|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:24:12 » |
|
ภาพที่ ๑๑๒
โปรดพราหมณ์ ผู้สำคัญตนว่าโชคดี พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าเป็นคนมีโชคดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน พราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าโชคดีนี้ เมื่อมาพบพระพุทธเจ้าก็ปรบมือแปะ ๆ บอกว่า แหม ข้าพเจ้านี่มันเป็นคนโชคดี ไม่มีโรคอะไรเสียเลย ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐว่าอย่างนั้นเถอะ
พระพุทธองค์ทรงได้ยินดังนั้นก็ตรัสว่า หยุดก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ไม่มีโรคเลยนั้นหาได้ยาก นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่มีโรคเสียเลยโดยทางจิตใจแหละ หมายความว่า คนเรานี่มันมีสองอย่างด้วยกัน โรคทางกายเจ็บปวดหัวตัวร้อน มีแผล มีฝีมีหนอง ส่วนอีกทางหนึ่งเรียกว่า โรคทางวิญญาณ คือ โรคที่มันมีกิเลสเสียดแทง
เพราะฉะนั้น…
คนเราถ้ามีความโกรธ มีความอาฆาตมาดร้าย มันก็เสียดแทง มีราคะ มีความกำหนัดอยู่ก็เสียดแทง พระอรหันต์เท่านั้นแหละที่จะไม่ถูกโรคทางวิญญาณเสียดแทง
นี่แหละพระองค์ทรงสอนให้รู้จักโรคอีกอย่างหนึ่งซึ่งเขานั่นเป็นคนไม่มีโรคเลยตั้งแต่เกิดมานี่ไม่ค่อยเจ็บปวดกับเขา จึงภูมิใจตบอกดังแปะ ๆ ว่า แหม ไม่มีโรคเลย แต่แล้วเมื่อพระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงโรคภัยไข้เจ็บอีกชนิดหนึ่ง อย่าสำคัญไปว่ามีลาภอันประเสริฐที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ถ้าไม่มีโรคทางจิตใจ ทางวิญญาณ คือ มีกิเลสทิ่มแทงด้วยนั่นแหละถึงจะเป็นลาภอันประเสริฐของความเป็นมนุษย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:29:51 » |
|
ภาพที่ ๑๑๓
ทรงสอนราหุล พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสอนสามเณรราหุลถึงเรื่องศีล โดยหยิบอุปกรณ์โดยการใช้กะลา และก็เทียบให้ดูกะลาที่มีน้ำกับกะลาที่ไม่มีน้ำ กระลาที่มีน้ำเมื่อคว่ำเทลงไป…มันรดหกหมด ก็เหมือนกับที่เราได้เทศีลเทธรรม ไม่สำรวมระวังในวาจา เมื่อได้กล่าวคำเท็จเสียแล้ว ก็เท่ากับเทศีลของตนออกหมด เหมือนกับเทน้ำออกจากกะลา เพราะฉะนั้นการกล่าววาจาที่ไม่เป็นเท็จเป็นจริง นั่นแหละชื่อว่าเป็นการได้ตักตวงเอาศีลไว้ ตักน้ำไว้ในกะลาได้มากทีเดียว โดยย่อ ๆ ก็ว่าอย่างนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:36:28 » |
|
ภาพที่ ๑๑๔
ทรงเคารพพระธรรม พระพุทธองค์ทรงเคารพพระธรรมมาก วันหนึ่งพระองค์จะเข้าไปในวิหาร ซึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังแสดงธรรมกับภิกษุจำนานมาก พระองค์ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป รอจนกระทั่งพระรูปนั้นเทศน์จบ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมาแล้วก็ถามว่า พระองค์มานานแล้วเหรอพระองค์บอกว่า มานานแล้ว ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เดินเข้าไป พระองค์บอกว่า เรานั้นเป็นผู้เคารพธรรม ถ้าใครกำลังแสดงธรรม มีผู้รับธรรมอยู่ เราจะไม่เข้าไปกวนให้เขาเสียสมาธิ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัท บางทีกำลังแสดงธรรมอยู่ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้เคารพธรรม พุทธประวัติตอนนี้เป็นพุทธานุสสติให้เราระลึกนึกถึง พระพุทธเจ้ายังเคารพพระธรรม พวกเราไฉนเล่าจะไม่เคารพธรรมตามพระพุทธองค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 4.0.249.78
