[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 16:19:21 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระอริยสัจ ๔ โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต  (อ่าน 72 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1117


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 130.0.0.0 Chrome 130.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2567 16:25:41 »

.


พระอริยสัจ ๔
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี


อริยสัจทั้ง ๔ ข้อนี้เกี่ยวเนื่องกันอย่างนี้ ข้อที่ ๑ ต้องศึกษา การจะศึกษาก็ต้องใช้ข้อที่ ๔ คือการเจริญมรรค เช่นนั่งสมาธิ เจริญปัญญา พิจารณาความแก่ความเจ็บความตายอยู่เรื่อยๆ เป็นการเจริญมรรค เป็นการกำหนดรู้ทุกข์ กำหนดรู้ความจริงของร่างกายและจิตใจ เมื่อรู้ความจริงแล้วความหลงก็หายไป ความอยากที่เกิดจากความหลงก็หายไป เพราะเห็นแล้วว่าถ้าเป็นความอยากที่ฝืนความจริง ก็จะไม่ได้ดังใจ จะทุกข์ทรมานใจ จิตก็วางเฉยกับเรื่องของร่างกาย มีหน้าที่ดูแลก็ดูไป อาบน้ำอาบท่า รับประทานอาหาร แต่งเนื้อแต่งตัว เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาหมอหายารักษากันไป แต่ใจจะสดชื่นเบิกบานแจ่มใสตลอดเวลา ใจไม่หลงไม่ยึดติดกับร่างกาย ไม่คิดว่าเป็นตัวเราของเรา ไม่อยากให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ตาย เมื่อไม่มีความคิดเหล่านี้อยู่ในใจแล้ว ใจก็สบาย

นี่คือการทำหน้าที่หรือทำกิจในอริยสัจ ๔ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ทุกขสัจที่ต้องกำหนดรู้ที่ต้องศึกษา พระองค์ได้ทรงกำหนดรู้ได้ศึกษาแล้ว ได้ทำกิจข้อที่ ๑ แล้ว สมุทัยที่ต้องละก็ทรงละแล้ว นิโรธที่ต้องทำให้แจ้งก็ทรงทำให้แจ้งแล้ว มรรคที่ต้องเจริญให้สมบูรณ์ ก็เจริญอย่างสมบูรณ์แล้ว มีสติปัญญาเต็มที่ ที่สามารถนำไปละสมุทัยได้แล้ว ทุกข์ที่มีอยู่ในใจก็ดับโดยสิ้นเชิง เป็นนิโรธขึ้นมาในใจ หัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงนี้ อยู่ที่กิจในพระอริยสัจ ๔

แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงหัวใจ หรือรากของพระศาสนาได้ ก็ต้องเข้ามาทางกิ่งทางต้นก่อน หัวใจของพระพุทธศาสนาก็คือการพิจารณาอริยสัจ ๔ ให้เกิดสติปัญญา ถ้ายังไม่มีสมาธิก็ต้องเจริญสมาธิก่อน ถึงจะเข้าสู่สติปัญญาขั้นนี้ได้ ถ้าไม่มีสมาธิก็ต้องรักษาศีลไปก่อน ถ้าไม่มีศีลก็ต้องให้ทานไปก่อน เพราะจะสนับสนุนกันเป็นเหมือนขั้นบันได ทานจะสนับสนุนให้การรักษาศีลเป็นไปได้ง่ายดาย ศีลจะทำให้การทำสมาธิเป็นไปได้ง่ายดาย สมาธิจะทำให้การเจริญสติปัญญาเป็นไปได้ง่ายดาย สติปัญญาก็จะทำให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างง่ายดาย เป็นขั้นต่อเนื่องกัน

เรื่องพระอริยสัจ ๔ เป็นขั้นสุดท้าย ขั้นสติปัญญา ถ้าสามารถเจริญสติปัญญาได้ในขณะที่ฟัง ก็สามารถตัดตัณหาที่มีอยู่ในใจได้เลย อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอริยสัจ ๔ ครั้งแรกให้แก่พระปัญจวัคคีย์ พระอัญญาโกณฑัญญะก็ปรากฏมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ร่างกายนี้มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา พอจิตเข้าใจหลักนี้แล้ว ก็จะตัดความกลัวตายได้ รู้อยู่ในใจว่าไม่กลัวตายแล้ว ร่างกายของใครจะตาย จะไม่รู้สึกอะไร ร่างกายของคนที่เรารักเคารพบูชาเช่นของครูบาอาจารย์ ก็รู้ว่าเป็นเพียงส่วนประกอบของท่านเท่านั้น ไม่ใช่ตัวท่าน ตัวท่านคือใจของท่าน ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย รู้ว่าร่างกายของท่านและของเรา ไม่อยู่เหนือกฎของอนิจจัง

อนิจจังก็คือการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ใจที่จะรับความจริงนี้ได้ต้องเป็นใจที่มีสมาธิ ตั้งอยู่ในอุเบกขาธรรมแล้ว พอได้ยินได้ฟังแล้วก็ไม่เกิดความสะทกสะท้านต่อความตายแต่อย่างใด จะรู้สึกเฉยๆ เป็นกับตายเท่ากัน เพราะใจปล่อยวางร่างกายได้ ใจไม่ได้เป็นร่างกาย รู้ว่าร่างกายมาจากธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ นี่คืออานิสงส์ของการได้เข้าหาพระพุทธศาสนา ได้ตรงนี้ ได้ที่ใจ ไม่ได้ลาภยศสรรเสริญสุข พวกเราไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญสุข เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้อะไรมาเดี๋ยวก็ต้องจากไปหมด แต่สิ่งที่เราต้องการคือการหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ จะไม่หมดไปจากใจ เมื่อหลุดแล้วหลุดเลย ไม่กลับไปหาความทุกข์อีก ไม่เหมือนการเจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกาย ที่รักษาหายแล้ว ก็ยังกลับไปเจ็บไข้ได้ป่วยได้อีก วันนี้หายจากโรคนี้ พรุ่งนี้ก็มีโรคใหม่ให้รักษาอีก แต่ถ้าใจหายจากทุกข์ด้วยปัญญา ด้วยการเห็นสัจธรรมความจริง เห็นอริยสัจ ๔ เห็นไตรลักษณ์แล้ว จะไม่กลับไปทุกข์กับอะไรอีกต่อไป เพราะความทุกข์ของใจเกิดจากความหลง ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ไม่เห็นไตรลักษณ์นั่นเอง เหมือนกับคนที่ถูกเอาผ้าปิดตาแล้วปล่อยให้เดินไป ก็จะเดินไปชนนั่นชนนี่ เหยียบนั่นเหยียบนี่ พอเอาผ้าที่ปิดตาออกแล้ว ก็จะไม่ไปชนไม่ไปเหยียบอะไรอีกแล้ว เพราะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอยู่ข้างหลังอยู่รอบตัวแล้ว ดวงตาเห็นธรรมก็เป็นแบบนี้ เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่เข้าใกล้

สิ่งที่เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา จะไม่ยินดี ลาภยศสรรเสริญสุขเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา จะไม่ยินดี พระขีณาสพผู้หลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว จะไม่กลับไปหาลาภยศสรรเสริญสุขอีกเลย .

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.315 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 07 ธันวาคม 2567 19:36:55