Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
|
|
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2557 14:38:03 » |
|
.กามนิต - Kamanitaวาดภาพประกอบเรื่อง : Kimleng.กามนิต วรรณกรรมที่ดำเนินเรื่องอาศัยพุทธศาสนาและหลักธรรมตลอดจนพระสูตรต่างๆ เป็นโครงเรื่อง สอดแทรกด้วยเรื่องลัทธิศาสนาพราหมณ์ และวรรณคดีอินเดีย
วรรณกรรมเรื่องนี้ ชาวเดนมาร์กชื่อ Karl Adolph Gjellerup เป็นผู้แต่งเป็นภาษาเยอรมัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ให้ชื่อว่า 'Der Pilgrim kamanita' นาย John E. Logie แปลจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ให้ชื่อว่า 'The Pilgrim Kamanita'
เสฐียรโกเศศและนาคะประทีป แปลจากฉบับภาษาอังกฤษอีกต่อหนึ่ง ให้ชื่อว่า 'กามนิต' ตามชื่อพระเอกในเรื่อง
โครงเรื่องแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาคหนึ่ง-บนดิน และภาคสอง-บนสวรรค์ ดังนี้ ภาคหนึ่ง บนดิน๑. พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร ๒. พบ ๓. สู่ฝั่งแม่คงคา ๔. สาวน้อยผู้เดาะคลี ๕. รูปวิเศษ ๖. บนลานอโศก ๗. ในหุบเขา ๘. ดอกฟ้า ๙. ใต้ดาวโจร ๑๐. รหัสยลัทธิ ๑๑. งวงช้าง ๑๒. ที่ฝังศพของวาชศรพ ๑๓. เพื่อนบุณย์ ๑๔. ผู้เป็นสามี ๑๕. ภิกษุโล้น ๑๖. เตรียมรับมือ ๑๗. สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน ๑๘. ในห้องโถงบ้านช่างหม้อ ๑๙. พระศาสดา ๒๐. เด็กดื้อ ๒๑. ในท่ามกลางความเป็นไป ภาคสอง บนสวรรค์๒๒. ภูมิสุขาวดี ๒๓. การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์ ๒๔. ต้นปาริชาต ๒๕. บัวบาน ๒๖. สร้อยแก้วตาเสือ ๒๗. สัจกิริยา ๒๘. บนฝั่งคงคาสวรรค์ ๒๙. ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต ๓๐. มีเกิดมีตาย ๓๑. ปีศาจที่บนลาน ๓๒. สาคาเคียร ๓๓. องคุลิมาล ๓๔. นรกหอก ๓๕. การบูชาอันบริสุทธิ์ ๓๖. พระพุทธและพระกฤษณ์ ๓๗. ดอกฟ้าเหี่ยว ๓๘. พรหมโลก ๓๙. ความมัวมืดแห่งโลกานุโลก ๔๐. ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์ ๔๑. โอวาทอย่างง่ายๆ ๔๒. ภิกษุณีอาพาธ ๔๓. มหาปรินิพพาน ๔๔. พินัยกรรมวาสิฏฐี ๔๕. กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล ๔๖. อภิธาน ภาคหนึ่ง บนดิน๑.พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร"ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสในมนุษย์โลกแล้ว ถึงวาระอันควรจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน, พระองค์ได้เสด็จสู่ที่จารึกไปในคามนิคมชนบทราชธานีต่าง ๆ แห่งแคว้นมคธจนบรรลุกรุงราชคฤห์มหานคร"
ข้อความในพระสูตรเป็นดั่งนี้ ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนคร คือราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวาร แดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้ เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น
พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้ พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์ในภูมิภาพ ที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อน เช่นยอดเขากาฬกูฏไวบูลยบรรพต อิสีคิลิและคิชฌกูฏ ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น ยิ่งกว่านี้ ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระอันมีกระแสธารน้ำร้อน ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้น ว่าเมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่แต่โดยเดียว แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏเข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน
สมัยเมื่อล่วงแล้วแต่ปางหลัง ครั้นยังมีพระชนมายุในพระเยาวกาล เมื่อพระเกศายังดำเป็นมันขลับ เสวยอิฏฐารมณ์ผงมต่อความบันเทิงสุขโดยอุดมอันควรแก่ผู้อยู่ในวัยหนุ่มนั้น พระองค์ยังทรงสละสรรพสุขศฤงคารเสียได้ แล้วเสด็จออกจากพระราชสกุลวงศ์แห่งศากยชนบทในอุตรประเทศ เข้าสู่เขตลุ่มแม่น้ำคงคา บรรลุถึงเชิงเวภารบรรพตอันสูงลิ่ว ได้เสด็จประทับอยู่ที่นั้นเป็นปฐมกาลตลอดเวลาได้ช้านาน และเสด็จภิกขาจารในกรุงราชคฤห์ทุกบุพพัณหเวลา
สมัยนั้น และในคูหานั้น พระเจ้าพิมพิสาร ท้าวพญาแห่งมคธราษฎร์ได้เสด็จมาเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ทรงอ้อนวอนอัญเชิญเสด็จให้กลับคืนแคว้นศากยะ เพื่อเสวยความสุขแห่งโลก แต่พระตถาคตมิทรงหวั่นไหว กลับประทานพระธรรมเทศนา จนพระเจ้าพิมพิสารบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสัทธรรม ต่อมาได้เป็นอุบาสกสำคัญของพระพุทธองค์เจ้า
นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงเวลาที่กล่าวนี้ ล่วงได้ ๕๐ ปีบริบูรณ์ และระวาง ๕๐ ปีนั้น มิใช่จะเพียงทรงเปลี่ยนแปลงพระองค์จากความเป็นผู้แสวงหาความจริง จนได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ ยังทรงบันดาลให้ความมีความเป็นแห่งสังสารโลกเปลี่ยนแปลงไปด้วย อดีตกาลเมื่อเสด็จประทับอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ต้นสัตตบรรณครั้งกระโน้น ถ้าเทียบครั้งกระนี้ผิด ดูกันห่างไกลนักหนา ครั้งกระโน้น พระองค์เป็นผู้แสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ ต้องต่อสู้กับกิเลสมารอันหนาแน่น ต้องกระทำทุกรกิริยา ซึ่งมนุษย์อื่นที่แกล้วกล้าสามารถก็ย่อท้อทำไม่ได้ จนภายหลังทรงเห็นแจ้งซึ่งสังสารทุกข์ เสด็จออกจากทุกข์แล้ว ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันความเป็นไปของพระองค์ครั้งกระโน้นตลอดมาจนครั้งกระนี้ ก็เหมือนดั่งกลางวันในฤดูฝน พอรุ่งเช้ามีแสงแดดแผดจ้า แล้วนภากาศ พยับอับแสง เกิดพายุแรงฟ้าคะนองก้องสะท้านซ่านด้วยเม็ดฝน ครั้นแล้วท้องฟ้าก็หายมืดมนกลับสว่างสงบเงียบ มีวิเวกเหมือนภูมิประเทศในยามเย็นที่กล่าวแล้ว จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงดิ่งหายไปในขอบฟ้า
อันว่าพระอาทิตย์จะอัสดงลงฉันใด สำหรับพระตถาคตในขณะนี้ก็มีฉันนั้น พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้เห็นแจ้งซึ่งกองทุกข์ ทรงแสดงพระธรรมอันแท้จริงให้เห็นประจักษ์ และประทานหลักความหลุดพ้นจากทุกข์แก่มนุษยนิกรทั่วโลกธาตุ มีบริษัทสี่เป็นผู้สืบศาสโนวาทเผยแผ่พระธรรมของพระองค์ให้แพร่หลาย และประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ รักษาไว้ตลอดจิรกาลาวสาน
แม้เมื่อพระองค์เสด็จประทับยืนอยู่ขณะนั้น ก็ได้ทรงจินตนาการ อันเกิดขึ้นด้วยพระปริวิตกถึงที่ได้เสด็จมาโดดเดี่ยวตลอดวันว่า "ถึงเวลาแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะละสังสารนี้ไป คือสังสาระซึ่งเราได้ถ่ายถอนตนหลุดพ้นแล้ว ตลอดจนยังผู้ที่มาในภายหลังให้หลุดพ้นด้วย แล้วเข้าสู่ความดับสนิทด้วยอำนาจแห่งปรินิพพานธาตุ"
พระตถาคตทอดทัศนาการภูมิประเทศอันแผ่ไพศาลอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วตรัสว่า "ดูก่อน ราชคฤห์อันเป็นนครแห่งเบญจคิรี มีปริมณฑลงดงามตระการ อุดมด้วยนาสาลีและมหาศิงขรอันน่าเบิกบานหฤทัย เราได้แลดูในครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนาการ" ตรัสแล้วก็ยังประทับอยู่ ณ ที่นั้น จนภูมิประเทศที่ค่อยเลือน ๆ ลงในยามเย็น คงเหลือให้เห็นเด่นชัดแต่อุดมสถานอยู่สองแห่ง ที่ต้องแสงแดดดั่งดาดด้วยทองคำ แห่งหนึ่งคือปราสาทของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงอยู่ในวัยเป็นภิกษุหนุ่ม ซึ่งยังไม่มีใครรู้จักได้เคยเสด็จผ่านไปทางนั้น พระเจ้าแห่งแค้วนมคธ คือพญาพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นพระองค์เป็นครั้งแรก โดยเหตุที่พระองค์มีพระลักษณาการดั่งสีหดำเนิน สถานที่อีกแห่งหนึ่งคือยอดหลังคาเทวสถาน ซึ่งแต่ก่อน ๆ มาเมื่อพระองค์ยังมิได้ประทานพระธรรมเทศนาแก่มนุษยนิกรให้พ้นจากทารุณพิธี เคยเป็นสถานที่พลีชีวิตสัตว์อันหาความผิดมิได้ นับจำนวนเป็นพัน ๆ เพื่อบูชายัญเทวรูปที่ในนั้น, บัดเดี๋ยวใจยอดปราสาทและยอดหลังคาเทวสถาน ก็เลือนหายเข้าสู่ความมืดแห่งสายัณห์สนธยา ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นสถานที่ซึ่งพระองค์กำลังจะเสด็จไปอยู่นี้ กล่าวคือทางยอดแห่งพุ่มไม้อยู่ลิบ ๆ เบื้องพระพักตร์โพ้น เป็นป่ามะม่วง ที่หมอชีวกแพทย์หลวงของพญาพิมพิสาร อุทิศถวายเป็นที่ประทับของพระตถาคต
ณ ป่ามะม่วงนี้ พระตถาคตตรัสให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก นำพระสาวกประมาณ ๒๐๐ ล่วงหน้าไปก่อน ด้วยพระองค์มีพระพุทธประสงค์จะแสวงหาความวิเวก ในวันนั้นแล้ว จึ่งจะเสด็จดำเนินตามไปภายหลัง พระองค์ทรงทราบอยู่ว่า ยังมีพระภิกษุหมู่หนึ่งจากเบื้องตะวันตก มีพระสารีบุตรอัครสาวกเป็นประธานก็จะมาสู่ป่ามะม่วงในเวลาเย็นวันนั้น ด้วยโดยเหตุที่มีพระพุทธประสงค์ปวิเวกธรรม จึ่งตั้งพระหฤทัยจะไม่เสด็จกลับไปให้ถึงป่ามะม่วงในเย็นวันนั้น จะทรงแสวงหาที่แรมในชั่วราตรีตามละแวกบ้านแถวนั้นก่อน
ระวางนั้น ขอบฟ้าทางเบื้องตะวันตกเปลี่ยนจากสีทองเป็นสีดำหลัวขมุกขมัวลง ภูมิประเทศโดยรอบมืดตามลงทุกที ค้างคาวที่เกี่ยวเกาะบนต้นรังเห็นดำถมึนทึน ตกใจด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ก็ปล่อยเท้าที่เกาะแล้วกางปีกถลาร้องเสียงแหลมหายไปทางสวนผลไม้ในแถวนั้น
เมื่อพระตถาคตเสด็จบทจรมากว่าจะถึงละแวกพระนครก็มืดค่ำลงแล้ว ด้วยประการฉะนี้.ภาพลายเส้น จากปากกาลูกลื่นสีดำ๒. พบ พระตถาคตเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแรมคืนในบ้านแรกที่เสด็จไปถึง ซึ่งในที่นี้คือบ้านที่ตั้งอยู่ในบริเวณสวน มีช่องไม้ให้ลอดแลเห็นฝาผนังของบ้านเป็นสีเขียว ขณะพระองค์ทรงย่างพระบาทเข้าไปถึงประตูบ้าน ทอดพระเนตรเห็นข่ายดักนกห้อยอยู่บนกิ่งไม้ จึ่งเสด็จผ่านเลยไปเสียโดยมิได้รั้งรอ, เพราะบ้านนั้นเป็นที่อยู่ของพรานนก ในตอนนี้มีบ้านตั้งอยู่ห่าง ๆ กันเพราะเป็นชายพระนคร ซ้ำเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนเสียหลายหลัง ในเวลาไม่สู้ช้านัก เพราะฉะนั้น กว่าจะทรงพบบ้านอีกสักหลังหนึ่งก็เป็นเวลานาน บ้านหลังนี้เป็นโรงนาของพราหมณ์ผู้มีอันจะกิน พอพระพุทธเจ้าเสด็จคล้อยเข้าไปในประตูรั้ว ก็ทรงได้ยินเสียงหญิงผู้ภริยาทั้งสองของพราหมณ์ กำลังทะเลาะวิวาทด่าทอกัน พระองค์จึ่งทรงหันกลับออกประตูเสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป
บริเวณสวนของพราหมณ์ผู้มีอันจะกินนี้ มีเนื้อที่ยืดยาวไปตามถนนมาก จนพระองค์ทรงรู้สึกลำบากพระกรัชกายเหนื่อยล้าในทางเพราะเสด็จดำเนินมาไกล ทั้งพระบาทขวาสะดุดหินอันแหลมคม กระทำให้บังเกิดทุกขเวทนาอักเสบเจ็บปวด เมื่อพระตถาคตเสด็จมาถึงบ้านอีกหลังหนึ่ง ก็มีพระอาการดั่งข้างต้นนี้ บ้านที่เสด็จมาถึงใหม่แลเห็นได้แต่ไกล เพราะแสงไฟที่จุดไว้ในบ้านลอดช่องตาข่าย และช่องประตูพุ่งออกมาสว่างถึงถนน บ้านนี้ แม้คนจักษุบอดผ่านมา ก็ต้องทราบว่าเป็นบ้านมีคนอยู่ เพราะได้ยินเสียงเลี้ยงดูกันสนุกสนานเฮฮา, เสียงตบมือกระทืบเท้ากันโครมคราม และเสียงพิณดังไม่ขาดสาย, หญิงงามนางหนึ่งทรงพัสตราภรณ์แพรล้วน ศอสวมมาลัยมะลิพวงยืนพิงอยู่กับเสาประตู นางแย้มไรฟันอันแดงด้วยหมากเคี้ยว ยิ้มยั่วหัวเราะร่า อัญเชิญผู้เดินทางคือพระตถาคตเจ้าให้เสด็จเข้าไปในบ้าน โดยกล่าววาจาว่า "เชิญท่านผู้เป็นแขกแปลกหน้า เชิญเข้ามาเถิด, บ้านนี้เป็นที่สนุกสำราญร่าเริง" แต่พระตถาคตเจ้าเสด็จผ่านเลยบ้านหลังนั้นไปเสีย และในระวางที่เสด็จเลยมานั้นทรงระลึกถึงถ้อยคำของพระองค์ที่เคยตรัสคือ "ถ้าจะดูโศกาดูรในหมู่สงฆ์ ก็ในการร้องขับทำเพลง ถ้าจะดูความบ้าในหมู่สงฆ์ ก็ในการเต้นรำ ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ ก็ในอาการยิงฟันหัวเราะ" บ้านที่อยู่ถัดไปไม่สู้ไกลนัก แต่ได้ยินเสียงพิณและเสียงร่าเริงล่องมาตามลมได้แต่ไกล พระองค์จึ่งผ่านอีกบ้านหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นชายสองคนกำลังชำแหละโค ซึ่งพึ่งฆ่าใหม่ ๆ ในตอนเย็นวันนั้น ก็เสด็จเลยบ้านผู้ขายเนื้อโคไป
บ้านอยู่ถัดไป ตรงลานหน้าบ้านมีหม้อและชามดินพึ่งปั้นเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่เรียงราย อันเป็นการงานแห่งเจ้าของบ้าน ที่พากเพียรลงแรง ทำเป็นสัมมาอาชีพได้ ในวันนั้น เครื่องปั้นหมอยังคงวางอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ขณะนั้นกุมภการช่างปั้นหม้อกำลังเอาชามดินดิบออกจากเครื่องปั้น ขนเอามาวางเรียงรวมกันไว้
พระองค์เสด็จเข้าไปหาชายปั้นหม้อ แล้วตรัสว่า "ดูก่อนท่านผู้เผ่าภคะ ตถาคตจะขออาศัยพักแรมคืนที่ห้องโถงในบ้านท่าน จะมีข้อขัดข้องอย่างไรบ้างหรือไม่?"
ชายปั้นหม้อตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่มีข้อขัดข้องอย่างไรเลย แต่ทว่าในขณะนี้มีอาคันตุกะ ได้รับความเมื่อยล้าเพราะเดินทางไกลมาขออาศัยแรมคืนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความรังเกียจ ก็เชิญท่านผู้เจริญเถิด
พระตถาคตตรัสทรงรำพึงว่า "แท้จริงความวิเวกเป็นสหายอันวิเศษกว่าสหายอื่น ๆ. แต่อาคันตุกะที่มาพักอยู่ก่อน เดินทางเมื่อยล้ามาอย่างเรา ได้ผ่านเลยบ้านแห่งชนที่ประกอบมิจฉาชีพและไม่บริสุทธิ์ จนถึงบ้านชายปั้นหม้อจึ่งได้หยุดขออาศัย คนเห็นปานนี้ เราอาจร่วมสมาคมแรมคืนอยู่ด้วยกันได้"
ครั้นแล้ว เสด็จเข้าไปในห้องโถง ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง มีลักษณะเป็นผู้ดีมีตระกูล นั่งอยู่บนเสื่อข้างมุมห้อง
พระตถาคตตรัสปราศรัยด้วยว่า "ดูก่อนอาคันตุกะ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ตถาคตจะขออาศัยแรมราตรีในห้องโถงนี้"
ชายคนนั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ, เชิญท่านตามความพอใจเถิด เพราะห้องโถงของกุมภการกว้างขวางพอ"
พระตถาคตเจ้า ทรงลาดพระนิสีทนสันถัตลงใกล้ฝา ลดองค์ประทับด้วยสมาธิบัลลังก์มีพระกายตั้งตรง ดำรงพระสติสัมปชัญญะสงบนิ่งตลอดยามต้นแห่งราตรีนั้น ส่วนชายหนุ่มก็นั่งนิ่งอยู่ตลอดยามต้นเหมือนกัน
ต่อมา พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มมีอาการสงบนิ่งเช่นนั้น ก็ทรงรำพึงว่า "กุลบุตรผู้นี้เป็นผู้แสวงหาโมกขธรรมกระมังหนอ? อันเราควรถามดู" ทรงจินตนาการดั่งนี้ แล้วหันพระพักตร์ไปทางชายหนุ่ม แย้มพระโอษฐ์ ตรัสถามว่า
"ดูก่อน อาคันตุกะ ท่านมาถือเพศเป็นผู้ละเคหสถานเพราะเหตุเป็นไฉน?"
ชายหนุ่มตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เวลานี้ยังไม่ดึกนัก ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าจะได้เล่าถึงเหตุที่ข้าพเจ้าละเคหสถานมาถือเพศเป็นดั่งนี้"
พระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาต โดยพระศิรวิญญัติในอาการอันเป็นมิตรภาพ ชายหนุ่มจึงเริ่มเล่าเรื่องของตนต่อไปนี้.ภาพวาดลายเส้น จากปากกาลูกลื่นสีดำ ๓. สู่ฝั่งแม่คงคา ข้าพเจ้าชื่อกามนิต เกิดที่กรุงอุชเชนี อันเป็นนครมีภูเขาล้อมรอบ อยู่ไกลไปทางใต้ในแคว้นอวันตี บิดาเป็นพ่อค้า แม้มีตระกูลไม่สูงศักดิ์เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก ท่านบิดาได้จัดให้ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาอบรมในศิลปวิทยาเป็นอย่างดี เมื่อข้าพเจ้ามีอายุอันควรแล้ว ก็เข้าพิธีสวมยัชโญปวีตสายธุรำมงคลพราหมณ์ตามลัทธิ เวลานั้นข้าพเจ้ามีวิชาความรู้อันควรแก่กุลบุตรอย่างเชี่ยวชาญที่สุด จนคนทั้งหลายเชื่อว่า ข้าพเจ้าคงได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยตักศิลาเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าสามารถในมวยปล้ำและฟันดาบ เสียงก็ไพเราะเพราะได้รับการฝึกฝนในคันธรรพศาสตร์อย่างชำนาญ ทั้งสามารถดีดพิณได้แคล่วคล่องเท่ากับนักดนตรีที่ลือชื่อ บรรดาโศลกในมหากาพย์ภารตะและกาพย์อื่น ๆ ข้าพเจ้าสาธยายได้เจนใจ ซ้ำการประพันธ์ ฉันทพฤติวิธี ก็อาจร้อยกรองได้รวดเร็ว และมีข้อความไพเราะลึกซึ้ง ตกว่าวิชาใด ๆ อันควรแก่กุลบุตรจะต้องรู้ ข้าพเจ้าย่อมทราบได้อย่างดีเป็นที่สุด ดูก่อน ท่านอาคันตุกะ อันวิชาความรู้ของข้าพเจ้านั้น เป็นที่พูดกันติดปากของประชาชนชาวอุชเชนีว่า "เชี่ยวชาญเหมือนมาณพกามนิตทีเดียว"
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ ๒๐ ปี บิดาได้เรียกตัวเข้าไปหา แล้วพูดว่า "ลูกรักเอ๋ย บัดนี้การศึกษาของเจ้าก็สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องดูสิ่งต่าง ๆ ในโลก ให้หูตากว้างออกไปบ้าง แล้วจึ่งเริ่มประกอบการพาณิชย์เป็นอาชีพต่อไป เวลานี้พอดีประจวบเหมาะ เพราะใน ๒-๓ วันนี้พระเจ้าแผ่นดินของเรา ตรัสให้แต่งราชทูต ไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี ซึ่งอยู่ไกลไปทางเหนือ พ่อมีสหายอยู่ในเมืองนั้นคนหนึ่งชื่อประณาท เคยไปมาหาสู่กันเสมอ เขาได้บอกแก่พ่อไว้นานแล้ว ถ้าเอาสินค้าเมืองเรา มีแก้วหิน ไม้จันทน์ผง เครื่องจักสานและผ้า ไปขายที่กรุงโกสัมพี จะได้กำไรงาม ที่พ่อไม่อยากนำสินค้าไปขาย เพราะหนทางไกล ไปตามทางก็มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเป็นที่รังเกียจอันตรายมากอยู่ แต่ทว่าถ้าได้ไปในพวกราชทูตแล้วเป็นอันปลอดภัย ลูกเอ๋ย! เจ้าจงเตรียมตัวเถิด, เข้าไปเลือกสินค้าที่ในโรงเก็บ บรรทุกเกวียนโคไปสัก ๑๒ เล่ม สมทบกระบวนท่านราชทูตไป ของที่เอาไปนี้เมื่อขายได้ให้ซื้อกาสิกพัตร์ (ผ้าบางพาราณสี) และข้าวชนิดที่ดีกลับมา นี่แหละจะเป็นบทเรียนการค้าขายของเจ้าในขั้นต้น ซึ่งพ่อหวังว่าจะเป็นผลดีแก่เจ้าอย่างงาม อีกอย่างหนึ่งเจ้าจะได้เห็นประเทศต่าง ๆ อันมีลักษณะพื้นภูมิแปลก ๆ ผิดกว่าประเทศเรา ตลอดจนได้รู้ดูเห็นขนบธรรมเนียม และได้สมาคมกับคนชั้นสูง คือ พวกท่านราชทูตได้ทุกวัน จะได้จำกิริยาท่าทางของผู้ดี เพิ่มคุณสมบัติขึ้นในตัวเรา ดั่งนี้พ่อจึ่งถือว่า ได้รับประโยชน์อย่างใหญ่ เพราะพ่อค้าจะต้องเป็นคนมีหูตาสว่างจึ่งจะใช้ได้"
ข้าพเจ้าขอบคุณในความกรุณาของท่าน ดีใจจนน้ำตาไหล และต่อมาอีก ๒-๓ วันข้าพเจ้าได้ร่ำลาบิดามารดาและละเคหสถานเริ่มออกเดินทาง
ขณะออกจากประตูเมือง รู้สึกว่าได้เป็นหัวหน้าควบคุมเกวียนสินค้า หัวใจข้าพเจ้าก็เต้นเร้าด้วยความอิ่มเอิบใจ คิดนึกไปต่าง ๆ นานาอย่างร่าเริง การเดินทางล่วงไปวันหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับได้ประสบมหกรรมอย่างสนุกสุดใจ ตกเวลากลางคืนหยุดพักเดินทาง ก่อไฟกองใหญ่เพื่อป้องกันเสือ ข้าพเจ้านั่งล้อมวงอยู่ข้างท่านราชทูต และคนนอกนั้นก็ล้วนเป็นผู้สูงอายุและมีศักดิ์ กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคล้าย ๆ กับว่าอยู่ในเทวสมาคม ณ แดนสวรรค์
เดินทางผ่านป่าใหญ่ในแดนเวทิส และข้ามยอดเขาแห่งทิววินธัย จนบรรลุทุ่งกว้างใหญ่ฝ่ายเหนือ กระทำให้รู้สึกว่าได้มาเห็นโลกใหม่อยู่ตรงหน้า เพราะแต่ก่อน ๆ มาไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้จะแผ่ไปกว้างขวางมหึมาถึงปานฉะนี้
ล่วงประมาณหนึ่งเดือน นับแต่ออกเดินทางมา เย็นวันหนึ่ง มองดูทางยอดดงตาล เห็นเป็นแถบทองขนาดใหญ่สองแถบ ดูประหนึ่งว่าคลี่คลายออกจากกันอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งแลเห็นเป็นหมอกอยู่สลัว ๆ และแล่นขนานกันมาเป็นเส้นบนภูมิภาคอันเขียวชอุ่มด้วยตฤณชาติ แล้วค่อย ๆ เข้าใกล้กัน จนที่สุดรวมกันเป็นสายเดียวมีขนาดกว้างใหญ่
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่ เหลียวไปดูก็เห็นท่านราชทูต ข้าพเจ้าไม่ทันรู้สึกตัวเมื่อท่านเดินเข้ามา ท่านได้พูดว่า:-
"กามนิต ที่เห็นเป็นแถบทองโน่น คือแม่น้ำยมุนาและแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำทั้งสองมารวมกันตรงหน้าเราอยู่นี้"
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นจบบูชา
ท่านราชทูตกล่าวต่อไปว่า "ที่เจ้าแสดงความเคารพเช่นนั้นเป็นการดีแล้ว เพราะแม่คงคามาจากแดนแห่งทวยเทพ อันอยู่กลางเขาซึ่งมีหิมะปกคลุมทางอุตรประเทศ แล้วไหลดุจกล่าวว่ามาจากแดนสวรรค์ ส่วนแม่น้ำยมุนานั้นเล่า ไหลมาจากแดนอันขจรนามแต่กาลไกลสมัยมหาภารตะ น้ำแห่งแม่น้ำยมุนา ย่อมล้นไหลผ่านหัสดินปุระ ซึ่งปรักหักพังแล้ว และท่วมลบทุ่งกุรุ ซึ่งปาณฑพพี่น้องกับพวกเการพ ได้ทำสงครามเพื่อชิงชัยในความเป็นใหญ่ ณ ที่ตรงนั้น พระกฤษณะเป็นสารถีขับรถรบให้พระอรชุน และพระกรรณกำลังพิโรธอยู่ในค่าย แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าก็เห็นจะได้ เพราะเห็นว่าเจ้าเปรื่องโปร่งเจนใจอยู่แล้ว ตัวเราเคยยืนอยู่บ่อย ๆ บนแหลมที่เห็นอยู่โน้น มองดูแม่น้ำยมุนา อันมีสีเขียวไหลเป็นลูกระลอกลดหลั่นแข่งไปกับแม่น้ำคงคาซึ่งมีสีเหลือง ต่างสีต่างไหลไปรวมกัน เขียวและเหลือง ได้แก่กษัตริย์และพราหมณ์ อันอยู่ร่วมในมหาสมุทร คือวรรณะด้วยกัน ต่างจรร่วมทางไปสู่แดนแห่งพรหม บางคราวเข้ามาใกล้ชิดกัน บางคราวห่างกัน และบางคราวก็ร่วมกัน เป็นดั่งนี้นิรันดร เปรียบเหมือนแม่น้ำทั้งสองที่เห็นอยู่นี้ ครั้นแล้วเรารู้สึกว่าใจลอย แว่วคล้ายได้ยินเสียงรบ เสียงศัสตราวุธกระทบกัน เสียงเป่าเขาเร้าเร่งพล เสียงม้าร้อง เสียงช้างแปร๋แปร้น หัวใจของเราก็ตึ้กตั้กเต้นถี่เข้า เพราะรู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย และโลหิตของท่านเหล่านั้นก็ไหลนองซึมไปในทรายแห่งทุ่งกุรุนี้"
ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มในท่านราชทูต เงยหน้าขึ้นดูท่าน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในวรรณกษัตริย์สืบตระกูลนักรบเป็นทายาทมา
ขณะนั้น ท่านราชทูตจูงมือข้าพเจ้าพลางกล่าววาจาว่า "มาทางนี้ ลูก, มาดูภูมิประเทศที่เราจะไปถึง" ท่านพาข้าพเจ้าเดินอ้อมไปทางสุมทุมไม้ พ้นออกไปเพียง ๒-๓ ก้าวเท่านั้น ก็เห็นภูมิประเทศนั้นอยู่เบื้องตะวันออก
พอข้าพเจ้าเห็น ก็ออกอุทาน เพราะมองไปทางหัวเลี้ยวแม่คงคา ก็เห็นกรุงโกสัมพีดูงดงามมาก เห็นกำแพงปราการบ้านเรือนสลับสล้างดูเป็นลดหลั่น มีเชิงเทินท่าน้ำท่าเรือต้องแสงแดดในเวลาอัสดง ดูประหนึ่งว่าเป็นเมืองทอง ส่วนยอดปราสาทเป็นทองแท้ ก็ส่งแสงดูดั่งว่ามีอาทิตย์อยู่หลายดวง ควันไฟสีดำแดงพลุ่ง ๆ ขึ้นจากลานเทวสถาน ถัดลงไปข้างล่างริมฝั่งน้ำ เห็นควันสีเขียวอ่อนลอยขึ้นมาจากอสุภที่กำลังเผาในลำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งฉายเงาแห่งสถานที่ต่าง ๆ ลงไปเห็นกระเพื่อม ๆ มีเรือน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนมีใบและธงทิวสีต่าง ๆ แลดูงามตา ตรงท่าน้ำเห็นอยู่ไกล ประชาชนอาบน้ำอยู่มากมาย นาน ๆ ได้ยินเสียงคนพูดดังหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง
ขอให้ท่านผู้เจริญคิดดูเถิด ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าได้มองเห็นเทวโลก ยิ่งกว่าได้เห็นเมืองมนุษย์ แท้จริงลุ่มน้ำแม่คงคาทั้งหมดนี้ มีความงามดูเป็นสรวงสวรรค์อันปรากฏให้เห็นขึ้นแก่ตาข้าพเจ้า
ในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าไปถึงเมือง และพักอยู่ที่บ้านของท่านประณาท ผู้สหายเก่าแก่แห่งบิดา
รุ่งเช้าตรู่ ข้าพเจ้ารีบไปยังท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อกำลังลงขั้นบันได รู้สึกเบิกบานใจไม่ทราบว่าจะอธิบายได้อย่างไร เพราะได้มีโอกาสมาสนานกายในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่แต่จะชำระล้างฝุ่นธุลีที่ติดต้องตัว เพราะไปเดินทางมาเท่านั้น ยังเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปมลทินให้หมดสิ้นไปได้ด้วย ข้าพเจ้าจึ่งไม่แต่จะอาบอย่างเดียว, ได้เอาขวดไปบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับไปฝากท่านบิดาด้วย อนิจจา! ขวดน้ำนี้หาได้ไปถึงท่านไม่ด้วยเหตุไร จะได้ทราบภายหลัง
ถัดจากอาบน้ำแล้ว ท่านผู้เฒ่าประณาทศีรษะหงอก มีท่าทางน่านับถือ ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาดในเมือง และอาศัยความช่วยเหลือของท่าน เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ข้าพเจ้าขายสินค้าที่บรรทุกมาได้หมด มีกำไรอย่างงาม, และกว้านซื้อสินค้าพื้นประเทศ สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ที่ชาวเมืองของข้าพเจ้านิยมให้ราคาสูง
เมื่อการค้าขายของข้าพเจ้าได้ผลดีอย่างเร็ววัน มีเวลาว่างเหลืออยู่มากกว่าท่านราชทูตจะกลับ ดั่งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก จะได้เที่ยวชมบ้านเมืองหาความสนุกสำราญตามอำเภอใจได้บริบูรณ์, ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะได้โสมทัตต์บุตรท่านประณาทเป็นผู้นำเที่ยว.
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 กุมภาพันธ์ 2560 16:22:16 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2557 16:22:53 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 09:49:24 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2557 15:52:02 » |
|
มิไยท่านจะพูด ก็คงไม่สมประสงค์ เพราะข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า เมื่อกลับไปแล้วกว่าจะได้กลับมาเห็นหน้าคู่รักอีก ก็ต้องรอจนกว่าทางบ้านเมืองของข้าพเจ้าส่งราชทูตมา ครั้งหลังซึ่งคงเป็นเวลาอีกช้านาน เป็นอันไปไม่ได้ ต้องแสดงความสามารถของข้าพเจ้าให้ท่านบิดาเห็นว่า ลำพังข้าพเจ้าคนเดียวก็อาจคุมเกวียนฝ่าความลำบากและอันตรายไปได้เหมือนกัน
ความเป็นความจริง ซึ่งท่านราชทูตได้อธิบาย ถึงภัยอันตรายต่างๆ อย่างน่ากลัวในระหว่างทางที่จะไป แต่คำพูดของท่านไม่เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเลย ในที่สุดท่านเกิดโทสะ ออกไปเสียเฉยๆ ทั้งนี้มิใช่ความผิดของท่าน และข้าพเจ้าจะต้องได้รับผลอย่างเจ็บแสบเป็นที่สุด เพราะด้วยความหัวดื้อนี้ สำหรับในเวลานั้น กลับรู้สึกโล่งใจเท่ากับได้ปลดความหนักออกจากบ่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะมอบกายใจให้ไว้แก่ความรักของข้าพเจ้าได้บริบูรณ์ นึกอิ่มเอิบใจเช่นนี้ ทำให้ล้มตัวลงนอนหลับได้ง่าย ไปตื่นขึ้นต่อเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวไปยังลาน ซึ่งมีคู่รักรอคอยเราอยู่
ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์ได้ไปหาคู่รักทุกคืน ยิ่งคืนข้าพเจ้ากับวาสิฏฐีผู้ประสบขุมทรัพย์ใหม่ๆ อันเกิดต่อความร่วมรักของเรา ยิ่งทวีความที่อยากพบกันมากขึ้นทุกที ดวงจันทร์ฉายแสงดูยิ่งสว่าง หินอ่อนที่มีอยู่รู้สึกว่ายิ่งเย็นชื่นใจ กลิ่นดอกมะลิซ้อนหอมเย็นยิ่งขึ้น เสียงนกโกกิลายิ่งโหยหวน เสียงลมพัดถูกกิ่งปาล์ม ทำให้วังเวงมากขึ้น ตลอดจนกิ่งอโศกที่แกว่งไกวก็มีเสียงดูดั่งจะกระซิบกระซาบกัน สิ่งเหล่านี้เห็นจะไม่มีเหมือนแล้วตลอดโลก!
เฮอ! ถึงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ายังระลึกและจำต้นอโศกเหล่านั้นได้แม่นยำ ว่ามีอยู่เรียงกันเป็นแถวตลอดไปตามยาวของลานนั้น และใต้ต้นอโศกเหล่านี้ เราทั้งสองเคยประคองพากันเดินเล่น จนเราไห้สมญาลานนั้นว่า "ลานอโศก" เพราะต้นไม้ชนิดนั้นกวีให้ชื่อว่า "อโศก" หรือบางทีเรียกว่า "สุขหฤทัย" ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นต้นอโศกที่ไหนใหญ่โตงามเหมือนกับที่มีอยู่บนลานนั้น ใบซึ่งคอยสั่นไหวอยู่เสมอ เห็นเป็นเลื่อมพรายเงิน เมื่อต้องแสงจันทร์ เมื่อลมโชยมาก็มีเสียงปานว่าหนุ่มสาวกระซิบกัน เวลานั้นแม้จะย่างเข้าสู่วสันตฤดู คงยังแตกดอกออกช่อเป็นสีแดงบ้าง เหลืองบ้าง แก่อ่อนสลับกันไป ดูก่อนท่านภราดา จะด้วยอะไรเล่า ต้นอโศกเหล่านั้นจะไม่งดงามแตกดอกออกช่อชูไสว ทั้งนี้เพราะควงต้นรับกระแสรอยบาทของนางงามเหยียบย่างไปมาอยู่เนืองนิตย์
คืนอันน่าพิศวงคืนหนึ่ง พระจันทร์กำลังเต็มดวง ซึ่งข้าพเจ้านึกถึงในเวลานี้ ดูเหมือนว่าพึ่งล่วงไปเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ายืนอยู่ใต้ต้นอโศกกับวาสิฏฐีคู่รัก ถัดออกไปทางหุบเขาซึ่งมืดครึ้มด้วยเงาไม้ เราทั้งสองมองชมภูมิประเทศที่เลยพ้นออกไปจนสุดสายตา เห็นแม่น้ำสองสายไหลคดเคี้ยวขนานกันไป ดูดั่งแถบเงินอันอร่ามแผ่ไปบนที่ราบ แล้วก็ไปประจบกันตรงที่ศักดิ์สิทธ์แห่งหนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันว่า "จุฬาตรีคูณ" เพราะเชื่อว่า "แม่คงคาแดนสวรรค์" ลงมาร่วมกับแม่น้ำทั้งสองที่ตรงนี้ อันว่าทางช้างเผือกที่เห็นเป็นทางขาวในท้องฟ้าที่ในเมืองนั้น เขาเรียกกันว่า "สวรรค์คงคา" วาสิฏฐียกมือขึ้นชี้ไป ณ ที่เห็นเป็นทางสว่างขาวอยู่เหนือยอดไม้
ครั้นแล้ว เราพูดถึงมหาบรรพตหิมพานต์ ซึ่งอยู่ไปทางทิศเหนือและซึ่งแม่คงคาไหลลงมาทางนั้น อันมหาบรรพตหิมพานต์นี้ มียอดปกคลุมด้วยหิมะเป็นนิตย์ ย่อมเป็นที่สถิตของทวยเทพ ตามป่าใหญ่และเหวลึกของหิมพานต์ ก็ได้เป็นที่บำเพ็ญพรตของเหล่ามหามุนี ยิ่งกว่านี้เราพูดถึงแถวทางที่แม่น้ำยมุนาผ่านไหลมา และสาวไปถึงต้นแห่งแม่น้ำนั้น เมื่อนึกแล้วก็บังเกิดปีติยินดี ถึงกับข้าพเจ้าเปล่งอุทานวาจาออกมาว่า "เออหนอ! ถ้าเรามีนาวาทิพย์ทำด้วยมุกดา มีความปรารถนาเป็นใบ มีความอำเภอใจเป็นหางเสือ ได้แล่นเรือลอยละล่องไปในแม่น้ำนั้นขึ้นไปถึงต้นน้ำ แล้วขอให้เมืองหัสดินบุรี๑ ที่ล่มจมสาบสูญไปแล้วผุดขึ้นมาอีก ให้ได้ยินเสียงผู้คนในราชวังเฮฮาเล่นสกากัน ขอให้ทรายในกุรุเกษตรทุ่งใหญ่๒ บันดาลวีรบุรุษที่ตายในสมรภูมินั้นกลับเป็นขึ้นมา ให้ได้เห็นภีษมะ ท่านผู้เฒ่ามีเกศาหงอกขาวสวมเกราะเงิน ยืนตระหง่านอยู่บนรถรบ กำลังแผลงศรผลาญปรปักษ์ ให้ได้เห็นพระกฤษณะเป็นสารถีขับรถเทียมด้วยม้าขาว ๔ ตัว ให้พระอรชุนเข้าสู่กลางสมรภูมิ เออ! นึกๆ ก็น่าอิจฉาท่านราชทูตที่เป็นผู้อยู่ในวรรณกษัตริย์ และเคยเล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษของท่านได้เข้าร่วมกระทำสงครามในคราวนั้นด้วย แต่ช่างเถิด แม้เราเป็นบุตรพาณิชไวศยวรรณ ก็มิใช่จะละเลยต่อวิชานักรบเสียทีเดียว ได้เคยฝึกหัดชำนิชำนาญมาเหมือนกัน ถ้ามีดาบอยู่ในมือก็ย่อมสู้ใครๆ ได้ทั้งนั้น ไม่ถอยหนีเลย"
วาสิฏฐีสวมกอดข้าพเจ้าด้วยความพอใจ และเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นวีรบุรุษของนาง และว่าที่จริงข้าพเจ้าอาจได้เกิดเป็นวีรบุรุษแล้วคนหนึ่ง ครั้งมหาภารตยุทธ์ แต่จะได้เกิดเป็นวีรบุรุษคนไหนจะระลึกยังไม่ได้ เพราะยังไม่สามารถได้กลิ่นหอมแห่งต้นประวาลพฤกษ์๓ (ในแดนสวรรค์) เหตุด้วยกลิ่นดอกอโศกฟุ้งตลบกลบเสียหมด
ข้าพเจ้าขอร้องไห้นางเล่าถึงลักษณะความหอมแห่งต้นไม้นั้น เพราะยังไม่เคยได้ทราบ นางจึ่งเล่าเรื่องให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพระกฤษณะทรงทำสงคราบกับพระอินทร์ รุกไล่ตามขึ้นไปถึงสวรรค์โลก แล้วได้ต้นประวาลพฤกษ์ที่ปลูกไว้บนสวรรค์ เอาลงมาปลูกไว้ในสวนของพระกฤษณ์ ต้นประวาลพฤกษ์มีดอกสีแดงเข้ม๔ ส่งกลิ่นไปรอบปริมณฑลได้ไกลถ้าใครได้กลิ่นดอกประวาลพฤกษ์ก็จะระลึกชาติที่ล่วงไปแล้วนมนานได้ทุกชาติ
นางกล่าวต่อไปว่า "แต่ก็มีฤๅษีเท่านั้นที่สามารถจะได้สูดกลิ่นหอมนี้ในมนุษยโลก" แล้วพูดเป็นเชิงเย้าว่า "แต่เราทั้งสองคงจะไม่ได้เป็นฤๅษี ช่างเถิด ถึงเราจะไม่ใช่พระนลและพระนางทมยันตี เราก็เชื่อแน่ว่าเราทั้งสองย่อมมีความรักไม่แพ้ท่านทั้งสอง หรือบางทีความรักและความมอบไว้ใจกันนั้น เป็นของจริงมีจริง เว้นแต่จะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนชื่อเรียกเท่านั้น ความรักและความไว้ใจทั้งสองประการนี้ เปรียบได้ด้วยเสียงเพลงอันไพเราะแห่งพิณ ซึ่งเราทั้งสองเป็นผู้ดีด แม้พิณจะขาดสาย ก็ขึ้นสายใหม่ได้ ส่วนเสียงเพลงอันไพเราะก็ยังคงไพเราะอยู่อย่างเดิม จริงอยู่ เสียงเพลงแห่งพิณเครื่องหนึ่ง ย่อมจะไม่เหมือนกันกับเสียงของพิณอีกเครื่องหนึ่ง เช่นพิณอันใหม่ของฉัน ย่อมมีเสียงหวานเพราะยิ่งกว่าพิณอันเก่า อย่างไรก็ดี เราทั้งสองก็เป็นเหมือนดั่งพิณ ที่มีเทพเป็นผู้ดีด กระทำให้เกิดเสียงหวานเพราะขึ้นได้ก็ด้วยพิณนั้น"
ข้าพเจ้าค่อยๆ โอบนางแนบไว้กับอก รู้สึกซาบซึ้งในถ้อยคำที่กล่าวนี้ นางยิ้มและคงทราบความในใจของข้าพเจ้า แล้วพูดต่อไปว่า "ที่จริง ฉันไม่ควรจะคิดเห็นเป็นเช่นนั้นฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ได้กล่าวคำว่าด้วยความคิดคล้ายๆ เช่นนี้ กระทำให้พราหมณ์ผู้เป็นครูประจำตระกูลโกรธเคืองใหญ่ บอกว่าหน้าที่คิดควรให้ไว้กับพราหมณ์ ผู้หญิงควรมีหน้าที่เพียงบูชากราบไหว้พระกฤษณ์เท่านั้น เมื่อผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้คิด แต่ก็คงไม่ถูกห้ามในเรื่องความเชื่อ เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ฉันเชื่อว่าเราทั้งสอง คือ พระนลและนางทมยันตีเป็นแน่แท้"
นางยกมือขึ้นบูชาต้นอโศกซึ่งอยู่ตรงหน้า กำลังมีดอกออกช่อไสว แล้วกล่าวคำดั่งที่นางทมยันตีเคยกล่าว เมื่อระหกระเหินรับความวิปโยค เที่ยวตามหาพระนลอยู่ในกลางป่าได้ร้องถามต้นอโศกว่า:- "อ้าดูอโศกนี้ ศรีไสววิไลตา อยู่หว่างกลางพนา เป็นสง่าแห่งแนวไพรฯ ชุ่มชื่นรื่นอารมณ์ ลมเพยพัดระบัดใบ ดูสุขสนุกใจ เหมือนแลดูจอมภูผาฯ อโศกดูแสนสุข ช่วยดับทุกข์ด้วยสักครา โศกเศร้าเผาอุรา อ้าอโศกโรคข้าร้ายฯ อโศกโยกกิ่งไกว จงตอบไปดั่งใจหมาย ได้เห็นพระฦๅสาย ผ่านมาบ้างฤๅอย่างไรฯ พระนั้นชื่อพระนล ผู้เรืองรณอริกษัย เป็นผัวนางทรามวัย นามนิยม ทมยันตีฯ"
เมื่อวาสิฏฐีกล่าวคำของนางทมยันตีแล้ว ก็เงยหน้าดูข้าพเจ้าด้วยดวงตาอันอ่อนหวานเต็มไปด้วยพิศวาส มีหยาดน้ำตาที่ต้องแสงจันทร์ส่อง ดูใสเหมือนแก้ววิเชียร และพูดด้วยกระแสสั่นต่อไปว่า:-
"เมื่อเธอจากไป และอยู่ห่างไกลแสนไกลจากที่นี่ ขอให้ระลึกถึงภาพความสุขของเรา ซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ แล้วจงนึกว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้ กำลังไต่ถามข่าวคราวจากต้นอโศก ผิดกันแต่ฉันไม่ได้บอกชื่อแก่ต้นอโศกว่า พระนล แต่บอกชื่อว่า กามนิต"
ข้าพเจ้าโอบกระหวัดนางไว้แนบแน่น ริมฝีปากต่อริมฝีปากใกล้ชิดสนิทแนบ เสียวกระสันเต็มตื้นใจ ไม่สามารถจะสรรคำอะไรมากล่าวได้ถูกต้อง
ทันใดนั้น มีเสียงอะไรร่วงลงมาจากยอดต้นไม้ที่อยู่เหนือเรา สักครู่ก็เห็นดอกไม้สีแดง ลอยลงมาถูกแก้มเราทั้งสอง ซึ่งเยิ้มชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความรัก วาสิฏฐีหยิบขึ้นมาดม ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วส่งให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับเอามาแนบไว้กับอก
ดอกไม้ต้นอื่นๆ ก็ร่วงหมดตลอดแนว เมทินีซึ่งนั่งอยู่ข้างโสมทัตต์ที่บนม้าไม่ห่างไกลไปจากเรานัก ลุกขึ้นไปเก็บดอกอโศกมาหลายช่อ แล้วเดินเข้ามาหา บอกว่า:- "ดูซิ น้อง ดอกกำลังจะเริ่มถึงเวลาร่วงแล้ว อีกไม่ช้าคงเก็บไปต้มสำหรับหล่อนอาบน้ำได้พอ"
โสมทัตต์สหายเสือกของข้าพเจ้า พูดสอดขึ้นว่า "อะไร! ดอกไม้เหลืองนี่หรือ? วาสิฏฐีคงไม่เอาไปต้มน้ำอาบดอก ขอรับรองว่านางคงจะใช้ต้มสำหรับอาบ ก็แต่ดอกที่เป็นสีแดง ชนิดที่กามนิตสหายเรากำลังเอาแอบซ่อนไว้ในเสื้อ เพราะสีเหลืองหญ้าฝรั่น คือความรักเห็นได้ง่าย แต่ว่าจางเร็ว ส่วนสีแดงชาด ถ้าสีไม่ตกก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายในตัว" แล้วตัวเขากับเมทินีก็หัวเราะเป็นนัยๆ วาสิฏฐียิ้มน้อย ตอบอย่างเบา แต่ทว่ากดมือข้าพเจ้าไว้แน่นว่า:- "ท่านโสมทัตต์ ท่านเข้าใจผิดถนัด ความรักของฉันจะเปรียบด้วยสีดอกไม้ไรๆ ไม่ได้ เพราะว่าฉันได้ยินกล่าวกันว่า ความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดำดั่งสีนิลเหมือนดั่งสีศอพระศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุด เพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่ และเพราะความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือความขมขื่นไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่น คือมุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว วาสิฏฐีคู่รักของข้าพเจ้า ได้พูดเป็นหลักนักปราชญ์ที่ใต้ต้นอโศกด้วยประการฉะนี้.--------------------------------------- ๑ หัสตินาปุระ, เมืองหลวงของพวกเการพในมหาภารตะ ๒ สนามรบที่พวกปาณฑพกับพวกเการพทำสงครามกันครั้งมหาภารตะ ๓ ต้นฉบับเขียนว่า Coral tree ซึ่งเคยแปลกันว่าต้นทองหลาง แต่ในที่นี้ได้ความว่าเรียก ประวาลพฤกษ์ (ตรงตามศัพท์ที่แปลออกเป็นภาษาอังกฤษ หรือต้นปาริชาตนั่นเอง ซึ่งใครได้กลิ่นก็ระลึกชาติได้) ๔ สีเป็นดอกทองหลางภาพลายเส้นจากปากกาลูกลื่นสีดำ๗. ในหุบเขา ชายอาคันตุกะเล่าเรื่องถึงตอนที่แล้วมา ซึ่งเท่ากับฟื้นความหลัง ทำให้เต็มตื้นใจจนถึงกับนิ่งอั้นไปเป็นครู่หนึ่ง เอามือประทับหน้าผากถอนหายใจยาว แล้วจึ่งเล่าเรื่องต่อไป:-
ดูก่อนภราดา สรุปเรื่องที่เล่ามาแล้ว คือข้าพเจ้าได้ไปหาคู่รักทุกคืน ขาดเสียไม่ได้เลย ประหนึ่งว่าตกอยู่ในห้วงความเมากามสุข และดูเหมือนว่าเท้าจะไม่ได้ถูกดินฉะนั้น ครั้งหนึ่งอดอยู่ไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาดังๆ ที่เคยได้ยินบางคนพูดว่า โลกเรานี้มีแต่ทุกข์ และยังจะคิดหนีโลกไม่ปรารถนามาเกิดอีกเล่า ข้าพเจ้าร้องว่า "โสมทัตต์, คนเรานี่บางคนช่างโง่บัดซบจริง ดูเหมือนว่าโลกเรานี้จะหาที่มีความสุขเลิศยิ่งกว่าลานอโศกนี้ เป็นไม่มีแล้ว"
แต่ข้างล่างแห่งลานอโศกลงไป เป็นเหวลึก คือหุบเขา
ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์กำลังป่ายปีนอยู่ ขณะที่กล่าวคำข้างต้นนี้ และดูเป็นทีจะให้ข้าพเจ้าทราบว่าความสุขของโลกก็มีความทุกข์เกิดเป็นคู่ปรับกันไป เพราะในขณะนั้นเอง มีผู้ร้ายหลายคนกลุ้มรุมเข้ามาทำร้ายเรา ผู้ร้ายนั้นจะมีกี่คนไม่ทราบ เพราะมืดตื้อมองไม่เห็นตัวกัน เคราะห์ดีอยู่หน่อย ที่ได้ชัยภูมิด้านหลังเป็นหินเอาหลังยัน หันหน้าเข้าสู้ศัตรูได้สะดวกไม่ต้องพะวงการสกัดหลัง เมื่อรู้สึกดั่งนี้ก็ใจชื้นไม่เสียสติ เริ่มรับมือศัตรูเพื่อป้องกันชีวิตและความรัก กันฟัดสงบเงียบคอยที และเอาอาวุธออกกวัดแกว่งทิ่มแทงอย่างใจเย็น แต่ปรปักษ์ของเราร้องเอะอะดั่งปีศาจ เพื่อกระตุ้นพวกของมันให้รุกหน้า สังเกตตามเสียงพวกศัตรูเห็นจะมีจำนวน ๘ หรือ ๑๐ คน ถึงแม้พวกมันจะรู้รสว่ามาเผชิญต่อนักฟันดาบอย่างชำนาญคือเราทั้ง ๒ คนก็ดี กระนั้นฐานะของเราก็ไม่สู้จะดีนัก พวกมัน ๒ คนถูกอาวุธจองเราล้มกลิ้งไปปะทะพวกมันเอง กระทำให้อ้ายเหล่าร้ายที่เหลือทำการไม่ได้ถนัด กลัวจะไปสะดุดพวกมันเอง จะเสียหลักให้โดนอาวุธของเราได้ง่าย สังเกตว่าพวกมันถอยห่างไปสักสองสามก้าว เพราะไม่ได้ยินเสียงมันหายใจรดหน้าเราเหมือนก่อนๆ
ข้าพเจ้ากระซิบบอกโสมทัตต์ ๒-๓ คำ แล้วเราขยับถอยเลี่ยงข้างไป ๓-๔ ก้าว เพื่อลวงศัตรูให้มันเข้าใจว่าเรายังอยู่ในที่เดิม มันได้พุ่งปราดแทงเข้ามาตรงนั้น ปลายดาบได้กระแทกเข้ากับหินงอหัก ฝ่ายเราจะทิ่มแทงเสียบชายโครงได้ง่ายดาย เวลาเราเลื่อนย้ายที่ ได้พยายามไม่ให้มีเสียงแม้แต่น้อย แต่จะเป็นด้วยมันหูไวได้ยินหรืออย่างไรไม่ทราบ มันจึงพุ่งใส่ไปตรงที่ซึ่งเราย้ายมา ทันใดนั้นเห็นแสงไฟเป็นเส้นนิดไปติดอยู่ที่ผนังหิน เหลียวดูก็เห็นเป็นแสงออกมาจากที่อะไรอย่างหนึ่งซึ่งใช้ต่างตะเกียง แลเห็นจมูกและนัยน์ตาโผล่ออกมาจากผ้าคลุม
ไม้ไผ่ที่เราใช้สำหรับป่ายปีนยังอยู่ในมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอาไม้ไผ่ทิ่มออกไปเต็มแรงตรงที่เห็นว่าเป็นคน เสียงร้องแหลม และแสงสว่างก็ดับวับ แล้วได้ยินเสียงดังปุ เป็นอันแสดงให้เป็นเป็นพยานว่า ฝีมือพุ่งหลาวได้ผลสมประสงค์ ในตอนที่พวกมันตกตะลึงกันนี้เอง เราได้ช่องรีบสาวก้าวหนีไปยังทางที่เรามา พวกเราชำนาญลู่ทางได้ดีเพราะขึ้นลงเสียจนเจน จึ่งทราบว่าตอนที่หนีต่อไปเป็นซอกเขาแคบเข้า มีหนทางที่จะป่ายปีนขึ้นไปได้ง่ายกว่าที่แล้วมา เป็นคราวเคราะห์ดีที่อ้ายเหล่าร้ายเลิกไล่ตามมาเพราะมืดมาก ส่วนข้าพเจ้า ชักจะหมดกำลัง รู้สึกว่ามีบาดแผลหลายแห่ง โลหิตไหลออกมาก สหายข้าพเจ้าก็ต้องอาวุธเหมือนกัน แต่ไม่ฉกรรจ์เท่ากับข้าพเจ้า
ครั้นลงมาถึงที่ราบได้แล้ว ก็ฉีกเสื้อผ้าเอามาพันแผลชั่วคราว ข้าพเจ้าเกาะโสมทัตต์ พยุงตัวกลับมาถึงบ้านได้ และต้องนอนเจ็บอยู่กับที่หลายสัปดาห์
ข้าพเจ้าต้องนอนป่วย มีความเดือดร้อนถึงตรีคูณ ไหนแผลที่ถูกอาวุธจะเป็นพิษปวดรวดร้าว มีไข้เข้าแทรกทับ ไหนจะคิดถึงคู่รักแทบใจจะขาด ซ้ำยังเกิดปริวิตกอย่างใหญ่เข้ามาถม กลัวนางจะต้องเจ็บไข้ได้ทุกข์ถึงแก่ชีวิต เพราะรูปร่างแบบบางราวกับดอกไม้อันแบบบาง ไหนจะทนฟังข่าวเรื่องข้าพเจ้าเจ็บหนักอยู่ได้
เมทินีผู้ภักดีได้ไปเยี่ยมเยือนส่งข่าวทั้งสองฝ่ายให้ทราบทุกวัน ซ้ำไม่ลืมนำความรักความคิดถึงมาเล้าโลมใจเสมอ ได้ส่งดอกไม้ฝากไปมา จนข้าพเจ้ากับวาสิฏฐี สามารถใช้พูดกัน ด้วยเครื่องหมายของดอกไม้ได้ชำนาญ ต่อมาเมื่อกำลังค่อยฟื้นดีขึ้นอย่างเดิมบ้างแล้ว ก็บอกข่าวกันทางกาพย์กลอนอันไพเราะความเป็นไปเพียงที่เล่านี้ ก็จะพอทนนอนเจ็บอยู่ได้ แต่บังเกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างหนึ่งซึ่งทำให้วิตกถึงกาลภายหน้ามาก
ข้าพเจ้าจะขอกล่าวในที่นี้ด้วย ว่าเรื่องที่เราถูกประทุษร้ายนี้ไม่ใช่ลี้ลับที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดร้าย แท้จริงผู้คิดร้ายคืออ้ายสาตาเคียรบุตรประธานมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาแย่งลูกคลีจากข้าพเจ้าในอุทยานบ่ายวันที่ข้าพเจ้าไม่ลืมเลย มันเองเป็นผู้จ้างอ้ายเหล่าพาลมาทำร้าย ทั้งนี้มิใช่อื่นไกล คงเป็นเพราะมันสังเกตเห็นข้าพเจ้าไม่ได้กลับไปกับท่านราชทูตเกิดความสงสัย คอยด้อมสะกดรอยดูอยู่จนทราบว่าไปที่ลานบ้านนายช่างทองเสมอทุกคืน
อนิจจา! ลานอโศกของเรานี้หนอ บัดนี้มากลายเป็นเหมือนเกาะที่จมหายลงไปทะเลเสียแล้ว จริงอยู่ข้าพเจ้าอาจสละชีวิตเพื่อขึ้นไปหานาง และถึงแม้ว่าวาสิฏฐีจะฝ่าอันตรายออกมาพบด้วยทุกคืน ดั่งนี้ก็ไม่ว่า แต่รูปการณ์มิได้เป็นไปเช่นนั้น เพราะอ้ายสาตาเคียรทุรชาติ คงนำความไปบอกเล่าเรื่องเราลอบพบปะกัน แก่บิดามารดาของนางเป็นแน่ ด้วยต่อมาไม่ช้า ก็ปรากฏว่า วาสิฏฐีถูกกักตัวไม่ให้ออกมาเที่ยวเล่นที่ลานในเวลาเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว อ้างว่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกาย เพราะเพิ่งหายเจ็บได้ใหม่ๆ
ด้วยประการฉะนี้ ความรักของเราก็เสมือนไร้ที่อาศัยเสียแล้ว แต่ก่อนนี้อาจพบกันได้ลับๆ ไม่มีใครรู้และไม่ต้องกลัวใครเห็น บัดนี้จะพบกันได้ก็แต่ในที่เปิดเผย ให้โลกเห็นได้สะดวก ข้าพเจ้าได้พบวาสิฏฐีอีกครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง คล้ายกับว่าจะประจวบพบกันที่ในอุทยาน ซึ่งเราได้พบกันเมื่อก่อนนี้เป็นครั้งแรก อนิจจา! ถึงได้พบกันก็เหมือนว่าไม่ได้พบ เพราะลอบพูดกันได้อย่างเร่งร้อนเพียง ๒-๓ คำเท่านั้น ด้วยมีตาตั้งร้อยตาพันตาคอยมองดูเรา วาสิฏฐีได้ร้องขอให้ข้าพเจ้าออกจากเมืองไปเสียทันที ด้วยจะมีอันตรายร้ายแรงมาสู่ข้าพเจ้า นางแสดงปริเทวนา ว่าไม่ควรเลยที่นางดื้อดึงหน่วงเหนี่ยวข้าพเจ้าไว้มิให้ออกจากเมืองไป จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ตกอยู่ในปากแห่งมฤตยูเสียแล้ว บางทีในเวลาที่กำลังพูดนี่เอง อาจมีผู้ร้ายใหม่อีกพวกหนึ่งมีผู้จ้างให้มาเอาชีวิต หากข้าพเจ้าไม่ไปจากเมืองทันที เพื่อให้พ้นภัย ก็เท่ากับนางเป็นผู้ฆ่าคู่รักของนางเอง นางกลั้นความสะอื้นไว้ในอกจนสะอึกพูดไม่ออก ข้าพเจ้าได้แต่ทำเฉย จะเข้าไปประคองปลอบประโลมหรือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาพรากๆ ก็ไม่กล้า จำเป็นจำใจแท้ๆ แต่ที่จะพรากจากนางไปแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าเหลืออดทนได้ จึงบอกว่าไหนๆ ก็ต้องจากกันไปนาน จะหาช่องพบพูดจากันสองต่อสอง เพื่อฝากฝังความรักได้อย่างไรบ้าง
วาสิฏฐีทำกิริยาหน้าละห้อยดูเหมือนหมดปัญญา พอดีขณะนั้นจำเป็นต้องผละจากกันไป เพราะมีคนเดินมาหลายคน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังเชื่อในปัญญาของคู่รัก ว่าคงจะหาอุบายให้ได้พบกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ฝ่ายนางกำลังวิตกถึงชีวิตข้าพเจ้าจะเป็นอันตราย คงจะได้ปรึกษาหารือกับเมทินีซึ่งเป็นผู้มีปัญญา ความข้อนี้ข้าพเจ้าเดาไม่ผิด เพราะในคืนนั้นเอง โสมทัตต์มาบอกถึงอุบายของนางที่ได้ดำริไว้ ซึ่งเห็นผลสมดั่งมุ่งหมายอย่างแน่แท้. ภาพวาดลายเส้น โดยปากกาลูกลื่นสีดำ๘. ดอกฟ้า ณ ที่ถัดหลังกำแพงกรุงโกสัมพี ด้านตะวันออกไปเล็กน้อย มีป่าไม้ประดู่ลายอันงามซึ่งที่ถูกเป็นป่าไม้อันศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ป่าไม้อันโปร่งร่มรื่นนี้ มีเทวาลัยซึ่งในเวลานั้นปรักหักพังเต็มที ไม่เคยมีใครไปทำพลีบูชา ณ สถานศักดิ์สิทธิ์ของบุราณนี้ นมนานมาแล้ว เพราะพระกฤษณะซึ่งสิงสถิตในเทวาลัย ได้มีผู้สร้างเทวาลัยที่ใหญ่กว่าถวายใหม่ในกรุงเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เทวาลัยของเก่าจึ่งทรุดโทรม มีแต่นกเค้าแมวคู่หนึ่งกับหญิงแก่ผู้วิเศษคนหนึ่งอาศัยอยู่เท่านั้น หญิงผู้นี้มีคนนับถือว่าติดต่อกับพวกภูติผี สามารถใช้มันดูเหตุการณ์ภายหน้าของบุคคลที่มาบูชาและซักถามได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นในเวลาเย็นๆ จึ่งมีประชาชนทั้งหญิงชายพากันไปหาเป็นอันมาก รวมทั้งพวกหนุ่มสาวที่มีเรื่องโรครักรวมอยู่ด้วยไม่น้อย หญิงผู้วิเศษคนนี้ มีผู้กล่าวขวัญว่า แกเป็นแม่มดหมอผี แต่แกจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าพเจ้าและวาสิฏฐีก็ต้องการความช่วยเหลือจากแกอยู่ เพราะฉะนั้น เราทั้งสองจึ่งเลือกเอาเทวาลัยน้อยที่แกอาศัยอยู่เป็นที่นัดพบกัน
รุ่งเช้า ข้าพเจ้าเอาโคเทียมเกวียนออกเดินทาง กะเวลาไปให้เหมาะกับเวลาที่ประชาชนไปจ่ายตลาด หรือไปศาลว่าความ ที่กะไปในเวลาพลุกพล่านเช่นนี้ และคุมกองเกวียนจงใจไปในถนนซึ่งเป็นที่ประชุมชน ก็เพื่อให้สาตาเคียร ตัวศัตรูเห็นหรือทราบว่าข้าพเจ้าได้ออกจากกรุงไปแล้ว ข้าพเจ้าออกเดินทางไปสักสองสามชั่วโมง ก็หยุดพัก เพื่อค้างคืนที่หมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง พลอยทำให้บริวารของข้าพเจ้าดีใจมาก ก่อนเวลาค่ำเล็กน้อย ข้าพเจ้าจัดแจงแต่งตัวปลอมเป็นคนใช้ และกระโดดขึ้นหลังม้าย้อนกลับไปกรุงโกสัมพีตามทางที่มาแล้ว
เวลาค่ำแล้ว กว่าข้าพเจ้าจะไปถึงป่าประดู่ลาย ก็เป็นเวลามืดทีเดียว ขณะชักม้าไปในระหว่างต้นไม้ ได้กลิ่นดอกบัวซึ่งบานเผย ส่งมาจากสระพระกฤษณ์ของโบราณ ประหนึ่งต้อนรับข้าพเจ้าให้ชื่นใจอีก ไม่สู้ช้าก็เห็นยอดหลังคาคร่ำคร่าของเทวาลัย อันมีเทวรูปอยู่ในนั้นมากมาย เห็นรูปนอกเว้าๆ แหว่งๆ อยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว ข้าพเจ้าไปถึงที่กำหนดนัดแล้ว พอลงมาจากหลังม้าก็พอดีสหายรักของข้าพเจ้าเข้ามาถึง วาสิฏฐีและข้าพเจ้าต่างออกอุทานด้วยดีใจ แล้วโผเข้าหากัน เพราะได้มีหวังพบกันอีก ข้าพเจ้ามาระลึกถึงเหตุที่เล่านี้ ยังจำได้เป็นเงาๆ ว่าเราทั้งสองมิได้พูดถึงเรื่องอื่น นอกจากกระซิบกระซาบแสดงความรักความอาลัยต่อกัน ลืมสิ่งอื่นๆ เสียหมดสิ้น จนตกใจสะดุ้งด้วยมีปีกสัตว์กระพือพัดผ่านหน้าข้าพเจ้าไป ประกอบด้วยเสียงปีกกระพือพัดกับเสียงนกแสกที่แถกถาไป และต่อไปก็ได้ยินเสียงเป็นเสียงระฆังแตก กระทำให้เรารู้สึกตื่นจากภวังค์แห่งความรัก เหตุที่มีเสียงระฆังเพราะเมทินีเป็นผู้สั่น กระทำให้นกแสกตกใจบินหนีไป เมทินีนางผู้มีใจอารี สั่นระฆังให้เรารู้ตัว เพราะได้เห็นหญิงผู้วิเศษเดินดุ่มเข้ามาแสดงกิริยาโกรธ ด้วยแกได้ยินเสียงใครมาพูดกันอยู่ในบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่เคาะหรือสั่นระฆังให้รู้
เมทินี แจ้งแก่หญิงชราสมัยโบราณ ว่านางได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของแกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มีความรู้เป็นมหัศจรรย์ นางกับชายหนุ่มคนนี้ –ชี้ไปทางโสมทัตต์-จึ่งอุตสาห์พากันมาเพื่อใคร่รู้ถึงเหตุการณ์ภายหน้า หญิงผู้วิเศษเงยหน้า ตากวาดไปในท้องฟ้าแล้วออกความเห็นว่า เวลานี้ดาวกฤติกากำลังอยู่ในราศีอันเป็นสิริร่วมดาวเหนือ แกจึ่งหวังว่าทวยเทพคงทรงช่วยเหลือ ว่าแล้วเชิญคนทั้งสองให้เข้าไปในเทวาลัยพระกฤษณะ ผู้มีชายาในขณะเดียวกันถึงหมื่นหกพันร้อยคน (โดยแบ่งภาคเท่าจำนวนชายา) และทรงยินดียังความปรารถนาให้คู่รักสำเร็จ ส่วนข้าพเจ้ากับวาสิฏฐี ซึ่งทำทีว่าเป็นคนใช้คอยอยู่ข้างนอก
เมื่ออยู่ตามลำพังสองต่อสอง เราก็ให้ปฏิญญาแก่กันว่านอกจากมัจจุราชจะคร่าพาเอาตัวไป เราทั้งสองจะซื่อสัตย์ไม่พรากจากกันไป เมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้านเมืองแล้วพอสิ้นฤดูฝนก็จะรีบกลับมา ได้ปรึกษาหารือถึงหนทางที่จะให้บิดานาง ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีมั่งคั่งที่สุด ยินยอมให้เราทั้งสองได้อยู่ร่วมสมัครสโมสร พูดกันพลาง เราก็สวมกอดจุมพิตด้วยความปลาบปลื้มใจจนน้ำตาไหล ดูกรท่าน ในเวลาบัดนี้ข้าพเจ้าจำได้รางๆ ยังไม่ลืม แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะพูดถึงความรู้สึกของเราในครั้งนั้นให้ถูกต้องได้อย่างไร นอกจากท่านจะได้ประสบมากับตัวเอง
เวลาดูช่างล่วงไปรวดเร็วเหลือเกิน เพราะไม่ช้าโสมทัตต์กับเมทินีก็ออกมาจากเทวาลัย หญิงผู้วิเศษรับอาสาจะทำนายความเป็นไปของเราในภายหน้าให้ทราบ แต่วาสิฏฐีสะดุ้งหดตัวออกอุทานว่า "โอ๊ย! ถ้าเหตุการณ์ภายหน้ามีแต่ร้าย ฉันจะทนทรมานอยู่อย่างไรได้?”
