21 ธันวาคม 2567 23:40:32
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
ธรรมะจากพระอาจารย์
.:::
จิตของพระอริยะ เวลาจะละสังขาร - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: จิตของพระอริยะ เวลาจะละสังขาร - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี (อ่าน 76 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1117
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
จิตของพระอริยะ เวลาจะละสังขาร - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
«
เมื่อ:
27 ตุลาคม 2567 12:43:57 »
Tweet
.
จิตของพระอริยะ เวลาจะละสังขาร
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
จิตของพระอริยะเวลาจะละสังขารนี้ จะดำเนินสมาธิอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ไปทางเดียวกัน จิตสงบเป็นอุเบกขาปล่อยวาง ความสงบเป็นอุเบกขามีอยู่ ๒ ระดับ ระดับสมาธิกับระดับปัญญา สมาธิเพียงแต่กดกิเลสไว้ เวลาจิตแยกออกจากร่างกายแล้ว พออำนาจของสมาธิเสื่อมหมดไป กิเลสก็ยังออกมาบงการให้จิตไปเกิดในภพใหม่ได้ ขณะที่สงบนิ่งในสมาธินั้นเป็นฌาน เป็นสวรรค์ชั้นพรหม ถ้าแยกจากร่างกายตอนนั้นก็จะไปอยู่ในพรหมโลก แต่พรหมโลกที่อยู่ได้ด้วยอำนาจของสมาธินี้จะเสื่อมหมดไปได้ พออำนาจของสมาธิหมดไป กิเลสก็จะออกมาเพ่นพ่าน จะเกิดความหิวในรูปเสียงกลิ่นรส เบื้องต้นก็รูปเสียงกลิ่นรสที่ละเอียด รูปทิพย์เสียงทิพย์ ก็เลื่อนจากพรหมมาสู่ชั้นเทพ พอหมดบุญจากชั้นเทพก็ต้องการรูปเสียงกลิ่นรสชนิดหยาบ ก็ลงมาสู่ชั้นมนุษย์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มาสร้างบุญสร้างกรรมใหม่ถ้าสงบนิ่งด้วยวิปัสสนาด้วยไตรลักษณ์ด้วยปัญญา จะไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่เลย ไม่ต้องภาวนาพุทโธๆเลย เพียงแต่มีสติรู้อยู่เฉยๆ
จะว่ามีสติก็ไม่เชิง เพราะสติก็หมดไปแล้ว มรรคไม่มีแล้ว เช่นมหาสติมหาปัญญา หมดไปตั้งแต่ตอนที่กิเลสหมดเหมือนกับกินยารักษาโรค พอหายจากโรคแล้ว ก็ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป จิตไม่กระเพื่อมไม่กำเริบ จิตสงบตลอดเวลา นิพพานัง ปรมังสุขังอยู่ตลอดเวลา เวลาร่างกายตายไป จิตสงบนิ่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ร่างกายตายไป หรือจะเข้าฌานขึ้นๆลงๆก็ได้ จะไม่เข้าก็ได้ ทำจิตให้เป็นปกติ ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน เหมือนกับเวลาที่นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการเจ็บปวด ไม่เดือดร้อนกับมัน ปล่อยให้เจ็บไป จิตรับรู้ความเจ็บปวด แต่ไม่ไปกลัว ไม่อยากให้มันหาย ปล่อยให้มันหายเอง อย่างนี้เป็นระดับหลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องใช้ปัญญา
เมื่อหลุดพ้นแล้วจะไม่มีความอยาก อยากให้ทุกขเวทนาหายไป หรืออยากจะหนีจากทุกขเวทนานั้นไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายกับขันธ์ จิตเพียงแต่รับรู้ ยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังหายใจอยู่ ทุกขเวทนาความเจ็บปวดของร่างกายยังมีอยู่ก็รู้ว่ายังมีอยู่ พอไม่หายใจก็รู้ว่าไม่หายใจ เวทนาหายไปก็รู้ว่าหายไป
นี่เกิดจากการฝึกฝน เจริญสมถะและวิปัสสนา จนกลายเป็นธรรมชาติของจิตไป อยู่ในอุเบกขาตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์กับอะไรทั้งนั้น
