Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:50:09 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:50:52 » |
|
Bélmez Faces เป็นปรากฏการณ์ประหลาด โดยมีปรากฏใบหน้าของคนที่ปรากฏอย่างชัดเจนในบ้าน Bélmez de la Moraleda บ้านส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ตั้งในถนนหมาย เลข 5 , เจยัน, ในประเทศสเปน โดยเริ่มต้นใน 23 สิงหาคม ปี 1971
เมื่อ María Gómez Cámara อ้าง ว่ามีการพบหน้ามนุษย์ประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในชั้นครัวของเธอที่ผนังซีเมนต์ สามีและลูกของเธอจึงทำลายใบหน้านั้นด้วยขวานและฉาบปูนซีเมนต์ใหม่ แต่ปรากฏว่าใบหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นอีก โดยส่วนใหญ่มักปรากฏบนคอนกรีตของบ้านอย่างต่อเนื่องและบางครั้งก็หายไป
เมื่อเวลาผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งใบหน้าเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็นระยะไม่สม่ำเสมอ หน้าแต่ละหน้าจะไม่เหมือนกัน รูปร่างแตกต่างกัน มีทั้งชายและหญิง และการแสดงออกต่างกันออกไป
ปัจจุบันบ้านหลังนี้กลายเป็นสถาน ที่ท่องเที่ยว ที่ยอดนิยมในการถ่ายรูปและหลายสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น, ประชาชน, นักท่องเที่ยวที่ต่างเข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ว่านี้ หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช้ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบนกระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว
แต่นักวิทยาศาสตร์ยังกังขาปรากฏการณ์นี้ อาจเป็นการปรากฏการณ์ลึกลับหลอกๆ ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าเกิดจากการล้างปูนซีเมนต์ และมีวิเคราะห์มวล, โมเลกุล ตัวอย่างซีเมนต์ในบ้านหลังนั้นและพบว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคนไม่เชื่อ และนักวิทยาศาสตร์บางคนโดนฟ้องอีกต่างหาก ทำให้การไขปริศนาปรากฏการณ์นี้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากมันได้สร้างรายได้ และกำไรเป็นกอบเป็นกำในเมืองแห่งนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:51:47 » |
|
Simulacrum in Eagle Nebula (Simulacrum) ปรากฏการณ์ดัง กล่าวถูกเรียกว่า “เทวทูตแห่งอากาศ” คือปรากฏการณ์ที่มนุษย์มองเห็น ภาพบุคคล สัญลักษณ์ทางศาสนาจากเมฆ หรือ แล้วแต่จะจินตนาการตีความ
ส่วนภาพด้านบนเป็นภาพที่ถูกถ่ายเมื่อปี 1995 กล้อง ฮับเบิลจับภาพ Eagle Nebula (Nebula คือกลุ่มเมฆ หมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศที่เป็นต้นกำเนิดของดวงดาว) และแพร่ภาพออกอากาศทางสถานี CNNประชาชนจำนวนมากที่เห็นภาพดังกล่าวต่างโทรศัพท์มาบอกทางสถานีว่า
พวกเขาเห็นภาพของมนุษย์ เทพเจ้า พระเยซูฯลฯ และนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2556 16:55:22 โดย Compatable »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:53:11 » |
|
The taos hum “เสียงฮัมลึกลับ” เป็นเสียงต่ำแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกา(ในปี ค.ศ.1977), อังกฤษ และยุโรปเหนือที่มักได้ยินเสียงฮัมต่ำๆ คล้ายๆ เครื่องยนต์ดีเซลแปลกๆ (เช่นเครื่องใช้ในครัวเรือน, เสียงจราจรเป็นต้น)
โดยเจ้าเสียงที่ว่า นี้ดังติดต่อกันตลอดเวลาแต่บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบสม่ำเสมอกันและ เสียงนี้จะเข้มข้นตอนกลางคืน ทำให้ผู้ได้ยินเป็นประสาทตามๆ กัน โดยเสียงที่ว่านี้จะต้องตั้งใจฟังในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเท่านั้น เช่นทะเลทรายในนิวเม็กซิโก, เกาะฮาวาย โดยไม่มีใครรู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน
ใน ปี 1977 มีการตรวจสอบโดยตรงจากวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงในประเทศอเมริกา โดยทำการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาในท้องที่และรอบๆ เมือง Taos นิวเม็กซิโก (โดยปกติเสียงนี้พบยากต้องใช้ไมโครเฟนพิเศษช่วย) พบว่าเสียงฮัมเบาๆ นี้มีความถี่ของเสียงประมาณ 30-80 Hz แต่เหลือเชื่อ ตรงที่ใช่ทุกคนจะได้ยิน มีบางคนที่ได้ยินเสียงนี่เท่านั้น
โดยจากสถิตพบคนในเมือง Taos ได้ยินเสียงนี้เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็ส่วนสาเหตุไม่พบว่าเสียง ปริศนานี้เกิดจากอะไร บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นหูอื้อ, เสียงลม, คลื่นมหาสมุทร ไม่ก็ยูเอฟโอ ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:53:56 » |
|
Disappearing Lake ใน เดือนพฤษภาคม 2007 ทะเลสาบ ภูเขาน้ำแข็ง เขต “มากายาเนส” ในปาตาโกเนีย ทางใต้ตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี เกิดอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ อย่างน่าพิศวงทั้งๆ ที่ ขนาดทะเลสาปมีถึง 5 เอเคอร์ หรือในราวๆ สนามฟุตบอล 10 สนาม
โดยเจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายว่าพวกเขาเห็นทะเลสาปยังเป็นปกติอยู่ในช่วงสอง เดือนที่ผ่านมา และจู่ๆ มันก็หายไปพริบตา กลายเป็นแอ่งขรุขระขนาดใหญ่ น้ำเหือดแห้งไปหมด มีเพียงก้อนน้ำแข็งจำนวนมากนอนก้นอยู่ จากเดิมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ปริศนานี้ทำให้นักธรณีวิทยางงงวยและอยากทราบคำตอบมากว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ตั้งทฤษฎีหลายทฤษฏีว่าแผ่น ดินแยกตัว และกลืนน้ำในทะเลสาบลงไป แต่กระนั้นจากการตรวจสอบไม่มีรายงานว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่นี้แต่อย่างใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:56:50 » |
|
Dancing Mania “โรคชอบเต้น” เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในแผ่นดินยุโรประหว่างศตวรรษที่ 14 และ 18 โดยจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนชายและหญิงที่จู่ๆ เต้นท่าพิลึกโดยไม่ทราบสาเหตุ และจะเต้นรำผ่านถนนหรือในเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ยังมีฟองที่ปาก และจะหยุดไปเองหากร่างกายอ่อนล้าเพลียและรับไม่ไหวการระบาดของโรคชอบเต้นนี้ เกิดครั้งแรกในอาเค่น(เป็นเมืองที่อยู่ด้านตะวันตกสุด ของประเทศเยอรมนี ติดกับพรมแดนประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม), เยอรมัน เมื่อ 24 มิถุนายน 1374 ประชาชนที่เดินถนนจู่ๆ ก็แผดร้อง, จิตหลอน และเต้นรำทั้งยังดิ้นและบิดตัว จนกระทั้งหมดแรงแม้กระทั้งจะยืน และแล้วโรคชอบเต้นก็กระจายไปอย่างรวดเร็วไปทั้วยุโรป ทั้งเนเธอร์แลนด์, โคโลญ, เมต้า และตามเส้นทางแสวงบุญ ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่าโรคนี้เป็นโรคประสาทประเภทโรคอุปทานหมู่มากกว่า และมีการเชื่อมโยงไปความบ้าคลั่งศาสนาของคนยุโรป นอกจากนี้ยังสันนิษฐานอาจจะเกิดจากการกินข้าวไรที่มีเชื้อคลาวิเซพส์ เพอร์พูเรีย(Claviceps purpurea) ซึ่งเป็นเชื้อราขนาดเล็กที่มีพิษ ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทชนิดรุนแรง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 16:58:03 » |
|
Raining Blobs ชาวเมือง Oakville กรุง วอชิงตัน ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1994 เกิดฝนตกห่าใหญ่ แต่แทนที่จะเป็นฝนธรรมดา ชาวเมืองกลับเห็นลักษณะหยดน้ำฝนแตกต่างกันออกไปทุกครั้ง มันมีลักษณะเหมือนวุ้นเหมือนกาวนับไม่ถ้วนกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า
หลังจากนั้นเกือบทุกคนในเมืองมีอาการป่วยเหมือนไข้หวัดขึ้นมาอย่างไม่ทราบ สาเหตุและเป็นนานถึง 7 วัน ถึง 3 เดือน หลังจากสัมผัสและกินฝนวุ้นกาวนี้เข้าไป จึงมีการเอาตัวอย่างหยดน้ำฝนเพื่อตรวจสอบ ก็พบเรื่องตะลึงเพราะในหยดน้ำฝนมีเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ กรมอนามัยของวอชิงตันวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าสาเหตุที่ฝนตกมาเป็นกาววุ้นนั้น มีแบคทีเรียอย่างหนึ่งที่พบในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ด้วย
