22 ธันวาคม 2567 14:21:36
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
.:::
ตถตาหน้าเชิงตะกอน
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ตถตาหน้าเชิงตะกอน (อ่าน 7532 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:12:39 »
Tweet
ตถตาหน้าเชิงตะกอน
ธรรมกถาสำหรับพิจารณาความตาย
เทปบันทึกคำปราศรัย เพื่อนำมาแสดงในงานฌาปนกิจศพ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ เวลา ๒๐.๐๐ น.
ถอดความโดย : พรหมญาณี
ท่านสาธุชน ผู้มาร่วมการกุศลเนื่องในงานฌาปนกิจศพของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำไมอาตมาเรียกว่ามาร่วมการกุศล ทั้งนี้เพราะว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการทำให้เกิด “ กุศล “ คือความฉลาด ไม่ใช่เป็นแต่เรื่องทำบุญทำทานเท่านั้น แต่ว่าเป็นการศึกษาซึ่งทำให้ฉลาด จึงได้เรียกว่ากุศล
กุศลนั้นเป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน ส่วนบุญนั้นสำหรับเวียนว่ายไปในวัฏฏสงสาร
อาตมาอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายให้เลือกเอากุศล เพื่อเป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน
อย่าเลือกเอาบุญ
สำหรับจะเวียนว่าย
ไปในวัฏฏสงสาร แม้ว่าจะไปเกิดในสวรรค์
นั่นแหละ
ยิ่งทำให้เนิ่นช้าแก่การบรรลุนิพพาน
นิพพานคือทางรอดของมนุษย์
ขอให้นึกถึงข้อที่ว่า ทางรอดของมนุษย์เรานั้นต้องไปทางพระนิพพาน จึงควรทำให้การกระทำของเราในวันนี้เป็นไปในทางกุศล ซึ่งเป็นการศึกษาที่ทำให้ฉลาด ศึกษาอะไรกัน ก็ตอบว่าศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นการศึกษาอย่างสันทิฏฐิโกด้วย คือศึกษาอย่างที่
รู้สึกประจักษ์อยู่ในจิตใจ จึงจะเป็นสันทิฏฐิโก
ไม่ใช่ฟัง ๆ ท่อง ๆ จำ ๆ และเดี๋ยวก็ลืม
ที่ว่าศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น เป็นหัวใจอย่างไรกัน ข้อนี้โปรดทราบว่า คือศึกษาเรื่อง
“ ตถตา “
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
ในฐานะเป็นคำสรุป
ของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ท่านบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้ก็ได้ แม้ว่ามีอยู่ในพระบาลีพุทธสุภาษิตในพระไตรปิฎก แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาพูดให้ฟังให้ได้ยินว่า “ ตถาตา “ คำนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้า
เข้าใจ
ถึง
หัวใจ
ของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะเป็นการง่าย
ในการที่จะดับทุกข์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2553 16:28:16 โดย เงาฝัน
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #1 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:18:22 »
ตถตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
ตถตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเองซึ่งเป็นความจริงที่สรีระของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ ในบัดนี้แสดงให้เห็นอยู่ตำตา คือศพของท่านที่เราทั้งหลายจะมาทำการฌาปนกิจนั่นแหละ แสดงอยู่ ศพนั้นแสดงให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนี้เอง ซึ่งเรียกว่า “ ตถตา “ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ท่านทั้งหลายตาบอดหรือย่างไร จึงไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง หูหนวกหรืออย่างไร จึงไม่ได้ยินคำว่าเช่นนั้นเอง ซึ่งผู้ที่อยู่ในหีบศพกำลังแสดงให้เห็นอยุ่ บอกให้ได้ยินอยู่ ตถตามีความหมายว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันเป็นอย่างนี้เอง หรือว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา คือเพราะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงดับลง แม้แต่ศพก็ยังพุดได้ แล้วคนหูหนวกก็ไม่ได้ยินเอง