หญิงผู้วิเศษผู้หวังดีตอบว่า "จะร้ายไปได้อย่างไร? ดูชะตาก็บอกว่าดี ไม่มีร้ายอย่างไร?
แต่วาสิฏฐีไม่สู้เชื่อ สะอื้น โผกอดคอข้าพเจ้าไว้ แล้วพูดว่า "โอ๊ย! ฉันรู้สึกเป็นลางเห็นเหตุการณ์ภายหน้าของเราไม่สู้จะราบรื่นนัก ให้หวั่นว่าเมื่อจากกันไปแล้วฉันจะไม่ได้เห็นเธออีก"
ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้ รู้สึกใจสลดเหี่ยวลงวาบ เกรงจะเป็นจริงเอาเช่นนั้น ได้พยายามแข็งใจแสดงเหตุผลแก่นางว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่สำเร็จผล นางกลับมีน้ำตาไหลลงพราวแก้ม มองดูข้าพเจ้าด้วยความรักความละห้อย คว้ามือข้าพเจ้าทาบไว้ที่อุระตน พลางพูดว่า "หากเราจะไม่พบกันอีกในโลกนี้ เราก็จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไปมิใช่หรือเธอ? เมื่อชีวิตอันสั้นและล้วนเป็นทุกข์อยู่ในโลกนี้สิ้นไปแล้ว ก็ขอให้เราทั้งสองไปพบกันในวิมานสวรรค์ร่วมสุขกันต่อไป กามนิต เธอจงให้สัญญาข้อนี้แก่ฉันหน่อย จะทำให้ฉันชุ่มชื่นใจ ต่อสู้ต่อความทุกข์ที่อาจมีมาได้ดีกว่าถ้อยคำอันเล้าโลมอย่างอื่น เพราะขึ้นชื่อว่ากรรม เราจะหลีกลี้หนีไม่พ้นต้องปล่อยไปตามกรรมเหมือนดั่งกระแสน้ำที่พัดพาเอาต้นอ้อลอยไปฉะนั้น"
ข้าพเจ้าตอบว่า "วาสิฏฐียอดรัก ถ้าจะต้องอาศัยความเป็นไปของกรรม ไฉนเราจะได้พบกันเล่า? แต่ให้เราหวังว่าจะได้พบกันใหม่ในโลกนี้ดีกว่า"
วาสิฏฐี "ในโลกนี้มีแต่สิ่งมายาไม่แน่นอน แม้แต่ที่เราพูดกันอยู่ขณะนี้ก็ไม่ใช่ของเรา จะมีแน่อยู่ก็แต่ในสวรรค์"
ข้าพเจ้า- "สวรรค์มีหรือ? ถ้ามี อยู่ที่ไหน?
วาสิฏฐี- "สวรรค์อันมีความสว่างรุ่งเรืองหาเขตมิได้นั้น มีอยู่ทางทิศตะวันตก ถ้าผู้มีใจเด็ดเดี่ยวรู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งซึ่งเป็นวิสัยโลก แล้วตั้งจิตเป็นสมาธิมุ่งแต่สถานอันเป็นบรมสุข ก็จะได้ไปจุติอยู่ในดอกบัวบนแดนสวรรค์ ผู้ใดมุ่งแต่สวรรค์ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดดอกไม้ทิพย์ขึ้นในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ในทะเลแก้ว ความตรึกนึกที่บริสุทธิ์ทุกครั้ง ความดีที่กระทำทุกเมื่อ เป็นเหตุให้ดอกไม้ทิพย์นั้นเจริญยิ่งขึ้น ถ้าความคิดวาจาและการกระทำเป็นไปในทางชั่ว ก็จะเป็นเหมือนดั่งหนอนที่บ่อนไส้ให้ดอกไม้ทิพย์นั้นเหี่ยวแห้งไปโดยเร็ว"
เมื่อนางพูดดั่งนี้ ดวงตาก็ดูวาวดั่งแสงโคมที่เทวาลัย เสียงที่พูดก็กังวานดั่งเสียงดนตรี แล้วนางยกมือชี้ไปทางยอดต้นประดู่ลาย ที่เห็นดำถมึนทึน ตรงท้องฟ้าที่มีทางช้างเผือก เห็นสกาวราวกับเศวตศิลาพาดเป็นทางไปในนภากาศ ซึ่งมีดวงดาวพราวพร่าง ดูงามดั่งเทวดาผู้วิเศษไปโปรยไว้
นางร้องว่า "ดูซิ กามนิต นั่นคือแม่คงคาในสถานสวรรค์ ขอให้เราปฏิญญาต่อพระคงคาในสวรรค์ ซึ่งมีน้ำขาวดั่งเงินยวง เป็นที่เลี้ยงดอกบัวในทะเลบนสวรรค์โน้น ให้เรามุ่งดวงจิตแน่วแน่ เตรียมการไปประสบสุขอยูนิรันดรกาลบนนั้นเถิด"
ข้าพเจ้าให้ตื่นใจอย่างไรพูดไม่ถูก บังเกิดความซาบซึ้งเข้าไปในดวงใจ ยกมือขึ้นประสานกับของนาง รู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของเราทั้งสองในทันทีทันใด ลอยขึ้นเหนือทุกข์แห่งโลกนี้ ขึ้นไปจุติอยู่ในดอกฟ้าบนสวรรค์ อันกอปรแต่ความบันเทิงรักหาสุดเขตมิได้
ครั้นแล้ว วาสิฏฐี ดูเหมือนว่าหมดแรงกำลังที่เบ่งความรู้สึกในดวงจิต ทรุดตัวในอุ้งแขนข้าพเจ้า เงยหน้าแสนละห้อยเผยอขึ้นจุมพิตข้าพเจ้าเป็นการลาครั้งสุดท้ายแล้วก็ผงะหงายสิ้นสมฤดี
ข้าพเจ้าค่อยประคองนางมาส่งไว้ในอุ้งแขนของเมทินี แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าห้อออกจากที่นั้นไป ไม่กล้าจะเหลียวหลังมาดูแม้แต่ครั้งเดียว.
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 10:26:32 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2557 18:08:59 » |
|
.ในทันทีทันใดข้าพเจ้าก็ระลึกได้ว่าโจรคนนี้ เห็นจะเป็นองคุลิมาลจอมโจรดุร้ายใจทมิฬ ภาพวาดลายเส้น โดยปากกาลูกลื่นสีดำ๙. ใต้ดาวโจร เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านที่คนของข้าพเจ้าพักแรมคืนอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่รั้งรอรีบปลุกคนใช้ให้ตื่น แต่กว่าจะรุ่งสว่างก็อีกตั้งสองสามชั่วโมง พอสว่างก็ออกเดินทาง
รอนแรมมาได้ถึงวันที่ ๑๒ เวลาประมาณเที่ยงวัน ก็ถึงหุบเขาร่มรื่นมาก อยู่ในแดนหมู่ไม้แห่งแคว้นเวทิศ มีแม่น้ำน้อย น้ำใสดั่งแก้ว ไหลเอื่อยวกเวี้ยวไปในทุ่งอันเขียวชอุ่มตรงที่ลาดน้อยๆ ซึ่งมีไม้ต้นต่ำออกดอกดกดูดั่งดาดไว้ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ณ ที่แห่งหนึ่ง อยู่ในราวกลางหุบเขา ไม่สู้ห่างจากแม่น้ำน้อยนั้นนัก มีต้นไทรใหญ่ใบหนาทึบ เป็นเงาปกคลุมลานหญ้าซึ่งเขียวดั่งมรกตให้ร่มรื่น ส่วนรากที่ย้อยลงมาเป็นต้นน้อยๆ มีจำนวนนับได้ตั้งพันต้น กลายเป็นสุมทุมพุ่มไม้มหึมา สามารถให้กองเกวียนอย่างของข้าพเจ้าตั้งสิบเท่าพักอาศัยได้อย่างสบาย
ข้าพเจ้าจำที่นี่ได้ดี ครั้งเมื่อเดินทางผ่านมาทางนี้ในเที่ยวขาไปกรุงโกสัมพี และได้ตกลงใจจะหยุดพักแรม ณ ที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงสั่งให้หยุด ปลดโคออกจากแอกปล่อยให้ลุยลำธารลงไปดื่มน้ำที่ใสเย็น เพราะเมื่อยล้าหิวกระหายมานานแล้ว และกินหญ้าอ่อนที่ขึ้นเขียวอยู่สองข้างลำธาร ส่วนคนใช้ก็พากันลงไปอาบน้ำชำระกายให้ชุ่มชื่น แล้วเก็บกิ่งไม้แห้งมาทำฟืนจุดไฟหุงต้มอาหาร ส่วนข้าพเจ้าได้อาบน้ำเบิกบานใจแล้ว ก็นอนแผ่ตามสบายใจใต้โคนไทรตอนที่ร่มรื่นที่สุด ถือเอารากไทยที่ผุดพ้นดินเป็นหมอนหนุนนอนอย่างสำราญ เพื่อจะได้นึกถึงวาสิฏฐี แล้วจะได้เคลิ้มหลับและฝันเห็น ความจริงก็เป็นเช่นนั้น พอม่อยหลับก็ฝันเห็นวาสิฏฐีมาจูงมือข้าพเจ้าเลื่อนลอยขึ้นไปสู่เมืองสวรรค์!
ทันใดนั้นมีเสียงเอะอะตึงตัง กระทำให้สะดุ้งตกใจตื่น ลืมตาแลเห็นคนถืออาวุธเป็นจำนวนมากมาล้อมแน่น คล้ายกับว่ามีผู้วิเศษนิรมิตให้มีขึ้น มิหนำซ้ำตามสุมทุมพุ่มไม้ที่ถัดไปก็มีจำนวนคนเพิ่มกันแน่นมา พวกเหล่านี้เข้ามาถึงเกวียนที่ข้าพเจ้าสั่งให้ล้อมวงต้นไม้ไว้ และกำลังต่อสู้กับคนของข้าพเจ้าซึ่งล้วนเป็นคนเคยชินต่อการนี้ จึ่งได้ต่อสู้ต้านทานด้วยความกล้าหาญ ในไม่ช้าข้าพเจ้าก็ร่วมมือเข้าไปต่อสู่อยู่ด้วย พวกโจรเหล่านี้ที่ถูกข้าพเจ้าประหารเสียก็สองสามคน ขณะนั้นเห็นโจรคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ เคราดกมีหน้าตาดุร้ายน่ากลัว ร่างกายตอนบนเปลือย มีนิ้วแม่มือคนร้อยเป็นพวงคล้องคอไว้ เป็นสามสาย ในทันทีทันใดข้าพเจ้าก็ระลึกได้ว่าโจรคนนี้ เห็นจะเป็นองคุลิมาลจอมโจรดุร้ายใจทมิฬ เที่ยวปล้นสะดมเผาผลาญบ้านช่องตามนิคมหมู่บ้านมานักต่อนักแล้ว จนที่บางแห่งรกร้างไม่มีใครกล้าอยู่ ถ้าพบปะผู้ใดถึงไม่มีความผิดก็จับฆ่าเสีย แล้วตัดนิ้วแม่มือเอามาร้อยเป็นมาลัยคล้องคอ ข้าพเจ้าเชื่อว่า วันนี้คงเป็นวาระสุดท้ายของข้าพเจ้า เพราะโจรใจร้ายได้ฟันเอาดาบที่ถืออยู่ในมือข้าพเจ้าหลุดไปทันที ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นแล้วข้าพเจ้าอาจอวดได้ว่า คงไม่สามารถที่จะฟันดาบจนหลุดจากมือได้ ในไม่ช้าข้าพเจ้าเสียทีถูกจับตัวล่ามโซ่ทั้งเท้าและมือ นอนกลิ้งอยู่บนดิน มองดูโดยรอบ เห็นคนของข้าพเจ้าถูกฆ่าตายนอนกลิ้งอยู่เกลื่อนกลาด คงเหลือชีวิตอยู่แต่คนเดียว คือคนใช้เก่าแก่ของบิดาข้าพเจ้า ซึ่งถูกรุมจับเอาตัวไว้โดยไม่ถูกบาดเจ็บอย่างเดียวกับข้าพเจ้า เจ้าพวกโจรรวมกันเป็นหมู่ ออกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองดูข้าพเจ้าด้วยความพอใจ สร้อยคอแก้วตาเสือ ซึ่งได้เล่าให้ท่านฟังมาแล้วครั้งเมื่อแย่งลูกคลีสาตาเคียรกระชากขาด เป็นสร้อยคอที่มารดาข้าพเจ้าสวมให้เอง เพื่อเป็นเครื่องรางกันภัยในคราวที่จากมารดามานั้น บัดนี้ถูกองคุลิมาลกระชากเอาไปเสีย ร้ายยิ่งกว่านั้น ดอกอโศกที่ข้าพเจ้าติดตัวแนบไว้กับดวงใจแต่คืนที่พบกันบนลานอโศก ก็มาสูญหายไปด้วย ข้าพเจ้านึกว่าที่เห็นเป็นสีแดงน้อยๆ อยู่บนหญ้าที่ถูกเหยียบย่ำ ไม่ห่างไกลจากข้าพเจ้านัก คงเป็นดอกอโศก แต่ ณ ที่ตรงนั้น เห็นโจรหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งกลับไปกลับมา แบกเนื้อโคที่ฆ่าเอาขึ้นย่างอย่างสุกๆ ดิบๆ ไปส่งเลี้ยงดูพวกเพื่อนที่กำลังร่าเริงกัน ซ้ำเห็นมันเทเหล้าออกจากกระติกดื่มกินกัน เสียงเอะอะราวกับฝูงสัตว์ คราวใด ที่ได้เห็นมันเหยียบย่ำไปบนดอกอโศก ซึ่งจมหายอยู่ภายใต้ฝ่าตีนอันโสมมของมัน ข้าพเจ้ารู้สึกปวดร้าวคล้ายกับมันมาเหยียบย่ำกลางหัวใจ พอมันก้าวย่างพ้นไปแล้ว ยอดหญ้าก็ดันดอกอโศกเผยอขึ้นมาให้เห็นอีก ดูเด่นยิ่งกว่าเก่า แต่ในที่สุดก็สาบสูญไปไม่ได้เห็นอีก ข้าพเจ้ารำพึงว่า ป่านนี้วาสิฏฐีจะมิยืนอยู่ใต้ต้นอโศกบนลานไม้อโศก เพื่อฟังข่าวคราวของข้าพเจ้าหรือ ถ้าต้นอโศกไม่สามารถบอกนางได้ว่าเวลานี้ข้าพเจ้าอยู่ในที่อย่างไรแล้ว ก็จะเป็นการดีหาน้อยไม่ เพราะถ้านางทราบความจริง ไฉนดวงใจอันอ่อนละมุนจะสามารถทนเฉยได้ ห่างจากข้าพเจ้าไปสักสิบสองก้าว องคุลิมาลมหาโจรกำลังเลี้ยงดูอยู่กับบริวารอย่างร่าเริง ซึ่งดื่มเหล้ากันไม่หยุด มองดูหน้าพวกโจรเห็นสีหน้าแดงก่ำขึ้นทุกที คุยกันเอะอะ บางคราวก็ถึงกับทะเลาะแทบจะทุบตีกัน แต่ในพวกโจรเหล่านี้ มีคนหนึ่งที่ไม่กินเหล้าเมามายไปตามด้วย โจรคนนี้ข้าพเจ้าจะได้เล่าต่อไปในภายหลัง
ในเวลานั้น น่าเสียดายอยู่หน่อย ที่ไม่อาจเข้าใจภาษาที่โจรใช้พูดกัน ข้อนี้ จะเห็นได้ว่าความรู้ต่างๆ อย่างใดจะเป็นประโยชน์ใช้ได้ดีที่สุดในเวลาเข้าที่อับจน มนุษย์ไม่อาจทราบได้ ถ้าข้าพเจ้าสามารถฟังคำพูดของพวกมันให้เข้าใจได้ จะดีใจหาน้อยไม่ เพราะเสียงที่มันพูดออกมาดัง เดาว่ามันพูดถึงความเป็นความตายของข้าพเจ้าเป็นแน่ สังเกตหน้าและกิริยาท่าทางของมันเวลาพูด เห็นได้ชัดอย่างน่าวิตกว่ามันแลบลิ้นปลิ้นตามาทางข้าพเจ้าบ่อยๆ ข้าพเจ้าแลดูตัวนาย เห็นแล้วให้ดาลเดือดถึงเรื่องสร้อยคอเครื่องรางของข้าพเจ้า ที่ใช้สำหรับป้องกันทฤษฏิโทษการดูให้ร้าย ซึ่งเวลานี้รู้สึกว่ามันเพ่งดูอย่างน่ากลัว ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพราะต่อภายหลังได้ทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ฆ่าลูกน้องตัวสำคัญของมันตายต่อหน้าต่อตามัน โจรที่ข้าพเจ้าฆ่านี้ได้ความว่าฝีมือเยี่ยมในการใช้ดาบดีกว่าพวกมันทั้งหมด ที่ตัวนายของมัน งดเว้นยังไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสียในทันทีทันควัน ก็เพราะมันต้องการจะทรมานข้าพเจ้าให้สมแค้น ให้ต้องตายอย่างช้าๆ แต่พวกมันไม่ต้องการจะให้ลาภอันมีราคาของมันคือตัวข้าพเจ้าซึ่งมันถือว่าเป็นสมบัติกลาง ต้องสูญหายไปในอากาศอย่างที่นายโจรต้องการ คือฆ่าเสีย โจรคนหนึ่งหัวโล้น โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา ดูเป็นทีว่าเป็นนักพรตของพวกมัน คงเป็นตัวการที่ไม่เห็นพ้องกับองคุลิมาลในการที่จะฆ่าข้าพเจ้าเสีย และดูเหมือนโจรผู้นี้คนเดียวที่เข้าใจสามารถเหนี่ยวรั้งความดุร้ายของพวกโจรไว้ได้ ทั้งก็เป็นคนเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้ข้างต้นว่าเป็นผู้ที่ไม่กินเหล้า ในขณะที่เลี้ยงดูกัน เมื่อมันโต้เถียงกันเป็นเวลาช้านาน บางคราวถึงกับองคุลิมาลลุกขึ้นคว้าดาบ เป็นดั่งนี้ก็หลายหน แต่เป็นคราวเคราะห์ดีของข้าพเจ้า ที่ความชนะตกอยู่แก่พวกหวังประโยชน์ในทรัพย์ มากกว่าประโยชน์ในการแก้แค้น
ในที่นี้ควรกล่าวเสียด้วยว่า พวกโจรขององคุลิมาลเป็นโจรชนิดที่เรียกว่า "ผู้ส่ง" ที่เรียกดั่งนี้ เพราะมีธรรมเนียมของมันอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งถ้าจับใครไว้ได้สองคน ก็ปล่อยให้คนหนึ่งไปหาเงินค่าไถ่ตามแต่จำนวนที่มันกำหนดไว้ กล่าวคือ ถ้ามันจับได้ทั้งพ่อและลูกมันก็ส่งตัวพ่อไปหาเงินค่าไถ่สำหรับลูก ถ้าเป็นพี่น้อง ก็ปล่อยให้ไปคนหนึ่ง ถ้าเป็นศิษย์กับอาจารย์ ก็ปล่อยศิษย์ไป ถ้าเป็นนายกับบ่าว ก็ปล่อยบ่าวไป เหตุฉะนี้ พวกมันจึ่งชื่อว่า "ผู้ส่ง" เมื่อความมุ่งหมายของมันมีเช่นนี้ ตามธรรมเนียมของมัน จึ่งได้เว้นชีวิตคนใช้เก่าแก่ของบิดาข้าพเจ้าไว้คนหนึ่ง นอกนั้นมันฆ่าตายหมด คนใช้คนนี้แม้จะมีอายุมาก ก็ยังแข็งแรงประเปรียวอยู่ มีท่าทางเป็นคนฉลาดชำนาญ ความจริงก็เช่นนั้น เพราะเคยเป็นผู้ควบคุมกองเกวียนไปขายได้ผลดีมาหลายคราวแล้ว
ณ บัดนี้ คนใช้ของข้าพเจ้าพ้นจากเครื่องจองจำได้และมันปล่อยตัวไปเย็นวันนั้นเอง ก่อนไป ข้าพเจ้าได้สั่งเสียเป็นความลับฝากไปถึงบิดาของข้าพเจ้าด้วย ซึ่งพวกโจรไม่ขัดข้อง ด้วยไม่เห็นว่าข้าพเจ้าจะหลอกลวงมันได้อย่างไร ส่วนองคุลิมาลนั้น เอาใบตาลมาขีดเขียนเป็นเครื่องหมายสองสามตัว มอบให้คนใช้ของข้าพเจ้า ใบตาลที่ขีดเขียนนี้เท่ากับใบเบิกทางขากลับ เมื่อนำเงินติดตัวมา พบโจรพวกอื่นก็ไม่กล้าทำอันตราย เพราะชื่อเสียงขององคุลิมาลเป็นที่เกรงขามทั่วไป โจรผู้ร้ายที่ว่ากล้าลักปล้นถึงเครื่องราชบรรณาการ ก็หากล้าหาญพอถึงจะแตะต้องของที่เป็นบรรณาการขององคุลิมาลไม่
ในไม่ช้า มันถอดเครื่องจองจำข้าพเจ้าออก เพราะรู้ดีอยู่ว่าข้าพเจ้าคงไม่บ้าพอที่พยายามหนีมันไป ข้าพเจ้าใช้ประโยชน์ในครั้งแรกเมื่อพ้นจากเครื่องจองจำได้ คือรีบตรงไปยังดอกอโศก ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าหายไปในที่ตรงนั้น โอ้ อนิจจัง! แม้แต่เศษของดอกอโศกก็ไม่ได้เห็น ดูประหนึ่งดอกอันแบบบาง ถูกตีนอันหยาบของพวกมหาโจรเหยียบกระทืบเสียจนเป็นภัสมธุลี นี่จะเป็นลางว่าความสุขในชีวิตของเราจะขาดสะบั้นอยู่เพียงนี้หรือ?
บัดนี้ ข้าพเจ้ามีความสะดวกขึ้นบ้างตามส่วน ได้อยู่กินและย้ายที่ตามไปกับพวกเหล่าร้าย คอยท่าจนกว่าค่าไถ่จะมาถึง ซึ่งกะว่าจะต้องมาถึงภายในระยะเวลาสองเดือน
โดยเหตุที่ในระหว่างนั้นตกอยู่ข้างแรมเดือนมืด จึ่งมีการปล้นสะดมกันติดๆ ไปเพราะเวลาเหล่านี้ตกอยู่ในระยะกาลที่พระแม่เจ้ากาลีคุ้มครองโจรกรรม เพราะฉะนั้น ตกกลางคืน ที่จะเว้นว่างจากการปล้นการขโมยสักคืนเดียวก็ไม่ได้ ที่ปล้นถึงกับเผาบ้านช่องหมดทั้งหมู่บ้านก็มีหลายหน ตกถึงคืนแรมสิบห้าค่ำ เป็นดิถีสมโภชบูชาพระแม่เจ้ากาลี มีพิธีแสนน่าเกลียดน่ากลัว ไม่ใช่จะฆ่าแต่โคและแพะสีดำ นับจำนวนไม่ถ้วนเอาบูชาเทวรูป ยังซ้ำฆ่าคนที่จับมาได้บูชายัญอีกด้วย เอาตัวผู้จะถูกฆ่านอนบนแท่นบูชา แล้วแหวะเส้นโลหิตใหญ่ให้โลหิตพุ่งไปเข้าปากเทวรูปร่างร้ายน่าเกลียดน่ากลัว มีหัวกระโหลกคนเป็นสังวาลคล้องศอ ถัดจากนั้นก็มีการร่าเริงร้องรำทำเพลงอย่างอุลามกน่าบัดสี พวกโจรกินเหล้าเมามายกันจนไม่ได้สติ บ้างกรีฑาร่าเริงอยู่กับพวกหญิงเทพทาสี ซึ่งพวกโจรฉุดคร่าพาเอามาวางเทวาลัยเพื่อประโยชน์ในพิธีนี้
ส่วน องคุลิมาล กำลังใจดี ต้องการให้ข้าพเจ้ามีความสุขบ้าง จึ่งจัดนางเทพทาสีสวยคนหนึ่งมาให้ แต่ข้าพเจ้าผู้มีใจจ่ออยู่แต่วาสิฏฐี ไฉนจะมีแก่ใจร่าเริงด้วยหญิงอื่น นางเทพทาสีเห็นข้าพเจ้าไม่ไยดีก็เสียใจร้องไห้ องคุลิมาลเห็นก็โกรธ แยกเขี้ยวเคี้ยวฟันกรากเข้ามาค้ำคอข้าพเจ้า ถ้าไม่มีโจรศีรษะโล้นหน้าเกลี้ยงไม่มีเคราเข้ามาห้ามแล้ว ข้าพเจ้าเห็นจะถูกเค้นคอตายแน่ โจรศีรษะโล้นพูดสองสามคำ องคุลิมาลก็ปล่อยมือซึ่งแข็งกระด้างอย่างเหล็กออกจากคอข้าพเจ้า มีเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายที่ฝึกหัดให้เชื่องไม่ผิดกัน แล้วก็ออกไป
ชายศีรษะโล้นคนนี้ ถึงแม้มือจะยังมีโลหิตติดกรัง เนื่องด้วยทำการบูชายัญเจ้าแม่กาลีอันร้ายกาจ แต่ก็ได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้สองครั้งแล้ว
ชายคนนี้เป็นบุตรพราหมณ์ แต่เกิดในเวลาดาวฤกษ์โจรขึ้น จึ่งต้องเลือกอาชีพเป็นโจร ในชั้นแรกเป็นโจรพวกฐัก๑ ภายหลังเพื่อประโยชน์ในทางวิทยา ได้มาเข้าพวกโจร "ผู้ส่ง" ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไปว่า ที่มีอุปนิสัยไปในทางลัทธิศาสนาก็เนื่องมาจากบิดา เพราะฉะนั้น จึ่งมีหน้าที่สองอย่าง อย่างหนึ่ง เป็นครูผู้ทำพิธีบูชายัญ พวกโจรนับถือมากไม่แพ้ที่นับถือองคุลิมาลผู้เป็นหัวหน้า เพราะถ้าไปปล้นสะดมได้มากก็ถือว่าผู้นี้เป็นผู้ทำการบูชาดี อีกอย่างหนึ่ง เป็นผู้สอนลัทธิศาสนาว่าด้วยวิชาโจร ไม่ใช่จะสอนฝ่ายในวิชาการโจรอย่างเดียว ยังสอนถึงธรรมจรรยาโจรด้วย ตามที่ได้สังเกต รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่เห็นพวกโจรเหล่านี้มีธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว พวกโจรเหล่านี้ก็มีศีลธรรมไม่เลวไปกว่าคนอื่น
การแสดงลัทธิ มักเป็นไปในเวลากลางคืน ในระยะแปดค่ำข้างขึ้น เพราะเป็นเวลาว่างไม่สู้ได้ทำการปล้นนัก จะมีก็นานๆ เป็นพิเศษ พวกโจรชุมนุมกันในที่ว่าง เป็นทุ่งกลางป่านั่งล้อมกันเป็นวงอัฒจันทร์ซ้อนกันหลายแถว ส่วนตัวครูซึ่งชื่อ วาชศรพ (วาด-ชะ-สบ) นั่งขัดสมาธิ แสงเดือนฉายแลเห็นศีรษะโล้น ดูไม่ผิดอะไรกับครูผู้สอนพระเวทให้แก่ศิษย์ในอาศรมกลางป่า แต่ว่าศิษย์ผู้ฟังในที่นี้ล้วนมีหน้าดุร้ายคล้ายสัตว์ป่า มากกว่าเป็นศิษย์ ชนิดที่อยู่ในอาศรม ถึงเวลาที่เล่านี้ข้าพเจ้ายังนึกจำได้ชัดเจน ได้ยินเสียงพวกโจรดังหึ่งๆ อยู่ในป่า ดังหึ่งใหญ่แล้วก็เบาลงๆ จนเป็นเสียงคล้ายลมพัด แล้วก็มีเสียงหึ่งใหญ่อีกคล้ายเสียงเสือคำราม แต่ที่ได้ยินชัดเจนเหนือเสียงหึ่งคือเสียงวาชศรพ ซึ่งเป็นเสียงทุ้มดัง อันเป็นเสียงทายาทสืบมาจากพราหมณ์อุท์คาดา ผู้อ่านพระเวทแต่ครั้งดึกดำบรรพ์
ในการแสดงลัทธิดั่งนี้ พวกโจรยอมให้ข้าพเจ้าไปฟังด้วย เพราะวาชศรพออกจะชอบๆ ข้าพเจ้า ยิ่งกว่านั้นยังยืนยันว่าข้าพเจ้าเกิดในเวลาดาวฤกษ์โจรขึ้นเหมือนกัน จึ่งเห็นว่าวันหนึ่งคงจะได้มาเป็นโจรพวกเดียวกัน เป็นการสมควรฟังการแสดงนี้ไว้ จะได้เป็นอุปนิสัยต่อไป
เพื่อให้ท่านทราบการแสดงลัทธิ ว่ามีข้อความอย่างไร จะขอสาธยายข้อความบางตอนซึ่งเป็นอรรถกถาแก้กาลีสูตรของโบราณ อันเป็นรหัสยลัทธิของพวกโจร และเป็นอรรถกถาที่สำคัญที่สุด.------------------------- ๑ ฐัก เป็นภาษาฮินดี สันสกฤตเป็นสถัค แปลว่า คนโกง คนปลิ้นปล้อน เป็นชื่อของโจรพวกหนึ่งไปกันเป็นพวก ผสมกับพวกเดินทางอื่นๆ ถ้าพวกเดินทางเผลอตัว ได้ช่องก็เอาผ้าพันคอที่มีอยู่ทุกตัวโจรรัดคอคนเดินทางให้ตาย เก็บเอาเงินทองของมีค่า แล้วก็เอาศพฝังเสีย พวกนี้มีภาษาพูดกันโดยเฉพาะ อังกฤษเมื่อได้อินเดีย ก็ยังไม่ทราบถึงพวกนี้ เพิ่งมาทราบและปราบสิ้นไปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ ภาพวาดลายเส้น โดยปากกาลูกลื่นสีดำ๑๐. รหัสยลัทธิ พระสูตรมีความว่าดั่งนี้ "สูเจ้าคิดถึงเทวะด้วยหรือ?…หามิได้! …ไม่แน่นัก….เพราะความว่างเปล่า เพราะคัมภีร์และเพราะตำนาน (อิติหาส)"
คำอรรถข้างต้นนี้ วาชศรพผู้อรรถกถาจารย์แก้ว่า คำว่า "เทวะ" นั้น คือ ทัณฑ์
เพราะว่าในพระสูตรก่อนนั้น ทัณฑ์ซึ่งกล่าวถึงมักกล่าวกันว่า เป็นของพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้าหน้าที่กำหนดไว้ เพื่อใช้แก่โจร เป็นต้นว่า ตัดแขนขาและจมูก เอาลงหม้อน้ำเดือดเอาน้ำมันยางเดือดราดคอ ปากมังกร (เห็นจะเอาอะไรยัดให้อ้าปาก) ตอกเล็บรั้งแขนขาให้คราก ฯลฯ เพราะฉะนั้น จึ่งเป็นการสมควรพอที่ผู้เป็นโจรจะต้องหลบหลีกอย่าให้เขาจับได้ ถ้าถูกจับได้ ฉันไร จะพยายามหาทางหนี
มีบางคนกล่าวว่า เทวทัณฑ์ย่อมมีแก่โจรด้วย (คือเทวดาลงโทษ) ความข้อนี้พระสูตรบอกว่า "หามิได้" และว่า "ไม่แน่นัก" โดยเหตุที่ควรแสดงให้เห็นแจ้งสามสถาน คือจากปัญญารู้เหตุผล จากพระเวท และจากภควัทคีตา ที่สืบกันมาจนถึงเรา
"เพราะความว่างเปล่า" หมายความตามหลักแห่งเหตุผล คือว่าถ้าข้าพเจ้าตัดหัวคนหรือหัวสัตว์ ดาบของข้าพเจ้าฟันเข้าไปในระวางอนุปรมาณูอันแยกไม่ได้ เพราะอนุปรมาณูนี้มีลักษณะแยกไม่ได้โดยแท้ ดาบของข้าพเจ้าจึ่งไม่ได้ฟันอนุปรมาณู เพราะฉะนั้นดาบที่ว่าฟันลงไป จึ่งเป็นฟันในที่ว่างเปล่าระวางอนุปรมาณู ก็ความว่างเปล่าใครเล่าจะเป็นผู้ทำอันตรายได้? เพราะการทำอันตรายในสิ่งที่ไม่มีก็เท่ากับไม่ได้ทำอันตรายในสิ่งไรๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เอาดาบฟันลงไปในที่ว่างเปล่า จึ่งไม่ต้องรับผิดและจะรับเทวทัณฑ์ไม่ได้ ถ้าการฆ่ามนุษย์มีความจริงเป็นเช่นนี้ไซร้ กรรมอย่างอื่นที่มนุษย์ลงทัณฑ์แก่กันเบากว่าการฆ่าคน จะมีความจริงอีกสักเพียงไร?
เรื่อง "เหตุผล" ก็มีด้วยประการฉะนี้ บัดนี้จะได้กล่าวถึง "พระเวท" ต่อไป
ในพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์สอนว่า สิ่งซึ่งมีภาวะอันแท้จริงมีหนึ่งเท่านั้นคือพรหม ถ้าความนี้เป็นจริง การฆ่าก็เป็นมายา ไม่ได้ฆ่าใคร ในพระเวทกล่าวไว้มากมาย ในตอนที่พระยมบอกแก่นจิเกต ด้วยเรื่องพรหมและด้วยเรื่องอื่นๆ ว่า "ผู้ใดเป็นผู้ประหาร ก็สำคัญเอาว่าตนเป็นผู้ประหาร ผู้ใดถูกประหาร ก็สำคัญเอาว่าตนตาย เขาทั้งสองไม่รู้แจ้งเลย แท้จริงไม่มีใครประหาร ไม่มีใครถูกประหาร"
ข้อที่ทำให้เห็นจริง ในความจริงอันลึกซึ้งนี้ มีแจ้งอยู่ในภควัทคีตาของพระกฤษณะและพระอรชุน เพราะพระกฤษณะนั้น พระองค์ไม่มีความเป็นต้น ไม่มีเขตเป็นที่สุด ทรงความเป็นอยู่เป็นนิตย์ ทรงสรรพศักดิ์ เป็นบุรุษอันมนุษย์คิดไปไม่ถึง เป็นอติเทพ ทรงพระกรุณาเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้น จึ่งทรมานพระกายอวตารมาเป็นมนุษย์กฤษณะ และในวาระสุดท้ายที่เสด็จอยู่ในมนุษยโลก โดยทรงช่วยกษัตริย์แห่งปาณฑพ คือพระอรชุนผู้มีใจสูงในสงครามที่ขับเคี่ยวกับพวกเการพ โดยเหตุที่พวกเการพทำประทุษร้ายต่อพระอรชุน และภราดรของพระองค์ ขณะทัพทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะจะสัประยุทธ์กัน พระอรชุนมองไปในกองทัพปรปักษ์ เห็นญาติมิตรมีอยู่ในนั้นมากแทบทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะพวกปาณฑพกับพวกเการพเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องกัน พระอรชุนเห็นดั่งนี้ก็ใจหาย ไม่กล้าสั่งให้กองทัพเขารุกรบ เพราะไม่อยากจะประหารผู้ซึ่งล้วนเป็นญาติมิตร คงนิ่งอึ้งอยู่บนรถศึก สลดหดเหี่ยวใจจนคอตก ฝ่ายพระกฤษณะซึ่งเป็นสารถีให้พระอรชุนเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่กองทัพปรปักษ์แสดงให้พระอรชุนเห็นว่า คนเหล่านั้นมีภาวะเป็นตัวตนขึ้น แล้วก็ดับสิ้นไปเข้ารวมอยู่ในพระผู้ทรงความเป็นหนึ่ง (พระพรหม) ซึ่งอดีตแห่งพระองค์ไม่มีเริ่มต้น และอนาคตแห่งพระองค์ไม่มีเขตสุด หลุดพ้นจากความเกิดความตาย
"ผู้ใดเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประหาร ผู้ใดสำคัญว่าตนถูกประหาร ทั้งสองผู้นั้นย่อมไม่รู้แจ้ง แท้จริงไม่มีใครประหาร ไม่มีใครถูกประหาร ฉะนั้นเธอจงเริ่มรบเถิด"
เมื่อพระกฤษณะเตือนสติดั่งนี้ พระอรชุนก็ให้สัญญาณรบ เป็นอันเริ่มมหาสงคราม ในที่สุดพระอรชุนชนะ เพราะฉะนั้น พระกฤษณะผู้อติเทพซึ่งได้อวตารมาเป็นมนุษย์ ได้เปลี่ยนสภาพความตื้นเขลาและความอ่อนแอของพระอรชุน ให้กลับเป็นปราชญ์ มีความคิดลึกซึ้งและเป็นวีรบุรุษขึ้น
ด้วยประการฉะนี้ ความจริงย่อมมีด้วยประการต่อไปนี้
"ผู้ใดกระทำประทุษกรรมเอง หรือให้ทำประทุษกรรม ทำลายเองหรือให้ทำลาย ทำร้ายเองหรือให้ทำร้าย คร่าชีวิตสัตว์หรือเอาสิ่งที่เขาไม่ให้ ตัดช่องทำลายเข้าไปในเคหสถาน หรือลักขโมยทรัพย์สมบัติเขา หรือจะด้วยเหตุอื่นอย่างไรอีกก็ตาม ผู้นั้นหาต้องรับภาระมีโทษผิดไม่ และผู้ใด ณ บัดนี้ และที่นี่ เอาขวานอันลับไว้คมกริบ เปลี่ยนสภาพของสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ ให้ล้มระเนระนาดกลายเป็นกองเดียว ก็ย่อมไม่มีโทษผิดเพราะเหตุอันนั้น และผู้ใดอยู่บนฝั่งใต้แม่คงคา ถางทางโดยประหัตประหารเสียราบคาบ ก็ย่อมไม่มีโทษผิดเพราะเหตุนั้น และผู้ใดอยู่บนฝั่งเหนือแห่งแม่คงคา ถางทางโดยแจกทานการให้ ก็ย่อมไม่ได้บุณย์เพราะเหตุนั้น ผู้ใดบำเพ็ญความมีใจกว้างขวาง ความสงบเสงี่ยมความสละซึ่งความสุข ผู้นั้นหาขึ้นชื่อว่าได้ทำบุณย์ ทำความดีไม่
และโดยเหตุที่โลกมีความเริ่มต้นมาจากพระพรหม เพราะฉะนั้นโลกก็ต้องล่วงไป พระพรหมสร้างโลกให้มีขึ้น แล้วก็ทำให้สูญหายไป และสร้างใหม่ แล้วทำลายไปหมุนเวียนกันอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น พระพรหมจึ่งไม่ใช่จะเป็นผู้สร้างอย่างเดียว ยังเป็นผู้กินสรรพสัตว์ อันมีพราหมณ์และกษัตริย์อยู่ในวรรณะชั้นสูงนั้นด้วย สมกับข้อความในคัมภีร์ตอนหนึ่งมีว่า "เรากินทั้งหมด แต่เราหาได้ถูกกินไม่"
ความข้อนี้ ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าเป็นวจนะอันแท้จริงของพระอติเทพ ในปางเมื่อเป็นแกะ นำเอาเมธาติถิมาณพไปสู่โลกสวรรค์ มาณพมีความโกรธ ถามว่าเป็นใคร พระผู้ถือเอาซึ่งร่างแกะ ก็ปรากฏพระองค์เป็นพระพรหม ผู้เป็นสรรพภาวะในสรรพภาวะ และตรัสว่าดั่งนี้
"ผู้ใดอันไม่ใช่เป็นผู้ฆ่า และทั้งเป็นผู้มิได้ฆ่า พาเอาผู้เป็นแกะซึ่งนำเจ้ามาไกลจากที่นี่ ผู้นั้นคือเราซึ่งมีรูปดั่งเห็นนี้ ผู้นั้นคือเราดั่งเห็นได้ทุกรูปกาย ผู้ใดรู้สึกกลัว ผู้นั้นก็คือเรา และเราเป็นผู้ทำให้เกิดความกลัวด้วย แต่ความแตกต่างย่อมมีอยู่ คือว่าเราเป็นผู้กิน แต่เราหาได้ถูกกินไม่"
ณ บัดนี้ ผู้ที่มีตามืดมนด้วยความเขลาคงจะเห็นแจ้ง ว่าความเป็นผู้เหมือนพรหมไม่ได้อยู่ที่ถูกผู้อื่นประหารหรือถูกผู้อื่นกิน ฉันใดก็ดี ความสงบเสงี่ยม ความสละซึ่งความสุขจึ่งถือได้ว่าไม่ใช่บุณย์กุศลฉันเดียวกัน แท้จริงพึงเป็นผู้ประหารและเป็นผู้กิน จึ่งมีลักษณะเป็นพรหม หรืออีกนัยหนึ่งพึงพยายามทำลายล้างผู้อื่นจนสุดกำลัง ตัวเองจึ่งจะพ้นอันตราย ไม่มีใครกินใครประหารได้ เพราะเป็นอันเชื่อได้สนิทตามหลักนี้ ว่าผู้ทำทารุณกรรมย่อมรับโทษในนรกนั้น เป็นลัทธิอันคนอ่อนแอประดิษฐ์ขึ้น เพื่อป้องกันตนให้พ้นภัยจากผู้มีอำนาจมากกว่าโดยยกเอานรกขึ้นขู่ให้กลัว
และแม้ว่าพระเวทมีข้อความอันกล่าวด้วยลัทธินรกนี้ไว้หลายแห่งก็ดี ก็ต้องเป็นเพราะผู้อ่อนแอแทรกเสริมเติมขึ้นด้วยพาลนิสัย เพราะเป็นหลักลัทธิที่แย้งกับหลักสำคัญของลัทธิ ก็เมื่อสิ่งทั้งหลายออกจากพรหม สิ่งเหล่านี้จะดีจะชั่ว จะเป็นคนร้ายหรือคนดีก็คือพรหม เพราะฉะนั้น ผู้เป็นโจรก็เป็นผู้ดำเนินอย่างพรหม คือเป็นผู้ทำลายผู้กิน จึ่งถือได้ว่าเป็นโจรเป็นผู้มีภาวะอยู่สูง โดยนัยแห่งเหตุผลดั่งได้แสดงมาแล้ว ทั้งด้วยหลักใช้ปัญญาหาเหตุผล และหลักอันมีที่มาจากพระคัมภีร์ ดังนี้ จึ่งพึงถือได้ว่าไม่มีเหตุอย่างอื่นจะมาแย้งความจริงนี้ได้. ...เจ้าสาวของสาตาเคียรก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าออก... เจ้าสาวนั้น คือ วาสิฏฐีของข้าพเจ้าเอง!... ภาพลายเส้น ปากกาลูกลื่นสีดำ ๑๑. งวงช้าง เมื่อได้นำตัวอย่างความเห็นแปลกของบุคคลประหลาดดั่งแจ้งข้างต้น อันเป็นความเห็นที่พูดง่ายใช้ยาก และเป็นความเห็นของนักช่างคิดที่ลือชื่อไม่ใช่น้อยคน มาแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้แล้ว จะได้เล่าเรื่องของข้าพเจ้าต่อไป
ถึงแม้ข้าพเจ้าจะประสบการเผชิญภัยหลายซับหลายซ้อน และได้รับความรู้เป็นความคิดอย่างใหม่ถึงดั่งนี้ก็ดี แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่ว่าข้าพเจ้าจะละเลยเสีย ไม่เรียนรู้ภาษาพูดของพวกโจรบ้างก็ดูกระไรอยู่ เพราะจะทำให้รู้สึกว่าวันคืนที่ล่วงไปดูเร็วขึ้น ครั้นเวลาจวนถึงกำหนดที่คนใช้จะนำเงินค่าไถ่ตัวมาให้โจร ข้าพเจ้ารู้สึกวิตกไปต่างๆ นานา วิตกว่าจะไม่ได้เงินค่าไถ่มาทัน แม้นายโจรจะให้การเบิกทางแก่คนใช้ให้พ้นจากภัยของพวกเหล่าร้ายก็ดี แต่ภัยอย่างอื่นยังมีอีกมากนัก เช่นถูกเสือขบกัด หรือถูกน้ำท่วมลบฝั่งแม่น้ำพัดพาตัวไป หรือประสบภัยอย่างอื่นได้ตั้งร้อยแปดประการ ไม่สามารถจะกลับมาได้ทันเวลาที่สัญญาไว้ องคุลิมาลชม้ายหางตาอันขุ่นร้ายมาทางข้าพเจ้าบ่อยๆ ทำให้รู้สึกว่ามันคงไม่อยากให้คนใช้ของข้าพเจ้านำค่าไถ่มาให้ทันกำหนดเวลา เมื่อคิดดั่งนี้ ให้วิตกกลัวหวาดหวั่นเหลือประมาณ จนเหงื่อผุดซ่านทุกขุมขน แม้วาชศรพจะได้แสดงหลักในลัทธิโจร อันเป็นหลักแปลกประหลาดมีเหตุผลน่าฟังอย่างไรก็ดี แต่ก็ว่า ถ้าไม่มีค่าไถ่มาทันตามกำหนด พวกโจรเป็นต้องจัดการเฉียบขาดแก่ผู้ที่มันยึดตัวไว้ทุกรายไป คือเอาตัวเลื่อยผ่ากลาง แล้วโยนซากศพที่ขาดออกเป็นสองท่อนไว้กลางถนน แต่ให้ท่อนศีรษะหันไปทางทิศที่พระจันทร์ขึ้น ข้าพเจ้าอดนึกชมการกระทำของพวกโจรไม่ได้ ที่ยึดถือหลักลัทธิของมัน โดยปฏิบัติการให้ครบถ้วนกระบวนวิธีของมัน แต่ความรู้นี้กลายเป็นความสยดสยอง เมื่อเห็นมันนำเอาเลื่อยออกมาทดลอง มีอ้ายเหล่าร้ายหน้าตาน่ากลัวสองคนทำท่าเลื่อย แต่ในการทดลองนี้ ใช้ท่อนไม้ต่างคนก่อน
วาชศรพ สังเกตเห็นอากัปกิริยาข้าพเจ้า มีอาการเสียวสยอง ก็เข้ามาตบไหล่ประโลมใจข้าพเจ้าให้หายวิตก บอกว่าที่เอาออกมาทดลองนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น จึ่งเป็นธรรมดาที่ข้าพเจ้าจะต้องนึกหวังว่า ถ้าถึงคราวจำเป็นเข้าที่อับจน วาชศรพคงจะช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ได้อีก เมื่อข้าพเจ้าแสดงความขอบใจ แล้วบอกว่าถ้าข้าพเจ้าจะถูกเลื่อยเข้าบ้างจะว่าอย่างไร วาชศรพก็เบิกตาโต บอกว่า
"ถ้ากรรมตามสนองตัวท่าน โดยที่นำเงินค่าไถ่มาไม่ทันตามกำหนดเวลา แม้จะช้ากำหนดไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็ไม่มีผีสางเทวดาจะช่วยท่านให้พ้นจากผลกรรมนั้นได้ เพราะกฎของเจ้าแม่กาลี จะให้ผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้ไม่ได้ แต่ไม่ต้องวิตกดอกเพราะลิขิตในตัวท่านแสดงว่าไม่ใช่จะได้รับกรรมอย่างนี้ แต่จะต้องเป็นไปอีกอย่างหนึ่งต่างหาก คือจะได้เป็นโจรในภายหน้า เกรงว่าในวันหนึ่งจะต้องถูกตัดหัว หรือถูกเสียบประจานให้ตายในที่ชุมนุมชน แต่ว่าเวลายังอีกนานไกล"
ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าคำปลอบโยนให้หายวิตกชนิดนี้ทำให้เบาใจอะไรนัก แต่ข้อที่ทำให้โล่งใจ ก็คือล่วงต่อมา ราวสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ จะถึงเวลาสิ้นกำหนดนัด คนใช้ผู้ภักดีของข้าพเจ้าก็มาถึง และนำเงินค่าไถ่มาด้วย เมื่อชำระค่าไถ่ให้เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ลาเจ้าบ้านใจร้ายของข้าพเจ้า สังเกตว่ามันแสดงกิริยาเสียดายๆ ที่จะนึกถึงเพื่อนรักเพื่อนใคร่ของมันที่ถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย และอยากจะได้ตัวข้าพเจ้าไปเลื่อยเสีย ข้าพเจ้าได้ร่ำลาวาชศรพอย่างฉันชอบพอรักใคร่กัน วาชศรพมีอาการข่มความอาลัยไว้ และบอกอย่างที่เชื่อแน่แก่ใจว่าคงจะได้พบข้าพเจ้าร่วมทางมืดแห่งเจ้าแม่กาลี คือกลายเป็นโจรในวันหน้าเป็นการแน่นอน องคุลิมาลให้บริวารสี่คนเป็นผู้ติดสอยห้อยตามข้าพเจ้าไปด้วย เพื่อระวังมิให้ข้าพเจ้าได้รับอันตรายจนกว่าจะถึงกรุงอุชเชนี ถ้าหากระวางทางเป็นอันตรายอะไรลงไป บริวารทั้งสี่จะต้องรับโทษประหาร ในเรื่องเช่นนี้ องคุลิมาลรักษาชื่อเสียงนัก สัญญาข้าพเจ้าว่า ถ้าข้าพเจ้ามีอันตรายอย่างไรลงไป ก็จะแล่เนื้อเถือหนังบริวารที่กำกับไป แล้วเอาหนังที่แล่แล้ว ไปแขวนประจานไว้ในทางสี่แพร่ง ให้ใครๆ รู้ว่าองคุลิมาลได้ทำตามสัญญาแล้ว
เป็นคราวเคราะห์ดี ที่องคุลิมาลจะไม่ต้องทำตามสัญญา เพราะอ้ายเหล่าร้ายสี่คนที่ไปกับข้าพเจ้า ได้แสดงกิริยาวาจาสุภาพและระวังภัยข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ในตลอดทางที่ไป เป็นอันว่ามันคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ที่จะได้ทำพิธีพลีเจ้าแม่กาลี ผู้คล้องพวงหัวกะโหลกคนต่างมาลัยได้สืบไป
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 12:06:05 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2557 12:56:32 » |
|
๑๑. งวงช้าง (ต่อ)รอนแรมทางมาจนลุกรุงอุชเชนี ไม่ประสบภัยอย่างไร ถึงกระนั้นก็ดีข้าพเจ้าขอบอกว่าเท่าที่ได้ประสบมาแล้ว รู้สึกว่าเข็ดขยาดเหลือพอ บิดามารดาข้าพเจ้าดีใจเป็นที่สุด ที่เห็นข้าพเจ้ายังมีชีวิตรอดกลับมาได้ ล่วงต่อมาไม่ช้า ข้าพเจ้าขออนุญาตไปค้างยังกรุงโกสัมพีอีก อ้อนวอนขอไปเท่าไร บิดาข้าพเจ้าไม่ยอม เพราะท่านทราบดีอยู่แล้วว่า นอกจากต้องเสียเงินค่าไถ่ตัวข้าพเจ้าเป็นจำนวนเงินไม่น้อย สินค้าและข้าทาสบริวารที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ควบคุมไปครั้งนั้นก็สูญสิ้นไปด้วย จึ่งไม่มีกำลังสามารถจะแต่งกองเกวียนไปค้าได้อีก เพียงนี้ก็ยังไม่กระไรนัก ยังมีโจรผู้ร้ายคอยดักตีปล้นตามทาง บิดาข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าฝ่าอันตรายไปอีก นอกจากนั้น ยังได้ยินข่าวเรื่ององคุลิมาลทำการทารุณอยู่บ่อยๆ และข้าพเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าเองอาจพบกับมันเป็นครั้งที่สอง ข้อเดือดร้อนใจยังมีอีก คือไม่มีโอกาสส่งข่าวคราวไปยังกรุงโกสัมพี จึ่งจำเป็นต้องทนนิ่งอยู่อย่างนั้น ได้แต่นึกถึงและหวังว่าวาสิฏฐีที่ข้าพเจ้ารักและบูชาแล้วคงจะซื่อตรงอยู่มั่นคง คิดดั่งนี้ค่อยรู้สึกว่าสบายใจขึ้นบ้าง จนกว่าจะสบโอกาสทราบเรื่อง แต่ในที่สุดก็ได้ทราบเรื่องจริงๆ คือมีข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วกรุงว่า สาตาเคียรลูกประธานมนตรีแห่งกรุงโกสัมพี ได้ปราบองคุลิมาลโจรร้ายกาจและพวกลงราบคาบแล้ว ตัวองคุลิมาลและบริวารที่สำคัญอีกหลายคนถูกจับเป็นไปได้ แล้วถูกประหารชีวิตหมด บริวารนอกนั้น ที่จับไม่ได้หรือไม่ถูกฆ่า ก็แตกฉานซ่านกระจายไปสิ้น
คราวนี้ บิดามารดาขัดอ้อนวอนข้าพเจ้าไม่ได้ ที่ขอคุมเกวียนไปค้ายังกรุงโกสัมพีอีก เพราะใครๆ ก็วางใจได้ว่าทางที่ไปคงราบรื่นปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นเวลาอีกนาน และบิดาข้าพเจ้าก็สมัครจะเสี่ยงโชคในการค้าอีกสักครั้ง ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าล้มป่วยลง เมื่อหายป่วยก็จวนเข้าฤดูฝน จึ่งต้องรอจนกว่าจะหมดฤดูฝนก่อน คราวนี้แหละ เป็นไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวางอีก พอสิ้นฤดูฝนเตรียมตัวไป บิดาข้าพเจ้าได้ตักเตือนสั่งสอนให้รู้จักระวังตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็ลาท่าน เป็นหัวหน้าควบคุมกองเกวียนบรรทุกสินค้าเต็ม รวมสามสิบเล่ม ออกเดินทาง มีหัวใจให้เบิกบานร่าเริง เต็มใจรีบเร่งไปให้ถึงโดยเร็วให้สมกับที่มุ่งหมายตั้งใจไว้
การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นตลอดไป เหมือนกับขาไปครั้งก่อน รุ่งเช้าวันหนึ่งอากาศปลอดโปร่งก็ลุกรุงโกสัมพี ให้รู้สึกหัวใจเบิกบานเบ่งโตแทบจะโลด พอล่วงเข้าไปในกรุงได้สักหน่อย เห็นผู้คนจราจรล้นหลามตามถนนผิดปกติ ต้องเบากระบวนผ่อนช้าลง จนมาถึงที่แห่งหนึ่ง อันเป็นย่านที่จะเข้าถนนใหญ่ในกรุง ต้องหยุดกองเกวียน เพราะเหลือกำลังจะเบียดแทรกฝูงชนต่อไปอีกได้ ตามถนนใหญ่ที่กล่าวไว้ข้างต้นประดับธงทิวปลิวไสว มีพรมห้อยลงมาจากหน้าต่างและระเบียงหน้ามุข ข้างถนนก็มีเฟื่องดอกไม้โยงกันระนาวตลอดไปทั้งสองข้าง คล้ายกับมีงานรื่นเริงอย่างใหญ่ ข้าพเจ้าทนรออยู่ไม่ได้ ถึงกับออกอุทานสาปแช่งอุปสรรคที่ทำให้เดินทางต่อไปติดขัด ได้ซักถามผู้ที่อยู่ข้างหน้าว่ามีงานอะไรกัน
พวกเหล่านั้นร้องตอบว่า "นี่ไม่รู้ดอกหรือว่าวันนี้ท่านสาตาเคียรบุตรท่านประธานมนตรีทำพิธีแต่งงาน? มากำลังเหมาะ เพราะกระบวนแห่กำลังจะผ่านที่นี้ ตรงนี้ไปยังเทวาลัยพระกฤษณะ นับว่าเป็นบุญตาของท่านที่จะได้ดูแห่ใหญ่อย่างที่ไม่เคยเห็นทีเดียว!
เรื่องเป็นอย่างนี้เอง คือ สาตาเคียรสมโภชการวิวาหะของมัน นับว่าเป็นข่าวสำคัญไม่น้อยเลย และเป็นข่าวพอใจของข้าพเจ้าด้วย เพราะสาตาเคียรอยากได้ตัววาสิฏฐีอยู่ ถ้าข้าพเจ้าส่งเฒ่าแก่ไปสู่ขอ ก็น่ากลัวจะติดขัดมาก ด้วยสาตาเคียรยังขวางอยู่ มาบัดนี้สาตาเคียรก็แต่งงานไปแล้ว ความติดขัดคงไม่มี เพราะฉะนั้นที่ข้าพเจ้าติดฝูงชนเดินทางต่อไปไม่ได้ก็รู้สึกว่าไม่เดือดร้อนอะไร คอยอยู่ไม่ทันไรก็เห็นแห่กระบวนหน้ามาถึง เป็นกองทหารม้ากุมหอกค่อยย่างเหยาะช้าๆ ผ่านไป ฝูงชนโห่ร้องแสดงยินดีก้องกลบอากาศ ได้ความว่า ราษฎรกรุงโกสัมพีนิยมยินดีกองทหารม้านี้นัก เพราะเป็นกองไปปราบองคุลิมาลสำเร็จมา
พอสุดกระบวนทหารม้า ก็ถึงตัวเจ้าสาวนั่งอยู่ในกูบช้าง ประดับประดาโอฬารน่าดูจริงๆ เบื้องตระพองประดับด้วยผ้าบาง มีมณีรัตน์ฉายแสงเป็นหลายสีงดงามมากราวกับช้างบนเมรุบรรพต อันเป็นที่สถิตของท้าวเทพ ช้างตัวนี้เป็นช้างพลายกำลังเปรียวราวกับในต้นฤดู มีมันไหลเยิ้มแก้มและขมับ แมลงผึ้งจับกลุ่มด้วยได้กลิ่น ที่งาสวมวลัยเป็นปล้องๆ ทำด้วยทองแท้ รัดประคนล้วนแล้วด้วยทอง ประดับด้วยทับทิมเม็ดเขื่องๆ มีผ้าบางพาราณสีคลุมห้อยลงมาจากหลัง ใบกระพือพันขาอันล่ำสันเห็นกระเพื่อมๆ เพียงดั่งหมอกที่ปกคลุมรอบลำต้นไม้ใหญ่ในแนวป่า แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตะลึงจังงัง ที่งวงช้าง ข้าพเจ้าเคยเห็นแห่ในกรุงอุชเชนีมานับครั้งไม่ถ้วน ได้เห็นการประดับช้างมาก็มาก ไม่งดงามน่าดูเหมือนคราวนี้ ตามที่เคยเห็นมักจะแต่งแบ่งเป็นรูปทุ่งนาสีต่างๆ แต่สำหรับรายนี้เองหนังช้างเป็นพื้นสี แล้วเอาใบอโศกประดับเป็นรูปหอก ตรงกลางใช้ดอกอโศกสีเหลือง สีแสด สีแดง สลับกัน เหมาะเจาะน่าดูจริงๆ
ขณะข้าพเจ้าผู้มีความรู้เป็นนักเลงในเรื่องศิลปะ กำลังชมฝีมือประดับอย่างวิจิตรอยู่นี้ พลันเริ่มรู้สึกเศร้าใจ คล้ายกับได้สูดกลิ่นหอมแห่งความรัก ในคืนอันแสนสุขบนลานอโศกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคิดถึงคราวที่จะได้ทำวิวาหะของตน หัวใจของข้าพเจ้าก็เต้นแรง คิดถึงวันที่วาสิฏฐีจะได้รับความสุขเบิกบาน ถ้าได้อยู่บนลานอโศก ดีกว่าได้มานั่งอยู่บนหลังช้าง อันประดับประดาอย่างงามเลิศเสียอีก ขึ้นชื่อว่าดอกอโศกแล้ว ในกรุงโกสัมพีไม่มีที่ไหนน่าพิศวงยิ่งกว่าบนลานอโศกนั้น
กำลังนึกเคลิบเคลิ้มอยู่นี้ ได้ยินหญิงคนหนึ่งพูดกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ข้าพเจ้าว่า "ดูเจ้าสาวซิ หน้าเศร้าไม่เบิกบานเลย"
ข้าพเจ้าเงยดู โดยไม่ทันรู้ว่าอะไร ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้วยเห็นรูปเจ้าสาวที่นั่งอยู่ในกูบบุด้วยตาดม่วง ที่ว่าเห็นรูป เพราะไม่เห็นหน้าถนัดด้วยฟุบลงอยู่กับอก ถึงแม้จะเห็นเพียงรูปร่างเล็กน้อย อันมีเสื้อผ้าแพรพรรณหุ้มคลุมเป็นกลุ่มราวกับสีรุ้งก็ดี แต่ร่างกายที่อยู่ภายในผ้านั้นคล้ายกับไม่มีชีวิต เพราะเห็นโยกเยกไปตามกิริยาโคลงเคลงที่ช้างย่าง รู้สึกว่ามีอาการเศร้าๆ อย่างไรอธิบายไม่ถูก น่ากลัวว่าเวลาโยกจะพลัดตกจากหลังช้างกลิ้งลงมา อาการวิตกอย่างนี้ไม่ใช่มีแต่ข้าพเจ้าคิดผู้เดียว เพราะขณะนั้นเห็นเพื่อนเจ้าสาวอีกคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างหลังเจ้าสาว เอามือแตะไหล่เจ้าสาวไว้แล้วก้มไปกระซิบให้สติ
ทันใดนั้น ใจข้าพเจ้าหายวาบเย็นเยือกขึ้นทันที เพราะหญิงที่เข้าใจว่าเป็นสาวใช้หรือเพื่อนเจ้าสาวนั้นคือ เมทินี ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะนึกตกลงว่า ที่เห็นนี้เป็นลางร้ายหรืออย่างไร พอดีเจ้าสาวของสาตาเคียรก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าออก
๑๒. ที่ฝังศพของวาชศรพ แน่เสียแล้ว เจ้าสาวนั้นคือ วาสิฏฐี รูปร่างอย่างนั้นจำได้ไม่ผิดนัยน์ตาข้าพเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่คล้ายคลึงกับที่ได้เห็นมาแต่ก่อน คราวนี้ดูมีอาการทุกข์โศกแสนสาหัสอย่างใดอย่างหนึ่ง พูดไม่ถูก
เมื่อข้าพเจ้าได้สติรางๆ พอกระบวนแห่สุดท้ายผ่านเลยไปแล้ว ก็หน้ามืดทันทีแต่เขาเข้าใจกันว่าเป็นลมเพราะร้อนจัดและเบียดเสียดกัน ข้าพเจ้าหมดกำลังวังชา ทอดกายให้เขาอุ้มเอาไปพักที่โรงแรมแห่งแรกที่ไปถึง นอนอยู่ที่มุมมืดแห่งหนึ่งในนั้น หันหน้าเข้าข้างฝา นิ่งแซวอยู่อย่างนั้นหลายวันหลายคืน น้ำตาไหลพรากๆ ไม่ยอมกินอาหารทั้งหมด ข้าพเจ้าสั่งคนใช้ผู้ควบคุมเกวียน - คนเดียวกับที่มาด้วยกันครั้งก่อน - ให้จัดแจงขายสินค้าที่นำเอามาเสียโดยเร็ว แม้จะขายไม่ได้ราคาดีก็ตาม เพราะข้าพเจ้าป่วยจัดการเองไม่ได้ ความจริงข้าพเจ้าไม่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากจมดิ่งอยู่ในห้วงความเสียใจ ที่เสียของรักไป ไม่มีวันจะได้คืนแล้ว นอกนี้ ไม่ต้องการจะให้ใครเห็นตัวที่ในกรุง เกรงจะมีใครจำได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือต้องการจะปิดบังไม่ให้วาสิฏฐีทราบว่าข้าพเจ้ากลับมากรุงโกสัมพีอีก
รูปนางที่ได้เห็นครั้งหลังที่สุดนี้ ช่างกระไร ติดตาชัดเจนอยู่ตรงหน้าไม่เลือนลงเลย ถึงว่าจะรู้สึกแค้นว่านางมีใจไม่ยั่งยืนก็ดี แต่ก็เห็นความจำเป็นอยู่เหมือนกัน ที่ถูกบิดามารดาของเขาบังคับ นางคงไม่ไยดีปรีดาในตัวลูกประธานมนตรี ข้อนี้ปรากฏอยู่แล้วในกิริยาที่แสดงให้เห็น ครั้นหวนนึกถึงที่ให้ความสัตย์ปฏิญญากันไว้ที่พุ่มไม้ศาลพระกฤษณะครั้งกระโน้น ก็นึกไม่ออกเลยว่าไฉนนางจึ่งใจเร็วไปได้ถึงเช่นนี้ ข้าพเจ้าถอนหายใจยาว แค้นก็แสนแค้น ว่าความสัตย์ปฏิญญาของสาวน้อยนี้หนอ เชื่อถือไม่ได้เอาทีเดียว บัดเดี๋ยวใจหน้าเจ้าตัวอันสร้อยเศร้าด้วยความระทมทุกข์ ก็ปรากฏดวงเด่นเฉพาะหน้าข้าพเจ้าอีก ทันใดนั้น ความโกรธความแค้นที่แน่นจนคับอกก็พลันหาย เหลือแต่ความสงสารเข้าไปเต็มตื้นอยู่ในใจ เลยตกลงแน่วแน่ว่า ข้าพเจ้าจะไม่เพิ่มความทุกข์ของนางให้ยิ่งขึ้น โดยไม่รู้ไปถึงว่าตัวกลับมากรุงโกสัมพีแล้ว จะไม่ให้รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว ในที่สุดเมื่อนางเห็นเงียบหายไปนาน ก็คงคิดว่าข้าพเจ้าตายแล้ว ความทุกข์โศกก็จะค่อยจางไปทีละน้อยเอง จนยอมปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม แต่จะไม่ทำให้เกิดความเศร้าหมองถึงกับเสียซวดทรงสวยสง่าได้
เผอิญเคราะห์ยังดี คนใช้เก่าแก่ของข้าพเจ้า สบโอกาสขายสินค้าได้ราคาดีจนหมดในเวลาไม่ช้า เพราะฉะนั้น ล่วงต่อมาอีกสองสามวัน ข้าพเจ้าจึ่งมีโอกาสคุมเกวียนออกจากกรุงโกสัมพีไปในเวลาเช้าวันหนึ่ง เพื่อกลับบ้าน
เมื่อออกจากประตูเมืองด้านตะวันตก เหลียวไปดูกรุงเป็นการสั่งครั้งสุดท้าย อันภายในกำแพงนั้น ย่อมมีทั้งทุกข์และสุขขนานใหญ่ที่ข้าพเจ้าประสบแล้วไม่ลืมเลย ก่อนที่ถึงกรุงนี้สักสองสามวัน ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเบิกบานใจมุ่งแต่ความสุข จนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรหมด ครั้นขากลับ จึ่งได้เห็นว่าบนเชิงเทินและตามแง่กำแพงกรุง มีศีรษะคนเสียบประจานอยู่เป็นระนาว แน่แล้ว ศีรษะเหล่านี้คงเป็นพวกโจรขององคุลิมาลที่ถูกประหาร
ครั้งแรก จำเดิมแต่ได้เห็นหน้าวาสิฏฐีในกูบช้าง ก็ใจหายสุดแสนโทมนัสครั้งหนึ่งแล้ว ครั้นมาได้เห็นศีรษะโจร ซึ่งแร้งกำลังฉีกเนื้อกินจนหมดสิ้น เหลือแต่กะโหลกจนจำไม่ได้ แต่ก็ยังมีเส้นผมและหนวดเคราเหลืออยู่บ้าง ความสลดใจยิ่งทับทวีเข้ามาอีก เพราะคนเหล่านี้ ข้าพเจ้าเคยร่วมกินร่วมพูดกันมา และมีอยู่กะโหลกหนึ่งเสียบไว้กลางเชิงเทิน เห็นแน่ชัดว่าเป็นหัวของวาชศรพ ข้าพเจ้าจำได้ดีๆ ส่วนศีรษะองคุลิมาลคงถูกเสียบประจานไว้ทางทิศตะวันออกอีกด้านหนึ่งเป็นแน่ ข้าพเจ้าระลึกถึงที่วาชศรพเคยอธิบายการลงทัณฑกรรม คิดแล้วก็รู้สึกเสียวใจ วาชศรพเคยอธิบายพิสูจน์ว่า ผู้เป็นโจรพึงอย่าให้เขาจับได้ ถ้าเคราะห์ร้ายถูกจับไป ก็ต้องหาทางทุกอย่างหนีให้จงได้ อนิจจา! วิชาของวาชศรพเหล่านี้ช่วยตนเองอย่างไรได้บ้าง? เปล่าเลย น้อยนัก มนุษย์จะรอดจากกรรมที่ได้ก่อไว้แต่ปางก่อน
มองดูหัวกะโหลกวาชศรพ รู้สึกว่าซอกกระบอกตาที่กลวงโบ๋ คล้ายจะมองดูข้าพเจ้าและอ้าปากน้อยๆ เรียกว่า "กามนิต กามนิต จงดูข้าพเจ้าให้ใกล้หน่อย แล้วพิจารณาให้ดีว่าเห็นอะไร เพราะตัวท่านก็เหมือนกัน เกิดในเวลาดาวโจรขึ้น จะต้องดำเนินในทางอันมืดแห่งเจ้าแม่กาลีเหมือนกัน และในวันหนึ่งจะประสบการณ์ถึงที่สุด อย่างนี้แหละ!”
