[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 21:35:19 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ทางเดินของจิต  (อ่าน 2206 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2553 14:41:22 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ จากบอร์ดเก่า ]





ทางเดินของจิต

การที่จิตของมนุษย์ต้องเสพความคิดเป็นอารมณ์จิตอยู่ตลอดเวลา ก็ด้วยเพราะความคิดคืออาหารของจิต ซึ่งถือว่าเป็นปกติตามธรรมชาติของจิตที่จะมีอาการว่องไวและไม่อยู่นิ่ง จึงมีความคิดสลับสับเปลี่ยนเข้ามาไม่ได้ขาด และไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งในขณะที่นอนหลับ เพียงแต่จิตจะเปลี่ยนไปเสพความคิดในรูปแบบของความฝัน จิตเดิมแท้นั้นเป็นเพียงธาตุรู้ที่พร้อมจะน้อมไปสู่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นเมื่อไม่เท่าทันในมายาสมมติ จิตจึงเกิดอวิชชายึดมั่นถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจังในมายาสมมติเหล่านั้น ว่ามีตัวมีตนเป็นจริงเป็นจัง และเกิดอัตตาตัวตนในความหลงผิด คิดว่าภาพมายาที่ดวงจิตได้สัมผัสนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นของตนเองจริง

ดวงจิตที่เกิดความหลงจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมิติวังวนแห่งความคิดความฝันนั้น เนื่องจากหาทางหลุดพ้นออกไปจากอำนาจแห่งอวิชชาความหลงไม่ได้ อันที่จริงแล้วจิตทุกดวงย่อมมีอาการอันเป็นธรรมชาติของจิตที่เหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่จิตบางดวงนั้นฝึกได้ง่าย แต่บางดวงอาจฝึกได้ยาก ถึงกระนั้นก็ยังมีอาการของจิตเดิมแท้ที่เสมอเหมือนกัน คือมีความว่างและความสงบเป็นแก่นแท้เหมือนกัน

ในเมื่อจิตเดิมแท้นั้น มีอาการของพลังงานจิตที่ไม่แตกต่างกัน นั่นก็หมายความว่า มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะอบรมจิตของตนให้เข้าถึงภาวะแห่งจิตเดิมแท้ได้เสมอกันทุกคน ดวงจิตและวิญญาณใดที่มีอวิชชาพอกพูนอยู่ภายในดวงจิตมาก ก็ต้องใช้เวลาในการอบรมจิตดวงนั้นยาวนาน ซึ่งบางครั้งอาจต้องอาศัยเวลาในการอบรมจิตหลายภพหลายชาติติดต่อกัน จนกว่าจิตดวงนั้นจะเข้าถึงภาวะแห่งความรู้แจ้ง และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้

ครูบาอาจารย์ผู้รู้ผู้ประเสริฐได้ค้นพบแนวทางในการนำจิตออกจากดงแห่งความคิดอันหลากหลาย (อันประกอบไปด้วยมิติแห่งความคิดที่ซ้อนกันอยู่หลายมิติมากมาย) ให้ดวงจิตสามารถกลับสู่ความเดิมแท้แห่งจิตด้วยการให้เครื่องรู้แก่จิตนั้น เมื่อจิตมีเครื่องรู้ จิตก็จะใช้เครื่องรู้นั้นแทนการเสพความคิดอันหลากหลายที่รายล้อมจิตอยู่ และเมื่อจิตกับเครื่องรู้เริ่มรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน เครื่องรู้กับจิตไม่พรากจากกัน จิตก็จะแยกตัวออกจากมิติแห่งความคิดอันหลากหลายเหล่านั้นได้ ซึ่งอาการที่จิตสามารถหลุดพ้นจากอำนาจแห่งมิติของความคิดได้นี้เองที่เราเรียกว่า "สมาธิจิต"

การอบรมจิตด้วยกระบวนการให้เครื่องรู้แก่จิต (กรรมฐาน) เป็นอุบายวิธีในการอบรมจิต ที่ช่วยให้จิตสามารถออกจากมิติแห่งความคิดได้ง่ายที่สุด (ถ้าจะกล่าวอีกอย่างก็คือ สามารถได้สมาธิจิตหรือเข้าถึงอาการของจิตเดิมแท้ได้ง่ายที่สุด)

ช่วงระหว่างทางเดินของจิตในการเข้าถึงภาวะสมาธิจึงนิยมใช้อุบายกรรมฐาน เช่น การให้จิตเฝ้าติดตามลมหายใจเข้า-ออก โดยขณะที่หายใจเข้านั้น ให้เฝ้าดูลมหายใจตั้งแต่ที่บริเวณปลายจมูก ผ่านลงไปยังหทัยธาตุจนถึงสะดือ และในขณะที่หายออกก็ให้เฝ้าดูลมหายใจ ตั้งแต่ที่สะดือย้อนกลับขึ้นไปยังหทัยธาตุ จนผ่านออกไปที่ปลายจมูก ทำอยู่เช่นนี้จนกระทั่งจิตกับลมหายใจรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว แล้วจิตก็จะค่อยๆ ออกจากมิติแห่งความคิดมาเป็นอิสระ กลับคืนสู่ความเดิมแท้ สิ้นภาวะกิเสล อยู่เหนือมายาสมมติของโลกทั้งปวง

