[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 23:42:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ​(Into The Magic Shop)​  (อ่าน 287 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 104.0.0.0 Chrome 104.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 ธันวาคม 2566 07:58:24 »



เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ​(Into The Magic Shop)​

เนื้อหาเป็น​ เป็นเรื่องเล่าประวัติของประสาทศัลยแพทย์​คนหนึ่งที่เกิดในครอบครัวยากจนและมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว​ แต่ประสบความสำเร็จจากกลของร้านขายของเวทมนตร์​

เล่มนี้คล้ายเล่ม The​Secret ที่บอกให้เชื่อแล้วเราจะได้ทุกอย่าง คล้ายกับกฎแรงดึงดูด แต่ละเอียดกว่าและเป็นเรื่องจริง ได้เรียนรู้ไปกับตัวละครในเรื่องที่นอกเหนือจากกฎนี้

ความคิดเห็นส่วนตัว​ ชอบเล่มนี้​ ดีมากเลย​ แค่บทนำก็ดีมาก เข้าไปอยู่ในลิสหนังสือที่ชอบแล้ว​ เป็นเล่มที่อ่านแล้วน้ำตาซึมตลอดเล่ม เขียนดี เล่มนี้บุคลากร​ทางกายแพทย์น่าอ่านมาก มันสะท้อนคิดเรื่องของตัวเราเอง จากคนที่มีประสบการณ์​มากกว่า แต่มาจากคนที่born to be หมอ นะ ไม่ใช่จากคนที่เรียนๆไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเป็นแล้ว

อ่านจบ​
-อยากอ่านวิธี​ผูกมิตรและจูงใจคนเลย ของแดล คาร์เนกี้ เพราะจิม(ตัวละครในเล่ม)​ก็อ่านเหมือนกัน
-คิดว่า บางทีเราอาจจะเปลี่ยนศาสนาเพราะเล่มนี้ ศาสนา แห่งความเอื้ออารี ทำให้อยากอ่านเล่มของที่องค์ไทลามะเขียน คือเล่มข้ามพ้นศาสนา​ เป็นเล่มที่Ray Dalio แนะนำมีแปลไทยแล้ว​เตรียมอ่านต่อ และทำให้อยากอ่านเล่มแค่รู้วิธีให้คนรับได้เท่าไรคนให้ได้มากกว่า

-เล่มนี้ทำให้เรายิ่งชอบชีวิตตอนนี้ อาชีพตอนนี้มากขึ้นมากนะ​ รู้สึกว่าเราโชคดีในหลายๆอย่าง ถึงจะไม่เคยมีเป้าหมายอะไรตั้งแต่เด็ก แต่เหมือนมาอยู่ในที่ทางที่ถูกต้องแล้ว ทำไมเมื่อก่อนไม่คิดยังงี้ไม่รู้นะ

https://t.co/vJT45jf51t
ไปเจอลิ้งค์นี้​เขียนรีวิวโดยบังเอิญ เขียนดีมาก เป็นประสบการณ์​คนที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์​จนไปพบจิตแพทย์​แล้วก็เชื่อมโยงกับเล่มนี้