เป็นการแปลกประหลาดอยู่ ที่ประสบเหตุเช่นนี้น่าจะหวาดกลัว ในครั้งนี้กลับตรงกันข้าม ข้าพเจ้าเกิดความคิดใหม่ - ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยนึกเคยฝันเลย คืออยากเป็นนายโจรดูก็ควรเป็น ในยามที่ได้รับทุกข์สาหัสอย่างนี้ เห็นจะสมกับคำทำนายของวาชศรพกระมัง พูดถึงสติปัญญาความกล้าหาญ ทั้งได้รับความรู้จากวาชศรพมาครองเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย ถ้าจะตั้งตัวเป็นนายโจรก็คงเป็นได้ ดีเสียอีก จะได้ทำการแก้แค้นต่อสาตาเคียรได้สะดวก แต่จะได้วาสิฏฐีคืนมาสู่วงแขนข้าพเจ้าหรือหาไม่นั้นแล้วแต่เรื่อง ยิ่งคิดก็เห็นเป็นข้าพเจ้าได้สู้กับสาตาเคียรตัวต่อตัวในกลางป่า เอาดาบฟันถูกกบาลมันแล่งออกเป็นสองเสี่ยง แล้วอุ้มวาสิฏฐีซึ่งกำลังเป็นลมไม่ได้สติ หนีออกจากบ้านซึ่งกำลังถูกไฟเผาพินาศลง และได้ยินเสียงพวกโจรใจฉกาจโห่ร้องคะนองชัย
ครั้งนี้เป็นคราวแรก นับแต่ได้เห็นวาสิฏฐีมีอาการละเหี่ยละห้อย ข้าพเจ้าเกิดความกล้าหาญและความหวังขึ้น เริ่มคิดกะการณ์ในภายหน้า และคราวนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ยังไม่อยากตาย
กำลังเห็นภาพต่างๆ เหล่านี้นิมิตขึ้นในดวงจิต ขณะเดินทางไปยังไม่เกินกว่าพันก้าว เห็นหมู่เกวียนกองหนึ่งสวนทางมาข้างหน้า แล้วหยุดรอ มีชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ไปทำพิธีอยู่บนเนินใกล้ทาง
ข้าพเจ้าเข้าไปหา ทักทายปราศรัยโดยสุภาพ แล้วถามว่าบูชาเทพองค์ไรในที่นี้
ชายผู้นั้นตอบว่า "ที่ในหลุมตรงนี้ ฝังศพท่านวาชศรพผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะความคุ้มครองจากท่านผู้นี้ ข้าพเจ้าจึ่งสามารถพ้นอันตรายทั้งทรัพย์และชีวิตกลับไปถึงบ้านได้ และข้าเจ้าขอแนะนำอ้อนวอนสูท่าน ว่าอย่าละเลยบูชาท่านที่นี่ตามสมควรแก่การณ์ เพราะว่า ถ้าสูท่านจะเดินทางเข้าไปในแดนป่า ถึงจะจ้างคนรักษาป่าสักร้อยคน ก็ช่วยคุ้มภัยให้ไม่ดีกว่าท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์คนนี้"
ข้าพเจ้าแย้งว่า "ท่านสหายที่รัก ก็หลุมศพนี้ดูยังใหม่ๆ เพียงสองสามเดือนเท่านั้น ถ้าศพที่ฝังอยู่ในนั้น คือวาชศรพแล้วก็ไม่ใช่คนสำเร็จผู้ศักดิ์สิทธิ์อะไร คงจะเป็นโจรที่ชื่อนั้นกระมัง?
พ่อค้าคนนั้นก้มศีรษะรับรอง "คนเดียวกัน – แน่นอน – ข้าเจ้าเป็นผู้เห็นเขานำวาชศรพมาเสียบประจานไว้ ณ ที่ตรงนี้ ศีรษะยังเสียบอยู่บนประตูเมือง ตั้งแต่วาชศรพได้รับโทษทรมานด้วยราชทัณฑ์ ก็ได้ชำระล้างบาปหมดจดแล้ว บัดนี้ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่มีดวงใจด่างพร้อยอะไรอีก วิญญาณของวาชศรพ ณ บัดนี้ คอยดูแลป้องกันคนเดินทางให้พ้นภัยจากโจรผู้ร้าย ยิ่งกว่านั้น มีผู้คนเขาพูดว่า เมื่อวาชศรพยังประพฤติเป็นโจรอยู่ก็เป็นผู้ดีมีความรู้สูงและประพฤติตนเป็นคนสำเร็จ เพราะเป็นผู้รอบรู้พระเวทขึ้นเจนใจ อย่างน้อยเขาก็ว่ากันดั่งนี้"
ข้าพเจ้าตอบว่า "ที่สูท่านพูดนี้ ถูกต้องทุกประการ เพราะข้าเจ้ารู้จักเขาดี อาจเรียกว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้"
พ่อค้าคนนั้น มองดูข้าพเจ้าอย่างตะลึงลาน แต่ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า "สูท่านควรจะทราบได้ว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถูกโจรก๊กนี้จับตัวไปได้ และวาชศรพได้ช่วยชีวิตข้าเจ้าไว้ตั้งสองครั้ง"
พ่อค้ามองดูข้าพเจ้าในคราวนี้ ไม่ใช่อย่างตะลึงกลัว กลับมีกิริยาพอใจ กล่าวชมว่า "นับว่าสูท่านมีบุญวาสนาแท้ๆ ถ้าข้าเจ้าเป็นผู้ที่วาชศรพโปรดปรานแล้ว ในสองสามปีเท่านั้น ข้าเจ้าควรจะเป็นคนมั่งมีที่สุดในกรุงโกสัมพี บัดนี้ขอลาที ขอให้สูท่าน ผู้ซึ่งใครควรอิจฉาในเคราะห์ดีของตน เดินทางไปโดยสวัสดิภาพเถิด" ว่าแล้วเขาก็ให้อาณัติสัญญาณกองเกวียนของเขาเดินทางต่อไป
เป็นธรรมดาอยู่เอง ข้าพเจ้าจะละเลยไม่เซ่นบูชาสหายที่ลือชื่อและที่นับถือของข้าพเจ้ามิได้ แต่การอ้อนวอนตรงกันข้ามกับที่ใครๆ เคยอ้อนวอนกัน คือขอให้วาชศรพบันดาลให้ข้าพเจ้าไปพบพวกโจร จะได้สมคบเข้าเป็นพวกด้วย และด้วยความเชื่อในความสามารถของตน ว่าไม่ช้าตำแหน่งหัวโจกก็คงตกแก่ตัว
ข้าพเจ้าจะได้ทราบผลในความเป็นไปของตนในไม่ช้า ที่สหายปราชญ์ของข้าพเจ้าและที่บุคคล ณ บัดนี้นับถือและยกย่องว่าเป็นคนสำเร็จได้ทำนายไว้ว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นโจร เพราะเกิดเวลาดาวโจรขึ้นนั้น เป็นอันผิดหมด เพราะเมื่อเดินทางตลอดจนถึงกรุงอุชเชนี ไม่พบโจรผู้ร้ายแม้แต่ร่องรอยก็ไม่มี ผิดกว่าคราวก่อน ที่เดินทางออกจากกรุงโกสัมพีมาไม่ถึงสัปดาห์ เข้าเขตป่าใหญ่ ระวางพรมแดนแคว้นอวันตีก็ถูกโจรปล้น มาคราวนี้ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเลย เมื่อมารำพึงแล้ว รู้สึกว่าแปลกอยู่ จักแหล่นจะได้เป็นโจรอยู่แล้ว หากไม่สบโชค จึ่งต้องเป็นชาวบ้านอยู่ต่อไป อันที่จริง เมื่ออยากจะเป็นโจรก็ไม่เป็นการยากอะไร จะหาทางพ้นโดยล้างบาปในภายหลังก็ได้ โดยประพฤติสัญจารึกไปนมัสการยังสถานศักดิ์สิทธิ์ เปรียบเสมือนเส้นโลหิตที่มีในกายตัวอยู่มากมาย แต่ที่ไปสู่เบื้องศีรษะก็มีอยู่สายเดียว ซึ่งเป็นทางที่วิญญาณจะออกไปทางนั้นในเวลาตาย เป็นอันว่าถึงจะเป็นโจรก็กลับใจหาทางพ้นบาปในภายหลังก็ได้ เพราะว่าบุคคลเมื่อได้บรรลุวิมุตติความหลุดพ้นแล้ว กรรมทั้งหลาย ไม่ว่าดีหรือชั่วก็สิ้นไปเอง เท่ากับเอาปัญญาความรู้เผาผลาญลงเป็นผงเถ้าฉะนั้น
ดูก่อนท่านภราดา หากว่าระวางครั้งกระนั้น ข้าพเจ้าจะได้เป็นโจร พูดถึงผลของศีลธรรมดูก็ไม่สู้จะแปลกไปจากคนธรรมดากี่มากน้อยนัก เพราะตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอยู่กับพวกโจร ได้ความรู้อย่างหนึ่งว่า พวกโจรมีอุปนิสัยต่างๆ กัน บางคนมีลักษณะดีเลิศ ถ้าพูดถึงลักษณะภายนอกที่เห็นด้วยตา มีบางอย่างที่เทียบกันในระวางผู้ที่เป็นโจรกับผู้ไม่ใช่โจรแล้ว ไม่ผิดแปลกกันมากอย่างที่เข้าใจกันอยู่
กามนิต แสดงข้อหลักนักปราชญ์ดั่งนี้แล้วก็นิ่ง มีอาการตรึกตรอง แหงนหน้าดูเดือนเพ็ญซึ่งโผล่เห็นเป็นดวงโตสว่างฟ้า มาทางหมู่ไม้อยู่ไกลลิบ อันเป็นที่อยู่ของโจร แสงจันทร์ฉายเข้ามาทางห้องโถงบ้านช่างหม้อ จับพระกาสาวพัสตร์พุทธบริโภค ดูดั่งเป็นทองแท้ทั่วทั้งพระสรรพางค์
พระพุทธเจ้า - ซึ่งกามนิตเห็นมีพระสัณฐานลักษณะสง่าน่านับถือ แต่จะรู้แม้สักนิดก็หาไม่ ว่าผู้นั้นคือใคร - ก็ผงกพระเศียร ตรัสว่า "ดูก่อนท่านผู้ประพฤติบุณยยาตรา สังเกตดูตามเรื่องที่เล่า เห็นท่านยังต้องการเดินทางไปหาบ้านอย่างอาคาริยวิสัย มากกว่าจะเดินทางหาความวิเวกสละบ้านตามอนาคาริยวิถี อันที่จริง ก็มีทางเปิดให้เดินไปปัจฉิมมรรคได้ชัดแจ้งอยู่แล้ว"
"ข้าแต่ผู้เจริญ ความจริงเป็นดั่งที่ท่านกล่าว แต่เวลานั้นตาข้าพเจ้ายังมืดมัวมองไม่เห็นวิโมกษวิถี จึ่งมุ่งหน้าเดินซมไปหาบ้านตามประสาเขลา"
กามนิต ถอนหายใจยาว นิ่งอึ้งอยู่สักครู่ ก็เริ่มเล่าเรื่องของตนต่อไป มีเสียงสดชื่นชัดเจนขึ้น.บรรดาสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในกรุงอุชเชนี ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าหมู่นางคณิกา๑๓. เพื่อนบุณย์ เรื่องลงสุดท้าย ก็คือข้าพเจ้าคงอยู่กับบิดามารดาที่กรุงอุชเชนีสืบมา
ดูก่อน ท่านอาคันตุกะ อันกรุงซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองบิดรของข้าพเจ้านี้ ดั่งที่ชนทั่วไปย่อมทราบว่า เป็นกรุงมีชื่อเสียงตลบไปในชมพูทวีป ว่าสนุกสนานหาความบันเทิงได้ไม่มีที่เปรียบ ไม่น้อยไปกว่าความงามรุ่งเรืองของปราสาทราชมนเทียร และความงามสง่าผ่าเผยของเทวสถาน และมีถนนหลวงกว้างใหญ่ เวลากลางวันได้ยินเสียงม้าร้องคะนองคึก และช้างสารโกญจนาทอยู่กึกก้อง ตกกลางคืน ก็มีแต่เสียงพิณและเสียงร้องเพลงในหมู่นักเที่ยวสนุกเกรียวกราวอยู่ทั่วไป
แต่บรรดาสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในกรุงอุชเชนี ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าหมู่นางคณิกามีตั้งแต่เป็นนางงามชั้นสูงอยู่ปราสาท ซึ่งเป็นผู้สร้างเทวสถาน สร้างวโนทยานสำหรับไว้เที่ยวเตร่ ที่ในห้องรับแขกจะมีจินตกวีนักละคร แขกเมืองคนสำคัญ บางทีก็มีเจ้านายไปเยี่ยมเยียน นางเหล่านี้ตลอดจนชั้นเลวลงมา ล้วนสวยงามสมทรวดทรง มีกิริยาท่าทางอ่อนช้อยยียวนใจหาที่เปรียบมิได้ ถึงคราวมีงานสมโภชครั้งใหญ่ ในคราวแห่แหนหรือมีการประกวด นางคณิกาเหล่านี้จะเป็นอาภรณ์สำคัญประสมอยู่ในวิถีมรรคา ซึ่งประดับด้วยธงทิว เดียรดาษด้วยบุปผชาติกล่นเกลื่อนถนน ล้วนสวมพัสตราภรณ์สีแดง ถือพวงมาลารำเพยกลิ่นหอมตลบอบอวล แพรวพรรณด้วยมณีรัตน์เครื่องประดับ ดูก่อนภราดาถ้าท่านได้เห็นแล้วซึ่งนางเหล่านี้ ในขณะที่นั่งอยู่หรือเคลื่อนคล้อยไปตามถนนชม้อยชายตาทำกิริยาหัวร่อต่อกระซิกแสนจะน่ารัก นั่นคือโหมเพลิงความพึงใคร่ของผู้กำดัดรักให้เริงแรงยิ่งขึ้น
นางเหล่านี้ พระราชาก็ประทานเกียรติยศ ประชาชนก็บูชา จินตกวีก็กล่าวขวัญเป็นบทเพลงเยินยอ จึ่งเป็นการสมควรแล้วที่จะขนานนามว่า "มงกุฏดอกไม้หลายสีของกรุงอุชเชนีที่สถิตเหนือฐานศิลา" กระทำให้แคว้นใกล้เมืองเคียงต่างๆ อิจฉากรุงอุชเชนีเป็นกำลัง นางงามเหล่านี้ บางคนที่เลือกสรรแล้ว เคยรับเชิญเป็นแขกเมืองไปเยี่ยมแดนต่างๆ ก็บ่อยๆ ถึงกับเกิดเหตุในบางครั้ง ที่ต้องมีพระโองการสั่งให้กลับมา
สำหรับผู้ที่จะให้ลืมความโทมนัสแสนสาหัส ที่เผาผลาญดวงใจอย่างเช่นข้าพเจ้านี้ เมื่อมีนางงามนำถ้วยทองอันเต็มปริ่มด้วยสุธารสความบันเทิง มาฉอเลาะรออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว ไฉนจะไม่ดื่มโดยยินดีเล่า? อาศัยที่ข้าพเจ้ามีปฏิภาณทันใจ มีความรู้ในศิลปวิทยา รู้จักการเล่นอันสมควรแก่การสมาคมทุกอย่าง นางคณิกาที่ลื่อชื่อจึ่งต้อนรับข้าพเจ้าเป็นแขกพิเศษ นางคนหนึ่งหลงใหลรักใคร่ข้าพเจ้ามาก เลยหยิ่งถึงทะเลาะกับเจ้านายองค์หนึ่ง เพราะเรื่องข้าพเจ้า และเพราะได้เรียนรู้ภาษามารยาทโจรมาแล้วเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าจึ่งคบหาสมาคมกับนางคณิกาชั้นต่ำด้วยอีกพวกหนึ่ง ถึงแม้ว่าความเป็นไปของพวกชั้นนี้จะเป็นชนิดที่เลวทราม ข้าพเจ้าก็ตีตนสนิทมิได้รังเกียจ จนนางพวกเหล่านั้น มีหลายคนที่ภักดีต่อข้าพเจ้าอย่างสุดชีวิตจิตใจ
ดูก่อน! ท่านอาคันตุกะ ข้าพเจ้าเปลี่ยนความประพฤติ ไปหมกมุ่นอยู่ด้วยความสนุกอย่างนี้ในเมืองข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว เท่ากับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เลยมีคำพูดติดปากชาวอุชเชนีว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" ฉะนี้
ในระวางเวลาที่เพลิดเพลินนี้ มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นอันแสดงให้เห็นว่าความประพฤติชั่วช้าถึงปานนี้ก็ดี บางทีก็เป็นเหตุถึงกับให้เกิดโชคดีขึ้นได้ ซึ่งบุคคลที่หมกมุ่นอยู่ในโลกียสุข อาจตัดสินลงไปให้เด็ดขาดไม่ได้ง่ายว่าที่มีความเจริญสมบูรณ์อยู่ได้นั้น เป็นเพราะความชั่วหรือความดีที่มีอยู่ในตน ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ หมายความถึงพวกนางคณิกาชั้นต่ำที่ข้าพเจ้าคบค้าอยู่ด้วย ซึ่งกลายเป็นการให้คุณเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือ วันหนึ่งมีขโมยขึ้นบ้านบิดาข้าพเจ้า แล้วก็ลักเอาแก้วแหวนเงินทองไปเสียสิ้น โดยมากเป็นของคนอื่นมอบมาไว้ให้ตีราคา คิดเป็นทรัพย์รวมทั้งหมดมากมาย บิดาข้าพเจ้าเหลือความสามารถจะใช้แก่เจ้าของได้ ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แสนวิตก เพราะเห็นหายนะมาสู่อยู่แล้วเฉพาะหน้า ได้ใช้สติปัญญาความสามารถที่ได้ไว้ครั้งอยู่ในป่า ก็ไม่ได้ผลอย่างไร ลักษณะอาการผู้ร้ายที่เข้ามาลัก เจาะเป็นอุโมงค์เข้ามา ซึ่งข้าพเจ้าอาจบอกได้ทันทีว่าเป็นโจรชนิดไร แต่ถึงจะได้ความรู้เป็นเค้าอย่างนี้ก็ดี ก็เป็นประโยชน์แก่ตำรวจไม่ได้เลยเพราะตำรวจในกรุงอุชเชนี ไม่เป็นพวกที่นางคณิการักใคร่นัก เพราะทั้งสองมีความในใจกินนัยกันอยู่ ด้วยพวกนางคณิกาย่อมติดต่ออยู่กับเหล่าร้าย ไฉนจะชอบพอกับพวกตำรวจได้
อาศัยด้วยพวกนางคณิกาเหล่านี้รักใคร่ชอบพอกับข้าพเจ้า ได้เห็นข้าพเจ้าเป็นทุกข์เป็นร้อนถึงหายนะที่จะมาถึง ช่วยเอาใจใส่สืบสวนจนได้ตัวผู้ร้าย ข่มขู่มันต่างๆ จนมันยอมคืนของที่ลักเอาไปให้ทั้งหมด จะขาดไปบ้างก็เล็กน้อย ที่มันเอาไปจำหน่ายขายใช้สอยเสียแล้ว เป็นอันว่าไม่เสียหายไปมากมายอะไร แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตกใจมาแล้วไม่น้อย ต่อมาได้สติเห็นว่าความประพฤติเลอะเทอะอยู่นี้ ก็เท่ากับพร่าความเป็นหนุ่มที่ยังมีอยู่บริบูรณ์ให้หมดเปลืองไปโดยใช่เหตุ นอกจากที่รู้สึกคิดเห็นอย่างนี้แล้ว ยังได้สติอีกอย่างหนึ่งว่า ได้ประพฤติสำมะเลเทเมาจนถึงขีดสุดแล้ว มันจะต้องติดตัวชั่วทรามจมลงไปจนแก้ไม่ไหว หรือมิฉะนั้นก็ตรงกันข้าม คือสนุกจนรู้สึกเบื่อเลิกไปเอง ข้าพเจ้ารู้สึกได้ผลในประการหลัง เพราะเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาแล้วนี้ คือ เห็นความวิบัติมาอยู่เฉพาะหน้า ถ้าต้องยากจนลง ข้าพเจ้าผู้เคยสาละวนอยู่แต่เรื่องความสนุก จะมีอะไรเป็นเครื่องต่อต้านได้เล่า มิเดือดร้อนแสนสาหัสหรือ ถึงตรงนี้ระลึกขึ้นได้ถึงถ้อยคำของพ่อค้าที่กล่าวแก่ข้าพเจ้า ณ หลุมฝังศพของวาชศรพ ว่าถ้าเขาเป็นผู้ที่ท่านวาชศรพโปรดปรานเหมือนข้าพเจ้าแล้ว ในสองสามปีเท่านั้น เขาควรจะเป็นคนมั่งมีที่สุดในกรุงโกสัมพี
ข้าพเจ้าก็ตั้งใจอยู่แล้วว่า จะให้เป็นคนมั่งมีที่สุดในกรุงอุชเชนี เพื่อให้เป็นไปตามความตั้งใจ จึ่งมุ่งไปในทางนำสินค้าบรรทุกเกวียน ไปขายจนสุดกำลังความสามารถ และก็ได้ดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้ วาชศรพผู้เป็นสหายและอาจารย์ของข้าพเจ้า มีสำนักอยู่ในโลกอื่นแล้ว จะได้มาช่วยกิจการค้าด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่กล้ารับรอง แต่ก็มีบางคราวที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าได้ลงมาช่วยเหลือ เพราะการได้เป็นไปสมกับที่วาชศรพได้พูดไว้ ที่วาชศรพสอนวิชาและขนบธรรมเนียมของพวกโจรต่างๆ ให้ข้าพเจ้าทราบ ซ้ำตนเองก็ได้เคยไปร่วมพิธีอันลี้ลับของมัน เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าประกอบการค้าได้ตลอดปลอดโปร่งปราศจากภัยอันตราย ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น ผิดจากตัวข้าพเจ้าแล้ว น่ากลัวจะไม่จำเริญอย่างข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าคุมกองเกวียนกระบวนใหญ่ไปค้ายังเมืองใด หนทางไปตั้งเดือน และไปในทางที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม พ่อค้าคนอื่นไม่กล้าไป แต่ข้าพเจ้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง ค้าขายได้กำไรงามตั้งสิบเท่าในเมืองนั้น เพราะมีผู้ต้องการซื้อมาก ด้วยขาดแคลนของที่ต้องการมานาน ไม่มีใครกล้านำเอาไปขายโดยกลัวถูกตีชิงเป็นอันตราย มิใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้าได้รับความรู้จากสหายข้าพเจ้า ถึงเรื่องดูลักษณะและอุปนิสัยใจคอของราชการตั้งแต่ชั้นสูงตลอดลงมาจนชั้นต่ำ ที่ควรให้กำนัลหรือไม่ให้เพียงไหน จึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ประโยชน์เป็นกำไรเพียงในระยะสองสามปี โดยใช้ความรู้ที่ได้รับไว้เป็นอย่างดี ทำความมั่งมีให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าพอดูอยู่
การได้เป็นไปอย่างนี้ล่วงมาได้หลายปี ระวางเวลาเหล่านั้น ข้าพเจ้าแสวงความสนุกต่างๆ ที่ในกรุงอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าบ้าง ไปค้าต่างเมืองฝ่าอุปสรรคเผชิญภัยบ้าง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปอย่างนี้ นับว่ามีทั้งสบายและลำบาก เมื่อไปถึงเมืองใดข้าพเจ้าก็ไปอยู่กับนางคณิกาในเมืองนั้น โดยปกตินางงามในกรุงอุชเชนีเป็นผู้แนะนำให้นางคณิกาที่ต้อนรับข้าพเจ้า ไม่ใช่จะเป็นเจ้าบ้านสำหรับต้อนรับอย่างเดียว ยังช่วยเหลือในกิจการเป็นผลดีก็บ่อยครั้ง
ความเป็นไปของข้าพเจ้าดั่งนี้ จนอยู่มาวันหนึ่งบิดาข้าพเจ้าเข้ามาหา
ขณะนั้น ข้าพเจ้ากำลังสาละวนเอาครั่งทาริมฝีปาก ช้าๆ นานๆ ก็ตะโกนไปทางหน้าต่างสั่งการแก่คนใช้ ซึ่งกำลังจูงม้าไปผูกอานอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ที่ต้องสั่งกำชับกำชาเพราะต้องการให้เอาเบาะอันอ่อนนุ่มผูกทับอานม้าเป็นพิเศษ สำหรับให้แม่ตางามดั่งตากวางของข้าพเจ้าขี่ เพราะได้นัดกับเพื่อนฝูงทั้งชายหญิงไว้ ว่าจะออกไปเที่ยวที่อุทยานในบ่ายวันนั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 12:39:47 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2557 11:32:41 » |
|
.๑๓. เพื่อนบุณย์ (ต่อ)เมื่อบิดาข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าเคารพรับ และตะโกนเรียกคนใช้ให้จัดหาเครื่องดื่ม แต่ท่านห้ามไว้ ข้าพเจ้าหยิบสีเสียดอบอย่างหอมจากหีบทองส่งให้ ท่านปฏิเสธ คงเคี้ยวแต่หมาก ข้าพเจ้าจึ่งเดาเอาว่า ที่เข้ามาคราวนี้คงจะพูดเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างหนึ่งทำให้รู้สึกไม่สู้สบายใจเลย
ข้าพเจ้ายกม้าให้ท่านนั่งแล้ว ท่านเริ่มพูดว่า "นี่กำลังเตรียมตัวจะไปเที่ยวซิ? ลูกเอ๋ย! เรื่องนี้พ่อไม่ติเตียนดอก เพราะเจ้าเพิ่งกลับมาจากการค้าขายทางไกล ได้รับความเหนื่อยลำบากมากแล้ว ก็เป็นธรรมดาต้องหาความสนุกสบายบ้าง นี่วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหน?"
ข้าพเจ้าตอบว่า "ลูกตั้งใจจะขี่ม้าไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงทั้งหญิงและชาย ไปที่ 'สวนบัวร้อยสระ' แล้วเล่นกีฬาหาความรื่นเริงให้สำราญบ้าง"
บิดา "ก็ดีแล้ว ที่สวนบัวร้อยสระ เวลาบ่ายๆ สบายมาก ต้นไม้บังแดดร่มรื่นเย็นด้วยละอองน้ำ น่าเที่ยวเตร่ ที่จะเล่นกีฬาก็เป็นการดี เพราะเท่ากับฝึกซ้อมกายใจให้สบาย เดี๋ยวนี้การกีฬาที่เขานิยมกันยังเหมือนครั้งเมื่อพ่อยังหนุ่มเขานิยมกันหรือเปล่า?"
ข้าพเจ้า "การเล่น แล้วแต่ใครจะแนะนำขึ้น ถ้าดีก็พร้อมใจเล่นกีฬาอย่างนั้น คราวนี้นิมีแนะนำให้เล่นกีฬาสาดน้ำ" บิดา "พ่อไม่รู้จัก"
ข้าพเจ้า "เห็นจะทราบไม่ได้ เพราะนิมีไปได้ความรู้จากเมืองใต้ ซึ่งเขานิยมกันที่นั่น คือผู้เล่นเอาไม้ซางใส่น้ำพ่นรดกัน ถ้าใครเปียกน้ำมากกว่าเพื่อนก่อนเป็นคนแพ้ เป็นการเล่นที่สนุกมาก แต่ โนลลีย์ แนะนำให้เล่น "กระทุ่ม"
บิดาสั่นศีรษะ บอกว่าไม่รู้จัก
ข้าพเจ้าอธิบาย "เป็นการเล่นที่เขากำลังนิยมอยู่เหมือนกัน คือผู้เล่นในชั้นต้นแบ่งกันเป็นสองพวก เอากิ่งกระทุ่มที่มีดอกช่อสีเหลืองอร่ามดั่งทองเป็นอาวุธต่อสู้กัน ถ้าข้างใดถูกเกสรดอกกระทุ่มติดตัวมากจนเหลืองพราวไป ก็ถูกตัดสินเป็นฝ่ายแพ้ ก็สนุกดีดอก แต่ลูกจะแนะนำให้เล่นการเล่นแต่งงาน"
บิดา "นี่เป็นการเล่นของเก่าดีอยู่ ยินดีมาก ออกจะเห็นว่า เจ้ามีความคิดความอ่านเหมือนอย่างที่เจ้าแนะนำการเล่นชนิดนี้อยู่ขึ้นบ้าง หลุดจากการเล่นชนิดนี้ อีกก้าวเดียวก็ไม่เป็นของยากลำบากอะไรแล้ว"
ถึงตรงนี้ท่านผู้ขยักไว้ แสดงกิริยาเป็นเชิงว่าพอใจ แต่ว่าข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดกระไรๆ อยู่
ท่านพูดต่อไป "การเล่นที่พูดถึงเมื่อกี้นี้ ทำให้พ่อจะปรารภถึงข้อที่มาหาเจ้าในวันนี้ ตัวเจ้าได้เดินทางค้าขายก็หลายหนมาแล้ว จนเกิดมูนพูนผลในกิจการค้าขายใหญ่โตเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาติดปากของใครๆ ในกรุงนี้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่งเจ้าก็หาความสุขในความเป็นหนุ่มตามอำเภอใจมาช้านานแล้ว ทรัพย์สมบัติก็สั่งสมไว้พอแก่ที่จะบำเรอบำรุงตระกูลได้เป็นปึกแผ่น จึ่งเป็นการสมควรที่เจ้าจะตั้งหน้าหาทายาทสืบตระกูลต่อไป เพื่อให้แผนการที่คิดไว้นี้สะดวกแก่เจ้า พ่อได้เลือกหาหญิงตระกูลมาเป็นภริยาเจ้าสำรองไว้แล้ว หญิงคนนั้นเป็นธิดาคนเอื้อยของสญชัยพ่อค้าใหญ่เพิ่งจะแตกเนื้อสาวในเร็วๆ นี้ ดั่งนี้เจ้าจะเห็นได้ว่าเมียที่พ่อจัดหาให้มีตระกูลสมชาติสมเชื้อกันดี เพราะตระกูลของเขาก็มั่งมี มีคนนับหน้าถือตา ญาติพี่น้องทั้งฝ่ายบิดามารดาของนางก็บริบูรณ์ รูปร่างงามหาตำหนิมิได้ ผมดำราวกับแมลงผึ้ง หน้าเปล่งปลั่งดั่งดวงจันทร์ เนตรประหนึ่งตากวาง จมูกแม้นดอกงา ฟันเทียบไข่มุก ริมฝีปากเพียงผลตำลึงสุก เสียงหวานปานนกโกกิลา ขาคือลำกล้วย เอาเหมาะเจาะไม่อวบเกิน เวลาย่างเดินคล่องแคล่วมีสง่าเสมอช้างทรง เพราะฉะนั้นเจ้าจะหาทางตำหนิขัดข้องมิได้เลย"
ที่จริง ข้าพเจ้าจะตำหนิความงามตามที่จาระไนนี้ได้อย่างไร? แต่การชมโฉมนางงาม ยิ่งเป็นบทกลอนเลือกสรรแต่ที่ดีด้วยแล้ว รู้สึกออกจะเอือมไม่ทราบว่าจะตื่นเต้นในความงามได้อย่างไร อีกประการหนึ่ง พิธีแต่งงานจะต้องอยู่กับเจ้าสาวในห้องสามวันเต็มๆ ระวางนั้น ห้ามกินของเผ็ดร้อน ต้องนอนกับพื้น ต้องให้ไฟในเตาติดอยู่เสมอ ทั้งจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้อย่างมั่นคง อย่ามีราคีต่อกันแม้แต่เล็กน้อย เหล่านี้ก็เบื่อแสนเบื่ออยู่แล้ว แต่ที่เบื่อน้อยที่สุดกลับเป็นข้อหลัง คือข้าพเจ้าพอใจจะรักษาความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้ามากกว่าอื่น
ดูก่อน ภราดา มีภริยาที่ไม่ทันจะรู้สึกรักใคร่ ก็ทำให้รักบ้านมิได้ เหลียวดูรอบห้องทั้งสี่ด้าน จะหาความสำราญเจริญใจสักนิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเต็มใจออกเดินทางไปค้ายังเมืองไกลยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อกลับมาชั่วระวางเวลาอยู่ ก็หาทางให้ยุ่งเป็นธุระด้วยการค้าขาย ไม่ค่อยขลุกอยู่กับภรรยาที่ได้กระทำการวิวาห์กันแล้ว เรื่องเป็นอยู่ดั่งนี้ความมั่งมีของข้าพเจ้ายิ่งทวีขึ้น เพียงล่วงมาอีกสองสามปี ข้าพเจ้าเกือบได้ถึงแล้วซึ่งความมุ่งหมายในฝัน คือเป็นคนมั่งมีที่สุดคนหนึ่ง ในกรุงอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
เมื่อมีความสุขอิ่มเอมด้วยทรัพย์ศฤงคารมากมาย สมดั่งความมุ่งหมายแล้วฉะนี้ ความปรารถนาถัดไปในฐานที่เป็นคฤหบดีก็คือมีบุตรธิดา ภริยาข้าพเจ้าในระวางเวลาที่กล่าวนี้มีธิดาสองคนแล้ว นับว่ามีความสุขสบายพอตัว ข้าพเจ้าซื้อที่แปลงใหญ่อยู่นอกเมือง สร้างเป็นอุทยานอันรื่นรมย์สำหรับเที่ยวเล่นหาความสำราญ ท่ามกลางปลูกคฤหาสน์ขนาดใหญ่ เสารับเพดานสำเร็จด้วยศิลาอ่อนทั้งหมด อุทยานนี้นับว่าเป็นสถานที่พิศวงพึงดูอยู่ในกรุงอุชเชนีได้แห่งหนึ่ง แม้แต่พระราชาธิบดีก็เคยเสด็จไปประพาสทอดพระเนตร
ภายในอุทยานอันงดงามนี้ ข้าพเจ้าจัดให้มีการรื่นเริงเลี้ยงดูอย่างมโหฬาร ข้าพเจ้าเริ่มจะนิยมอาหารการกินวิเศษยิ่งขึ้น ไม่ว่าของสิ่งใด ถ้าต้องการ ถึงจะนอกฤดูกาลที่จะได้ยากแสนเข็ญ ก็ต้องจัดหามาจนได้ จะต้องเสียเงินทองซื้อมากมายสักเท่าไรไม่เสียดายเลย เวลานั้น ร่างกายข้าพเจ้าไม่ผอมซีดเหมือนกับที่ครองตนเป็นนักบวช ยาตราไปตามแนวป่าแต่โดดเดี่ยวอย่างที่เห็นอยู่เวลานี้ ครั้งนั้นยังอิ่มเอิบสมบูรณ์ดีอยู่ทุกอย่าง
ดูก่อนท่านอาคันตุกะ อาศัยการอุปโภคบริโภคล้วนประณีตเห็นปานนั้น จนมีคำติดปากชาวอุชเชนีว่า "อาหารเลี้ยงวิเศษเหมือนของกามนิต" ด้วยประการฉะนี้.ดูก่อนภราดา อันศานติสุข ย่อมไม่มีขึ้นภายในเคหสถานข้าพเจ้า๑๔. ผู้เป็นสามี เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเดินไปเดินมากับหัวหน้าคนทำสวน เพื่อตบแต่งแก้ไขสวนให้ดีขึ้นอีก บิดาข้าพเจ้าขี่ลาแก่ของท่านเข้ามาในลาน
ข้าพเจ้ารีบออกไปรับ เพื่อช่วยท่านลงจากหลังลา แล้วจะได้พาเข้าไปในสวน เชื่อว่าท่านจะได้ไปชมดอกไม้งามๆ ที่มีอยู่ในนั้น แต่ท่านสมัครไปพักในห้องแรก ข้าพเจ้าเรียกคนใช้ให้ยกเครื่องน้ำมาเลี้ยงดู ท่านปฏิเสธ บอกว่าต้องการจะพูดอะไรกับข้าพเจ้า ไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน
ข้าพเจ้ารู้สึกออกหนักใจ ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นอีก จึ่งนั่งลงบนม้าต่ำข้างท่าน
ท่านเริ่มพูดมีหางเสียงเอางานเอาการอยู่ว่า "ลูกรัก เมียเจ้ามีลูกเป็นผู้หญิงมาแล้วถึงสองคน ท่าทางต่อไปเห็นจะไม่ได้ลูกชายเสียแล้ว อันบุคคลที่ไม่มีบุตรสำหรับทำการพลีบูชาทักษิณานุประทาน ในเวลาเมื่อตายไปแล้ว จะต้องรับทุกข์ทรมานสาหัส ที่เขาว่ากันนี้ เป็นความจริงอยู่มาก พ่อไม่ได้ติเตียนเจ้าหรอก" ที่ท่านพูดแถมท้ายไว้นี้บางทีจะสังเกตเห็นข้าพเจ้าทำกิริยากระสับกระส่าย อันที่จริงเรื่องไม่มีลูกชาย ก็ยังไม่เห็นว่าจะมาติเตียนข้าพเจ้าได้อย่างไร แต่เมื่อท่านได้แสดงความกรุณาดั่งนี้ ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกขอบคุณ จึ่งก้มไปจูบมือท่าน
ท่านพูดต่อไป "เรื่องนี้ต้องติพ่อจึ่งจะถูก เพราะเป็นผู้เลือกหาเมียให้เจ้า มัวไปละเมอเพ้อฝันเอาแต่เรื่องมั่งมีซู่ซ่าทางโลกีย์เสียหมด หาได้ดูลักษณะของผู้หญิงเป็นที่ตั้งไม่ บัดนี้ พ่อนึกหาผู้หญิงไว้ได้คนหนึ่งแล้ว ถึงว่าจะไม่ใช่เป็นคนอยู่ในตระกูลมั่งมีอะไรนัก หรือจะพูดว่าถึงความสวยงาม ผู้เคยพบชนมาเหลือเฝือ ก็จะบอกว่าไม่สู้สวยผุดผาดนัก แต่แม้จะบกพร่องในข้อข้างต้นนี้จริง ก็มีลักษณะกัลยาณีอื่นๆ มาชดเชย คือ มีสะดือลึกบิดไปทางขวา ฝ่ามือฝ่าเท้ามีลายดอกบัว ลายโกศ และมีไฝเป็นรูปกงจักร เส้นผมละเอียดตรง เว้นเสียแต่ที่ต้นคอหยิกไปทางขวาเสียสองปอย หญิงมีลักษณะอย่างนี้ปราชญ์บอกว่าจะมีลูกเป็นผู้ชายที่แกล้วกล้าสามารถถึงห้าคน"
ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านทราบว่าพอใจทุกอย่าง กล่าวคำขอบคุณท่านที่เมตตากรุณา แล้วบอกท่านว่า จะจัดการเรื่องนี้เสียทันทีก็ได้ ไหนๆ เรื่องมันจะต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ท่านตกตะลึงถึงกับเปล่งอุทานว่า "อะไร? ทันทีเทียวหรือ? ผ่อนเรื่องใจร้อนของเจ้าให้เบาลงบ้างเถิด ฤดูนี้พระอาทิตย์กำลังเดินปัดไปทิศใต้ ถ้าพระอาทิตย์เบนกลับสู่ทิศเหนือ รอให้ตกกลางเดือน พระจันทร์เต็มดวง จึ่งค่อยหาวันฤกษ์งามยามดีจัดการกัน เมื่อยังไม่ถึงเวลา ต้องระงับใจไว้ก่อน ลูกเอ๋ย! มิฉะนั้นลักษณะของหญิงที่ว่าทั้งหมด จะเกิดผลเป็นโชคดีแก่เราได้อย่างไร?"
ข้าพเจ้ารับรองท่านว่าไม่ต้องวิตก พออดใจไว้ได้ตลอดเวลาที่คอย และจะยอมตามที่ท่านแนะนำทุกประการ ท่านก็ดีอกดีใจว่าข้าพเจ้าเป็นลูกมีความเชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย อำนวยพรข้าพเจ้าแล้ว จึ่งยอมให้นำน้ำมาเลี้ยงดูกัน
วันที่ข้าพเจ้าร้อนใจเร่งให้ถึงเร็วก็มาถึง เลือกวันเวลาเป็นมงคลได้แล้วก็ทำพิธีแต่งงาน พิธีคราวนี้ออกจะมากมายนานเวลาน่าเบื่อเหลือเกิน ต้องเสียเวลาท่องบ่นมนต์ที่จำเป็นในพิธีกว่าจะจำได้กินเวลาถึงสิบสี่วัน เวลาเข้าพิธีมณฑลเกี่ยวประสานมือกับเจ้าสาวที่ในบ้านบิดาหญิง รู้สึกอึดอัดใจตัวสั่นพิลึก กลัวจะว่ามนต์ผิดๆ พลาดๆ หรือทำท่าไม่ถูกแบบ เพราะพลาดท่าพลั้งทีไป บิดาข้าพเจ้าจะไม่ยอมยกโทษให้เลย กำลังตกประหม่า จักแหล่นจะลืมเคล็ดสำคัญ คือควรที่จะจับแต่นิ้วแม่มือเจ้าสาว เกือบจะไปรวบเอาหมดทั้งห้านิ้ว ซึ่งทำเช่นนั้นเขาถือกันว่าจะได้ลูกผู้หญิง เผอิญจะไม่เสียขวัญ ที่ฝ่ายผู้หญิงยังมีสติอยู่กับตัวจึ่งยื่นแต่นิ้วแม่มือมาให้จับ
ข้าพเจ้าสะทกสะท้านจนเหงื่อออกโชกตัว ในขณะถึงพิธีเทียมโคเข้าแอก สำหรับเดินทางกลับ แต่ก็คุมสติจัดทำไปได้ตลอด ส่วนเจ้าสาวนำกิ่งไม้ที่มีผลมาเสียบไว้ที่แอก เสร็จแล้วข้าพเจ้าต้องว่ามนต์อีกบทหนึ่ง หลุดรอดตัวมาได้พ้นทุกข์พ้นยากไปที
เดินทางพากันกลับบ้าน ไม่ประสบเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ร้อยแปดอะไรอีก เพราะในเรื่องเช่นนี้ คนไม่มีโชคดีมักประสบวิปริตเสมอ มาถึงประตูบ้าน พราหมณีสามนางสรรมาเฉพาะผู้มีชื่อเสียงดี มีลูกเป็นชายและสามียังมีชีวิตครองกันอยู่ เข้าไปพยุงเจ้าสาวออกจากเกวียน เรื่องเพียงนี้ดูก็เรียบร้อยดี แต่ขอให้คิดดูเถิด เรื่องล่วงเลยมาถึงเพียงนี้นึกว่าตลอดรอดฝั่งแล้ว บังเอิญเจ้าสาวเวลาก้าวเข้าไปในบ้าน ที่อื่นมีถมไปไม่เหยียบ จำเพาะไปเหยียบเอาธรณีประตูเข้า ข้าพเจ้าใจหายวาบ! ทำไมหนอในเวลานั้นจึ่งไม่คิดเห็นว่า ถ้าจะอุ้มเจ้าสาวไปวางให้พ้นธรณีประตูเสียหน่อยจะไม่ได้หรือ? ตอนเหยียบธรณีประตูเมื่อจะย่างเข้าบ้าน ก็นับว่าอัปมงคลพออยู่แล้ว ซ้ำข้าพเจ้าเองก็ลืมเข้าประตูข้างขวาผู้หญิง และจะต้องเข้าก่อนเสียด้วย เคราะห์ข้าพเจ้ายังดีอยู่หน่อย ที่ผู้เฒ่าผู้แก่บิดาข้าพเจ้าเป็นต้น ไปมัวตกอกตกใจด้วยเรื่องเหยียบธรณีประตูกันเสีย เรื่องที่ข้าพเจ้าทำผิดท่า จึ่งไม่มีใครถือเป็นอารมณ์นัก
เข้าไปในบ้าน ข้าพเจ้าต้องไปยืนอยู่กลางห้อง ข้างซ้ายของเจ้าสาว เบื้องบนหนังโคแดงทั้งตัว เอาด้านมีขนขึ้นไว้ข้างบน และหันศีรษะโคไปทางตะวันออก ตอนนี้บิดาข้าพเจ้าเที่ยวหาผู้ชายที่มีลักษณะเป็นพิเศษ หาอยู่นาน จึ่งได้เด็กคนหนึ่ง มีพี่น้องเป็นผู้ชายทั้งหมดไม่มีผู้หญิงเลย ซ้ำยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งนั้น บิดาเด็กคนนี้ก็มีพี่น้องล้วนเป็นผู้ชาย ปู่ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน แต่ต้องหาหลักฐานยืนยันกันอยู่นาน จึ่งได้ความแน่นอนว่าเป็นจริงตามนั้น เด็กคนนี้เขานำมาให้นั่งตักเจ้าสาว ที่ข้างตัวเจ้าสาวมีถาดทองแดง ลอยดอกบัวเก็บเอามาจากบึง เจ้าสาวจะต้องให้เด็กนั้นกอดอก และจุ้มลงไปในถาด กำลังเตรียมการไว้เสร็จ เหลียวหาเด็กไม่พบ ไม่ทราบว่าหนีไปไหนเสียแล้ว ต้องเที่ยวหากันอยู่นาน จึ่งไปพบมุดนอนเล่นอยู่ในกองพิธีบูชาเสียกระจุยกระจาย ต้องจัดแจงทำที่บูชากันอีก คือจะต้องตัดหญ้าคาในเวลาพระอาทิตย์อุทัยมาปูลาด แต่คราวนี้เสียพิธี ก็ต้องตัดเอามาใหม่ เป็นอันไม่ได้ตรงตามตำรา ส่วนเด็กก็ต้องหามาใหม่ แต่ได้มาสู้คนเก่าไม่ได้ เมื่อพิธีต่างๆ มาเกิดอุปสรรคขึ้นดั่งนี้ บิดาข้าพเจ้ามีอาการไม่สู้ดี เพราะที่นึกหวังไว้มาผิดคาดไปหมด กลัวว่าท่านจะเจ็บป่วยล้มตายลงในเวลานั้น เพราะจะเป็นตายอย่างไร ท่านไม่ยอมให้เสียพิธีเป็นอันขาด เคราะห์ดีที่คราวนั้นท่านไม่เป็นอะไร แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้านึกปฏิญญาสาบานกับตัวเองว่าเป็นไม่ขอแต่งงานเข้าพิธีอีก
ถึงที่สุดเสร็จพิธีแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่เป็นปกติกับภริยาถึงสิบสองคืน - อยู่กับภริยาซึ่งมีรูปโฉมตามที่ท่านบิดาพรรณนา ก็ต้องขี้เหร่ไม่น้อย ข้าพเจ้าจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ตามพิธี ต้องถือศีลอดอาหารให้มั่นคง และนอนกับพื้น กำหนดไว้สิบสองวัน เพราะบิดาข้าพเจ้าเห็นว่าให้มากวันไว้เป็นดี เผื่อเหลือเผื่อขาด จะได้พ้นภัยไม่มีการขาดตกบกพร่องในพิธี แต่ทว่าทำความเดือดร้อนให้แก่ข้าพเจ้าไม่น้อย เพราะต้องอดอาหารดีๆ ที่เคยรับประทานอย่างเอมโอช อย่างไรก็ดี ตามกำหนดที่ถูกทรมาน เป็นอันว่าข้าพเจ้าทนได้ตลอดรอดไปไม่ตาย มีชีวิตความเป็นไปปกติเท่าเดิม แต่ว่ามีผลต่างกันมาก จริงอยู่ ผู้มีภริยาคนหนึ่งแล้วจะมีอีกสักกี่คนก็ไม่ประหลาดอะไร แต่เรื่องมันหาได้ราบรื่นด้วยไม่ กล่าวคือภริยาคนแรกของข้าพเจ้า มักจะเป็นผู้สงบหงิม ติดจะโง่เซ่อมากกว่าอย่างอื่น ส่วนภริยาคนที่สองมีลักษณะตรงกันข้ามหมด นับว่าข้าพเจ้ามีทั้งน้ำทั้งไฟ มีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ ธรรมดาของทั้งสองอย่างนี้อยู่ตามลำพังก็ดีหรอก เมื่อเข้าใกล้กันก็เกิดอาการฟู่ๆ
เพราะฉะนั้นนับแต่วันแต่งงานแล้วเป็นต้นมา ในบ้านข้าพเจ้ามีเสียงฟู่อยู่เสมอ ขอให้คิดดูเถิด พอภริยาคนที่สองมีบุตรเป็นผู้ชายเพียงคนแรก ในจำนวนห้าคนที่ทำนายไว้ ภริยาคนที่หนึ่งก็เป็นเดือดเป็นแค้น หาว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการให้นางมีบุตรชายละเลยพิธีบูชาต่างๆ ตามประเพณีเสีย ด้วยเจตนาจะมีภริยาใหม่ ภริยาที่สอง เมื่อเห็นภริยาที่หนึ่งมีอาการเช่นนั้น ก็ทำกิริยามีวาจาเยาะเย้ย คราวนี้เกิดมงคลขนานใหญ่ เกิดทะเลาะกัน ต่างแย่งกันเป็นใหญ่ ข้างภริยาที่หนึ่งอ้างว่าตนเป็นหลวง เพราะได้อยู่กินกับข้าพเจ้าถูกต้องตามประเพณีมาก่อน ฝ่ายภริยาที่สองก็ว่าตนควรเป็นหลวง เพราะมีบุตรเป็นผู้ชายสำหรับสืบตระกูล เรื่องนี้เท่านี้นับว่าเดือดร้อนพอๆ อยู่แล้วแต่ยังมีร้ายยิ่งกว่านั้น วันหนึ่งภริยาคนที่สองตึงตังเข้ามาหาข้าพเจ้า เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด บอกว่าภริยาคนที่หนึ่งจะวางยาพิษฆ่าลูกชายของตน เพราะฉะนั้น ขอให้ไล่ไปอยู่เสียที่อื่น อันที่จริงบุตรชายข้าพเจ้ากินขนม แล้วมีอาการจุกเสียดขึ้นตามธรรมดาเท่านั้น หาใช่ถูกยาพิษยาสั่งอะไรไม่ ข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวติเตียนภริยาที่สอง ว่าไม่ควรใจเร็วใส่ความเขาโดยเข้าใจผิดๆ นับว่าเรื่องสงบไปได้ตอนหนึ่งละ ทีนี้ไม่ทันไร ภริยาคนที่หนึ่งก็มาฟ้องว่า ถ้าหญิงกาลกรรณี คือภริยาคนที่สองขืนอยู่ในบ้าน ลูกหญิงทั้งสองของนางเห็นจะมีชีวิตไม่ยืนแน่นอน เพราะเขาต้องการจะฆ่าให้ตาย มรดกทั้งหมดจะได้ตกแก่ลูกผู้ชายเขาคนเดียว
อันศานติสุข ย่อมไม่มีขึ้นภายในเคหสถานข้าพเจ้าด้วยประการฉะนี้แล้ว ดูก่อนภราดา ถ้าหากว่าเป็นการบังเอิญ ท่านได้ผ่านไปทางบ้านท้องนาของพราหมณ์ผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดไปเล็กน้อย แล้วได้ยินภริยาของพราหมณ์นั้นสองคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน เสียงตะโกนด่ากันเปิงๆ อยู่ในบ้าน ท่านก็คงผ่านเลยบ้านนั้นไปเสีย
ส่วนเรื่องข้าพเจ้า ก็ต้องสารภาพว่า มีอาการอย่างที่กล่าวนั้นแทบทุกวันคืน จนใครๆ ในกรุงอุชเชนีพูดติดปากว่า "ทั้งสองรักใคร่กันดีราวกับภริยากามนิต".
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 13:29:44 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 08 กันยายน 2557 18:32:56 » |
|
.๑๕. ภิกษุโล้นดูก่อนภราดา เสียงที่พูดนั้น คือเสียงองคุลิมาลมหาโจรนั่นเอง! แน่เสียกว่าแน่ พฤติการณ์ในบ้านข้าพเจ้า เป็นไปดั่งที่เล่ามา อยู่มาวันหนึ่งในตอนเช้า ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องใหญ่ อันเป็นด้านที่ร่มเย็นของบ้าน จัดเอาไว้สำหรับเป็นสำนักงานทำกิจการค้าขายส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ เหตุนี้ ห้องนั้นจึ่งหันหน้าไปทางลานบ้าน เพื่อจะได้มองเห็นคนงานด้วยตนเองตลอด ข้างข้าพเจ้ามีคนใช้ยืนคอยรับใช้อยู่หนึ่งคน คนใช้คนนี้เป็นที่เชื่อถือไว้ใจของข้าพเจ้ามาก ได้ติดสอยห้อยตามไปเมืองต่างๆ อันเนื่องด้วยการค้านับเวลาได้หลายปี แต่ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังบงการแก่คนใช้ในเรื่องจะแต่งเกวียนไปค้ายังเมืองที่อยู่ไกลสักหน่อย ได้อธิบายถึงวิธีที่จะจำหน่ายของ แล้วจัดหาสิ้นค้ากลับเอามาขายและเรื่องอื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่ต้องสั่งกันมากมาย เพราะจะใช้คนใช้เป็นคนคุมไปเองโดยสิทธิ์ขาด
อันที่จริง ข้าพเจ้าน่าจะเดินทางท่องเที่ยวไปเสียให้ไกล เพราะบ้านก็ไม่เป็นบ้าน หาความสงบสุขไม่ได้แล้ว แต่ว่าคุ้นต่อความอุดมสมบูรณ์ต่อการกินอยู่เสียแล้ว ออกจะเบื่อๆ ไม่อยากเดินทางไปไกลให้เหนื่อยยากลำบาก หาอาหารกินก็ไม่ได้สะดวก แม้จะไปถึงกำหนดที่หมาย ได้รับความพอใจอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องมีเหตุอื่นที่จะทำให้ลำบาดกเดือดร้อนเหมือนกัน สู้อยู่กินที่บ้านดีกว่า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงให้คนใช้ที่สนิทเป็นหัวหน้าคุมเกวียนไปเอง ส่วนข้าพเจ้ายังคงอยู่ในกรุงอุชเชนี
เรื่องเป็นอย่างนี้แหละ ดั่งที่ได้กล่าวไว้ คือข้าพเจ้ากำลังสั่งการแก่หัวหน้าผู้จะคุมเกวียนไป - สั่งกันเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะนั้นได้ยินภริยาสองคนทะเลาะกันขรม แผดเสียงมาจากที่ลานบ้าน รู้สึกว่าดังมากขึ้นทุกที ผิดกว่าปกติ สังเกตตามหางเสียงที่ลอยลมมา ดูเหมือนจะไม่ยุติสงบลงได้ง่ายๆ ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญเหลือทน ถอนหายใจ ลุกขึ้นไปดูทางหน้าต่าง มองไม่เห็นตัว เดินกัดฟันออกมาทางลานบ้าน
ข้าพเจ้าเห็นภริยาทั้งคู่ยืนอยู่ที่ประตูนอก แต่ไม่ใช่ทะเลาะกันอย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจ นับว่าครั้งนี้เป็นคราวแรกที่ภริยาทั้งสองของข้าพเจ้าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ คือกำลังช่วยกันระดมด่าชายขอทานคนหนึ่ง ชายขอทานผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เป็นพวกนักบวชเร่ร่อน ยืนรอเอามือข้างหนึ่งพิงเสาประตู ทนฟังผรุสวาทที่พลั่งๆ ออกไปราวกับน้ำไหลอยู่ได้ จะเป็นด้วยเรื่องอะไรจึ่งมาเอ็ดตะโรเอาชายคนนี้ ข้าพเจ้าสอบสวนไม่ได้ความ บางทีจะเป็นเพราะว่าเห็นชายคนนั้นเป็นหมันเสียแล้ว ไม่เป็นผู้ยังพืชพันธุ์ให้บังเกิดผล นับว่าเป็นศัตรูของสตรี เป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ภริยาข้าพเจ้าจึ่งแร่ใส่ชายคนนั้นราวกับพังพอนเห็นงูเห่า
"ออกไป เจ้าชีโล้น! คนถ่อยไม่มียางอาย! ดูท่าทางยืนซิ ไหล่ทรุดดูโซ น่าทุเรศ อย่างกับลาแก่ที่ปลดออกจากบังเหียน ปล่อยโซไว้ที่กองมูลฝอยข้างลานบ้าน เที่ยวสอดส่ายสูดหาเดนกาก ออกไป เจ้าหัวขโมยหน้าด้านไม่มียาง!"
วาจาที่กล่าวดั่งนี้ แสดงว่าเป็นถ้อยคำเกลียดชังของหญิงผู้เป็นมารดา ชายผู้นี้คงเป็นภิกษุในลัทธิศาสนานิกายใดนิกายหนึ่ง มีรูปร่างสูงใหญ่ผิดปกติ ยังยืนนิ่งเอาแขนพิงเสาเฉยอยู่อย่างสบายใจ เครื่องนุ่งห่มของชายคนนั้นเป็นสีเหลืองอย่างสีดอกกรรณิการ์ ไม่ผิดอะไรกับสีเครื่องนุ่งห่มของท่านนี่แหละ คลุมห้อยเป็นกลีบๆ น่าดู ตั้งแต่ไหลซ้ายคลุมแนบไปถึงขา ทำให้เห็นรูปร่างภายในได้ถนัดว่าแข็งแรงล่ำใหญ่ ส่วนแขนขวาห้อยลงมาไม่มีผ้าคลุม มีกล้ามเนื้อเป็นสันขนาดใหญ่ อดชมไม่ได้ว่าสมลักษณะเป็นนักรบมากกว่าผู้ถือเพศเป็นนักบวช ส่วนมือที่ประคองบาตรดินก็อวบใหญ่ ควรจะถือพลองเหล็กมากกว่า ศีรษะก้มมองดูพื้นอย่างสำรวม ปากมีอาการสงบ ยืนนิ่งดูประหนึ่งว่าเป็นรูปหินที่นายช่างบรรจงสลัก อันข้าพเจ้าสั่งให้มาตั้งไว้ที่หน้าประตูฉะนั้น
ความสงบเสงี่ยมของนักพรตผู้นี้ ภริยาข้าพเจ้าเข้าใจเสียว่าเป็นมายาตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ยิ่งทวีความเกลียดชังหนักขึ้น เกือบๆ จะเป็นเรื่องถึงผลักไสกัน หากข้าพเจ้าเข้าไปขวางกั้นเสียทัน ตำหนิโทษที่ภริยามีวาจาโหดร้าย และไล่ให้กลับเข้าไปในบ้านแล้วข้าพเจ้าออกไปก้มแสดงความเคารพต่อนักบวชผู้นั้น วิงวอนว่า
"ข้าแต่ท่านผู้ควรบูชา ขอท่านอย่าได้ถือเรื่องผู้หญิงสองคนนี้เป็นอารมณ์เลย เพราะเป็นคนไม่มีปัญญาความรู้ เพียงสองลัดนิ้วมือก็ไม่ถึง ที่กล่าวไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบได้ดีว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ขอพระเป็นเจ้าอย่าได้ถือเลย ข้าพเจ้าจะถวายอาหารอย่างดีที่มีอยู่ในบ้านแก่ท่าน นับว่าโอกาสดีที่บาตรยังว่างเปล่าอยู่ ข้าพเจ้าจะขอถวายให้เต็มจุใจแก่ที่จะทำบุณย์และนับว่าท่านผู้ควรบูชามาไม่ผิดบ้าน เพราะจะได้เสพอาหารที่มีรส ขึ้นชื่อว่าเรื่องอาหารแล้ว ที่ในกรุงนี้มักพูดติดปากกันว่า "วิเศษเหมือนกับของกามนิต" และตัวข้าพเจ้าก็คือกามนิตนั่นเอง ข้าพเจ้าหวังว่าพระเป็นเจ้าจะไม่โกรธเคืองในเรื่องที่เป็นมาแล้ว และสาปสรรครอบครัวข้าพเจ้า”
นักบวชผู้นั้นตอบฉันเมตตาจิตว่า "ดูก่อนคฤหบดี อาตมามีความเป็นอยู่อย่างนี้ จะรู้สึกโกรธเคืองต่อผรุสวาทได้อย่างไร เพราะหน้าที่จะมีความอดทนแม้ในสิ่งที่ยิ่งกว่านี้ คราวนี้เป็นครั้งแรกที่อาตมาเข้ามาภิกขาจารในกรุง แต่มารดลใจให้พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายกลับเกิดใจ จงเกลียดจงชังต่อคณะสงฆ์ ด่าว่าขับไล่มาตลอด บางครั้งเมื่อเดินมาตามทางก็ถูกขว้างปา ได้รับความเจ็บปวดถึงกับโลหิตตกและบาตรแตก จีวรขาดก็เคยมี เมื่ออาตมากลับไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้มีความอดทนมั่นๆ ไว้ เพราะอาตมาทำอกุศลกรรมมาแล้วมากนัก จึ่งสมควรจะอดทนรับวิบากเพื่อลบล้างกรรมเหล่านั้นเสีย"
ข้าพเจ้าได้ยินหางเสียงที่นักบวชผู้นี้พูดคราวแรก ก็สะดุ้งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ยิ่งได้ฟังนานชัดเข้า ก็ยิ่งตกใจแทบผงะหงาย รู้สึกกระทุ้งเยือกเข้าไปถึงหัวใจ ดูก่อนภราดา เสียงที่พูดนั้น คือเสียงองคุลิมาลมหาโจรนั่นเอง! แน่เสียกว่าแน่ ครั้นเมื่อข้าพเจ้าค่อยเหลือบมองพิจารณาดูหน้า ถึงว่านักบวชผู้นั้นจะโกนผมและหนวดเคราเสียเกลี้ยง ข้าพเจ้าก็ยังจำได้มั่นเหมาะว่าองคุลิมาล ยังจำได้เมื่อครั้งโน้นว่ามีหนวดรุงรัง จ้องตามาดูข้าพเจ้าด้วยความโกรธแค้น อย่างจะกินเนื้อข้าพเจ้าเสีย มือที่อุ้มบาตรก็จำได้ดีว่าเป็นมืออันล่ำสัน ซึ่งครั้งหนึ่งเกือบจะได้เค้นคอข้าพเจ้า
ท่านนักบวชน่ากลัวของข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี อาตมาจะโกรธต่อผรุสวาทได้อย่างไร เพราะพระศาสดาได้ตรัสสอนว่า "ดูก่อนสาวกทั้งหลาย แม้ร่างกายจะถูกโจรผู้ร้ายเลื่อยขาดออกเป็นสองท่อนๆ ก็ดี ถ้ายังมีโทสะอยู่ก็ยังไม่ถึงทางที่จะปรารถนา"
ข้าแต่ภราดา เมื่อข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำอย่างนี้ เห็นเป็นอุบายจะให้ตายใจ ถึงกับยืนขาสั่น ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ต้องถอยไปพิงกำแพงยันไว้ไม่ให้ล้ม
ข้าพเจ้าพยายามข่มกายใจให้เป็นปกติ พูดเสียงกระเส่ากระอ้อมกระแอ้มได้สองสามคำว่านิมนต์อยู่ก่อน กว่าจะได้จัดอาหารเสร็จออกมาถวาย
พูดแล้ว ข้าพเจ้ารีบกะโผลกกะเผลกเข้าไปในลานบ้าน ตรงไปที่ครัวใหญ่ซึ่งเวลานั้นจวนจะเที่ยง กำลังเขาจัดอาหารต้มทอดกันขลุกอยู่ ข้าพเจ้าเข้าไปถึง เลือกอาหารที่นับว่าอร่อยที่สุด จัดให้คนยกตามออกมา ส่วนข้าพเจ้าถือทัพพีทอง เดินนำหน้าปราดไปทางลานบ้าน เพื่อทำบุณย์ให้อาหารเอาใจผู้ซึ่งเป็นแขกน่ากลัวของข้าพเจ้า
แต่องคุลิมาล หายไปเสียแล้ว !ครั้นได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ไปด้วย ก็แผดเสียงร้องไห้กันใหม่อีก ถึงกับคุกเข่าอ้อนวอนดึงเสื้อผ้าข้าพเจ้าร้องขอให้ไปด้วย ๑๖. เตรียมรับมือ ข้าพเจ้าหน้ามืดแทบเป็นลมต้องทรุดนั่งลงบนม้า ใจปั่นป่วนด้วยความวิตกวิจารณ์ต่างๆ ขึ้นทันที องคุลิมาลมาถึงที่นี่ ข้อนี้ไม่มีเหตุควรสงสัย เหตุที่มา ข้าพเจ้าก็เห็นอยู่แจ่มแจ้ง เพราะเรื่องผูกพยาบาทขององคุลิมาลได้ยินเขายืนยันกันมาหลายครั้งนัก ว่าถ้าลงได้พยาบาทแล้ว ต้องแก้แค้นให้จงได้ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้านับว่าเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่ไปฆ่าเพื่อนรักเพื่อนใคร่ของมัน ถึงข้าพเจ้าเคยอยู่กับพวกโจรอย่างสนิทสนมมาแล้วก็ตาม สัญชาติโจรจะไว้ใจว่าเคยคบค้าสมาคมกันมาแล้วไม่ทำอันตรายนั้น เป็นอันไว้ใจไม่ได้เลย ครั้งที่ตกไปเป็นเชลยโจร องคุลิมาลฆ่าข้าพเจ้ายังไม่ได้ เพราะผิดกฎของโจร พวก ‘ผู้ส่ง’ และจะทำให้มันเสียชื่อเสียงในระวางโจรอันลบล้างไม่หาย เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ มันอุตส่าห์ลอบเดินทางจากถิ่นไกลเข้ามาถึงเมืองนี้ ก็คงต้องการมาแก้แค้นเป็นแน่ ที่ปลอมตัวเป็นนักบวชเข้ามาจะได้สืบสวนตรวจดูลู่ทางได้สบายอย่างไรเสียก็คงมารับมือกับข้าพเจ้าในคืนนี้ ถ้าหากมันจะจับกิริยาข้าพเจ้าได้ว่าจำตัวมันได้ มันก็คงไม่รอช้า เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายปลายเดือนมืด ถ้าช้าไปอีกคืนอันย่างเข้าข้างขึ้นของเดือนใหม่ ขืนเข้ามาทำร้ายก็เป็นการฝ่าฝืนกฎของโจร และเจ้าแม่กาลีที่ดุร้ายชอบแต่เลือด ก็จะพิโรธบันดาลเหตุร้ายตกแก่มัน
ข้าพเจ้าสั่งให้ผูกอานบังเหียนม้าตัวฝีเท้าดีที่สุด ขี่ห้อไปยังพระราชวังทันที ข้าพเจ้าอาจเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินได้สะดวกไม่ว่าเวลาไหน แต่พลาดโอกาส เพราะองค์มิได้ประทับในวัง เสด็จไปล่าเนื้อประทับแรมเสียในท้องถิ่นไกล จึ่งจำเป็นต้องหันไปหาเสนาบดี เผอิญเสนาบดีนั้น ก็คนเดียวกับที่เป็นราชทูตไปกรุงโกสัมพี ครั้งที่ข้าพเจ้าอาศัยตามไปด้วย และท่านต้องจำได้ว่าในตอนกลับข้าพเจ้าหามากับท่านไม่ คราวที่ข้าพเจ้าปฏิเสธไม่เข้าในกระบวนท่าน นับแต่วันนั้นตลอดมา ท่านออกจะไม่ชอบหน้าข้าพเจ้านัก สังเกตได้จากกิริยาที่พบปะกันก็หลายหน ทั้งความเป็นไปอย่างเอ้อเฟ้อแห่งข้าพเจ้า ก็ได้ยินมาเข้าหูอยู่บ่อยๆ ว่า ท่านติเตียนอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น การนำเรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาร้องเรียนนี้ถึงไม่สู้ถูกอารมณ์ท่านก็จริง แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะมาร้องเรียนได้อยู่ อันจะชอบอัธยาศัยหรือขัดอัธยาศัยท่านนั้นก็ตามที
ข้าพเจ้าแจ้งเรื่องที่เป็นมาแล้ว ที่ลานหน้าบ้านให้ท่านทราบโดยย่อแต่ว่าแจ่มแจ้งดี แล้วแถมท้ายเป็นทีร้องขอให้รู้อยู่ในตัวว่า ถ้าได้ทหารสักกองหนึ่งไประวังการณ์ ก็จะได้ประโยชน์สองต่อ หนึ่งป้องกันทรัพย์สมบัติของพลเมืองให้พ้นจากโจรภัย และสองอาจจับโจรผู้ร้ายได้ด้วยหลายคน ชอบแก่ราชการ
ท่านเสนาบดีนิ่งฟัง ทำยิ้มอย่างไรพูดไม่ถูกตอบว่า
"กามนิต เกลอแก้ว ฉันยังไม่ทราบว่า จะเป็นเพราะเสพสุราเข้าไปมากมาแต่เช้า หรือว่าผลที่เลี้ยงดูกันอย่างรื่นเริง ถึงกับลือติดปากคนในกรุงอุชเชนี คราวใดคราวหนึ่งยกยอดติดเนื่องมากระทั่งเวลานี้ หรือไม่ก็เครื่องย่อยภายในปรวนแปรลง เพราะกินเลี้ยงของแสลงกันมากมายไม่รู้จักขยักยั้ง ทำให้ผันร้ายสติวิปลาส เป็นกลางค่ำกลางคืนก็ควรที่ นี่กลางวันแสกๆ เสียด้วยที่ท่านฝันไป ใครๆ ก็รู้ทั่วแผ่นดินว่าองคุลิมาลนั้น ละชีวิตไปอยู่นรกเสียนมนานแล้ว เรื่องที่มาเล่าให้ฟัง จึ่งออกจะเป็นฝันเมื่อธาตุพิการมากกว่าอื่น"
ข้าพเจ้าเถียงเสียงแข็งว่า "ก็เรื่องที่ว่าองคุลิมาลตาย เป็นแต่ข่าวลือเหลวไหล ใครๆ ก็ทราบทั้งนั้น"
ท่านเสนาบดีค้านทันที "ไม่ใช่เหลวไหล เสียใจ ได้ยินมากับหูรู้ด้วยตาแท้ๆ สาตาเคียรได้เล่าให้ฉันฟังเองว่าองคุลิมาลถูกทรมาน ตายเสียในคุกมืดใต้ปราสาท และฉันยังได้เห็นหัวของมัน ที่เขาเสียบประจานไว้ทางประตูเมืองด้านตะวันออก!”
