เราแต่ละคนจะมีประสบการณ์ว่า ในหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเราทุ่มเทตนเองทั้งหมดให้กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จนสิ่งซึ่งมีความหมายที่สุดในขณะนั้นก็ได้แก่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ความคิดจากภายนอก ความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ และความรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ จะผ่านไปโดยที่เราไม่ให้ความสนใจเลย ความสนใจของเราทั้งหมดจะทุ่มเทอย่างเต็มที่กับแต่ละขั้นตอนของการทำงาน ชีวิตของเราทั้งหมดจะทุ่มเทให้แก่กระแสแห่งการทำงานให้สำเร็จ ในเวลาเช่นนี้เป้าหมายของเราจะเด่นและชัดเจน แต่สิ่งที่เราต้องการทำเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนั้นจะชัดเจนด้วย
เมื่อเราเสร็จการทำงานเช่นนี้ ผลของงานนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนและความลึกซึ้งของการที่เราได้เข้าไปร่วมกับมัน และเราจะเบิกบานด้วยความสุขอันเกิดจากความสำเร็จ และความสุขนี้จะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากขึ้น ความสุขที่เกิดขึ้นจะอยู่กับเรา จะให้กำลังใจแก่เรา จะจูงใจให้เราทำงานต่อไปในลักษณะเดียวกัน และยังสนับสนุนคุณภาพอันดีงามให้เกิดขึ้นอีกในงานอื่น ๆ ของเราด้วย
นี่คือการทำงานด้วยหัวใจ และเราแต่ละคนสามารถทำงานในลักษณะเช่นนี้ได้ เราจะเสริมสร้างคุณภาพนี้ได้ ด้วยการเปิดตัวเราให้กว้างเต็มที่ต่อสิ่งซึ่งอยู่ข้างหน้าเรา ยอมรับความต้องการของงานที่มีต่อเราด้วยความเต็มใจ ด้วยความเป็นสุข พลังงานอันอ่อนโยนของเราจะประคองเราให้ผ่านงานนั้นไปด้วยความมั่นใจ และจะเป็นแรงดลใจให้แก่ผู้อื่นซึ่งทำงานกับเราได้อีก การทำงานด้วยลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความสุขอย่างลึกซึ้ง แต่อะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ทำงานเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
เมื่อเราเริ่มทำสิ่งใหม่ เรามักจะคาดว่าอุปสรรคต่าง ๆย่อมเกิดขึ้นได้ และเรามักจะคิดถึงข้อจำกัดหรือจุดอ่อนซึ่งเราต้องเผชิญ จุดอ่อนนั้นอาจจะจากตัวของเราเองหรือจากผู้อื่น แม้ว่าเรามีความกระตือรือร้นในงานแต่เราก็จะรู้สึกถูกบีบคั้นความรู้สึกกลัวว่าเราจะทำไม่สำเร็จจะซ่อนเร้นอยู่ภายใน ความกลัวนี้เองที่ขัดขวางการเลื่อนไหลอย่างอิสละของพลังงานและขัดขวางเราไม่ให้ซาบซึ้งกับคุณค่าของงานที่เราทำ
เนื่องจากเราไม่ให้พลังงานทั้งหมดแก่งานของเรา เราได้ทำลายความรู้สึกที่จะทำงานเต็มที่ไปเสีย เราจะพบว่าเราจะหยุดงานบ่อย ๆ เพื่อจะไปหาอะไรรับประทาน เพื่อจะไปหยิบเครื่องมือ เพื่อจะดื่มน้ำ หรือเพื่อจะไปเตือนผู้อื่นในเรื่องบางเรื่องแม้ว่าเราจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น แต่เราจะยังคงหันเหตนเองไปจากงานที่เราทำอยู่ เมื่อเราทำงานได้ล่าช้า เราก็พยายามจะหาทางที่เร็วที่สุดเพื่อทำให้มันเสร็จเพียงให้มันผ่านพ้นไปเสีย
เมื่อเราแสวงหาวิธีการที่ง่ายที่สุด เราก็จะทำสิ่งที่พึงกระทำได้เพียงอย่างหรือสองอย่าง แต่จะใช้พลังงานไปแสวงหาข้อแก้ตัวต่าง ๆ แทนที่จะใช้พลังงานนั้นในการทำงาน เนื่องจากเราให้ความสนใจต่องานแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เราจะมีความผิดพลาดบ่อย ๆ เข้าใจคำสั่งไม่ถูกต้อง ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด เมื่อเรารู้สึกว่าทำงานได้ไม่ดี เราจะรู้สึกผิด และความรู้สึกผิดนี้เองที่จะครอบงำทุกอย่างที่เราทำ หากผู้อื่นวิจารณ์เรา ถามเราถึงผลงานที่เกิดขึ้น เราก็อาจจะแก้ตัวมากขึ้น เพื่อปกป้องความผิดพลาดของเรา