NOTE: ข้อความที่ชอบ//สิ่งที่คิด
-สมองคือเครื่องจักรที่ยิ่งใหญ่ แต่หากปราศจากหัวใจ มันก็คือก้อนซับซ้อนที่พร้อมจะพาเราหลงทาง
-ผมจะเรียกมันว่าหน้ากากยอดมนุษย์และห้องสว่างเพื่อไม่ให้เขารู้สึกกลัวเกินไป//ประโยค​นี้นึกถึงpapoose board เรามักจะเรียกมันว่าผ้าห่มกับเด็กๆ หมอผ่าตัดสมองก็มีคำเรียกของเขาเหมือนกันนะ
-ผมยังจำได้ถึงครั้งแรกในห้องผ่าตัดในฐานะผู้ช่วยของศัลยแพทย์​ชื่อดังคนหนึ่ง ผู้ที่แม้มีความสามารถปราดเปรื่องแต่ก้าวร้าวและเจ้าอารมณ์​มากๆเวลาผ่าตัด//คุ้นๆนะ พูดถึงตอนนี้เรากลับนึกถึงตอนเรียนของภาควิชาหนึ่ง
-ทีมที่ดีทำให้เกิดจังหวะและความลื่นไหลอย่างยอดเยี่ยม//จริงมาก นึกถึงผู้ช่วยเลย นึกถึงตอนผ่าตัด แค่ผ่าเล็กๆน้อยๆเรายังหงุดหงิดเลยถ้าเป็นผู้ช่วยหัดใหม่ จนต้องบอกว่าให้เปลี่ยนคน สลับผู้ช่วยจากเตียงอื่น
-เธอจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ.. แค่ฝึกฝน..เธอแค่ยังไม่รู้จักมัน // สะดุดกับคำพวกนี้
-ผมมักได้ยินผู้ป่วยหลายคนกล่าวถึงความเจ็บปวดที่รู้สึกโดยเฉพาะตอนกลางคืน ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดมีมากขึ้นตอนกลางคืน แต่เพราะตอนกลางคืนไม่มีสิ่งรบกวนใจ เมื่อจิตใจสงบลง ความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั้งวันก็ดูชัดเจนขึ้น
-ตอนที่หัวใจของเราบาดเจ็บ มันจะเปิดออกและเราจะโตขึ้นจากการบาดเจ็บนั้น
-ในชีวิตทุกๆคน เราเลือกได้ว่าอะไรยอมรับได้ ตอนเป็นเด็ก เราไม่ได้มีทางเลือกมาก เราเกิดในครอบครัวและสถานการณ์​ที่เหนือความควบคุม แต่เมื่อเราโตขึ้น เราเลือกได้
-อย่าดูถูกตัวเองเกินไป //????????
-เพียงเพราะบางอย่างหักพังไม่ได้หมายความว่ามันพังไปทั้งหมด.. ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายเพียงเพราะบางอย่างเลวร้าย ผมไม่จำเป็นต้องร้ายไปด้วย
-การได้เห็นพ่อแม่มีความสุขทำให้ผมรู้ว่าตะกร้าเหล่านี้มีค่าเพียงใดกับอีกหลายคน..ไม่บ่อยนักที่จะได้อยู่ทั้งสองฝั่งของการให้หรือความเอื้อเฟื้อ.. ผมได้เรียนรู้ความสุขจากการให้และการรับ.. การรู้จักทั้งสองด้านนี้เองช่วยส่องทางชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผม //คือต้องมีทั้งสองด้านสินะ ให้และรับให้เป็น ไม่ใช่ให้อย่างเดียว คือเจอจากไหนมาก่อนหน้านี้แล้วนะที่สอนเกี่ยวกับอันนี้
-เส้นทางของพวกเรานั้นไม่ได้มีแต่การเดินทางภายใน แต่ยังมีการเดินทางภายนอกและการเชื่อมโยงกับคนอื่นๆด้วย
-อาการที่รู้สึกโดดเดี่ยว กังวล และซึมเศร้าแพร่หลายเพิ่มขึ้นในโลกโดยเฉพาะฝั่งตะวันตก เพราะจิตวิญญาณและการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คนนั้นถดถอยไป
-เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการติดต่อทางสังคม เราพัฒนามาเพื่อทำงานร่วมกันและติดต่อประสานกับคนอื่น และเมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดหายไปก็ทำให้เราป่วย
-บ่อยครั้งที่เราตัดสินใครบางคนด้วยลักษณะท่าทาง การพูด หรือความประพฤติ และการตัดสินเหล่านั้นส่วนมากเป็นทางลบและผิดไปจากความจริง เราต้องมองผู้อื่นแล้วคิดว่า เขาก็เหมือนเรา เขาก็ต้องการสิ่งที่เราต้องการ คืออยากมีความสุข
-ในเวลาที่รู้สึกดีเรามักมีแนวโน้มที่จะพยายามเก็บรักษาและยึดติดกับความปิติยินดีเกินไป จนดึงเราไปจากชั่วขณะที่เราอยู่ปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับการวิ่งหนีความรู้สึกไม่ดี.. อารมณ์​ที่ขึ้นและลงนั้นล้วนแต่เกิดชั่วคราว
-การให้อภัย เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้ผู้อื่นได้และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราให้ตัวเองได้เช่นกัน
-ความจริงแล้วพวกเราทุกคนเคยทำผิดกับคนอื่นทั้งสิ้น เราต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง พร้อมจะผิดพลาด ที่หลายครั้งในชีวิตไม่สามารถไปถึงความสมบูรณ์​ที่เราหวังไว้ และหลงทำร้ายหรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บ
-ความซาบซึ้งใจ คือการรู้สึกขอบคุณ​ชีวิตที่เป็นอยู่ แม้จะมีความเจ็บปวดและทุกข์.. บ่อยครั้ง.. เรามองดูกันและกันอย่างอิจฉาริษยา​การรู้สึกซาบซึ้งใจแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็มีผลอย่างมากต่อเจตคติในใจ คุณจะรู้สึกทันทีว่าคุณโชคดีแค่ไหนแล้ว
