สุรพศ ทวีศักดิ์: กฎหมายหมิ่นศาสนามีไว้ทำไม
<span class="submitted-by">Submitted on Thu, 2024-02-29 23:47</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>สุรพศ ทวีศักดิ์</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.พรรคประชาชาติเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206/1 และมาตรา 206/2 โดยมีสาระสำคัญว่า การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา กรณีการลบหลู่ หรือเหยียดหยามในประการที่ “น่าจะ” ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทศาสนา </p>
<p>ผมคิดว่าถ้ามีกฎหมายหมิ่นศาสนา จะเกิดปัญหาสำคัญตามมา คือ</p>
<p><strong>1. อะไรคือหมิ่นศาสนา </strong>ในประวัติศาสตร์ โสกราตีสถูกศาลแห่งเอเธนส์ตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหาชักนำเยาวชนไปในทางที่ผิด และนำเสนอเทพเจ้าองค์ใหม่ เยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขนด้วยข้อหากบฏและ “ดูหมิ่นพระเจ้า” ทั้งสองกรณีมีความพัวพันระหว่างการเมืองและการใช้ข้อหาหมิ่นศาสนาเป็นเครื่องมือขจัดคนคิดต่าง แต่ผลก็คือข้อกล่าวหาทำนอง “หมิ่นศาสนา” ที่ผู้กล่าวหาตีความว่า “น่าจะ” ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย เป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการประหารชีวิตนักปรัชญาและศาสดาคนสำคัญของโลก แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว โสกราตีสก็ไม่ได้ทำอะไรให้ศาสนาของชาวเอเธนส์ “เสื่อมเสีย” ได้จริง และเยซูกลับเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาคริสต์ที่คนส่วนใหญ่ในโลกนับถือ </p>
<p>นายสุพจน์ อาวาส โฆษกพรรคประชาชาติได้อธิบายลักษณะของการกระทำที่เป็นการ “ดูหมิ่นศาสนา” เพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวว่า </p>
<p><span style="color:#2980b9;">
“ปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคลบางกลุ่มใช้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของตนเองก่อให้เกิดความแตกแยก ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จมีลักษณะ ลบหลู่ และเหยียดหยามคำสอนและศาสดาของศาสนาที่มีหมู่ชนจำนวนมากเลื่อมใสศรัทธาเคารพนับถือ</span></p>
<p><span style="color:#2980b9;">
ซึ่งการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเกลียดชังกันหมู่ของประชาชนโดยส่วนรวม เป็นอันตรายต่อความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเป็นการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นในการนับถือศาสนา และการประกอบพิธีกรรมตามหลักความเชื่อตามหลักการทางศาสนาของตน</span></p>
<p><span style="color:#2980b9;">
พฤติการณ์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าว มีการเจตนาเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ใส่ความ บิดเบือนเกี่ยวกับเนื้อหาคำสอนของศาสดาของศาสนาบางศาสนา การเผยแพร่ข้อความอันเป็นความเท็จดังกล่าวทำให้ประชาชนผู้ได้รับข้อมูลข่าวสารนั้นหลงเชื่อ ทำให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาในศาสนาที่ถูกใส่ความ บิดเบือน ลบหลู่ หรือ เหยียดหยามได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ของประชาชนภายในประเทศ เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ ประกอบกับประมวลกฏหมายอาญาซึ่งเป็นกฏหมายที่มีบทบัญญัติเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก</span> (ดู