ไม่ได้ยินว่า ตถตา ๆ เช่นนั้นเอง แม้ศพ ซากศพนี้แหละกำลังร้องตะโกนแก่ท่านทั้งหลายว่า ตถตา ตถตา-ตถตา-เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ฟังให้ดี ๆ ท่านว่า ตถา หรือ ตถตา หรือตถาตา คำใดคำหนึ่งก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ทุกคำแปลว่า เช่นนั้นเอง หรือมีความเป็นเช่นนั้นเอง แม้อริยสัจทั้งสี่ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า เป็นตถตา คือความทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น ความดับสนิทก็เป็นเช่นนั้น ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง ตามความจริงของสิ่งนั้น ๆ นี้คือตถตาที่เป็นอริยสัจ
ส่วนที่เป็นปฏิจจสมุปบาทก็คือขยายความให้กว้างออกไปว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ครั้นมีชาติแล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ทั้งปวง นี้เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกเป็นบาลี ตถา หรือตถตา หรือตถาตา มีใจความว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แม้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ ก็รวมอยู่ในตถตาคือเป็นเช่นนั้นเอง
ท่านเรียนเรื่องเหล่านี้กันแต่เพียงว่าจดลงในสมุด หรือว่าสวดท่องด้วยปากจนน้ำลายฟูม มันก็ยังไม่เห็นตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เดี๋ยวนี้ศพในหีบศพได้แสดงความเป็นเช่นนั้นเองอย่างชัด ๆ อยู่ตำตา ก็ไม่เห็น ศพร้องตะโกนอยู่อย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ยิน แล้วจะโทษใคร
อาตมาก็มาช่วยบอกอีกที ว่าทุกสิ่งแสดงความเป็นเช่นนั้นเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ เวลาที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเห็นได้ง่าย ๆ ก็คือเวลาที่มีสรีระของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทอดทิ้งอยู่ที่เราเรียกกันมาเผานั่นแหละ ปู่ย่าตายายของเราฉลาดนะ ท่านตั้งประเพณีนี้ขึ้นมาว่า ทุกคนต้องไปเผาศพเพราะเป็นกุศลอย่างยิ่ง จะไม่เรียกว่าบุญนะ จะเรียกว่ากุศล ไปเอากุศล เพราะเป็นโอกาสที่จะฉลาดในการที่จะได้ศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนา คือเรื่องตถตานี้เอง ยิ่งถ้าเปิดหีบศพดูศพในหีบแล้ว จะเห็นตถตาได้ง่ายขึ้นไปอีก หรือแม้ว่าเราจะดูโดยทั่ว ๆ ไป ถ้าเรามีความรู้ ก็พบว่าตถตามีอยู่ทั่วไป ความเป็นเช่นนั้นเองมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #2 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:19:46 »
ตถตาหน้าเชิงตะกอน
(:LOVE:)เรื่องนี้น่าสนใจริง ๆ เลย พี่ แป๋ม
(:LOVE:)เคยอ่านในหนังสือมาบ้างแล้ว
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2553 18:20:47 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #3 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:27:01 »
เห็นตถตา – เห็นธรรม
ตถตานี้สำคัญมาก ถ้าเห็นแล้วปุถุชนก็จะกลายเป็นพระอริยเจ้า เพราะถ้าเห็นแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก โดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็นตัวกู-ของกู ก็เพราะเขาไม่เห็นความความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ๆ เพราะเขาไม่รู้ หรือโง่เขลาต่อสิ่งนั้น ๆ จึงไปยึดเอาเป็นสิ่งที่น่ารัก มีความรัก และโกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ เกลียดในสิ่งที่ชวนให้เกลียด กลัวในสิ่งที่ชวนให้กลัว แล้วก็เป็นทุกข์เอง ขอพูดหยาบคายสักหน่อยหนึ่งว่า สมน้ำหน้าที่เขาไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไปยึดเอาด้วยความโง่เขากิเลสมันก็เกิด ไปยึดเอาความเป็นตัวตนของตน ไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ไปยึดเอามาเป็นตัวตนเป็นของตน กิเลสมันก็เกิด มันก็เป็นทุกข์เพราะกิเลสเผา