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553 21:46:09 » |
|
สาธุ ๆ อนุโมทนาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
B l a c k B e a r : T h e D i a r y
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 13:59:46 » |
|
ภาพที่ ๑๑๕
คนสามตา พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุ โดยอุปมาเรื่องคน 3 ตา ตาที่บอดหมดทั้งสองข้าง กับอดข้างหนึ่ง และดีทั้งสองข้าง
คำว่า คนตาบอดสองข้าง ก็คือคนที่ไม่มีปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้มนุษยสมบัติ หรือทำเครื่องออกจากทุกข์ คือโง่ทั้งการแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็โง่เรื่องการรู้เรื่องธรรมะไว้ดับกิเลส ไม่รู้ศีล สมาธิ ปัญญา ว่าเป็นเหตุให้ถึงความหลุดพ้น เป็นเหตุให้ดับทุกข์ เหล่านี้เป็นต้น
ที่ว่าตาบอดข้างหนึ่ง ดีข้างหนึ่ง ก็หมายความว่า บางคนมีแต่ปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีปัญญารู้ธรรมะไว้เป็นเครื่องดับทุกข์ หรือว่าบางคนมีแต่คุณธรรม แต่ว่าขาดความขยันขันแข็ง มีความรู้ที่จะดำรงอยู่แบบไม่เป็นทุกข์ในด้านจิตใจ แต่ว่าไม่ค่อยจะขวนขวายประกอบอาชีพ หมายความสลับกัน
คราวนี้ที่ว่ามีตาดีทั้งสองข้าง คือมองเห็นช่องทางทำมาหากินที่จะได้ทรัพย์ด้วยสติปัญญา วิชาความรู้ในด้านอาชีพสาขาต่าง ๆ ประกอบกับความสามารถ แล้วก็มีคุณธรรมไม่มัวเมาลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติที่แสวงหามาได้ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมแห่งการที่จะบำเพ็ญตนให้อยู่เหนือทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างนี้เรียกว่า มีสองตา
เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะได้ให้ครบสมบูรณ์ทั้งสองตา รู้ทั้งวิชาทางโลกที่จะดำรงชีวิต มีอาชีพ มีฐานะ และก็ไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เรามี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:38:01 » |
|
ภาพที่ ๑๑๖
กาลามสูตร คราวหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเดินผ่านมาทางหมู่บ้านที่เรียกว่า กาลามชน หรือหมู่บ้านกาลามะ หมู่บ้านนี้มักจะมีคนเดินผ่านมา ศาสดาต่าง ๆ มาสอนกันจนบ้านมึนหัวไม่รู้จะเชื่อใครถูก จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้มาพูดถึงหลักของความเชื่อ 10 ประการ ที่เรียกกันว่า กาลามสูตร คือ พระองค์ตรัสว่า..อย่าได้เชื่อถือถ้อยคำที่ได้ยิน ได้ฟัง โดยฟังตาม ๆ กันมา
ข้อที่สอง ข้อที่สาม อย่าได้เชื่อถือโดยตื่นข่าว ได้ยินขึ้นว่าอย่างนั้นอย่างนี้
ข้อที่สี่ อย่าได้เชื่อถือโดยอ้างเอาตำรา เขาอ้างว่ามีอยู่ในตำรา ก็เชื่อไป
ข้อที่ห้า อย่าเชื่อถือโดยเดาเอาเอง คาดคะเนเดาเอา
ข้อที่หก คือคาดคะเนและเดาเอา
ข้อที่เจ็ด อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ ว่าอาการมันอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้
ข้อที่แปด อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่ามันตรงกับทิฏฐิของเรา