เมื่อเรามีความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้กับงาน เราจะให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยกับเวลาและพลังงานซึ่งเราใช้ไป ดังนั้นจึงไม่สามารถจะดื่มด่ำซาบซึ้งในประสบการณ์อันมีค่าซึ่งงานได้ให้แก่เรา งานจึงกลายเป็นหน้าที่ซึ่งเราทำอย่างไม่มีความสุข อย่างหงุดหงิดและไม่เป็นสุข เวลาจะเป็นน้ำหนักกดเราไว้ และเราจะสังเกตดูนาฬิกาเพื่อหวังจะให้มันหมดเวลาเร็ว ๆ ความสนใจของเราจะล่องลอยไป และการทำงานก็จะถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น หรือถูกผัดผ่อนจนกระทั่งมันถูกลืม
เมื่อเราไม่ให้พลังงานทั้งหมดแก่งาน ชีวิตของเราจะถูกกระทบกระเทือน ตาของเรา เสียงของเรา หรือการเคลื่อนไหวของเราจะบอกผู้อื่นว่าเรากักขังตัวเราเองไว้ แรงจูงใจของเราไม่คงที่ และคุณภาพต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างสรรค์ในการทำงาน และความรู้สึกเบิกบานของเราจะถูกรบกวนด้วย เมื่อเราไม่ใช้พลังงานของเราอย่างเต็มที่ เราจะพบว่าความมุ่งมั่นในสิ่งที่ตั้งใจนั้นเป็นไปได้ยาก หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบในผลของงานก็ลดน้อยลง
เราอาจเชื่อว่าชีวิตคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าเราไม่ต้องทำงานหนัก หรือหากเรามีเวลาว่างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจหรือหงุดหงิดนั้น ได้แก่การที่เราไม่ทุ่มเทอย่างเต็มที่แก่งานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เมื่อเราไม่ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจ เราจะขัดขวางพลังงานของเราเอง เราจะขัดขวางความสนใจของเราเอง และเราจะขัดขวางความใส่ใจของเราซึ่งเป็นคุณภาพที่ทำให้ชีวิตมีความกระปรี้กระเปร่าสดชื่น เราอาจจะยินยอมอย่างเฉื่อยชาเพื่อให้ชีวิตของเราทั้งหมดเลื่อนไหลไป มีความสำเร็จแต่เพียงเล็กน้อย มีความชำนาญอย่างแท้จริงแต่เพียงเล็กน้อย เปลี่ยนงานบ่อย ๆ กล่าวโดยสั้น ๆ ก็คือว่า เราปล่อยให้ชีวิตดำเนินผ่านไปโดยไม่มีความสุขอย่างลึกซึ้งจากการใช้พลังงานของเราทำงานอย่างเต็มที่เลย
เมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าไม่เป็นสุขกับงานของท่าน ท่านอาจจะถือได้ว่ามันเครื่องหมายที่จะบอกแก่ท่านว่า ท่านไม่ได้ทำงานด้วยหัวใจ งานของท่านดูเหมือนว่าจะไม่สมบูรณ์พยายามวิเคราะห์สภาพที่เกิดขึ้น ท่านได้กำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนหรือไม่ และท่านได้กำหนดสิ่งซึ่งจะต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นชัดเจนหรือเปล่า ท่านได้ทำในสิ่งซึ่งจะต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นชัดเจนหรือเปล่า ท่านได้ทำในสิ่งซึ่งจะต้องทำหรือไม่ หรือว่าท่านผัดผ่อนงาน หรือเร่งให้มันเสร็จโดยเร็วที่สุด ท่านมัวแต่สนใจสิ่งอื่น ๆ หรือไม่ หรือว่าท่านได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้แก่งานของท่าน ท่านตระหนักถึงวิธีการที่ท่านใช้เวลาหรือเปล่า
เมื่อท่านสังเกตตนเองตามแนวต่าง เหล่านี้ ท่านจะเริ่มเข้าใจทัศนคติที่มีต่องาน เมื่อท่านมองเห็นงานและสิ่งที่มันต้องการอย่างชัดเจน ท่านก็จะเริ่มใส่ใจและทุ่มเทกำลังใจให้งานมากขึ้น