แต่จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายการเกิดฝนลักษณะนี้ได้เลยว่ามันเกิด จากอะไรกันแน่?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 17:03:35 » |
|
Lost Dutchman’s Gold Mine ลายแทงเหมืองทองดัทช์แมน (Dutchman Goldmine : Apache Junction, Arizona) ว่ากันว่านี้คือขุมทรัพย์ที่อันตรายที่สุดในโลก ซึ่งว่ากันมีทองจำนวนมหาศาลถูกซ่อนใน เทือกเขาซูเปอร์สติชั่นอันร้อนระอุแห่งอริโซน่าที่มีชื่อเสียงเรื่องแร่ทองอุดมสมบูรณ์ ที่แฝงไปด้วยความอันตราย แต่ปัจจุบันการเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า ซึ่งการตั้งชื่อว่าดัทซ์แมนก็เนื่องมากจากนักอพยพชาวเยอรมัน Jacob Waltz (ชาวดัทซ์เป็นคำสแลงของอเมริกันที่กล่าวถึงผู้อพยพ) ในตำนานเล่าว่าเหมืองทองคำมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญ เชื้อเชิญนักขุดทองเข้าไปใกล้ๆ ตำนานรหัสลับของเหมืองทองที่ปัจจุบันยังไม่คลี่คลาย
นักล่าสมบัติ รอน เฟลด์แมน และเดวิด ฮินช์คลิฟ ทำการสำรวจเทือกเขาอันตราย ถึงแม้การตามล่าลายแทงสมบัติของพวกเขาในครั้งนี้สูญเปล่า แต่ทฤษฎี และข้อสันนิษฐานที่ได้ของทั้งคู่จะเป็นแนวทางที่ดีของ การเริ่มต้นค้นหาใหม่ในครั้งต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์
กระทู้: 1210
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 30.0.1599.101
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 17:08:09 » |
|
The Man in the Iron Mask เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศอิตาลี (สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ชายนิรนามนี้มีเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก
เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับ อนุญาตให้บอกเรื่องราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขาด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย”
ขณะที่นักโทษนิรนามถูกจองจำอยู่นั้น จะต้องมีทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่ไม่ให้ห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แต่กระนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ เวลานักโทษคนนี้ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่นเขาต้องอยู่ที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง
นักโทษนิรนามนี้ตายในคุกเมื่อ ปี 1703 ในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ ถูกทำลายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นห้องคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น
ทำไมทางการถึงอยากลบตัวตนของเขานัก แม้มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว แต่ปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนายังคงอยู่ พร้อมข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าอเขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ บางก็ว่าเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่จ้องจองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่ เกิด ความมั่งคงนั้นเอง
หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิกส์วูด เชื่อว่าชายสวมหน้ากากเหล็กก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อ ถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเอง
จึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดภายใต้ชายหน้ากากเหล็กตลอดกาล แต่หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับชายหน้ากากเหล็กจึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป
เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...