ข้อที่เก้า อย่าได้เชื่อถือโดยผู้พูดนั้นเป็นผู้ควรที่จะเชื่อได้
ข้อที่สิบ อย่าได้เชื่อถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
แล้วจะเชื่อถืออย่างไร ก็เรียกว่ามีหลักอยู่ว่า เชื่อถือไปแล้วกุศลธรรมเกิด ทำไปแล้ว เชื่อไปแล้วนี้ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เรียกว่าไม่ต้องเชื่อทั้งตามตำรา หรือใครที่มาพูด แต่ไม่ใช่ไม่ฟังนะ ไม่เชื่อกับไม่ฟังนี่คนละอย่าง บางคนนี่ แหม มันทั้งไม่เชื่อ ไม่ฟัง นี่ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ท่านบอกให้ฟังแต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อโดยอาการอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เชื่อเพราะเขาพูด ๆ กันมา ได้ยินเขาว่า เดาเอา คาดคะเนเอา ว่าสมณะผู้นี้เป็นครู เป็นอะไรของเรา อย่างนี้เป็นต้น ก็อย่าเพิ่งเชื่อ หมายความว่าฟังไว้ก่อน แล้วถ้าใคร่ครวญดูแล้วกุศลธรรมเกิด ทำดูแล้วกุศลธรรมเกิด ค่อยเชื่อทีหลัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:46:28 » |
|
ภาพที่ ๑๑๗
ความศรัทธาของเด็ก พระพุทธองค์ทรงนั่งอยู่ในป่าในท่ามกลางภิกษุเป็นจำนวนมาก พระมหากัสสปะนั้นเป็นที่รักของเด็ก ๆ พระพุทธเจ้านี่บางทีไปบิณฑบาต ปรากฏว่าเด็ก ๆ ใส่บาตรพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะว่าเรื่องความเลื่อมใสศรัทธานั้น ที่เป็นศรัทธาโดยรูป โดยการมีเสียง ที่เรียกว่าศรัทธาต่างกัน ศรัทธาในรูป ศรัทธาในเสียง ศรัทธาในธรรม เป็นต้น แต่ปรากฏว่าเด็ก ๆ นั้นเคารพนับถือศรัทธาพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าถ้าเด็กคนไหนเขาโตขึ้น เขารู้เรื่องว่าผู้ที่ตรัสรู้ธรรม และรู้อริยสัจจ์อย่างแตกฉานแล้ว เขาจะศรัทธาพระพุทธเจ้ามากกว่ามหากัสสปะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:52:53 » |
|
ภาพที่ ๑๑๘
พราหมณ์ผู้ถูกลูกทอดทิ้ง ทรงแสดงธรรมสอนพราหมณ์ผู้ถูกลูกหญิงชายทอดทิ้งว่าลูกชนิดนี้เกิดมาเหมือนกับยักษ์เหมือนกับมาร ไล่พ่อไล่แม่เหมือนหมาไล่หมูทีเดียว พระองค์ก็ได้ทรงแนะนำให้พราหมณ์ผู้นี้ถือไม้เท้าไปในหมู่บ้านคนมาก ๆ แล้วก็ให้ท่องว่า มีไม้เท้าไว้กันสัตว์ร้าย ไว้หยั่งเวลาน้ำมันจะลึกหรือตื้น พูดง่าย ๆ ว่า มีไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่ามีลูกเต้าอกตัญญู เพราะว่ามีลูกที่ไม่เลี้ยงดู พูดไปอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ คนได้ยินมาก ๆ ก็ถึงกับอยากจะไปรุมประชาทัณฑ์ ลูกของพราหมณ์ที่เสือกไสไล่พ่อแม่ยามแก่ยามเฒ่า
ปรากฏว่าลูกรู้ข่าวว่าคนชักไม่พอใจ ก็เลยรับพ่อพราหมณ์ผู้เฒ่านี้ไปเลี้ยงต่อไป ทำให้ผู้แก่ผู้เฒ่าได้มีที่พึ่งที่อาศัย นับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ สร้างความสงบสุขให้แก่ปวงตนได้เป็นที่พึ่งเป็นอันมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:51:29 » |
|
ภาพที่ ๑๑๙
ไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขา พระพุทธองค์ทรงเตือนพวกเด็ก ๆ ที่แสวงหาความสนุกสนานในการไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขาให้เจ็บปวด พระองค์ก็บอกว่า นี่หนู เธอรักสนุกเกลียดทุกข์กันบ้างไหม เด็ก ๆ ก็บอกว่าทุกคนก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น แล้วหนูทำไปไปยื่นความทุกข์ให้ผู้อื่นเขาล่ะ เขามาทำความทุกข์อะไรให้เรา เด็ก ๆ ก็ได้คิด จริงสินะ ก็เลยทำให้ยั้งมือ