https://www.matichon.co.th/politics/news_3193941)</p>
<p>ผมอ่านหลายรอบก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่า นี่เป็นข้อกล่าวหาแบบ “การล่าแม่มด” ในยุคโบราณและยุคกลางเลย เพราะคำว่า “หมิ่นศาสนา” สามารถตีความได้ครอบจักรวาล ไม่ต่างจากข้อกล่าวหาที่เคยใช้กับโสกราตีส, เยซู, กาลิเลโอ, และคนอีกเป็นแสนๆ ในยุคกลาง หรือในรัฐศาสนาอย่าง “รัฐอิสลาม” ในปัจจุบัน </p>
<p><strong>2. ถ้ามีกฎหมายหมิ่นศาสนาจะมีหลักประกันอะไรว่า จะไม่มีการใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาแบบการใช้มาตรา 112</strong> เพราะนิยามของ “การหมิ่นศาสนา” ตามที่โฆษกพรรคประชาชาติอธิบายมันครอบจักรวาลเหมือนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามที่มีการใช้มาตรา 112 เลย </p>
<p>ปัญหาสำคัญของการมีและการใช้มาตรา 112 คือ ทำให้มีการใช้กฎหมายนี้กดปราบประชาชนที่คิดต่างทางการเมือง หรือใช้กฎหมายนี้กลั่นแกล้งกันในทางการเมืองได้อย่างง่ายดาย แทนที่ 112 จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้ดำรง “ความเป็นกลางทางการเมือง” กลับทำให้มีการอ้างเรื่องปกป้องสถาบันกษัตริย์เพื่อใช้ 112 ปิดปากฝ่ายคิดต่าง ดังนั้น การใช้ 112 จึงเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งทางการเมืองตามที่เป็นมาและเป็นอยู่ </p>
<p>เช่นเดียวกัน การอ้างว่ามีกฎหมายหมิ่นศาสนาแล้วจะแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกแยก แต่ความจริงแล้วอาจนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะนิยามการหมิ่นศาสนาที่ครอบจักรวาล ย่อมทำให้ง่ายต่อการใช้กฎหมายหมิ่นศาสนากดปราบคนคิดต่าง และสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน เท่ากับกฎหมายนี้เป็นเงื่อนไขให้มี “การนำศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง” เพราะกฎหมายหมิ่นศาสนาอาจนำปสู่การใช้กลั่นแกล้งกันในทางการเมือง และปิดปากคนคิดต่างได้ง่ายดาย ไม่ต่างอะไรกับการใช้ 112 เพราะเป็นการนำเอาศาสนาที่ควรเป็น “ความเชื่อส่วนบุคคล” ไปผูกกับรัฐหรือความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเป็นหลักคิดแบบ “รัฐศาสนา” มากกว่าจะเป็นหลักคิดแบบ “รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่” หรือรัฐเสรีประชาธิปไตย </p>
<p><strong>3. กฎหมายหมิ่นศาสนาขัดหลักความยุติธรรมสาธารณะในระบอบเสรีประชาธิปไตย</strong> เพราะหลักความยุติธรรมสาธารณะในระบอบเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นหลักความยุติธรรมที่มี “ความเป็นธรรม” (fairness) แก่พลเมืองทุกคน ไม่ว่าจะถือศาสนาใดๆ หรือไม่ถือศาสนาก็ตาม </p>
<p>ดังนั้น ตามหลักความยุติธรรมสาธารณะ รัฐต้อง “เป็นกลางทางศาสนาและความเชื่อที่ไม่ใช่ศาสนา” โดยรัฐต้องประกันเสรีภาพ, ความเสมอภาคทางศาสนา และให้การศึกษาที่ส่งเสริมให้พลเมืองมีความเคารพและอดกลั้นระหว่างกลุ่มคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน และกลุ่มคนไม่มีศาสนา รัฐจะไม่ออกกฎหมายใดๆ เพื่อ “อภิสิทธิ์ทางศาสนา” (religious privileges) เช่น กฎหมายบัญญัติศาสนาประจำชาติ กฎหมายอุปถัมภ์ศาสนา กฎหมายห้ามหมิ่นศาสนา การบังคับเรียนศาสนาในโรงเรียนของรัฐ การให้งบฯ อุดหนุนศาสนา เป็นต้น </p>