เมื่อไม่มีอารมณ์ก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ก็ไม่เดือดร้อนอะไร กับความเป็นไปของร่างกายของเวทนา ที่เป็นปัญหาสำคัญก็ ๒ ตัวนี้เอง ร่างกายกับเวทนา ทุกขเวทนาความเจ็บปวด ความตาย ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่สร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกตลอดเวลา เวลาอื่นจะไม่ค่อยแสดงผลเท่าไร เวลาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาไม่แก่ สามารถทำอะไรได้ตามความอยากของกิเลส ตอนนั้นก็จะสนุกสนานมีความสุข แต่ไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย สักวันหนึ่งจะต้องตาย ตอนนั้นจะมีวิชารับกับเหตุการณ์ได้หรือเปล่า
เหมือนกับตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่ไม่มีสงคราม เป็นภาวะปกติ เราก็อยู่กันสุขสบาย แต่ถ้าเกิดมีข้าศึกบุกเข้ามา เรามีอาวุธไว้ต่อสู้หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็จะถูกเขาทำลาย ถ้ามีก็ป้องกันได้ ที่พวกเรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน มาทำบุญให้ทาน มารักษาศีล มาภาวนานี้ มาเพื่อเสริมสร้างกำลังไว้ปกป้องรักษาจิตใจ ไม่ได้มารักษาร่างกาย ไม่ได้ทำบุญเพื่อให้อยู่ไปนานๆ ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ให้ตาย ทำบุญเพื่อให้ใจปล่อยวาง เพราะใจยึดติดกับสิ่งภายนอกอยู่มาก พอยึดติดแล้วก็จะไม่มีเวลาภาวนากัน จะหมดเวลากับการแสวงหาดูแลจัดการกับสิ่งภายนอก จึงต้องปล่อยวางภายนอกก่อน ด้วยการบริจาค ด้วยการเสียสละ ด้วยการละสิ่งของที่ฟุ่มเฟือยเหลือเฟือเกินความจำเป็นความจำเป็นก็คือปัจจัย ๔ ถ้ามีปัจจัย ๔ พอเพียงก็ถือว่าพอแล้ว มากกว่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้น เป็นนิวรณ์เช่นกามฉันทะ ติดรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ถ้ามีนิวรณ์จิตจะไม่สงบ จิตไม่สงบก็จะไม่เห็นธรรม ไม่สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้ ก็จะหลุดพ้นไม่ได้
จึงต้องตัดภายนอกก่อน เก็บสมบัติข้าวของเงินทองไว้เท่าที่จำเป็น มีไว้ดูแลจนถึงวันตายได้ก็พอแล้ว มีเงินไว้สักก้อนหนึ่ง จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ต้องมีเลยก็ได้ ยกให้คนอื่นไปหมด รักใครชอบใครอยากจะให้ใครก็ให้ได้ ไม่จำเป็นจะต้องให้พระเสมอไป ให้กับคนอื่นก็ได้ ให้กับลูกให้กับภรรยาก็ได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงทิ้งไว้ให้ลูกให้ภรรยา ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย ต้องการเวลาเท่านั้นเอง เวลาที่จะอยู่คนเดียวเพื่อจะได้บำเพ็ญ ทำทุกอย่างเพื่อจิตใจเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อร่างกาย ทำร่างกายให้ดีขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามวาระของเขา ไม่มีใครยับยั้งได้
พวกเรากำลังยืนเข้าคิวกัน เหมือนเวลาไปธนาคาร หรือหยุดรถตามสี่แยกไฟแดง เข้าคิวรอให้ไฟเขียว จะได้ขยับไปได้ จนกว่าจะพ้นสี่แยก การตายก็เหมือนสี่แยกไฟแดงนี้เอง เราก็กำลังเข้าคิวอยู่ที่สี่แยกไฟแดงรอให้รถขยับไป แต่เวลาอยู่สี่แยกไฟแดงนี้อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ จะได้ไปเร็วๆ ทำไมกับเรื่องของความตายกลับไม่อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ เพราะเราไม่มีธรรมะ มีแต่อวิชชามีแต่ความหลง หารู้ไม่ว่ายิ่งอยู่ไปนานเท่าไรยิ่งทุกข์นานขึ้นไปเท่านั้น.
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...