งเมือง คนทั้งปวงจะพึ่งบุญพลอยเป็นสุข ก็จะได้กุศล คิดแล้วจึงถวายพระพรลาสึก
พระยาน้อยจึงตรัสว่าสาธุสะ ดีแล้ว ตรัสสั่งให้จัดเสื้อผ้าอย่างดี แลแหวนเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งจะพระราชทานให้พระมะเปง พอหญิงสาวใช้รูปงามสองคน เป็นนางพนักงานเชิญถาดพระสุธารสออกมาถวายพระยาน้อย
พระยาน้อยจึงสั่งให้จัดพระสุธารสของเสวย แบ่งไปถวายพระอาจารย์มะเปง แลให้หญิงรูปงามทั้งสองนั้น หมอบอยู่ในที่ใกล้พระมะเปง แล้วก็ตรัสว่า พระคุณเจ้าบวชมานาน มิได้รู้จักความสุขของฆราวาส จงพิจารณาดูซึ่งความสุขที่หมอบอยู่ทั้งสองนั้น
จะเห็นว่าเป็นสุขหรือไม่
แล้วพระยาน้อยก็ทรงพระสรวล พระมะเปงก็สะเทิ้นใจยิ้มอยู่ จึงเลยฉันน้ำชาแก้ขวยใจ
เรื่องพระสึกเหมือนเรื่อง ฟ้าจะผ่า ลูกจะออก ขี้จะแตก...ไม่ใช่เรื่องแปลก คนโบราณว่า ห้ามไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาปรากฏตามธรรมชาติ
พระกรณีพระอาจารย์มะเปงสึกไปก็ใช้ชีวิตแบบเจ้าเมืองใหญ่ แต่ทางพระถือว่าการสึก เป็นการเวียนไปทางเลว เวียนไปแล้วก็ไม่วนกลับมาอีก
กรณีพระสึกไปอยู่กับสีกา แล้วก็อยากใช้ชีวิตแบบพระ...อยากเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อ...เรื่องแบบนี้คนไทยไม่คุ้น จาก : คอลัมชักธงรบ "พระยาน้อยสึกชี" โดย กิเลน ประลองเชิง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
.พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในพระอิริยาบถประทับบนพระราชอาสน์ มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา
คืนความสุข ยุคพระเจ้าตาก ปก...ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นภาพพระบรมราชานุสาวรีย์ พระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมคำพาดหัวโมเดล ฟื้นฟูประเทศ “คืนความสุข” ยุคพระเจ้าตาก
ปรมินทร์ เครือทอง เขียนนำเรื่องไว้ว่า... พระเจ้าตากแม้จะทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะ “กู้กรุง” ให้เหมือนเดิม แต่เมื่อเห็นสภาพบ้านเมืองแล้ว ถึงกับถอดพระราชหฤทัย
“ทอดพระเนตรเห็นอัฏฐิกเฬวระคนทั้งปวง อันถึงพิบัติชีพตายด้วยทุพภิกขะ โจระ โรคะ สุมกองอยู่ประดุจภูเขา แลเห็นประชาชนซึ่งลำบากอดอยากอาหาร มีรูปร่างดุจหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียด ทรงพระสังเวช มีพระทัยเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติ จะเสด็จไปเมืองจันทบุรี”
แต่เมื่อทรงรับเป็นผู้นำกู้กรุง ก็จำเป็นต้องทำการบ้าน ที่ท้าทายอยู่เบื้องหน้า
พระราชภารกิจกู้กรุง เริ่มขึ้นทันที ที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัย ทิ้งกรุงศรีอยุธยา
ระหว่างสงครามเสียกรุง ทหารพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้นานนับปี ด้วยนโยบายปักหลักพักค้าง ยึดพื้นที่ไร่นาวัวควาย ให้กองทหารปลูกข้าวเป็นเสบียงกินข้ามปี ทำให้ราษฎรหัวเมืองรายรอบ ทำไร่นาไม่ได้ เกิดสภาวะอดอยากและอดตายกันไปทั้งกรุงศรีอยุธยา
ราษฎรบางส่วนถึงกับยอมมอบตัว หนีสภาพอดอยากต่อกองทัพพม่า สภาพเช่นนี้ยืดเยื้ออยู่เกือบ ๒ ปี
พระเจ้าตาก ยกพลจากหัวเมืองตะวันออก ตีฐานที่มั่นสุดท้ายของพม่า ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ขับไล่กองสุดท้ายทหารพม่าไปได้ แล้วสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่
เมื่อสภาวะสงครามผ่านพ้นไป พระราชภารกิจแรก คือการเยียวยาราษฎร ซึ่งอยู่ในสภาพหมดตัวกันถ้วนหน้า
“ราษฎรทั้งหลายซึ่งอดโซอนาถาทั่วสีมามณฑลเกลื่อนกล่น มารับพระราชทานมากกว่าหมื่น บรรดาข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนไทยจีนทั้งปวงนั้น ได้รับพระราชทานข้าวสารเสมอคนละถัง กินคนละยี่สิบวัน”
รัฐบาลกรุงธนบุรี ยังแจกเสื้อผ้า เงินสด การแจกแต่ละครั้งใช้งบประมาณไม่น้อย
นโยบายเยียวยานี้ ดำเนินไปตลอดช่วงแรกของการสถาปนากรุงธนบุรี ตั้งแต่ปี ๒๓๑๑ จนถึงปี ๒๓๑๔ ทำให้ราษฎรซึ่งหลบหนีสงครามเข้าป่าดง กลับออกมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