<p><strong>4. บทบาทของสถาบันต่างๆ ในรัฐเสรีประชาธิปไตย</strong> เช่น บทบาทของรัฐบาล พรรคการเมือง กองทัพ ศาล หน่วยงานราชการต่างๆ ต้องปฏิบัติตามและปกป้อง “คุณค่าหลัก” (core values) ของระบอบเสรีประชาธิปไตย เช่น หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน หลักเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพปัจเจกบุคคล เสรีภาพทางศาสนา หรือเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก การชุมนุมโดยสงบ เป็นต้น </p>
<p>ทำไมสถาบันต่างๆ ในรัฐเสรีประชาธิปไตยต้องปฏิบัติตามและปกป้องคุณค่าหลักของระบอบเสรีประชาธิปไตย ก็เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยมั่นคงได้ ถ้าละเมิดคุณค่าหลัก เช่น ทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมมนุญก็เท่ากับทำลายคุณค่าหลัก และประชาธิปไตย หรือการออกกฎหมายใดๆ ที่ขัดหลักเสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพปัจเจกบุคคล หรือกฎหมายที่ง่ายต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือลิดรอนเสรีภาพดังกล่าว ย่อมทำให้ประชาธิปไตยไม่มั่นคง </p>
<p>การพูดถึง “ความมั่นคงของชาติ” โดยไม่พูดถึง “ความมั่นคงของหลักเสรีภาพและประชาธิปไตย” ย่อมเป็นการพูดที่ไร้ความหมาย เพราะ “ชาติ” คือ “ประชาชน” และประชาชนมีอำนาจอธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้จริง ก็ต่อเมื่อประชาธิปไตยมั่นคง</p>
<p><strong>5. ปัญหาของพรรคการเมืองมุสลิมและกลุ่มเคลื่อนไหวชาวพุทธ </strong>คือการเป็นพรรคการเมืองและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อ้างหลักศาสนาของกลุ่มตนในทางที่ขัดกับหลักความยุติธรรมสาธารณะ หรือคุณค่าหลักของระบอบเสรีประชาธิปไตย</p>
<p>เช่น กรณี ส.ส.พรรคประชาชาติอ้างหลักศาสนาอิสลามคัดค้านการออกกฎหมายสมรสเท่าเทียม และการเสนอร่างกฎหมายหมิ่นศาสนา เป็นต้น ทั้งๆ ที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นการให้หลักประกัน “สิทธิเท่าเทียม” แก่คนทุกคนศาสนาและคนไม่มีศาสนาสามารถ “เลือกได้” ว่าจะสมรสเพศเดียวกันเพื่อให้มีสิทธิอื่นๆ เท่าเทียมกับเพศชาย-หญิงเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมายที่ “บังคับ” ให้ชาวมุสลิมหรือชาวศาสนาไหนๆ ต้องสมรสเพศเดียวกันแต่อย่างใด ถึงมีกฎหมายเช่นนี้ชาวมุสลิมก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่สมรสเพศเดียวกันได้อยู่แล้ว การทำหน้าที่ ส.ส.ของพรรคประชาชาติในกรณีนี้จึงขัดกับหลัก “สิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียม” ของระบอบเสรีประชาธิปไตย ทำให้เกิดคำถามว่าคุณเป็น “ผู้แทนของชาวมุสลิมเท่านั้น” หรือ “เป็นผู้แทนปวงชน” ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิม ชาวศาสนาไหนๆ รวมทั้งคนไม่มีศาสนาด้วย </p>
