อีกอย่างหนึ่ง พระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญญาไม่รับรอง ซึ่งความที่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเป็นธรรมอันตนให้เกิดขึ้นได้เอง เปิดเผย
การได้ฟังมาตั้งแต่เบื้องต้น ด้วยบทว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้พินาศ ย่อมยังศรัทธาสมบัติในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดา
และมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณ ๔ ผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ
ผู้ดำรงอยู่ในอาสภฐาน ฐานะอันประเสริฐ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรม
ดังประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐคือพระธรรมให้เป็นไปทั่วผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ใคร ๆ ไม่ควรทำความ
สงสัย หรือเคลือบแคลงในอรรถในธรรม ในบทหรือในพยัญชนะ ดังนี้ด้วยเหตุนี้นั้น ท่านพระอรรถกถาจารย์จึงประพันธ์คำอันเป็นคาถาไว้ว่า
วินาสยติ อสฺสทฺธํ สทฺธํ วฑฺเฒติ สาสเน เอวมฺเม สุตมิจฺเจตํ วทํ โคตมสาวโก
ท่านพระอานนท์ผู้เป็นสาวกของได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ ย่อมยังศรัทธาสมบัติให้เจริญในพระพุทธศาสนา ดังนี้พระสมณโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า (:LOVE:)ว่าด้วย เอกํ สมยํ บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดจำนวน. บทว่า สมยํ แสดงสมัย(คือ วลา) ที่กำหนดไว้แล้ว บทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยอันกำหนดไว้ไม่
แน่นอนสมยศัพท์ ในบทว่า สมยํ นี้ ข้าพเจ้าเห็นใช้ในอรรถว่า ความพร้อมเพรียงกัน ในอรรถว่าขณะ ในอรรถว่ากาลเวลา ในอรรถว่าประชุม ใน
อรรถว่าเหตุและทิฏฐิ ในอรรถว่าได้เฉพาะ ในอรรถว่าละ ในอรรถว่าจริงอย่างนั้น สมยศัพท์นี้ มีอรรถว่าพร้อมเพรียงกัน เช่นในประโยค
ว่า อปฺเปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายดังนี้เป็นต้น แปลว่า หากว่าพวกเราอาศัยกาลเวลา และความพร้อมเพรียงกัน
ได้แล้ว ก็พึงเข้าไปในวันพรุ่งนี้ สมยศัพท์ มีอรรถว่าขณะ เช่นในประโยคว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย เป็นต้น แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็ขณะหนึ่ง สมัยหนึ่ง มีอยู่เพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 14 - 15 -16