และยังประจักษ์ต่อความจริงในชีวิตว่า การบวช การปฏิบัติธรรม ทำให้อาตมารู้จักตนเองตั้งแต่เรื่องพื้นๆเช่น อุปนิสัยใจคอของตนเอง รวมถึงกิเลส ตัณหา การยึดถือตัวตนหรือที่เรียกกันว่าอีโก้ ได้เห็นว่าตัวอีโก้มันครอบงำเราอย่างไร มันพาเราเข้ารกเข้าพงอย่างไร มันเล่นงานเราอย่างไรบ้าง แต่ในที่สุดด้วยการเข้าถึงหลักแห่งธรรม ทำให้อาตมาเป็นมิตรกับตนเองได้มากขึ้น ไม่ขัดแย้งกับตนเอง ชีวิตไม่เสียศูนย์ ความสงบ โปร่ง เบาจึงตามมา
อาตมาก็เลยพบว่าการเป็นพระแล้วมีความสุข ง่ายกว่าการเป็นฆราวาสแล้วมีความสุข เพราะการอยู่ในเพศฆราวาส มักมีเรื่องเข้ามากระทบมาก ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ดำเนินไปตามกระแส ขาดความสมดุล ยิ่งถ้ามีครอบครัวต้องดูแลด้วย ยิ่งลำบาก อาตมาเองได้เห็นชีวิตของโยมพ่อโยมแม่ รู้ว่าท่านทั้งสองมีทุกข์ในชีวิตคู่ไม่น้อย คือถ้าอาตมายังใช้ชีวิตอยู่ในโลกฆราวาส คงมีความทุกข์มากกว่านี้ ชีวิตก็อาจจะกลับสู่วงจรเสียศูนย์อีกครั้งหนึ่ง แต่การที่ได้มาบวช ใช้ชีวิตอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ทำให้เกิดความสมดุล และได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอน ได้ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามากขึ้น รู้สึกมีความมั่นคงในวิถีทางแห่งธรรมมากขึ้น และพบว่าเราเลือกที่จะไม่ทุกข์ได้ แม้ถูกกระทำ ไม่ต้องถูกครอบงำด้วยสัมผัสสะภายนอก การบวชเป็นพระนี้ก็ทำให้อาตมาสามารถทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปได้พร้อม ๆ กันด้วย
เมื่อครั้งก่อนบวชเป็นภิกษุสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโตรูปนี้ เคยคิดว่าโลกของฆราวาสนั้นมีเสรีภาพมาก หากปัจจุบันท่านค้นพบแล้วว่าภิกขุนั้นมีเสรีภาพอันยิ่งใหญ่อยู่ภายในใจซึ่ง ยั่งยืนถาวรกว่าโลกแห่งเสรีภาพภายนอก
อาตมาเชื่อนะว่าถึงจุดหนึ่งมนุษย์เราทุกคนต้องมุ่งไปสู่ความหลุดพ้น เพราะมนุษย์เรามีความสามารถที่จะเป็นอิสระ อิสรภาพจากความทุกข์ อิสรภาพจากโลกธรรม มีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน แล้วถ้าเราพัฒนาความสามารถตรงนี้ เราก็จะสามารถบรรลุถึงเสรีภาพได้อย่างแท้จริง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านคือต้นแบบในการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นเทวดา พระองค์ก็ถือกำเนิดในโลกมนุษย์ปุถุชน แต่พระพุทธเจ้าท่านใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มี กระทั่งพัฒนาถึงที่สุด เหมือนกับต้นโพธิ์ที่สูงใหญ่ ก็มาจากเมล็ดเล็กๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นเมล็ดเล็กๆ เราอย่าไปดูถูก เพราะสักวันก็สามารถเจริญงอกงามจนเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่ได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคนซึ่งมีเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิอยู่แล้ว ถ้าเราบ่มเพาะดูแลด้วยการทำความดี ด้วยการบำเพ็ญภาวนา เมล็ดพันธุ์แห่งโพธินี้ ก็จะเติบโตกลายเป็นต้นกล้า แทงยอดสูงใหญ่ วันหนึ่งก็จะเป็นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา เป็นที่พึ่งให้แก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย ให้ร่มเงาแก่ทุกชีวิตได้
ถึงที่สุดแล้ว ความเป็นตัวของตัวเองจะมิใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา เราจะไม่สนใจว่าเอกลักษณ์ของเราคืออะไร เรามีแบบฉบับของตัวเองหรือไม่ คนภายนอกมีอิทธิพลต่อเรามากน้อยเพียงใด เพราะสิ่งที่มีความหมายกว่านั้นก็คือ การดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง และอำนวยประโยชน์แก่สรรพชีวิตให้มากที่สุด................................นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ 2906 สัมภาษณ์พิเศษ พระไพศาล วิสาโล ศรัณยา ดำเนินเรื่อง