ข้าพเจ้า "หัวที่เสียบไว้จะเป็นหัวองคุลิมาลหรือมิใช่ไม่ทราบ ที่ทราบได้แน่นั้น เมื่อสักชั่วโมงเศษที่ล่วงมา ข้าพเจ้าได้เห็นหัวองคุลิมาลยังติดอยู่บนคอเรียบร้อยดี ที่จริงท่านเสียอีกที่ควรจะขอบใจข้าพเจ้าที่นำโอกาสมาให้"
"ฆ่าคนที่ตายแล้ว! ให้เขาหัวเราะเยาะเล่น ขอบใจมาก"
"อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยข้าพเจ้าต้องขอร้องท่านให้ระลึกไว้ว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงทรัพย์สมบัติเล็กน้อย ที่จริงเกี่ยวกับคฤหาสน์อันใหญ่โต ซึ่งนับว่าเป็นที่พิศวงน่าดูได้แห่งหนึ่งในกรุงอุชเชนี ซึ่งพระราชาธิบดียังเคยเสด็จประพาสสำราญพระอิริยาบถ ถ้าหากองคุลิมาลไปทำลายที่ซึ่งเป็นสง่าของกรุงเสียราบ พระองค์คงไม่ทรงขอบใจท่านเป็นแน่"
ท่านเสนาบดีหัวเราะ "อ๋อ! ข้อนั้นไม่สู้จะวิตกนัก เชื่อคำแนะนำของฉันเถิด กลับไปบ้านนอนพัก สงบสติอารมณ์เสียหน่อยเดียว อย่าไปกังวลให้มันวุ่นไปอีก เรื่องก็จะสงบลงแค่นั้น เหตุทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น เป็นดังนี้ คือที่ไปบ้าผู้หญิงอยู่ในกรุงโกสัมพีจนไม่ลืมหูลืมตา จะว่ากล่าวตักเตือนเท่าไรดื้อดึงไม่เชื่อฟัง ถ้าหากครั้งนั้นเอียงหูฟังกันบ้าง องคุลิมาลคงไม่จับตัวไปได้ และจะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยโรคจิตวิตกกลัวฟุ้งซ่าน อย่างไม่มีมูลอยู่ในเวลานี้ อีกอย่างหนึ่ง ตกไปอยู่กับโจรมาก็หลายเดือน ไม่เห็นเจ็บจำมีความประพฤติดีขึ้นอย่างไร มีพยานที่ใครๆ ในกรุงอุชเชนี รู้เห็นกันอยู่ทั่วแล้ว"
ท่านเสนาบดีได้ชักเรื่องความประพฤติต่างๆ ขึ้นมาบริภาษอีกสองสามเรื่อง แล้วสั่งให้ข้าพเจ้ากลับโดยไม่นำพา
ก่อนจะถึงบ้าน ข้าพเจ้าคำนึงหาทางป้องกันทุกอย่างทุกประการ เพราะบัดนี้จะต้องพึ่งตนเองเท่านั้น เมื่อถึงบ้านสั่งให้เขาจัดย้ายข้าวของมีราคาที่พอเคลื่อนย้ายไปได้ มีพรมราคาแพง โต๊ะฝังมุกและของมีค่าอื่นๆ เอาขึ้นบรรทุกเกวียนไปเก็บรักษาไว้ ในที่อันพ้นภัยภายในเมือง ในคราวเดียวกัน ได้แจกจ่ายอาวุธให้แก่คนของข้าพเจ้า ข้อที่หาอาวุธและเกวียนได้ง่าย เพราะถึงคราวที่กำลังจะเตรียมกองเกวียนเดินทางไปค้าอยู่ด้วย เตรียมการชั้นต้นไว้ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังให้คนใช้ที่สนิทไว้ใจได้หลายคนเข้าไปในเมือง ไปเที่ยวจ้างหาคนที่กล้าหาญสู้รบเก่งมาช่วยกันเฝ้าบ้านด้วยในเวลากลางคืน จะให้รางวัลเป็นค่าจ้างอย่างงาม การที่ไปว่าจ้างคนจำพวกนี้เป็นการเสี่ยงเคราะห์ ด้วยคนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกนักเลง ในเวลาเข้าคับขันอาจหักหลังไปประสมเข้ากับพวกโจรก็ได้จริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าได้อาศัยความช่วยเหลือของสหายหญิง เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้คนใช้ข้าพเจ้าเลือกหาแต่พวกที่พอไว้ใจได้ พวกเหล่านี้อาจทำอะไรได้ทั้งนั้น แต่ทว่าเมื่อให้สัญญา และได้เงินเป็นรางวัลจนรับปากคำแล้ว ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าไม่กลับกลาย เป็นธรรมเนียมของมันอย่างนั้น เมื่อลั่นวาจารับรองอย่างไรแล้วไม่กลับคำเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจัดทำไปทั้งนี้โดยที่ได้สำเหนียกมาดีแล้ว
ระวางเตรียมการอยู่ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะบอกภริยาด้วยตนเองได้ จึ่งให้คนใช้สองคนไปบอกคนละแห่ง ว่าให้เตรียมตัว -คนที่หนึ่งกับลูกสาวสองคน คนที่สองกับลูกชายคนน้อย ย้ายไปอยู่เสียที่บ้านบิดาในเมืองแต่ให้ไปพักอยู่ชั่วเวลาคืนเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเหตุให้ทราบ เพราะเห็นว่าเมื่อเขาไปอยู่แล้วจะต่อเวลาอยู่ยืดไปอีกสัปดาหะหนึ่ง หรือนานไปกว่านั้นก็ยิ่งดี ข้าพเจ้าจะได้หาความสำราญ เป็นศานติสุขเย็นหูเย็นใจได้บ้าง ที่พูดนี้หมายความว่า เมื่อข้าพเจ้าสู้รบตบมือชนะพวกโจรราบคาบแล้ว และโบราณท่านว่า ‘บุคคลอย่าพึงให้เหตุผลแก่สตรี’ ข้าพเจ้าจึ่งไม่อธิบายเหตุผลเรื่องที่ให้เขาย้ายไป
ระวางนั้น เรื่องเตรียมการก็เตรียมกันไป และข้าพเจ้ากำลังจะชี้แจงแก่พวกคนใช้ที่มีอาวุธครบ ให้ฟังว่าการเตรียมพร้อมสรรพมีประโยชน์อย่างไร ดั่งที่ข้าพเจ้าเคยประสบมาแล้ว เมื่อคราวคุมเกวียนไปค้าก็หลายครั้ง พอดีในขณะนั้นภริยาทั้งสองถลันพรวดเข้ามาลานบ้านคนละประตู พร้อมหน้าราวกับนัดกันไว้ หน้าตากิริยาตกอกตกใจร้องดังกรีดๆ จนพวกที่อยู่ในนั้นตกตะลึงมอง ข้าพเจ้าซึ่งขยับจะพูดชี้แจงนั้นเลยอ้าปากค้าง
ภริยาคนที่หนึ่งลากเอาลูกหญิงทั้งสองเข้ามาข้างและแขน ภริยาคนที่สองก็ฉุดเอาลูกชายมาด้วยเหมือนกัน พอมาถึงข้าพเจ้าต่างก็ชี้หน้ากันและร้องขึ้นพร้อมกันว่า
"มันอย่างนี้เอง อีถ่อยพยายามยุอย่างโน้นแหย่อย่างนี้จนได้เรื่องให้เขา (ชี้ที่ข้าพเจ้า) เกลียดชัง ถึงกับตะเพิดเมียที่เขารักออกจากบ้านไป ให้ได้รับความอับอายขายหน้ากลับไปอาศัยพ่อกับลูกเล็กๆ ที่ไม่รู่อิโหน่อิเหน่เดียงสาสักนิดเดียว"
ทั้งสองคนคลั่งโทสะจนน้ำลายฟูมปาก ต่างคิดเห็นแต่เรื่องของตนเท่านั้น จะได้รู้สึกก็หาไม่ ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็กล่าวหาอย่างเดียวกัน จะรออีกฝ่ายหนึ่งพูดว่าอะไรเป็นไม่มี เอาแต่ตะเบ็งเสียงประมูลกัน เหนื่อยเข้าก็ร้องไห้ตีอกชกหัวทึ้งเผ้าผมกันอลหม่าน ในที่สุดเห็นจะทุบอกชกตัวเจ็บเข้ากระมัง จึงแผดในผรุสวาทเข้ารดกัน โดยต่างฝ่ายฉวยเข้าใจเอาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ยุยง วาจาก็สรรเอาที่สามหาวออกมาเปิงๆ อย่างเผ็ดแสบขึ้นกว่ากันเป็นชั้นๆ ท่าทางลี้ลับอะไรก็ไขออกมาที่แจ้งหมดกันคราวนี้ หยาบคายร้ายกาจยิ่งกว่าอะไรหมดที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา แม้แต่หญิงกลางตลาดก็ไม่กักขฬะเท่า
ข้าพเจ้าพยายามให้ทั้งสองฟังคำอธิบายเสียจนอ่อนใจ แสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่าถ้าไม่หุนหันพลันแล่นเอาแต่โทสะขึ้นตั้งหน้าอยู่อย่างนี้ เรื่องก็จะไม่เข้าใจผิดกันเลย ที่สั่งให้ย้ายไปอยู่บ้านบิดา ไม่ใช่หมายความให้ต่างฝ่ายไปอยู่บ้านบิดาตน หมายความถึงบ้านบิดาข้าพเจ้าต่างหาก และที่สั่งให้ไปไม่ใช่เป็นการลงโทษเกลียดชังอะไร แท้จริงก็เพื่อประโยชน์ให้พ้นภัยในตัวและในบุตรเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า ทั้งสองพอจะสำนึกเข้าใจเรื่อง และเบาบางดีเดือด เป็นฝ่ายลดทิฐิมานะเซาลงแล้ว ได้ท่าก็สำทับส่งออกไปว่า
"เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสันดานหยาบคายร้ายกาจของตัวทั้งสอง ต่อไปควรจะรู้จักระวังกิริยารักษาปากของตัวไว้บ้างซี ผลที่ใช้กิริยาวาจาสามานย์ต่อนักบวชโล้น มันเป็นอย่างนี้แหละ รู้ไหมว่านักบวชนั้นคือใคร? นั่นละคือองคุลิมาลมหาโจร จะบอกให้ ที่ฆ่าคนเสียนับไม่ถ้วน แล้วตัดเอานิ้วคนละนิ้วมาร้อยเป็นพวงมาลัยสวมคอ คนนั้นแหละที่พวกตัวไปด่าว่าให้โกรธ อ้าว! อย่ายืนทำตัวสั่นซี! ความกล้าดีเต้นเร่าๆ เมื่อกี้นี้หายไปไหนหมดเล่า? เคราะห์ยังดีอยู่หนาที่มันไม่เอาบาตรทุ่มลงกบาลแยก คนอื่นๆ ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งที่อยู่นี่ ตกไปอยู่ในมือมัน จะต้องใช้ค่าไถ่เป็นเงินจนหมดตัว และพวกตัวถึงว่าจะอยู่ในบ้านพ่อฉัน ก็อย่าถือดีว่าจะพ้นภัยหนา"
เมื่อภริยาข้าพเจ้าทราบเรื่องเข้าใจได้ดีแล้ว ก็ร้องไห้ใส่โฮใหญ่ ดูเหมือนว่าถูกมีดองคุลิมาลมารอคออยู่แล้ว นี่แหละโทสะของผู้หญิง ระงับไว้ไม่ไหวฉันใด ความตื่นขลาดของผู้หญิงก็เอาไว้ไม่อยู่ฉันเดียวกัน ต่างขมีขมันฉุดลูกหญิง ลากลูกชายจะพาวิ่งหนีออกประตูไป ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะพากันหกล้มตายเสียก่อนทั้งแม่ลูก ต้องให้เขากักตัวไว้ยังไม่ให้ไป พยายามอธิบายเอาใจเป็นอย่างดี ให้รู้ว่าในเวลานี้ยังไม่ต้องตกอกตกใจ เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ดีว่า องคุลิมาลคงไม่ยกมาปล้นในเวลาก่อนสองยาม แล้วสั่งให้เขากลับเข้าไปในบ้าน จัดแจงข้าวของที่จำต้องใช้ระวางที่ต้องอยู่ในเมือง จนกว่าจะพ้นภัยแล้วจึ่งค่อยไป นางทั้งสองเมื่อก่อนแข็งเป็นท่อนเหล็ก แต่บัดนี้ อ่อนเปียกแล้ว ก็ทำตามคำสั่งทุกอย่างทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าไม่ทันเฉลียวใจว่า เรื่องที่เปิดเผยแก่นางทั้งสอง เป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นแก่พวกคนใช้ พอได้ยินว่าที่ข้าพเจ้าสั่งให้เตรียมตัวไว้คอยรับมือกับโจรนี้ ไม่ใช่อื่นไกล คือ องคุลิมาล ซึ่งเข้าใจกันว่าตายไปแล้ว จะยกมาปล้นในคืนวันนั้น พวกเหล่านั้นขวัญหนีดีฝ่อหลบหน้าเลี่ยงหายไปทีละคนสองคน ในที่สุดที่ทิ้งอาวุธเสียก็ตั้งโหล บอกว่าจะประจัญกับผีตายโหงอย่างองคุลิมาลเป็นยอมกลัวไม่ขอหาญสู้ด้วย ส่วนพวกที่จ้างมาจากในเมืองที่มาถึงก่อน เมื่อทราบเรื่องว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใครก็หันกลับ บอกว่าสัญญาที่ตกลงกันไว้ไม่หมายความว่าอย่างนี้ ตกลงเหลือแต่คนของข้าพเจ้าราวยี่สิบคนเท่านั้น ได้คนใช้ที่ดูแลบ้านข้าเจ้าผู้จงรักกล้าหาญเป็นหัวหนัาควบคุมแสดงภักดีแก่ข้าพเจ้า ว่าเป็นไม่ยอมละทิ้งข้าพเจ้าไป จะขออยู่ต่อสู้จนโลหิตหยดสุดท้าย เพราะเขาเห็นอยู่ว่า อย่างไรเสียข้าพเจ้าคงไม่ยอมปล่อยให้คฤหาสน์อันงามพินาศลง เป็นตายอย่างไรก็ยอมฝังชีวิตไว้ที่นั้น
มีพวกในเมืองที่ใจกล้าหลายคน ที่มารับจ้างข้าพเจ้าในคราวนี้ เป็นผู้ชอบตีรันฟันแทง เห็นเป็นของสนุกมากกว่าเห็นแก่สินจ้าง และเป็นผู้ไม่กลัวองคุลิมาล ยังคุยอวดอ้างว่า ถ้าได้ต่อสู้กันย่ำใจแล้วถึงถูกองคุลิมาลจับเป็นเชลยไปได้ ก็จะสมัครเข้าเป็นโจรเสียทีเดียว พวกมีลักษณะร้ายเหล่านี้หลายคน ที่ยอมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นในที่สุดก็ได้คนที่กล้าหาญมีอาวุธครบประมาณสี่สิบคน
ระวางนั้นจวนจะค่ำลงแล้ว เกวียนที่จะให้ภริยาและบุตรข้าพเจ้านั่งไปก็มาถึง เมื่อภริยาข้าพเจ้าจูงลูกออกมาจากบ้านจะขึ้นเกวียน ดูมีกิริยาสงบปกติอยู่บ้าง ครั้นได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ไปด้วย ก็แผดเสียงร้องไห้กันใหม่อีก ถึงกับคุกเข่าอ้อนวอนดึงเสื้อผ้าข้าพเจ้าร้องขอให้ไปด้วย รำพันว่าไม่ควรจะมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ข้าพเจ้าชี้แจงให้ฟังว่า ถ้าข้าพเจ้าทิ้งหน้าที่ไป บ้านช่องจะถูกโจรเผาผลาญลงหมด ทรัพย์สมบัติส่วนมากจะสูญหายสิ้น ลูกเต้าจะไม่ได้รับ ถ้าคอยอยู่สู้ยังมีทางรักษาไว้ได้ เพราะก็ยังไม่ทราบแน่ว่า องคุลิมาลจะยกพวกมามีกำลังมากน้อยเท่าไร
ข้าพเจ้าชี้แจงดั่งนี้ ภริยาทั้งสองยิ่งร้องไห้โฮหนักขึ้น บอกว่าองคุลิมาลจะมาจับเอาข้าพเจ้า แล้วตัดนิ้วเอาไปร้อยพวงมาลัยสวมคอ มันจะทรมานจนตาย เพราะความผิดของเขาที่ไปด่าว่ามัน ถ้าข้าพเจ้าต้องตายไปเช่นนี้ เขาจะต้องมีความผิดเป็นบาปหนัก โทษถึงตกนรก
ข้าพเจ้าอุตส่าห์เล้าโลมเอาใจ เมื่อเห็นข้าพเจ้าไม่กลับใจแน่แล้ว ก็จำใจพากันไปขึ้นเกวียน พอขึ้นไปนั่งบนเกวียนเรียบร้อย ก็เริ่มต่อว่าหาความกัน
"เพราะแกตัวดีทีเดียวเป็นต้นเหตุ"
"ใครบอก? แกต่างหากที่เร้าให้ฉันไปดูมันเมื่อมันยืนพิงประตูอยู่ แกทีเดียวเป็นตัวการชี้มือไปที่มันนะไม่ว่า"
"แล้วแกก็เป็นผู้ถ่มน้ำหมากรดมัน เวลานั้นฉันกินหมากเมื่อไร? ฉันไม่เคยกินหมากในตอนเช้า"
"และแกด่ามันว่า อ้ายคนจรจัด อ้ายชาติขี้เกียจขอทาน"
"แกก็ด่ามันว่า อ้ายหัวโล้น อย่างไรล่ะ ลืมเสียแล้วหรือ?"
เถียงกันไปอย่างนี้ตลอดทาง จนเกวียนออกเดินไกลไปแล้ว เสียงต่อว่าต่อขานจึ่งถูกกลบในเสียงกงเกวียนซึ่งเดินอ๊อดๆ เลี้ยวลับสายตาไป!ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถือเอาซึ่งเพศของอนาคาริกมุนีไม่มีอาคารสถานด้วยประการฉะนี้๑๗. สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน ดูก่อนภราดา เมื่อได้วางยามไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้ากลับเข้าไปในบ้านอีก แต่ว่ารู้สึกเงียบเหงาอย่างไรพูดไม่ถูก จะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงภริยา ข้อนี้ก็ทำให้เงียบได้อยู่ แต่ไม่ใช่เท่านั้น เสียงภริยาอย่างที่เถียงกันเมื่อออกประตูใหญ่ไปจนไกลก็ได้ยิน คงจะไม่ได้ยินอีกที่ในบ้าน ซึ่งตามเคยต่างตะเบ็งกันสุดแรงเกิด จนฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงเหล่านี้เมื่อไม่มีแล้ว ย่อมทำให้บ้านเงียบเชียบสบายจริงๆ ผิดประหลาดแทบไม่เชื่อว่ามีการเงียบได้ถึงเพียงนี้
ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ในที่นั้น พิจารณาดูคฤหาสน์โอฬารแวดล้อมด้วยหมู่ไม้ ซึ่งกะระยะจัดแต่งไว้งดงาม รู้สึกว่าสำราญตายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ครั้นหวนคิดถึงความงามเหล่านี้ ว่าจะต้องถูกมือโจรอำมหิตทำลายให้พินาศลง ก็ให้ใจหายเหี่ยวลงทันที ความกลัวในเรื่องชีวิตจะตายดูก็เฉยๆ แต่มานึกรันทดเสียดายอาลัยตันไม้ที่ปลูกไว้เป็นทิวแถว มีผู้คอยระวังถนอมจะถูกพวกโจรฟันยับเยินลง เสาศิลาอ่อนที่สลักเสลาด้วยฝีมือศิลปกรวิเศษก็จะพังทลายลง ตัวคฤหาสน์ที่ข้าพเจ้าต้องใช้เวลาและความคิดประดิษฐ์สร้างอย่างบรรจงละเอียดลออไม่น้อยเลย และเมื่อสร้างสำเร็จได้ข้าพเจ้าแสนปลื้มใจเป็นที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้พอแสงทองส่องในวันรุ่งขึ้นก็จะเห็นเป็นเถ้าถ่านไปหมด ตามที่ข้าพเจ้ารู้อยู่ได้ดีๆ ว่าซากที่องคุลิมาลเคยทิ้งไว้ทุกราย มีลักษณะเป็นประการไร
ในเวลาตอนนี้ไม่มีอะไรทำ นอกจากจะรอคอยมัจจุราชที่สอง แต่ยังอีกหลายชั่วโมงจึ่งจะถึงเที่ยงคืน
ข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่ในเรื่องสาละวนด้วยกิจการค้าขาย แล้วก็หาความสนุกรื่นเริงผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปสองประการนี้ไม่มีหยุดตลอดเรื่อยมา หรือมิฉะนั้นก็ทำหน้าที่ตระลาการวินิจฉัยไกล่เกลี่ย แม่โจทก์จำเลยของข้าพเจ้าคู่เดียวก่อคดีขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน จึ่งหาเวลาสงบนิ่งอยู่ตามลำพังไม่ได้ ครั้นบัดนี้มานั่งขรึมอยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำ ในห้องซึ่งด้านหนึ่งทะลุไปหอกลาง มีเสายันอยู่เรียงราย อีกด้านหนึ่งออกไปทางสวน เวลานั้นสงบเงียบเสียยิ่งกว่าจะบอกว่าเงียบ รู้สึกว่าในชั่วโมงต้นๆ นี้เป็นเวลาของข้าพเจ้าจริงๆ นับแต่เป็นเด็กมา อารมณ์บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีอะไรผูกพันแล้ว ก็พลันคิดถึงตนเป็นครั้งแรกระลึกดูถึงประวัติการต่างๆ ของตนที่เป็นมาแล้วแต่หนหลัง ถ้ายิ่งพินิจดูเหมือนอย่างมีอีกคนหนึ่งมาเพ่งดูด้วยแล้ว ก็รู้สึกว่าจะหาตอนไหนที่ควรเรียกว่าสุขแท้ไม่มีเลย
ความคิดเหล่านี้หยุดชะงักขาดเป็นห้วงๆ หลายหน เพราะต้องผลุดออกผลุดเข้าไปตรวจตามบริเวณบ้านและสวนให้ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าคนยังอยู่ยามระวังระไวมั่นคงดี ขณะข้าพเจ้าออกไปในระวางเสา-ครั้งที่สามหรือที่สี่ ตาข้าพเจ้าซึ่งชำนาญในการสังเกตเพราะได้ฝึกมาแต่ครั้งเดินทางไปค้ามาขายหลายคราว มองดูดาวเห็นว่าอย่างช้าอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเที่ยวคืน จึ่งรีบออกไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง และตักเตือนคนใช้ให้คอยระวังให้จงดี ส่วนตัวเองให้มีอาการพิพักพิพ่วน ลำคอตีบแห้งเพราะวิตกวิจารณ์ เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วคงนั่งนิ่งเหมือนเดิม แต่จะคิดเรื่องอะไรไม่ออกเลย เพราะดูเหมือนมีอะไรมาจุกอกแน่นแทบจะหายไม่ออกเอาทีเดียว
ข้าพเจ้ากระโดดพรวดออกไประวางเสาเพื่อสูดอากาศกลางคืนที่สดชื่นให้โล่งอก พอออกไปถึงรู้สึกว่ามีลมโชยมาถูกแก้มอ่อนๆ และไม่ช้าได้ยินนกกุ๊กร้อง เสียงก้องไปในความวิเวก ในคราวเดียวกันนี้ได้กลิ่นดอกบัวในสระซึ่งแย้มกลีบบานกลางคืน ลมพามาฉิวๆ ส่งกลิ่นหอมชื่น ข้าพเจ้าแหงนดูดาวว่าจะเป็นเวลาได้เท่าไรแล้ว เห็นทางช้างเผือกสุกสว่างอ่อน ๆ อยู่ในช่องว่างระวางยอดไม้ดำตะคุ่มๆ ผ่านเป็นลำธารไปในท้องอากาศซึ่งเป็นสีน้ำเงินแก่
ข้าพเจ้าออกอุทานโดยไม่ได้ตั้งใจว่า "แม่คงคาในสวรรค์" และในบัดนั้นเองรู้สึกเหมือนว่าความอัดอั้นตันอกค่อยเบาบางลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็กลับเต็มตื้นตันใจ จนน้ำไหลรินออกมาอุ่นๆ จริงอยู่เมื่อสองสามชั่วโมงแรกที่ล่วงมาได้ระลึกถึงประวัติการของตนแต่หนหลัง ตอนไหนไม่รัญจวนใจเท่าคิดถึงวาสิฏฐีและเรื่องความรักของตน ซึ่งมีเพียงชั่วแล่นแท้ๆ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ล่วงมานานไกล คล้ายกับความฝันอย่างบ้าๆ ครั้นมาในบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้นทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว แต่มาเกิดญาณทรรศนะขึ้นอย่างหนึ่ง คือเมื่อคิดใคร่ครวญถึงเรื่องตนในอดีตและตนในปัจจุบัน ว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า คิดแล้วก็ให้สะดุ้ง เห็นว่ามีลักษณะผิดกันไกลมาก ครั้งอดีตกระโน้นข้าพเจ้าไม่มีอะไร นอกจากตนและความรัก ก็สองอย่างนี้พึงแยกออกเสียจากกันเหลือแต่ตนไม่ได้เทียวหรือ? ครั้นมาในปัจจุบันนี้ อะไรบ้างที่ข้าพเจ้าไม่มี! บุตรภริยาเอย ช้างม้าวัวควายเอย ข้าทาสบริวาร แก้วแหวนเงินทอง สวนสำหรับเที่ยวเล่น บ้านงดงามมโหฬารซึ่งใครเห็นก็อิจฉาอยากได้เอย สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้ามีอยู่บริบูรณ์แล้ว แต่ทว่าข้าพเจ้านั้นเป็นข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ดูๆ ก็เหมือนผลไม้เน่า เนื้อในแห้งหายไปหมด ในที่สุดเหลือแต่เปลือกเปล่าเท่านั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตื่นขึ้นแล้วมองดูรอบๆ ตัว
เห็นสวนเที่ยวเล่นงดงามกว้างใหญ่ เดียรดาษด้วยรุกขชาติพุ่งยอดตะคุ่มๆ ขึ้นไปในท้องฟ้า ในเวลากลางคืน ซึ่งพราวพร่างด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน มีทางช้างเผือกผ่านขาวไป เห็นศาลาอันสง่างาม มีตะเกียงศิลาขาวจุดสว่างทุกร
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มกราคม 2560 08:35:19 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 23 กันยายน 2557 15:36:53 » |
|
๑๗. สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน (ต่อ) ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตื่นขึ้นแล้วมองดูรอบๆ ตัว
เห็นสวนเที่ยวเล่นงดงามกว้างใหญ่ เดียรดาษด้วยรุกขชาติพุ่งยอดตะคุ่มๆ ขึ้นไปในท้องฟ้า ในเวลากลางคืน ซึ่งพราวพร่างด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน มีทางช้างเผือกผ่านขาวไป เห็นศาลาอันสง่างาม มีตะเกียงศิลาขาวจุดสว่างทุกระวางเสา สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นความเห็นอย่างใหม่ขึ้นมาทันที ว่าเป็นของงามน่ารักน่าใคร่ แต่ทว่าเป็นเหมือนหนึ่งศัตรูหน้าเนื้อที่คอยบั่นทอนความสุขด้วยใจเสือ มิให้มีความสงบสุขได้ เป็นดั่งมารเวตาล แต่มีรูปร่างเรืองงดงาม สูบเลือดหัวใจข้าพเจ้าไปเกือบหมดแล้ว และบัดนี้กำลังกระหายจะสูบเอาเลือดหยดสุดท้าย ซึ่งถ้าได้สูบเอาไปแล้ว ก็คงเหลืออยู่แต่ซากเหี่ยวแห้งของร่างมนุษย์ที่มีรูปไม่สมประกอบเท่านั้น
มีเสียงอย่างหนึ่งได้ยินมาแต่ไกล จะเป็นเสียงอะไรไม่ทราบ แต่เข้าใจเอาว่าเป็นเสียงฝีเท้าเดินมาหรือเป็นเสียงพูดพึมพำ ข้าพเจ้าสะดุ้งเหยง ถอดดาบปร๊าดออกจากฝัก กระโดดลงบันใดไปสองสามก้าว แล้วยืนนิ่งคอยฟัง โจรหรือ? เห็นจะไม่ใช่ เงียบสงัดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เงียบสงัดจริงๆ มองจ้องไปดูทั้งใกล้และไกล ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหว ทั้งนี้คงเป็นเสียงลึกลับ ที่มักปรากฏได้ยินไนเวลากลางดึกสงัด-เสียงซึ่งเมื่อครั้งข้าพเจ้าคุมเกวียน ไปหยุดพักอยู่กลางป่าเคยทำให้สะดุ้งตกใจ พิจารณาดูสิ่งภายนอกตัว ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ว่าภายในตัวข้าพเจ้าเล่า มีอะไรบ้าง? ข้าพเจ้าในขณะนี้หายตกอกตกใจหวั่นหวาดแล้ว ไม่ใช่กล้าเพราะจำเป็น ต้องกล้าด้วยหนีไม่พ้น หามิได้ กลับจะมีความยินดีเสียด้วยซ้ำ
"เชิญเข้ามาเถิด พวกโจร! มาเร็วๆ เข้า องคุลิมาล! เผาผลาญให้ราบลงเป็นเถ้าถ่านเถิด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดต่อข้าพเจ้า ที่พวกเจ้าควรทำลาย มิฉะนั้น มันก็จะทำลายข้าพเจ้าเอง เอาไปเสียเถิด เชิญเถิด ถึงร่างกายก็ได้ เชิญเอาดาบฟันเสียเถิด เพราะมันเป็นศัตรูร้ายต่อข้าเอง เป็นร่างกายที่หมกมุ่นมัวเมาอยู่แต่กามารมณ์ และความโลภไม่มีที่สุด เป็นสิ่งอันควรสลดใจยิ่งที่ข้ามีอยู่ ควรตัดมันให้ขาดจากตนข้าไป เชิญเถิด พวกโจร! ผู้เป็นมิตรสหายเก่า!"
เวลาคงไม่นานละ เพราะบัดนี้ล่วงสองยามแล้ว ยินดีคอยท่าจะรับหน้าด้วย องคุลิมาลคงตรงมาหาตัวข้าพเจ้า ดีแล้ว! อยากจะรู้ว่า ครั้งนี้มันจะสามารถตีดาบให้หลุดจากมือข้าพเจ้าได้อีกหรือไม่ ถ้าข้าพเจ้าได้แทงมันทะลุตลอดหัวใจ ถึงจะตายไปก็ยินดี เพราะมันเองผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำความเดือดร้อนทั้งหลายแหล่ ให้มีขึ้นแก่ข้าพเจ้า
"เวลาคงไม่นานละหนา" ข้าพเจ้าภาวนาคำนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อชะลอใจให้ชื้นไว้ในขณะที่เวลาใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาในคืนนั้น
กราว! มาละกระมัง? ไม่ใช่ เป็นเสียงลมพัดยอดไม้แล้วค่อยเลื่อนหายไกลออกไป แล้วก็เกิดมีขึ้นอีก เป็นเสียงคล้ายสัตว์อะไรมีขนปุกปุย ลุกขึ้นสลัดตัวอย่างนี้หลายครั้งหลายหนแต่ครั้งหนึ่งได้ยินเสียงแหลมเป็นนกร้อง
เสียงเหล่านี้แสดงว่าใกล้สว่างอย่างนั้นหรือ?
รู้สึกหนาวกลัว นี่จะต้องเสียใจเพราะไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้หรือ? นึกแล้วสะท้าน กลัวว่าพวกโจรจะไม่มา จวนจะสมปรารถนาอยู่แล้ว คือจะได้สู้รบตบมือแล้วก็ตายไป นี่ตกลงจะให้คงสืบชีวิตสารทุกข์ต่อไปหรือ? รุ่งเช้าขึ้นจะต้องมีความเป็นไปร้ายกาจเหมือนเดิมอีกหรือ? จะไม่มาช่วยให้พ้นทุกข์พ้นร้อนหรืออย่างไร นี่ก็ถึงเวลาเหมาะอยู่แล้ว หรือว่าเรื่องทั้งหลายเป็นเพราะข้าพเจ้าตาฝาด เห็นนักบวชตนนั้นเป็นองคุลิมาลไป? ถามตนเองอย่างนี้ก็หลายกลับ จะว่าตาฝาดวิปลาสไปเองก็ดูกระไรอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นองคุลิมาลจริง ก็คงต้องมา ถ้าไม่มีความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ทำไมจึ่งแปลงตัวมาที่บ้าน แล้วทำไมหายตัวไปอย่างสนิทคล้ายธรณีสูบ? ทั้งได้ให้ใครต่อใครไปสืบสวนแล้ว ไม่ได้ความว่าองคุลิมาลไปบิณฑบาตที่บ้านไหนเลย
เสียงไก่ขัน ปลุกข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์ ดวงดาวที่คอยมองดูหาเวลา บัดนี้ค่อยเคลื่อนหายลับไปทางยอดไม้ก็หลายดวงแล้ว ดาวหมู่อื่นนอกจากที่อยู่สูงในท้องฟ้า ก็มีแสงสลัวไปหมด เป็นอันไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป ว่าย่างเข้าปัจจุสมัย เรื่องที่องคุลิมาลจะยกมาปล้นเป็นอันมีไม่ได้แล้ว
แต่เรื่องแปลกๆ ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในความรู้สึกในคืนนั้น ไม่มีอะไรจะประหลาดเท่าที่จะเป็นต่อไปในบัดนี้ คือเมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายมาสู่ตัวแน่แล้ว ข้าพเจ้าก็หารู้สึกเสียใจตามที่คิดเสียดายไว้แต่แรกไม่ กลับมีความคิดใหม่เด็ดขาดขึ้นมาทันทีว่า "เมื่อเช่นนี้จะต้องพึ่งโจรเหล่านั้น เพราะเหตุอะไร?"
ข้าพเจ้ากระหายอยากให้พวกโจรถือไต้จุดคบกรูกันเข้ามา จะได้ปลดเปลื้องให้พ้นจากแบกภาระ ทรัพย์สมบัติอันมโหฬารนี้เสีย แต่ไฉนจะต้องทำอย่างนี้? ผู้ยอมเสียสละทรัพย์สมบัติโดยไม่ต้องให้ใครเขาให้สละให้ แล้วถือเอาไม้เท้าออกสัญจร เป็นผู้จาริกแสวงหาบุณย์กุศลก็มีอยู่แล้วไม่น้อย เปรียบเหมือนนก ประสงค์จะผกโผนไปสารทิศใด ก็มีปีกอย่างเดียวเท่านั้นที่เอาไว้บิน มีเท่านี้ก็พอประโยชน์อยู่แล้ว ฉันใดก็ดี ผู้จาริกแสวงบุณย์ก็พึงพอใจอยู่แต่เครื่องนุ่งห่มเท่าที่ปกคลุมร่างกายได้มิดชิดกันร้อนกันหนาว แล้วมีภาชนะสำหรับภิกษาจารพอประทังชีวิตมิให้เกิดทุกขเวทนาหิวโหย และข้าพเจ้ายังได้ยินเขาชมชีวิตด้วยการจาริกแสวงบุณย์ว่า "ความมีครอบครัว ก็คือที่คุมขัง แต่ สุญญาคาร (อากาศที่โล่งโปร่งจากบ้านเรือน) ย่อมเป็นภาคสถานของผู้จาริกแสวงบุณย์"
ข้าพเจ้าคิดขอให้พวกโจรเอาดาบมาฟันร่างกายนี้เสีย ตัวทุกข์จะได้แตกขาดไป แต่ร่างกายนี่สลายเป็นธุลีไปแล้ว ก็จะมีเหตุปรุงแต่งให้เป็นรูปขึ้นใหม่ จากร่างเก่าเกิดเป็นร่างใหม่ สืบสันตติติดต่อกันไป ก็ที่จะออกจากข้าพเจ้าไป จะเป็นชีวิตชนิดไรหนอ? จริงอยู่ข้าพเจ้าและวาสิฏฐีได้กระทำสัตย์ปฏิญญากันไว้ เฉพาะแม่คงคาในสวรรค์ ซึ่งมีน้ำดั่งเงินยวง ไหลลงไปสู่สระบัวในเขตสวรรค์ทางทิศตะวันตก ว่าเราทั้งสองจะได้พบกันในแดนสุขาวีโน้นและด้วยคำปฏิญญานี้ วาสิฏฐีบอกว่าเราต่างมีดอกไม้ทิพย์ตูมแห่งชีวิตอยู่ในน้ำอันใสปานแก้ว ณ ทะเลบนสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าบุคคลผู้จะบรรลุเป็นเจ้าของ ใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีกุศลกรรมอันได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว ทุกคราวไป ดอกไม้ทิพย์ตูมนั้นก็จะเจริญงามขึ้นเสมอ ถ้าหากว่ามีความเป็นอยู่ไม่บริสุทธิ์ เกลือกกลั้วด้วยบาปมลทิน ดอกไม้นั้นจะเหี่ยวเศร้า ประหนึ่งว่ามีกิมิชาติบ่อนในฉะนั้น อนิจจา! ป่านฉะนี้ ดอกไม้ทิพย์ของข้าพเจ้าจะมิถูกบ่อนไส้ไปนานแล้วหรือ? เพราะข้าพเจ้าได้ตรวจดูความเป็นไปในชีวิตที่ล่วงแล้ว พบแต่สิ่งซึ่งเจริญในความมัวหมองทวีเป็นลำดับมา ดั่งนี้จะมีผลดีได้อย่างไร ถ้าจะได้ขึ้นไปบนนั้น?
แต่ตามที่ทราบกันอยู่ มีบุคคลบางท่านก่อนละชีวิตนี้ไป ได้ทำลายความมาเกิดในโลกนี้เสียเด็ดขาด และได้ถึงซึ่งความมีนิรันตสุขไม่กลับมาเกิดอีก บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ละสิ่งโลกีย์ทั้งปวง แล้วถือเพศเป็นนักจาริกแสวงบุณย์
ดั่งนี้ ไต้คบและดาบหอกของโจรจะมาทำประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าได้?
ข้าพเจ้า ซึ่งในชั้นแรกวิตกตัวสั่นเพราะกลัวโจร และภายหลังอยากให้โจรมาใจจะขาด เพื่อความหวังตามที่คิดไว้ บัดนี้ไม่กลัวและไม่หวังได้ความช่วยเหลือจากโจร พ้นจากความกลัวและความทะยานหวังดั่งนั้นทั้งสองประการแล้ว ก็ให้รู้สึกเกษมศานติ์เป็นความสงบอย่างใหญ่ ความรู้สึกเกษมศานติ์อย่างนี้ เท่ากับได้ลิ้มรสนิรามิษสุขในขั้นต้นแห่งอวสานสมบัติของเหล่าผู้จาริกแสวงบุณย์ เพราะเมื่อข้าพเจ้าคอยต่อต้านโจรได้ฉันใด นักจาริกแสวงบุณย์ย่อมต่อต้านบรรดาอำนาจในโลกนี้ อันเป็นปรปักษ์ได้ฉันนั้น ทั้งสองฝ่ายไม่มีความกลัวและไม่มีความหวังจากโจรหรืออำนาจเหล่านั้น จึงมีแต่ศานติ เป็นสุขเพราะสงบจากอะไรๆ ทั้งปวงหมด
ข้าพเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนหน้ายี่สิบชั่วโมงที่ล่วงมานี้กลัวการออกเดินทางแม้แต่ระยะสั้นๆ เพราะขยาดต่อความลำบากและอาหารการกินของผู้คุมกองเกวียนเดินทาง บัดนี้ตกลงใจโดยปราศจากความกลัวหรือความรวนเร ที่จะละบ้านเรือนถือเอาการเดินทางไปตลอดชีวิตกว่าจะดับ และถือสันโดษพอความประสงค์ในสิ่งเท่าที่มีอยู่
บังเกิดความเด็ดขาดลงไปดั่งนี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่ขอกลับเข้าในบ้านอีก เดินตรงไปที่เพิงแห่งระวางสวนกับลานบ้าน อันเป็นที่ไว้เครื่องมือทุกชนิด หยิบได้ปฏักอันหนึ่งตัดทางแหลมออกเสีย ใช้ต่างไม้เท้า แล้วเอาน้ำเต้าแห้งอย่างที่ชาวสวนชาวนาใช้บรรรจุน้ำสะพายบ่า ไปกรอกน้ำในบ่อที่ลานบ้าน
ขณะนั้น หัวหน้าคนใช้ซึ่งดูแลบ้านข้าพเจ้ากรากเขามา พูดว่า "องคุลิมาลกับพวกเห็นจะไม่มาแล้ว"
ข้าพเจ้า "ไม่มา โกลิต เป็นไม่มาแน่ ป่านนี้แล้ว"
หัวหน้าคนใช้ "ก็นี่นายทำท่าจะเดินทางไปไหน?"
ข้าพเจ้า "ดั่งนั้น โกลิต จะออกเดินทางไป และด้วยเรื่องนี้ จึ่งอยากจะพูดกับเจ้า เพราะเราจะไปอย่างที่เขาเรียกกันว่าไปอย่างนกประเสริฐเดินทางไกล ในทางนี้แหละโกลิต ผู้มีความเพียรพยายามจริงๆ แล้ว ไม่กลับมาอีก แม้ตายแล้วก็ไม่กลับมาโลกนี้อีก ป่วยกล่าวไปไยถึงเรื่องกลับมาบ้านนี้ในเมื่อมีชีวิตอยู่? บ้านนี้จะมอบให้เจ้ารักษา เพราะเจ้าเป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดีจริงๆ ถึงยอมตายได้ เจ้าจงดูแลจัดการบ้านช่องและทรัพย์สมบัติจนกว่าลูกชายข้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เจ้าจงนำความรักของเราไปแสดงและอำลาบิดาและภริยาเราด้วย ลาเจ้าก่อนละ"
ข้าพเจ้าพูดแล้ว ก็ปลดมือออกจากโกลิต ซึ่งเขากำลังยกขึ้นประคองเคารพและร้องไห้ แล้วเดินออกไปทางประตูใหญ่ และเมื่อเหลือบเห็นเสาประตูก็คิดว่า "ถ้าที่ได้เห็นเป็นองคุลิมาลนั้น เป็นนิมิตแล้ว ก็นับว่าได้ตีความในนิมิตนั้นถูกต้อง"
ข้าพเจ้ารีบเดินดุ่มๆ ไม่เหลียวหลัง ผ่านไปในระวางละแวกบ้าน มองดูข้างหน้าในเวลาฟ้าขาวจวนจะสว่าง เห็นถนนหนทางนอกเมืองดูว้าเหว่ ทอดยาวยืดไปไกลลิบลับดูประหนึ่งว่าจะไม่มีเขตสุดลงได้ฉะนั้น
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถือเอาซึ่งเพศของอนาคาริกมุนีไม่มีอาคารสถานด้วยประการฉะนี้เวลานั้น ดวงเดือนอยู่พอดีตรงมุข ฉายแสงสว่างนวลเข้าไปถึงในบริเวณห้องภายนอก ๑๘. ในห้องโถงบ้านช่างหม้อ กามนิต ผู้จาริกแสวงบุณย์ ก็จบเรื่องลงด้วยประการฉะนี้ แล้วนิ่ง ตาเหม่อมองไปดูภูมิประเทศ มีอาการตริตรอง
ส่วนพระตถาคตเจ้า ก็มีพระอาการสงบนิ่ง ทอดพระเนตรภูมิประเทศเช่นเดียวกัน
มองไปจะเห็นต้นไม้สูง บางต้นอยู่ใกล้ บางต้นอยู่ห่างออกไป บ้างก็รวมกันเป็นกลุ่มดูเป็นก้อนดำมืด บ้างก็เห็นแต่รางๆ ดั่งก้อนเมฆ แล้วหายไปในหมอกที่อยู่ห่างไกลออกไป
เวลานั้น ดวงเดือนอยู่พอดีตรงมุข ฉายแสงสว่างนวลเข้าไปถึงในบริเวณห้องภายนอก เหมือนกับผ้าขาวสามผืนทาบแผ่ไว้บนสนามสีเขียว ส่วนเสาทางด้านซ้ายเลื่อมสกาวราวกับบุด้วยเงินงาม
ในเวลาดึกเงียบสงัดดั่งนี้ เสียงโคที่บดเอื้องหญ้าอยู่ในแห่งใดแห่งหนึ่งที่ถัดไป บางทีก็ได้ยินถนัดเป็นระยะๆ
พระทศพลผู้ทรงพระอนาวรณญาณ ทรงเล็งเห็นประพฤติเหตุทั้งมวลนี้แจ้งจบว่า ความจริงวาสิฏฐีมีความซื่อสัตย์อยู่ในกามนิตมาก ที่ต้องแต่งงานกับสาตาเคียร ก็ไม่ใช่เป็นความผิดของนาง แต่เป็นเพราะบังคับและหลอกลวงด้วยอุบายทุจริต นางเองเป็นผู้วานให้องคุลิมาลเข้าไปสืบในกรุงอุชเชนี และเพราะองคุลิมาลไปคราวนั้นเอง กามนิตจึ่งละอาคารสถานถืออนาคาริยเพศ ณ บัดนี้กำลังเดินเข้าหาทางแห่งผู้จารึกแสวงบุณย์ แทนการที่จะจมดิ่งหนักลงไปในห้วงความเฟ้อสนุกเพลิดเพลินอันเป็นโทษทุกข์มหาภัย พระองค์จะควรตรัสบอกความที่วาสิฏฐีเป็นอยู่ในบัดนี้ ดีหรือไม่
แต่ทรงเล็งเห็นอัธยาศัยกามนิตว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะทรงแจ้งให้เขาทราบ ด้วยยังใหม่ต่ออนาคาริยเพศอยู่ หากทราบเรื่องเข้าขณะนี้ กามกิเลสอันเพียงสงบอยู่ ก็อาจจะพล่านขึ้นทำลายความพยายามแสวงความหลุดพ้นต่อไป เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึ่งตรัสกะกามนิต ในทางที่จะอุดหนุนกำลังมุ่งสละกามว่า "ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ นี่กล่าวตามความรู้สึกอย่างของท่านที่เป็นอยู่"
กามนิต "จริงทีเดียว เป็นความจริงที่ลึกซึ้งจริงๆ ข้าแต่อาคันตุกะ ใครเป็นผู้กล่าวคำนี้?"
"ดูก่อนผู้จารึกแสวงบุณย์ ท่านอย่ากังวลถึงเลย ถ้ารู้สึกเห็นว่าเป็นความจริงเช่นนั้นจะเป็นใครกล่าวก็เท่ากัน"
"เหตุไฉน ข้าพเจ้าจึ่งไม่รู้สึกเห็นเช่นนั้นเล่า? ถึงเป็นประโยคที่น้อยคำ ก็มีความจริงในเรื่องทุกข์ของข้าพเจ้าอยู่หมด ถ้าข้าพเจ้ายังไม่ได้เลือกครูเป็นศาสดาของตนแล้ว ก็ไม่ขอเลือกคนอื่น เป็นต้องเลือกท่านผู้กล่าวถ้อยคำนั้นเป็นปฐม"
"เช่นนั้น ท่านก็มีศาสดา ที่ท่านรับเอาคำสั่งสอนและปฏิบัติตามนั้นมาแล้ว"
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าออกมาถือเพศอย่างนี้ ความจริงมิได้ถือตามศาสดาอาจารย์ไหน ออกจะตรงกันข้ามเสียอีก ข้าพเจ้ามีความคิดในครั้งกระนั้น ตั้งใจแสวงหาความหลุดพ้นด้วยลำพังตนเอง เมื่อพักร้อนเวลากลางวัน ในละแวกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ รุกขมูล หรือพักอยู่ในลำเนาอรัณย์ ข้าพเจ้าเจ้าฌาณเพ่งพินิจอย่างแรงกล้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ตั้งสมาธิตริตรองขบปัญหาเหล่านี้ "อะไรคือ อาตมัน? อะไรคือ โลก? โลกคงที่หรือไม่? อาตมันคงที่หรือไม่? หรือว่าโลกไม่คงที่ และอาตมันก็ไม่คงที่? หรือว่าอาตมันคงที่ แต่โลกไม่คงที่? หรือว่าโลกคงที่ แต่อาตมันไม่คงที่? ทำไมมหาพรหมจึ่งบันดาลให้โลกออกจากพระองค์ไป? ถ้ามหาพรหมคือความบริสุทธิ์และความสุขอันเที่ยงแท้ไซร้ ไฉนโลกที่พระองค์สร้างจึ่งไม่บริสุทธิ์หมดจด และให้เกิดแต่ความทุกข์โทมนัสเล่า"
"ข้าพเจ้ายิ่งตรึกนึกถึงสิ่งเหล่านี้เช่นนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้บรรลุแจ้งซึ่งความจริง ซ้ำตรงกันข้าม กลับมีความสงสัยเกิดขึ้นใหม่เสมอ ไม่รู้สึกว่าได้เข้าใกล้เฉียดกรายความเห็นแจ้ง ซึ่งกุลบุตรยอมสละอาคารสถานออกแสวงหา อย่างมากแม้ให้กระเถิบใกล้เพียงก้าวเดียว ก็หาไม่"
พระตถาคต "จริงทีเทียว ผู้จารึกแสวงบุณย์ เหมือนอย่างผู้เดินจะต้องการไปให้ถึงขอบฟ้า รำพึงว่า "ไฉนหนอจะได้ลุถึงในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ซึ่งแนวที่กั้นเขตสายตาของเรา?" ผู้ใดคิดแต่ขบปัญหาอย่างของท่านเหล่านี้ ก็มีลักษณะหวังจะลุถึง เหมือนคนเดินทางหวังจะไปให้ถึงขอบฟ้าฉะนั้น"
กามนิตผงกศีรษะตริตรองแล้วกล่าวต่อไปว่า- "ครั้นมาวันหนึ่ง เวลาเมื่อเงาไม้ยืดยาวออกไปมากแล้ว ข้าพเจ้าไปถึงอาศรมแห่งหนึ่งในลำเนาป่า ได้เห็นชายหนุ่มหลายคนนุ่งห่มขาวกำลังรีดนมโคอยู่ก็มี กำลังผ่าฟืนหรือล้างถังอยู่ที่พุลำธารก็มี ในหอกลางของอาศรม มีพราหมณ์สูงอายุคนหนึ่งนั่งอยู่บนเสื่อ และชายหนุ่มเหล่านั้นคงเป็นศิษย์เรียนลัทธิศาสนาอยู่ด้วย พราหมณ์นั้นได้ปราศรัยปฏิสันถารข้าพเจ้าฉันไมตรี บอกว่าระยะทางจากที่นั่นไปถึงหมู่บ้านแรก ก็เป็นเวลาเดินไม่ถึงชั่วโมง แต่ขอเชิญให้รับประทานอาหาร พักแรมสักคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าเต็มใจรับคำเชิญด้วยรู้สึกขอบคุณ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะนอนหลับ ได้ยินคำสอนของพราหมณ์ผู้นั้นที่ดีและน่าคิดก็หลายข้อ”
"รุ่งขึ้น เมื่อข้าพเจ้าจะลาไป พราหมณ์ผู้นั้นไต่ถามว่า "ข้าแต่ท่านผู้จาริกแสวงบุณย์ ใครเป็นศาสดาของท่าน? ผู้แนะนำให้ท่านออกแสวงหาความจริงชื่ออะไร?" ข้าพเจ้าก็ตอบอย่างที่ได้ตอบท่านผู้เจริญนี้ พราหมณ์พูดว่า "ท่านลุถึงความจริงได้ไฉน เมื่อท่านเร่ร่อนไปแต่ผู้เดียวเหมือนนอแรด ไม่เอาเยี่ยงช้างป่าที่ไปเป็นโขลง มีหัวหน้าที่เฉลียวฉลาดชำนาญเป็นผู้นำ?"
"เมื่อพูดถึงคำว่าโขลง แกมองดูพวกหนุ่มๆ ที่ยืนอยู่รอบข้าง แต่เมื่อถึงคำว่าหัวหน้า ปรากฏว่ายิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ”
“แกพูดต่อไปว่า เรื่องอย่างนี้มีสภาพสูงและลึกซึ้งสุขุม เกินความคิดของบุคคลโดยลำพังจะคะเนเห็นได้ ถ้าไม่มีอาจารย์เป็นผู้บอก ก็เป็นเหมือนตำราที่ไม่ได้เปิดออกดู" อีกประการหนึ่งในพระเวท ตามที่ท่านเศวตเกตุสอนไว้ ว่า "ดูก่อนเจ้าผู้เป็นที่รัก เปรียบเสมือนบุรุษถูกผ้าพันตาไว้ มีผู้พาจากแดนคันธาระ แล้วปล่อยไว้ในแดนมรุกันดาร ก็จะงมหาทางกลับไปเบื้องตะวันออกห่างไกลออกไปบ้าง หรือไปทางเหนือเลยเถิดไปบ้าง หรือสุ่มไปทางทิศใต้เริดไปบ้าง เพราะถูกปิดตาพาไปแล้วจึ่งเปิดตาในที่ใหม่ ก็ย่อมจะหาทางกลับไม่ถูก ต่อผู้ที่ไม่ถูกปิดตามาบอกทางให้ว่าทางนั่นแน่ไปแคว้นคันธาระ ก็จะไปตามที่เขาบอก แล้วถามตามหมู่บ้านที่ระทางมาก็จะถึงบ้านได้ความรู้โดยตรง เกิดสติปัญญามากขึ้นอีก เรื่องนี้มีอุปมาฉันใด บุคคลที่มีครูแนะทางให้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น"
ข้าพเจ้าเห็นได้ทันทีว่า ที่พราหมณ์พูดนี้จะเกลี้ยกล่อมให้ขอฝากตนเป็นเป็นศิษย์ ข้อที่แกทำทีชักชวน กลับทำลายความนับถือแห่งข้าพเจ้า เพราะข้อความในพระเวทบทหนึ่งที่ยังเจนใจข้าพเจ้ามีว่า "ศาสดาย่อมไม่กระหายอยากได้ศิษย์ แต่ศิษย์ย่อมกระหายอยากได้ศาสดาเอง ตามนี้ซึ่งผิดกันตรงกันข้ามจากลักษณะพราหมณ์คนนี้นี่กระไร ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอยากได้ศาสดาผู้พ้นแล้วจากความร่านกระหายเช่นนั้น"
"ก็ใครเล่า ที่ท่านยกย่องกระหายอยากให้เป็นศาสดา? มีนามว่าอย่างไร?
"ข้าแต่ภราดา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าอยากให้เป็นศาสดานั้น คือพระสมณโคดมศากยบุตร ผู้สละสมบัติแห่งศากยราชออกบรรพชาแล้ว พระสมณโคดมพระองค์นี้ มีเกียรติศัพท์อันดีงามเฟื่องฟุ้งทั่วไปว่า เป็นพระผู้ซึ่งไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้บริสุทธิ์ รู้แจ้งในสิ่งทั้งปวง เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ตรัสรู้ มีปรีชาสามารถคือพระพุทธเจ้า ที่ข้าพเจ้าเดินทางมานี้ก็เพื่อจะเฝ้าพระผู้ซึ่งไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า และถวายตนเป็นศิษย์"
"ดูก่อนผู้จารึกแสวงบุณย์ ก็พระผู้ซึ่งไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ตรัสรู้แล้วนั้น บัดนี้อยู่ ณ ที่ไหน?"
"ข้าแต่ภราดา อยู่ไกลไปทางเหนือในจังหวัดสาวัตถี แคว้นโกศล ถัดกรุงสาวัตถีออกไปหน่อย มีสวนเชตวันอุดมด้วยป่าไม้ร่มรื่น ห่างไกลจากเสียงเกรียวกราวหนวกหูต่างๆ สมควรผู้ทำความเพียรจะบำเพ็ญภาวนาได้ สระมีน้ำใสปานแก้วส่งละอองไอขึ้นมาให้สัมผัสความชื่นเย็น และตอนที่เป็นทุ่ง ก็เขียวชอุ่มเดียรดาษด้วยดอกไม้ต่างๆ สล้างสีนับไม่ถ้วนอย่าง หลายปีมาแล้ว เศรษฐีชื่ออนาถบิณฑิก ซื้อสวนนี้จากเจ้าเชต ด้วยราคาเงินเป็นอันมาก ถวายเป็นพุทธนิวาสนสถาน ณ เชตวันอันร่มรื่นมีทุ่งว่าง ซึ่งนักปราชญ์ผู้มีปัญญาเป็นอันมากได้เคยผ่านเข้าไปแล้วนั้น ในเวลานี้พระพุทธองค์ประทับอยู่และข้าพเจ้าก็หวังอยู่ว่า ถ้าขะมักเขม้นเดินทางจากที่นี่ในเวลาราวสักสี่สัปดาหะ ก็จะถึงจังหวัดสาวัตถี แล้วจะได้เข้าเฝ้าแทบเบื้องพระบาทมูล"
"ดูก่อนผู้จารึกแสวงบุณย์ ท่านเคยเห็นพระผู้มีพระภาคนั้นมาแล้วหรือ? ถ้าท่านเห็นจะจำได้หรือไม่?"
"ภราดา ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเห็น ก็คงไม่รู้จักพระองค์"
ครั้นแล้วพระศาสดา ทรงรำพึงว่า "ผู้จารึกแสวงบุณย์คนนี้เดินทางจะไปหาเรา ได้ตั้งใจอุทิศตัวจะมาเป็นสาวกของเรา ถ้ากระไรเราพึงเทศนาหลักพระธรรมให้ฟังบ้าง แม้อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็พอเป็นอุปนิสัย" แล้วหันพระพักตร์ตรงมายังกามนิต ตรัสว่า- "ดวงเดือนพึ่งจะขึ้นมาตรงมุขบ้าน เวลากลางคืนยังอีกยาวนาน การนอนมากนักย่อมทำให้เชื่อมซึม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรังเกียจ เราจะแสดงธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นปฏิการแก่ประวัติที่ท่านเล่าให้ฟัง"
"ข้าแต่ภราดา ข้าพเจ้าต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว โปรดแสดงเถิด"
"ดูก่อนผู้จารึกแสวงบุณย์ ถ้ากระนั้นจงสดับธรรมที่จะแสดงต่อไปนี้ กระทำในใจให้ดีเถิด" ๑๙. พระศาสดา และพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า "ดูก่อนภราดา พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธะนั้น ได้ยังจักรแห่งธรรมอันประเสริฐ ให้หมุนใกล้อิสิปัตนะในมฤคทายวัน จังหวัดพาราณสี ก็แหละจักรแห่งธรรมนั้น อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหม หรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลกนี้ไม่พึงขัดขวางไว้มิให้หมุนได้
พระธรรมที่ทรงประกาศ คือ ธรรมอันให้เห็นแจ้งความจริงอย่างยิ่ง สี่ประการ สี่ประการนั้น คืออะไร? ได้แก่ ความจริงอย่างยิ่ง คือทุกข์ ความจริงอย่างยิ่ง คือเหตุของทุกข์ ความจริงอย่างยิ่ง คือการดับทุกข์ทั้งสิ้น และความจริงอย่างยิ่ง คือทางที่ไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น”
“ดูก่อนภราดา ความจริงอย่างยิ่ง คือทุกข์นั้นอย่างไร? ได้แก่ความเกิดมานี้เป็นทุกข์ ความมีชีวิตล่วงไปๆ เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความอาลัย ความคร่ำครวญ ความทนลำบาก ความเสียใจและความคับใจล้วนเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความประจวบกันสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ความที่ไม่ได้สมประสงค์เป็นทุกข์ รวมความ บรรดาลักษณะต่างๆ เพื่อความยึดถือผูกพันย่อมนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น ดูก่อนภราดา นี่แหละความจริงอย่างยิ่งนั้นคือ ทุกข์”
“ก็แหละความจริงอย่างยิ่ง คือ เหตุของทุกข์นั้นอย่างไร? ได้แก่ความกระหายซึ่งทำให้เกิดมีสิ่งต่างๆ อันความเพลิดเพลินใจและความร่านเกิดตามไปด้วย เพลิดเพลินนักในอารมณ์นั้นๆ คือ กระหายอยากให้มีไว้บ้าง กระหายอยากให้คงอยู่บ้าง กระหายอยากให้พ้นไปบ้าง ดูก่อนภราดา นี้แหละความจริงอย่างยิ่งคือ เหตุของทุกข์” “ก็แหละความจริงอย่างยิ่ง คือ การดับทุกข์ทั้งสิ้นนั้นอย่างไร? ได้แก่ความดับสนิทแห่งความกระหายนี้เองไม่ใช่อื่น ความสละเสียได้ ความปลดเสียได้ ความปล่อยเสียได้ ซึ่งความกระหายนั้นแหละ และการที่ความกระหายนั้นไม่ติดพัวพันอยู่ ดูก่อนภราดา นี้แหละความจริงอย่างยิ่งคือการดับทุกข์ทั้งสิ้น”
“ก็แหละความจริงอย่างยิ่ง คือ ทางไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้นนั้นอย่างไร? ได้แก่ทางอันประเสริฐมีองค์แปด คือความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ดูก่อนภราดา นี้แหละความจริงอย่างยิ่ง คือทางไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น”
เมื่อพระศาสดา มีพระพุทธบรรหาร ด้วยอริยสัจเป็นเบื้องต้นปานว่าได้ประดิษฐานหลักศิลาขึ้นสี่มุมด้วยประการดั่งนี้แล้ว ก็ทรงยกพระธรรมทั้งมวลขึ้นตั้งประกอบ โดยอุบายให้เป็นดั่งเรือนยอด สำหรับเป็นที่อาศัยแห่งดวงจิตผู้สาวก ทรงจำแนกแยกอรรถออกเป็นตอนเนื้อความ แล้วทรงชี้แจง กำกับการไป เสมือนดั่งบุคคลตัดแท่งศิลาออกเป็นชิ้นๆ แล้ว และขัดเกลาฉะนั้น ทรงเชื่อมตอนเนื้อความต่อเนื้อความ เสมือนบุคคลได้ลำดับซ้อนแท่งศิลาเหล่านั้น ผจงจัดดุจเป็นรากให้รับกันเองแน่นหนา มีสัมพันธ์เนื่องถึงกันตลอดเรียบร้อย ทรงนำหลักความเห็นแจ้งว่าสิ่งทั้งปวงย่อมแปรปรวนเข้าประกอบกับหลักความเห็นแจ้งว่า สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์แล้วเชื่อมหลักทั้งสองนี้เป็นดั่งซุ้มทวาร ด้วยเครื่องประสาน คือมนสิการ อันแน่นแฟ้นที่ว่าสภาวธรรมทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา-เลือกเอาไม่ได้ ทรงนำสาวกเข้าสู่ทวารอันมั่นคงนี้ คราวละขั้นเป็นลำดับไป แล้วย้อนลงย้อนขึ้นหลายครั้งหลายครา โดยขึ้นบันไดอันสร้างไว้มั่นคงแล้ว คือปฏิจจสมุปบาท หลักธรรมอันมีเหตุผลอาศัยกันเองเกิดขึ้นเป็นขั้นๆ สืบเนื่องดั่งลูกโซ่ ซึ่งมั่นคงเต็มที่อยู่ทั่วไป
อันว่า นายช่างผู้เชี่ยวชาญ ก่อสร้างปราสาทมโหฬาร ย่อมเพิ่มรูปศิลาจำหลักไว้ในที่สมควรตามทำนอง มิใช่จะใช้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นประโยชน์รองรับหรือค้ำจุนที่บางแห่งนั้นไว้ด้วย ความข้อนี้อุปมาฉันใด พระศาสดาในบางคราวย่อมทรงชักเอาเรื่องที่เปรียบเทียบเป็นภาษิตที่น่าฟังและสมด้วยกาลสมัยขึ้นแสดง ก็อุปไมยฉันเดียวกัน เพราะทรงเห็นว่า เทศนาวิธีชักอุทาหรณ์ขึ้นสาธกเปรียบเทียบ ย่อมกระทำไห้พระธรรมอันประณีตลึกซึ้งที่ทรงสำแดงหลายข้อ ให้แจ่มแจ้งขึ้นได้แก่บางเวไนยชน
ในท้ายแห่งเทศนา พระองค์ทรงประมวลพระธรรมบรรยายทั้งหมดในคราวเดียวกัน เสมือนด้วยเรือนอันตะล่อมขึ้นด้วยยอดเด่นเห็นสง่างามรุ่งเรืองได้แต่ไกล ด้วยพระวาจาว่าดั่งนี้ "ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ ความเกาะเกี่ยวใคร่กระหายต่อความเกิดย่อมเป็นเหตุให้ถึงความเกิด หากตัดความใคร่กระหายเช่นนั้นเสียได้ขาด ท่านก็ย่อมไม่เกิดในภพใดๆ อีก
"อันภิกษุ ผู้พ้นจากความเกาะเกี่ยวยึดถือพึงใคร่ในอารมณ์ใดๆ แล้ว ย่อมบังเกิดญาณความรู้แจ้งขึ้นในจิตอันสงบแจ่มใสปราศจากอวิชชาความมืดมัว ว่า "วิมุตติความหลุดพ้นนั้น บัดนี้เป็นผลประจักษ์แล้ว นี้คือ ความเกิดเป็นครั้งที่สุด สิ้นความเกิดใหม่ในภพโน้นแล้ว"
“ภิกษุผู้บรรลุธรรมปานนี้ ย่อมได้รับตอบแทนคือธรรมรสอันล้ำเลิศ ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ ก็ธรรมรสอันล้ำเลิศนั้นคืออะไร? ได้แก่ "ญาณอันรู้ว่าทุกข์ทั้งปวงดับแล้ว ผู้ใดได้รับรสพระธรรมนี้ ก็ย่อมพบความหลุดพ้นอันเป็นผลเที่ยงไม่แปรผัน เพราะสิ่งใดไร้สาระเป็นอยู่ชั่วขณะ สิ่งนั้นไม่ใช่ของจริง สิ่งใดมีสาระคงที่ถาวร สิ่งนั้นเป็นของจริง และเป็นที่สุดแห่งสิ่งมายาทั้งปวง”
“ผู้ใดจำเดิมแต่ต้นมาทีเดียว ตกอยู่ในความเกิด ในความสืบชีวิตเปลี่ยนไปๆ ในความตาย และบัดนี้ได้กำหนดรู้ไว้ดีแล้ว ซึ่งลักษณะแห่งสภาพอันเป็นพิษนี้ ผู้นั้นย่อมชนะด้วยตนเองแล้ว ถึงซึ่งความพ้นภัยในความเกิด ความแก่ และความตาย และเขาซึ่งเคยตกอยู่ในโรคาดูรในมลทินกิเลส ในบาป ผู้นั้น ณ บัดนี้ได้รับความรับรองแน่นอนแล้วว่าไม่มีพิการแปรผัน อันเป็นผลสะอาดหมดจด และเป็นบุณย์-“
"เราพ้นแล้ว ความหลุดพ้นได้ประจักษ์แล้ว ชาติหยุดอยู่เพียงนี้แล้ว กรณียะของเราสำเร็จแล้ว โลกนี้หยุดแก่เรา ไม่สืบต่ออีกแล้ว"
“ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชนมีญาณทรรศนะเช่นนี้เชื่อว่าผู้สำเร็จแล้ว เพราะเขาเสร็จสิ้นธุระ และถึงที่สุดบรรดาความทุกข์ยากทั้งปวง”
“ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชนมีญาณทรรศนะเช่นนี้ ชื่อว่าผู้ได้ขจัดแล้ว เพราะเขาได้ขจัดแล้วซึ่งอุปาทาน (ความออกรับ?) ว่า "ตัวเรา" และ "ของเรา"
“ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชนมีญาณทรรศนะเช่นนี้เชื่อว่าผู้ถอนแล้ว เพราะเขาได้ถอนแล้วซึ่งต้นไม้คือ ความมี ความเป็นตลอดกระทั่งรากมิให้เหลือเชื้อเกิดขึ้นได้อีก”
“บุคคลมีลักษณะเช่นนี้ ตราบเท่าที่ยังมีร่างอยู่ เทวดาและมนุษย์คงเห็นได้ แต่เมื่อร่างสลายเพราะความตายแล้ว เทวดาและมนุษย์มิได้เห็นต่อไป แม้แต่ธรรมดาผู้เห็นได้ตลอด ก็ไม่เห็นเขาคนนั้นอีก ผู้นั้นได้ทำให้ธรรมดาถึงความบอดแล้ว เขาพ้นจากมารแล้ว ได้ข้ามห้วงมหรรณพที่ต้องแหวกว่ายวนเกิดเวียนตาย ถึงเกาะอันเป็นแหล่งเดียวที่ผุดพ้นเหนือความเกิดความตาย กล่าวคือ พระอมฤตมหานิรพาณ".
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 14:30:30 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2557 17:28:24 » |
|
.๒๐. เด็กดื้อ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมจบลงแล้ว กามนิตชายอาคันตุกะนั่งนิ่งอยู่นาน ดวงจิตเกิดปั่นป่วนรวนเรด้วยความสนเท่ห์สงสัยหนักใจหลายพันนัย ถอนหายใจกล่าวถามว่า "ท่านได้อธิบายถึงความที่ภิกษุยังเมื่อได้มีชีวิตอยู่ ว่าควรจะตัดความทุกข์เสียได้มากพออยู่แล้ว ก็แหละเมื่อร่างกายผู้นั้นจมลงในห้วงแห่งความตาย กลับคืนไปสู่สภาพซึ่งเป็นธาตุเดิม นับแต่นั้นไป เทวดาและมนุษย์ หรือตลอดจนธรรมดาก็ไม่เห็นเขาอีก แต่ท่านยังมิได้กล่าวให้แจ้งว่าผู้นั้นตายแล้วเป็นอย่างไรต่อไป และเรื่องสวรรค์อันเป็นสถานบรมสุขที่ผู้ได้ขึ้นไปอยู่จะไม่รู้จักตาย ข้าพเจ้ายังไม่ได้ฟังสักน้อย ก็พระพุทธเจ้าไม่ตรัสเรื่องนี้บ้างดอกหรือ?
"เป็นดั่งนั้น เป็นดั่งนั้น ภราดา พระศาสดามิได้รับรองเรื่องนี้เลย"
"เช่นนั้น ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงทราบเรื่องอันสำคัญที่สุดแห่งบรรดาเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด เป็นอันไม่ดีไปกว่าข้าพเจ้า"
"ท่านเห็นเช่นนั้นหรือ? ดูก่อนอาคันตุกะ จงฟังหน่อย ณ ป่าไม้ประดู่ลาย ในจังหวัดโกสัมพี ท่านกับวาสิฏฐีให้ปฏิญญากันว่าจะครองสัตย์ไว้เป็นนิรันดร และสัญญาว่าจะได้พบปะกันอีกที่บนสวรรค์แดนสุขาวดี ณ ที่นั้น สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยอยู่ วันหนึ่งพระองค์ออกจากป่าประดู่ลาย กำใบประดู่ลายไปด้วย ตรัสกะบรรดาสาวกว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันใบไม้ที่เรากำไว้นี้ กับใบไม้ที่อยู่ในป่าโน้น ข้างไหนจะมากกว่ากัน?" บรรดาสาวกทูลตอบทันทีว่า "ใบไม้ในพระหัตถ์มีจำนวนน้อยกว่าที่มีอยู่ในป่าโน้นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริงก็เช่นนั้น สิ่งที่เราตถาคตเห็นแจ้งแล้ว แต่มิได้แสดงให้แก่พวกท่าน ย่อมมีมากกว่าที่ได้แสดงแล้ว มีอุปมาเหมือนใบประดู่ลายที่อยู่ในมือเรา กับที่มีอยู่ในป่าฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นไฉนเราจึ่งไม่แสดงให้ฟังทั้งหมด? ก็เพราะไม่เป็นสาระประโยชน์เพื่อความหลุดพ้น ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายในโลกีย์ ไม่เป็นไปเพื่อความจืดจางความรักใคร่ยินดี ไม่เป็นไปเพื่อความเย็นใจ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง ไม่เป็นไปเพื่อความตื่นเต็มที่ และในที่สุด ก็ไม่เป็นไปเพื่อนิรพาณ"
กามนิต "ถ้าพระศาสดาได้ตรัสดั่งนั้นไปป่าประดู่ลาย ใกล้กรุงโกสัมพี เรื่องก็ซ้ำร้ายหนัก เพราะถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่าที่พระองค์ทรงนิ่งเสียไม่แย้มพรายเรื่องสวรรค์ คงเพื่อจะไม่ให้สาวกเกิดความท้อถอยว้าเหว่ใจ ในการพยายามหาความหลุดพ้นเพื่อความสูญนั่นเอง ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าที่ไม่ทรงอธิบายคงเป็นด้วยลัทธิความประสงค์ ดั่งที่ท่านแสดงมาชัดแจ้งอยู่แล้ว ก็เมื่ออินทรีย์ทั้งหก เป็นของไม่เที่ยง ไม่มีอาตมันตัวตนควรละวางเสีย เพราะล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดั่งนี้จะมีชิ้นอะไรเหลืออยู่อีกเล่า ที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวกันต่อไป? ข้าแต่ท่านอริยะ ตามหลักลัทธิที่ท่านแสดงให้ฟังนี้ ข้าพเจ้าจะต้องเข้าใจว่า ภิกษุผู้พ้นแล้วจากบาปมลทินทั้งสิ้น ย่อมตกเป็นเหยื่อแห่งความสูญ ในเมื่อร่างกายสลายแล้ว คือตายแล้วก็สูญไปเท่านั้น ไม่มีความเกิดความเป็นอีก"
"ดูก่อน อาคันตุกะ ท่านได้บอกเราแล้วมิใช่หรือว่าภายในหนึ่งเดือน ท่านจะไปเข้าเฝ้าแทบบาทมูลพระพุทธเจ้า ณ เชตวัน จังหวัดสาวัตถี?"