ถ้าเห็นว่า โอ้..ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเองตามแบบของมันเอง มันก็จะไม่ยึดถือ คือจะไม่หลงรัก ไม่หลงโกรธ ไม่หลงเกลียด ไม่หลงกลัว นั่นแหละคือมันไม่เกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง มันไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงเพราะสิ่งนั้น ๆ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นของธรรมชาติ คนบ้าเท่านั้นที่จะยึดเอาของธรรมชาติมาเป็นของกู มันเป็นการปล้นเอาธรรมชาติมาเป็นของกู ปล้นกันปล้นซึ่งหน้า เอาธรรมชาติมาเป็นของกู เพราะไม่เห็นตามที่เป็นจริงว่าเป็นของธรรมชาติ คือเป็นเช่นนั้นเอง
เดี๋ยวนี้ ท่านอยู่ในหีบศพกำลังแสดงธรรม ดังลั่นไปหมด ว่าอะไร ๆ ก็เป็นเช่นนั้นเองนะโว๊ย คนหูหนวกเหล่านี้ก็ไม่ได้ยิน คนตาบอดเหล่านี้ก็ไม่ได้เห็น แม้จะเห็นซากศพนี้ก็ไม่เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง หูหนวกเสียหมด ตาบอดเสียหมด ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะให้ได้กุศลในการฌาปนกิจศพแล้ว ให้ทำตาให้ดี ๆ ทำหูให้ดี ๆ ให้ใช้ประโยชน์ได้ ให้ได้ยินเสียงที่ก้องไปหมดว่า เช่นนั้นเอง
ท่านที่อยู่ในหีบศพกำลังพูดว่า ไอ้ที่เจ็บไข้นั้นมันก็เป็นเช่นนั้นเอง กินยาก็เช่นนั้นเอง หายก็เช่นนั้นเอง ไม่หายก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง คำพูดเหล่านี้อาตมาอยู่ถึงที่วัด ได้ยินแล้ว ท่านทั้งหลายอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ยิน ถ้าใครนั่งอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ยิน คนนั้นก็หูหนวกเหลือประมาณ
พูดถึงคำว่า “ เช่นนั้นเอง “ ให้ละเอียดสักหน่อย เช่นนั้นเอง-เป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่า ตถาบ้าง ตถตาบ้าง ตถาตาบ้าง ล้วนแต่แปลว่า เป็นเช่นนั้นเอง หรือมีความเป็นเช่นนั้นเอง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #4 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:37:02 »
ความหมายต่าง ๆ ของ “ ตถตา “
พระพุทธเจ้าท่านตรัสคำเหล่านี้เนื่องกันไปว่า
ตถตา-เป็นเช่นนั้นเอง
อวิตถตา-ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น
อนัญญถตา-ไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
ธัมมัฏฐิตตา-มีความตั้งอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งหลาย
ธัมมนิยามตา-เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติทั้งหลาย
อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท-ความที่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น มันอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้น นี้คืออาการที่มันเป็นเช่นนั้นเอง
ความเป็นอย่างนั้นเองเรียกว่า ตถตา หรือตถาตา หรือตถาเฉย ๆ ก็ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังมองไม่เห็นอีกหรือว่ามันเป็นอย่างไร สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เช่นนั้นเอง ทุกขังเป็นทุกข์ เช่นนั้นเอง เป็นอนัตตามิใช่ตัวตน เช่นนั้นเอง แม้อริยสัจทั้งสี่ที่เป็นความจริงอันประเสริฐสุด ทุกข์ก็ต้องเป็นเช่นนั้นเอง เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง ความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง คือมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี้เรียกสั้น ๆ ว่า ตถา แปลว่า เป็นเช่นนั้นเอง ผู้ใดถึงซึ่งตถา โดยความหมายคือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะถึงซึ่งตถา เรียกว่าตถาคต-ผู้ถึงซึ่งตถา คำนี้เป็นชื่อของพระอรหันต์มาแต่โบราณกาล
ทำไมเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธกลับไม่รู้เรื่องนี้ ไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่เอาเรื่องนี้มาพูดกันในบ้านในเรือน ในฐานะผู้คุ้มครองคนทั่วไปไม่ให้เป็นทุกข์ เรียกว่าเราไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเห็นหรือถึงตถตาแล้ว จะไม่มีใครร้องไห้ จะไม่มีใครหัวเราะอย่างคนบ้าเพราะดีใจ หัวเราะอย่างหลงใหล ลิงโลด เพราะไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เห็นเป็นของแปลกของดีของได้น่าอัศจรรย์ ก็หัวเราะ ทีนี้เมื่อไม่ได้ก็ร้องไห้ เขาไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เห็นว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ร้องไห้อย่างเป็นบ้าก็มี ไปกระโดดน้ำตายก็มี เพราะไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เห็นเช่นนั้นเองแล้วก็บันดาลโทสะ เกิดโมหะเป็นความหลงอยู่ในลักษณะอย่างนั้น เพราะมันไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันอยากได้ มันกำหนัด มันรักใคร่ มันเป็นของร้อนในใจ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2553 18:53:13 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลี่ยนภาพค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #5 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:44:58 »
ทุกข์เกิดเพราะไม่เห็นตถตา
เมื่อไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธ โกรธมันก็ร้อนขึ้นมา ไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเอง มันก็มืดมนไปหมด เป็นโมหะก็ร้อนขึ้นมา ร้อนอยู่ในใจ จึงขอให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองเถิด จะไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องมีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะว่าได้รู้เห็นเช่นนั้นเอง รู้เห็นเช่นนั้นเองแล้วจะไม่ต้องปวดหัว จะไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ จนต้องกินยานอนหลับ จะไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิตให้ละอายแมว
ข้อนี้จะฟังออกหรือไม่อาตมาก็ยังไม่แน่ใจ คนเป็นอันมากยังมีอะไรยังเป็นอะไร อย่างที่เรียกว่า น่าละอายแมว แมวไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว หรือยาแก้นอนไม่หลับ แต่วันหนึ่งคนกินยาชนิดนี้ทั้งโลกแล้วเป็นตัน ๆ ทีเดียว คนกินทั้งนั้น แมวไม่ได้กิน แมวไม่ต้องไปโรงพยาบาลโรคประสาท แมวไม่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิต จับแมวมาดูสิ มันไม่มีลักษณะแห่งโรคประสาท หรือลักษณะแห่งโรคจิต แล้วคนเราทำไมต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต ให้ละอายแมว
ปู่ย่าตายายของเราในอดีตนั้นท่านรู้ธรรมะกันดี ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนแก่ ๆ นั้นเขารู้เรื่องเช่นนั้นเองพอสมควรทีเดียว อะไร ๆ ก็ให้อภัยได้ คนแก่ยังมานั่งร้องบอกลูกเด็ก ๆ ว่า อย่ามานั่งร้องไห้อยู่เลย ลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย เหลนเอ๋ย อย่าร้องไห้ไปเลย มันเป็นเช่นนั้นเอง
คนแก่ ๆ ในสมัยโน้นเขาทำได้ สมัยนี้ทำไม่เป็น พูดไม่เป็น เมื่อเมียมีชู้ ผัวก็ไม่ต้องตามฆ่าล้างโคตรเหมือนเดี๋ยวนี้ หรือว่าผัวหรือแฟนไม่รัก เขาทิ้งไป ก็ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ ไม่ต้องกินยาตาย ไม่ต้องโดดน้ำตาย เหมือนข่าวหนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร โง่หรือฉลาด ตัดสินเอาเอง
คนที่รู้พุทธศาสนา รู้ความจริงของธรรมชาติ ต้องรู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เขาจึงไม่มีความทุกข์ ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็รู้ว่า เอ้า.. มันเช่นนั้นเอง แล้วก็หาวิธีช่นนั้นเองที่เหนือกว่ามาแก้ปัญหานั้นได้ เวลาได้ความสุข เขาก็ไม่หลงใหล เพราะว่าไอ้ความสุขนั้นมันก็เป็นเช่นนั้นเอง สักว่าเช่นนั้นเอง สักว่าเท่านั้นเอง จะไปเสียเวลาหลงใหลมันให้เหนื่อยอกเหนื่อยใจทำไม เขาก็แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