พระองค์ทรงโปรดหมดตั้งแต่แก่ยันเด็ก เมื่อตะกี้โปรดแก่คราวนี้โปรดเด็กอีกแล้ว แหม มีชีวิตที่มีประโยชน์จริง ๆ ถ้าพระองค์เป็นฟ้าชายสิทธัตถะก็คงจะไม่มีประโยชน์อย่างนี้ นี่มาเป็นพระพุทธเจ้าของเรา ที่น่าเคารพนับถือ โปรดตั้งแต่แก่ยันเด็ก หนุ่มสาวไม่ต้องห่วงนับมากไม่ถ้วนเท่าเมล็ดทรายในผืนทะเลทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:53:18 » |
|
ภาพที่ ๑๒๐
ธรรมะเปรียบเทียบเหมือนแพอาศัยข้ามฟาก พระองค์ทรงแนะนำภิกษุทั้งหลายให้เข้าใจว่า ธรรมะหรือศาสนานั้นเปรียบเสมือนพ่วงแพที่จะอาศัยข้ามฟาก ข้ามไปแล้ว ขึ้นไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องแบกแพ แบกไม้ไผ่กอนั้นขึ้นไปด้วย เราอาศัยเกาะปะทังไม่ให้เราจมน้ำตาย เราอาศัยศาสนาเพียงเกาะไม่ให้เราจมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เมื่อเราขึ้นพ้นไปแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาแบกให้หนักหน่วง บางคน นี่ถือศาสนาจนกลายเป็นสงครามศาสนา บางทีถ่อแพลงไปแล้วก็มัวมาแข่งกันว่า แพฉันดี แพแกผุ เหมือนกับแพพุทธ แพคริสต์ แพอิสลาม มัวแต่เถียงกัน แพแกดี แพฉันดี แพแกผุ เลยชักไม้ในแพออกมาตีกัน ก็จมตายไปหมดทั้งสามแพ อย่างนี้เรียกว่า ไม่ฉลาดในการข้ามน้ำด้วยอาศัยพ่วงแพหรือศาสนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:54:43 » |
|
ภาพที่ ๑๒๑
การเข้าไปอยู่บ้านสามี อุคคหเศรษฐีได้พาหลานสาวซึ่งแต่งงานจะไปอยู่บ้านตระกูลพ่อผัวแม่ผัวไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงแนะวิธีการที่จะไปอยู่ในบ้านพ่อผัวแม่ผัวให้มีความผาสุก พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมจับโดยใจความย่อ ๆ ว่า ขอให้เป็นผู้ที่ประพฤติตนนอนทีหลังแต่ให้ตื่นก่อน เพื่อปฏิบัติญาติของสามี หรือว่าตัวสามี ไม่เกียจค้านในการงาน พูดจาให้เป็นที่รัก ไม่นำทรัพย์ที่สามีแสวงหามาได้ไปผลาญ ไม่ดูถูกดูหมิ่นสามีผู้มีความเพียรเลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ ไม่ทำให้สามีขุ่นเคืองด้วยความประพฤติหึงหวงสามี และย่อมบูชาผู้ที่เคารพทั้งปวงของสามี นารีใดย่อมประพฤติตามได้อย่างนี้ นารีนั้นยอมเข้าถึงความเป็นเทวดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #92 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:55:51 » |
|
ภาพที่ ๑๒๒
โปรดนางวิสาขา พระพุทธองค์สอนธรรมแก่นางวิสาขาผู้เศร้าโศกจาการสูญเสียหลานรักมาตายจาก โดยถามว่า วิสาขา คนในเมืองนี้มีตายกันมากไหม ทุกวันไหม นางตอบว่ามีมาก และมีทุกวัน ถ้าหากว่าคนทุกคนนี้มีเหมือนหลานของเธอที่เธอรัก ตายไปวันละมาก ๆ ไม่ต้องร้องไห้น้ำตาร่วงเป็นตุ่ม ๆ ไปหรือ? แล้วพระองค์ก็ทรงต่อว่า นี่ถ้าหากว่าจะให้มีหลานอีกเธอจะชอบไหมวิสาขาก็บอกว่าชอบ ถ้าหากต้องตายไปอีกอย่างนี้ แล้วเธอไม่ต้องคร่ำครวญร่ำไห้ไปอีกมากต่อมากหรือ? และสอนต่อไปว่า การสูญสิ้นครั้งนี้ควรจะเป็นข้อคิดเตือนใจว่าอาจจะสูญเสียของรักอื่นๆ ต่อไป จะได้ยั้งใจไว้อยู่ นางวิสาขาก็เริ่มเห็นตามความเป็นจริงที่พระองค์ทรงสอนจนจิตใจเริ่มสงบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:57:36 » |
|
ภาพที่ ๑๒๓
