[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 04:08:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิเพื่อชีวิต – หลวงพ่อพุธ ฐานิโย(๑)  (อ่าน 14569 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553 12:41:34 »



สมาธิเพื่อชีวิต (๑) หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

สมาธิตามธรรมชาติ

คำสอนของพระพุทธเจ้า... เป็นคำสอนของ ปัญญาชน
ไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคล   ผู้เชื่อ ในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ด้วยความงมงาย

ศาสนาพุทธ สอนให้คนเรียน   ให้รู้ธรรมชาติ  และกฎของธรรมชาติ
ถ้าใครจะถามว่า ธรรมะคืออะไร

ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติคืออะไร ก็คือ กายกับใจของเรา

สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ


สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ

สอนสมาธิ ต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัว ที่สุด
ความรู้เห็นอะไร  ที่เขาอวดๆ กันนี่  อย่าไปสนใจเลย

ให้มันรู้ เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา
รู้ว่าธรรมชาติของกาย อย่างหยาบๆ

มันต้องมีการ   เปลี่ยนอิริยาบถ   อยู่เสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือ "ความจริงของกาย"


สมาธิ เพื่ออะไร

ปัญหาสำคัญ ของการฝึกสมาธิ นี่...
บางที เราอาจจะเข้าใจไขว้เขว ไปจากหลักความจริง

สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่ง

สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มี "สติสัมปชัญญะ"
รู้ทันเหตุการณ์นั้น ๆ ในขณะปัจจุบัน


สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติ   เพื่อให้เกิดความรู้  ความเห็น   ภายในจิต
เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต

รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีต  ว่าเราเกิดเป็นอะไร
รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้ว  เราจะไปเป็นอะไร

อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้


อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว   อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ดังนั้น...เราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ดีไหม


ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า   ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่
มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ

อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้ว   ต้องเห็นนรก
ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร

สิ่งที่เราเห็นในสมาธิ มันไม่ผิดกัน   กับที่เรานอนหลับ แล้วฝันไป
แต่สิ่งที่เราจำเป็น ต้องรู้ ต้องเห็นนี่   คือเห็น"กาย" ของเรา เห็น"ใจ" ของเรา


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กุมภาพันธ์ 2553 04:35:18 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553 18:33:42 »



หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ

การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา
มีหลักที่ควรยึดถือว่า

ทำจิตให้มีอารมณ์"สิ่งรู้"  สติให้มี"สิ่งระลึก"   จิตนึกรู้สิ่งใด ให้มีสติ"
สำทับ" เข้าไปที่ตรงนั้น


ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด   เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว   เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ    ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ

อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล


ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร
คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้

ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใด
ให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้

ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา



สมาธิ ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว

มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก
แต่ถ้าเราจะคิดว่า อารมณ์ของสมาธิ

คือ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะ


รู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง
เราจะเข้าใจหลัก การทำสมาธิ อย่างกว้างขวาง

และสมาธิที่เราทำอยู่นี่ จะรู้สึกว่านอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา
หรือเพ่งดวงจิตแล้ว ออกจากที่นั่งมา

เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน
ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้

เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา
เวลาเรานอนลงไป คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด

ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป
แต่เรามีสติตามรู้ความ คิดจนกระทั่งนอนหลับ

ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กุมภาพันธ์ 2553 12:44:57 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 04:46:48 »




นี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้   สมาธิจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ

แต่ถ้าหากจะเอา สมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว
มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที แม้การงานอะไรต่าง ๆ

มองดูผู้คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด   อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย


ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญญา
ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่ สมมติว่ามีครอบครัว

จะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้น
หนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน

เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดา
กลายเป็นความเมตตาปรานี

ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่ง ๆ
เมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว

ได้สมาธิแล้ว งานมัน จะไม่ยุ่ง
พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บ

จิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

ทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมา
เรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บ

จิตมันวูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันที
อันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน

แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวัน
หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว

สมาธิอันนี้ทำให้โลกเสื่อมและไม่เป็นไป
เพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 05:04:30 »




ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ
ไม่มีสมาธิ            เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร

ไม่มีสมาธิ            สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร
ไม่มีสมาธิ            ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร

ไม่มีสมาธิ            ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร


พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมา
ตั้งแต่พี่เลี้ยง นางนม พ่อแม่ สอน

ให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่าน
รู้จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่น

ทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษา
เราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว

แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ ทั้งหลายนี้
ท่านจะถามว่า “เคยทำสมาธิไหม”

จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า
เราไม่เคยทำสมาธิไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน

เพราะท่านไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิ
เฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว


ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้    ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวา
มานั่งสมาธิหลับตา อย่างที่พระท่านชักชวน

การปฏิบัติ สมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน
นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด

ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้ฝึกสมาธิ
มาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 05:20:45 »


http://img505.imageshack.us/img505/8468/nighhi2.jpg
สมาธิเพื่อชีวิต – หลวงพ่อพุธ ฐานิโย(๑)


ทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่


นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่แล้วเท่านั้น
อย่าไปเข้าใจผิด ยืน เดิน นั่ง นอน

รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต
เราทำให้สิ่งเหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น


เวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไป
ให้มีสติไล่ตามรู้มันไป จนกระทั่งนอนหลับ

ปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน


ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงาน
เวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิด

โดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิต

โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข เอกัคคตา


ได้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้   ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง





พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

Pics by : Google
Credit by : http://yodnapa.bloggoo.com/archives/4185

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 07:21:04 »



สมาธิเพื่อชีวิต(๒) หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน

มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อ แล้วมาบอกว่า
“หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น”

หลวงพ่อก็บอกว่า
“คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับการยืน
เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด”

ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้
ภายหลังมานี่ ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร

มันเป็นสมาธิทั้งนั้น มันก็ไปสอดคล้องกันเอง
มองเห็นงานที่มันเคยยุ่ง ๆ ตั้งแต่ก่อน

เมื่อมีสมาธิดีแล้วไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้น
จิต มันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้

อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไป
ปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้น

แม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกัน
อันนี้เราไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลก ให้คิดแต่เรื่องธรรม



แต่ความจริงโลกน่ะเป็น อารมณ์ของจิต
ในเมื่อจิตตัวนี้ รู้ ความจริงของโลก

แล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่ เหนือโลก
และมันอาศัยโลกนั่นแหละ เป็นบันไดเหยียบไปสู่ จุดที่อยู่เหนือโลก

โลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์จิต กายและใจของเราก็เป็นโลก


สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
ที่เราประสบอยู่เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ก็โลก

ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้ว
จิตมันจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก

 มันก็ปล่อยวาง ถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก
มันก็แตะ ๆ แตะ ๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่

เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเอง
ว่าเรามีหน้าที่อย่างไร ควรจะรับผิดชอบอย่างไร

มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่ อย่างตรงไปตรงมา

 




มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 07:52:26 »




นักเรียน นักศึกษา ทำสมาธิในการเรียน

…ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน
ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ

พลังของสติ เพื่อสนับสนุนการศึกษา
หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน

สมมติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย
ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา

ส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้าง
หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง

ถ้าสังเกตุจนกระทั่งกระพริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี
เวลาเข้าห้องเรียนให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู

อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้ วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน
ถ้าพวกหนู ๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตาม จะได้สมาธิ


ตั้งแต่เป็น นักเรียนเล็ก ๆ ชั้นอนุบาล ในตอนแรกนี่
การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครูนี่อาจจะลำบากหน่อย

แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ
ภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอา ๆ

พอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้อง สายตามันจะจ้องปั๊บ
ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่า การที่มองที่ครู

และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม ลองคิดดู
ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว

สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง
มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไร พอท่านพูดจบประโยคนั้น

ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไร เวลาไปสอบ
อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้น

อันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว


หลวงพ่อทำสมาธิในการเรียนสมัยเป็นเณร
…อาจารย์องค์นั้นชื่ออาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ

ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น เห็นหลวงพ่อ
ถือหนังสือเดินท่องไปท่องมา แบบเดินจงกรม

ท่านก็ทักว่า “เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน
จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติ จับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก”

ที่นี้เราก็อุตริคิดขึ้นมาว่า
“เอ๊…หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน

อาโปเพ่งน้ำ วาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ
อากาศ เพ่งอากาศ  วิญญาณ เพ่งวิญญาณ

ในตัวครูนี่มีกสิณครบทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ
เราจะเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์

เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต
เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ”





มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 08:18:56 »




การเรียนคือการปฏิบัติธรรม

วิชาความรู้ที่นักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี่
มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เรา สามารถรู้ด้วยจิตใจ

สิ่งนั้นคือ"สภาวธรรม" สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจเสียใจเพราะมัน
เราท่องหนังสือไม่ได้เราเกิดเสียใจน้อยใจตัวเอง

หนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้
นั่นคือสิ่งที่มันไม่เป็นไปตามความปรารถนา

มันเข้าในหลักอนัตตา บางทีอยู่ดี ๆ เกิดเจ็บไข้
เราไปวิทยาลัยของเราไม่ได้ มันก็ส่อถึงอนัตตาอนิจจัง ทุกขังนั่นเอง


เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ให้มันรู้
พร้อมอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นการปฏิบัติธรรม เดิน เรารู้

ยืน เรารู้ นั่ง เรารู้ นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้
เอาตัว รู้ คือ สติ ตัวเดียวเท่านั้น

แม้ในขณะที่เราเรียนหนังสืออยู่
เราตั้งใจจดจ่อต่อการเรียนในปัจจุบันนั้น

นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิ
ทีนี้ความรู้ ความเห็น ที่เราจะพึงทำความเข้าใจ

มันอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่
ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง

ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะปลอดโปร่ง

เมี่อมีปัญหาขึ้นมา ทำอย่างไร..เราจึงจะมี สติปัญญา
แก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้


นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้อง เรียนให้มันรู้





มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 08:47:18 »




ทำสมาธิในการเรียนได้ผลอย่างไร

นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาในทุน
ที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง ตอนแรกเขาไม่อยากจะไปเรียน

เพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขาไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้
หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็นให้เขาไป ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียน

หลวงพ่อก็บอกว่า “หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิ ด้วย”
เขาก็เถียงว่า “จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องให้ทำสมาธิ

เอาเวลาที่ไหนไปเรียน” มันเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้
หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา

หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า “เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียน
ให้กำหนดจิตให้มีสติรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่ง

ที่จะต้องเพ่งมองก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้น
เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมด

ไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียว
อย่าส่งใจไปอื่น

…เขาใช้เวลาเรียนเพียง ๔ ปีก็จะจบแล้ว
ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะเอาให้จบได้

แต่มันก็ผิดคาดทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยน ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดี
มันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมด ก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิ ให้จิตมีสมาธิ

มีสติสัมปชัญญะ
เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียน อยู่ในปัจจุบันได้


…ถ้านักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ผลพลอยได้จากการฝึก
ความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวที ความรู้สึกซึ้งในพระคุณ

ของครูบาอาจารย์
มันจะฝังลึกลงสู่จิตใจ เราจะกลายเป็นคนกตัญญูกตเวที
ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น

เราก็มีแต่ความเคารพบูชาในครู อาจารย์ ลูกศิษย์ที่มีความเคารพในครูอาจารย์
การเรียน ทำให้เรียนได้ดีเกินกว่าที่เราคาดคิด





มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2553 09:04:06 »




 ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์

เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯ
พอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า

“ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่าน ได้ทราบว่าท่าน
สอนกรรมฐานเก่ง”

หลวงพ่อก็ถามว่า “คุณมีอาชีพอะไร” เขาตอบว่า
“ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย”

“ไหนคุณลองเล่าดูซิว่า ขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะ
คุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น

มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” เขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า

“สมมติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่ง ผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น
ทรงผมอย่างนี้ รูปร่าง ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้

คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอน แล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป
รู้สึกหลับไปพักหนึ่ง ในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่าง

มองเห็นภาพตุ๊กตาที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้า ที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่
จนกระทั่งแน่ใจ แล้วก็ถอนขึ้นมา ตื่นขึ้นมาจากภวังค์”

…ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมา
ฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้าง ตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็น

เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
หลวงพ่อก็บอกว่า   “คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว

คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิ
ด้วยการประดิษฐ์ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิ

ที่คุณต้องการจะเรียนจากฉัน
ถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น
ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสีย แล้วสมาธิของคุณจะเป็นไปเพื่อการละความชั่ว

ประพฤติความดี
ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้





มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2553 09:40:03 »





ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา


หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้น

ผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
จนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

จิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป
เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มี

เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้น
ให้กำหนดสติตามรู้ทันที
อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิ
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้น


…ในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่ง
เราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ต้องไปนึกอะไร

เพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด
ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมา ก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน

ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ดูมันไปเรื่อย ๆ จะคิดไปถึงไหน ช่างมัน
ปล่อยให้มันคิดไปเลย เวลาคิดไป เราก็ดูไป ๆๆๆ

มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิด
แล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา    กายสงบ จิตสงบ

กายเบา กายสงบ ได้กายวิเวก
จิตเบา จิตสงบ ได้จิตวิเวก

ทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้
ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น


บริกรรมพุทโธ กับการตามรู้จิต คือหลักเดียวกัน

…ภาวนาพุทโธเอาไว้
พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไป
พอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้…


พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้

๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู
๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง

ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้
แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้ว

เราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขา
ปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขา

หน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้น
นี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิ   สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ต้องปฏิบัติอย่างนี้





มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2553 10:01:01 »




อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด

ถ้าเราภาวนาพุทโธ ๆ
แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียด ถึงขั้นตัวหาย

เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผล ไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติ
เพื่อมรรค ผล นิพพาน

ภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบ
มันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอน


รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ซึ่งอันนี้ก็เป็น ประสบการณ์

ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้ว
พยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย

มันไม่ยอมสงบ ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน
นอกจากมันจะดิ้นแล้ว

อิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้า
ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมัน

ทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหน
ปรุงไปถึงไหน เชิญเลย ฉันจะตามดูแก

ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป
ทีนี้พอไป ๆ มา ๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด

ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว
มันรู้สึกเพลิน ๆ ในความคิดของตัวเอง

มันคล้าย ๆ กับว่ามันห่างไกล ไกลไปๆๆ
เกิดความวิเวกวังเวง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ


และพร้อมๆ กันนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่ความคิด
มันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน

ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้น แล้วทีนี้มันก็มีความเป็นหนึ่ง
คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต
ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิต

สักแต่ว่าคิด คิดแล้ว "ปล่อยวางไป"ๆ
มันไม่ได้ "ยึดเอามา" สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน


แล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว
มันวูบวาบๆ เข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหาย

เหมือนอย่างเคย จึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า
…อ๋อ ธรรมชาติของมัน    เป็นอย่างนี้...





มีต่อค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กุมภาพันธ์ 2553 10:05:39 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2553 10:35:56 »




ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต

ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต
ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิ

เป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา

พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน
ความคิด เป็น  ตัววิตก

สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจารณ์
เมื่อจิตมีวิตก วิจารณ์ ปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา

ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิด

ที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความ เป็นหนึ่ง

ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน
คือ ฌานที่ ๑ ประกอบ ด้วยองค์ ๕ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา






มีต่อค่ะ


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2553 11:03:01 »




ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา

…ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก
สติรู้พร้อม เป็นวิจารณ์ เมื่อจิตมีวิตก วิจารณ์

ปีติ และความสุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด

ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ
เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่า…

ความคิด เป็นอาหารของจิต
ความคิด เป็นการบริหารจิต

ความคิด เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด
ความคิด เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตา


แล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย
เมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์ เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์

อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์
มันก็มี ก็มองเห็น สุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละกันไป ในที่สุด ทุกข์อริยสัจ


…ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้นได้ สติรู้พร้อม มองเห็นทุกข์อริยสัจ
ถ้า"จิตมีปัญญารู้สึก" มันจะบอกว่า

อ้อ ! "นี่คือ..ทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้"
แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไป

สุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป
อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุด จิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น


มันจะกำหนดหมายรู้ว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปเกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้น
ยัง กิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติ

ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า
สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา… คือจุดนี้






มีต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2553 13:03:44 »




เส้นทางตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า

หลักการที่พระองค์ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือว่า
ทำจิต "ให้มีสิ่งรู้" ทำสติ "ให้มีสิ่งระลึก"

พระองค์ทำลมอานาปานสติให้เป็นสิ่งรู้ของจิต
แล้วเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ…

พระองค์ทรงทำพระสติรู้อยู่ ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ทำให้พระองค์ต้องรู้ความหยาบความละเอียดของลมหายใจ

และรู้ ความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ
ในขณะใดที่พระองค์ไม่ได้ดูลมหายใจ

พระองค์ก็กำหนดดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตของพระองค์
สิ่งใดเกิดขึ้นพระองค์ก็รู้ รู้ด้วยวิธีการทำสติ "กำหนดจิต"

กำหนดคอยรู้ คอยจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับกับจิต
ในเมื่อสติสัมปชัญญะของพระองค์มีความเข้มแข็งขึ้น





สามารถที่จะประคับประคองจิตใจให้มีความรู้ซึ้งเห็นจริง
ในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาติ

คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา อารมณ์อันใด ที่จิตของพระองค์ยังยึดถืออยู่

เมื่ออารมณ์สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็มายุแหย่
ให้จิตของพระองค์ เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย

ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นภายในจิต
ทุกข์ที่ปรากฏขึ้นภายในจิตของพระองค์ พระองค์ก็กำหนดว่า

นี่คือทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์จริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์จริงๆ พระองค์ก็สาวหาสาเหตุ

ทุกข์นี่มันเกิดมาจาก เหตุ อะไร
ทุกข์อันนี้เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากไหน

เกิดมาจากความยินดีและความยินร้าย ความยินดีเป็นกามตัณหา
ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น


ในความยินดียินร้ายทั้ง ๒ อย่าง
เป็นภวตัณหา ในเมื่อจิตมีภวตัณหา มันก็ย่อมมีความทุกข์เกิดขึ้น


เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้พระองค์รู้ซึ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔

คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
อันนี้เป็น "ภูมิธรรม" ที่พระองค์ค้นคว้าพบ และ "ตรัสรู้เอง" โดยชอบ





พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

Pics by : Google
Credit by : http://yodnapa.bloggoo.com/archives/4193

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ
บันทึกการเข้า
undevisee
มือใหม่หัดโพสท์กระทู้
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 1


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2553 23:43:39 »

ขอบคุณครับ
งามมาก
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
หลักคำสอนย่อๆ ของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 2013 กระทู้ล่าสุด 06 พฤษภาคม 2555 01:05:08
โดย เงาฝัน
ผู้ถึงซึ่งการฟัง :หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 2423 กระทู้ล่าสุด 22 พฤษภาคม 2555 17:17:24
โดย เงาฝัน
ตายแล้วเกิด โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เสียงธรรมเทศนา
ใบบุญ 0 3450 กระทู้ล่าสุด 01 ตุลาคม 2556 07:41:30
โดย ใบบุญ
ทุกข์และมหาสติ-จิตแท้จิตดั่งเดิม โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
เสียงธรรมเทศนา
ใบบุญ 0 2896 กระทู้ล่าสุด 08 ตุลาคม 2556 06:47:20
โดย ใบบุญ
เคล็ดลับการใช้สมาธิช่วยให้เรียนเก่ง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ธรรมะจากพระอาจารย์
น้ำมนต์ 0 11448 กระทู้ล่าสุด 06 มิถุนายน 2557 11:54:07
โดย น้ำมนต์
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.439 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 31 ตุลาคม 2567 06:47:53