คำว่า “ เช่นนั้นเอง “ คือคำว่า “ ตถตา “ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มาฟังกันให้ดี ๆ มาศึกษากันให้ดี ๆ โดยเฉพาะในวันฌาปนกิจศพ เพราะว่าศพทั้งหลาย ย่อมตะโกนบอกอย่างนี้ทั้งนั้น หูมันหนวกมันก็ไม่ได้ยิน ศพทั้งหลายแสดงความเป็นเช่นนั้นเองให้เห็น ตามันบอดมันก็ไม่เห็น ถ้ามาในการฌาปนกิจศพ มาร่วมการกุศลในการฌาปนกิจศพแล้ว ขอให้ทุกท่านได้ยินคำว่า เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง ขอให้ได้เห็นภาวะแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง อย่าหูหนวก อย่าตาบอดไปนักเลย ศพจะหัวเราะเยาะเอามนุษย์ให้ได้อาย ผีทั้งหลายก็จะชวนกันหัวเราะเยาะมนุษย์ให้ได้อาย
เราจะถือว่าป่าช้านี้เต็มไปด้วยผีก็ได้ เพราะคนมันโง่ ทุกคนไม่รู้เช่นนั้นเอง จึงเรียกว่าเป็นคนโง่ ก็คือไม่เห็นเช่นนั้นเองที่ซากศพก็แสดงให้เห็นอยู่ ผีก็ต้องหัวเราะคนโง่เหล่านั้น หัวเราะมนุษย์ให้ได้อาย เราอย่าตกเป็นเหยื่อให้ผีได้หัวเราะเยาะเราเลย และอีกทางหนึ่งก็อย่าได้ละอายแมวด้วย เห็นเช่นนั้นเองเสียเถิด จะไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว
นี่แหละ มาร่วมการกุศลฌาปนกิจศพ ก็จะได้กุศลอย่างยิ่ง กุศลอย่างสูงสุด คือฉลาดอย่างนั้น ฉลาดอย่างนี้ จนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นความทุกข์ทรมานใจ บุญ ๆ นี้พาให้เวียนว่ายไปในวัฏฏสงสาร ไม่ค่อยจะสิ้นสุด กุศล กุศลนี้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน เลือกเอาปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน อย่าจับฉวยเอาปัจจัยแห่งวัฏฏสงสาร ฉะนั้นขอให้ทุกคราวที่มาร่วมในการฌาปนกิจศพนี้ ได้มีกุศล ได้กุศลเพิ่มขึ้น ๆ ฉลาดขึ้น ๆ เป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพานยิ่งขึ้น ๆ จงทุกคนเถิด
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2553 18:50:55 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: ตถตาหน้าเชิงตะกอน
«
ตอบ #6 เมื่อ:
10 พฤษภาคม 2553 16:49:26 »
ธรรมะประคับประคองใจ
อาตมาขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลาย ผู้มองเห็นเช่นนั้นเอง ผุ้มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้มองเห็นตถตาเป็นผุ้เข้าใจในความเป็นเช่นนั้นเอง ได้ยินเสียงว่าเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ก้องอยู่ตลอดเวลา นำมาใช้เป็นเครื่องประคับประคองจิตใจของตน ให้เดินอยู่ในทางที่ถูกต้อง และไม่ไปคว้าเอาอะไรมาถือมั่นยึดมั่น เอาเป็นตัวกู-ของกู ก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม หรือพระศาสนานี้เป็นอย่างยิ่ง
เนื่องในการที่มาร่วมการกุศลฌาปนกิจศพ ขอให้ท่านทั้งหลายมีกุศลเพิ่มขึ้น ๆ ทุกทีที่มาในการฌาปนกิจศพ ได้รับยอดสุดของพระพุทธศาสนา คือหัวใจของพระพุทธศาสนาเรื่องตถา ตถตา ตถาตา-ความเป็นเช่นนั้นเอง อวิตถตา-ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้นเอง, อนัญญถตา-ไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเจริญอยู่ด้วยปัญญา งอกงามในพระพุทธศาสนา ไม่มีทุกข์เลยทุกทิพาราตรีกาล
ในที่สุดนี้ อาตมาขอยุติคำปราศรัยต่อท่านสาธุชนทั้งหลายที่พากันมาเพื่อบำเพ็ญกุศลเนื่องในการฌาปนกิจศพของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ แล้วอุทิศส่วนกุศลทั้งหลายที่เราแต่ละท่านได้รับในส่วนจิตใจให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อความสุขความเจริญงอกงามตามสมควรแก่คติและวิสัยของท่านผู้นั้นจงทุก ๆ ประการเทอญ ขอยุติคำปราศรัยไว้เพียงเท่านี้
http://chatu2008.spaces.live.com/blog/cns
!8D50BFF48EE14169!786.entry
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 พฤษภาคม 2553 13:46:28 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...