แต่อาการของจิตในลักษณะข้างต้นนี้ยังไม่ใช่จิตที่เกิดภูมิปัญญา เพราะทันทีที่จิตออกจากภาวะดังกล่าว กิเลสก็จะกลับเข้ามาสู่จิตได้อีกเช่นเดิม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จิตไม่อาจทนต่ออำนาจของมายากิเลสโลกได้ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตยังเข้าไม่ถึงปัญญา การที่กิเลสจะหมดสิ้นไปจากจิตได้ก็ด้วยภูมิปัญญาที่เท่าทันกิเลสเท่านั้น ดังนั้นหากไม่เกิดปัญญาแล้ว กิเลสย่อมสามารถกลับเข้ามาครอบงำดวงจิตได้ดังเดิม

ลำพังเพียงแต่กำลังอำนาจแห่งฌานสมาธิ หรือการเข้าถึงภาวะแห่งความเดิมแท้ของจิตในชั่วขณะนั้น ย่อมไม่อาจต้านทานกำลังของอำนาจกิเลสมายาโลกได้ เพราะภาวะของจิตเดิมแท้ที่สัมผัสได้ในภาวะสมาธินั้นไม่ได้ทรงกำลังอยู่ได้ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อจิตถอยกลับเข้าสู่เขตอำนาจของโลกสมมติ จิตที่ขาดภูมิปัญญาจึงไม่สามารถทนต่ออำนาจกิเลสมายาของโลกได้ จิตจึงจำเป็นต้องแสวงหาทางเดินของจิตในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือการที่จิตใช้พลังแห่งสมาธินั้น ในการเข้าถึงภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริง อันเป็นภูมิปัญญาแห่งการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมิ อันเป็นเพียงภาพมายาแห่งความคิดความฝัน

แต่การที่จะสามารถเข้าถึงภูมิปัญญาธรรมในขั้นนี้ได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องดำรงจิตอยู่ในภาวะที่เป็นโลกุตรภูมิ หรือภูมิที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติโลกเท่านั้น ดวงจิตที่สำเร็จในโลกุตรภูมิจะสามารถถอดรหัสความเร้นลับของมิติแห่งความคิดความฝันให้หลุดพ้นออกไปได้ ดังนั้น เมื่อความฝันนี้จบลงก็จะไม่มีความฝันอื่นใดปรากฏขึ้นมาอีก จึงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดในทั้งสามโลกอีกต่อไป แต่หากว่าจิตไปสำเร็จในโลกียภูมิแล้ว ดวงจิตก็จะได้แค่เพียงนิพพานพรหม ซึ่งถ้ามีเหตุปัจจัยแห่งการเกิดคืนสภาพ แล้วจิตก็ยังมีโอกาสที่จะหวนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดได้อีก

จิตทุกดวงจึงมีทางเดินและมีการพัฒนาจิตที่เหมือนกัน จะต่างกันไปบ้างก็ตรงที่บุญกรรมของจิตแต่ละดวงที่ได้เคยกระทำสะสมมา หากดวงจิตใดได้สะสมบุญมามากพอแล้ว การปฏิบัติจิตในชาตินี้มันก็จะง่ายเข้า แต่หากจิตดวงใดไม่มีบุญเก่าสะสมมาเลย ก็คงต้องอาศัยความมานะพากเพียรให้มากๆ แล้วเลือกเดินให้ตรงทางและถูกทาง อย่าปฏิบัติไปด้วยจินตนาการเพ้อเจ้อ หรือปฏิบัติด้วยอวิชชาความโลภความหลง อย่างบางคนมัวแต่เสียเวลาไปกับการสื่อสารกับดวงจิตวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว ผีเจ้าเข้าทรง ติดต่อกับเทวดา พระอินทร์ พระพรหม หรือบ้างก็มุ่งแต่แสวงหาฤทธิ์เดชอำนาจ บ้าหวยรวยเบอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิบัติที่ไม่เกิดปัญญาธรรมอันถูกต้อง

การปฏิบัติที่ผิดทางนั้นย่อมส่งผลให้ดวงจิตวิญญาณสะสมความโลภ โกรธ หลง อัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติโลก สุดท้ายดวงจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ต้องกลับมาเกิดอีก ไม่อาจหลุดพ้นจากอำนาจกิเลสมายาโลกไปได้ เท่ากับเสียโอกาสไปอีกหนึ่งชาติฟรีๆ.

http://www.thaipost.net/tabloid/151109/13541

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: สมาธิชาวบ้าน สมาธิ ทางเดินของจิต จิต ฝึก ปฏิบัติ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.366 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 27 พฤศจิกายน 2567 14:07:58