-ความเอื้ออารี คือ ความห่วงใยผู้อื่น เป็นเหมือนภาคการแสดงออกของความเมตตา.. การแสดงความเอื้ออารีจะกระเพื่อมวงออกไปส่งผลให้เพื่อนและคนที่อยู่รอบตัวคุณ​มีความเอื้ออารีมากขึ้น เป็นเหมือนโรคติดต่อทางสังคมที่ทำให้สังคมดีขึ้น และในที่สุดความอารีนั้นก็จะกลับมาถึงเราในรูปของความรู้สึกดีข้างในใจและในรูปของสิ่งที่คนอื่นทำต่อเราด้้วยความเอื้ออารี//อันนี้คิดว่าจริงนะ
-ผมเริ่มปล่อยวางเรื่องราวที่นิยามความหมายชีวิตผม ผมได้สร้างตัวตนขึ้นมาจากความยากจน แต่ตราบใดที่ผมยังแบกตัวตนนั้นไว้ ไม่ว่าผมมีเงินทองมากมายเพียงใด ผมจะยังจมปลักอยู่ในความยากจน
-ผมเปิดหัวใจให้แม่และพ่อ และผมก็รู้สึกว่าผมให้อภัยพวกเขา ผมเปิดหัวใจของผมให้เด็กที่ผมเคยเป็น และพบความเมตตา ผมเปิดหัวใจของผมให้ความผิดพลาดทั้งหมดที่ผมเคยทำและให้หนทางโง่ๆที่ผมพยายามจะพิสูจน์​คุณค่าของผมในโลกใบนี้และได้พบกับความถ่อมตน.. เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ผมก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนเดียวในโลกที่รู้จักโดดเดี่ยว รู้สึกทิ้งขว้าง หรือแตกต่างจากคนอื่น ผมเปิดหัวใจและพบว่าหัวใจของผมมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงกับหัวใจดวงอื่นๆที่ได้พบ//แบบนี้นี่เองที่เค้าบอกว่าเชื่อมโยงกับผู้คนในหน้าก่อนหน้า
-การศึกษาหลายครั้งแสดงว่าเมื่อผู้ป่วยได้ฟังดนตรีก่อนผ่าตัด ผลคือผู้ป่วยกังวลน้อยลง ต้องการยาลดปวด และยาสลบลดลง ดนตรีส่งผลเช่นเดียสกับยาที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความเครียด และควาทดันโลหิต ให้ผลด้านความสงบทั้งกับผู้แ่วยและศัลยแพทย์​เอง // ไปค่ะเปิดเพลงไประหว่างทำ ก่อนนี้เคยเปิด ก็รู้สึกอารมณ์​ดีตอนทำนะ รู้สึกอยากทำงานมากขึ้น ตอนเบื่อๆ เช่น​ ตอนทำโอที
-แย่หน่อยที่ประสาทศัลยแพทย์​บางคนอธิบายอาการที่ร้ายแรงที่สุดอย่างทื่อๆตรงไปตรงมาด้วยข้อเท็จจริง บอกวิธีการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้เข้าใจเลยว่า แม้นี่จะเป็นงานปกติประจำวันของแพทย์อย่างเรา แต่การรักษานั้นมักจะเป็นเรื่ิองใหญ่มากในชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขา.. เธอจึงกลับมาด้วยความหวาดกลัว ด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองไม่ใช่คน แต่เป็นโรค ????????// เราคนนึงเหมืิอนจะไม่ค่อยได้มองในมุมนี้เลย หรือบางทีก็ลืมไป
-ผมรู้เสมอว่าการใช้เวลากับผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแพทย์ สุดท้ายแล้วพวกเราอยู่กับคนจริงๆที่มีความกังวลและความกลัวจริงๆ ผู้ป่วยไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำงานผิดปกติ และศัลยแพทย์​ไม่ใช่ช่างเครื่อง
-การที่คนไข้มั่นใจในความสามารถของคุณนั้นเป็นเรื่องวิเศษ แต่มันต่างไปถ้าเขาหรือเธอเป็นเพื่อนด้วย
-เป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับศัลยแพทย์​ที่จะคิดถึงความเป็นมนุษย์​ของผู้ป่วยระหว่างผ่าตัด งานนี้ต้องเป็นเรื่องทางเทคนิคล้วนๆ คุณจำเป็นต้องมองคนเหมือนว่าเขาเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง หากคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์​คนนี้ คุณจะผ่าตัดต่อไม่ได้ //ฉุกคิดขึ้นมาว่า เวลาทำเคสคนใกล้ตัวชอบมีอะไร เพราะแบบนี้รึเปล่า หรือนี่เป็นคนเดียวนะ
-เราทุกคนมีพรสวรรค์​และความสามารถที่จะเชื่อมโยงถึงผู้อื่น ไม่ว่าจะผ่านดนตรี ศิลปะ บทกวี หรือเพียงฟังซึ่งกันและกัน มีวิธีการหลายล้านวิธีที่หัวใจจะพูดคุยกัน
-//เล่มนี้มีบอกที่มาของพิธีมอบเสื้อกาวน์นิดหน่อย แต่พึ่งรู้เลย มันเริ่มจากประเพณี​ท่องคำปฏิญาณว่าจะรักษามาตรฐาน​ทางจริยธรรมอย่างสูงสุด จากสำนวนละติน Primum non nocere แปลว่าเหนือสิ่งอื่นใด ห้ามทำให้เกิดอันตราย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการแพทย์
-//เล่มนี้ทำให้คิดได้ว่า อย่าดูถูกเพื่อนที่เรียนไม่เก่ง เหมือนกับคนเขียนหนังสือเล่มนี้ ที่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นอาจารย์​ ทุกคนเรียนรู้ได้ และบางทีมันมาจากโอกาสด้วยเหมือน​เล่มoutlierบอก และเล่มนี้บอก