"ข้าพเจ้าหวังไว้เช่นนั้น ท่านผู้เจริญ เหตุไฉนท่านจึ่งถาม?"
"กระนั้น เมื่อท่านได้เฝ้าแทบบาทมูลพระศาสดา ท่านจะคิดว่าอย่างไร เมื่อได้เห็นพระรูปกาย? และเพียงอาจถูกต้องพระกายเท่านั้นหรือ ที่รู้ว่าพระองค์คือพระพุทธเจ้า?"
"หามิได้ ท่านผู้เจริญ"
"หรือบางที เมื่อพระศาสดาตรัสกะท่าน ตัวท่านรู้สึกด้วยใจ และความที่ตัวท่านเห็นขึ้นในดวงจิตนั้น เข้าใจว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือ?"
"หามิได้ ท่านผู้เจริญ"
"ถ้าเช่นนั้น รูปและนามหรือกายและใจรวมกัน คือพระพุทธเจ้าหรือ?"
"ข้าพเจ้าไม่เห็นเช่นนั้นเลย ท่านผู้เจริญ"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านคิดหรือเปล่า ว่าพระพุทธเจ้ามีความเป็นอยู่นอกเหนือจากพระกายหรือพระมนัส หรือว่านอกเหนือทั้งสองประการ? สหาย ความเห็นของท่านดั่งนี้หรือ?"
"พระพุทธเจ้า ตามที่ข้าพเจ้าคิดเห็น ย่อมเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสิ่งที่กล่าว ภาวะแห่งพระองค์ ไม่พึงเห็นได้จากสิ่งเหล่านี้"
"เช่นนั้น ถ้ากาย อันมีลักษณะที่จะให้เกิดความรู้ขึ้นได้ ยังไม่เป็นเหตุให้ท่านรู้ว่าพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีอำนาจอย่างอื่นอะไรอีก ที่จะทำให้ท่านเห็นแจ้งในพระองค์?"
"ท่านผู้เจริญ อำนาจอย่างอื่นดั่งที่ว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าไม่มี-"
"ดูก่อน สหายกามนิต ถ้าเช่นนั้น ในโลกที่เห็นอยู่นี้ ตามความจริง ท่านก็ไม่สามารถเห็นพระกายอันแท้ของพระพุทธเจ้าได้ แล้ว ท่านจะควรกล่าวละหรือว่า พระพุทธเจ้าหรือภิกษุที่หลุดพ้นจากบาปมลทินทั้งปวงนั้น เมื่อตายแล้วก็สูญ คือ ไม่มีอะไรเป็นได้อีกต่อไป ในเมื่อท่านไม่มีอำนาจญาณทรรศนะที่จะเห็นพระสาระอันแท้จริงของพระองค์ได้?"
กามนิตนั่งนิ่งก้มศีรษะอึดอัดใจอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเกิดปฏิภาณขึ้นมาแวบหนึ่ง ตอบว่า-
" แม้ถึงข้าพเจ้าจะไม่มีสิทธิเพื่อกล่าวเช่นนั้นได้ก็จริงอยู่ แต่ก็ยังเห็นความที่พระพุทธเจ้าทรงนิ่งมิได้แสดงนั้นได้ชัดว่า ถ้าพระองค์มีสิ่งที่จะแสดงให้บังเกิดความปีติเป็นบำเหน็จได้แล้ว พระองค์คงไม่ทรงนิ่งอยู่เท่านั้น เพราะภิกษุซึ่งชนะความทุกข์ ถ้าแจ้งว่าเมื่อตายไปแล้วไม่สูญจะต้องได้รับบรมสุขเป็นนิรันดรไซร้ ก็ย่อมจะเกิดปีติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงน้ำใจชุ่มชื่นยิ่งขึ้น ไม่แห้งแล้งเสียทีเดียว ตั้งหน้าทำความเพียร"
"สหาย ท่านคิดเช่นนั้นหรือ? ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ามิได้ชี้ความดับทุกข์ ว่าเป็นสุดทางปฏิบัติ หรือมิได้สอนให้กำหนดความรู้ความทุกข์ เป็นปากทางปฏิบัติก่อน เอาแต่พร่ำด้วยวิธียกสมบัติสวรรค์ในชาติหน้ามาชม เพื่อล่อใจว่าเมื่อตายแล้วจะไปเกิดใหม่ในสิบหกชั้นฟ้า ได้เสวยศฤงคารสมบัติในสวรรค์นั้นมีแต่ความสุขได้อย่างใจทุกประการ เพียงเท่านั้นจะมีผลเป็นอย่างไร? คงมีสาวกอเนกอนันต์ มีความเชื่อถือยินดีรับรองคำสอนไว้โดยเร็ว และคงเพียรพยายามเพื่อความหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ด้วยความเต็มใจ แต่หารู้สึกไม่ว่าความเพียรเพื่อหลุดพ้นแต่เป็นไปในอาการเช่นนี้ ย่อมเป็นการรั้งเอาตัณหา คือ ความร่านกระหายติดไปด้วยกันกับตนอย่างแน่นหนา ต้องวนไปเวียนมาในเหตุแห่งความทุกข์ แล้วก็ได้รับผลคือความทุกข์ จะหลุดทุกข์ไปไม่พ้นเลย เปรียบเหมือนสุนักเฝ้าบ้าน ผูกล่ามไว้กับเสา พยายามจะให้หลุดพ้นเครื่องล่ามไป แต่ก็รั้งเอาเครื่องล่ามนั้นไปด้วยรอบๆ เสา ก็หาหลุดไปได้ไม่ อุปมาฉันใด ภิกษุผู้ตั้งความเพียรเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อรั้งเอาตัณหาต้นเหตุทุกข์มาเพลินใจไว้ด้วย ก็ต้องวนเวียนรับทุกข์แล้วทุกข์เล่า ไม่ออกจากภพน้อยภพใหญ่ไปได้ มีอุปไมยอย่างเดียวกัน"
"ข้อนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นอันตรายต่อการหลุดพ้นอยู่ เพราะอาจไปรับทุกข์แต่ก็ยังเห็นว่า ลัทธิที่มาชี้แจงเสียอย่างนี้ ย่อมเป็นอันตรายร้ายกว่า เพราะทำให้ความเพียรที่บำเพ็ญมาแต่ต้นหย่อนล้า หมดอยากลงไป เพราะถ้าตายก็สูญไม่ได้ไปเกิดในสถานบรมสุข ไม่ได้รับบำเหน็จที่ลงทุนเพียรเหนื่อยยากมา"
"สหาย ถ้าเรื่องจะเป็นอย่างต่อไปนี้ ท่านจะสำคัญอย่างไร? ต่างว่าไฟกำลังไหม้บ้าน บ่าววิ่งเข้าไปปลุกนายว่า "ลุกขึ้นเถิดท่าน รับหนีไปโดยเร็ว ไฟกำลังจะไหม้บ้าน ขณะนั้นหลังคาและไม้เคร่าถูกไฟไหม้ กำลังจะร่วงตกลงมาอยู่แล้ว ถ้านายจะตอบบ่าวว่า "เจ้าออกไปดูก่อน ว่าข้างนอกบ้านฝนตกหรือเปล่า มีพายุหรือเปล่า เดือนมืดหรือเปล่า ต่อฝนไม่ตก พายุไม่มี เดือนไม่มืด ข้าจึงจะออกจากบ้านไป"
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไฉนผู้เป็นนายจะกล่าวแก่บ่าวอย่างนี้? เพราะบ่าววิ่งเข้ามาปลุกด้วยความตกใจ บอกว่าให้หนีออกจากบ้านไป เพราะไฟไหม้ถึงเคร่า และหลังคากำลังจะตกลงมาอยู่แล้ว"
"ก็ถ้าหากว่า ผู้เป็นนายจะตอบว่า "เจ้าออกไปดูก่อนว่าข้างนอกบ้านฝนตกหรือเปล่า มีพายุหรือเปล่า เดือนมืดหรือเปล่า ถ้าฝนไม่ตก พายุไม่มี เดือนไม่มืด ข้าจึ่งจะออกบ้านไป ดั่งนี้ ท่านคงจะเห็นว่า เรื่องที่บ่าวอันซื่อสัตย์ ได้มาบอกว่ากำลังเกิดภัยร้ายแรงอยู่ในบ้านนั้น ผู้เป็นนายคงฟังไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ?"
"ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าก็ย่อมจะลงความเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะคิดไม่เห็นเลยว่านายไหนจะเป็นบ้าพอถึงจะตอบอย่างนั้น"
"ถูกแล้ว อาคันตุกะ ตัวท่านในเวลานี้ก็เหมือนกับมีเพลิงลุกฮืออยู่รอบศีรษะ เพราะบ้านของท่านกำลังถูกไฟไหม้ บ้านอะไร? โลกนี้ก็คือบ้านของท่านเอง ถูกไฟอะไรไหม้? ถูกไฟคือความรักใคร่ยินดี ไฟคือโทสะ และไฟคือความหลง มาเผาอยู่ สกลโลกย่อมถูกไฟนี้เผาผลาญอยู่ สกลโลกอัดแน่นอยู่ด้วยควันไฟนี้ และสากลโลกก็สะท้านไหวจนถึงราก เพราะฤทธิ์ไฟนี้พลุ่งโพลงเต็มกำลังแรง"
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายดั่งนี้ กามนิตมีอาการสั่นเทิ้มคล้ายลูกแหง่ ที่ได้ยินเสียงบันลือแห่งราชสีห์ในพุ่มไม้ใกล้ตัว ทรุดกายยวบ ศีรษะตกฟุบอก นั่งนิ่งคอตันเป็นครู่ใหญ่ ครั้นระบายลมหายใจได้บ้างแล้ว ก็กล่าวด้วยเสียงสั่น แต่กระด้างว่า "ตามที่อธิบายมานี้อย่างไรก็ยังไม่เป็นทางที่ข้าพเจ้าพอใจ พระพุทธเจ้าช่างไม่ทรงแสดงเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากจะทราบเสียเลย ถึงแม้พระองค์สามารถจะทรงชี้แจงได้ แต่มิได้ทรงแสดงให้เป็นที่ชื่นใจก็ดี หรือทรงนิ่งเสีย เพราะทรงเห็นว่าจะไม่เป็นเหตุให้พ้นทุกข์ก็ดี หรือว่าพระองค์ไม่ทรงทราบเลยก็ดี เหล่านี้จะด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ข้าพเจ้าก็มิได้พอใจด้วยทั้งนั้น เพราะความคิดและความพยายามของมนุษย์ ย่อมมุ่งหาความสุขความบันเทิง เมื่อไม่มีชิ้นอะไรล่อใจให้หวังเสียก่อน ก็ไม่พยายามเท่านั้น ว่ากันทำไมมี และเมื่อมีพยายามย่อมมีหวัง แต่นี่พยายามไปหาความหมดหวัง เราจะไม่ต้องทำความพยายามให้ลำบากมิดีหรือ? เพราะความสุขความบันเทิง เป็นมูลแห่งธรรมชาติ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์ และเพื่อให้สมตามนี้ ข้าพเจ้าได้ยินคำอธิบายของพราหมณ์ว่าดั่งนี้ :-
"ต่างว่า ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นผู้สามารถรับความรู้ ว่องไว แข็งแรง มีอำนาจยิ่งกว่าชายหนุ่มทั้งหลาย โลกพร้อมด้วยขุมทรัพย์ ที่มีอยู่ก็ตกเป็นสมบัติของชายหนุ่มคนนี้ นี่คือความบันเทิงสุขอันควรแก่มนุษยชาติ ความบันเทิงสุขของมนุษย์นี้ร้อยเท่า เป็นความบันเทิงสุขของบุพเปตบุรุษบนสวรรค์ ความบันเทิงสุขของบุพเปตบุรุษในสวรรค์ร้อยเท่าเป็นความบันเทิงสุขของบุพเปตบุรุษบนสวรรค์ เป็นความบันเทิงสุขของเทวดาสามัญ ความบันเทิงสุขของพระอินทร์ ความบันเทิงสุขของพระอินทร์ร้อยเท่า เป็นความบันเทิงสุขของพระประชาบดี ความบันเทิงสุขของพระประชาบดีร้อยเท่า เป็นความบันเทิงสุขของพระพรหม นี่คือความบันเทิงสุขอันเลิศ นี้คือวิถีไปสู่ความบันเทิงสุขอันเลิศ"
พระพุทธเจ้า "ดูก่อนอาคันตุกะ ทั้งนี้ก็เช่นเด็กไม่เดียงสาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ เด็กคนนี้เจ็บฟันปวดร้าวไปหมด พอเห็นแพทย์ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ ก็วิ่งไปหา และบอกถึงความทุกข์ให้ฟังว่า "ข้าพเจ้าขอความกรุณาให้ใช้ความรู้ของท่านทำให้รู้สึกเกิดปีติสุข แทนความเจ็บปวดที่มีอยู่ในขณะนี้" แพทย์ตอบว่า "ความรู้ที่มีอยู่ก็คือถอนเหตุเจ็บปวดนั้นเสีย ที่จะทำให้เกิดความสุขทั้งๆ ไม่ถอนเหตุเจ็บปวดเสียก่อนย่อมไม่ได้" แต่เด็กนั้นไม่พอใจ คร่ำครวญว่า "ได้ทนความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฟันมานานแล้ว จึ่งควรได้รับรสแห่งความบันเทิงสุขแทน และก็ได้ทราบว่ามีแพทย์วิเศษที่สามารถทำให้เกิดความสุขได้ โดยไม่ต้องถอนฟันที่เจ็บออก เข้าใจว่าท่านคือแพทย์วิเศษที่อาจทำได้ เมื่อท่านไม่สามารถจะทำได้ก็ต้องไปหาแพทย์อื่น" ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไป มีแพทย์เถื่อนทำปาฏิหาริย์เล่นกลได้ มาจากแคว้นคันธาระ ตีกลองร้องโฆษณาว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ความไม่มีโรคเป็นที่มุ่งของมนุษย์ ผู้ใดมีความเจ็บป่วยทนทุกขเวทนาร้ายแรงเพียงไร ก็อาจรักษาให้กลับเป็นผู้มีแต่ความสุขความบันเทิงทั่งทั้งสรรพางค์กายได้ โดยเสียค่ารักษาอันย่อมเยา" เด็กเจ็บฟันวิ่งไปหาแพทย์เล่นกล และขอให้ช่วยเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความบันเทิงสุขด้วย แพทย์เล่นกลก็อวดอ้างและรับรองว่าตนมีความรู้ความชำนาญในทางนี้ ว่าแล้วเรียกเงินค่ารักษาเสียก่อน เอานิ้วแตะที่ฟันเสกคาถาอาคมตามพิธี เด็กนั้นรู้สึกหายเจ็บปวด วิ่งกลับบ้านด้วยความแช่มชื่นรื่นเริงเป็นความสุข"
"ต่อมาไม่ช้า ครั้นความรู้สึกเป็นสุขนั้นค่อยจืดจางลงไป ความเจ็บปวดก็มาแทนที่อีก ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะไม่ถอนเอาต้นเหตุแห่งความปวดนั้นออกเสียก่อน"
"ดูก่อนอาคันตุกะ แต่ต่างว่า ชายคนหนึ่งเจ็บปวดฟันสาหัส แต่เป็นผู้มีความคิด ได้ไปหาแพทย์ผู้มีความชำนาญ แพทย์บอกว่าจะต้องจัดการที่ตรงฟันปวดจึ่งจะหาย ชายคนนั้นบอกว่าก็มีความต้องการอย่างนั้น แพทย์จึ่งตรวจดูที่ฟัน เห็นต้นเหตุว่าที่ปวดเป็นเพราะเหงือกอักเสบ ได้แนะนำให้เอาปลิงเกาะดูดเลือดร้ายออกมาเสียก่อน แล้วเอายาพอก ชายผู้นั้นทำตามแนะนำความเจ็บปวดก็หายขาด ไม่กลับมาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะถอนเอาต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดออกเสีย"
เมื่อพระศาสดาทรงชักอุทาหรณ์ขึ้นเปรียบเทียบดั่งนี้ กามนิตนั่งนิ่ง คอตกหมดปฏิภาณไม่ทราบว่าจะโต้อย่างไร แต่ก็ยังไม่ยอมตน ที่จะเป็นเหมือนเด็กไม่เดียงสาในอุทาหรณ์ ในที่สุดสงบอารมณ์อันป่วนปั่นได้แล้ว ก็ถามเสียงกระเส่าๆ ว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ข้อความที่กล่าวมาทั้งนี้ ท่านได้ยินมาจากพระโอษฐ์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเองหรือ?"
พระพุทธเจ้าทรงยิ้มน้อยๆ ซึ่งพระอาการอย่างนี้นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง ตรัสตอบว่า "ดูก่อนภราดา เราบอกไม่ได้ว่าได้ยินมาจากพระโอษฐ์พระศาสดาเอง"
เมื่อกามนิตได้ฟังดั่งนี้ ก็มีอาการโล่งใจหายหดหู่ตัว มีดวงตาแจ่มใสขึ้น เสียงก็หายกระเส่า ออกอุทานว่า "นั่นนะซี! ข้าพเจ้าไม่แน่ใจในคำกล่าวของท่านก่อนแล้ว บัดนี้รู้แจ้งว่าคำอธิบายที่ท่านกล่าวหาใช่ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าไม่ แต่เป็นโวหารอ้อมค้อมที่ท่านนึกเฉลยเอาเองโดยความเข้าใจผิด แท้จริง ธรรมพระพุทธเจ้าย่อมอำนวยผลประโยชน์ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด? ดั่งนี้ ใครจะอาจกล่าวหลู่หลักธรรมอันนั้นได้ ว่ามิได้อำนวยผลบันเทิงสุขอย่างยอดเยี่ยมให้ อย่างไรก็ดี ในอีกสองสามสัปดาห์ ข้าพเจ้าก็จะได้เฝ้าพระศาสดาแทบพระบาทมูลแล้วรับเอาซึ่งพระธรรมเพื่อหลุดพ้น โดยตรงจากพระโอษฐ์เอง เหมือนดั่งทารกที่ได้ดูดสิ่งโอชาอันชุ่มชื่นจากอกมารดาเองฉะนั้น และท่านก็จะได้ไปเฝ้าด้วย แล้วรับเอาพระธรรมอันแท้จริง ตัวท่านก็จะเปลี่ยนความเข้าใจอันกวัดแกว่งนี้เสียได้ เชิญท่านดูดวงจันทร์อันแหว่งที่เลื่อนลอยไปถึงแนวชายคาหอนั่งแล้ว คงเป็นเวลาดึกมากอยู่ ควรที่เราจะพักผ่อนนอนกันเถิด"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดีแล้ว พลางทรงชักพระอุตราสงค์คลุมพระกายแนบแน่นเป็นปริมณฑล เอนองค์ลงเหนือพระสันถัตในอาการสีหไสยา พระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร พระบาทซ้ายซ้อนเหลื่อมพระบาทขวา ทรงกำหนดเวลาที่จะเสด็จตื่นบรรทม ดำรงพระสติสัมปชัญญะเข้าสู่ภวังคนิทรารมณ์ ๒๑. ในท่ามกลางความเป็นไป หญิงคนหนึ่งอยู่บนมุมบ้านตะโกนบอกให้ระวังตัว แต่กามนิตก็ไม่ได้ยิน ตาจ้องอยู่ที่ยอดหอคอย ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายอยู่ตรงหน้า เพื่อมิให้เลี้ยวผิดทาง กว่าจะรู้สึกตัวก็พอดีโคบ้ากรากเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว เมื่อพระศาสดาตื่นบรรทมเวลาเช้าตรู่ ทอดพระเนตรเห็นกามนิตตื่นอยู่ก่อนแล้ว กำลังม้วนเสื่อ เอาน้ำเต้าขึ้นสะบายบ่า แล้วกวาดตามองหาไม้เท้า ซึ่งเดิมวางพิงไว้ที่มุมห้อง แต่เลื่อนล้มอยู่กับพื้นซึ่งไม่สังเกตเห็น ขณะที่มองหาอยู่นั้นมีกิริยาอาการรีบร้อนมาก
พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ตรัสปราศรัยว่า "ดูก่อนภราดา นี่ท่านจะไปเที่ยวหรือ?"
กามนิตตอบด้วยอาการตื่นเต้นว่า "แน่นอน ขอให้ท่านคิดดูเถิด จะว่าขบขันก็ขันเหลือ จะว่าประหลาดก็ประหลาดจริง แทบไม่เชื่อว่าจะมีโชคเป็นพิเศษดั่งนี้ คือ เมื่อสักครู่นี้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นรู้สึกคอแห้งผาก เพราะสนทนากันเมื่อคืนนี้นาน ไม่มีอะไรจะทำ จึ่งลุกขึ้นไปที่สระถัดทางโน้นไปใต้ต้นมะขามนั่น พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลักตักน้ำ ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าพเจ้าได้ข่าวอะไรจากหญิงคนนั้น? คือ ได้ทราบว่าพระศาสดามิได้ประทับอยู่ ณ จังหวัดสาวัตถีแล้ว รู้หรือไม่ละท่าน ว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ไหน? เมื่อวานนี้เองพระองค์พระพุทธเจ้า มีกล่าวสรรเสริญกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า มีคุณให้เกิดผลบันเทิงสุขในเบื้องต้น พร้อมด้วยสาวกสามร้อยได้เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์นี้ และขณะนี้ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงถัดออกไปนอกกรุงทางโน้น ในเวลาอีกชั่วโมงเดียวหรือบางทีจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าจะได้เฝ้าพระองค์ ผิดคาดหมายที่นึกไว้ว่าจะได้พบพระองค์ต่อเวลาตั้งสี่สัปดาหะ เห็นอย่างไรละท่าน อีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น? หญิงตักน้ำบอกว่า ถ้าไม่ไปทางถนนใหญ่ แต่ลัดตรอกซอกถนน ตัดข้ามออกไปทางประตูด้านตะวันตก เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึง ไม่เคยนึกฝันเลย ใจร้อนเร่งเต็มที ขอลาท่านละ ท่านเป็นผู้มีความหวังดีในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ลืมกลับมาพาท่านไปเฝ้าพระศาสดาด้วย ขอลาที จะชักช้าอยู่อีกไม่ได้"
กล่าวแล้ว กามนิตก็ขมีขมันออกจากบ้านไป วิ่งไปตามถนนโดยเร็ว ครั้นไปถึงประตูกำแพงกรุงราชคฤห์ ยังไม่ถึงเวลาเปิด กามนิตจำต้องรอคอยอยู่เป็นครู่หนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่านานตั้งกัลป์ ทำให้ใจเดือดพลุ่งพล่านเป็นอันมาก ได้ใช้เวลาที่รอคอย ถามหาความรู้จากหญิงแก่ซึ่งนำผักจะเข้าไปขายในเมือง แต่ต้องนั่งคอยอยู่เหมือนกัน ว่าทางลัดที่ใกล้ที่สุดไปทางไหน จนได้ความรู้ดี พอถึงเวลาเปิดประตูเมือง กามนิตก็วิ่งเข้าไปตามทางที่หญิงแก่บอกไว้ อารามจะไปให้ถึงเร็วไม่ได้ดูเหนือใต้ พุ่งไปชนเด็กหกล้มสองสามคน แล้วโดนหญิงคนหนึ่งกำลังล้างชามอยู่ข้างถนน จนชามกลิ้งตกแตก ถัดจากนั้นไปโดนคนหาบน้ำ ถูกใครต่อใครตะโกนด่าว่าอย่างโกรธจัด แต่กามนิตจะได้ยินก็หาไม่ เพราะกำลังตื่นปลื้มในลาภที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาอันเร็ว ผิดความคาดหมายมาก
บังเกิดปีติซาบซ่านว่า "โชคดีจริงหนอ? กว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสสักองค์หนึ่งก็เป็นเวลาหลายชั่วอายุคน ถึงแม้ว่าในรุ่นอายุสมัยที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ผู้จะได้เห็นพระองค์ก็น้อยนัก บัดนี้ความสุขที่เราจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นของแน่แล้ว หวั่นๆ อยู่ว่า จะต้องเดินทางไกล เผชิญอันตรายตลอดทางด้วยโจรและสัตว์ร้าย จะทำให้ไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระองค์ แต่คราวนี้ เป็นอันสมประสงค์เทียวละ"
เมื่อกามนิตวิ่งเลี้ยวลัดเข้าไปทางตรอกที่แคบที่สุด กำลังมีใจตื่นมุ่งอยู่อย่างนี้ จนไม่ได้สังเกตเห็นโคบ้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่คนแตกกระจายมาข้างหน้า ต่างหนีเข้าไปในบ้านบ้าง หลบซ่อนหรือปีนหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงบ้าง หญิงคนหนึ่งอยู่บนมุขบ้านตะโกนบอกให้ระวังตัว แต่กามนิตก็มิได้ยิน ตาจ้องอยู่ที่ยอดหอคอย ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายอยู่ตรงหน้า เพื่อมิให้เลี้ยวผิดทาง กว่าจะรู้สึกตัวก็พอดีโคบ้ากรากเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว หนีไม่ทัน ทันใดนั้น โคก็ขวิดกามนิต ร้องเสียงโอยล้มลงอยู่ริมกำแพง ส่วนโคเมื่อขวิดกามนิตแล้ว ก็วิ่งเลยหายไปในอีกทางหนึ่ง
ขณะนั้น มีผู้คนวิ่งกันมาสอๆ บางคนเพียงมาดู แต่บางคนก็มาช่วยเหลือ หญิงคนที่ตะโกนบอกให้ระวังตัว เอาน้ำชำระบาดแผลให้ ฉีกเอาผ้าที่กามนิตห่มมา พันมัดบาดแผลเพราะโลหิตไหลพุ่งออกมาราวน้ำพุ
ในขณะนั้น กามนิต ยังไม่สิ้นสติทีเดียว แต่คะเนรู้ตัวแน่ว่าอย่างไรเสียตนก็จะต้องตาย อันความตายหรือความเจ็บปวดอยู่นี้ ไม่ทำให้กามนิตรู้สึกหวาดหวั่นเป็นทุกขเวทนามากเท่ากับที่วิตกว่าจะไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ถึงกับขอร้องผู้ที่อยู่ใกล้ โดยมีเสียงอันสั่นเครือให้ช่วยพาเอาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่ป่ามะม่วงด้วย
"ท่านสหายทั้งหลาย ข้าพเจ้าเดินทางมาไกล จนจวนจะถึงที่มุ่งหมายแล้ว กรุณาช่วยพาข้าพเจ้าไปเดี๋ยวนี้เถิด อย่าได้ชักช้าเลย ไม่ต้องวิตกถึงความเจ็บปวด หรือกลัวว่าข้าพเจ้าจะตาย ข้าพเจ้ายังไม่ยอมตาย จนกว่าท่านจะช่วยวางข้าพเจ้าไว้แทบบาทพระพุทธเจ้าแล้วจึ่งจะตายด้วยความสุข และไปเกิดมีความสุขใหม่"
คนที่อยู่นั่น บางคนวิ่งไปหาเสื่อ หาคานหาม ส่วนหญิงคนนั้นอายาชูกำลังให้กามนิตดื่มสองสามช้อนพอให้ชุ่มชื่น พวกเหล่านั้นกำลังออกความเห็นโต้แย้งกัน ถึงเรื่องว่าจะไปทางไหนดีจึ่งจะใกล้ที่สุด ถ้าไปผิดทาง ช้าเพียงก้าวเดียวจะไม่ทันการ เพราะกามนิตกำลังมีอาการทรุดลงรวดเร็ว
ขณะนั้น ชายคนหนึ่ง เอามือชี้ไปทางถนนเล็กร้องว่า "นั่นแน่ สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านคงจะบอกให้ทราบได้ว่าไปทางไหนจึ่งจะเหมาะ"
อันที่จริง เวลานั้นมีพระภิกษุหลายองค์ห่มคลุมด้วยกาสาวพัสตร์ มืออุ้มบาตรเดินมา พระภิกษุเหล่านี้ล้วนมีอายุอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ข้างหน้ามีพระภิกษุผู้แก่อาวุโสสององค์ องค์หนึ่งเส้นผมหงอกแล้ว ท่าทางมีสง่าผ่าเผยบอกว่าทรงความเฉียบขาดสามารถ อีกองค์หนึ่งมีอายุอยู่ในมัชฌิมวัย ท่าทางสงบเสงี่ยม สังเกตดูลักษณะราวกับเป็นผู้มีอายุอยู่ในวัยต้น พระภิกษุสององค์นี้ ถึงผู้ที่ไม่ชำนาญดูลักษณะ ก็อาจทราบได้ว่า องค์แก่คงอยู่ในวรรณะพราหมณ์ ส่วนองค์หนุ่มอยู่ในวรรณะกษัตริย์
เมื่อหมู่พระภิกษุหยุดลงที่ฝูงชนออกันอยู่ ก็มีผู้แย่งกันอธิบายเรื่องให้ฟังแทบไม่เป็นศัพท์ แล้วว่ากำลังจะหามชายอาคันตุกะที่ถูกโคขวิดคนนี้ ไปยังป่ามะม่วง เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าตามความประสงค์ยิ่งใหญ่ของเขา จึ่งอยากจะขอให้ช่วยชี้ทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งใกล้ที่สุด
พระภิกษุองค์ที่สูงอายุตอบว่า "เวลานี้พระศาสดาไม่ได้ประทับอยู่ที่ป่ามะม่วง และพวกอาตมาก็ยังไม่ทราบว่าเสด็จไปประทับอยู่ที่ไหน"
พอกามนิตได้ยินดั่งนี้ ก็ถอนหายใจยาว มีอาการเสียใจว่าหมดหวัง
พระภิกษุองค์ที่มีอายุรองลงมา กล่าวว่า "แต่เห็นจะไม่ประทับอยู่ไกลจากที่นี่นัก เพราะก่อนหน้าที่จะเสด็จมากรุงนี้ รับสั่งให้พวกภิกษุบวชใหม่ล่วงหน้ามาก่อน ส่วนพระองค์เสด็จตามหลังมาลำพังเมื่อวานนี้ บางทีจะเสด็จมาถึงเป็นเวลาเย็นมาก คงจะประทับแรมอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง บางทีจะในเขตชายกรุงนี้เอง ที่อาตมาพากันมานี้ ก็เพื่อตามมาเฝ้า"
กามนิต ร้องวิงวอนว่า "ขอโปรดตามหาด้วยเถิด ท่านเจ้าขา"
พระภิกษุองค์สูงอายุว่า "ถึงหากจะตามหาจนพบว่าเสด็จอยู่ประทับอยู่ไหน ก็จะหอบหิ้วคนไข้ไปไม่ได้ เพราะจะกระเทือนทำให้อาการทรุดลงเร็ว เมื่อไปถึงอาจจะสิ้นสติเสียแล้ว คงไม่สามารถฟังพระโอวาทได้ ควรจะช่วยกันรีบหาหมอเสียเดี๋ยวนี้เพื่อแก้ไขประทังไปพลางก่อนดีกว่า บางทีจะมีทางฟื้นกำลังพอได้ฟังพระพุทธโอวาท"
แต่กามนิต เอามือชี้ที่เปลหาม พูดขาดระยะเป็นห้วงๆ ว่า "อย่าช้า-จวนตาย-โปรดนำ-เฝ้าพระองค์-ถูกต้อง-ตายเป็นสุข โปรดเร็ว"
พระภิกษุสูงอายุยกไหล่ (ตามวาสนาที่ตัดไม่ขาด) หันไปพูดกับเพื่อนภิกษุด้วยกันว่า "ชายคนนี้ ยึดถือพระพุทธเจ้าดั่งรูปบูชา นึกว่าเมื่อได้สัมผัสแล้วก็พ้นบาป"
องค์ที่มีอายุรองลงมาพูดว่า "ท่านสารีบุตร ชายผู้นี้เลื่อมใสในพระศาสดา แม้ว่าจะยังขาดความเข้าใจในหลักธรรมอันสูง" แล้วก้มไปพิจารณากามนิต เพื่อให้ทราบว่าจะมีกำลังอยู่บ้างหรือไม่ พลางพูดว่า " น่าจะลองพยายามดู น่าสมเพชอยู่ ถ้าช่วยเหลืออย่างอื่นไม่ได้ พยายามลองสักหน่อยจะเป็นไร"
กามนิต แลดูเป็นทีรู้สึกขอบคุณ ที่ได้ฟังความเห็นนี้
พระสารีบุตร คล้อยตามว่า "ลองดูซี ท่านอานนท์"
ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเดินปราดมาในทางที่กามนิตมาแล้ว ชายผู้นั้นคือช่างหม้อทูนหม้อต่างๆ มาตะกร้าใหญ่ ครั้นเห็นเขายกกามนิตลงในเปลหามอย่างบรรจง แต่ก็ยังทำให้กามนิตเจ็บปวดไม่น้อย ก็หยุดชะงักกึกลงทันที หม้อที่ทูนไว้พลัดตกแตกกระจาย จ้องดูด้วยความตกใจ
"ตายจริง! นี่เกิดเหตุอะไรกัน? ชายอาคันตุกะคนนี้ได้ไปอาศัยพักนอนอยู่ที่บ้านเมื่อคืนนี้ พร้อมกับพระภิกษุองค์หนึ่ง นุ่งห่มเหมือนท่านภิกษุเหล่านี้"
พระสารีบุตร- "พระภิกษุองค์นั้นมีอายุสูง และรูปร่างสูงด้วยหรือเปล่า?"
ชายปั้นหม้อ- "อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ และดูเหมือนมีรูปลักษณะไม่ผิดท่าน"
พระภิกษุทั้งหลายก็ทราบได้ในขณะนั้น ว่าไม่ต้องไปตามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก พระศาสดาคงได้เสด็จแรมอยู่ในบ้านช่างหม้อ เพราะสาวกที่มีรูปลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้าก็คือพระสารีบุตร ซึ่งใครๆ ทราบกันอยู่
พระอานนท์มองดูกามนิต ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้สติแล้ว และไม่รู้สึกถึงนายช่างปั้น เพราะถูกยกขึ้นเปลหามได้รับความเจ็บปวด อันทุกขเวทนาครอบงำมาก แล้วพูดว่า "หรือบางทีชายผู้นี้จะได้เฝ้าพระศาสดาอยู่แล้วตลอดคืน โดยไม่รู้สึกแม้สักน้อยว่าเป็นพระพุทธเจ้า?"
พระสารีบุตร- "ผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็เช่นนั้น ควรพาไปได้แล้ว"
พระอานนท์- "ประเดี๋ยวก่อน เวทนากล้าจนสิ้นสติเสียแล้ว"
อันที่จริง ที่กามนิตลืมตาโพลงนั้นแสดงว่าไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นอยู่รอบตัวในเวลานั้น ดวงตาชักมืดลงๆ คงเห็นแต่ท้องฟ้าขาวในเวลาเช้า - เป็นทางอยู่ในระหว่างกำแพงซึ่งให้กามนิตรู้สึกอยู่บ้าง แต่เข้าใจไปว่าเป็นทางช้างเผือกที่ผ่านในอากาศอันมืดในเวลาเที่ยงคืน ริมฝีปากขมุบขมิบแล้วค่อยๆ เผยอพูดออกมาว่า "แม่คงคา"
พระอานนท์- "เพ้อแล้ว"
ผู้ยืนอยู่ใกล้หลายคน ได้ยินกามนิตพูดได้ถนัด ตีความหมายของกามนิตว่า "เห็นจะต้องการให้พาไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ณ บัดนี้ เพื่อชำระล้างบาปมลทินด้วยน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่แม่คงคาอยู่ไกลมาก ใครจะหามไปถึงได้"
ทันใดนั้น กามนิตค่อยมีสติขึ้น ดวงตาสดใส มีอาการยิ้มดูประหนึ่งว่าอิ่มใจ พยายามจะลุกขึ้น พระอานนท์เข้าประคอง
"แม่คงคาในสวรรค์!" กามนิตกระซิบเสียงแผ่วแต่แจ่มใส เอามือขวาชี้ไปบนฟ้าเหนือศีรษะ พูดว่า "แม่คงคาในสวรรค์ เราได้ปฏิญญาแทบกระแสคลื่น-วาสิฏฐี"
กามนิตกล่าวได้เท่านี้ ตัวสั่นเทิ้ม กระอักโลหิตออกจากปาก สิ้นเสียง สิ้นใจอยู่ในวงแขนพระอานนท์
ล่วงต่อมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง พระสารีบุตรและพระอานนท์พร้อมด้วยพระภิกษุทั้งหลาย ก็ไปถึงบ้านช่างหม้อ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรมีส่วนสุดข้างหนึ่ง
พระศาสดาตรัสสัมโมทนียกถา ทักทายตามอาคันตุกวัตรแล้ว ตรัสถามว่า "สำแดงสารีบุตร ตัวท่านกับพวกภิกษุใหม่ผู้ถือนิสัยในท่าน เดินทางไกลมาถึงที่นี้เรียบร้อยดีหรือว่าประสบเหตุการณ์อะไรบ้าง? อาหารและเภสัชสำหรับภิกษุที่อาพาธลงกลางทาง ขาดแคลนบ้างหรืออย่างไร? บรรดาสานุศิษย์มีความสบาย และทำความเพียรขยันขันแข็งดีอยู่หรือ?
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความยินดีที่จะกราบทูลได้ว่า ไม่มีความขาดแคลนประการไร และภิกษุใหม่ก็มีความแข็งแรงดี แต่มีความปรารถนายิ่งอยู่อย่างเดียวคือเพื่อมาเฝ้า ภิกษุหนุ่มเหล่านี้ ได้รู้แจ้งและมั่นในพรหมจรรย์แล้ว ข้าพระองค์จึ่งได้มาเฝ้ามิได้ชักช้า"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มกราคม 2560 08:36:50 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2557 12:09:38 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 15:16:54 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2557 15:44:23 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม 2558 13:21:06 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2558 15:07:36 » |
|
.กามนิตตกใจคว้าวาสิฏฐีไว้ แล้วพูดว่า "วาสิฏฐีระวังให้ดี ขืนเลื่อนลอยไป จะไปตกอยู่ในอำนาจอะไรก็ไม่รู้ได้ ออกวิตกอกสั่นอยู่แล้วละ ไม่อยากจะให้พลัดกันไป" ๒๘. บนฝั่งคงคาสวรรค์ เมื่อกามนิตรู้สึกเห็นว่า แม้แต่ในสถานอันเป็นบรมสุขนี้ ยังมีเหตุกระทำให้คู่รักของตนรับความเศร้าระทมใจ เมื่อมาระลึกถึงความหลัง จึ่งจูงมือคู่รักออกเสียจากที่นั้นเลื่อนลอยไปสู่เขาอันงาม ซึ่งตนเคยนอนพักเล่นที่ลาดไหล่ และมองดูผู้อื่นร่าเริงเล่นรำกัน
ถึงที่นั่นแล้ว ทั้งสองก็หาที่พัก เห็นตามสุมทุมและสนามหญ้า มีผู้อื่นๆ เลื่อนลอยไปมาอยู่แล้วนับจำนวนไม่ถ้วน ทรงพัสตราภรณ์บ้างแดง บ้างเขียว ขาว พวกเหล่านั้นเป็นหมู่ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยผู้อุบัติใหม่ทั้งสองซึ่งดั่งเพิ่งตื่นขึ้น ผู้อุบัติใหม่ทั้งสองก็เข้าร่วมเล่นรำปนไปกับพวกเหล่านั้น
เลื่อนลอยเยื้องไปกรายมาเป็นเวลานาน เฉียดสุมทุมแล้วร่อนเวียนรอบเขา ผ่านทุ่งตัดละเมาะ ข้ามสระบัว สุดแล้วแต่ว่าหัวหน้าแถวจะนำไปทางไหน ทันใดนั้นกามนิตไปพบเทพธิดาพัสตราภรณ์ขาว ที่เคยรู้จักกันมาแต่ครั้งแรก และเคยชวนกามนิตไปที่แม่คงคา เมื่อได้จับมือกันเล่นรำกันแล้ว เทพธิดาพัสตราภรณ์ขาวผู้นั้นก็ถามกามนิตมีอาการยิ้มๆ ว่า "นี่ท่านไปที่ฝั่งคงคาแล้วหรือยัง! อ้อ! มีเพื่อนแล้ว" กามนิตตอบว่า "ยังไม่ได้ไป" วาสิฏฐี- "อะไรกัน!"
กามนิตเล่าเรื่อง
วาสิฏฐี- "อย่างนั้นก็ไปกันสักทีจะดี เมื่อครั้งยังอยู่ในมนุษย์โลกอันเต็มด้วยทุกข์ทรมาน ฉันได้เคยแหงนดูคงคาสวรรค์นี้อยู่บ่อยๆ และยังนึกถึงแดนอันเป็นบรมสุขที่แม่คงคาไหลผ่านไป ว่าทำไฉนเราจะได้ขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนนั้นสักวันหนึ่ง เวลานี้ฉันรู้สึกมีอะไรบังคับหัวใจให้อยากไปที่นั้น ไปเลื่อนลอยอยู่กับเธอที่ฝั่งนั้น"
ทั้งสองออกจากกลุ่มผู้เล่นรำ เลื่อนลอยไปทางห่างไกลจากสระที่ตนอยู่ มาได้สักครู่ก็ไม่เห็นสระบัวหรือดอกบัว ซึ่งมีผู้เกิดอยู่ในนั้นอีกต่อไป ยิ่งมาไกลดอกไม้ต่างๆ ที่เคยผ่านมาเนืองแน่นค่อยเบาบางลงไป ผู้เสวยบรมสุขที่ได้พบก็มีน้อยลง คงเห็นแต่ฝูงเนื้อทรายพลุกพล่านอยู่ในทุ่ง ตามสระมีหงส์ลงว่ายเล่นลอยล่อง เห็นน้ำแหวกเป็นทางมีแสงประกาย ส่วนภูเขาก็สูงตระหง่านขึ้นทุกที และมีหินล้วน ครั้นแล้วก็ถึงที่เวิ้งว้างไม่มีเขาเลยทีเดียว
กามนิตกับวาสิฏฐี ลอยมาถึงที่ราบแห่งหนึ่งดูราวกับทะเล มีแต่หญ้าหนามต่ำเตี้ยเป็นพง ถัดไปทางหน้าเป็นป่าตาล และดูเป็นรูปโค้งอยู่ระกะ เห็นเป็นพืดไป ลอยมาถึงป่านั้น รู้สึกว่ามีเงาบังครึ้มขึ้นทุกที ลำต้นตาลมีแสงคล้ายโลหะ บนยอดมีเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน มองไปข้างหน้าเห็นแสงสว่างฉูดขึ้นเป็นลำๆ พุ่งปลายแหลมเต้นส่ายอยู่ปลาบแปลบจนเคืองนัยน์ตาต้องเอามือปิด คล้ายๆ กับว่าที่ในป่านั้น มีเสาเงินมหึมาถูกแสงสูรย์ในตอนเช้าแผดมากระทบแล้วกระท้อนแสงแทงตาแปลบๆ ภายหลังเมื่อทั้งสองแข็งใจเปิดหน้า ก็เห็นตนกำลังเลื่อนลอยออกจากเขตป่าตาลมาแล้ว เห็นคงคาสวรรค์อยู่ข้างหน้า มีกระแสน้ำแผ่ไปดั่งเงินยวงจนจดขอบฟ้า ริมฝั่งมีระลอกน้อยๆ เป็นประกายราวกับดาวร่วงลอยมาติดบนหาดทราย ฉายแสงพร่างพราวเป็นประพาฬ ส่วนท้องฟ้านั้นเล่า ตามปกติควรจะแจ่มใสขึ้นเมื่อจวนจะถึงขอบฟ้า แต่ในที่นี้ตรงกันข้าม ในชั้นต้นเป็นสีครามอ่อนแล้วเข้มเข้าทุกที จนในที่สุดถึงตอนขอบฟ้าเลยทึบเป็นสีดำสนิท จดกับสายน้ำซึ่งมีแสงขาวเห็นเป็นแนวชัด
กลิ่นหอมแห่งดอกฟ้า ในที่นี้ไม่มีเลย ไม่เหมือนกับในหุบเขาซึ่งมีต้นปาริชาตอันมีความหอมอบอวลอยู่ทั่วไป แต่ว่าในที่นี้ มีแม่น้ำแห่งสกลจักรวาลซึ่งประกอบด้วยอากาศเย็นสดชื่น กลืนเอากลิ่นหอมไปเสียสิ้น คงเหลือแต่ความบริสุทธิ์อันแท้อยู่เท่านั้น วาสิฏฐีพยายามตั้งหน้าสูดอากาศอันสดชื่นนี้เสียจริงๆ ส่วนกามนิตรู้สึกว่าหายใจแทบไม่ทัน
อีกอย่างหนึ่ง ในสถานที่นี้ เสียงดนตรีชาวสวรรค์มิได้ยินแม้แต่น้อย มีแต่เสียงกระแสน้ำที่ทดถั่งหลั่งไหลดังราวกับฟ้ากระหึ่ม
วาสิฏฐียกมือขึ้น และกระซิบว่า "ฟังซี"
กามนิต- "แปลกจริง ครั้งหนึ่งเมื่อฉันเที่ยวจารึกไป ได้พบที่พักเป็นกระท่อมน้อยอยู่ปากช่องหุบเขา ถัดกระท่อมเข้าไปหน่อย มีลำธารน้อยน่ารักอยู่สายหนึ่ง น้ำใสไหลรินๆ ฉันได้ลงไปล้างเท้า ถึงเวลากลางคืน ฝนตกห่าใหญ่ ฉันนอนลืมตาอยู่ในกระท่อมได้ยินเสียงน้ำในลำธาร ซึ่งเมื่อตอนเย็นยังไหลรินๆ กลายเป็นเสียงไหลพุ่งพล่านโครมครามหนักขึ้นทุกที และในคราวเดียวกันนี้ ได้ยินเสียงอะไรกระแทกดังราวฟ้าผ่า ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร รุ่งเช้าได้เห็นลำธารน้อยนั้น กลายเป็นโกรกธารที่เดือดพล่าน เป็นน้ำไหลดันกันมาราวกับเทตรงลงจากฟ้า กระทบถูกแก่งผาแตกกระจายเป็นฟองขาว มีกำลังแรงดันก้อนหินมหึมากลิ้งกระทบกัน นี่เองคือ เสียงที่ดังเป็นฟ้าผ่า เมื่อได้มาเห็นที่นี่อันมีเสียงดังเช่นเดียวกัน ทำให้ระลึกถึงที่ได้เห็นในคราวนั้นได้ทันที ดั่งนี้จะว่ากระไร?"
วาสิฏฐี- "เป็นเพราะมีเสียงอย่างเดียวกัน แต่ว่าเสียงที่ได้ยินครั้งโน้น เป็นเสียงหินกระทบกัน ส่วนเสียงที่ได้ยินในแม่คงคาบนสวรรค์นี้ เป็นเสียงจักรวาลต่างๆ ที่หมุนลอยไปแล้วกระทบกัน จึ่งดังเป็นฟ้าผ่า"
กามนิตแสดงกิริยาตกใจ- "จักรวาลหรือ?" วาสิฏฐียิ้ม ทันทีตัวก็เลื่อนลอยไป กามนิตตกใจคว้าวาสิฏฐีไว้ แล้วพูดว่า "วาสิฏฐีระวังให้ดี ขืนเลื่อนลอยไป จะไปตกอยู่ในอำนาจอะไรก็ไม่รู้ได้ ออกวิตกอกสั่นอยู่แล้วละ ไม่อยากจะให้พลัดกันไป"
วาสิฏฐี- "ก็อย่างนั้น เธอจะตามฉันมาไม่ได้หรือ?" กามนิต- "ขอยอมตามไปจริง ๆ แต่จะรู้ได้อย่างไร ว่าไม่มีเหตุเภทภัยทำให้เราต้องพลัดกัน? ถึงว่าเราจะอยู่ต่อไปในที่นี้ ก็ยังรู้ไม่ได้ว่าอาจจะต้องพรากกันไกลจากแดนบรมสุขนี้ ไปสู่แดนอันหาเขตมิได้ แล้วจะได้รับทุกข์ทรมานสักปานไร?"
วาสิฏฐี- "แดนอันหาเขตมิได้" แล้วนางเหม่อมองดูไปทางแม่คงคาจนสุดสายตาเห็นเป็นเส้นเขตดำจดขอบฟ้า มีอาการดั่งว่าจะคิด ชำแรกเลยเขตนั้นเข้าไปดูอีก แล้วพูดว่า "อันบรมสุขในสวรรค์จะมีเขตสุดบ้างไหมหนอ?" กามนิต- "วาสิฏฐีที่รัก ฉันนึกๆ ก็ไม่อยากจะพาเธอมาที่นี้ ทำให้คิดยิ่งไปต่างๆ นานา กลับกันเถิด"
ทั่งสองก็พากันผ่านดงตาลกลับมา แต่ยังอาลัยเหลียวไปดูลำคงคาสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อทั้งสองกลับสู่ที่สถิตดอกบัวกลางสระอันใสปานแก้ว ก็เลื่อนลอยไปอีก สู่บริเวณหมู่ไม้ซึ่งออกดอกล้วนเป็นมณีรัตน์ เข้าร่วมเล่นรำร่าเริงอยู่ในหมู่ชาวสวรรค์ เสวยความสุขวิเศษ มีความรักอันปราศจากเครื่องกีดขวางเหมือนแต่ก่อน
ครั้งหนึ่ง ขณะเล่นรำกันอยู่ ได้พบเทพธิดาพัสตราภรณ์ขาวสหายเก่า นางผู้นั้นปราศรัยว่า "อ้อ! นี่ไปที่ฝั่งคงคาสวรรค์มาแล้ว?" "ไฉนจึ่งทราบว่าไป?" "ง่ายนิดเดียว เพราะถ้าใครเคยไปแล้วก็มีวงหน้าแสดงเค้าความทุกข์ความวิตกติดมา เพราะเหตุนี้ตัวฉันเองจึ่งไม่อยากไปอีก และท่านทั้งสองคงไม่ไปเป็นครั้งที่สองใครๆ ก็ไม่ไปเป็นครั้งที่สองเลย"ให้ระลึกถึงชาติก่อนๆ แจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ย้อนหลังล่วงไปในอดีตชาติอันไกลแสนไกล ๒๙. ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาตระลึกชาติ ทีมีอยู่แก่ตนที่แล้วมาอเนกชาติ อันความจริง ผู้อุปปาติกะใหม่ทั้งสอง มิได้เยี่ยมฝั่งคงคาสวรรค์ อันไม่น่าดูน่าชมอีกต่อไป เป็นแต่เลื่อนลอยไปสู่หุบเขาต้นปาริชาตเนืองๆ ได้ไปนั่งพักนอนเล่นอยู่ควงปาริชาตอันแผ่กิ่งก้านสาขา สูดเอากลิ่นหอมอันตลบมาจากดอกแดงดั่งแสงชาด กระทำให้ระลึกถึงชาติก่อนๆ แจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ย้อนหลังล่วงไปในอดีตชาติอันไกลแสนไกล
ได้เห็นตนบางชาติอยู่ในปราสาท บางชาติอยู่ในกระท่อม ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นกุฎุมพีหรือเข็ญใจ ก็เห็นความรักทั้งสองได้มีต่อกันเสมอ ในชาติหนึ่งทั้งสองมีความรักและความสุขอันเต็มเปี่ยมตลอดกาล แต่อีกชาติหนึ่งต้องตายจากกันไปตามกรรมที่ทำไว้ แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นชาติใด จะได้รับสุขหรือตกทุกข์ ความรักของทั้งสองคงมีน้ำหนักเท่ากันเป็นอย่างเดียวทุกๆ ชาติ
ในชาติที่เหนือขึ้นไป ครั้งเมื่อมนุษย์ยังมีฤทธิ์เดชและกำลังมากกว่าเวลานี้ ในสมัยมีวีรบุรุษแกล้วกล้าสามารถ คือครั้งมหาภารตะ กามนิตเกิดเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง ได้ผละจากนางที่ยอดรักขึ้นช้างศึก ยกทัพไปสู่หัสตินาปุระเพื่อช่วยกษัตริย์ปาณฑพผู้สหายรบกับพวกเการพ ขณะกามนิตเข้าสู่สงครามอยู่ข้างพระอรชุนและพระกฤษณ์ ณ ทุ่งกุรุ ได้ต่อสู้ศัตรูจนตัวตายลงในสมรภูมิในวันที่สิบแห่งมหาสงครามครั้งนั้น ฝ่ายนางผู้ชายาทราบว่ากามนิตถึงแก่ความตาย ก็เข้าสู่กองเพลิงพร้อมกับนางบริวาร และนางเป็นผู้จุดกองเพลิงนั้นด้วยตนเอง
ครั้งหนึ่งทั้งสองได้เห็นตนไปเกิดอยู่ในแดนอันแปลกประหลาด มีภูมิประเทศเป็นอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ไม่ได้ไปเกิดในแดนอันเป็นลุ่มน้ำแม่คงคาหรือยมุนา ซึ่งมีปราสาทราชมณเทียรและบ้านเมือง มีวีรบุรุษสวมเกราะอยู่ขวักไขว่ มีพราหมณ์ที่ผึ่งผาย มีเศรษฐีและมีพวกศูทร แต่ว่าไปเกิดอยู่ในแดนอันเป็นลำเนาไพร มีความเป็นแห้งแล้ง อัตคัดกันดาร
ณ แดนนี้ ในฤดูร้อนแสงแดดแผดเผาจนน้ำในลำธารแห้งเหือด หญ้าตายเกรียน ครั้นตกฤดูหนาวก็เย็นเฉียบแทบเท่ากับตกอยู่ในหิมะ เพราะเป็นทุ่งกว้างใหญ่โล่งโถงเปลี่ยวเปล่าใจ จะหาบ้านเมืองสักแห่งหนึ่งก็ทั้งยาก จะมีก็แต่หมู่บ้านห่างไกลระยะกัน นานๆ จะพบสักหย่อมหนึ่ง ประชาชนที่อยู่ตามหมู่บ้านเหล่านี้ เป็นพวกเลี้ยงปศุสัตว์มีใจดุร้ายเป็นชาตินักรบ ถัดออกไปในราวไพรมีฝูงสุนัขป่าอยู่ชุกมุม ถัดไปอีกผู้เดินทางไกลจะได้ยินเสียงสีห์คำราม กามนิตซึ่งในชาตินั้นเกิดเป็นนักขับร้องเดินท่องเที่ยวไปในแดนต่างๆ เรียกว่าสีห์นี้ว่าเจ้าสัตว์ร้ายเร่ร่อนดุบ้าน่ากลัวยิ่ง มีสำนักในภูเขา
กามนิตเดินทางเมื่อยล้ามาเป็นเวลานานจนลุหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านแห่งนั้นไม่รู้จักกามนิต แต่ว่ายินดีรับรอง เพราะนักขับร้องย่อมเป็นผู้ที่คนพอใจต้อนรับอยู่ทั่วไป เครื่องมือกามนิตมีพิณขนาดเล็กสะพายบ่ามาหนึ่งคันเท่านั้น แต่ว่าเรื่องราวตำนานต่างๆ อันเป็นมรดกตกทอดมา ย่อมมีอยู่ในความทรงจำของกามนิตมากมาย เช่น บทบูชาพระอัคนี พระอินทร์ พระวรุณ และพระมิตรผู้เป็นเทพ สมัยพระเวท บทขับว่าด้วยสงครามและวีรบุรุษ บทขับเรื่องรัก และเรื่องอื่นๆ อีกมาก เมื่อมีความรู้เป็นคลังคัมภีร์สามารถขับบรรยายเรื่องให้ฟังได้มากมายดั่งนี้ ใครเล่าจะไม่ยินดีต้อนรับผู้เป็นนักขับ?