การที่ราษฎรเชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ ไม่ใช่เพียงนโยบายแจกข้าว คืนความสุขเพียงอย่างเดียว เพราะฝันร้ายจากสงคราม ยังคงจะหลอกหลอนราษฎรอยู่ไม่น้อย การเรียกความเชื่อมั่น จึงน่าจะรวมถึงการแสดงความแข็งแกร่งของรัฐบาลใหม่
ปรมินทร์ เครือทอง เขียนถึงศึกบางกุ้ง ศึกแรกหลังสถาปนากรุงธนบุรีไม่ถึงปี
กองทัพพม่ายกมาจากเมืองทวาย เพื่อหยั่งเชิงกองทัพกรุงธนบุรีที่ค่ายบางกุ้ง เขตเมืองสมุทรสงคราม ศึกนี้พระเจ้าตากจึงทรงนำทัพเอง เข้าตีกองพม่าแตกพ่ายไปอย่างไม่ยากเย็นนัก
ผลสงครามครั้งนี้ ได้ใจราษฎรเป็นอย่างมาก “พระเกียรติยศก็ลือชาปรากฏ ดุจพระยาไกรสรสีหาราช อันเป็นที่กลัวแห่งสัตว์จัตุบาททั้งปวง”
ศึกบางกุ้ง ยังส่งผลให้บรรดาหัวหน้าชุมชน มาเฟียท้องถิ่น ซ่องโจร ที่เคยออกอาละวาดปล้นชิงข้าวปลาอาหารวัวควายของชาวบ้าน...เกิดอาการเกรงกลัวพระเดชานุภาพ สงบราบคาบลงทุกๆ แห่ง ยุติอาชีพปล้นชิงกันสิ้น “ต่างเข้ามาถวายตัวเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท ได้รับพระราชทานเงินทองและเสื้อผ้า และโปรดชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางในกรุงและหัวเมืองบ้าง”
นโยบายคืนความสุข ส่งผลดีต่อรัฐบาล “บ้านเมืองก็สงบปราศจากโจรผู้ร้าย และราษฎรก็ได้ทำไร่นา ลูกค้าวานิชก็ไปมาค้าขายทำมาหากินเป็นสุข ข้าวปลาอาหารก็ค่อยบริบูรณ์ขึ้น คนทั้งหลายก็ค่อยให้บำเพ็ญการกุศลต่างๆ ฝ่ายสมณศากยบุตรในพระพุทธศาสนา ก็ได้รับบิณฑบาตจตุปัจจัย เป็นกำลังเล่าเรียนบำเพ็ญเพียรในสมณกิจ”
ปัญหาใหญ่ต่อมา คือบรรดาหัวหน้าชุมนุมใหญ่ ต่างตั้งตัวเป็นอิสระ เวลานั้นจึงมีเจ้าแผ่นดินเกิดขึ้น ๕ กลุ่มใหญ่ คือเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพิษณุโลก เจ้าพระฝาง เจ้าเมืองนคร เจ้าพิมาย
ปฏิบัติการคืนความสุขขั้นต่อไป ก็คือการรวบรวมชุมนุมใหญ่ทั้ง ๔ เมือง เข้ามาไว้ในราชอาณาจักรกรุงธนบุรี เพื่อความเป็นเอกภาพ การสลายกลุ่มก๊กชุมนุมต่างๆ ทำสำเร็จสิ้นใน ๓ ปีแรกของกรุงธนบุรี
เว้นแต่เมืองประเทศราชที่ยึดได้ในปีถัดมา (ตีได้กรุงกัมพูชา ในปี ๒๓๑๔ เชียงใหม่ ในปี ๒๓๑๗)
งานต่อมา ก็คือ จะต้องทำนุบำรุงการพระศาสนา ...ครั้นเมื่อตีเมืองพระนครได้ ก็ทรงให้ยืมพระไตรปิฎกมาคัดลอกจำลองไว้สำหรับกรุงธนบุรี เมื่อตีได้ชุมนุมพระฝาง ก็ทรงจัดระเบียบพระสงฆ์เมืองเหนือใหม่ เช่น พระภิกษุรูปใดปาราชิก ก็จะพระราชทานให้สึกออกมาทำราชการ
เมื่อฟื้นฟูพระราชอาณาจักร กลับมายิ่งใหญ่ได้แล้ว รัฐบาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็เดินหน้านโยบายเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ ปรารถนาจะได้รับการรับรองจากพี่ใหญ่ คือรัฐบาลจีน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง
การดำเนินการกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน เริ่มแรกปีสถาปนากรุงธนบุรี และต่อเนื่องหลายปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งรัฐบาลจีนเห็นว่า พระเจ้าตากควบคุมการปกครองไว้โดยเด็ดขาด ในปี ๒๓๑๔ รัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบาย ยอมรับพระเจ้าตากมากขึ้น
หลัง พ.ศ.๒๓๑๕ เอกสารราชการของราชสำนักชิง ได้เปลี่ยนการอ้างพระนามสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มิได้เรียกขานว่า หัวหน้าเผ่าชนอาณาจักรสยาม หรือ พระยาสิน หรือ กันเอินซือ แต่เรียกขานว่า เจิ้นเจา ซึ่งหมายถึง กษัตริย์เจิ้ง หรือ แต้อ๋อง
หลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็อนุญาตให้ขายสินค้าต้องห้าม จำพวกยุทธปัจจัยให้รัฐบาลกรุงธนบุรี ปี ๒๓๒๔ คณะทูตรัฐบาลกรุงธนบุรี ออกไปเจริญทางพระราชไมตรีถึงกรุงปักกิ่ง บรรลุข้อตกลงต่างๆเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดาย คณะทูตไม่สามารถนำข่าวดีกลับมากราบบังคมทูลได้ทัน เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแผ่นดินกรุงธนบุรี เป็นกรุงรัตนโกสินทร์เสียก่อน ...ที่มาข้อมูล : "บาราย" นสพ.ไทยรัฐ ๒๖ ต.ค. ๕๗