-การเชื่อมโยงจุดต่างๆในชีวิตทำได้ง่ายเมื่อมองย้อนหลัง แต่จะยากกว่ามากที่จะเชื่อว่าจุดเหล่านี้จะเชื่อมกันเป็นภาพอันสวยงามขณะที่ชีวิตพัวพันอยู่ในความยุ่งเหยิง
-การให้ความรักเป็นไปได้เสมอ รอยยิ้มให้กับคนแปลกหน้าอาจเป็นของขวัญได้ ทุกขณะของการไม่ตัดสินมนุษย์คนอื่นเป็นของขวัญ ทุกขณะของการให้อภัยตัวเองและคนอื่นเป็นของขวัญการแสดงออกซึ่งความเมตตา
-ความตั้งใจที่จะทำเพื่อผู้อื่นทุกครั้งเป็นของขวัญให้กับโลกและตัวคุณเอง
-การหยิบยื่นให้คนอื่น.. กระตุ้นศูนย์ความพึงพอใจและให้รางวัลในสมองยิ่งกว่าเวลาเราเป็นผู้รับ และเมื่อเราเห็นคนทำสิ่งที่เอื้ออารีหรือช่วยเหลือผู้อื่น ผลคือเราจะยิ่งแสดงความเมตตากรุณามากขึ้น //นี่เองคือเหตุผลเวลาบริจาคจะรู้สึกดีแต่ไม่รู้จะมากกว่าการรับแบบที่เค้าทดลองไหม แต่ข้อความที่สองคิดว่าจริงนะเช่นเวลาเห็นใครบริจาคเราก็อยากจะทำด้วย อย่างงี้ใครทำดีช่วยเหลือคนอื่นก็ควรแชร์อ่ะ มันจะได้สร้างสิ่งดีๆต่อๆไปได้ในสังคม เหมือนเป็นโรคติดต่อ
-ผมตระหนักว่าผมตั้งใจพูดประโยค​ในช่วงท้ายนี้มากจนไม่สามารถสนใจผู้ฟังเมื่อพูดจบผมเห็นหลายคนร้องไห้//me too ???????? เล่มนี้นี่น้ำตาคลอหลายรอบไม่ได้เศร้านะ​ แต่มันตื้นตันแปลกๆ
-เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุคความเมตตา ผู้คนเรียกร้องหาความเข้าใจที่ยืนของตนในโลก และหนทางที่จะมีความสุข

จาก https://medium.com/@preawampanmaipetra


<a href="https://www.youtube.com/v//2040dHr4lNo" target="_blank">https://www.youtube.com/v//2040dHr4lNo</a>

https://www.youtube.com/live/2040dHr4lNo?si=vYHx_NDn9j5slQHd


<a href="https://www.youtube.com/v//UN27v3NSz5Q" target="_blank">https://www.youtube.com/v//UN27v3NSz5Q</a>

https://youtu.be/UN27v3NSz5Q?si=b_TVNq_dPj08cDkn

<a href="https://www.youtube.com/v//wUPB0N_LUSQ" target="_blank">https://www.youtube.com/v//wUPB0N_LUSQ</a>

https://youtu.be/wUPB0N_LUSQ?si=xt3w_1xXv9HRqbD

สำรอง http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16172.0.html

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ธันวาคม 2566 08:05:20 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.383 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 05 พฤศจิกายน 2567 10:36:48