<p>อีกกรณีคือ กลุ่มชาวพุทธที่ประกอบด้วยพระสงฆ์และฆราวาสเคลื่อนไหวเรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็น “ศาสนาประจำชาติ” ในรัฐธรรมนูญ และเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาเป็นต้น รวมทั้งชาวมุสลิมเรียกร้องการออกฎหมายพิเศษทางศาสนาของกลุ่มตน ล้วนแต่สวนทางกับการพัฒนาไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยโลกวิสัยทั้งสิ้น กลุ่มชาวพุทธและมุสลิมเหล่านี้ “เล่นการเมือง” เพื่ออภิสิทธิ์ทางศาสนาของกลุ่มตนอย่างขัดหลักความยุติธรรมสาธารณะ หรือคุณค่าหลักของระบอบประชาธิปไตย</p>
<p><strong>6. หยุดทำให้ศาสนาขัดแย้งกับศีลธรรม</strong> ประวัติศาสตร์ของการมีและการใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาล่าแม่มด กดปราบคนคิดต่าง คือประวัติศาสตร์ของ “การทำให้ศาสนาขัดแย้งกับศีลธรรม” เพราะขณะที่พระศาสดาสอนให้ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง, จงให้อภัยแก่ศัตรู” แต่ในยุคกลางศาสนจักกลับใช้ข้อหาหมิ่นศาสนาที่ตีความได้ครอบจักรวาลจับผู้คนนับแสนๆ มาขังคุกทรมาน แขวนคอ และเผาทั้งเป็น </p>
<p>ปัจจุบันประเทศที่ยังเป็นรัฐศาสนา ก็ใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาลงโทษรุนแรงอย่างขัดหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งล้วนแต่เป็นการทำให้ศาสนาขัดแย้งกับคำสอนพระศาสดา หรือขัดแย้งกับ “พระเจ้า” และเสรีภาพแห่งความเป็นมนุษย์</p>
<p>ในสังคมสมัยใหม่มีแนวคิดศีลธรรมที่เป็นอิสระจากศาสนา คือ “ศีลธรรมโลกวิสัย” หรือ “ secular morality” ที่ถือว่า “แก่น” ของศีลธรรมคือการที่ปัจเจกบุคคลมี “autonomy” คือมีอิสรภาพหรือเสรีภาพในการกำหนดตนเอง การมีเสรีภาพทำให้เราแต่ละคนกำหนดกฎศีลธรรมขึ้นมาใช้สำหรับตนเองและใช้ร่วมกันกับทุกคนได้ เช่นเดียวกับเรามีเสรีภาพกำหนดกฎกติกาทางสังคมและการเมืองขึ้นมาใช้ร่วมกันได้บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน </p>
<p><strong>ดังนั้น ศีลธรรมสมัยใหม่จึงสอดคล้องไปกันได้กับหลักความยุติธรรมสาธารณะหรือคุณค่าหลักของระบอบเสรีประชาธิปไตย การมีกฎหมายหมิ่นศาสนาจึงเป็นการทำให้ศาสนาเป็นปฏิปักษ์ต่อศีลธรรมสมัยใหม่ ซึ่งย่อมขัดแย้งกับกระแสเรียกร้องเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่อย่างมีนัยสำคัญด้วย</strong></p>
<p>ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พรรคการเมือง และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวพุทธและชาวมุสลิมในไทย จะเกิด “การเรียนรู้” และ “ตื่นรู้” เสียทีว่า พุทธศาสนาและศาสนาอิสลามสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี และมีคุณค่าต่อบุคคลหรือกลุ่มคนผู้ศรัทธาควบคู่กับการปกป้องรักษาหลักความยุติธรรมสาธารณะ หรือคุณค่าหลักของระบอบเสรีประชาธิปไตยได้ </p>
<p><strong>หรือตื่นรู้เสียทีว่า ศาสนาไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อศีลธรรมสมัยใหม่ แล้วเลิกเคลื่อนไหวเรียกร้องการบัญญัติกฎหมายใดๆ เพื่ออภิสิทธิ์ทางศาสนาของกลุ่มตน ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตยโลกวิสัย และขัดกับคำสอนของพระศาสดา หรืออาจขัดหลักธรรมะ และพระประสงค์ของพระเจ้าเสียเอง! </strong></p>
<p> </p>
<p><strong>ที่มาภาพ </strong>
https://siamrath.co.th/n/320868</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทค
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/02/108255