กามนิตเดินทางไปถึงหมู่บ้านเป็นเวลาเย็น ชาวบ้านกำลังต้อนสัตว์เลี้ยงกลับ ที่ข้างหน้าฝูงสัตว์หมู่หนึ่ง มีสาวน้อยร่างระหงเดินตามโคเชื่องตัวหนึ่ง เสียงกระดึงที่คอโคตัวนั้นดังเป็นจังหวะให้โคตัวอื่นเดินตามมา ช้าๆ นานๆ โคเชื่องตัวนั้นก็แลบลิ้นเลียมือนายสาวของมัน กามนิตชายพเนจรปราศรัยกับสาวน้อยตามธรรมเนียม สาวน้อยต้อรับด้วยอาการยิ้มแย้ม ทั้งสองก็สบตากัน มีลักษณะอาการไม่ผิดจากที่ได้เคยพบกันในสวนกรุงโกสัมพีเมื่อในชาติหลัง
พ้นชาตินั้นก็เห็นชาติที่ถัดขึ้นไป คราวนี้ไม่ใช่เกิดอยู่ในแดนแม่น้ำทั้งห้าหรือในลุ่มแม่คงคา แต่เป็นแดนอื่นอันมีประชาชนและขนบธรรมเนียมทรามกว่าที่แล้ว
เห็นภาพเป็นทุ่งกว้าง มีคนขี่ม้า กองเกวียน และคนเดินมาเป็นแถวไม่ขาดสายภูมิประเทศขาวสล้างด้วยหิมะ ในอากาศมีละอองเป็นปุยขาวอยู่ทั่วไป ภูเขาสูงตระหง่านแลถมึนทึน ในเกวียนเทียมโคเล่มหนึ่ง มีผ้าคลุมเป็นหลังคาคล้ายกระโจม สาวน้อยคนหนึ่งผลุนผลันชะโงกหน้าออกมานอกเกวียน เร็วจนหนังแกะที่คลุมร่างกายไว้ตกเลื่อนลงมาเห็นผมสยายยาวลงมาประกระทั่งอุระ มีอาการวิตกจ้องมองและยกมือชี้ไปทางที่คนอื่นก็มองและชี้นิ้วเช่นเดียวกัน เห็นเป็นพวกคนขี่ม้าห้อกระบวนหนึ่งตรงมายังที่ตนอยู่ แต่สาวน้อยมองไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่โคดำอยู่ในพวกเดียวกัน มีอาการยิ้มเป็นเชิงไว้ใจชายหนุ่มคนนั้น อาการมองแห่งสาวน้อย กระทำให้ชายหนุ่มนั้นมีน้ำใจและเหิมกำลังยิ่งขึ้น แกว่งขวานที่ถือเป็นอาวุธ ร้องเสียงดังแล้วเข้าพวก ต้านทานศัตรูที่ขี่ม้ายกเข้ามาตีปล้น ได้ต่อสู้จนถูกลูกธนูเหล็กของชาติตาดศักะตัวปรปักษ์ ถึงแก่ความตาย
อาศัยกลิ่นปาริชาตทำให้ระลึกชาติเหนือๆ ขึ้นไปได้ในอดีตภพนานไกล คราวนี้เห็นตนทั้งสองเกิดเป็นกวางสองตัวผัวเมีย อยู่ในป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง อันความรักของทั้งสองในชาตินั้นเป็นไปในความรัก เพียงนัยน์ตาเท่านั้น จะแสดงกันด้วยวาจาหาได้ไม่ แต่กระนั้นความรักที่เคยมีอยู่ในชาติหลังมั่นคงเพียงใด ก็ย่อมมีอยู่ในชาตินั้นมั่นคงปานๆ กัน กวางทั้งสองแสวงหาหญ้ากินเป็นอาหารด้วยกัน ลุยข้ามลำธารอันใสเย็นที่ในป่าก็ด้วยกัน เวลาพักนอนอยู่บนหญ้าอ่อนที่ขึ้นสูงระหงก็ด้วยกัน มีความสุขร่าเริงหรือตกใจหวาดต่อภัยอันตราย เมื่อได้ยินเสียงแกรกกรากก็ด้วยกัน เป็นดั่งนี้มาช้านานหลายปีจนวันหนึ่งถึงคราวจะต้องพรากจากกันไป นางกวางเข้าไปติดข่ายนายพราน กวางผัวพยายามเอาเท้าเขี่ยเพื่อให้ข่ายหลุด พยายามแล้วพยายามเล่าไม่สำเร็จผล จนนายพรานมา กวางผัวก็มิได้หวาดกลัว เข้าเผชิญหน้าก้มศีรษะลงจะขวิด แต่ในไม่ช้าก็ต้องหอกของนายพราน ถึงแก่ความตายไปทั้งคู่
ถัดขึ้นไปอีก ทั้งสองเกิดเป็นนกอินทรีผัวเมีย มีรังอยู่บนยอดเขาอันสูงตระหง่านแสนกันดาร ยากที่ใครๆ จะขึ้นถึง เมื่อมองลงมาจากที่นั้น จะเห็นเป็นเหวลึกลงมา นกทั้งสองได้ร่อนเร่ไปในอากาศด้วยความบันเทิงใจ จนจวบกาลอายุขัย
ทั้งสอง อาศัยอำนาจแห่งกลิ่นดอกปาริชาต ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่แก่ตนในภพที่แล้วมาอเนกชาติ บังเกิดความเบิกบานสำราญใจ พร้อมด้วยความพิศวงไม่น้อย แล้ววาสิฏฐีจึ่งพูดว่า "เราทั้งสองนี้มีอายุไม่น้อยไปกว่าอายุของโลก"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 09:16:26 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 27 มีนาคม 2558 14:57:29 » |
|
.ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นสีดอกบัวแดงของตนแสดงอาการเศร้าหมองผิดปรกติไป ๓๐ มีเกิดมีตาย กามนิต พูดว่า "เรามีอายุเท่ากับอายุของโลกนั้นเป็นความจริง แต่ว่าต้องเร่ร่อนอยู่ในโลกเรื่อยไปไม่หยุดหย่อน เมื่อตายไปแล้วก็มาเกิดใหม่อยู่ในโลกอีกเล่า มาบัดนี้เราได้ลุถึงสถานที่อันเป็นอมฤตแล้ว และมีความสุขความบันเทิงอยู่เป็นนิรันดร"
เวลาที่กามนิตพูดดั่งนี้ เป็นคราวที่ทั้งสองเพิ่งกลับจากต้นปาริชาตมาสู่สระแห่งตนแล้ว กามนิตกำลังจะเลื่อนลอยลงสู่ดอกบัวของตน ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นดอกบัวสีแดงของตน แสดงอาการเศร้าหมองผิดปกติไป กามนิตลอยอยู่เหนือดอกบัวพิจารณาดูโดยละเอียด ก็ตกใจที่เห็นกลีบออกจะดำคล้ำคล้ายถูกอะไรไหม้ ที่ปลายทีเดียวก็จะเหี่ยวจนม้วนกลับ
ส่วนดอกบัวขาวของวาสิฏฐี ก็มีลักษณะเป็นเช่นเดียวกัน วาสิฏฐีเลื่อนลอยอยู่เหนือดอกบัว มีอาการพิศวงอย่างเดียวกับกามนิต
กามนิตเหลียวไปดูเพื่อนที่อยู่บนดอกบัวเขียว ก็เห็นดอกบัวนั้นมีอาการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน สังเกตหน้าตาผู้เป็นเจ้าของไม่เบิกบานเหมือนกับคราวที่เคยปราศรัยด้วยในครั้งแรก มีอาการตกใจอย่างเดียวกับตนและวาสิฏฐี มิใช่แต่เท่านั้น มองไปดูดอกอื่นๆ ก็มีอาการวิปริตตลอดจนตัวเจ้าของ คราวนี้หันมาดูดอกของตนอีก ก็เห็นกลีบหนึ่งมีอาการจะฟื้นตัว ค่อยๆ คลายที่งอพับอยู่ให้คืนตัว แต่แล้วก็หลุดออกจากดอกร่วงไปลอยอยู่ในสระ ลักษณะอาการเช่นนี้ไม่ใช่แต่ดอกบัวของตน ถึงดอกบัวอื่นๆ ก็เช่นเดียวด้วยกันตลอดไป กลีบบัวซึ่งร่วงได้ลงไปลอยสล้างอยู่ในสระ เสียงผู้เป็นเจ้าของต่างปริเทวนาการ ถอนหายใจอยู่ระงมแดน
กามนิต คว้าแขนวาสิฏฐีไว้ด้วยอาการตื่นเต้น พูดว่า "วาสิฏฐีที่รัก หล่อนได้เห็นและได้ยินอะไรไหมเล่า? นี่เป็นเรื่องราวอะไรกันหนอ? แปลไม่ออก”
วาสิฏฐี มองดูกามนิต เมื่อสงบกิริยาเป็นปกติแล้วยิ้ม ตอบว่า "เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว จึ่งได้ตรัสว่า "มีเกิดก็มีตาย ถึงแก่ความทำลายไปจนสิ้น เหมือนกับสวนในโลก และดอกฟ้าในสวรรค์ย่อมร่วงโรยไป" กามนิต- "ใครเป็นผู้กล่าวความข้อนี้ อันทำลายความหวังเสีย?" วาสิฏฐี- "ก็ใครเล่า นอกจากพระองค์พระผู้พระภาคเจ้า พระผู้ทรงทราบแจ้งแล้วซึ่งสัมภาวะความเกิด และยถาภูตญาณ ความรู้จริง? พระองค์ผู้ทรงพระกรุณาแก่มนุษย์ ได้ทรงแสดงหลักธรรมไว้ชัดแจ้ง เพื่อให้เราลืมตาตื่นเห็นความจริงทุกๆ คนว่าโลกและสัตว์ที่มีอยู่ในโลกทั้งดีเลว เทวดา มนุษย์ หรือปีศาจ ก็ตกอยู่ในอำนาจลักษณะความไม่คงที่ พระองค์เป็นผู้ทรงนำทางให้ออกจากโลกอันไม่คงที่นี้ไป พระองค์คือพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้า" กามนิต "นัยว่าพระพุทธเจ้าตรัสดั่งนี้? ฉันยังไม่เชื่อ วาสิฏฐี คนเรามักจะเข้าใจผิดในคำตรัสต่างๆ ของพระศาสดาอยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ฉันไปพักแรมคืนอยู่ในห้องโถงชายปั้นหม้อกับภิกษุองค์หนึ่ง ภิกษุนั้นก็พูดคล้ายๆ เช่นนี้ ซึ่งฉันเชื่อว่าผิดทั้งนั้นไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธองค์เลย"
วาสิฏฐี- "ที่ฉันกล่าวนี้ไม่ใช่สืบต่อแต่ใครๆ เป็นถ้อยคำที่ฉันได้ฟังมาจากพระโอษฐ์พระองค์ทีเดียว" กามนิต- "เอ๊ะ! นี่หล่อนได้เฝ้าพระองค์ด้วยตนเองมาแล้วอย่างนั้นหรือ?" วาสิฏฐี- "เช่นนั้น ได้เฝ้าอยู่แทบพระบาท" กามนิต- "นับว่ามีบุญแท้ๆ เพราะผลบุญนี้จึ่งได้มีความสุขสืบมาจนบัดนี้ ส่วนตัวฉันเกือบจะได้เฝ้าพระพุทธองค์เหมือนกัน หากบันดาลอกุศลเกิดขึ้นตัดรอนโอกาสเสียไม่ให้ได้รับสุขเช่นนั้น ต้องถึงแก่ความตายเสียก่อน ในขณะที่จวนจะได้เฝ้าอยู่แล้ว แต่บัดนี้ได้ทราบว่าหล่อนได้เฝ้าแล้ว ก็นับว่าทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นอีกมาก ขอได้เล่าเรื่องที่ว่าอย่างไร จึ่งได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ให้ทราบโดยละเอียดด้วย บางทีจะเป็นเหตุให้ฉันได้รับความสว่างขึ้นบ้างในข้อที่ฉันเห็นว่าเป็นลัทธิที่สอนให้คนหมดหวัง เพราะคงจะมีอะไรๆ เป็นความลึกซึ้งซ่อนเร้นอยู่ ที่ฉันยังไม่ทราบ"
วาสิฏฐีรับว่าดีแล้ว ทั้งสองลงสู่ดอกบัวแห่งตน วาสิฏฐีเริ่มเล่าเรื่องอันเป็นประวัติของนางต่อไป๓๑ ปีศาจที่บนลาน เมื่อสาตาเคียรได้ฉันเป็นภริยาสมประสงค์แล้ว ความรักที่มีอยู่จืดจางไปโดยเร็ว ซ้ำจะเร็วยิ่งขึ้นเพราะฉันไม่มีความรักตอบเสียเลย ฉันยอมสัญญาว่า จะเป็นภริยาที่ภักดี และข้อนี้สาตาเคียรย่อมรู้ดีว่าฉันประพฤติตามสัญญา ส่วนในข้ออื่นๆ นั้น ไม่อยู่ในอำนาจฉัน ถึงจะทำอย่างไรที่จะให้เป็นไปตามใจนั้น ไม่ได้เลย
ฉันมีลูกหญิงด้วยสาตาเคียรคนหนึ่ง แต่พออายุได้สองขวบก็ตายไป แล้วต่อมาสาตาเคียรมีภริยาอีกคนหนึ่ง ข้อนี้ไม่มีใครเห็นว่าแปลก ยิ่งสำหรับตัวฉันก็ยิ่งเห็นว่าไม่แปลกเลย เพราะความรักทั้งสองไม่มีอยู่แก่กัน ภริยาคนใหม่เกิดลูกชายคนหนึ่งเป็นที่สมปรารถนาสาตาเคียรที่ต้องการอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นเหตุให้ภริยาคนนั้นได้เป็นใหญ่ในบ้าน ทั้งนางคนนี้ก็สามารถหาทางให้สาตาเคียรคลายความรักในตัวฉัน ฝ่ายฉันก็เต็มใจยอมให้เป็นดั่งนั้น อีกอย่างหนึ่ง ต่อมาเมื่อบิดาสาตาเคียรถึงแก่กรรมไปแล้ว สาตาเคียรได้รับตำแหน่งแทน มีธุระในหน้าที่ซึ่งจะต้องจัดทำมากขึ้นทุกที การติดต่อในส่วนฉันจึ่งเหินห่างออกไป เรื่องราวได้เป็นไปอย่างนี้ ล่วงมาหลายปีไม่มีเหตุการณ์พิเศษ ส่วนตัวฉันโดยมากอยู่ตามลำพังสมแก่ที่ตั้งใจไว้เช่นนั้นด้วย ฉันมอบจิตใจไว้กับทุกข์โทมนัส หวนเอาความจำแต่ครั้งหลังมาเป็นเพื่อน และมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังที่จะได้พบกันบันเทิงสุขเสวยสวรรค์ที่นี่ และก็เป็นความหวังที่ฉันมุ่งไว้ไม่เหลวเปล่า
ปราสาทสาตาเคียร อยู่ที่หุบเขาเดียวกันกับที่เธอเคยปีนหน้าผาขึ้นบนลานอโศกอยู่บ่อยๆ ในครั้งกระโน้น แต่ว่าหน้าผาที่จะขึ้นยังปราสาทสาตาเคียรนั้นชันกว่า ส่วนลานบนปราสาทนั้นคล้ายคลึงกับลานที่บ้านบิดาฉัน ณ ที่นี้ เวลาเย็นอากาศโปร่ง ในฤดูร้อนฉันมักจะมานั่งเล่น บางทีก็อยู่จนกระทั่งกลางคืนตลอดไปจนสว่าง นอนบนแท่นที่ยกไว้ซึ่งไม่มีทางที่น่ากริ่งเกรงว่า จะมีใครกล้าปีนขึ้นมา เพราะหน้าผาชัน ซ้ำยังก่อเป็นกำแพงสูงกั้นอีกที ทั้งหน้าผาก็ลื่น ไม่มีใครๆ สามารถปีนขึ้นมาได้
ครั้งหนึ่ง เป็นเวลากลางคืนเดือนหงายปลอดโปร่ง ฉันนอนอยู่บนแท่น แต่ไม่หลับ กำลังนึกถึงเธอ นึกมากที่สุดก็คือคืนแรกซึ่งได้พบปะกัน นึกถึงขณะที่ฉันนั่งอยู่กับเมทินีที่แท่นหินอ่อนบนลาน ตั้งตาคอยเธอมาหา นึกเห็นติดตาเอาจริงๆ แล้วเห็นเธอโผล่เหนือกำแพงขึ้นมาก่อนโสมทัตต์ เพราะอำนาจความรักอันแรงกล้าทำให้ป่ายปีนขึ้นมาได้เร็ว
กำลังนึกเพลิดเพลินเจริญใจอยู่อย่างนี้ ตาเหม่อมองไปทางช่องปลายกำแพง ทันใดนั้นเห็นรูปคนโผล่ขึ้นมา
ฉันเชื่อแน่อยู่แก่ใจว่า ถ้าเป็นมนุษย์คงไม่สามารถปีนกำแพงตอนนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรก็คงเป็นวิญญาณเธอลอยขึ้นมาหาเพราะอำนาจความนึกของฉัน แล้วจะได้นำข่าวจากสถานบรมสุขซึ่งเธอไปอยู่คอยท่าแล้วมาบอกเล่า เพราะเหตุฉะนี้ ฉันไม่รู้สึกตกใจเลยซ้ำลุกขึ้นอ้ามือขึ้นไปรับ
ครั้นเมื่อรูปที่เห็น ปีนขึ้นมาถึงบนลานแล้วก็รีบสาวก้าวเดินมาที่ฉัน สังเกตดูรูปร่างมีขนาดสูงกว่าเธอมากนัก สัณฐานออกจะใหญ่โตปานยักษ์เสียด้วย ฉันได้สติขึ้นว่ารูปที่เห็นคงเป็นวิญญาณหรือปีศาจองคุลิมาล หาใช่เธอไม่ ตกประหม่าเป็นกำลัง ผงะแทบหงาย ค่อยถัดถอยไปเกาะอยู่มุมแท่นเพื่อไม่ให้ซวนตัว
รูปปีศาจอันน่ากลัวเดินรี่เข้ามาใกล้ หยุดทักว่า "หล่อนต้องการพบใคร?" ฉันตอบว่า "พบปีศาจตนอื่น ไม่ใช่ท่าน" "ปีศาจกามนิตกระมัง?" ฉันผงกศีรษะ ปีศาจนั้นพูดต่อไปว่า "เมื่อฉันเห็นกิริยาต้อนรับแห่งเธอเมื่อตะกี้นี้ เข้าใจว่าเธอคงมีคู่รักที่ขึ้นมาหาเธอที่นี่ในเวลากลางคืน ถ้าเป็นเช่นนั้น เธออาจช่วยฉันด้วยบ้าง เพราะฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ไม่น้อยไปกว่าที่เธอต้องการจะให้ฉันช่วยด้วยเวลานี้"
เมื่อฉันได้ฟังเสียงที่พูดแปลกหูเช่นนี้ ก็แข็งใจจ้องดู รู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีลักษณะเป็นคนจริงๆ หาใช่ผีปีศาจไม่ เวลานั้นพระจันทร์ขึ้นอยู่ข้างหลังชายคนนั้น ประกอบทั้งมีความตกใจกลัวด้วย จึ่งทำให้มองดูหน้าตาเห็นไม่ทันชัด นอกจากเห็นรูปร่างด้วยตาพร่า ซึ่งเลยเป็นปีศาจไปได้
ผู้นั้น อ่านความคิดของฉันถูก จึ่งบอกว่า "ตัวฉันไม่ใช่ปีศาจองคุลิมาล แต่ว่าเป็นตัวองคุลิมาลจริงๆ ยังมีเนื้อหนังเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเธอบริบูรณ์"
ฉันสั่นระรัวไปทั้งตัว ไม่ใช่เป็นเพราะความกลัว เป็นเพราะรู้สึกว่าได้มายืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ร้ายฆ่าคู่รักของตนอย่างใจดำอำมหิต
องคุลิมาล พูดต่อไปว่า "นางผู้เจริญ อย่าได้วิตกสะทกสะท้านเลย เธอไม่มีอะไรจะต้องเกรงฉัน ฉันเสียอีกรู้สึกว่าเธอคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันเคยกลัวจนไม่กล้ามองหน้าอย่างที่เธอเคยพูดไว้ เพราะว่าฉันเป็นผู้ลวงเธอจริง"
ฉันตกตะลึง ออกอุทานว่า "แกหรือเป็นผู้ลวงฉัน?" แล้วรู้สึกปีติดีใจ คล้ายกับมีความหวังขึ้นอีกว่า รักยังคงมีชีวิตอยู่ องคุลิมาลพูดสืบไปว่า "เรื่องเป็นเช่นนั้น และเพราะเหตุนี้ประโยชน์ของเราร่วมกัน เพราะเราทั้งสองมีเรื่องที่จะต้องทำการแก้แค้นด้วยกัน และคนที่เราจะแก้แค้นก็เป็นคนเดียวกัน คือ อ้ายสาตาเคียร"
ครั้นแล้ว องคุลิมาล มหาโจรผู้มีกิริยาท่าทางเป็นสง่าผ่าเผย ก็ยกมือเป็นสัญญาณให้ฉันนั่งลง ดูประหนึ่งว่ามีเรื่องจะพูดจากันมากมาย อันที่จริง ฉันยืนทรงตัวอยู่ต่อไปไม่ค่อยไหวอยู่แล้ว จึ่งทรุดลงนั่งเอง ฉันจ้องมองดูองคุลิมาล มีอาการกระหายอยากจะฟังเรื่องถึงคู่รักเป็นกำลัง
องคุลิมาล พูดต่อไปว่า "กามนิตและกองเกวียนตกมาอยู่ในเงื้อมมือฉันที่แดนป่าเวทิส เขาได้ต่อสู้ฉันอย่างกล้าหาญ แต่ถูกจับตัวได้ไม่มีอันตรายอย่างไร เมื่อฉันได้ค่าไถ่ตัวตามกำหนดเวลาแล้ว ก็ปล่อยตัวไปไม่ได้รบกวนอะไรอีก และได้ไปถึงอุชเชนีโดยสวัสดิภาพ" เมื่อฉันฟังมาถึงตอนนี้ ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ เพราะรู้สึกว่าคู่รักยังมีชีวิตอยู่ ที่จริงคิดเช่นนี้เท่ากับเป็นบ้า เพราะแม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็นับว่าอยู่ห่างไกลจากกันยิ่งเสียกว่าที่ตายไปแล้ว
องคุลิมาล เล่าสืบไป "เมื่อฉันตกอยู่ในเงื้อมมือสาตาเคียร มันเห็นสร้อยแก้วตาเสือของกามนิต คล้องคอฉันอยู่ ก็จำได้ทันทีว่าเป็นของใคร ในเวลาเย็นวันรุ่งขึ้นมันเข้าไปในคุกตามลำพัง และให้สัญญาต่อฉันว่า ถ้าฉันกล้าปฏิญาณสาบานต่อหน้าหญิงสาวคนหนึ่งว่าฉันเป็นผู้ฆ่ากามนิตตาย มันจะปล่อยตัวให้หนีไปได้ ฉันรู้สึกประหลาดใจ แต่สาตาเคียรพูดต่อไปว่า ถ้าจะสาบานอย่างเดียว หญิงสาวคนนั้นคงไม่เชื่อ จะต้องทำสัจกิริยาด้วยจึ่งจะสำเร็จผล แล้วมันแนะนำอุบายให้ว่า ในเวลาตอนหัวค่ำ จะคุมตัวไปที่ลานแห่งหนึ่งซึ่งจะได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอยู่ที่นั่น มันจะจัดการตะไบตรวนไว้ให้เกือบขาด เพื่อฉันกระชากก็จะขาดสะบั้นออกได้ง่ายดาย แล้วต่อไปก็โดดทางหน้าผาลงไปถึงหุบเขาหนีไปได้สะดวก แล้วลงลำธารน้อยลอดกำแพงเมืองออกไปได้ถึงแม่คงคา มันได้ให้สัตย์ปฏิญญาว่าจะไม่กีดขวางการหนีแห่งฉันที่จะออกจากกรุงโกสัมพีไป
"ที่มันให้สัตย์ปฏิญญานี้ จริงอยู่ ฉันไม่สู้จะเชื่อถือนัก แต่ก็ไม่เห็นทางอื่นที่จะรอดไปได้ ส่วนการกระทำสัจกิริยา แต่ว่ากล่าวเท็จ เป็นตายอย่างไรฉันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเท่ากับเตือนให้เจ้าแม่กาลีพิโรธลงโทษฉัน ในฐานที่สบประมาทต่อพระองค์ แต่ฉันเห็นอุบายที่จะเลี่ยงกล่าวคำปฏิญญาไปเสียอย่างหนึ่ง คือ กล่าวกล้อมแกล้มด้วยโวหารอันล่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่าฉันได้เป็นผู้ฆ่ากามนิตจริง และฉันหวังอยู่ว่าเจ้าแม่กาลีผู้โปรดต่อการเป็นเจ้าเล่ห์เจ้า อุบายหลีกเลี่ยงให้พ้นภัยคงจะทรงช่วยเหลือ ให้พ้นจากบ่วงบาศของสาตาเคียรที่อาจดักไว้
เหตุการณ์ต่อไป ก็เป็นเหมือนอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ และเธอได้เห็นฉันกระชากตรวนขาด แต่ว่าจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังทราบไม่ได้ว่าที่กระชากตรวนขาด เป็นเพราะสาตาเคียรได้ปฏิบัติตามสัญญา คือ ตะไบสำรองไว้ หรือว่าเจ้าแม่กาลีทรงโปรดเป็นพิเศษ เมื่อฉันหลุดออกจากเครื่องจองจำ หนีลงไปข้างล่างแล้ว ว่ายน้ำลอดออกไปถึงแม่คงคาไม่ทันไร ก็ไปพบคนเต็มลำเรือมีอาวุธครบคอยดักจับ ดั่งนี้จะเห็นได้ว่าสาตาเคียร เล่นหักหลังฉันในตอนนี้ เดชะพระกรุณาเจ้าแม่กาลี โซ่ซึ่งติดอยู่ที่ข้อมือเพียงเส้นเดียวก็ได้ใช้เป็นอาวุธฆ่าพวกเหล่านั้นหมด เพราะเรือล่มในระวางต่อสู้กัน และเป็นคราวเคราะห์ดี ฉันหนีขึ้นบกทางฝั่งเหนือได้ แต่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายแห่งต้องนอนเจ็บอยู่ตั้งปี ระวางที่ป่วยอยู่ได้สาบานไว้ว่าจะแก้แค้นอ้ายสาตาเคียร ให้มันใช้โทษทรยศของมันจงได้ และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว"
เมื่อฉันได้ฟังเรื่องที่องคุลิมาลเล่า ในใจให้โกรธแค้นจนเดือดพล่าน เพราะรู้สึกถูกหลอกลวงเอาซึ่งหน้า จะติเตียนนายโจรก็ไม่ถนัด เพราะเป็นการรักษาชีวิตให้พ้นภัย ทั้งองคุลิมาลก็ไม่ได้เป็นผู้ฆ่าคู่รักเลย ลืมนึกถึงการทารุณที่องคุลิมาลทำแก่คนอื่นๆ มาแล้วมากมาย กลายเป็นรู้สึกไม่เกลียดกลัวองคุลิมาลเสียแล้ว เพราะเห็นเป็นผู้นำข่าวสารเรื่องคู่รักมาบอกว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ในคราวเดียวกันนี้ ให้เกลียดชังฉุนเฉียวต่อผู้ที่ทำให้เราต้องพลัดพรากจากกันไป และเมื่อได้ยินองคุลิมาลพูดจา มีท่าทางกิริยาจะทำร้ายผู้นั้น ยิ่งให้นึกสมใจโดยไม่รู้สึกตัวว่าดีชั่วอย่างไร ด้วยได้ยินองคุลิมาลพูดมีอาการตื่นเต้น เขาพูดต่อไปว่า-
"ดูก่อนนางผู้เจริญ สังเกตดูกิริยาเห็นว่าเธอกระหายที่จะแก้แค้น ความกระหายนี้จะได้สมประสงค์ไม่ช้า เพราะด้วยเหตุอันนี้ ฉันจึ่งมาหา ฉันได้คอยดักสาตาเคียรที่นอกกรุงโกสัมพีมาหลายสัปดาหะแล้ว บัดนี้ได้ข่าวมาแน่นอนว่า อีกสองสามวันมันจะออกจากกรุงไปทางหุบเขาทิศตะวันออก เพื่อไปตัดสินคดีพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินในระวางหมู่บ้านทั้งสอง ความคิดเดิมที่กะไว้ก่อนทราบเรื่องนี้ คือจะล่อให้มันออกมาจับฉัน แต่เมื่อมาทราบเรื่องที่มันจำเป็นจะออกจากกรุงอยู่แล้ว เห็นว่าง่ายขึ้น ที่จริงเมื่อฉันหลุดจากที่คุมขังมา ก็ไม่ได้ปิดบังใคร ได้กระทำการปล้นสะดมให้เห็นกันเองว่าเป็นฝีมือของใคร เวลานี้ก็ลือกันกระฉ่อนมานานแล้ว ว่าฉันเกิดมีตัวขึ้นอีก
"ถึงแม้คนโดยมากจะถือว่า คงมีใครคนหนึ่งรับสมอ้างเป็น องคุลิมาลขึ้นใหม่ กระนั้นประชาชนก็ยังเกรงขามไปตามๆ กัน ถ้าใครจะเดินทางไปในป่าทางทิศตะวันออก ซึ่งฉันมีสำนัก ก็ต้องไปกันมากๆ มีอาวุธครบ เรื่องนี้สังเกตดูเห็นว่าเธอคงไม่ทราบ บางทีจะเป็นเพราะว่าธรรมดาสตรีผู้สิ้นความสุขความอาลัยในตัวแล้ว ก็ไม่อยากคิดถึงอะไรอย่างอื่น นอกจากหมกมุ่นอยู่แต่ความทุกข์ความเสียใจ"
ฉันตอบองคุลิมาล ว่า "ที่จริงก็ได้ยินเรื่องโจรใจกล้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ยินออกชื่อท่าน เพราะฉะนั้น เมื่อได้เห็นตัวในคราวแรก จึ่งเข้าใจว่าเป็นปีศาจ"
องคุลิมาลตอบว่า "แต่สาตาเคียรได้ยินชื่อฉันอยู่แล้ว และต้องเข้าใจว่ามันรู้อยู่ดีๆ ว่าเป็น องคุลิมาลจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นเป็นอันเชื่อได้ว่า เมื่อมันจะไปไหนเป็นต้องมีบริวารไปด้วยเป็นจำนวนมาก และคงหาอุบายระวังตัวร้อยอย่างต่างวิธี เพื่อไม่ไห้จับเค้าเงื่อนที่มันงำไว้ได้ คนของฉันที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มีจำนวนไม่มากและคงหาอุบายระวังตัวร้อยอย่างต่างวิธี เพื่อไม่ให้จับเค้าเงื่อนที่มันงำไว้ได้ คนของฉันที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มีจำนวนไม่มากมายนัก แต่ไม่เป็นไร ขอให้รู้ว่ามันจะไปทางไหนและเวลาไรเท่านั้นเป็นพอ เพราะฉะนั้นที่มานี่ ก็เพื่อจะมาขอทราบทางเธอ"
แม้ฉันจะนิ่งฟังมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มีอาการตกตะลึงจนพูดไม่ออก เพราะเห็นว่าถลำตัวยอมฟังมาเสียนานแล้วก็ดี แต่กระนั้นก็ยังอดโทสะไว้ไม่อยู่ ลุกผลุนขึ้นถามว่ามีสิทธิ์อย่างไรที่มาเข้าใจว่าฉันเลวทรามถึงกับร่วมคิดกับโจรวายร้าย
องคุลิมาลตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า "ในส่วนที่เป็นผู้ร่วมคิดกัน ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องไว้ใจกันได้ และฉันเชื่อว่าเธอคงเห็นแล้วว่า เธออาจมอบความไว้ใจแก่ตัวฉันได้ อีกประการหนึ่ง ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอจริงๆ เพราะเป็นทางเดียวที่ฉันอาจรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ได้แน่นอน จริงอยู่ ฉันมีทางอื่นที่จะทราบเรื่องได้แน่นอนเหมือนกัน แต่ถ้าสาตาเคียร กลับใจเปลี่ยนทางเสีย ก็ยากที่จะทำอะไรได้ทันการณ์ จึ่งมีทางจะสอบไห้แน่นอนได้ก็ที่เธอ ผู้ซึ่งมีใจอันสูง ประสงค์จะทำความแก้แค้นคนทรยศอยู่เหมือนกัน หากว่าเธอเป็นผู้ชาย ป่านนี้เธอคงฆ่ามันเสียเองแล้ว แต่นี่เธอเป็นผู้หญิง จึง่จำต้องอาศัยมือฉันแทน"
ฉันนึกฉุน ขยับท่าจะไล่ให้ไปเสีย แต่องคุลิมาลโบกมือห้ามด้วยอาการผึ่งผาย บอกว่ายังพูดไม่หมดกระแสความ ส่วนตัวฉันถึงจะไม่เต็มใจ ก็ต้องฝืนฟังต่อไป
องคุลิมาล พูดว่า "นางผู้เจริญ ฉันได้พูดเรื่องแก้แค้นมาก็มากแล้ว แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่าซึ่งจะต้องเล่าให้ฟัง สำหรับตัวเธอก็เพื่อประโยชน์ความสุขที่จะได้รับในภายหน้า ส่วนตัวฉัน ก็เพื่อล้างบาปที่ทำมาแล้ว ที่เขาว่าฉันเป็นคนดุร้ายไร้กรุณาต่อสัตว์และมนุษย์ เป็นความจริงโดยแท้ ฉันได้ทำกรรมไว้แล้วตั้งพันครั้ง กรรมครั้งหนึ่งเขาว่าจะต้องใช้โทษบาปในนรกก้นบึ้งตั้งร้อยปีพันปี จริงอยู่ ฉันมีสหายนักปราชญ์อยู่แต่เดิมคนหนึ่ง ชื่อ วาชศรพ ซึ่งประชาชนในเวลานี้นับถือบูชาว่าเป็นผู้สำเร็จคนหนึ่ง และฉันได้ไปเซ่นบูชาที่ปากหลุมศพอยู่เสมอ เขาเคยอธิบายให้ฟังว่านรกนั้นไม่มีจริง ซ้ำบอกว่าผู้เป็นโจรก็คือเป็นพราหมณ์อย่างวิเศษ เป็นยอดของสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นไว้ ความข้อนี้ ฉันยังไม่สนิทใจนักที่จะลงเนื้อเห็นด้วย แต่จะอย่างไรก็ตาม นรกจะมีหรือไม่ขอยกไว้ที แต่ข้อหนึ่งนั้นเป็นของมีแน่ คือ ในบรรดากรรมทั้งหมดที่ฉันได้ทำไว้แล้ว ไม่มีกรรมใดที่ทำให้วิตกต่อความผิด เท่ากับครั้งกระทำสัจกิริยาด้วยเล่ห์ลวงเธอ ถึงว่าในครั้งนั้นยังไม่กล้ามองหน้าเธออยู่แล้ว และต่อมาก็นึกถึงความผิดมิรู้หาย คล้ายมีหนามยอกอยู่ในเนื้อ เพราะฉะนั้นความผิดที่ฉันได้ทำแก่เธอไว้ ก็อยากจะแก้ตัวเพื่อลบล้างให้หมดไปตามแต่จะสามารถ เธอต้องพรากจากกามนิตคู่รักก็เพราะฉันเป็นผู้ทำผิดไว้ให้เธอเข้าใจว่ากามนิตนั้นตายเสียแล้ว จึ่งจำใจยอมตนเป็นภริยาสาตาเคียรชายทรยศ เท่ากับถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ โซ่ตรวนนี้แหละฉันประสงค์จะปลดให้หลุดจากเธอ เพื่อจะได้สมสู่อยู่กับคู่รัก ฉันจะไปกรุงอุชเชนีเอง และจะไปพาตัวกามนิตมาให้ได้ ไม่ให้มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง บัดนี้ขอให้ทำหน้าที่ของเธอ ส่วนตัวฉันก็ทำหน้าที่ในส่วนของฉัน สำหรับผู้หญิงที่ทรงความงาม ย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นอะไร ในอันที่จะล้วงความลับจากสามี พรุ่งนี้พอมืดลงฉันจะกลับมารับข่าวอันจำเป็นจากเธอ”
องคุลิมาล กล่าวดั่งนี้แล้ว ก้มศีรษะคำนับจนต่ำ กว่าจะหายตกใจตะลึง องคุลิมาลก็อันตรธานวับไปจากลาน เหมือนอย่างที่โผล่แวบขึ้นมาให้เห็นตัวในครั้งแรกฉะนั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2558 15:47:45 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 29 เมษายน 2558 15:56:08 » |
|
. ผู้หญิงที่ทรงความงาม ย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นอะไรในอันจะล้วงเอาความลับจากสามี ถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากองคุลิมาล ยังคงก้องอยู่ในหู ๓๒ ศาตาเคียร ฉันอยู่บนลานนั้นตลอดคืน ในใจเกิดความคุมแค้นแสนที่จะอดกลั้น ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ แต่มาคราวนี้เปรียบเสมือนความคุมแค้นนั้น ได้หลุดไปพร้อมกับออกจากเครื่องจองจำแล้ว กำลังจิตใจวุ่นว้า เหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดกวัดแกว่งอยู่ไปมาฉะนั้น
กามนิตของเรายังอยู่ เขาอยู่ในแดนอันไกล แต่เขาคงได้ยินเรื่องที่เรามีสามี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เงียบไปนานอย่างนี้ เขาคงนึกว่าเราเป็นหญิงไร้สัตย์ใจอ่อนแอมักง่าย ที่เราต้องเป็นหญิงชั่วช้าไปนี้ สาตาเคียรคนเดียวเป็นผู้ผิด ยิ่งคิดยิ่งชังน้ำหน้าสาตาเคียรรุนแรงขึ้น ยิ่งคิดเห็นจริงในคำอธิบายขององคุลิมาลที่ว่าถ้าเราเป็นชาย ก็คงฆ่าสาตาเคียรเสียแล้ว
ครั้นแล้ว เห็นทางองคุลิมาลจะเป็นผู้ช่วยเหลือให้ตนกลับมีอิสระ ได้อยู่กินกับผู้ที่รักได้ต่อไป เมื่อนึกอย่างนี้ให้ตื่นเต้นทั่วสรรพางค์กาย โลหิตขึ้นหน้า ไม่สามารถจะทรงตัวยืนและเดินไปที่ม้านั่งได้ ต้องทรุดลงบนพื้นกระเบื้องหินอ่อนสิ้นสมฤดีไป
เวลารุ่ง อากาศเย็นชุ่มชื้นด้วยน้ำค้างในตอนเช้า จึ่งฟื้นคืนสู่ความทุกข์และความเดือดร้อนรวนเรใจอีก นึกอยู่ว่าจริงหรือที่ตนเต็มใจไปสมคบกับผู้ร้ายนายโจรผู้ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เพื่อร่วมมือกันประหารชายผู้ครั้งหนึ่งเคยร่วมการวิวาห์กัน ส่วนเรื่องสามีจะออกจากเมืองไปในวันไร ฉันไม่ทราบเลยสักนิด ไฉนจึ่งจะทราบเวลาและลู่ทางที่จะไป ถ้าเขาต้องการปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ? "สำหรับผู้หญิงที่ทรงความงาม ย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นอะไรในอันจะล้วงเอาความลับจากสามี" ถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากโจร ยังคงก้องอยู่ในหู ทำให้รู้ได้แจ้งว่า การที่จะทำเช่นนี้ ย่อมเป็นกรรมอันชั่วร้าย ฉันคงไม่สามารถจะตกลงใจ ใช้มายายั่วยวนเพื่อล้วงเอาความลับของสามีไปให้ศัตรูร้ายได้ลงคอ ถ้าหากได้รู้ความลับอยู่ก่อนแล้ว หรือว่ามีเป็นหนังสือลายมืออะไรไว้แล้ว ก็อาจจะแข็งใจบอกหรือมอบความลับนั้นให้ไปได้ แต่ที่จะใช้เล่ห์หลอกลวงล้วงเอาความลับดั่งนี้ ให้รู้สึกสยองใจจริงๆ
เมื่อนึกเห็นแจ้งความชั่วดีดั่งนี้ ให้สั่นสะท้านไปทั่วตัว เพราะเกิดความกลัวเท่ากับทำความผิดฆ่าสาตาเคียรแล้ว ฉันนึกขอบใจตัวเองว่าคงไม่สามารถทราบความลับจากสามีได้ ถึงหากว่าฉันจะได้ทราบกำหนดเวลาที่เขาจะไป แต่คงไม่ทราบทางที่จะไปเป็นแน่ เพราะเขาคงไม่บอกให้ใครรู้ ถ้าจะมีคนรู้ก็คงเป็นคนสนิทอย่างมากคงเป็นคนเดียวเท่านั้น
แลไปในฟ้าเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แสงจับหอคอยและยอดซุ้มต่าง ๆ ในโกสัมพีราวกับทองทา ความสวยงามในยามเช้าอย่างนี้ ได้เคยเห็นจากลานอโศกมาแล้วก็หลายครั้งแต่ความรู้สึกเมื่อได้เห็นภูมิภาพอย่างนี้ เมื่อครั้งนมนานโน้นกับครั้งนี้ช่างผิดกันเหลือเกินครั้งนี้คับแคบลำเค็ญใจจริงๆ เวลาคืนเดียวเท่ากับว่าทำไห้แก่ไปได้ตั้งสิบปี ในที่สุดพยายามพยุงตัวลุกขึ้นลงไปห้อง
ทางที่จะไปห้องต้องผ่านระเบียงยาว ทะลุห้องต่างๆ ไปหลายห้อง ห้องเหล่านี้มีหน้าต่างกรุลูกกรง เมื่อฉันผ่านห้องเหล่านี้ไปห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงคนพูดกัน เสียงหนึ่งจำได้ว่าเป็นสามี ซึ่งขณะนั้นได้ยินดังว่าดั่งนี้. "ดีแล้ว ตกลงเราไปคืนนี้ ไปก่อนเที่ยงคืนสักชั่วโมงหนึ่ง" ฉันหยุดชะงัก เป็นอันรู้เวลาที่เขาจะไปแล้ว แต่จะไปทางไหนหนอ รู้สึกโลหิตขึ้นหน้าเพราะความละอายที่มาเป็นคนแอบฟัง ได้ยินเหมือนมีใครมากระซิบที่หูว่า "ไปเสีย ไปเสีย ยังมีเวลาพอ" แต่ฉันก็ยังยืนจังงังอยู่
อย่างไรก็ดี สาตาเคียรมิได้พูดต่อไป บางทีจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา แล้วมาเงียบหายที่ตรงประตู เพราะในทันใดนั้นก็มีผู้เปิดประตูปังออกมา สามีฉันมายืนอยู่เฉพาะหน้า
ฉันมีสติดี พูดออกไปทันทีว่า "ได้ยินเสียงเธอเมื่อผ่านมาทางนี้ นึกจะเข้าไปถามว่าต้องการเครื่องว่างอะไรบ้าง จะได้นำมาให้ เพราะเห็นมีธุระแต่เช้าเช่นนี้ แต่ฉันไม่กล้าเข้าไป เกรงว่าจะเป็นการรบกวน จึงจะผ่านเลยไป ก็พอดีเธอเปิดประตูออกมา"
สาตาเคียรมองดูฉัน ไม่มีอาการบอกว่าสงสัย ซ้ำแสดงเมตตาเสียอีก พูดว่า "ขอบใจมาก ยังไม่ต้องการกินอะไร และไม่เป็นการรบกวนเลย ที่จริงก็อยากจะให้ไปเชิญตัวมาพบ แต่เกรงว่าเวลายังเช้ามากจะยังไม่ตื่นนอน ที่มาได้ในเวลานี้นับว่าประจวบเหมาะ เพราะต้องการความช่วยเหลืออยู่"
สาตาเคียรเชิญให้เข้าไปในห้อง ฉันประหลาดใจเป็นที่สุด ที่เขาว่าจะต้องการความช่วยเหลืออะไรจากฉันผู้มีใจคุมแค้นแน่นอยู่เต็มอก เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นชายคนหนึ่งซึ่งจำได้ทันทีว่าเป็นนายม้า และคนสนิทที่ไว้ใจของสาตาเคียรกำลังนั่ง อยู่บนม้าต่ำ เมื่อฉันเข้าไปถึง ชายคนนั้นลุกขึ้นแสดงความเคารพ สาตาเคียรบอกให้ฉันนั่งลงข้างตัวเขา และบอกให้ชายคนสนิทนั่งลงตามเดิม แล้วหันมาพูดกับฉันว่า
"วาสิฏฐีที่รัก เรื่องเป็นดั่งนี้ ฉันจำเป็นต้องออกไปชำระคดีพิพาท ที่เกิดขึ้นในระหว่างหมู่บ้านทางมณฑลตะวันออก จะต้องรีบไปจัดการ เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่ามีผู้เห็นโจรชุมนุมกันอยู่ทางป่าทางตะวันออกของกรุงมาหลายสัปดาหะแล้ว อันที่จริงเขาว่าอยู่ใกล้ๆ เมืองนี่เอง มีผู้ลือกันเหลวไหลว่าหัวหน้าโจรพวกนี้ไม่ใช่คนอื่นไกล คือองคุลิมาลนั่นเอง ซ้ำยังหาญพูดโดยไม่เกรงกลัวว่า องคุลิมาลแหกคุกหนีไปได้ และฉันจัดเอาคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงไปตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมืองแทนองคุลิมาล เรื่องอย่างนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเหลวไหลถือเอาเป็นแก่นสารไม่ได้ แต่ทว่า โจรใหม่คนนี้ ดูเหมือนมีความบ้าระห่ำไม่แพ้องคุลิมาล และถ้าแม้ตั้งตัวใช้ชื่อองคุลิมาลที่ลืออยู่แล้ว ก็คงมีพวกเหล่าร้ายไปสมทบด้วยเป็นอันมาก และคงประสงค์จะทำการร้ายให้ได้ชื่ออย่างหนึ่งเป็นแน่ เพราะฉะนั้น จะต้องระวังตัวรอบคอบให้ดีสักหน่อย"
มีโต๊ะกลมฝังด้วยแก้วหินมีค่าตั้งอยู่ข้างตัวสาตาเคียร บนโต๊ะมีผ้าเช็ดหน้าแพรวางอยู่
สาตาเคียรหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นเช็ดหน้าผาก ปากก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า "วันนี้เพิ่งรุ่งเช้าจะร้อนเสียแล้ว” แต่ฉันสังเกตว่า ที่สาตาเคียรมีเหงื่อออกมาทุกขุมขน เป็นเพราะครั่นคร้ามองคุลิมาลมากกว่าอื่น ทั้งนี้ควรที่ฉันจะเกิดความสงสาร กลับเห็นน่าหมั่นไส้ยิ่งขึ้น เห็นได้ว่าสาตาเคียรไม่ใช่ชายชาติชาตรี ถึงกับฉันนึกถามตนเองด้วยความประหลาดใจว่า เป็นเพราะเคราะห์โชคไฉนจึ่งประจวบให้สาตาเคียรจับองคุลิมาลได้ เพราะองคุลิมาลโจรสำคัญ มีความดุร้ายใจกล้าหาญไม่ผิดกับพระภีมะในยุคมหาภารตะ ซึ่งเธอเคยไปเกิดเป็นชาตินักรบอยู่ในสมัยนั้น และได้ทำการสู้รบอยู่ข้างพระภีมะที่กุรุเกษตร
สามีฉันพูดต่อไปว่า "เรื่องเป็นอย่างนี้ การจะไปยังหมู่บ้านนั้น โดยยกทหารไปด้วยตั้งทัพตั้งกองเป็นของที่ไม่น่าดูและทำไม่ได้ จะต้องการเอาติดตัวไปด้วยอย่างมากก็ไม่เกินสามสิบคน แต่จะต้องใช้อุบายระไวระวังเป็นดีกว่าอย่างอื่น ฉันกำลังปรึกษาหาอุบายดูกับปัณฑูกะ เขามีความเห็นเข้าทีอยู่ ซึ่งฉันจะบอกให้หล่อนทราบ เพื่อจะได้ไม่วิตกวิจารณ์ถึงฉัน ในระวางเวลาที่ฉันเดินทางไป"
ฉันพูดอะไรอุบอิบออกมาสองสามคำ เป็นที่แสดงว่าขอบคุณที่ยังเป็นห่วงคิดถึงฉันอยู่
เขาได้พูดต่อไปว่า "เพราะฉะนั้น ปัณฑูกะจะเป็นผู้เตรียมการที่จำเป็น และทำเป็นว่าฉันจะออกเดินทางไปทางตะวันออก ในเวลาเช้าตรู่พรุ่งนี้ มีกองทหารคึกคักจะไปจับโจรให้ข่าวแพร่กระจายไป ฉันเชื่อว่าโจรคงมีพวกอยู่ในเมือง ข้อนี้เป็นของแน่นอน มันคงคอยสืบข่าวนำไปบอกกัน มันก็จะหลงอุบายตายใจ ในระวางนั้นจะออกเดินทางมีทหารขี่ม้าไปด้วยเพียงสามสิบคน ไปในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ ออกไปทางประตูด้านใต้ แล้วเดินอ้อมผ่านหุบเขาวกไปทางตะวันออกอีกที ถึงกระนั้น ก็จะหลีกไม่ไปทางถนนใหญ่ จนกว่าจะออกไกลจากกรุงโกสัมพี ห่างไปหลายร้อยเส้นเสียก่อน เรื่องที่ต้องการจะให้ช่วยเหลือเป็นดั่งนี้ คือหนทางที่จะไป ผ่านไปทางบ้านพักร้อนของบิดาหล่อน หล่อนคงรู้จักถนนหนทางแถวนั้นได้ดีมาตั้งแต่เด็ก ฉันเชื่อว่าหล่อนคงสามารถช่วยเหลือเรื่องนี้แก่ฉันได้มาก"
ฉันยินดียอมช่วยเหลือทันที ในขณะอธิบายแผนที่ให้ฟัง ได้ให้เขาเอากระดานเข้ามา แล้วขีดแผนที่ในละแวกนั้นให้ดูอย่างละเอียด ชี้ให้สังเกตทางแยกซึ่งจะต้องจดจำไว้ ฉันแนะนำให้ไปทางที่ตัดไปทางซอกเขา ทางนั้นไปๆ จะสอบเข้าทุกที จนในที่สุดเป็นช่องแคบ คนขี่ม้าเพียงสองคนก็เรียงเดินไปพร้อมกันไม่ได้ แต่ระยะไม่ยาวนัก อีกประการหนึ่งหนทางนั้น ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ถึงว่าพวกโจรจะสงสัยว่า เดินอ้อมค้อมไปทางนั้น ก็คงไม่นึกฝันที่จะไปดักทางนั้น ที่ในหุบเขานี้ เมื่อฉันยังเด็กๆ อยู่ได้เคยวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ น้องๆ รวมทั้งเมทินีและเด็กๆ บุตรผู้เช่าที่ของบิดาด้วย
สาตาเคียรสังเกตเห็นมือที่ฉันวาดแผนที่อยู่สั่น ก็ถามว่าเป็นไข้ไปหรือ ฉันตอบว่าเปล่า แต่ว่าอ่อนใจเพราะนอนไม่หลับมาทั้งคืน เขาจับมือฉันไปกำไว้ และคงได้รับรู้สึกสัมผัสว่าเย็นชืด จึ่งได้บอกเป็นการเตือนสติ ให้อุตส่าห์รักษาตัวหน่อยจะเป็นไข้ไม่สบาย
ตามอาการกิริยาที่เขามองดูและพูดกับฉัน ให้รู้สึกเกลียดชังน้ำหน้า และขยะแขยงเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ตกไปเป็นภริยา ฉันถือโอกาสรีบบอกว่า ที่จริงก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ อยากจะรีบกลับไปนอนเสีย
สาตาเคียรอนุญาต แต่เดินตามไปส่งถึงระเบียง เมื่ออยู่กันระวางสองต่อสอง เขาก็เริ่มขอโทษฉัน บอกว่าเขาได้ละเลยฉันมาช้านาน มัวไปอยู่กับมารดาของลูกชาย และว่าเมื่อกลับมาจะขอใช้โทษ จะไม่ยอมให้ฉันนอนเปลี่ยวเปล่าอยู่คนเดียวที่บนลาน
เขาแสดงความเมตตาปรานีและความรักใคร่ ซึ่งดูเหมือนว่าเพิ่งจะมีขึ้นในคราวนี้เป็นครั้งแรก กระทำให้ฉันซึ่งใจแข็งก็ออกๆ จะมีความสงสารขึ้นมาอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ดี ความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดมีขึ้นก็ชั่วแล่น เพราะเมื่อเวลาเขากลับไปแล้ว ความแค้นที่เขาเป็นผู้พรากความสุขไป ก็กลับคืนเข้าที่อัดแน่นอยู่ตามเดิม๓๓ องคุลิมาล เมื่อฉันกลับมาถึงห้องแล้ว รู้สึกเงียบฉี่อย่างไรพูดไม่ถูก เป็นอันไม่มีอะไรจะต้องคิดไม่มีข้อควรสงสัยรวนเรใจที่จะต้องต่อสู้ ไม่มีปัญหาจะต้องแก้ต้องถามอีก เพราะได้ตกลงปลงใจเด็ดขาดแล้ว กรรมที่สาตาเคียรก่อไว้อย่างใด ก็ต้องก่อผลสนองอย่างนั้น สาตาเคียรเป็นผู้คดโกงถึงสองต่อ ก็จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกใช้โทษแทนตัวฉัน และองคุลิมาล
ความเงียบที่กล่าวนี้ ช่างสงบเสียจริงๆ พอฉันล้มตัวลงบนที่นอนก็หลับทันที ดูเหมือนว่าร่างกายต้องการความพักผ่อน เพื่อรอเวลานัดกันไว้
ตกมืดฉันไปที่ลาน เดือนยังไม่ทันขึ้น ฉันคอยอยู่ไม่นาน เห็นร่างใหญ่มหึมาขององคุลิมาลปีนกำแพงตรงเข้ามายังม้าซึ่งฉันนั่งอยู่ ฉันไม่ได้เคลื่อนไหวกาย ไม่ได้ยกหางตาขึ้นดู เป็นแต่พูดว่า "สิ่งที่ท่านประสงค์จะทราบนั้น ฉันไปทราบมาดีแล้วทุกข้อ ทุกอย่างรู้ตลอดกระทั่งเวลาไป มีคนไปด้วยกี่คน ไปทางไหน ถนนไหน ผลกรรมของเขาเองบันดาลให้เขามอบความลับความไว้ใจบริบูรณ์ มิฉะนั้นฉันคงรู้ไม่ได้ เพราะไม่สมัครจะใช้อุบายยั่วยวนล้วงถามเอาความลับ"
ที่ฉันพูดกับองคุลิมาลนั้น พูดตามที่ใคร่ครวญไว้ดีแล้ว ด้วยไม่ต้องการจะให้เห็นว่าฉันมีใจเลวถึงปานนั้น แม้แต่ที่มาสมคบเป็นเครื่องมือของผู้ร้ายเท่านี้ ก็รู้สึกว่าเลวเสียเหลือเกินแล้ว
วาจาที่ฉันได้กล่าวต่อไป ก็ได้ไตร่ตรองไว้ดีแล้วอย่างเดียวกัน คือได้พูดต่อไปว่า "แต่เมื่อจะบอกเรื่องนี้ จะต้องเอาคำมั่นสัญญาจากท่านเสียก่อน ว่าท่านจะฆ่าเขาคนเดียวแต่จะไม่ทรมาน ส่วนคนอื่นๆ ที่ไปด้วยจะไม่ฆ่า เว้นเสียจะเพื่อป้องกันตัว ถ้าไม่ให้สัญญาสาบานอย่างนี้ จะไม่ยอมบอกสักคำเดียว แล้วฉันจะแนะสถานที่ให้ว่าตรงไหนเหมาะซึ่งท่านอาจประหารให้ตายได้ทันที โดยไม่ต้องสู้รบตบมือกัน เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านให้สัตย์ปฏิญญา มิฉะนั้นก็ฆ่าฉันเถิด ฉันจะไม่ยอมบอกจนคำเดียว"
องคุลิมาลให้ปฏิญญาว่า "ข้าพเจ้าเป็นทาสมีภักดีในพระแม่เจ้ากาลีมั่นคงตลอดมาจนทุกวันนี้เพียงใด ข้าพเจ้าขอไม่ฆ่าคนของสาตาเคียรที่ไปด้วย หรือทรมานสาตาเคียรเป็นความสัตย์จริงเพียงนั้น"
ฉันพูดว่า "ดีแล้ว ฉันจะเชื่อ เชิญฟังแล้วกำหนดข้อความไว้ให้ถี่ถ้วน ถ้าท่านมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ในเมือง ก็คงจะได้ทราบถึงเรื่องที่เขาจัดแจงเตรียมทหาร จะยกออกไปจับโจรในวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้เป็นกลอุบายจะลวงท่านทั้งสิ้น ที่จริงสาตาเคียรมีทหารม้าไปด้วยเพียงสามสิบคน จะออกจากกรุงไปทางประตูทิศใต้ในคืนนี้ ก่อนเวลาเที่ยงคืนสักชั่วโมงหนึ่ง จะออกจากดงประดู่ลายไปทางขวา แล้ววกอ้อมไปทางใต้เพื่อหักไปทางตะวันออก ไปทางถนนเล็กในหุบเขา"
แล้วฉันได้ชี้แจง แสดงภูมิประเทศให้ฟังอย่างละเอียด ตลอดจนทางซอกเขาที่สาตาเคียรจะผ่านเข้าไป ซึ่งเป็นระยะทางตอนที่อาจฆ่าได้ง่ายดายและแน่นอน
ฉันพูดแล้วก็หยุดนิ่ง รู้สึกว่าช่างเงียบเชียบอึดอัดใจเสียนี่กระไร ไม่ได้ยินเสียงอะไรหมด นอกจากเสียงหายใจแรงของตัวเอง ครั้งเสร็จแล้วตั้งใจว่าจะกลับ แต่ให้รู้สึกว่าไม่มีกำลังจะลุกขึ้นลงจากลานไปห้อง
ครั้นแล้วองคุลิมาลพูดขึ้นด้วยเสียงสุภาพมีกระแสเศร้าๆ ผิดปรกติ กระทำให้ฉันตกตะลึง ประหลาดใจสะดุ้งชะงักขึ้นมาเอง คือพูดว่าดั่งนี้.- "ที่จริง เรื่องจะต้องเกิดขึ้นเช่นนี้ เธอซึ่งเป็นภริยาที่เสงี่ยมหงิมใจบุณย์สุนทรไม่เคยทำร้ายแม้แต่สัตว์ที่เล็กน้อย ต้องมาคบค้าสมาคมกับมนุษย์หยาบช้าสามานย์ มือเปื้อนเป็นมลทินด้วยเลือดมนุษย์ เมื่อเป็นผู้ฆ่าสามีของเธอเอง ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานใจ ตายไปแล้ว ผลอกุศลกรรมจะตามสนองให้ไปตกไหม้อยู่ในนรก ถ้าเธอได้พูดอยู่กับองคุลิมาลมหาโจร ผลจะต้องเป็นไปตามนี้ แต่เดี๋ยวนี้องคุลิมาลเป็นอีกคนหนึ่งต่างหากแล้ว"
เมื่อฉันได้ยินดั่งนี้ แทบจะไม่เชื่อหูของตนเองว่าถ้าเช่นนั้นเป็นใครเล่าที่ฉันกำลังพูดอยู่ ความจริงเสียงที่พูดกับฉันก็เป็นเสียงองคุลิมาล ถึงว่าลักษณะน้ำเสียงจะเปลี่ยนแปลกใจ ก็เป็นสำเนียงองคุลิมาลอยู่ชัด ๆ ขณะฉันเงยหน้าจ้องพิศดูองคุลิมาล ก็ยังเห็นเป็นองคุลิมาลนายโจรอยู่นั่นเอง ทำให้ประหลาดใจอยู่ครันๆ ผิดจากคราวก่อนซึ่งฉันเคยตกใจกลัว
องคุลิมาลพูดต่อไปว่า "นางผู้เจริญ เรื่องที่พูดนี้ไม่ต้องวิตกเพราะจะไม่เกิดขึ้นเลย และไม่เกิดเลยอย่างแน่นอน ไม่ยิ่งไปกว่าจะบอกแก่ต้นไม้"
ถ้อยคำเหล่านี้ ฉันเกิดฉงนสนเท่ห์ไม่น้อยไปกว่าที่ได้ฟังมาตอนต้น เป็นอันเข้าใจรัวๆ ว่า จะเป็นด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง องคุลิมาลจึ่งกลับใจเลิกความคิดในแผนอุบายที่จะแก้มือสาตาเคียร
ฉันหรือ ได้คิดถึงโครงการแก้แค้น เพราะถูกรับความทุกข์เดือดร้อนใจมาสาหัสและก็มาอันตรธานล้มละลายไปในทันที เมื่อไม่ได้อย่างหวัง ก็เกิดความน้อยใจขึ้นเป็นธรรมดา ถึงกับกล่าวบริภาษอย่างรุนแรงใส่หน้าองคุลิมาล เรียกเขาว่าเป็นผู้ร้ายหน้าด้านสัญชาติสับปลับ ไม่มีความสัตย์ความจริง และอะไรต่ออะไรล้วนสรรเอามาว่าอย่างร้ายให้สมแค้น เจตนาจะให้องคุลิมาลเกิดความโกรธยั้งโทสะไว้ไม่อยู่ แล้วฆ่าฉันให้ตายลงที่นั่นเสียรู้แล้วไป
ครั้นเมื่อฉันด่าเหนื่อยเข้า ต้องหยุดหอบ องคุลิมาลกลับพูดอย่างสุภาพปกติ เลยทำให้ฉันนึกละอายใจ ว่า- "ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะฉันที่ควรได้รับผรุสวาทจากเธอ แต่ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะสามารถทำให้องคุลิมาลเกิดโทสะเหมือนแต่ก่อน แล้วฆ่าเธอเสีย ซึ่งสังเกตดูก็เหมือนเธอจะมีความประสงค์เช่นนั้น ยิ่งกว่านี้ ถึงจะกล่าววาจาให้เผ็ดร้อนแซบขึ้นไปกว่านี้ ฉันก็คงวางเฉยอยู่ได้เป็นปกติ และซ้ำจะรู้สึกขอบคุณผู้ด่าเสียด้วย เพื่อมีโอกาสพิสูจน์ความมั่นคงใจในครั้งแรก เพราะพระบรมศาสดาได้ประทานอนุศาสน์แก่ฉันว่า "พื้นพสุธาถูกคนขว้างก้อนดินที่สะอาดหรือโสโครกลงไป ก็ไม่รู้สึกกำเริบหรือขุ่นข้องฉันใด ท่านจงข่มจิตตนให้สม่ำเสมอเหมือนฉะนั้น วาสิฏฐี ที่เธอพูดอยู่นี้ไม่ใช่พูดกับโจร แต่ว่าพูดกับองคุลิมาลผู้เป็นสาวกพระบรมศาสดา"
"สาวกอะไร? พระบรมศาสดาอะไรกัน?" นี่เป็นคำถามของฉันที่หลุดออกมาเองโดยคอยฟังไม่ทันใจ แต่ว่าถ้อยคำอันแปลกของชายผู้ที่ฉันคิดไม่เห็นว่าเป็นคนชนิดไรนี้ ทำให้รู้สึกอยากฟังต่อไปอีก
องคุลิมาลตอบคำถามของฉันว่า "พระองค์ซึ่งเขาขนานพระนามว่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ เป็นพระบรมศาสดาของฉัน ในเวลานี้เธอคงจะได้ยินพระนามมาบ้างแล้วกระมัง?"
ฉันสั่นศีรษะ
องคุลิมาลกล่าวต่อไป "ฉันถือว่าฉันได้บุณย์มาก คือได้เป็นผู้กล่าวพระนามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งแรกแก่ตัวเธอ ถ้าองคุลิมาลครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นโจรผู้ร้าย ได้ทำบาปไว้ให้แก่เธอมากเพียงใดก็ดี แต่บัดนี้ในฐานะที่เป็นสาวก ก็จะได้ทำบุณย์แผ่กุศลแก่เธอให้สมกันฉะนั้น"
ฉันถามองคุลิมาล มีอาการตั้งใจฟังจริงๆ ว่า "ที่เธอเรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ คือใคร? ท่านทำประการไรให้เธอกลายเป็นผู้มีกิริยาวาจาเปลี่ยนแปลกอย่างคิดไม่เห็นดั่งนี้? และบุณย์กุศลอะไร ที่จะมาได้แก่ฉัน เมื่อได้ยินถึงนามนั้น?"
องคุลิมาลตอบว่า "แม้แต่ได้ยินพระนามซึ่งมีผู้ขานว่า พระตถาคต ก็ประหนึ่งว่าได้บังเกิดแสงสว่างในครั้งแรกแก่ผู้อยู่ในที่มืด แต่ฉันจะเล่าเรื่องให้เธอฟังทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าทรงพบฉัน และได้ทรงเปลี่ยนวิถีทางเดินในชีวิตของฉันเป็นประการไร ถ้าหากว่าเรื่องไม่เกิดขึ้นในวันนี้แท้ๆ แล้ว การต่อไปก็จะไม่เป็นเหมือนอย่างที่เป็นใหม่อยู่เดี๋ยวนี้"
ถึงแม้ว่ารูปร่างองคุลิมาลยังมีลักษณะดุร้ายอยู่ก็ดี แต่ว่ากิริยาเปลี่ยนแปลงดูเรียบร้อยน่านับถือ ทำให้ฉันคงประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว ทั้งยิ่งเห็นกิริยาท่าทางสงบเสงี่ยมเมื่อนั่งลงข้างตัวฉัน คล้ายกับว่าเป็นผู้ร่วมวรรณะชั้นเดียวกัน ดูสง่าผ่าเผยเห็นเด่นสมเป็นชายชาตรี
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2558 12:01:14 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2558 12:17:49 » |
|
.'กามนิต' วรรณกรรมอิงอาศัยหลักพุทธศาสนาและพระสูตรต่างๆ เป็นโครงเรื่อง ในสถานที่ว่างเปล่าอยู่นี้ ขณะนั้นมีคนพุ่งขึ้นมาจากปากช่องมืดตื้อ อยู่ทางขวาสามคน คนอยู่กลางเป็นรูปวาชศรพ มีกายเปลือยสั่นเทิ้มคล้ายไข้จับ(ภาพประกอบ : แสกนจากหนังสือต้นฉบับ) ๓๓ นรกหอก องคุลิมาลเริ่มเล่าเรื่องให้ฟังว่า- วันนี้เวลารุ่งแล้ว ล่วงมาสักสองสามชั่วโมง ฉันยืนอยู่ที่ราวป่าจ้องดูไปทางหอคอยกรุงโกสัมพี ในใจอักอ่วนป่วนปั่นอยู่ด้วยการคุมแค้นพยาบาทสาตาเคียร นึกถามตัวเองว่าเธอจะนำข่าวที่ต้องการมาให้ทราบได้หรือไม่หนอ ขณะนั้นตามทางที่แล่นออกจากประตูเมืองด้านตะวันออกมาสู่ป่านี้ มีชายคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีเหลือง เดินสาวก้าวมาโดดเดี่ยวสองข้างทางมีพวกเลี้ยงปศุสัตว์ และชาวบ้านนอกกรุงกำลังสาละวนทำงานหาเลี้ยงชีพกันอยู่ ฉันสังเกตเห็นคนเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ถนน ตะโกนบอกอะไรแก่ชายสัญจรโดดเดี่ยวคนนั้น ส่วนผู้ที่อยู่ห่างถนนลึกเข้าไป ก็หยุดทำงานเอามือชี้และมองดูชายคนนั้น พวกที่อยู่ใกล้เห็นชายโดดเดี่ยวยังเดินต่อไป ก็วิ่งไปบอกให้หยุด บางคนถึงกับยึดชายผ้าไว้ไม่ให้ไป ทำท่าตกใจชี้ไม้ชี้มือไปทางป่า ฉันเกือบจะอ่านกิริยาอาการแห่งพวกนั้นออกว่า "อย่าไป อย่าเลยเข้าไป อย่าเข้าไปในป่า องคุลิมาลโจรร้ายมีซ่อนอยู่ในนั้น"\
แต่ชายสัญจรก็ยังเดินต่อไปไม่มีกิริยาหวั่นหวาด มุ่งตรงไปทางป่าท่าเดียว บัดนี้ฉันเห็นรูปร่างได้ถนัดเป็นนักบวชโกนผมศีรษะโล้น อยู่ในนิกายที่เรียกว่าศากยบุตร เป็นคนมีอายุ แต่ท่าทางผึ่งผาย ฉันคิดว่า แปลกจริง ๆ บนถนนนี้ อย่าว่าแต่คนเดียว ต่อให้สิบคน สามสิบคนหรือยิ่งขึ้นไปตั้งห้าสิบคนรวมกันมา มีอาวุธครบตัว ขืนเดินมาทางนี้เป็นต้องตกอยู่ในอำนาจเราทั้งสิ้น แต่นี่ไฉนหนอนักบวชรูปนี้จึ่งถือดีกล้าเดินมาแต่ผู้เดียว คล้ายกับเป็นผู้มีชัยชนะ?
ฉันเห็นว่าที่บังอาจบุกรุกมาอย่างทะนงตัวนี้ เท่ากับลูบคมดูถูกกัน จะต้องให้เห็นฝีมือเสียแล้ว และยังนึกอยู่ว่า อาจเป็นคนสืบข่าวที่สาตาเคียรส่งมาก็ได้ เมื่อคิดตกลงใจก็คว้าหอก หยิบคันธนูและแล่งสะพายบ่าออกจากป่าขึ้นไปบนถนน ด้อมตามนักบวชรูปนั้น จึ่งในขณะนั้นเข้าไปถึงป่าแล้ว
ครั้นมาถึงที่เหมาะแห่งหนึ่ง ไม่มีต้นไม้กีดกัน ฉันก็ปลดคันธนูออกจากบ่า ขึ้นลูกจ้องเล็งให้ถูกตรงสันหลังด้านซ้ายให้ทะลุถึงหัวใจ ลูกธนูลั่นหวือข้ามศีรษะนักบวชไป
เมื่อลูกธนูไม่ดีผิดที่หมาย จึ่งเลือกลูกใหม่ที่เห็นว่าได้สัดส่วน มีขนนกแผ่กระจายงาม จ้องยิ่งให้ถูกคอ แต่ลูกธนูกลับแล่นไปปักติดต้นไม้ข้างซ้ายของนักบวช ชักลูกยิงใหม่ทีนี้แกว่งไปทางขวาไม่ถูกที่หมาย ผิดไปพลาดมาอย่างนี้จนลูกธนูหมดแล่งเปล่า
ฉันเห็นผิดใจ แปลกประหลาดเหลือเกิน เคยยิงได้แม่นยำ จะพลิกแพลงยิงอย่างไรไม่เคยผิดพลาด ถึงนกอินทรีบินเร็วที่สุดก็ยังยิงถูก วันนี้มือเป็นอะไรไปหนอ?
ระวางนั้น นักบวชเดินขึ้นหน้าไประยะไกล ฉันต้องวิ่งไล่ตามหมายจะฆ่าเสียด้วยหอก ครั้นไล่เข้าไปทันใกล้กันระยะเพียงสิบก้าวก็เข้าไปใกล้อีกไม่ได้ จะวิ่งให้เร็วที่สุดก็ไม่เลยระยะนั้นเข้าไปได้ ส่วนนักบวชรูปนั้น ดูก็เดินตามปกติอย่างสบายไม่ได้รีบเร่งอะไร
ครั้นแล้วฉันจึ่งนึกว่า น่าประหลาดจริง ๆ เกิดมาไม่เคยเห็นเช่นนี้ เคยไล่ช้างไล่กวางที่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วทัน แต่ที่นักบวชรูปนั้นเดินตามปกติ และเราวิ่งเต็มฝีเท้าด้วยซ้ำทำไมจึ่งไล่ไม่ทัน เท้าเป็นอะไรไปหนอในวันนี้?
ฉันหยุด แล้วตะโกนสั่งนักบวชรูปนั้นว่า "หยุดนา! พระ หยุด!"
นักบวชยังเดินเฉยเรื่อยไป แต่หันมาบอกว่า "องคุลิมาล เราหยุดแล้ว ท่านควรหยุดนิ่งเสียด้วย"
ฉันประหลาดใจซ้ำลงไปอีก นึกว่า ดีร้ายนักบวชนี้คงอาศัยสัจกิริยาอะไรอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ยิงไม่ถูกตัว แคล้วคลาดไปหมด วิ่งไล่ก็ไม่ทัน แต่นี่ไฉนหนอจึ่งแสร้งกล่าวเท็จซึ่ง ๆ หน้า ว่าตนหยุดนิ่งอยู่ทั้งที่เราเห็นกับตาว่า แกยังเดินดุ่ม ๆ อยู่ ส่วนตัวเราสิหยุดยืนหอบอยู่กับที่เข้าคู่กับต้นไม้ต้นนี้เห็นอยู่โต้งๆ ยังมีหน้าพูดว่าเราไม่ได้หยุด คิดดูเหมือนนกที่บินอยู่บอกต้นไม้ว่า "ต้นไม้ เราหยุดนิ่งแล้ว แต่สูท่านยังไม่หยุดนิ่ง" แปลกจริง! คงมีอะไรลึกลับอย่างหนึ่งในคำพูดนี้ บางทีจะมีประโยชน์แก่เรา ที่จะได้ข้อรหัสย์กถาอาคมไว้ใช้บ้าง ดีกว่าจะฆ่าเสีย
นึกแล้ว จึ่งร้องตอบว่า- "ก็ท่านยังเดินอยู่ ทำไมจึ่งบอกว่าหยุดเล่า? ส่วนตัวเราหยุดแล้ว ท่านไพล่บอกว่ายังเดินอยู่ ดูก่อนพระ โปรดอธิบายให้ฟังว่า ที่ว่าท่านหยุดนิ่งอยู่นั้นเป็นอย่างไร และตัวเราไม่ได้ยืนนิ่งอยู่นั้นเป็นอย่างไร และตัวเราไม่ได้ยืนนิ่งอยู่ดอกหรือ?"
นักบวชตอบว่า "เราผู้มิได้ทำเวรภัยในสรรพสัตว์ คือหยุดแล้ว ไม่เร่ร่อนไปอีก แต่ตัวท่านนั้น เป็นผู้มีใจมุ่งร้ายต่อสรรพสัตว์ทุกขณะจิต ต้องเร่ร่อนเพราะอกุศลกรรมไม่มีเวลาหยุด รับทุกข์ทรมานจากที่หนึ่งแล้ว ต้องไปสู่อีกที่หนึ่งเรื่อยไป"
ฉันตอบว่า "ที่เราเป็นผู้เร่ร่อนอยู่เป็นนิตย์ ความข้อนี้ไม่เคยได้ยิน แต่ว่าหยุดนิ่งอยู่ ไม่เร่ร่อนไปอีกนั้น ยังไม่เข้าใจ เออท่านพระ โปรดชี้แจงเหตุผลที่ได้กล่าวรวมยอดสองสามคำเมื่อกี้นี้ให้เข้าใจแจ่มแจ้งด้วย เชิญดู ข้าพเจ้าวางหอกลงแล้ว และขอปฏิญญาสาบานที่จะให้อภัยในชีวิตท่านเพื่อศานติสุข"
นักบวชตอบว่า "องคุลิมาล ท่านได้กระทำปฏิญญาเป็นครั้งที่สองแล้ว" "เป็นครั้งที่สอง?" "ครั้งที่หนึ่ง เมื่อครั้งให้สัจกิริยาอันเป็นเท็จ"
น่าพิศวงจริง ที่นักบวชนี้ก็แจ้งความลับครั้งนั้น แต่ฉันมีสติทันไม่หยุดชะงักพิศวงให้เป็นพิรุธ รีบป้องกันการกระทำ ด้วยอุบายที่ฉันเห็นว่าเป็นอย่างฉลาดทันที ได้ตอบว่า- "ข้าแต่ท่านพระ วาจาที่ให้สัตย์ปฏิญญาครั้งนั้นมีความเป็นสองนัย ถ้าแปลกันตามคำที่กล่าวออกไป ก็ไม่เป็นคำสาบานที่เป็นเท็จ เป็นแต่ใช้โวหารที่ผู้ฟังไม่มีเชาวน์แล้วเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่ที่ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญญาครั้งนี้เป็นความจริง ทั้งแปลตามคำและแปลตามสำนวนทั้งสองประการ"
"ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะท่านจะให้ศานติสุขแก่เราไม่ได้ ถ้าเราจะให้ศานติสุขแก่ท่านจึ่งจะเป็นการถูกต้อง"
เมื่อนักบวชนั้นพูดดั่งนี้แล้ว ก็แสดงอาการเป็นมิตรภาพ บอกให้ฉันเข้าไปหา ฉันเข้าไปด้วยความเคารพ
เธอนั่งลงตรงร่มไม้ใหญ่ บอกให้ฉันนั่งแทบเบื้องบาท แล้วก็ตั้งต้นสั่งสอนถึงเรื่องบุณย์บาปมีผลตามสนองเป็นไปอย่างไร ได้ชี้แจงให้ฟังอย่างง่ายๆ ชัดเจน และแจ่มแจ้งทุกแง่ทุกเงื่อนเท่ากับอธิบายแก่เด็กๆ เพราะความจริงตัวฉันไม่เคยเล่าเรียนอรรถธรรมมาเลย ไม่เหมือนกับศิษย์นักบวชอื่นๆ ซึ่งตามธรรมดาเป็นบุตรพราหมณ์ ย่อมได้รับการศึกษามีความรู้ในพระเวทมาแล้ว ส่วนตัวฉันตั้งแต่เกิดมาเคยได้ฟังความรู้ที่จับอกจับใจไม่หายก็ครั้งเดียว คือเมื่อครั้งนั่งอยู่ปลายบาทวาชศรพที่ในป่าคืนหนึ่ง และฟังคำสั่งสอนของท่านผู้นั้น ซึ่งดูเหมือนฉันได้เคยเอ่ยชื่อแก่เธอมาแล้ว ครั้นมาได้ฟังคำสั่งสอนของนักบวชรูปนี้ รู้สึกข้อความสุขุมกินใจซาบซึ้งเหลือเกิน ท่านชี้แจงว่าที่บุคคลต้องไปเกิดที่นั่นที่นี่ ในโลกมนุษย์บ้าง ในสวรรค์บ้าง และในนรกบ้าง เพราะกรรมเท่านั้นเป็นเหตุปรุงแต่ให้ไปเกิด หาใช่เพราะอำนาจเด็ดขาดที่มาจากสวรรค์ไม่ คำอธิบายนี้ผิดกว่าที่วาชศรพได้เคยสั่งสอน เป็นการตรงกันข้าม วาชศรพพิสูจน์ให้เห็นอย่างง่ายๆ และอ้างอิงพระคัมภีร์เป็นหลักว่าไม่มีนรก ที่กล่าวถึงนรกในพระคัมภีร์เป็นของคนขลาด แทรกเสริมเติมขึ้นใหม่ เพื่อขู่ให้ผู้มีใจเหี้ยมหาญเกิดกลัวไม่กล้าทำร้ายตัว ซึ่งเป็นความคิดขลาดอ่อนแอที่วาชศรพอธิบายอย่างนี้ ฉันเองก็ไม่สู้เลื่อมใสเห็นจริงไปหมด จึ่งเกิดความสงสัยว่านักบวชผู้นี้จะสามารถทำให้ฉันเกิดความเลื่อมใสได้ละหรือ? นี่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นความเห็นแย้งความเห็น ปราชญ์ต่อปราชญ์แย้งกัน ถึงหากว่านักบวชนี้ จะเป็นสาวกสำคัญผู้ใดผู้หนึ่งของพระศากยบุตรก็ตามที แต่วาชศรพก็มีศิษย์ที่นับถือเลื่อมใสอยู่มาก ถึงเวลานี้วาชศรพจะดับขันธ์ไปแล้ว สามัญชนก็ยังเซ่นบูชาว่าเป็นผู้สำเร็จผู้หนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าจะเป็นผู้ตัดสินว่าคำสั่งสอนของฝ่ายไหนผิดและถูก?"
กำลังนึกอย่างนี้ นักบวชผู้นั้นก็เตือนว่า "องคุลิมาล ท่านมิได้ตั้งใจฟังคำที่เราพูด กำลังไปนึกถึงวาชศรพและลัทธิที่เห็นผิดของเขา"
ฉันตกตะลึง ยอมรับตามความจริงที่นึกอย่างนั้น และถามว่า "ข้าแต่อริยะ ท่านรู้จักวาชศรพสหายของข้าพเจ้าด้วยหรือ?" "มีผู้ชี้ให้ดูหลุมศพที่นอกประตูเมือง แต่ก็มีคนเดินทางที่โง่เขลาไปเซ่นไหว้อ้อนวอนนับถือ ว่าเป็นผู้สำเร็จอรหันต์" "เช่นนั้น ไม่ใช่อรหันต์ดอกหรือ?" "นั่นแหละ ถ้าท่านว่าเขาเป็นอรหันต์ผู้หนึ่ง ก็ควรจะไปเยี่ยมกรายดู ว่าในเวลานี้เสวยผลความเป็นอรหันต์อย่างไรบ้าง?"
ที่นักบวชพูดเช่นนี้ ดูประหนึ่งว่าอาจไปเยี่ยมกันได้ง่าย จากบ้านหนึ่งสู่บ้านหนึ่งทำให้ฉันจังงัง มองดูนักบวชนั้นอย่างตะลึง ออกอุทานว่า "ไปเยี่ยมวาชศรพ?" ไปได้อย่างไรกัน?" "ก็ยื่นมือมาให้เรา เราจะเข้าฌาน อันเป็นเครื่องช่วยให้ถึงวิถีที่บังคับให้เทวดาและภูตปีศาจ มาปรากฏร่างให้เห็นขึ้นในดวงจิต แล้วเราจะได้เดินตามไปโดยวิธีนั้น จะได้เห็นสิ่งที่ท่านต้องการเห็นด้วย"
ฉันยื่นมือให้ นักบวชรูปนั้นนั่งตาตกสงบนิ่งอยู่เป็นนาน ตลอดเวลาที่ฉันเองยังไม่เห็นแปลกประหลาดอย่างไร ทันใดนั้นรู้สึกคล้ายกับว่ายน้ำ ถูกผีพรายฉุดแขนขาลงไป ท้องฟ้าอันเขียวและต้นไม้บนฝั่งที่เคยเห็นก็หายไป มีคลื่นซัดมากลบศีรษะหนักเข้าๆ ทุกทีจนท่วมตัว ช้าๆ นาน ๆ มีเปลวแปลบแลบสว่างเป็นคราวๆ อยู่รอบตัว แล้วมีเสียงดั่งฟ้าลั่นเปรี้ยะใหญ่จนชาหู
ในที่สุด รู้สึกว่าตัวตกอยู่ในที่แห่งหนึ่งคล้ายถ้ำมหึมามืดมิดไปหมด นอกจากมีแสงสว่างนับไม่ถ้วนสายฉายแวบๆ อยู่ เมื่อประสาทชินต่อลักษณะสถานที่นี้แล้ว จึ่งสังเกตเห็นว่าแสงสว่างที่แวบๆ อยู่นั้นคือแสงหอกเหล็กนับไม่ถ้วน แกว่งไกวกระทบกันไปมาอยู่ฉาดฉานเหมือนกองพลในสงครามผีมองไม่เห็นตัวผู้ถือ ทั้งได้ยินเสียงร้องอื้ออึงไม่ใช่เสียงบ้าเลือดเดือดดุร้ายของเหล่าผู้ที่เข้าสัประยุทธ์กัน แต่เป็นเสียงครวญครางด้วยรับความทุกขเวทนา เพราะเจ็บปวด เสียงเหล่านี้เป็นของใครมองไม่เห็นตัว และได้ยินมาข้างใต้พื้น สั่นสะเทือนตรงที่ปลายหอกอันแกว่งไกว ส่วนบนพื้นนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไร
ในสถานที่ว่างเปล่าอยู่นี้ ขณะนั้นมีรูปคนพุ่งขึ้นมาจากปากช่องมืดตื้ออยู่ทางขวาสามคน คนอยู่กลางเป็นรูปวาชศรพ มีการเปลือยสั่นเทิ้มคล้ายไข้จับหรือถูกความหนาวอย่างแรงกล้า ส่วนผู้คุมซ้ายขวาวาชศรพ กายเป็นมนุษย์แต่เท้าเป็นนก กรงเล็บแหลมโง้ง ตนหนึ่งหัวเป็นปลา อีกตนหนึ่งหัวเป็นสุนัข มือถือหอกยาว ภูตหัวปลาแนะนำขึ้นก่อนว่า- "ข้าแต่พระอริยเจ้า ที่นี้คือนรกหอกซึ่งผู้ทำบาปตกมาต้องทนทุกข์ทรมานถูกแทงด้วยหอกที่ชูแกว่งชุลมุนอยู่นี้เป็นเวลาหมื่นปี เมื่อเสวยวิบากครบกำหนดแล้ว ก็จะไปเกิดใหม่ในภพอื่นตามควรแก่เศษผล"
แล้วภูตหัวสุนัขพูดว่า "ข้าแต่พระอริยเจ้า ถ้าปรากฏมีหอกเสียบหัวใจสองเล่ม ก็แสดงกาลกำหนดว่าสัตว์บาปนั้นได้รับโทษทรมานล่วงมาแล้วสองพันปี"
พอพูดขาดคำ นายนิริยบาลทั้งสองก็ซัดหอกเข้าไปปักกายวาชศรพ ทันใดนั้นคล้ายกับว่าการซัดหอกเล่มที่หนึ่งนี้เป็นอาณัติสัญญาณ บรรดาหอกที่อยู่รอบตัวก็เคลื่อนไหวแปลบปลาบพุ่งเข้าเสียบติดร่างกายวาชศรพชุลมุนทุกด้าน และยังมีฝูงกาปากเหล็กพากันจิกเนื้อทึ้งหนังกินซ้ำลงอีก
เห็นแล้วให้ขนพองสยองเกล้า ทั้งสงสารวาชศรพที่ร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดรวดเร้า เลยหมดสติไปด้วย ครั้นฟื้นได้สติแล้ว และเห็นว่าตัวมานอนอยู่ในป่าใต้ต้นไม้ใหญ่แทบเบื้องบาทนักบวชนั้น ท่านถามว่า- "องคุลิมาล เห็นแล้วหรือยัง?" "เห็นแล้ว ผู้เจริญ" "เป็นอย่างนี้แหละ เบื้องหน้าแต่ร่างกายท่านสลายตายไปแล้ว อกุศลกรรมที่ทำไว้จะสนองผลบังคับให้ตรงลงไปเกิดในนิริยโลก ถูกชำระสะสางลงโทษอย่างเดียวกัน คือนายนิริยบาลจะเอาหอกซัดตัวท่านให้ได้รับทุกข์ทรมาน ดั่งนี้ จะสมควรแก่โทษบาปที่ท่านก่อสะสมไว้เพียงพอหรือไม่?"