ตายแล้วไปไหน? ภาพนี้เป็นภาพพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่เฝ้าตามถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องการเกิดการตายว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน มาจากไหน ข้าพเจ้านี่ก่อนจะมาเป็นคนนี่มาจากไหน แล้วตายแล้วจะไปไหน ก็ถามแต่เรื่องตายเกิด หรือเรื่องอนาคต พระพุทธองค์ก็ทรงอุปมาว่า ถ้ามีคนสักคนหนึ่งถูกศรแทงที่ขา แล้วมีคนที่จะเข้ามาถอนศรให้ ปรากฏว่าคนที่ถูกศรแทงเข้าไปที่ขานั้นร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งถอน ขอทราบก่อนว่าใครเป็นคนยิง แล้วมันยิงด้วยอะไร คนยิงชื่ออะไร ก็คงจะต้องตายเปล่า ควรจะรีบถอนศรเสียโดยฉับพลันทันที ไม่ควรจะถามว่าใครคนยิง มันยิงด้วยอะไร พ่อมันชื่ออะไรไอ้คนยิงนี้ มันก็ตายเปล่า ก็เหมือนกับคนที่มัวแต่ถามว่า ตายแล้วไปไหน อะไรเหล่านี้เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 17:59:26 » |
|
ภาพที่ ๑๒๔
เยี่ยมพระวักกลิ พระวักกลิป่วยหนัก พระพุทธเจ้าทรงมาเยี่ยม เมื่อมาถึงพระวักกลิจะลุกขึ้นมากราบพระองค์ก็บอกว่า อย่าได้ลุกให้ลำบากเลย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็เห็นเรา
ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะว่า พระวักกลินี่บวชทีแรกก็บวชเพื่อจะดูพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ทรงบอกให้เข้าใจ พระวักกลิก็ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ได้บรรลุธรรมชั้นสูงในพุทธศาสนา พระองค์ทรงโปรดไม่ให้เพราะติดเนื้อติดตัวให้เข้าถึงธรรม พระองค์ผู้ทรงตรัสผู้หลงมัวเมาในรูปโฉม ให้เข้าถึงความหลุดพ้นเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงมีพระคุณที่พวกเราควรระลึกถึงอยู่เนือง ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #95 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:00:31 » |
|
ภาพที่ ๑๒๕
ความเปลี่ยนแปลงไปของสังขาร ตอนนี้พระพุทธเจ้าเริ่มมีพระวรกายร่วงโรย โดยพุทธสรีระ พุทธสภาวะ อาจจะต่างกัน พุทธสภาวะนั้นเป็นที่สุดใส แวววาวตลอดเวลา แต่พุทธสรีระย่อมเหี่ยวแห้งไปตามกฎของธรรมชาติ ตอนนี้พระพุทธองค์แก่ลงไปตามกฎของธรรมชาติ แต่ความยืดถือในความแก่ไม่มี พระอานนท์ได้กล่าวว่า ปีนี้พระองค์ทรงชราคร่ำคร่าลงไปมาก พระองค์ก็เลยบอกว่า อานนท์เอ๋ย ความตายมันแทรกมาแล้วมาในความเกิด ความแก่มันก็แทรกมาแล้วในความตาย ความมีโรคมันก็แทรกมาในความไม่มีโรค เรานี่มันได้แก่มานานแล้ว โดยสรีระร่างกายน่ะมันแก่มาตั้งแต่เกิด พอเกิดมันก็เริ่มมีผิวพรรณอันแก่กล้าไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นเต่งตึงตรงไหนมันก็เหี่ยวตรงนั้น ผมเราดำตรงไหนมันก็ขาวในนั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 พฤษภาคม 2553 15:10:30 โดย เงาฝัน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:01:57 » |
|
ภาพที่ ๑๒๖
ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย ภาพนี้เป็นตอนหลังจากที่พระพุทธองค์กลับจากบิณฑบาตร่วมกับหมู่ภิกษุ แล้วก็ผินพระพักตร์ทอดพระเนตรมองดูเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับตั้งแต่บัดนี้ พระองค์จะไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นเมืองเวสาลีแห่งนี้อีกแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:03:06 » |
