18 สิงหาคม ของทุกปี วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในวงการศึกษา วงการดาราศาสตร์ และวงการวิทยาศาสตร์ของไทย เพราะเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค และสถลมารค เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ ต.หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
อันเป็นปรากฏการณ์ที่พระองค์ ทรงคำนวณทำนายไว้ก่อนล่วงหน้าถึง 2 ปี คือทรงคำนวณไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2409 ครั้นถึงวันที่ 18 สิงหาคม ปีพ.ศ.2411 สุริยุปราคาเต็มดวง ก็ปรากฏการณ์อุบัติขึ้นจริงตามวันเวลาและสถานที่ทุกประการ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์ในสังคมปัจจุบันก่อให้เกิดแรงผลักดันในทางบวกอย่างกว้างขวางขึ้น ซึ่งเชื่อแน่ได้ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศได้อย่างแน่นอน
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ ทั้งในด้านการทหาร การปรับปรุงประเทศ และผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ จึงถือว่าพระองค์เปรียบเสมือนเป็น พระบิดาวิทยาศาสตร์ไทย
วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็น"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"
2. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
3. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน
4. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
5. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการจัดกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมาย เช่น นิทรรศการ ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอภิปรายทางวิชาการ การตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การประกวดการแข่งขันต่าง ๆ เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ในการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยจะทำพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี
การจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ นับได้ว่ามีส่วนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนคนไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีชวด วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระนามเดิมตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกฏ สมมุติเทวงค์ พงศาอิศวรกระษัตริย์ขัตติยราชกุมาร"
ในสมัยทรงพระเยาว์ได้เริ่มเรียนอักขรสมัย ในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆจารย์ (ขุน) วัดโมฬีโลกยาราม และได้ทรงศึกษาวิชาความรู้สำหรับ พระราชกุมารจากผู้เชี่ยวชาญ พระองค์ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษูตามประเพณี เมื่อพระชันษา 21 ปี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงผนวชได้ 15 วัน สมเด็จพระบรมชนกก็เสด็จสวรรคตโ ดยมิได้รับสั่งให้ผู้ใด เป็นรัชทายาท เมื่อพระบรมวงศานุวงค์เสนาบดี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประชุมหารือกันแล้ว จึงไปกราบทูลพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏ เมื่อทราบว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะอยู่ในสมณเพศต่อไป เจ้านายและข้าราชการชั้นผูใหญ่ จึงถวายพระราชสมบัติแด่ กลมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นพระองค์เจ้าลูกยาเธอ เจริญพระชันษากว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกฏ 17 ปี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต บรรดาเหล่าเสนาอามาตย์ข้าราชการบริพารจึงพร้อมใจกัน กราบบังคมทูลอัญเชิญ พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกฏขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 และพระองค์ได้สถาปนาพระสมเด็จอนุชาเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 2 (Second King ) ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" รวมเวลาที่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกฏทรงสมณเพศ 27 พรรษา
เมื่อขึ้นครองราชย์ พระองค์มีพระชันษาได้ 47 ปี ทรงใส่ใจในการศึกษา และปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าเหมือนดังนานาอารยประเทศ ทรงให้มีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม ในปี พ.ศ. 2394 ให้มีการสร้างป้อมต่างๆ ให้มีการสร้าง ถนนเจริญกรุง ถนนพระรามที่ 4 ถนนสีลม ต่อมาให้มีการขุดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร โปรดให้มีการตั้งโรงพิมพ์ มีการออกหนังสือต่างๆ เช่น หนังสือพระราชกิจจานุเบกษา
พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2403 พระราชทานนามว่า "หอชัชวาลเวียงชัย" ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวงคือ
1. ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัย พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกฏมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์สามารถทรงนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า " ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" แจ้งแก่ประชาชน"
2. ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ 2401 และคืนต่อๆมา จนถึงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา 9 เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน -ตุลาคม 2401
ดาวหางดังกล่าวมีลักษณะเป็น 2 หาง หางหนึ่งเหยียดตรง อีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้งสวยงามอยู่ราว 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตื่นเต้นไปตามคำลือต่างๆ จึงทรงออกประกาศเตือนชื่อว่า "ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ มีความว่า "ดาวหางนี้ชาวยุโรปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนี้มีคติแลทางยาวไปในท้องฟ้า แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศทั้งนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน และคิดวิตกเล่าลือไปต่างๆ ด้วยว่ามิใช่จะเห็นแต่ในพระนครนี้ และเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิ ได้ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมืองทั่วพิภพอย่างนี้แล"
3. ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet ) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่า จะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้า มิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้เพราะพระองค์ มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์
ขอบคุณที่มา :
www.aksorn.com www.tongzweb.com