"ไม่เพียงพอแก่บาปที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้แล้วเลย ท่านผู้เจริญ" "ก็เมื่อมองเห็นอยู่แล้วดั่งนี้ องคุลิมาล วิถีที่เป็นอยู่ของท่านในเวลานี้ จะควรดำเนินต่อไปหรือไม่?" "ไม่บังควรเลย ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่ขอเดินทางที่ดำเนินมาแล้วต่อไป ข้าพเจ้าขอเลิกความประพฤติอันหยาบช้าทารุณ และขอยึดเอาท่านเป็นที่พึ่ง"
"องคุลิมาล นานมาแล้วครั้งหนึ่ง พระยมเห็นความทุกข์ทรมานของสรรพสัตว์ ก็สลดใจรำพึงว่า "แท้จริง ผู้ใดกระทำอกุศลกรรมในโลก ย่อมต้องได้รับโทษสนองหลายเท่าทวีคูณ กระไรหนอเราพึงไปเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติในโลกด้วย เราพึงได้เฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังพระธรรมเทศนา ให้บังเกิดความรู้แจ้งของจริง" พระยมที่กล่าวคำปณิธานนี้ องคุลิมาล คือตัวท่านนี่เอง ท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาเกิดในมัธยมประเทศ ซึ่งมีที่รมณียสถานน้อยแห่งนัก แต่ว่ามีป่าเขาและลำธารอันเปล่าเปลี่ยวกันดารกอปร์ด้วยอันตรายมากมาย ฉันใดก็ดี สัตว์ที่เกิดมาในโลกย่อมมีน้อยนักน้อยหนาที่จะบรรลุถึงมนุษยธรรม นอกนั้นก็งมงายป่าเถื่อนเปรียบกับแดนกันดารอื่นๆ อันกว้างใหญ่ไพศาลเสียเปล่า อีกอย่างหนึ่งมนุษย์ที่ได้มีโอกาสพบปะพระพุทธเจ้าก็เพียงสองสามชั่วคนเท่านั้น มนุษย์นอกนั้นไม่ได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า มีมากมายเหลือคณนา แต่ส่วนตัวเธอ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส ได้พบท่านได้เฝ้าท่านก็นับว่าเป็นผู้มีวาสนาวิเศษอยู่แล้ว"
เมื่อฉันได้ยินอภิปรายดั่งนี้ ก็ทราบประจักษ์ว่าท่านนักบวช คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดปีติอิ่มเอิบใจ ยกมือขึ้นประสานถวายอภิวาท เปล่งอุทานว่า "ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงความบริสุทธิ์อุดมเลิศพระองค์นั้น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่แท้ ทรงพระมหากรุณาแก่สรรพสัตว์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระกรุณาให้ข้าพระองค์ได้ยึดถือเป็นสรณะด้วย" "สาธุ! จงฟังคำเราต่อไปนี้-" "ถึงกระนั้นมนุษย์ที่เกิดมา ได้เห็นพระพุทธเจ้ายังน้อยคนอยู่แล้ว แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมของพระองค์นั้นมีน้อยกว่า และยิ่งกว่านี้ ผู้เข้าใจในพระธรรมก็ยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ตัวท่านมาพบเราแล้วทั้งได้ฟังและรับรสพระธรรมนี้ มาเถิด องคุลิมาลผู้สาวก"
แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จเจ้าไปในป่า ประดุจดั่งนายพรานช้างขึ้นขี่บนหลังสารซับมัน ซึ่งกำราบให้เชื่องแล้ว พระองค์เสด็จออกจากป่าอีก ประดุจดั่งนายพรานช้างออกจากป่า มีช้างป่าซึ่งเขาได้ฝึกให้เชื่อง ติดตามมาด้วยโดยดีฉะนั้น
ด้วยประการฉะนี้ ฉันมาหาเธอวันนี้ ไม่ใช่เป็นองคุลิมาลโจรร้าย แต่เป็นองคุลิมาลสาวกพระพุทธเจ้า จงดูเถิดว่า ฉันได้โยนทิ้งหอกและกระบองเสียแล้ว เลิกเว้นการทรมานฆ่าฟันแล้ว แผ่ความศานติสุขแก่เพื่อนร่วมโลกเป็นเบื้องหน้า ภาพระบายสีน้ำ ๓๕ การบูชาอันบริสุทธิ์ ฉันรู้ไม่ได้ว่านานกี่มากน้อยกว่าฉันจะเปิดปากขึ้น แต่เชื่อว่านานมากอยู่ ฉันนั่งฟังมิได้ปริปากออกสักคำ ปล่อยให้องคุลิมาลเล่าเรื่องโดยลำดับ สำรวมใจตรองตามไปยิ่งตรองก็ยิ่งเกิดความอัศจรรย์ใจ จริงอยู่ ฉันเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวอันเป็นของโบราณว่าทวยเทพกระทำปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น เช่นเรื่องพระกฤษณ์ครั้งอวตารมาในโลก แต่ถ้าเอามาเทียบกับที่องคุลิมาลได้ประสบมาในป่าวันนั้น รู้สึกว่าเรื่องขององคุลิมาลอัศจรรย์กว่ามาก
ฉันมารำพึงอยู่ว่า มหาบุรุษใด สามารถบำราบบรมโจรแห่งมหาโจรทารุณหินชาติ ให้กลับเป็นผู้มีใจบุณย์สุนทร ที่พูดกับฉันอยู่นี้สำเร็จในชั่วเวลาสองสามชั่วโมงเช่นนี้ มหาบุรุษนั้นก็ย่อมจะบำราบสิ่งดุร้ายของสิ่งดุร้ายที่สุดแห่งธรรมชาติ ซึ่งมีในสกลจักรวาลได้ง่ายดาย นั่นแปลว่า พระองค์จะสามารถบันดาลให้ดวงใจของฉัน ซึ่งเจ็บปวดร้อนรุ่มอยู่เสมอให้สงบเย็นได้หรือไม่หนอ? จะทรงกำจัดเมฆในราตรีกาลคือความกลุ้มกลัดเหี่ยวแห้งใจ ซึ่งผ่านมาบดบังปะทะดวงจิตให้กระจายหายสูญไปเพราะแสงสว่าง คือพระโอวาทจะได้หรือไม่หนอ? หรือว่าบางทีการกำจัดอารมณ์ร้ายให้เหือดหายได้นี้ เป็นของยากกว่าการบำราบโจร ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาที่ดูเหมือนจะพ้นความสามารถแห่งนักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจะแก้ตกได้
สำหรับฉันเองนึกท้อใจ คิดเห็นเสียว่าโรคอย่างฉันเป็นสิ่งที่แก้ยาก แต่ก็ยังอยากจะให้สบายใจเหมือนเขา จึ่งอดซักไม่ได้ว่า นักบวชที่องคุลิมาลเรียกว่า พระบรมศาสดานั้นอยู่ที่ไหน จะไปขอความช่วยเหลือบางอย่างจะได้หรือไม่
องคุลิมาลตอบทันทีว่า "ถูกแล้ว เธอควรจะไต่ถามความนี้เป็นข้อแรกที่สุด อันที่จริงเมื่อไม่ถามข้อนี้ ก็จะถามข้อไรเล่า? และเพราะเหตุข้อนี้เองที่ฉันมาหาเธอ เราทั้งสองต่างเข้าใจกันว่า เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในเรื่องก่อกรรมทำเข็ญ ก็เป็นการสมควรที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันในเรื่องดีๆ แต่บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จประทับอยู่ในป่าประดู่ลาย ซึ่งเธอเคยพูดถึง รีบไปเฝ้าเสียในวันพรุ่งนี้ แต่ควรไปในเวลาเย็น เพราะในเวลานั้น พระภิกษุสงฆ์ออกจากที่เร้นประชุมกันอยู่ที่เทวสถานเก่าพระกฤษณ์ เพื่อสดับพระธรรมเทศนาและผู้อื่น ๆ ก็พากันไปฟัง เพราะในเวลานั้นสัตบุรุษหญิงชายชาวกรุง พากันไปเฝ้าเพื่อสดับพระธรรโมวาทอันสว่างรุ่งเรืองปานดวงประทีป ในเวลาเช่นกล่าวนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีสัตบุรุษไปฟังกันมากขึ้น บางวันชุมนุมกันดึกดื่น เรื่องเหล่านี้ ฉันทราบมาแต่ก่อนอย่างถี่ถ้วน เพราะเมื่อครั้งยังเป็นคนมืดโมหันธ์ใจบาปหยาบช้าอยู่ เคยคิดกะการไว้ว่าจะยกพวกไปปล้นสัตบุรุษที่ไปชุมนุมกัน เพราะเห็นว่าข้าวของต่าง ๆ ที่พวกสัตบุรุษนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ ก็มีราคาไม่น้อย ซึ่งไม่ควรจะละเลยเสีย แต่ข้อใหญ่ใจความมุ่งหมายที่จะไปปล้น คือประสงค์จะจับตัวคนสำคัญเรียกเอาค่าไถ่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังนึกหวังไว้ในคราวเดียวกัน ว่าเมื่อเกิดมีเหตุอุกฉกรรจ์ขึ้นในที่ใกล้ประตูเมืองเช่นนี้ คงจะเป็นทางให้สาตาเคียรต้องออกมานอกเมืองเป็นแน่ ความที่คิดไว้นี้ คิดไว้เมื่อก่อนที่ยังไม่ทราบว่าสาตาเคียรมีราชการจะต้องออกไปในเวลาไม่สู้ช้านัก ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอจงอย่าได้ละเลยไปสู่เทวสถานพระกฤษณ์ในเวลาเย็นพรุ่งนี้ เพราะจะเป็นทางปลดเปลื้องความทุกข์เธอได้ ฉันจะต้องรีบกลับไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ นี่ก็ยังไม่แน่ว่าจะไปทันฟังพระธรรมเทศนาบ้างหรือไม่ แต่กระนั้นในกลางคืนเดือนหงายอย่างนี้ พระสงฆ์ท่านมักจะชุมนุมสนทนาปัญหาธรรมอันลึกซึ้งกันอยู่ และอนุญาตให้ชาวบ้านฟังได้"
องคุลิมาลก้มลา แล้วก็รีบไปทันที
รุ่งขึ้นก่อนเที่ยง ฉันชวนเมทินีซึ่งเวลานี้ไปอยู่กับโสมทัตต์ผู้สามี เมทินีรับปากว่าจะไปด้วย เหมือนที่เคยพากันไปเมื่อครั้งกระโน้น อันที่จริงเมทินีเคยขอให้สามีพาไปที่นั่นในเวลาเย็นวันหนึ่ง แต่เกรงพราหมณ์ที่บ้านจึ่งไม่กล้าไป คราวนี้มีโอกาส เพราะภริยาเสนาบดีมาชวน พวกพราหมณ์ไม่กล้าขัดข้อง
เราพากันไปที่ตลาด โสมทัตต์คอยอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เพื่อจัดหาของที่สมควรแก่สมณะบริโภค สำหรับถวายพระภิกษุและภิกษุณี ได้ซื้อยาแก้โรคไปด้วยเป็นอันมาก จ่ายของเสร็จแล้วกลับบ้าน ค้นหาภาชนะสำหรับบรรจุน้ำมันเนยอย่างดี น้ำผึ้ง น้ำตาล และของอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แล้วจัดเครื่องหอม มีน้ำอบ ผงไม้จันทน์ กำยาน และเลือกสรรดอกไม้ในสวนอย่างงาม เตรียมเสร็จแล้ว ถึงเวลาเย็นที่กำหนดไว้ ให้คนขนของถวายพระขึ้นบนเกวียนเทียมด้วยลา ส่วนเรานั่งในเกวียนอีกเล่มหนึ่งมีหลังคาเทียมด้วยม้าคู่พันธุ์สินธูสีขาวสะอาด ซึ่งเลี้ยงด้วยข้าวเปลือกค้างสามปีด้วยมือของฉันเอง แล้วเคลื่อนออกประตูเมืองไป
พระอาทิตย์ตกต่ำถึงยอดหอคอยของเมืองแล้ว ส่องแสงจับผงธุลีที่ปลิวฟุ้งไปตามทางเห็นเป็นปรมาณูทอง ในทางตลอดไปมีผู้คนเป็นอันมาก พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์อย่างเดียวกับเรา ล่วงมาไม่ช้าก็ถึงปากทางที่จะเข้าสู่สวนป่า หยุดเกวียนลงเดินไป ส่วนข้าวของก็ให้บ่าวไพร่แบกตามหลัง
จำเดิมแต่คืนที่เราต้องจากกันไป ณ ที่ตรงนี้ ฉันไม่ได้ย่างเหยียบในป่านี้อีก ครั้นบัดนี้ ได้มากับผู้ที่เคยมาด้วยกัน เข้ามาถึงแดนอันร่มรื่น รู้สึกชุ่มชื่นซาบซึ้งเข้าไปในดวงใจ คล้ายกับว่าความหอมซึ่งอัดเก็บไว้ภายในมานานแล้ว จนกลิ่นนั้นงวดข้นเข้า เมื่อระเบิดออกมาก็กลายเป็นกลิ่นมีพิษ กระทำให้ฉันหยุดนิ่งจังงัง ดูเหมือนว่าความรักของฉันจะกลับฟื้นขึ้นมาอย่างพรั่งพรูเต็มที่แล้ว มีศัตรู คือ ความระทมมากั้นขวางไว้ ฉันยืนรวนเรใจว่าจะเดินทางต่อไป หรือจะหันหลังกลับเสียดี เพราะที่มานี่ไม่ใช่มาฟื้นความรักของเก่าแก่ แต่เพื่อแก้ไขความรักนั้น กลับมีอาการรี ๆ รอ ๆ เช่นนี้ กระทำให้เมทินีเกิดความรำคาญใจ เพราะเห็นคนอื่นเขามาทีหลังขึ้นหน้าไปหมด
อันภูมิภาพในป่า เวลาแดดตอนเย็นส่อง มีสีดั่งแสงทองอ่อนๆ ลอดเข้ามาตามช่องต้นไม้ เสียงลมพัดต้องใบไม้ดังกระเส่าคล้ายคนกระซิบ ประกอบทั้งผู้ย่างเข้ามาในเขตก็สงัดเสียงมีกิริยาสงบเสงี่ยม ตามโคนไม้มีนักบวชนุ่งห่มเหลือง นั่งขัดสมาธิเจริญภาวนาแน่วนิ่งช้าๆ นานๆ บางรูปก็ลุกขึ้น มิได้เหลียวซ้ายแลขวาเดินมุ่งไปสู่ที่เดียวกัน ลักษณะเหล่านี้ ยังปีติให้เกิดขึ้น เห็นความผิดปกติอันเป็นไปในทางศักดิ์สิทธิ์ บังเกิดความเลื่อมใสเกิดกำลังวังชาเดินต่อไปได้ ทั้งพระวาจาที่พระบรมศาสดาตรัสกะองคุลิมาลว่า มนุษย์ชาติที่เกิดมาล่วงกาลหลายร้อยชั่วอายุคนนัก ที่ได้พบพระพระพุทธเจ้าตรัสในโลก และน้อยคนนักที่เกิดในสมัยพุทธกาล จะได้เห็นพระโฉมและฟังพระพุทธโอวาทจากพระโอษฐ์โดยตรง ดั่งนี้เข้าไปกรอกอยู่ในโศรตรประสาทของฉันดังเหมือนระฆังตีในอาราม ฉันรู้สึกว่าจะได้ประสบมงคลที่ผู้เกิดมาภายหลังนึกริษยา
ครั้นมาถึงที่ว่างกลางป่า ซึ่งมีเทวาลัยร้างตั้งอยู่ ก็เห็นพระภิกษุ ภิกษุณี และคฤหัสถ์มาประชุมกันอยู่เป็นอันมาก ยืนเป็นหมู่อยู่ใกล้บริเวณเทวาลัยร้าง ซึ่งเห็นอยู่ตรงหน้า ณ ที่ใกล้แห่งหนึ่งอยู่ในทางที่เราจะเข้าไป มีพระภิกษุหมู่ใหญ่ ในจำนวนนั้นมีองค์หนึ่งรูปร่างสูงอวบผิดปกติ เมื่อเห็นเข้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร ขณะเรายืนหาโอกาสว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี ก็เห็นพระภิกษุสูงอายุองค์หนึ่งออกมาจากป่า ทรวดทรงผึ่งผายสมเป็นเชื้อชาติกษัตริย์ มีลักษณะสูง พระพักตร์อิ่มด้วยศานติ ทันใดนั้นฉันก็นึกขึ้นทันทีว่าองค์นี้กระมังหนอ คือพระมุนีศากยบุตร ซึ่งเขาขนานนามว่าพระพุทธเจ้า
ในพระหัตถ์กำใบประดู่ลาย ทรงหันไปทางหมู่ภิกษุ ซึ่งฉันกล่าวเมื่อกี้นี้ แล้วตรัสว่า- "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันใบไม้ที่เรากำไว้นี้ กับใบไม้ที่มีอยู่ในป่าโน้น ข้างไหนจะมากกว่ากัน?"
พระภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า "ใบไม้ในพระหัตถ์มีจำนวนน้อยกว่าที่มีอยู่ในป่าโน้น พระเจ้าข้า"
ณ บัดนี้ ฉันทราบแล้วว่าผู้กล่าวนั้น คือพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสต่อไปว่า- “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริงก็เช่นนั้น สิ่งที่เราตถาคตได้เห็นแจ้งแล้ว แต่มิได้แสดงแก่พวกท่านยังมีมากกว่าที่ได้แสดงแล้ว มีอุปมาเหมือนใบประดู่ลายที่อยู่ในมือเรากับที่มีอยู่ในป่าฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นไฉนเราจึ่งไม่แสดงให้ฟังทั้งหมด? ก็เพราะไม่เป็นสาระประโยชน์เพื่อความหลุดพ้น ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายในโลกีย์ ไม่เป็นไปเพื่อจืดจางความรักใคร่ยินดี ไม่เป็นไปเพื่อความเย็นใจ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง ไม่เป็นไปเพื่อความตื่นเต็มที่ และในที่สุดก็ไม่เป็นไปเพื่อนิรพาน"
กามนิต ออกอุทานขึ้นว่า "อย่างนี้แหละ ตาขรัวแก่ที่เคยอธิบายให้ฉันฟัง ก็พูดถูกแล้ว"
วาสิฏฐี- "ตาขรัวแก่ที่ไหน?" กามนิต- "ก็นักบวชแก่ ที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังว่า เมื่อครั้งฉันยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก ได้สนทนากันในบ้านช่างหม้อใกล้กรุงราชคฤห์คืนหนึ่ง ได้เป็นผู้อธิบายหลักลัทธิของพระบรมศาสดาให้ฟัง ถ้อยคำอธิบายมีหลายประการที่เหมือนกับเธอเล่านี้" วาสิฏฐี- "บางทีจะเป็นพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งแห่งพระองค์ แล้วพระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งใดแล ที่เราได้แสดงแก่ท่าน สิ่งนั้นคือความจริง เราได้แสดงแก่ท่านแล้วว่า ความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์คืออะไร และทางดับทุกข์คืออะไร เหล่านี้เราได้แสดงแล้ว ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเราได้แสดงแล้วก็เป็นอันแสดงจบแล้ว สิ่งใดเราไม่ได้แสดง ก็คงเป็นรายย่อยรวมอยู่ในความจริงสี่ประการนี้"
เมื่อพระองค์ตรัสดั่งนี้แล้ว ก็แบพระหัตถ์ให้ใบไม้ร่วงลง ใบไม้เหล่านี้ใบหนึ่ง ปลิวลอยลมหมุนติ้วมาใกล้ตัวฉัน ฉันรีบขมีขมันออกไปรับใบไม้นั้นมาได้ยังไม่ทันตกถึงดิน เป็นเสมือนว่าฉันได้รับตรงจากพระหัตถ์ ประคองเก็บแนบไว้ที่ทรวงอก นับว่าเป็นของที่ระลึกหาค่าเปรียบมิได้ ในการที่มาได้ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ และใบไม้นี้จะเป็นเครื่องหมายที่ระลึกติดตัวอยู่สืบไปจนกว่าชีวิตจะออกจากร่าง
อาการกิริยาที่ฉันได้กระทำไปนี้ เป็นเหตุให้พระบรมศาสดาทรงเหลียวมาทอดพระเนตร ขณะนั้นพระภิกษุองค์ที่สูงใหญ่ราวกับยักษ์ ลุกขึ้นถวายอภิวาทแล้วเข้าไปกราบทูลกระซิบ พระบรมศาสดาทรงหันมาทางฉันอีกครั้งหนึ่ง แล้วประทานสัญญาณอะไรอย่างหนึ่งแก่พระภิกษุองค์นั้น เธอก็เข้ามาหาฉันพูดว่า "ดูก่อนนางผู้เจริญ พระบรมศาสดาทรงคอยต้อนรับอยู่แล้ว" เสียงนี้ฉันจำได้ทันที ว่าเป็นพระองคุลิมาล
พวกเราทั้งหมดพากันไปเฝ้า ในระยะอุปจารสองสามก้าว ถวายอภิวาทโดยเคารพยิ่ง ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ในใจฉันเปี่ยมปีติจนตื้นอก
พระองค์ตรัสว่า "ดูก่อนนางผู้เจริญ สิ่งของที่นำมาบูชาเป็นของมีค่ามาก ส่วนพระภิกษุสาวกของเราเป็นผู้มักน้อย เป็นทายาทแห่งสัจธรรม หาใช่เป็นทายาทแห่งทรัพย์สมบัติไม่ แต่ทว่า พระพุทธเจ้าในปางก่อน ทรงอนุมัติรับเครื่องสักการบูชาจากสัตบุรุษผู้เลื่อมใสใจบุญ เพื่อจะให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสได้บำเพ็ญทานมัยการกุศล เพราะถ้าสัตว์ทั้งหลายรู้แจ้งซึ่งผลทานอย่างที่เราแจ้งอยู่ไซร้ แม้มีข้าวเหลืออยู่เพียงฟายมือเดียวก็ย่อมแบ่งเป็นทานให้แก่ผู้ที่อัตคัดกว่า หาได้บริโภคเสียทั้งหมดแต่คนเดียวไม่ เมื่อรู้แจ้งและประพฤติอยู่อย่างนี้เป็นอาจิณ มัจฉริยะความตระหนี่รัดรึงดวงจิตให้เหนียวแน่นก็จะคลายหายไป เพราะฉะนั้น สักการวรามิษที่นำมาบูชานี้ คณะสงฆ์ย่อมรับไว้ด้วยดี เราเรียกว่าเป็นการบูชาอันบริสุทธิ์ เพราะทายกผู้บริจาคก็มีใจบริสุทธิ์ และปฏิคาหกผู้รับก็มีขันธสันดานบริสุทธิ์รองรับถูกส่วนกัน"
ครั้นแล้วหันไปตรัสกะพระองคุลิมาลว่า "ท่านจงนำสิ่งของเหล่านี้ไปมอบแก่ภัตตุเทสก์ (ภิกษุเจ้าหน้าที่แจกของสงฆ์) แต่ก่อนที่จะไปจงจัดหาที่นั่งให้แก่พวกสัตบุรุษ เพื่อเราจะได้แสดงธรรโมวาทแก่ผู้มาฟังในวันนี้"
เมื่อพระองคุลิมาลพาเราไปหาที่นั่งได้ พวกเราลาดอาสนะลงตรงขั้นบันไดเทวาลัย แล้วเอาพวงมาลัยสวมตามเสาเชิงบันไดซึ่งปรักหักพังแล้ว ครั้นแล้วฉันกับเมทินีหยิบดอกกุหลาบที่บรรจุอยู่ในตะกร้าจนพูนล้น มากระจายกลีบโปรยบนบันไดขึ้นต้นๆ ตอนที่พระบรมศาสดาจะเสด็จประทับยืนแสดงพระธรรมเทศนา
ระวางนี้ สัตบุรุษผู้มาฟัง ก็รวมพวกนั่งเป็นกลุ่มๆ ล้อมกันเป็นวงอัฒจันทร์ อุบาสกอุบาสิกาอยู่ทางซ้าย พระภิกษุภิกษุณีอยู่ทางขวาของเทวาลัย พวกชาวบ้านที่มาใหม่อยู่ตอนกลางนั่งบนหญ้า ส่วนเราอยู่ข้างเสาที่ปรักหักพังห่างจากบันไดไปไม่กี่ก้าว
ผู้มาเฝ้าฟังพระธรรมเทศนา มีหมดด้วยกันประมาณห้าร้อย ล้วนมีกิริยาสงบนิ่งตลอดไป เงียบเชียบปราศจากเสียงต่าง ๆ นอกจากเสียงลมที่กระพือมาเป็นคราวๆ แล้วกระทบใบไม้สั่นกระเส่าอยู่เท่านั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มกราคม 2560 08:38:37 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2558 12:18:48 » |
|
๓๖. พระพุทธและพระกฤษณ์ แสงแดดในเวลาเย็นส่องเป็นทางๆ เข้าตามช่องโหรงของหมู่ไม้ ประดุจว่าอำนวยสวัสดีสรวงสถาน มาสู่สัตบุรุษ ซึ่งชุมนุมสงบเงียบ ตั้งใจคอยสดับพระธรรมเทศนาในลำเนาป่าอันร่มรื่น แลลอดขึ้นไปทางช่องว่างระวางยอดไม้ เห็นก้อนเมฆที่ต้องแสงแดดจับสลับสีเป็นชั้นๆ ดูงามตา เลื่อนลอยไปในกลางฟ้าสีน้ำเงิน ปานว่าเทพบุตรเทพธิดามาชุมนุมกันเป็นอีกบริษัทหนึ่ง
อันเทวาลัยซึ่งผนังดำคร่ำด้วยความชรา ประหนึ่งว่ายินดีรับเอาแสงแดดกำลังรอน ๆ จวนจะเลือนหายไปจากฟ้า เปรียบด้วยชายชราได้ดื่มน้ำทิพย์แล้วกลับฟื้นคืนความกระชุ่มกระชวยขึ้นฉะนั้น ภายล่างแห่งแสงซึ่งเรื่องรองดั่งทองทา ประสมกับเงาไม้กลายเป็นสีม่วงแลดูเต้นระยับไปทุกแห่งหน ถึงเวลาตอนนี้ ที่ประชุมสงบเงียบกว่าเก่า เงียบจนดูเหมือนใบไม้ที่เคยไหวก็หยุดเงียบไปด้วย
ครั้นแล้วพระพุทธองค์เริ่มแสดงพระธรรมเทศนา ประทับยืนบนขั้นบันไดเทวาลัย ซึ่งแต่กาลก่อนหลายร้อยปีมาแล้ว บรรพบุรุษของเราเคยพากันมาบูชาพระกฤษณ์ เพื่ออนุสรณ์ถึงกิจการที่พระกฤษณ์รับทุกข์ลำบากมาแล้วในโลกนี้ แล้วผู้บูชาจะได้มีใจต้านทานความตรากตรำโดยยึดพระองค์เป็นแบบอย่าง เมื่อตายแล้วจะได้ไปสู่สวรรค์เสวยทิพยสุข แต่บัดนี้พวกเราซึ่งเป็นผู้สืบสายโลหิตจากท่านบรรพบุรุษที่กล่าวแล้ว ได้มาชุมนุมกันเพื่อฟังสัจธรรมของจริง จากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วศึกษาพิจารณาให้เห็นแจ้งทางดำเนินชีวิตอันหมอจดบริสุทธิ์ และในที่สุดให้มีชัยชนะเหนือดำฤษณา คือความดิ้นรนทะยานอยากต่อสิ่งแปรปรวนไปเสมอ ไม่เป็นของคงที่ บรรลุที่สุดแห่งทุกข์ถึงพระนิพพาน
พระองค์ตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย จงมองดูรูปหินนั้น นายช่างฝีมือครั้งโบราณนานมาแล้ว ได้สลักเป็นรูปพระกฤษณ์ต่อสู้กับช้าง" พลางทรงชี้ไปทางรูปศิลาสลักแผ่นใหญ่ ห่างจากฉันไปไม่กี่มากน้อย ข้างหนึ่งจมลงในกอหญ้า อีกข้างหนึ่งมีเสาค้ำไว้ แสงตะวันครั้งสุดท้ายในเวลาจวนจะค่ำ ฉายพุ่งตรงต้องแผ่นศิลานั้น ให้เห็นรูปสลักชัดและจำได้ทันที คือ รูปชายหนุ่มเหยียบอยู่บนศีรษะช้างที่ล้มลง งาข้างหนึ่งถูกชายหนุ่มคือพระกฤษณ์กระชากหักสะบั้น
แล้วทรงเล่าย้อนถึงพญากงส์เจ้ากรุงมถุรา กษัตริย์โหดร้ายทารุณ ออกอุบายชักชวนพระกฤษณ์ให้เข้าไปแข่งขันฝีมือเพื่อชิงรางวัลในพระราชวัง และบอกความลับแก่ควาญช้างให้ปล่อยพลายศึกตัวที่ดุที่สุดออกจากโรง เพื่อสังหารพระกฤษณ์ ณ ทางจะเข้าไปสนามแข่งขัน พระกฤษณ์ประหารช้างนั้น หักงาเสียข้างหนึ่ง ถือเข้าไปในสนามแข่งขันมีโลหิตอาบทั่วกาย กระทำให้พญากงส์ตกใจเป็นอันมาก
พระพุทธเจ้าทรงเล่าต่อไปว่า แม้พระองค์เองก็ถูกศัตรูออกอุบายให้ช้างที่ดุเดือดมาประทุษร้ายเหมือนกัน เมื่อทอดพระเนตรเห็นช้างแล่นแปร๋แปร้นปราดมา กลับทรงกรุณามันนัก เพราะถูกมนุษย์ใจบาปกักขฬะเอาหอกทิ่มแทงตามตัว จนโลหิตโซมหน้าอก มิใช่แต่เท่านนี้ สัตว์นี้ตามปรกติย่อมกล้าหาญมีกำลังมาก หากต้องตกเป็นเหยื่อแก่โทสะบ้าร้าย ไม่รู้จักผิดชอบเพราะขาดปัญญา ครั้นถูกคนบาปหยาบช้าทำทารุณต่อมันเสมอ จนเกิดบ้าคลั่งดีเดือดแล้วไล่ต้อนให้มาทำร้ายพระองค์ ดั่งนี้ ควรจะได้รับความสมเพชยิ่งขึ้น เมื่อบังเกิดพระกรุณาธิคุณ พรหมวิหารเต็มในพระกมลสันดาน พระองค์มิได้มีพระหฤทัยสะดุ้งต่ออันตรายภายนอก ทรงรำพึงว่า "ถ้าเราจักบันดาลให้แสงสว่างแม้แต่น้อย ฉายเข้าไปทำลายความมืดมนอนธการในช้างนั้น ก็จะเป็นปัจจัยเปิดช่องแก่ความสว่างทวีขึ้นโดยลำดับ จนได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ และสดับพระธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งครั้งหนึ่งได้พยายามประหาร และพระธรรมนั้น จะเป็นเครื่องช่วยให้มันพ้นทุกข์"
เมื่อทรงพุทธดำริดั่งนี้ ก็หยุดพระดำเนินอยู่กลางทาง ยกพระหัตถ์ประทานอภัยแก่ช้างซึ่งกำลังมุเดือด และค่อยๆ ทรงเผยพระปิยวาจาอ่อนหวานประโลมใจ ช้างร้ายได้ยินก็หยุดชะงัก ส่ายศีรษะ ร้องโกญจนาทสองสามหน ชูงวงเร่ร่อนไปมาเสมือนช้างที่ถูกอาวุธกำลังแสวงหาที่พึ่งฉะนั้น ครั้นแล้วมันค่อยย่างช้าๆ ตรงเข้าไปหาพระองค์ พอเข้าไปใกล้ในระยะสองสามก้าว ก็เทาเข่าลงเหมือนอย่างที่เคยย่อให้เจ้าของขึ้นนั่ง แล้วเดินดุ่มโดยเสด็จเข้าไปในอุทยาน ซึ่งเป็นทางที่จะเสด็จไป กระทำให้ศัตรูของพระองค์พรึงเพริดแลดูตากัน
พระพุทธเจ้าทรงยกเรื่องขึ้นเปรียบเทียบด้วยประการฉะนี้
เมื่อฉันได้ฟังเรื่องนี้ และนึกถึงองคุลิมาลที่เมื่อวานนี้เองมีเจตนาร้ายต่อพระพุทธเจ้า แต่กลับเป็นผู้สิ้นพยศถวายตนออกบรรพชาเป็นพระภิกษุ และนั่งมีอากัปกิริยาเคร่งครัด กลายเป็นคนละคนอยู่ตรงข้ามฉันดั่งนี้ จะให้ฉันนึกเห็นเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร? และดูเหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสจะมุ่งหมายจะโปรดฉันเป็นพิเศษ เพราะถ้าพูดสำหรับผู้มาฟังยกเว้นพระภิกษุภิกษุณีผู้พหูสูตรแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ฉันคนเดียวที่เข้าใจในประเด็นของเรื่องที่ทรงสาธก
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องพระกฤษณ์ต่อไป ผู้มีชายาเป็นจำนวนหมื่นหกพันร้อยคน ที่บรรพบุรุษของเราเคยนับถือบูชาเช่นนี้ ณ เทวาลัยนี้ ดั่งได้ยินมาพระกฤษณ์ริบทรัพย์ศฤงคารทั้งหมด จากปราสาทท้าวนรกาสูร และถึงฤกษ์งามยามดีวันหนึ่ง พระกฤษณ์ได้เหล่านางพรหมจาริณีทั้งหมดเป็นชายา และสมสู่อยู่ด้วยนางเหล่านี้ในคราวเดียวได้ทุกคน นางพรหมจาริณีเหล่านี้ มีจำนวนได้หมื่นหกพันร้อยคน อาศัยที่พระกฤษณ์แบ่งภาคไปสมสู่อยู่ด้วยทั่วกัน ต่างย่อมเข้าใจว่าพระกฤษณ์โปรดไปสมัครสังวาสกับตนผู้เดียวเท่านั้น
พระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า "และด้วยประการเช่นเดียวกัน เมื่อเราได้แสดงสัจธรรมต่อหน้าบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ล้วนจึ่งต่างฟังและเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมนี้แก่ตนผู้เดียว" และพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องพระกฤษณ์ต่อไป ตามความเชื่อของบรรพบุรุษเรา นับถือว่าพระกฤษณ์ คือ พระเจ้าทรงรักษาและถนอมสกลโลก ด้วยความกรุณาในสรรพสัตว์ พระองค์แบ่งภาคอวตารจากสรวงสถานมาทรมานพระกายในมนุษยโลก ฉันใดก็ดี ผ่ายพระองค์ก็ได้ทรงทรมานพระกายแสวงหาวิโมกษธรรม จนได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ในชั้นแรกที่เสวยวิมุตติสุข พระองค์ท้อพระหฤทัยที่จักแสดงพระธรรมอันล้ำลึกนี้แก่ผู้อื่น ด้วยทรงเห็นเหล่าประชากรมัวเมาจมลงในความบันเทิงโลกียสุข ยากที่จะกลับใจมาเห็นผลการข้ามขึ้นจากสิ่งที่ติดใจในโลก เพื่อดับความกระหายดิ้นรนอยากได้ใคร่มี คือ ความเกิด ถ้าจะทรงแสดงหลักธรรมก็ฝืนกระแสกิเลสของเขา จะไม่มีใครๆ ยอมฟังเห็นแจ้งได้ง่าย ครั้นแล้วทรงตรวจดูด้วยพระญาณวิถีอีกครั้งหนึ่ง ก็ทรงเห็นปานว่าดอกบัวในสระบางดอกยังอยู่ใต้น้ำ บางดอกขึ้นมาปริ่มน้ำ บางดอกโผล่พ้นจากพื้นน้ำแล้ว สรรพนรชนในสงสารโลกก็มีลักษณะเหมือนดอกบัว ที่ปัญญาต่ำทรามก็มี ที่พื้นฉลาดพอเข้าใจทันก็มี ที่ปรีชาเฉียบแหลมเชาวน์ไวก็มี ถ้านรชนเหล่านี้ที่พอโปรดได้ ไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระองค์ ก็จะเลยหลงไปในทางผิดหมดโอกาสถอนตนขึ้นได้ ถ้าได้ทรงแนะวิถีธรรมให้ บางผู้มีฝ้าอันกำบังตาเบาบางอาจเห็นแจ้งในพระธรรมได้เหมือนกัน เนื่องด้วยพระกรุณาธิคุณเต็มเพียบในชาวโลกดั่งนี้ จึ่งอธิษฐานพระหฤทัยเลิกจากความเป็นผู้ขวนขวาย ปลีกพระองค์เสวยวิมุติสุข ทรงพระอุตสาหะเสด็จจาริกประกาศศาสนธรรมแก่เวไนยนิกร ที่พระพุทธเจ้าทรงสาธกเรื่องพระกฤษณ์อวตารจากสวรรค์เสวยชาติเป็นมนุษย์ทำความสวัสดีแก่โลก ด้วยความยากแค้น ซึ่งบรรพบุรุษเคยยึดหน่วงเป็นอนุสรณ์สำหรับกระตุ้นใจให้มีความอดทนความลำบากต่างๆ จะได้ตั้งหน้าทำความดีนั้น ก็เพื่อให้พุทธเวไนยผู้บุตรหลานบรรพบุรุษนั้นๆ ได้รู้สำนึกความยากแสนเข็ญ ที่ทรงเผยแผ่พระธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ และแล้วจะได้เกิดพลอินทรีย์ ต้านทานความอ่อนแอจากอำนาจกิเลสต่าง ๆ พยายามบากบั่นบำบัดเพลิงราคะ โทสะ โมหะให้ดับมอด ประสบแต่ความเย็นใจ คือ พระนิรพาน ด้วยวิโมกษธรรม
เมื่อพระองค์ตรัสตอนนี้ ตัวฉันรู้สึกปีติอิ่มเอมใจ เพราะฉันคงเป็นผู้หนึ่ง ซึ่งทรงเห็นว่าเสมือนดอกบัวที่ผุดขึ้นพ้นน้ำแล้ว และด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ฉันคงปฏิบัติโมกษธรรม บรรลุความหลุดพ้นจากเพลิงทุกข์ได้สักวันหนึ่งในภายหน้า
ต่อไปพระบรมศาสดาทรงพรรณนากิจการแห่งวีรบุรุษ คือ พระกฤษณ์ ที่ได้ปลดเปลื้องความเดือดร้อนลำเค็ญแห่งโลก ให้พ้นทารุณกรรมจากสัตว์บาป ยังความศานติสุขให้เกิดแก่บรรดาสรรพสัตว์ แล้วทรงบรรยายเรื่องพระกฤษณ์ปราบงูน้ำชื่อกาลิยะ ฆ่าอริษฏาสูรผู้แปลงเป็นโค และเธนุกาสูรซึ่งแปลงเป็นลา แล้วกำจัดท้าวพญาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม มีพญากงส์และพญาโปณฑรกเป็นต้น โลกจึ่งพ้นจากยุคเข็ญมิคสัญญี
แต่ว่าในส่วนพระบรมศาสดา พระองค์มิได้ทรงต่อสู้กำจัดศัตรูภายนอกด้วยเวรปฏิเวร แต่ว่า ทรงสั่งสอนให้กำจัดศัตรูภายใน ได้แก่ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระองค์มิได้ทรงปลดเปลื้องความทารุณ กักขฬะอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ว่า ทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้หมดสิ้นเชิงเท่านั้น แล้วทรงกล่าวถึงความทุกข์ซึ่งมีอยู่ทั่วสากล และติดตามตนไปเหมือนเงา ฉันรู้สึกเหมือนมีใครค่อยผจงยกเอาความหนักที่ท่วมทับหัวใจ คือความทุกข์ในความรักไปทิ้งเสีย เหลืออยู่แต่ความเบาใจเป็นความสุข เกิดความเห็นว่าตัวฉันไม่ควรสงวนสิทธิ์ที่รับความสุขนี้ตลอดกาลแต่ผู้เดียว เมื่อคนอื่นๆ ยังเพียบด้วยทุกข์อยู่สมควรเผื่อแผ่แก่คนเช่นเมทินี ซึ่งมีอาการงงๆ ในกระแสพระพุทธโอวาท ว่าแต่สำหรับฉันได้เสพความสุขนี้แล้ว ความสุขนี้ได้เกิดมีแก่ฉัน ครั้นคลี่คลายขยายตัวแล้ว ก็คงจะล่วงพ้นไป ตามนัยที่พระองค์ทรงแสดง ว่าสิ่งทั้งปวงย่อมมาแต่เหตุ เมื่อกำหนดสิ้นเหตุก็ล่วงไปๆ อันความแปรผันไม่คงที่นี้คือมายา แต่ความหลงปิดบังไม่ให้บุคคลเห็นเลยเป็นเหตุก่อทุกข์เดือดร้อนใจ ตราบใดความดิ้นรนเพื่อความอยากได้ใคร่เป็นอยู่ ยังมิได้ถูกทิ้งถอนจนกระทั่งราก ตราบนั้นทุกข์ย่อมติดตามไปด้วยทุกขณะ บุคคลจะหนีทุกข์ไม่พ้น ตราบใดยังปล่อยให้ความดิ้นรนนี้งอกงามอยู่เสมอ ชวนเกิดความปรารถนาต่อหรือยักใหม่เรื่อยไป ตราบนั้น ทุกข์ก็ยังคงทับถมหนาแน่นอยู่ เมื่อบุคคลยังติดใจในความเป็นโน่นเป็นนี่อย่างไม่จืดจาง เขาย่อมชื่อว่าเป็นเครื่องมือเพิ่มกำลังความรัดรึงตน ให้กระชับแน่นในสงสารวัฏ ยิ่งจมดิ่งในความทุกข์ลงทุกที ไม่มีทางโผล่พ้นขึ้นได้ เมื่อฉันเห็นแจ้งดั่งนี้ เลยไม่บ่นครวญความทุกข์ที่ได้รับอยู่ และเมื่อได้ฟังพระพุทธโอวาทแล้ว ก็เกิดความสว่างขึ้นในใจว่า แต่นี้ไปสรรพสัตว์จะไม่จำเป็นต้องเสวยทุกข์เรื่อยไป เพราะถ้าได้ชำระดวงจิตให้ผ่องแผ้วจากมูลเศร้าหมองพ้นความดิ้นรนอันเป็นตัวการณ์แล้ว ก็ย่อมบรรลุภูมิสิ้นทุกข์ทั้งหมด
และพระพุทธเจ้า ทรงชี้แจงทางพ้นทุกข์จากสงสารวัฏด้วยวิธีกำจัดภพ คือความเกิด กำจัดความดิ้นรนแส่อยากและความหลงผิดในมายา ให้สิ้นแล้วก็บรรลุความดับรอบข้าง คือ พระปรินิพพาน เป็นคำชี้แจงอันอัศจรรย์ นิพพานเปรียบเสมือนเป็นเกาะโดดเดี่ยว อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันเดือดร้อนด้วยความเกิดมา มีหน้าผาศิลาแห่งชายเกาะนี้ ถูกคลื่น คือมฤตยูซัดสาดไม่เยือกไหว กับกระจายตีฟองคืนสู่ทะเลห้วงสงสารวัฏตามเดิม ในมหาสมุทรนี้มีเรือ คือ พระธรรมแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แล่นตัดไปสู่เกาะนั้นโดยปลอดอันตราย แต่ต้องฝ่ามรสุม คือ ตัณหา มานะทิฐิ และที่ทรงกล่าวถึงสถานบรมสุขนั้น มิใช่ตรัสตามปรัมปรา หรือจากกวีผู้ร้อยกรองตามความนึกความฝันของตน แต่ทรงแสดงตามที่ได้ทรงประสบตรัสรู้มาแล้วด้วยพระองค์เอง
จริงอยู่ ธรรมที่พระองค์ทรงปริยาย มีอยู่มาก แต่ฉันไม่ได้รับการศึกษาทางธรรมมาก่อน ข้ออรรถฟังไม่เข้าใจก็มีไม่น้อย เพราะเป็นของแปลกทั้งสุขุมลึกซึ้ง แม้ผู้มีภูมิรู้สูงก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ง่ายในทันที มีบางข้อบางความ ที่ฉันยังเข้าใจไม่ได้ เช่นว่าความมีความเป็น และความไม่มีความไม่เป็น ย่อมมีในคราวหนึ่งคราวเดียวกัน ไม่ใช่ชีวิตแต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ชีวิต แต่กระนั้นฉันยังรู้สึกเหมือนผู้ได้ฟังเพลงใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับเพลงที่เคยได้ยินมา แต่ว่าเป็นเพลงที่อาจเข้าใจความได้บ้าง ส่วนรสไพเราะนั้นชำแรกแทรกซึ้งเข้าไปในดวงจิต กระทำให้เหมือนว่าเข้าใจความได้หมดทุกข้อทุกประการ ก็เพลงนั้น เป็นเพลงอะไรเล่า? เป็นบทเพลงที่แจ่มใสบริสุทธิ์ปานดวงแก้วที่สะอาดหมดจด ซึ่งเทียบกับเสียงอื่น เสียงเพลงที่ได้ยินนี้คล้ายมธุรสที่ได้ยินวังเวงอยู่แต่ไกล มาจากสวรรค์เบื้องบนอันสูงลิบ บังเกิดความปรารถนาอย่างใหม่ ซึ่งไม่ได้นึกฝันขึ้นมาทันทีเท่ากับคนหลับ ณ ที่ใหม่รมณียสถานฉะนั้น
ขณะนั้น มืดค่ำลงแล้ว พระจันทร์อันส่องแสงอ่อนๆ โผล่เป็นดวงโตมาทางหลังเทวาลัย ฉายเงาเทวาลัยนั้น พุ่งเป็นทางยาวไปตลอดลำเนาป่า ฉันคุกเข่าประคองอัญชลี สงบใจนิ่งฟังพระธรรมเทศนา นัยน์ตาแหงนขึ้นสู่ฟากฟ้า ซึ่งมีดาวดวง น้อยใหญ่ส่งแสงวะวับแวม อยู่เหนือยอดไม้อันเป็นเงาดำทะมึงทึง เห็นแม่คงคาในสวรรค์ผ่านไปในกลางหาว เหมือนแม่น้ำอันเรืองระยับไหลผ่านไปฉะนั้น ขณะนั้นก็พลันกระหวัดถึงวันที่เราทั้งสองได้มาพบปะ ณ ที่เดียวกันนี้ ได้ให้สัตย์สัญญากันต่อแม่คงคาในสวรรค์ ซึ่งเป็นที่หล่อเลี้ยงสระบัวที่เราได้มาพบกันอีกในแดนสุขาวดี นี่เป็นสวรรค์อันกอปรด้วยบันเทิงสุข ที่บรรพบุรุษของเราเคยอ้อนวอนบูชาพระกฤษณ์ - ขอให้ได้ขึ้นมาอยู่ ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสมาแล้ว
เมื่อฉันหวนนึกถึงความหลังดั่งนี้ กลับเกิดความเศร้าใจ แต่ความทะเยอทะยานที่ปรารถนาจะไปเสวยความสุขในแดนสุขาวดีนั้นสิ้นไปแล้ว เพราะมีความปรารถนาที่วิเศษกว่า ซึ่งเล็งเห็นด้วยจักษุญาณ เป็นความสว่างแต่รางๆ ขึ้นบ้างแล้ว
ความโทมนัสความคับแค้นใจ ในเหตุที่ความหวังในความรักอย่างยอดยิ่งกระทบอุปสรรคพลันละลายไปในบัดนี้ ไม่มีแล้ว เมื่อได้ยินพระบรมศาสดาตรัสว่า- "มีเกิดก็มีตาย ถึงแก่ความทำลายไปจนสิ้น เหมือนกับสวนในโลก และดอกฟ้าในสวรรค์ก็ย่อมร่วงโรยไป".๓๗. ดอกฟ้าเหี่ยว วาสิฏฐีกล่าวเพิ่มเติมว่า "ดูสิเธอ เมื่อฉันได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้าดั่งกล่าวมาแล้ว ถ้าพูดสำหรับเธอ ก็จะเป็นวาทะทำลายความหวังเสียหมด ฉันรู้สึกปีติยินดีที่เห็นว่าคำนั้นเป็นของแท้จริง เพราะถึงแม้ในสวรรค์นี้ ก็เป็นมายาไม่คงที่ เราได้เห็นประจักษ์อยู่ในบัดนี้"
ระวางเวลาที่วาสิฏฐีเล่าอยู่นี้ ความทรุดโทรมในสวรรค์ก็ยังเกิดเรื่อยไปไม่ขาดสายได้ดำเนินไปเงียบๆ ไม่มีหยุด เป็นอันไม่มีข้อสงสัยแล้ว ว่าบรรดาสิ่งที่อยู่บนนี้ ตลอดจนสรรพสิ่งที่แวดล้อมอยู่ย่อมมีความทรุดโทรมเข้าครอบงำ ในที่สุดก็ย่อยยับสูญสลายไปไม่ผิดจากธรรมดา ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
ดอกบัว ณ บัดนี้ มีกลีบโรยร่วงลงไปลอยอยู่ในน้ำมากกว่าครึ่งแล้ว ยังร่วงลงไปใหม่ก็มี กระทำให้ผู้อยู่บนดอกบัว ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ฝัก บังเกิดสลดใจเห็นความอวสานพินาศจะมาสู่ตนอยู่ชัดแจ้งแล้ว บางผู้นั่งคอพับ บ้างก็เอียงคอตกไปทางไหล่ กายสั่นสะท้านคล้ายเป็นไข้ ทุกคราวที่มีลมหนาวเฉียบ เริ่มโชยมา ดวงหน้าซึ่งเคยมีรัศมีรุ่งเรืองก็ค่อยจางแสงมัวซัวไปทีละน้อย ดอกไม้ที่เคยหอมก็ค่อยคลายกลายเป็นกลิ่นที่ทำให้อึดอัดงงงวยไป
กามนิตชี้ไปทางสิ่งเหล่านี้ ที่มีอาการวิปริตไปหมดและพูดว่า "วาสิฏฐี เห็นอยู่แก่ตาอย่างนี่ใครเล่าจะยินดี?"
วาสิฏฐีตอบว่า "เพราะเหตุนี้ บุคคลจึ่งพอจะรู้สึกยินดีต่อสิ่งที่แลเห็นอยู่นี้ได้ หากว่าสภาพที่เป็นอยู่นี้ไม่มีอาการผันแปรต่อไป และไม่มีสภาพอื่นที่สูงกว่านี้ แต่ความจริงหาเป็นอย่างนั้นไม่ ยังมีสภาพที่สูงไปกว่านี้ เพราะสภาพที่เป็นอยู่ย่อมมีความทรุดโทรม แต่สภาพที่เหนือนั้นขึ้นไป หามีความทรุดโทรมหรือมูลเหตุแห่งความทรุดโทรมไม่ สภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ พระบรมศาสดาตรัสว่า เป็นสภาพแห่งความสุขอันไม่คงที่ และเพราะเหตุนี้พระองค์จึ่งตรัสว่า ถ้าเห็นแจ้งว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นย่อมถึงความสลายในที่สุด ก็เท่ากับได้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เกิด"
กามนิตได้ฟังดั่งนี้ ดวงหน้าค่อยแจ่มใส เหมือนดอกไม้ที่กำลังจะเหี่ยวเพราะขาดน้ำ ต้องฝนโปรยลงมากลับสดชื่นฉะนั้น ได้พูดว่า- "วาสิฏฐี ขอความสวัสดีจงมีแก่หล่อนเถิด ฉันจะพ้นความทุกข์ได้ก็เพราะหล่อน เวลานี้รู้สึกในความจริงขึ้นมาบ้างแล้ว เราหลงผิดมาแล้วแต่เดิมก็ด้วยข้อนี้ คือข้อปรารถนาสุขสมบัตินิดที่ไม่สูงพอ เรามัวปรารถนาแต่ความสุขในสวรรค์ ซึ่งตามสภาพย่อมมีความทรุดโทรมและทำลายไป สิ่งที่ทรงความเป็นอยู่ที่ ก็เห็นจะเป็นจำพวกดาว ซึ่งโคจรไปตามวิถีแห่งกฎที่ยั่งยืน ดูซี วาสิฏฐี สิ่งทั้งหลายที่เห็นอยู่รอบตัวเราปรากฏว่ามีความทรุดโทรมเข้าครอบงำ แต่แม่น้ำน้อยนั้น ซึ่งเป็นกิ่งลำธารของคงคาสวรรค์ไหลมาสู่สระของเรา มีน้ำขาวบริสุทธิ์รุ่งเรืองดั่งดวงดาว จำนวนน้ำก็ไม่บกพร่อง คงมีสมบูรณ์อยู่เสมอ ก็เพราะน้ำนี้ไหลมาจากโลกดาว น่าจะพยายามตั้งความปรารถนาไปเกิดอยู่ในหมู่เทพประจำดาว เพื่อหนีให้พ้นจากโลกที่ตายได้"
วาสิฏฐี- "เหตุไฉนเราจะสามารถไปโลกนั้นไม่ได้? เพราะฉันได้ยินมาแน่นอน ว่าพระโยคาวจรผู้มีเพียร ทำความบำเพ็ญโยคะ เพ่งเล็งต่อพรหมโลกย่อมไปเกิดในแดนนั้นได้ ถึงเวลานี้ ก็ยังไม่ล่วงเวลาที่เราควรมุ่งหมายไปเกิดในโลกนั้น เพราะในบทสังคีตของพระภควัต (ภควัทคีตา) มีอยู่บทหนึ่งว่า- "เมื่อปรารถนาภพหน้าใด ขณะจะตายจงเพ่งไว้ในใจให้แน่วแน่ จิตก็จะไปจุติในภพ ตามที่ลักษณะที่ปรารถนาไว้"
กามนิต- "วาสิฏฐี หล่อนให้สติฉัน ให้มีกำลังใจกล้ายิ่งกว่าอะไรหมด ขอให้เราตั้งดวงจิตเพ่งเพื่อให้ไปเกิดใหม่ในพรหมโลกเถิด"
เมื่อทั้งสองตกลงใจ ในทันใดนั้น มีพายุใหญ่พัดมาทางสุมทุมพุ่มไม้ และในสระกระทำให้ดอกไม้และใบร่วงหล่นปลิวว่อน ผู้อยู่บนฝักบัว ก็ชักเครื่องนุ่งห่มชิดสนิทกายมีอาการสั่นเทิ้ม
กามนิตและวาสิฏฐีรู้สึกอึดอัดใจ คล้ายถูกสำลักกลิ่นหอมที่อัดแน่นอยู่ในห้อง ครั้นแล้วก็รู้สึกชุ่มชื่นใจคล้ายลักษณะที่เปิดหน้าต่างห้องให้อากาศใหม่เข้าไปสู่ เพราะได้กลิ่นอากาศอันบริสุทธิ์ที่มาจากฝั่งคงคาสวรรค์ ซึ่งเคยสูดมาแล้วครั้งหนึ่ง วาสิฏฐี- "เธอสังเกตอะไรหรือไม่?" กามนิต- "เป็นอาการเชื้อเชิญแห่งคงคาสวรรค์ ฟังซิเธอ มาเชิญเราแล้ว"
ขณะที่กามนิตพูด เสียงโอดครวญของผู้อยู่ในสวรรค์ก็หายไป เพราะมีเสียงกึกก้องมากลบไว้ เสียงนี้เขาทั้งสองจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเสียงคงคาสวรรค์ วาสิฏฐีพูดว่า "ก็ดีแล้ว เรารู้ทางไปอยู่แล้ว เธอยังกลัวอยู่หรือ?" กามนิต- "กลัวทำไม? เราไปกันเถิด" แล้วทั้งสองก็ลอยลิ่วไป ประดุจนกคู่ผัวตัวเมียที่บินแล่นออกจากรังทวนลมไปฉะนั้น บรรดาผู้อยู่ในสวรรค์ตะลึงมองเขาทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ที่เห็นว่าทั้งสองยังมีกำลังกล้าหาญเลื่อนลอยไปได้อีก
ครั้นทั้งสองเลื่อนลอยฝ่าพายุไป ทางด้านหลังเกิดพายุบรรลัยยุคหวนพัดหอบเอาสิ่งต่างๆ ในแดนสุขาวดี รวมทั้งผู้อยู่ในนั้นถึงความสิ้นลง เพราะความทรุดโทรมเข้าครอบงำรุกเงียบๆ มานานแล้ว ด้วยประการฉะนี้
ทั้งสองเลื่อนลอยลิ่ว ๆ ไม่ช้านาน ผ่านดงตาลแล้วเลยไป เห็นทางข้างหน้า เป็นผืนน้ำแห่งแม่น้ำของแสนโกฏิจักรวาลขาวดั่งเงินยวง มีขอบเขตจดไปถึงขอบสวรรค์อันอยู่ไกลแสนไกล เห็นเป็นเส้นสีน้ำเงินแก่ แล้วทั้งสองลอยข้ามน้ำนั้นไป ในทันใดก็ถูกกระแสซึ่งมีอยู่แต่ในที่นั้นพัดพาไปรวดเร็ว ด้วยความเร็วแห่งพายุที่พัดแรง
เมื่อถูกความเร็ววับ เป็นเครื่องบังคับให้แล่นฉูดไปปานสายฟ้า ประกอบกับได้ยินเสียงอู้แห่งพายุ ซึ่งดังคล้ายเสียงฟ้าร้องระคนกับเสียงระฆังขึ้นในทันทีทันใด ไม่ทันจะรู้ตัวฉะนี้ ต่างก็สิ้นสมฤดีดับปวัตติจิตพร้อมกันทั้งคู่กามนิตและวาสิฏฐี ถือปฏิสนธิในพรหมโลก๓๘. พรหมโลก กามนิตและวาสิฏฐี ก็ถือปฏิสนธิในพรหมโลกเป็นเทพประจำดาวแฝด อาตมันของกามนิตเข้าไปสิงสถิตรวมประสานกับคุณลักษณะแห่งดาวอันรุ่งเรืองสมส่วนสนิทสนมกระทำให้ดวงดาวนั้นเหมือนกับมีชีวิตขึ้น อาศัยมโนมยฤทธิ์ของกามนิต ผู้มเหสักข์เป็นเครื่องบังคับ ดาวนั้นจึ่งหมุนรอบด้วยตนเอง และอาการเคลื่อนหมุนไปนี้ คือลักษณะความเป็นอยู่แห่งกามนิตในพรหมโลก
อีกประการหนึ่ง รัศมีวาสิฏฐีในดาวอีกดวงหนึ่ง เปล่งมากระทบดวงดาวกามนิต และรัศมีกามนิตก็ฉายไปจับดาววาสิฏฐี ถ้อยทีค่อยแผดรัศมีประสานกัน ดาวแฝดก็หมุนตามกันไปในจุดหมายแนวเดียวกันจนแสงนั้นระคนปนกัน เป็นสัญญาณว่าทั้งสองมีความรักร่วมปฏิพัทธ์ต่อกันแน่นแฟ้นมิได้ออกจากกันไปเลย
ด้วยทิพยานุภาพสมันตจักษุ ทั้งสองอาจมองดูรอบด้านได้ในคราวเดียวกัน เมื่อมองดูไปในแดนวิศวากาศอันหาเขตมิได้ ก็เห็นดาวเทพส่องแสดงอยู่พร่างพราวมีจำนวนนับไม่ถ้วน ในหมู่ดาวเทพเหล่านี้ ต่างรวมกันเป็นราศี ปรากฏเป็นทอดๆ กันไป ต่างมีทางเดินเป็นส่วน ๆ กันเฉพาะหมู่ กามนิตและวาสิฏฐีอาศัยดาวคู่แห่งตน ก็โคจรไปในวิถีแห่งหมู่ดาวทั้งหลายเวียนกันไปรอบๆ โดยลำดับตามดาราคติ คล้ายกับจัดนัดกันไว้ ต่างไม่เดินเข้าไปใกล้กันนัก หรือเดินห่างไกลกันนัก และดูเหมือนจะมีสนานฉันทฤทธิ์บอกรู้ถึงกัน โดยกระแสมโนญาณ ว่าควรจะมีคติทางไหนจึงจะได้ระยะกัน
อันทางโคจรที่หมู่ดาวหมุนเวียนกันนี้ ย่อมมีจุดที่มุ่งหมายในการเวียนรอบ คือ ท้าวมหาพรหมผู้สถิตอยู่ท่ามกลางแสนโกฏิจักรวาล มีรัศมีอันวัดไม่ถึง แผ่ซ่านไปส่งหมู่ดาวเทพทั้งปวง หมู่ดาวเหล่านั้นเป็นดั่งแว่นฉายอันนับไม่ถ้วน ได้รับแสงจากท้าวมหาพรหมแล้วก็ส่งสะท้อนกลับไปสู่ท้าวมหาพรหม คือ พระผู้ทรงพลฤทธิมหานุภาพอันหาหมดเปลืองมิได้ อันดาวเทพเคลื่อนเวียนไป ก็ด้วยได้เดชานุภาพมหิทธิพลาดิศัยมาจากพระองค์ เพราะฉะนั้นดาวเทพทั้งหลายจึงได้เวียนรอบท้าวมหาพรหม ห่างเลยออกไปไม่ได้
แม้ว่าดาวเทพทั้งหลาย อาศัยมหิทธานุภาพท้าวมหาพรหมบรมมหาตมันเป็นจุดกลาง จึ่งสืบชีพรุ่งเรืองนับด้วยอสงไขยกัลป์ก็จริงอยู่ แต่พรหมโลก ซึ่งดูประหนึ่งว่าหาเขตมิได้ เมื่อปรากฏว่า "มีขึ้น" แล้ว ก็ย่อมมีสุดสิ้นลงตามธรรมดาวิสัย และโดยเหตุที่ระยะกาลในพรหมย่อมดำเนินไปเงียบๆ เปรียบดั่งน้ำใสสะอาด ที่ไหลเอื่อยไปตามลำธารโดยราบรื่น ไม่มีสิ่งอะไรกีดกั้นให้ขาดระยะลงกลางคัน เลยทำให้เห็นว่าพรหมโลกนั้นหากาลกำหนดมิได้ แท้จริงลักษณะที่ว่าหากาละไม่ได้นั้น ก็ล้วนเป็นมายาทั้งเรื่อง๓๙ ความมัวมืดแห่งโลกานุโลก อยู่มากาลหนึ่ง กามนิตบังเกิดความรู้สึกรำคาญใจ เพราะความคว้างเคว้งว่างเปล่าไม่มีอะไรทำ ความคิดก็หวนไประลึกเองถึงท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นมูลแห่งบรรดาความบริบูรณ์ ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วหายไป แต่ว่าคงทวียิ่งขึ้นจนกาลได้ล่วงไปแล้ว โดยลำดับนับได้หลายอสงไขยกัลป์ สมควรที่กามนิตจะรู้สึกต่อความเป็นอยู่ในพรหมโลกคงที่เรื่อยเสมอไป เสมือนกระแสอันไหลเจื้อยไม่ขาดสาย ก็กลับมากระทบกึก ประหนึ่งลำธารนั้นเกิดเกาะผุดขึ้นกลางน้ำ กระทำให้กระแสไหลมาปะทะขาดตอน สะดุดใจเห็นเค้าเงื่อนเป็นอดีตและอนาคต คือ เบื้องต้นและเบื้องปลายในกาละแห่งพรหมโลก ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเป็นอนันตกาลหาเขตต้นปลายมิได้ แล้วกามนิต ดูเหมือนจะแลเห็นท้าวมหาพรหมในบัดนี้ ไม่ส่องรัศมีรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน
กามนิต สังเกตดูท้าวมหาพรหมมาเป็นเวลาได้เก้าโกฏิปี เห็นว่าความเป็นอยู่แห่งท้าวมหาพรหมจะคงที่ก็หาไม่ จึ่งหันไปจะบอกวาสิฏฐี ก็เห็นวาสิฏฐีสังเกตเพ่งดูท้าวมหาพรหมอยู่ทำนองเดียวกัน กามนิตให้หวั่นใจ และเกิดความรู้สึก มีความตรึกนึกเป็นวจีสังขาร แล้วก็เกิดอาการกล่าววาจาออกมาได้ จึ่งพูดว่า "วาสิฏฐี หล่อนก็สังเกตเห็นด้วยหรือ นี่ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป?"
ล่วงมาสี่โกฏิปี วาสิฏฐีย้อนถามว่า "ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป ดูรัศมีมัวลง ทุกที?" ทันใดนั้น เป็นเวลาห้าโกฏิปี กามนิตจึ่งกล่าวรับว่า "ฉันก็เห็นเป็นเช่นนั้น" ครั้นล่วงมาครู่หนึ่งราวพันล้านโกฏิปี กามนิตพูดขึ้นอีกว่า "ฉันดูเหมือนรัศมีท้าวมหาพรหมกลับรุ่งเรืองขึ้นอีก" ล่วงมาเจ็ดโกฏิปี วาสิฏฐีจึ่งได้ตอบว่า "รัศมีของท้าวมหาพรหมหาได้ทวีขึ้นไม่ กลับจะมัวลงทุกที" กามนิต จึ่งนิ่งอึ้งครู่หนึ่งเป็นเวลาสองพันล้านโกฏิปี แล้วกล่าวว่า "ฉันสนเท่ห์ใจนักว่าที่เป็นอย่างนี้ จะหมายความว่าอย่างไร?"
วาสิฏฐี ถอนหายใจอยู่เก้าแสนโกฏิปี ตอบว่า "หมายความว่ารัศมีของท้าวมหาพรหมกำลังตกอยู่ในอันตายที่จะหมดไปโดยไม่มีเพิ่มเติม" กามนิต ตกตะลึงไปเจ็ดแสนโกฏิปี ได้สติขึ้นมาค้านว่า "เป็นไปไม่ได้ วาสิฏฐี เป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น ความสว่างรุ่งเรืองที่มีอยู่ในพรหมโลกนี้ทั้งหมด จะเป็นอย่างไรต่อไป?" วาสิฏฐี หวนนึกถึงความเก่าอยู่แปดพันโกฏิปี ค่อย ๆ เอ่ยคำละหมื่นปีว่า- "พระองค์คงจะทรงเห็นความจริงข้อนี้จึงตรัสว่า- "สูงลิ่วไปจนถึงความสว่างอันล้ำเลิศแห่งสวรรค์ มีเกิดแล้วก็มีดับ จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคตนั้นแล ย่อมดับเสียจนกระทั่งรัศมีมหาพรหม"
ล่วงมาเป็นเวลาอีกเล็กน้อย ราวสองสามพันโกฏิปี กามนิตถามด้วยอาการวิตกว่า "ใครเป็นผู้กล่าวคำอันน่ากลัวทำลายความหวังของโลกนั้น?" วาสิฏฐี ตอบโดยเร็วในเวลาสามโกฏิปีว่า "ก็จะมีใครอีก นอกจากพระบรมศาสดาพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า?"
ครั้นแล้ว กามนิต ก็บังเกิดความตรึกนึกในคำตรัสของพระพุทธเจ้า และพิจารณาอยู่เป็นเวลาช้านานราวแปดแสนโกฏิปี ก็ระลึกถึงเรื่องต่างๆ ได้หลายอย่าง จึ่งพูดว่า "วาสิฏฐี ครั้งหนึ่ง เมื่อเรายังอยู่ในสวรรค์สุขาวดี หล่อนได้นำพระพุทธวจนะข้อหนึ่งมากล่าวให้ฟัง ความก็สมจริงดั่งที่ตรัสไว้ และเราก็ได้เห็นอยู่กับตาเราเอง และฉันยังจำได้ทุกประการ ซึ่งคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่หล่อนนำเอามาเล่า แต่ก็ไม่ปรากฏว่า หล่อนได้นำประโยคอันมีข้อความทำลายความหวังของโลกนี้ มากล่าวไว้ด้วยนี่หล่อน ได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้ามากกว่าที่ได้เล่ามาแล้วหรือ?"
สักเจ็ดสิบห้าโกฏิปี วาสิฏฐีตอบว่า "มากทีเดียว เพราะฉันได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวัน เป็นเวลากว่าครึ่งปีมนุษย์ ย่อมได้ยินได้ฟังคำตรัสของพระองค์ในครั้งสุดท้าย" กามนิตจ้องมองดูวาสิฏฐีด้วยความประหลาดใจ และด้วยความเคารพอยู่สองแสนโกฏิปีแล้วกล่าวว่า- "ถ้าเช่นนั้น และเพราะเหตุนี้เอง ที่ฉันเชื่อว่าหล่อนเป็นผู้มีปัญญาความรู้สูงสุดยิ่งกว่าใคร ๆ ในพรหมโลกนี้ เพราะดาวเทพที่อยู่รอบตัวเรา มีแสงหลัวๆ ลง แม้แต่ท้าวมหาพรหมเองก็มีรัศมีออกจะด้านๆ ไป เป็นลักษณะให้เห็นว่าสิ่งทั้งปวงก็จะต้องถึงแก่ความเสื่อมทำลายไป ฉันเชื่อแล้วว่าที่หล่อนกล่าวเป็นอันถูกต้องแท้ โปรดเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าที่หล่อนยังจำได้ เพื่อฉันจะได้รู้แจ้งความจริง บังเกิดจิตญาณเป็นปกติแน่วแน่เหมือนหล่อน หล่อนได้เล่าถึงเรื่ององคุลิมาลได้บรรพชาเป็นภิกษุ แต่เรื่องที่องคุลิมาลไปหาฉันถึงอุชเชนีเพราะอะไร ฉันยังไม่ทราบ ที่องคุลิมาลไปปรากฏให้เห็นในกรุงอุชเชนีครั้งกระนั้น เป็นเหตุให้ฉันถือเอาซึ่งสัญจาริกแสวงการบุณย์ ไม่ตกไปในทางผิด จนได้ขึ้นไปเกิดอยู่ในสวรรค์สุขาวดี และอาศัยความช่วยเหลือของหล่อน จึ่งได้ขึ้นมาอยู่บนพิภพชั้นสูงสุด เสวยความสุขในความเป็นมเหสักขเทพนับเวลาได้หลายอสงไขยกัลป์ ฉันมีสังหรณ์อยู่ว่าที่ฉันสละเคหสถานถือเอาพรตสัญจาริก ก็คงเพราะหล่อนเป็นต้นเหตุเพราะฉะนั้น จึงอยากรู้ความจริงในเรื่องนี้นัก และเพราะเหตุไฉน หล่อนเองเป็นผู้ช่วยฉันให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์สุขาวดีและตัวหล่อนก็ขึ้นมาอยู่ด้วย จึ่งไม่ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นที่สูงไปกว่านั้น?"