|
ภาพที่ ๑๒๗
ประทับใต้ต้นสาละ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ฉันภัตตาหารมื้อสุดท้าย และมุ่งหน้ามายังเมืองกุสินารา โดยมีพระอานนท์มาด้วยพร้อมกับหมู่พระสงฆ์ เมื่อมาถึงได้จัดเตียงนอนอาสนะที่บรรทมเหล่าดอกสาละก็ได้เบ่งบานและร่วงลงมา ประดุจเสมือนเป็นการสักการะพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ในภาพมีสุภัททะปริพาชกเดินทางเข้ามา จะขอฟังธรรมกับพระองค์ พระอานนท์จึงร้องห้ามไว้ เพราะพระผู้มีพระภาคทรงประชวรหนักแล้ว แต่สุภัททะก็ไม่ยอมฟัง จะเข้าไปให้ได้ส่งเสียงดัง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยินเข้าจึงได้สั่งพระอานนท์ว่า อานนท์เอ๋ย หลีกทางให้เขาเข้ามาเถอะ ประโยชน์ใดที่เขาจะได้จากเรา แม้กระทั่งลูกหายใจเฮือกสุดท้าย เราก็จะมอบให้เขา อย่าได้ขวางทางหรือประโยชน์ที่เขาจะพึงได้จากเราเลย อานนท์เอ๋ย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:04:35 » |
|
ภาพที่ ๑๒๘
ปัจฉิมโอวาท ในที่สุดพระอานนท์ต้องปล่อยให้สุภัททะปริพาชกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเมื่อสุภัททะได้เข้าฟังธรรมจากพระองค์ จนมีความเลื่อมใสศรัทธาและขอบวชแล้ว พระองค์ก็ได้ปิดพระโอษฐ์ลงด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด พระพุทธองค์ทรงปิดประโอษฐ์ลงด้วยมรดกธรรมชิ้นสุดท้าย ซึ่งมอบไว้ให้กับสาวกของพระองค์และเหล่าพุทธบริษัท พระองค์จากไปแต่สรีระ พุทธภาวะ ธรรมภาวะ ยังมีอยู่ในหัวใจของพระองค์อย่างมิได้จางหายไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2553 18:16:39 » |
|
ภาพที่ ๑๒๙
พระพุทธกิจ พุทธประวัติชุดนี้จึงได้จบลงด้วยพุทธกิจที่พระพุทธองค์ทรงกระทำและบำเพ็ญมาในอดีต ยามเช้าออกบิณฑบาต ยามสายทรงแสดงธรรมแก่หมู่คฤหัสถ์ โปรดเทวดา สอนภิกษุ บัดนี้ก็จะเหลือแต่ภาพมโนสำนึกที่เราจะนึกถึงพระองค์ว่าเป็นผู้บำเพ็ญกิจโดยไม่ได้คิดค่าตอบแทน หวังเพียงทำหน้าที่ของพุทธกิจที่พระองค์มีจิตสงสารชาวโลก ฉะนั้นพุทธประวัติชุดนี้หากจะเกิดขึ้นเป็นกุศลแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้ตั้งแต่ผู้ค้นคว้าจากพระไตรปิฎก ผู้อุทิศเงินทองเป็นค่าจ้างกับผู้วาด และขออุทิศคุณงามความดีนี้ให้กับผู้ตั้งใจวาด มีความผิดพลาดประการใด ข้าพระพุทธเจ้า พระพยอม ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ขอความสุข ความเจริญ และพุทธานุภาพ จงรักษาท่านทั้งหลายตลอดไปชั่วกาลนาน เทอญนำมาจาก สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน เล่าโดย พระอาจารย์พยอมกัลยาโณ วาดภาพโดย อาจารย์คำนวณ ชานันโท http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/index/index.htm
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
faakang
มือใหม่หัดโพสท์กระทู้
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 1
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 07 กันยายน 2553 18:53:13 » |
|
สาธุ ขอให้กุศลที่ท่านได้ให้ธรรมทานครั้งนี้จงนำพาให้ท่านไปสู่ที่เจริญและเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไปเทอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...