การตระหนักถึงวิธีการทำงานและวิธีการที่เรามีความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการมีความชัดเจนในการใช้พลังงานของตนเอง สามารถนำให้เรามีชีวิตที่มีความหมายและลึกซึ้ง เมื่อเราเผชิญกับปัญหาหรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ ในขณะที่เรามีพลังงานอยู่เต็มที่ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถจะอาศัยโอกาสที่เราเผชิญอยู่นี้เป็นแนวทางสำหรับจะสร้างความงอกงามให้เกิดขึ้นแก่ตน หากเรากลมกลืนตัวเราเองกับสิ่งซึ่งเราทำ และเราเรียนรู้ที่จะให้คุณค่ากับความก้าวหน้าที่ละขั้นตอนพอ ๆ กับผลซึ่งจะเกิดขึ้น เราจะรู้จักกับความสุขซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานอย่างถูกต้องและแท้จริง
การทำงานจากหัวใจ คือการทำงานอย่างเต็มหัวใจ ด้วยความสนใจของเราทั้งหมด ด้วยพลังงานของเราทั้งหมดทุ่มเทให้แก่มัน เราสามารถใส่ใจในงานอย่างเต็มที่และให้หัวใจของเราแก่งานทั้งหมด ผลที่เกิดขึ้นจะน่าพอใจ เมื่อเราทำงานด้วยลักษณะเช่นนี้ เรายินดีเผชิญกับการท้าทายซึ่งแต่ละงานได้เรียกร้องจากเรา และเรายินดีเผชิญกับมันอย่างเปิดกว้างและเต็มใจ เราสามารถเอาชนะอุปสรรคที่เราสร้างขึ้นซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าของเรา มันไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่เราจะต้องกลัวความผิดพลาด เพราะเมื่อเราเปิดใจกว้าง และใช้พลังงานของเราอย่างเต็มที่ เราจะประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะไม่บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่เมื่อเราทำงานด้วยหัวใจของเรา เราก็จะสัมผัสกับความสุขจากการที่ได้ใช้กำลังงานของเราอย่างเต็มที่
เราได้ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งทางด้านวัสดุ ทั้งทางด้านกำลังคน สติปัญญา เวลา ความใส่ใจ และความรู้สึกของเราอยู่แล้ว เราไม่ต้องเร่งเร้าการกระทำของเราหรือกระตุ้นความคิดแก้ปัญหาอีก สิ่งเหล่านี้อาจจะช่วยในงานบางอย่าง แต่การทำงานด้วยหัวใจจะต้องประกอบไปด้วยการทุ่มเททั้งหมดของความคิด ของหัวใจ ของพลังงาน และของความใส่ใจ
เมื่อเราทำงานด้วยหัวใจ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะมิใช่อุปสรรคใหญ่เลย เราจะให้คุณค่าอย่างลึกซึ้งแก่งานและผลของงานนั้น และทุกอย่างที่เราทำจะน่าสนใจอย่างแท้จริง เมื่อเราทำงานแต่ละขั้นได้สำเร็จลงไป เราก็จะพบว่างานของเรามีคุณค่ามากขึ้น เราจะกลมกลืนอยู่กับความก้าวหน้าและความสำเร็จ ซึ่งเกิดขึ้นจากการท้าทายซึ่งงานได้เรียกร้องจากเรา
แทนที่จะหลีกเลี่ยงการทำงาน เราจะหลีกสิ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของเราไปจากงาน ความคาดหวังและความกระตือรือร้นจะให้สีสันแก่ทุกขณะ และจะผสมผสานชีวิตของเราเข้ากับความเบิกบานอันโปร่งใจ ทุกสิ่งที่เราทำจะสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจและความทุ่มเทของเราที่มีต่องาน และผลงานที่เกิดขึ้นจะให้ความสุขอย่างลึกซึ้ง งานจะสมบูรณ์เต็มที่เมื่อเราทำงานด้วยหัวใจของเรา เมื่อเราใช้แหล่งของการสร้างสรรค์ แหล่งของความถี่ถ้วนชัดเจน และแหล่งของความหมายแห่งชีวิตอย่างเต็มที่@@
................................................
คัดจาก "แห่งการงานอันเบิกบาน"
ผู้เขียน : ตาร์ถัง ตุลกู
ผู้แปล : โสรีช์ โพธิแก้ว
ขอขอบคุณองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้