เพียงแปดแสนโกฏิปี วาสิฏฐีก็เล่าเรื่องเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ต่อไปดั่งนี้-
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2558 16:26:41 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2558 16:33:19 » |
|
."บพิตร นี่คือ องคุลิมาล"๔๐ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์ นับแต่เย็นวันแรกที่ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ฉันไม่ละเลยที่จะไปยังเทวสถานพระกฤษณ์ ยิ่งได้ฟังพระธรรม ซึ่งพระองค์เทศนาโปรด หรือพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง แสดงความเลื่อมใสก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ระวางที่สามีฉันไม่อยู่ ความที่ประชาชนในกรุงโกสัมพี หวาดสะดุ้งกลัวองคุลิมาลจอมโจรก็ยิ่งทวีขึ้น เมื่อไม่ได้ข่าวคราวองคุลิมาล ว่าได้ไปปล้นสะดมขึ้นใหม่ที่ไหนแล้ว ประชาชนก็ปรับทุกข์กันจ้อกแจ้กคิดไปต่าง ๆ นานา ขณะนี้มีข่าวกระจายมาว่า องคุลิมาลจะไปปล้นที่สุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์ในเย็นวันหนึ่ง ต้องการจับเอาคนสำคัญที่ไปประชุมกันรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ถึงตอนนี้ราษฎรตื่นเต้นตกใจเป็นอลหม่าน ต่างเป็นทุกข์ร้อนอย่างยิ่งว่าถ้ามีเหตุภัยอะไรขึ้นแก่พระพุทธเจ้า ปล่อยให้โจรใจทมิฬเข้าไปทำร้ายถึงบริเวณใกล้ประตูเมืองได้แล้ว เทวดาจะพิโรธลงโทษคนในกรุงวินาศหมด
ประชาชนเป็นจำนวนมาก พากันไปอออยู่ที่ลานหญ้าหน้าพระราชวัง ร้องทุกข์ขอให้พระเจ้าอุเทนทรงบำบัดเหตุร้ายนี้ให้จงได้ และกำจัดองคุลิมาลอย่าให้มีความเดือดร้อนอุกฉกรรจ์อีกต่อไป
ในวันรุ่งขึ้น สาตาเคียรกลับมา พอมาถึงก็ยกยอคุณฉันเสียขนานใหญ่ ว่าได้รับคำแนะนำอย่างวิเศษจากฉัน เขาจึ่งพ้นอันตรายมาถึงบ้านโดยสวัสดี นางวชิราภริยาคนที่สองอุ้มบุตรชายน้อยมาต้อนรับ แต่สาตาเคียรพูดด้วยสองสามคำ บอกว่ามีธุระสำคัญที่จะต้องพูดกับฉัน
ครั้นอยู่ด้วยกันสองต่อสอง สาตาเคียรก็เริ่มพูดถึงความรักความใคร่อีก ซึ่งกลับทำให้ฉันรำคาญขยะแขยงใจ ได้บอกว่าตั้งแต่จากไปให้คิดถึงตลอดทาง พอกลับมาเห็นหน้าก็แสนจะปลื้มใจที่ได้อยู่ร่วมกันอีก
กำลังฉันจะบอกข่าวที่เกิดตื่นเต้นขึ้นในกรุง เพื่อให้เขาเปลี่ยนเรื่องพูด ก็พอดีคนใช้นำจางวางมหาดเล็กเข้ามาหา บอกว่าพระเจ้าแผ่นดินมีโองการให้เข้าไปเฝ้าเดี๋ยวนี้
ล่วงมาสักชั่วโมง สาตาเคียร กลับมีอาการกิริยาเป็นคนละคน หน้าซีดบูดบึ้งเข้ามาหาฉัน กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ตัวต่ำ ถอนใจใหญ่คร่ำครวญว่าเขาเป็นคนมีทุกข์ร้อนที่สุดในกรุงโกสัมพี คือ จะต้องพลัดตกจากตำแหน่งสูงลงไปเป็นยาจก หรือยิ่งไปกว่านั้น จะต้องโทษขังคุกเข้าเครื่องจองจำ หรือไม่เช่นนั้นก็ถูกเนรเทศ และต้นเหตุที่จะเป็นขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ เคราะห์กรรมที่มีความรักใคร่ปานชีวิต ในส่วนตัวฉัน แต่ฉันมิได้ตอบแทนความรักเขาแม้สักน้อย
ฉันวิงวอนให้เขาเล่าเหตุการณ์ เป็นหลายครั้งหลายหนจนเขาสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้วจึงได้เล่าเรื่องที่ไปเฝ้า พูดพลางแสดงอาการโทมนัสเสียใจ เช็ดเหงื่อที่ไหลเยิ้มหน้าผากไม่หยุดมือ
เรื่องเป็นดั่งนี้ พอไปถึงและเข้าเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินมิได้ทรงต้อนรับตามเคย แม้แต่เรื่องที่ไปชำระสะสางคดีที่หมู่บ้านวิวาทกัน ก็ไม่ทรงฟัง เริ่มขึ้นก็ตรัสให้สาตาเคียรรับสารภาพเรื่ององคุลิมาล ตามสัตย์จริง มิฉะนั้นจะลงราชอาญาอย่างหนัก สาตาเคียรเข้าตาจนต้องกราบทูลตามความจริงโดยชื่นตา ซ้ำมาสารภาพรับผิดต่อฉันด้วย โดยไม่สำคัญคิดแม้นิดหนึ่งว่าฉันทราบมาดีแล้ว ลงท้ายบอกว่าที่ทำไปแล้วทั้งนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นความรักของเขา ว่ามีอยู่แก่ฉันล้นเหลือเพียงไร แล้วพูดข่มความรักที่ฉันมีอยู่ในเธอว่าเป็นความรักเพียงหนุ่มสาวที่กำลังแรง ย่อมเป็นไปชั่วแล่นเท่านั้น
เหตุที่เรื่องจะไปทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าอุเทน เป็นดั่งนี้
ระวางเวลาที่สาตาเคียรไม่อยู่ในกรุง เจ้าหน้าที่ตำรวจจับพรรคพวกองคุลิมาลได้คนหนึ่ง เมื่อได้ไต่สวนปากคำกันอย่างถี่ถ้วน จึ่งได้ความแน่ว่าโจรที่ให้เกิดตื่นเต้นกันอยู่นี้ คือองคุลิมาลนั่นเอง ความจริง องคุลิมาลไม่ได้ถูกทรมานตายอย่างที่ประธานมนตรี คือ สาตาเคียร เพ็ดทูลไว้ แต่ว่าหนีไปได้ กับยังได้สารภาพตลอดถึงข่าวที่ทราบว่าองคุลิมาลดำริจะไปปล้นเทวาลัยพระกฤษณ์ พระเจ้าอุเทนทรงทราบความจริงก็ทรงพิโรธเป็นที่สุด เพราะสาตาเคียรจงใจปล่อยให้ผู้ร้ายสำคัญหนีไปได้ เป็นข้อที่หนึ่ง และตั้งใจหลอกลวงคนทั้งกรุง ตลอดจนพระเจ้าแผ่นดิน โดยเอาศีรษะปลอมไปเสียบแทน ว่าเป็นศีรษะองคุลิมาล เป็นประการที่สอง พระองค์ไม่ทรงฟังคำแก้ตัวอย่างไรหมด นอกจากคาดโทษว่า ถ้าภายในสามวันไม่กำจัดองคุลิมาลได้ดั่งประชาชนต้องการ สาตาเคียรเป็นต้องได้รับความไม่พอพระหฤทัยอย่างยิ่ง อันเป็นผลที่จะมาสู่ตนอย่างอุกฤษฏ์
เมื่อสาตาเคียรเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว ก็ตีอกชกหัวตัวร้องไห้คล้ายคนไม่มีสติ
ฉันจึ่งพูดว่า "ขอให้ระงับทุกข์ร้อนเสียเถิด ถ้าทำตามที่ฉันบอก อย่าว่าแต่สามวันเลย เพียงพรุ่งนี้เท่านั้นก็จะกลับเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดปรานอีก และจะมีโชคลาภดียิ่งขึ้นไปกว่าเก่าด้วย"
สาตาเคียรเผยอตัวขึ้นนั่งตรง จ้องมองดูฉันคล้ายกับได้เห็นอะไรแปลกผิดปกติ รีบถามว่า "ที่ว่าจะแนะนำนั้น คือให้ทำอย่างไร?" "ขอให้เธอกลับไปเฝ้า ทูลเชิญเสด็จไปยังป่าประดู่ลายที่อยู่พ้นประตูเมืองให้จงได้ เมื่อไปถึงแล้วให้เสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เทวาลัยโบราณ แล้วทูลถามขอพระอนุเคราะห์จากพระพุทธองค์ ส่วนอะไร ๆ นอกนั้นก็จะเป็นไปตามเรื่องเอง"
"หล่อนเป็นหญิงที่มีปัญญามาก จะอย่างไรก็ตามคำแนะนำของหล่อนนับว่าประเสริฐอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธเจ้าเขาลือกันว่าเป็นผู้ทรงพระปัญญายอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ถึงจะไม่ได้ผลอะไรก็น่าจะลองดู" "สำหรับผลที่จะได้ ขอรับรองด้วยเกียรติยศของฉัน"
สาตาเคียรลุกขึ้นจับมือฉัน พลางพูดว่า "วาสิฏฐี ฉันเชื่อหล่อน มีอย่างที่ไหนจะไม่เชื่อ? หล่อนเป็นหญิงวิเศษแท้ๆ เดี๋ยวนี้ฉันมารู้สึกว่าเดิมฉันเข้าใจผิดถนัด เพราะเวลานั้นยังหนุ่มมีความคิดน้อย แต่ก็เป็นด้วยบุพเพสันนิวาสที่จำเพาะเจาะจงเลือกเธอ ในหมู่นางงามของกรุงโกสัมพี ถึงว่าเธอไม่สู้มีมิตรจิตแก่ฉัน ที่ฉันจะเหินห่างจากความรักในตัวเธอต่อไปเป็นไม่มีอีกแล้ว"
อาการกิริยาที่เขาแสดงความชมเชย ให้ออกรำคาญเกือบนึกเสียใจ ที่ไม่ควรจะแนะนำให้อย่างนี้ แต่ถ้อยคำที่เขาพูดต่อไป ทำให้ฉันค่อยโล่งใจ เพราะเขาแสดงความขอบคุณไม่มีที่สิ้นสุด จะขออะไรเป็นยอมให้ทั้งนั้น เพื่อพิสูจน์วาจาที่พูดนี้ ฉันจึ่งพูดว่า "ฉันมีสิ่งที่จะขออยู่อย่างหนึ่ง ถ้าให้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความขอบคุณได้เพียงพอ"
"บอกมาเดี๋ยวนี้ได้ ถึงจะขอร้องให้ส่งวชิรากับลูกชายกลับไปอยู่บ้านเดิมของเขา ก็ยินดียอมทำตามทันที"
"ฉันขอสิ่งที่เป็นธรรม หาใช่อย่างเหี้ยมโหดไม่ แต่ฉันอยากขอ ต่อเมื่อคำแนะนำของฉันสำเร็จผลได้แน่นอนโดยบริบูรณ์แล้ว เธอควรจะรีบไปเฝ้าทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินเสียเดี๋ยวนี้เถิด"
เขาออกไปไม่ช้าก็กลับมา มีสีหน้ายิ้มแย้ม บอกว่า "พระเจ้าแผ่นดินเต็มพระหฤทัยเสด็จพระราชดำเนิน โดยมีรับสั่งว่า ถ้าคำแนะนำนี้ไม่ใช่ออกจากหล่อน ก็ไม่ยอมเสด็จโดยเด็ดขาด แต่พระองค์ทรงพระกรุณาหล่อน ทรงเชื่อถือในสติปัญญาของหล่อน จึ่งโปรดเสด็จตามที่แนะนำ นับว่าฉันมีภริยาที่น่าปลื้มน่ายินดีมีเกียรติยศแท้ๆ"
ถ้อยคำเหล่านี้ และถ้อยอื่นๆ ในชนิดเดียวกันที่สาตาเคียรสรรเอามากล่าวในเวลาปลื้มใจมากมาย ดูเหมือนไม่รู้จักหมด แต่ว่าเป็นถ้อยที่ยั่วให้ฉันเคียดแค้นเสียจริงๆ ถ้าไม่มีความมุ่งหมายในใจที่คิดไว้ ก็เห็นจะเดือดดาลยิ่งกว่านี้ แล้วเราพากันไปในพระราชวัง ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหน้าที่เตรียมการเสด็จพระราชดำเนินไว้พร้อมสรรพแล้ว
พอแสงแดดอ่อนลงบ้าง พระเจ้าอุเทนเสด็จขึ้น นางพญาภัทรวติกาพระกริณีคชาธารตัวลือชื่อ ช้างทรงนี้มีอายุมากแล้ว จึ่งใช้แต่ในคราวมีงานสำคัญ ฝ่ายเราพร้อมด้วยจางวางมหาดเล็ก ขุนคลัง ขุนเสนา และมุขมนตรีชั้นผู้ใหญ่ นั่งเกวียนตามเสด็จมาในกลางกระบวน มีขุนอัสดรนำกองอัศวานึกตามเสด็จทั้งหน้าและท้ายกระบวน กองละสองร้อย
ถึงราวป่าอุปจารเทวาลัย โปรดให้หยุดกระบวน แล้วเสด็จลงจากช้างพระที่นั่ง ส่วนพวกที่ตามเสด็จลงจากเกวียน พระเจ้าอุเทนทรงดำเนินด้วยพระบาท ไปสู่เทวาลัยพระกฤษณ์ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับคอยรับเสด็จอยู่ เพราะมีผู้ทูลให้ทรงทราบล่วงหน้าไว้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าโดยที่ใด พระเจ้าอุเทนเสด็จเข้าไปใกล้โดยที่นั้น ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าและประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสัมโมทนียกถากะพระเจ้าอุเทนผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า "ดูก่อนมหาราช พระองค์เสด็จมาด้วยพระธุระสำคัญอะไร หรือว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือเจ้าสามนตประเทศกรีธาทัพมาเพื่อราชสงคราม?"
พระเจ้าอุเทน- "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้ากรุงพาราณสีหรือเจ้าสามนตประเทศ มิได้ยกรี้พลมารบกวน แต่บัดนี้ มีมหาโจรในดินแดนข้าพเจ้าอยู่คนหนึ่งชื่อองคุลิมาล เป็นอ้ายเสือดุร้ายหยาบช้า ทารุณฆ่าผู้ฟันคนไม่เลือกหน้า ปล้นสะดมเผาผลาญบ้านช่องอาณาประชาราษฎร ทำให้รกร้างพินาศอยู่ทั่วไป ได้ฆ่าคนตัดเอานิ้วแม่มือร้อยเป็นมาลาสวมคอ ด้วยสันดานทารุณของมัน มันกำลังกะการณ์จะมาปล้นที่นี้ แล้วจับพระองค์และสาวกไป ประชาชนพลเมืองตกใจกันอลหม่าน ไปร้องทุกข์ข้าพเจ้าถึงหน้าพระลานหลวงแทบจะถล่มทลายพระราชวัง คาดคั้นให้กำจัดองคุลิมาลเสียจงได้ ต่อข้าพเจ้ารับปากคำแล้ว จึ่งกระจายกลับกันโดยสงบ ที่ข้าพเจ้ามาเฝ้าก็เพราะเรื่องนี้"
"ดูก่อนมหาราช หากพระองค์ทอดพระเนตรเห็นองคุ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ ละเลิกการฆ่าฟันปล้นสะดมได้เด็ดขาด ถือมักน้อยบริโภคอาหารแต่มื้อเดียว ประพฤติอยู่ในทางที่ชอบมุ่งแต่ทางบุญกุศล ดั่งนี้ พระองค์จะทรงทำประการใด?"
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพเจ้าจะทำการเคารพนับถือเธอ ลุกขึ้นต้อนรับ นิมนต์ให้เธอนั่ง แล้วถวายปัจจัยอันควรแก่สมณะบริโภค จัดหาที่อยู่อาศัยป้องกันภัยที่จะมีมาสู่เธอ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนบุคคลผู้มีใจทมิฬหินชาติ จะกลับเป็นคนเรียบร้อยเห็นแก่ธรรมได้เล่า?"
ขณะนั้น องคุลิมาลซึ่งมีผู้เกรงกลัวกันมาก นั่งเฝ้าอยู่ไม่สู้ห่างจากพระพุทธเจ้านัก พระพุทธเจ้ายกพระหัตถ์ขวาทรงชี้ไปที่ องคุลิมาล แล้วตรัสบอกพระเจ้าอุเทนว่า
"บพิตร นี่คือ องคุลิมาล"
ทันใดนั้น พระเจ้าอุเทนแลตะลึงตกพระทัยกลัวจนพระพักตร์เผือด แต่ที่ตกใจกว่าพระเจ้าอุเทนหลายเท่า คือ สาตาเคียร ลูกตาถลนคล้ายจะปะทุออกมา ผมลุกชัน เหงื่อไหลอาบหน้าผากไม่ขาดสาย ร้องออกมาว่า "ตายจริง! องคุลิมาลแน่เสียด้วย เคราะห์ร้ายเหลือประมาณ ที่พาเสด็จมาให้ตกในอำนาจมัน"
สาตาเคียรร้องพลางตัวสั่นเทิ้มหนักขึ้นทุกที เพราะเข้าใจว่าตกเข้าในเงื้อมมือศัตรูตัวฉกาจแล้ว และพูดต่อไปว่า "อ้ายคนชั่วช้าแสนอุบาทว์นี้ มันลวงเราหมดทุกคนจนกระทั่งพระพุทธเจ้า และภริยาข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนเชื่อง่ายตามนิสัยผู้หญิง ตกลงเราทั้งโขยงพากันไหลเข้ามาหากับที่มันดักเอาไว้เอง"
สาตาเคียรมองกวาดไปรอบ ๆ บริเวณ คล้ายกับตรวจเห็นพวกโจรซุ่มซ่อนอยู่ตามต้นไม้ตั้งครึ่งค่อนโหล ปากสั่น มือสั่น ทูลพระเจ้าอุเทนให้รีบเสด็จหนีโจรภัยไปเสียทันที
ทันใดนั้น ฉันเข้าไป จับตัวสาตาเคียรสั่นและพูดว่า- "ขอให้เธอสงบสติอารมณ์เถิด ฉันอาจแสดงให้เห็นได้ว่า ไม่มีการดักกับหรืออันตรายอย่างไรขึ้นเลย" แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่ องคุลิมาลกับฉันเคยปรึกษาหารือกันจะฆ่าสาตาเคียร แต่ความคิดนั้นเป็นอันล้มเลิกไป เพราะด้วยคู่คิดของฉันกลับใจในเวลาหวุดหวิด
เมื่อสาตาเคียรได้ทราบเรื่องว่าตนจักแหล่นถึงความตาย ก็เป็นลมแทบล้มพับถึงกับเกาะแขนจางวางมหาดเล็กไว้แน่น
ฉันกราบลงเฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน ทูลขออภัยโทษสามีในความผิดที่พลาดมาแล้ว ดั่งที่ฉันเคยยกโทษมาแล้ว และกราบทูลชี้แจงต่อไปว่า ทั้งนี้เป็นเพราะสามีถูกความโง่เขลาเบาปัญญาเข้าครอบงำ ไม่รู้สึกตนว่าได้ทำความชั่วร้ายอะไรไว้ แต่ว่าเป็นผลดีอยู่ประการหนึ่ง ที่โจรใจร้ายไม่ต้องถูกประหาร แต่กลับเป็นผู้สำเร็จขึ้น
เมื่อพระเจ้าอุเทนประทานอภัยแก่สามีฉัน และทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเดิม ฉันก็หันมาพูดกะสาตาเคียร ว่า- "ฉันได้จัดทำไปตามสัญญาแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้เธอทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ฉันบ้าง คือฉันขออนุญาตออกบรรพชาเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา"
สาตาเคียรจำให้อนุญาต ด้วยอาการก้มศีรษะดุษณี เพราะที่จริงเขาจะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่
ครั้นแล้วพระเจ้าอุเทน ซึ่งในบัดนี้ทรงแน่พระหฤทัยว่าไม่มีเหตุเภทภัยอะไรแล้ว ก็เสด็จไปหาองคุลิมาล ตรัสประทานอภัยและอารักขาแก่องคุลิมาล แล้วเสด็จเข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องบาทพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า- "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นการมหัศจรรย์น่าพิศวงนักหนา ที่พระองค์ทรงฝึกผู้ไม่น่าเชื่องให้เชื่องได้ เพราะองคุลิมาลนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถบำราบได้ด้วยทัณฑกรรม แต่พระองค์ทรงบำราบเสียได้ โดยไม่ต้องใช้ทัณฑกรรมอย่างไร ข้าพเจ้าขออุทิศสถานที่นี้ อันมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นถึงสามครั้ง ให้เป็นสำนักที่บำเพ็ญพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์แต่วันนี้เป็นต้นไป อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอประทานพุทธานุญาตจัดสร้างสถานสังฆนิวาสขึ้นในที่นี้ เพื่อประโยชน์แห่งพระภิกษุและภิกษุณี"
พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาราชบรรณาการนี้ พระเจ้าอุเทนกราบทูลลาเสด็จคืนสู่พระราชวังพร้อมด้วยราชบริพาร ส่วนตัวฉันคงอยู่ต่อไปในที่นั้น ณ ภิกษุณีอุปัสสัย และในวันรุ่งขึ้น ก็ถวายตนบรรพชาทีเดียว
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม 2558 13:26:16 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2558 13:35:20 » |
|
. ๔๑ โอวาทอย่างง่ายๆ บัดนี้ ฉันเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาแล้ว เช้าตรู่ไปบิณฑบาตในกรุงโกสัมพีแวะบ้านนี้ไปบ้านนั้น จนได้อาหารพอเยียวยา อันที่จริงสาตาเคียรยินดีอยากจะจัดอาหารส่ง จะได้ไม่ต้องเดินบิณฑบาตให้ลำบาก
เช้าวันหนึ่ง ฉันยืนคอยรับบิณฑบาตอยู่ที่หน้าบ้านสาตาเคียร เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของภิกษุณีที่เจริญพรรษา ต้องการจะให้ฉันหัดอดทน ขณะนั้นสาตาเคียรโผล่ออกมาตรงประตูใหญ่มองเห็นฉัน แล้วก็ชะงัก แล้วหลบหน้ามีอาการเศร้าๆ สักครู่หนึ่งคนใช้ดูแลบ้านออกมามีอาการร้องไห้ และขอร้องว่าจะส่งเครื่องอาหารการบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการทุกวันไปยังสำนัก ไม่ต้องลำบากมาทุกเช้า แต่ฉันปฏิเสธบอกว่าจะต้องทำตามวัตรปฏิบัติที่มีพุทธานุญาตไว้
เมื่อฉันกลับจากบิณฑบาต และเสร็จกิจเรียบร้อยแล้ว ก็ศึกษาพระธรรมวินัย ณ สำนักภิกษุณีผู้แก่พรรษา ถึงเวลาเย็นในที่ประชุมสงฆ์ ฉันไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าหรือบางคราวก็ไปฟังพระสาวก เช่น พระสารีบุตร หรือพระอานนท์เป็นผู้แสดง เมื่อเสร็จการฟังธรรมแล้ว โดยปกติพวกภิกษุณีไปชุมนุม ณ ธรรมสภา สนทนาธรรมกันตามอัธยาศัย
ความเป็นไปที่ได้อบรมตนในที่แจ้ง อากาศปลอดโปร่งปฏิบัติอยู่สม่ำเสมอ และสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดก็ด้วยเรื่องธรรมเป็นเหตุ ให้ไม่ได้โอกาสคิดถึงเรื่องความทุกข์โทมนัสที่มีอยู่หรือนึกคิดเรื่องที่ไม่มีสาระ ซึ่งในที่นั้นเรียกว่าวิสภาคารมณ์ เป็นอันว่าได้เผยอตนชำระมลทินความขุ่นมัวในดวงจิตให้เบาบางลง กระทำให้กำลังใจกล้าแข็งต้านทานเครื่องเศร้าหมองอึดอัดได้อย่างประหลาด รู้สึกได้รับชีวิตใหม่ อันเป็นชีวิตที่กอปรด้วยศานติสุขปลอดโปร่งจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงสองสามสัปดาห์ ฉันไม่เคยพบอารมณ์ประณีตเห็นปานนี้
ครั้นเข้าฤดูฝน ที่อาศัยของภิกษุณี ซึ่งพระเจ้าอุเทนโปรดให้สร้าง ก็เสร็จเรียบร้อยมีห้องกลางกว้างขวางเป็นที่ประชุม และมีห้องน้อยเฉพาะภิกษุณีอาศัยตามลำพังรูปละห้อง สามีฉันและเศรษฐีหลายคนที่ในกรุง ซึ่งเป็นญาติเกี่ยวข้องหรืออุปัฏฐากแห่งภิกษุณี นำเอาพรมเจียมและข้าวของบางอย่างที่ควรอุปโภคและบริโภคมาถวาย เป็นอันว่าไม่ขาดแคลนในอดิเรกลาภเหล่านี้ แต่ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย ระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่นี้ ได้ล่วงไปราบรื่นตามควรแก่อัตภาพ มีปกติคือบำเพ็ญภาวนา หรือสนทนาไต่ถามข้ออรรถธรรม ตกเพลาเย็นถ้าอากาศโปร่งก็พากันไปฟังธรรมที่พระพุทธเจ้า และบางทีก็มีสาวกมาแสดงในที่ประชุมของเรา
ครั้นสิ้นฤดูฝน ต้นไม้ในป่า ซึ่งเป็นที่ประทับสำราญแห่งพระพุทธเจ้ากำลังแตกดอกออกช่อลออตา พระภิกษุภิกษุณีซึ่งจำพรรษาอยู่ในเสนาสนะของตน ต่างก็มาชุมนุมกันในที่แจ้ง ได้ข่าวอันควรจะอาลัยว่าพระศาสดาเตรียมจะเสด็จจาริกไปยังแคว้นแดนตะวันออก จริงอยู่ไม่มีใครจะนึกหวังว่าพระองค์คงเสด็จประทับอยู่จังหวัดกรุงโกสัมพีตลอดไป และเราก็ไม่บังควรจะเกิดความเสียใจเพราะเหตุนี้
ด้วยประการฉะนี้ ตกเวลาบ่ายนี้ พวกเราพากันไปสู่เทวาลัยพระกฤษณ์เพื่อฟังพระปัจฉิมเทศนาในระยะนี้ ซึ่งบางทีจะนานอีกหลายปีกว่าจะได้ฟังใหม่และทั้งเพื่อจะส่งเสด็จด้วย
พระศาสดาเสด็จจากพระคันธกุฎีมา ประทับยืนอยู่บนขั้นบันไดเทวสถาน ตรัสเทศนาถึงความไม่คงที่แห่งบรรดาสิ่งที่มีความเกิด ตรัสถึงความดับไปแห่งสิ่งทั้งปวงที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้น ตรัสถึงลักษณะความล่วงไปเรื่อย เป็นกระแสน้ำแห่งบรรดารูปและนาม สรรพสังขารธรรมล้วนเป็นของไม่คงที่ เลือกเอาอย่างใจไม่ได้ทั้งนั้น แล้วทรงแสดงให้เห็นว่า ความปรารถนาเพื่อเกิดในภพใหม่ใดๆ ภพนั้น ย่อมไม่ถาวรคงที่อยู่ได้เลย แล้วทรงกล่าวประโยคที่เธอเห็นว่าเป็นการทำลายความหวังเสียหมด แต่ก็เป็นความจริงที่ประจักษ์อยู่ในขณะนี้ คือ "สูงลิ่วไปจนถึงความสว่างไสวอันล้ำเลิศแห่งสวรรค์ มีเกิดแล้วก็มีดับ" จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคตนั้นแลย่อมดับเสียกระทั่งรัศมีมหาพรหม"
พระสาวกองค์หนึ่ง ได้ประกาศแก่เราเหล่าภิกษุณีว่า เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วให้เราเข้าไปเฝ้าถวายอภิวาทคราวละคน เพื่อรับพระพุทธวจนะสำหรับเป็นเครื่องมือใส่ใจภาวนาต่อไปในเบื้องหน้า ส่วนตัวฉันมีอาวุโสน้อยจึ่งอยู่สุดท้ายแถว เมื่อฉันเข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องพระบาท พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรมาที่ฉัน รู้สึกว่าแววพระเนตรฉายซึ้ง อ่านเข้าไปในดวงจิต พระองค์ตรัสว่า "วาสิฏฐี เราขอให้ภาวนาบทธรรมนี้ไว้คือ ที่ใดมีความรัก ที่นั้นมีความทุกข์" "เท่านั้นหรือพระเจ้าข้า?" "เท่านั้น พอแก่การย์แล้ว" "เมื่อข้าพระองค์เข้าใจในพระโอวาทนี้ดีแล้ว จะประทานอนุญาตให้ข้าพระองค์จาริกไปเฝ้า เพื่อรับพระโอวาทสูงขึ้นไปอีกได้หรือไม่?" "ถ้าเห็นจำเป็น ก็อนุญาต" "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จะรู้สึกว่าจำเป็นหรือไม่? ก็พระองค์ไม่ใช่เป็นที่พึ่งของพวกข้าพระองค์ดอกหรือ?" "จงถือเอาตนเป็นที่พึ่ง จงถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง เท่านั้น วาสิฏฐี จงทำในใจซึ่งวจนะของเราให้จงดี"
ขณะนั้น พระเจ้าแผ่นดินพร้อมด้วยราชบริพารมากมาย เข้ามาเฝ้าเป็นการส่งเสด็จพระพุทธเจ้า ส่วนตัวฉันถอยออกไปอยู่ที่ชุมนุม ห่างไกลไปทางข้างหลังที่สุด ไม่มีแก่ใจดูเหตุการณ์ที่มีอยู่ต่อไปในเย็นวันนั้น เพราะฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้สึกน้อยใจในข้อที่ได้รับพระโอวาทอย่างง่ายๆ ต่ำตื้น ส่วนภิกษุณีได้รับโอวาทที่มีน้ำหนักในการภาวนาดีกว่านี้ก็มีอยู่หลายท่าน แต่มานึกตรองดูให้ซึ้ง ก็ออกจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าคงมีพระญาณหยั่งเห็นความในใจของฉันอยู่ จึงประทานอนุศาสน์ข้อนี้ เพื่อกำจัดความรักอันเกรอะกรังใจฉันอยู่จริงๆ ให้หมดไป สำนึกได้อย่างนี้ ก็เกิดมานะที่จะภาวนาธรรมข้อนี้ไว้ให้เจนใจ และเมื่อสามารถรู้แจ้งโอวาทนี้ดีแล้ว จะไปเฝ้าทูลขอข้อปฏิบัติใหม่ให้สูงขึ้นไปกว่านี้อีกเมื่อไรก็ได้
ฉันตรองเห็นแน่ชัดอย่างนี้ จึ่งไปส่งเสด็จในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จออกเดินทางจาริก มีพระสาวกหลายองค์เป็นบริวาร รวมทั้งพระอานนท์ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากคอยปฏิบัติไม่ห่างไกลด้วยองค์หนึ่ง พระอานนท์องค์นี้เคยมีความกรุณาแก่ฉันเป็นพิเศษมาก ฉันจึ่งเสียดายด้วย ดูเหมือนจะเสียดายยิ่งไปกว่าพระสารีบุตรเสียอีก อันที่จริงพระสารีบุตรก็ได้เคยช่วยเหลือแสดงข้ออรรถธรรมอันลึกซึ้ง ให้ฉันฟังเข้าใจได้ง่ายๆ ณ บัดนี้ ฉันเป็นอันว่าอยู่ลำพังตน และต้องพึ่งตนเอง
เมื่อฉันกลับจากบิณฑบาต และกระทำอาหารกิจเสร็จแล้ว ก็ไปสู่ควงไม้ใหญ่กลางทุ่งน้อยในป่า เพื่อถือเอาความวิเวกเจริญภาวนาให้สะดวก ฉันได้ดำเนินการปฏิบัติภาวนาพระโอวาทที่ได้ประทานไว้ ถึงเวลาเย็นกลับสู่ห้องประชุม ให้รู้สึกว่ายังไม่พอใจในผลที่ทำมาตลอดวัน เพราะไม่เข้าใจความหมายในพระพุทธวจนะบทนั้น รุ่งขึ้นอีกวันก็ไปประพฤติสมณธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อสิ้นเวลากลับสู่ห้อง ตอนนี้จึ่งรู้แจ้งในพระพุทธวจนะนั้น ว่ามีความมุ่งหมายไว้อย่างไร
ฉันเชื่อแน่แก่ใจว่า ได้เดินสู่ทางตรงแห่งศานติสุขแล้ว เพราะได้ข่มความรักความอาลัยที่กลุ้มรุมใจทั้งหมดให้เซาลงแล้ว แต่ที่จริง ความรักซึ่งเป็นเจ้าหัวใจหาอะไรมาเปรียบไม่ได้นั้น ไม่ใช่จะยอมหมดหายไปได้ง่าย เมื่อเห็นว่าฉันดำเนินตนอย่างใหม่ มันก็หนีหลบไปอยู่ก้นบึ้งสุดหัวใจชั่วขณะหนึ่ง รอให้จนกว่าจะมีลาดเลาออกมาทำฤทธิ์อีก ความประสงค์ของพระพุทธเจ้าซึ่งทรงรู้แจ้งในข้อนี้คือ รั้งความรักที่ซ่อนเร้นดองหมักในหัวใจออกมาให้เด่น แล้วพยายามประหารมัน ขยี้มัน กำจัดมันให้จงได้ แต่ทีนี้ ครั้นความรักก็ออกมาเด่นจริงแล้ว กลับทำให้อารมณ์ปั่นป่วนรวนเรหนักขึ้นไปได้ ตกลงการที่จะเอาชนะความรักไม่เป็นการกระทำได้ง่ายๆ เลย
อันข่าวซึ่งไม่นึกคาด คือที่ได้ทราบว่าคนที่รักของฉันหาได้ถูกฆ่าตายไม่ ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกเดียวกับฉัน ณ บัดนี้ เป็นเวลาที่ได้ทราบมาเกินกว่าครึ่งขวบปีแล้ว อดีตอารมณ์ที่ได้เห็นองคุลิมาลว่าเป็นปีศาจขึ้นมาบนลานบ้าน ก็ผุดขึ้นในมโนวิถีของฉันอีก เห็นความคิดแค้นพยาบาท เห็นองคุลิมาลกลายเป็นพระภิกษุ เห็นตัวฉันได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าบังเกิดความเลื่อมใส เห็นความไม่คงที่แห่งสรรพสิ่งในโลก ซึ่งมีเกิดแล้วก็มีตาย อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นแล่นมารวดเร็วโดยลำดับ แล้วหวนกลับมาคิดถึงคู่รักที่ยังมีชีวิตในโลกนี้ แต่ว่าอยู่ห่างไกลกัน บทพระธรรมพุทธโอวาทที่ประทานให้ท่องไว้เลยหายไปหมด!
เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงหรือ? และเขายังคงรักเราอยู่หรือไม่หนอ?
ความผูกใจใฝ่ฝันในปัญหาข้างต้นนี้ ค่อยๆ เพิ่มกำลังความรัก ความคิดถึง กลุ้มรุมใจยิ่งขึ้น แล้วก็จืดจางการบำเพ็ญภาวนาลง หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องรัก เลยไม่มีทางบรรลุความเห็นแจ้ง ซึ่งความดับทุกข์ตามความมุ่งหมายเดิม
อาการรัญจวนป่วนปั่นนี้ คงไม่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ น่าจะปรากฏให้เพื่อนภิกษุณีเห็นถึงกับโพนทะนากันว่า- "ภิกษุณีวาสิฏฐี เดิมเป็นภริยาประธานมนตรี ซึ่งพระสารีบุตรผู้เคร่งครัดในพระวินัย สรรเสริญอยู่เนืองๆ ว่าเป็นผู้มีเชาวน์ปัญญาดี เข้าใจข้ออรรถธรรมอันลึกซึ้งได้ฉับไว บัดนี้สิไม่สามารถยึดหน่วงเอามาตรว่า พระโอวาทเพียงข้อเดียวและง่ายๆ"
คำครหานี้ ทำให้ฉันเกิดความอับอายจนท้อถอยทอดธุระพรหมจรรย์ ในที่สุดก็เหลือที่จะทนทานต่ออาการที่งุ่นง่านใจอยู่อย่างนี้ ๔๒ ภิกษุณีอาพาธ ในตอนนี้ มีภิกษุมาแสดงธรรมแก่พวกเราสัปดาห์ละครั้ง ล่วงมาสักหน่อยก็ถึงเวรพระองคุลิมาลมาแสดง ฉันไม่ได้ไปห้องประชุมในคราวนี้ เป็นแต่นอนแซ่วอยู่ในห้องของตน และขอร้องภิกษุณีเพื่อนข้างห้องบอกแก่พระองคุลิมาลว่า วาสิฏฐีภิกษุณีอาพาธมาฟังธรรมที่ห้องประชุมไม่ได้ เมื่อเสร็จแสดงธรรมแล้ว นิมนต์ไปโปรดวาสิฏฐีในห้องเป็นพิเศษด้วย
สักครู่ใหญ่ พระองคุลิมาลก็มา เมื่อทักทายไต่ถามอาการตามธรรมเนียมแล้วท่านก็นั่งลง
ฉันพูดว่า "ที่ท่านมาเห็นอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาพบ คือ ภิกษุณีป่วยเพื่อเหตุความรัก และที่ป่วยครั้งนี้ ก็เพราะท่านเป็นต้นเหตุกระทำผิดไว้ที่พรากคู่รักเขาให้จากกันไป จริงอยู่ ตัวท่านก็เป็นผู้นำฉันมาหาแพทย์อันประเสริฐให้รักษาโรคใจที่มีอยู่แล้ว แต่ถึงพระพุทธองค์เป็นแพทย์วิเศษ ก็ไม่สามารถจะทรงบำบัดโรคของฉันให้หายขาดลงไปได้ด้วยลำพังอำนาจพระองค์ แต่พระองค์ทรงทราบด้วยพระปรีชาญาณในเรื่องนี้ได้ดี จึ่งประทานโอสถแก้โรคไว้ให้ฉันรักษาเอาเอง โดยอาศัยให้โรคนั้นเกิดขึ้นจนถึงขีดหนัก จะได้กำจัดมันถนัดมือ แต่ความจริงผลกลับเป็นเช่นท่านเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ไข้รักมีกำลังเพียบสุดวิสัยที่ฉันจะให้บรรเทาได้ ฉันจึ่งต้องการเตือนถึงสัญญาที่ท่านออกปากให้ไว้มาครั้งหนึ่งคือ ในคืนที่ท่านชวนให้เป็นพรรคพวกสมรู้ร่วมคิดการทุจริต แต่ความคิดต้องเลิกล้มไปเพราะพระบรมศาสดาเป็นเหตุ ในครั้งนั้น ท่านสัญญาว่า จะไปถึงกรุงอุชเชนีเพื่อนำข่าวกามนิตมาให้ทราบ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือประการไร ข้อที่นายโจรในครั้งหนึ่งได้ให้สัญญาไว้ ณ บัดนี้ฉันต้องขอเรียกร้องจากพระภิกษุให้ทำตามสัญญานั้น เพราะฉันอยากจะทราบแทบใจจะขาด ว่ากามนิตเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ได้ดำเนินตนอย่างไร ตราบใดยังไม่ทราบความเหล่านี้ให้แน่ใจ ตราบนั้นจะไม่มีแก่ใจเปลี่ยนเรื่องคิดเป็นอย่างอื่น ทั้งจะเป็นเหตุมิให้ฉันมีน้ำใจคืบบำเพ็ญพรหมจรรย์ เพื่อความพ้นทุกข์ต่อไปแม้แต่ก้าวเดียว เพราะฉะนั้น จึ่งสมควรเป็นหน้าที่ของท่านจะกรุณาจัดการเรื่องนี้ให้ฉันฟื้นจากโรคคลุ้มคลั่งใจ โดยนำข่าวที่ต้องการมาบอกให้ทราบบ้าง เท่ากับได้เสพคิลานปัจจัยวิเศษขนานหนึ่ง”
พอฉันพูดดั่งนี้แล้ว พระองคุลิมาลก็ผุดลุกขึ้นบอกว่า- "เมื่อต้องการเช่นนั้น ก็จะจัดการให้" กล่าวแล้วก็ก้มศีรษะเดินออกประตู ตรงไปห้องตนเข้าเครื่องบริขารมีบาตรเป็นต้น และในชั่วโมงเดียวกันนั้น พระองคุลิมาลดุ่มออกจากป่าประดู่ลายไป ซึ่งใครๆ เข้าใจว่าคงจาริกโดยเสด็จพระพุทธเจ้า แต่ฉันผู้เดียวที่ทราบความจริง
เมื่อเริ่มจัดการตามที่นึกหมายไว้นี้แล้ว อารมณ์ที่พลุ่งพล่านค่อยเบาบางลง อันที่จริงควรจะฝากความคิดถึงไปยังคู่รัก แต่มานึกอีกทีก็ออกจะเกินไปไม่บังควรจะใช้พระภิกษุในทางเช่นนั้น อย่างไรก็ดี เมื่อพระองคุลิมาลไปสำเร็จประสงค์ไปพบปะกามนิต ฉันก็นึกหวังอยู่ว่าท่านคงใช้ปัญญาตามกาลเทศะบอกเรื่องคู่รักให้ทราบด้วยเป็นแน่
"ฉันจะไปกรุงอุชเชนีเอง และจะพาตัวกามนิตมาให้ได้ ไม่ให้มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง" ถ้อยคำเหล่านี้ยังสะเทือนดวงใจฉันอย่างแรง พระองคุลิมาลจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งยังเป็นโจรไหมหนอ? ทำไมท่านจะไม่ทำตามสัญญา ถ้าท่านเห็นว่าเป็นความจำเป็น ที่เราทั้งสองควรจะได้พบปะพูดจากัน? เมื่อเกิดความคิดใหม่ขึ้นอย่างนี้ ก็นึกเห็นเป็นความหวังอย่างที่ไม่เคยฝันขึ้น มีอาการเผลอเหม่องงงวย แล้วชักกระหยิ่มในใจ หากคู่รักของฉันได้มาเห็นหน้า ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะกีดขวางมิให้ลาเพศภิกษุณีไปเป็นภริยาเขา
เมื่อยิ่งนึกคึกคักใจเตลิดจนลอยเหลิง ความเริงอารมณ์ยิ่งกำเริบในดวงจิต โลหิตฉีดขึ้นหน้าเพราะละอายใจ ยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง กลัวจะมีใครในขณะนั้นมาสังเกตเห็นจะเกิดเป็นการอดสูไม่น่าดู เป็นทีว่าอาศัยผ้าเหลืองเป็นสะพานจากการแต่งงานที่ปราศจากความรัก ข้ามไปสู่การแต่งงานซึ่งมีความรักอย่างดูดดื่ม อาการของฉันนี้อาจเป็นปัจจัยให้คนอื่นตีความหมายไปได้หลายสถาน แต่เมื่อสำเร็จแล้วตามประสงค์ ใครจะเห็นอย่างไรก็ไม่น่าจะปรารมภ์ เพราะเป็นอุบาสิกาที่มีความศรัทธามั่นคงในคณะสงฆ์ ก็ยังดีกว่าเป็นภิกษุณีในคณะสงฆ์ ซึ่งมัวคิดพล่านแต่นอกหน้าที่ ถ้าพระองคุลิมาลนำข่าวมาบอกได้มั่นเหมาะว่ากามนิตของฉันยังมีชีวิตอยู่ และได้ทราบความจากการที่พระองคุลิมาลกับคู่รักของฉันได้พบปะสนทนากัน ว่าเขายังซื่อตรงในความรักที่มีต่อกันอยู่ ฉันก็อาจไปกรุงอุชเชนีได้แน่แท้ เมื่อเพลิดเพลินในความคิดอันถูกอารมณ์เรื่อยเจื้อยเช่นนี้ เลยเกิดเป็นภาพขึ้นในดวงจิต ว่าเช้าวันหนึ่งฉันเดินทางจาริกไปถึงกรุงอุชเชนี ไปยืนรับอาหารบิณฑบาทหน้าประตูบ้านเธอ เธอออกมาใส่บาตรแล้วก็จำฉันได้ ต่างคนมีความปลาบปลื้มเหลือที่จะกล่าว แล้วก็.....!
อันที่จริงระยะทางไปถึงกรุงอุชเชนีนั้นไกลมาก ไม่สมควรที่ภิกษุณีจะไปโดยลำพังแต่การที่จะแสวงหาเพื่อนเดินทาง ก็ไม่เป็นการยากเย็นอะไร เพราะในระหว่างที่คิดวุ่นว้าใจอยู่นี้ โสมทัตต์เกิดมีอันถึงแก่ความตายไปอย่างอนาถ กล่าวคือ เป็นนักเลงสกา หลงใหลเล่นสกาจนทรัพย์สมบัติย่อยยับหมดตัว แล้วก็ไปโจนน้ำตายที่ในแม่คงคา เมทินีเสียใจโศกเศร้าเป็นอันมาก ในที่สุดถวายตัวออกบรรพชาเป็นภิกษุณี ที่เมทินีเป็นภิกษุณี ไม่ใช่เพราะมีศรัทธาเลื่อมใสนัก ทั้งความเป็นภิกษุณี ย่อมเข้ากรอบวินัยเข้มงวดมาก ที่ออกบรรพชา ก็ประสงค์จะมาอยู่ใกล้ฉัน เพราะเราทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว และฉันเชื่อว่า ถ้าเปิดเผยความลับเรื่องจะไปกรุงอุชเชนี ก็คงยินดีไปด้วย หรือยิ่งกว่านั้น ถึงจะไปจนสุดโลก เมทินีก็คงพอใจไปด้วย อันที่จริงเมื่อเมทินีมาอยู่ด้วย ทำให้ฉันมีใจกระตือรือร้นขึ้นอีกมาก ส่วนฉันก็ช่วยโลมเล้าใจให้สร่างคลายทุกข์โศกที่ต้องเสียสามีไป
ครั้นถึงเวลาใกล้เข้ามา ที่พระองคุลิมาลบอกกำหนดกลับ ฉันไปคอยรับที่ชายป่าทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ทุกเวลาบ่าย ไปนั่งอยู่บนเนินดินใต้ต้นไม้ใหญ่ใบงาม เพื่อจะได้มองดูไปตามถนนได้ไกล เพราะพระองคุลิมาลจะต้องมาทางนั้น และคาดว่าท่านคงกลับถึงในตอนเย็น
ฉันเพียรตั้งตาคอยอยู่หลายเวลา ถ้าจำเป็นจะต้องเฝ้าคอยกันตั้งเดือนก็ยินดี พยายามเทียวไปจนถึงวันที่แปด เมื่อพระอาทิตย์จะตกต่ำอยู่แล้ว ฉันป้องหน้ามองไปเห็นคนเดินเข้ามาทางป่าได้แต่ไกล บัดเดี๋ยวนี้ก็แลเห็นแววผ้าเหลือง เมื่อผู้เดินทางคนนั้น สวนทางกับคนตัดไม้ซึ่งกำลังจะกลับบ้าน สังเกตว่ารูปร่างขนาดสูงใหญ่ผิดปกติก็จำได้ทันทีว่า ผิดจากพระองคุลิมาลแล้ว ไม่มีใครที่มีรูปร่างอย่างนี้ ท่านมิได้พากามนิตของฉันโดยไม่มีภัยอันตรายอย่างไดมาด้วยกับท่าน แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าท่านรับรองและบอกได้ว่าคนที่ฉันรักยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็พยายามไปหาเขาเองได้เหมือนกัน
เมื่อพระองคุลิมาลมาถึง ครั้นจะตรงถามเอาแต่เรื่องของตนก็นึกกระดาก จึ่งจำเป็นใจเย็นทักทายปราศรัยถึงการเดินทางก่อน
พระองคุลิมาล เล่าว่า "ในการจาริกนั้นแม้ทางจะไกลถึงไหนก็ตาม ฉันเคยบุกป่าฝ่าดง ผ่านคามนิคมชนบทราชธานีโดยอาชีพปล้นสะดมมาจนชินแล้ว จึ่งมิได้ย่อท้อปลกเปลี้ยเลยทั้งขาไปและขากลับ แต่ข้อที่ลำบากตามทางอยู่บ้างนั้น คือ อาหาร เพราะเป็นทางกันดาร กว่าจะได้พบบ้านแต่ละหมู่แต่ละหลังคาเรือนเป็นการยาก แล้วมิหนำซ้ำบางบ้านเมื่อเห็นท่าทางจะใจบุญ ฉันได้ไปยืนบิณฑบาตที่หน้าบ้าน เจ้าบ้านก็ใจบุญจริงอย่างคาด ถืออาหารออกมา พอสังเกตจำหน้าฉันได้ก็ตกใจผวากลับ ปิดประตูบ้านหับประตูเรือนขัดลิ่มตอกสลักโครมคราม เตรียมป้องกันอย่างตื่นเต้นเป็นเช่นนี้ บางวันก็อดเลย จะได้อาหารบ้างก็จากผู้ไม่รู้จักฉันเท่านั้น คราวหนึ่งเกิดเหตุโกลาหลใหญ่ ฉันไปยืนที่หน้าบ้านผู้มีอันจะกินห่างประตูสัก ๖-๗ ก้าว เด็กๆ ในบ้านแลเห็นก็เดินอ้อมไปทางหลังเรือน ซึ่งฉันเหลือบเห็นตามรั้วไม้โปร่งช่องหนึ่ง คะเนว่าคงไปบอกให้ผู้ใหญ่ทราบ สักครู่หญิงครรภ์แก่คนหนึ่งถือภาชนะอาหารเปิดประตูบ้านเดินตรงออกมา จะใส่บาตร พอเข้าใกล้จำหน้าฉันได้ดีก็เสียขวัญหน้าซีดเผือดลงทันที ร้องกรีดตะโกนจนสุดเสียงว่า "องคุลิมาล!" ได้เพียงคำเดียวแล้วต่อไปพูดไม่ออก ยืนตะลึงงันสิ้นสติ ต่อภาชนะอาหารหล่นจากมือลงโครมแตกกระจาย จึ่งตื่นจากจังงัง ผลัวะผละหันหลังกลับ ออกได้วิ่งเต็มฝีเท้า คราวนี้หาเข้าทางประตูที่ออกมาไม่ ไพล่เข้าไปทางช่องรั้วนั้น พุ่งหัวปักลงข้างในสองมือยันดิน ติดท้องอยู่ครึ่งตัว เท้าทั้งสองเชิดดิ้นถีบลมกระแด่ว ๆ ฉันสงสารเป็นอย่างยิ่ง จะเข้าไปช่วยแหวกช่องรั้วให้ก็กลัวจะตกใจดีฝ่อหนักขึ้น ไม่เห็นทางอื่น นอกจากวิธีที่ฉันเคยนับถือว่าขลังนัก กล่าวคือ ทำสัจกิริยา ได้ตั้งสัจจาธิษฐานดังๆ ให้ได้ยินว่า
ยโต, หํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา, เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ สพฺภสฺส.
พอสิ้นเสียงสัจจาธิษฐาน๑ ลูกก็ผลุดจากครรภ์โดยสวัสดิภาพ๒ แม่ก็หายตกใจมีขวัญอยู่กับตัวเป็นปกติ ย้อนออกมาไหว้ฉันด้วยมือสั่นๆ ยังไม่สู้ไว้ใจนัก ขมีขมันอุ้มลุกเข้าไปทางประตู ฉันต้องเลยไปบิณฑบาตข้างหน้า...."
เมื่อพระองคุลิมาลกำลังเล่าการเดินทางเพลินอยู่ ฉันขอลัดตรงไปถามข่าวคราวคู่รัก เพราะไม่เป็นอันฟังเรื่องอื่นๆ ใจร้อนจ้องจ่ออยู่แต่เรื่องที่อยากทราบทุกขณะจิต หัวใจเต้นแรงด้วยกำลังยินดีจะได้ข่าวระคนกับวิตกไม่สมหวัง
องคุลิมาล บอกว่า "กามนิตยังมีชีวิตดีอยู่ เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก ฉันได้พบกับเขาด้วยตนเอง" ท่านเล่าให้ฟังต่อไปว่า เช้าวันหนึ่งเมื่อไปถึงบ้านเธอ ซึ่งเป็นคฤหาสน์ใหญ่ไพศาล พวกภริยาเธอออกมาด่าว่าท่านเปิงๆ แล้วเธอออกมา ไล่ภริยากลับเข้าบ้าน วิงวอนขอโทษท่านต่างๆ ต่อไปท่านเล่าเรื่องโดยตลอดอย่างละเอียด เหมือนที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ท่านเล่าเสร็จแล้ว ก็ก้มศีรษะหันกลับไปอีกทางหนึ่ง แต่มิได้เข้าไปในป่าประดู่ลาย ฉันประหลาดใจ ถามทันทีว่า ไม่เข้าไปวัดดอกหรือ
ท่านตอบว่า "ฉันได้จัดการตามที่ต้องการให้ฉันทำสำเร็จผลเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว เป็นอันได้เปลื้องปฏิญญา และไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องกีดขวางแก่การที่ฉันจะเดินทางไปทิศตะวันออก ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้าสู่กรุงพาราณสี และกรุงราชคฤห์ ซึ่งฉันคงจะติดตามไปจนพบพระองค์"
พอพูดจบ พระภิกษุผู้มีกำลังพลกายเป็นพิเศษก็มิได้หยุดพักอีกต่อไป รีบรุดออกเดินสาวก้าวยาวมุ่งหน้าไปตามทางในชายป่า
ฉันจ้องดูพระองคุลิมาลอยู่เป็นนาน ดวงตะวันในเวลาเย็นจวนจะตก ฉายกายท่านเป็นเงายาวไปทางไหล่เขา ซึ่งอยู่ข้างหน้าเป็นทิวพืดจนจดขอบฟ้า ดูประหนึ่งว่ามีใจอันเร่งร้อนออกไปก่อนกายที่เดินตามไปไม่ทัน ส่วนตัวฉันยืนตะลึงอ้างว้าง ไม่มีจุดความมุ่งหมายที่จะส่งความคิดไปที่ไหนแม้แต่น้อย
หัวใจฉันหมดหวังเสียแล้ว คราวนี้ใฝ่ฝันไว้เป็นอันสิ้นไปแล้ว ที่ได้ยินนักพรตผู้หนึ่งกล่าวว่า "มุมบ้านของหญิงปากร้ายก็คือความเป็นไปของครอบครัว" ความข้อนี้เข้าไปปรากฏในดวงใจอันเหี่ยวแห้ง ตรึกนึกทบไปทวนมาอยู่หลายหน ความรักของฉันอยู่บนลานอโศกอันงามภายใต้ดวงดาวและแสงเดือน ฉันคงไม่โง่พอที่จะแร่ไปหาความเป็นอยู่แห่งครอบครัวในกรุงอุชเชนี เพื่อพร่าเกียรติยศลงเกลือกกลิ้งทะเลาะกับหญิงปากร้ายภริยาเธอ
ฉันคลานกลับไปสู่ห้องด้วยความลำบาก ไปถึงก็ละเหี่ยหมดกำลัง นอนทอดอาลัยอยู่บนที่นอน ความหวังที่มุ่งหมายไว้อย่างปลาบปลื้มมาพลันละลายไปในทันทีทันใด ดั่งนี้เหลือวิสัยที่จะหาอะไรมาต้านทานพิษไข้ใจ ซึ่งรุมรึงอยู่แล้วมิให้กำเริบขึ้น เมทินีอุตส่าห์ประคับประคองพยาบาลฉันซึ่งกำลังเจ็บหนักอยู่ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน นับว่ามีน้ำใจรักใคร่ฉันจริงๆ การพยาบาลเป็นอย่างดีของเมทินี และที่คอยเล้าโลมเอาใจอยู่เสมอ กระทำให้ฉันสงบความทุกข์โศกปฏิฆะมีอารมณ์เป็นปรกติดีขึ้น เป็นเครื่องช่วยให้ไข้และความเจ็บปวดสร่างเบาไปตามด้วย ฉันเกิดมีความคิดเห็นขึ้นใหม่ที่จะจาริกเดินทางไปอีกทางหนึ่ง ไม่ใช่ทางที่ฉันขอร้องให้พระองคุลิมาลไป แต่เป็นทางเดียวกับที่พระองคุลิมาลไปเองก่อนหน้านั้นแล้ว ฉันจะโดยเสด็จตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้า จนกว่าจะพบพระองค์ ฉันยังจะไม่รู้สำนึกอยู่อีกหรือ ว่าถ้าความรักยังหนาแน่นมาก ความทุกข์โทมนัสก็ยิ่งทับถมหนักด้วย และด้วยเหตุฉะนี้ ฉันนึกหวังว่าเมื่อตามไปจนได้เฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์คงจะทรงพระกรุณาประทานความมีชีวิตใหม่ให้แก่ฉัน เพื่อสามารถรีบเร่งถอนตนดำเนินไปสู่วิมุตติหลุดพ้นจากความอาลัยพัวพันในโลก
ฉันบอกความดำริไว้นี้แก่เมทินี เขาก็เห็นพ้องต้องใจด้วย โดยฉันเองก็ไม่นึกคาดว่าจะง่ายถึงเช่นนั้น เพราะดูเขาปีติยินดี ถึงกับเขียนภาพไว้ในใจคล้ายเด็กๆ ว่าจะได้ร่อนเร่ไปในแดนต่างๆ ตามอำเภอใจ เสมือนนกที่ถือเอาอากาศเป็นทางโคจรไปแดนประเทศไกล ตามฤดูกาลโดยเสรีภาพ
แต่การที่ตกลงจะไปนี้ ต้องรอจนกว่าฉันจะหายเป็นปกติมีแรงพอเสียก่อน แต่ครั้นค่อยมีกำลังวังชาขึ้นบ้าง ก็พอดีถึงฤดูฝน ต้องเลื่อนเวลานานออกไปอีก
ในคราวที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาท้ายฤดูฝนพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นถึงเดือนสุดท้ายในฤดูฝน ตะวันฉายแสงกำจัดเมฆที่อุ้มน้ำไว้ให้กระจายหายไป แล้วแผดรัศมีอยู่สูงกลางโพยมเผาหมอกหมดสิ้นไป ปรากฏความสว่างจ้ามีอุปมาฉันใด ความมีชีวิตอยู่เป็นภิกษุสงฆ์ก็มีอุปไมยฉันนั้น"
ครั้นสิ้นฤดูฝนแล้ว เราสองคนออกจากสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์ที่อยู่ทางประตูโกสัมพี เลี้ยวไปทิศตะวันออก มุ่งทางซึ่งปานประหนึ่งดวงสุริยะในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ องค์พระบรมศาสดาสถิตอยู่๑ สัจจาธิษฐานนี้ โบราณนับถือว่าเป็นมนต์ขลังบทหนึ่ง ใช้เสกน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์ดื่มเสมอบ้าง เสกแล้วเป่าบนกระหม่อมหญิงผู้เจ็บครรภ์บ้าง และรวมเข้าไว้ในบทสวดมนต์ เรียกว่า องคุลิมาลปริตร สำหรับสวดในการมงคล เช่นขึ้นบ้านใหม่ หรือแต่งงานเพื่ออำนวยสวัสดีแก่แม่เจ้าเรือน ๒ สถานที่ตรงนี้ พระโบราณาจารย์ว่าเป็น กัปปัฏฐายิมหาเดช คือที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์ตลอดกัลป์ หญิงมีครรภ์ไดได้ไปที่นั่นก็คลอดลูกสะดวกดาย สุขสบายทั้งแม่ทั้งลูกทุกรายc-correct 28 - 13/7/58
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2558 16:01:34 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2558 13:38:50 » |
|
."ถึงหากพระพุทธเจ้าจะเสด็จข้ามขุนเขานั้น เพื่อไปสู่ภูมิแดนอันสูงสุดถึงไหนก็ตาม ฉันเป็นขอตามเสด็จไปให้พบจนได้"๔๓ มหาปรินิพพาน ฉันยังมีกำลังน้อยอยู่ เดินทางไกลเรื่อยทุกวันไปไม่ไหว จำเป็นต้องหยุดพักในบางวัน เพราะฉะนั้นจึงรอนแรมมาตั้งหนึ่งเดือน กว่าจะถึงเมืองเวสาลี ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่เมืองนี้ช้านาน แต่ได้เสด็จออกจากเมืองไปเมื่อล่วงมาสักหกสัปดาห์นี่เอง
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ได้ยินข่าวจากชาวบ้านตำบลหนึ่งซึ่งเป็นพุทธบริษัทว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานนิพพานเสียแล้ว เมื่อมาได้ทราบข่าวพระอัครสาวกทั้งสองซึ่งเรานับถือว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในลัทธิธรรม ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ต่อไปแล้ว ใจก็สลดผอยลง อันที่จริงมิใช่รู้ว่า พระอัครสาวกหรือองค์สมเด็จพระศาสดา ก็มีพระกายพระชีพเป็นมนุษย์อย่างเรา แต่เรื่องที่ว่าจะต้องละโลกนี้ไปเป็นธรรมดา เราไม่ได้เคยนึกถึง พระสารีบุตรซึ่งเป็นผู้เคยอธิบายข้ออรรถธรรมอันลึกซึ้งให้ฉันฟังเข้าใจแจ่มแจ้งอยู่บ่อยๆ นิพพานเสียแล้ว ท่านมีรูปลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้ามาก และมีชนมายุได้แปดสิบพรรษา เสมอด้วยพระชนมายุพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธองค์จะมิจวนเสด็จปรินิพานอยู่แล้วหรือ?
บางทีจะเป็นเพราะความไม่สบายใจที่คิดวิตกไปอย่างนี้ โรคเรื้อรังในกายซึ่งยังไม่หายขาด กลับกำเริบขึ้นอีก จะอย่างไรก็ตาม ยังพยายามมาถึงเมืองเวสาลีได้ แต่ทว่ามีอาการเหนื่อยอ่อนทรุดลง ในเมืองเวสาลีมีเศรษฐินีคนหนึ่ง เป็นพุทธบริษัทรับอุปัฏฐากเป็นพิเศษแก่บรรดาภิกษุภิกษุณี ที่จาริกผ่านมา เมื่อได้ทราบว่าภิกษุณีอาพาธเดินทางมาถึงนางก็รีบไปหาทันที นำเมทินีและฉันไปพักที่บ้าน ช่วยเหลือพยาบาลอย่างเต็มใจด้วยความเลื่อมใส
ฉันรู้สึกในความกรุณาแห่งเศรษฐินีผู้นี้เป็นอันมาก ต่อมาไม่ช้าฉันแสดงความในใจให้ฟังถึงเรื่องวิตกว่า พระพุทธเจ้าก็มีพระชนมายุเท่ากับพระสารีบุตร จะมิจวนเสด็จปรินิพพานเข้าบ้างหรือ?
พูดถึงเรื่องนี้ เศรษฐินีคนนั้นก็ร้องให้น้ำตาไหล ตอบออกมามีเสียงกระเส่าสะอื้นว่า- "ท่านยังไม่ทราบ เมื่อสองเดือนล่วงมา ครั้งพระองค์ยังเสด็จประทับอยู่ในเมืองเวสาลีนี้ ทรงพระปรารภว่าจะเสด็จปรินิพพาน ในกำหนดราวสามเดือนข้างหน้า ขอให้คิดดูเถิด ถ้าพระอานนท์มีเชาวน์แล่นพอ และกล่าวคำในขณะที่ควรกล่าว เรื่องที่พูดนี้จะไม่เกิดขึ้น และพระพุทธเจ้าก็คงจะดำรงอยู่ต่อไปในโลกนี้จนสิ้นกัลป์"
ฉันถามว่าเรื่องเป็นอย่างไร หญิงนั้นเล่าว่า "เรื่องเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่กับพระอานนท์นอกเมืองนี้ ณ จปลเทวาลัย* ในขณะสนทนากัน มีพระพุทธฎีกาว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ประการบริบูรณ์แล้ว หากมีความปรารถนาก็ย่อมอยู่ในโลกนี่ได้จนสิ้นกัลป์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสโอกาสอย่างนี้ ถ้าพระอานนท์จะปรารภเหตุอาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในโลกจนตลอดกัลป์ก็จะได้ แต่จะเป็นด้วยถูกพญามารเข้าครอบงำหรืออย่างไรไม่ทราบ ท่านจึ่งไม่ปรารภเรื่องนี้แต่ก่อนเสียเลย มัวรีรอมาจนพ้นเวลาเสียแล้ว"
ฉันถามว่า "รู้ได้อย่างไรว่าพ้นเวลามาเสียแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังดำรงพระชนม์อยู่?"
นางตอบว่า "เรื่องเป็นดั่งนี้ เมื่อห้าสิบปีที่ล่วงมา ครั้งพระองค์แสวงหาวิโมกษธรรม ณ อุรุเวลา ท่านทำทุกรกิริยาเป็นเวลาถึงเจ็ดปี จนบรรลุโพธิญาณตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขอยู่ควงไม้นิโครธของนายอัชบาล พญามารวุ่นว้าใจ เกรงอำนาจตนจะเสื่อมถอย ก็มาทำการกีดขวางเพื่อมิให้ประกาศพระอมฤตธรรม ได้กราบทูลว่า "พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ บัดนี้ก็สำเร็จมโนประณิธานแล้ว และจะกระทำประโยชน์แก่สัตว์โลกให้ลำบากพระกายไปใยเล่า ขอเชิญเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเสียเถิด" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนมารผู้ใจบาป ต่อเมื่อบริษัทของตถาคตคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เป็นพหูสูตอันฉลาดอาจทรงไว้ได้ซึ่งพระธรรมวินัย แล้วปฏิบัติศึกษาเล่าเรียนบอกกล่าวสืบต่อกันไป และสำแดงธรรมเทศนาโปรดเวไนยนิกรสัตว์เทวดามนุษย์ให้สำเร็จมรรคผลลุอมฤตมหานิพพานได้ ยังศาสนมรรคพรหมจรรย์ให้แผ่ไพศาลไปทั่วโลกธาตุแล้ว ตถาคตจึ่งรับอาราธนาเข้าสู่พระปรินิพพานในกาลเมื่อนั้น"
"เมื่อพระพุทธเจ้ายังประทับอยู่ในเมืองนี้ ได้ตรัสสนทนากะพระอานนท์อย่างที่เล่าให้ท่านฟัง แต่พระอานนท์มิได้เฉลียวใจ กราบทูลให้เสด็จอยู่ในโลกต่อไป และยังออกไปอยู่เสีย ณ วิเวกสถานรุกขมูลแห่งหนึ่งในภายนอก ขณะนั้นพญามารได้โอกาสก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลเตือนว่า-
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะเสด็จเข้าพระปรินิพพานดั่งที่ได้ตรัสไว้แต่ปางก่อนภายใต้ควงไม้นิโครธของนายอัชบาล ณ อุรุเวลา ว่าจะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานนั้น เพราะพระศาสนธรรมก็ถึงซึ่งความมั่นคงแล้ว ข้าพระองค์หวังว่าจะได้เสด็จสู่พระปรินิพพานเสียแต่บัดนี้" พระพุทธองค์จึ่งตรัสตอบพญามารว่า "ดูก่อนมารใจบาป ท่านไม่ควรวิตก แต่นี้ไปอีกสามเดือน เราตถาคตจะปรินิพพาน"
"เมื่อตรัสดั่งนี้ แผ่นดินก็ไหว ซึ่งบางทีท่านคงจะสังเกตรู้มาบ้างแล้ว"
ความจริง เมื่ออยู่กรุงโกสัมพี ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางมาราวหนึ่งเดือน เราก็รู้สึกว่ามีแผ่นดินไหวที่นั่นแต่เบาๆ จึ่งได้กล่าวรับรอง
หญิงนั้นพูดต่อไป มีอาการอันตื่นเต้นว่า "เห็นหรือไม่ ท่าน? หวั่นไหวไปทั่วทุกแห่ง ทวยเทพตกตะลึงโทมนัสในเหตุที่พระองค์ทรงรับคำมาร ที่จะไม่เสด็จอยู่ในโลกต่อไป น่าเสียใจ! ถ้าพระอานนท์ไหวทันชิงทูลอาราธนาเสียก่อนหน้ามาร ก็จะไม่เป็นอย่างนี้ ครั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวแล้วซิ ท่านจึงรู้สึกกราบทูลปรารภเหตุขอให้ดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป แต่พระองค์ทรงปฏิเสธเสีย"
ตามคำบอกเล่าของเศรษฐินีผู้มีศรัทธา แต่กระเดียดไปในทางเหตุศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างดั่งนี้ เป็นอันได้ความว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังประทับอยู่ในเมืองเวสาลี ทรงรู้สึกพระองค์ว่าจวนจะปรินิพพานแล้ว และคงจะทรงแจ้งเรื่องนี้แก่บรรดาพระสาวก เพราะฉะนั้น ฉันจะรอช้าอยู่ในบ้านหญิงใจดีนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จะต้องรีบไปเฝ้าให้ทันเวลาก่อนปรินิพพานให้จงได้ ความมุ่งหมายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เพราะมีแต่พระองค์เท่านั้นที่อาจทำลายความพลุ่งพล่านเดือดร้อนในดวงจิตได้ มีแต่พระองค์เท่านั้น ที่สามารถประทานความสุขสงบใจคืนมาได้ คือความสุขสงบใจอย่างที่ฉันรู้สึกมาแล้วครั้งที่ได้เฝ้าอยู่แทบพระบาท ณ เทวาลัยเก่าพระกฤษณ์ในป่าประดู่ลายกรุงโกสัมพี แต่ขณะนี้เสื่อมหายไปแล้ว
ด้วยประการฉะนี้ เมื่อล่วงมาได้สิบวันพอฉันมีกำลังพอจะเดินทางได้ต่อไป เราก็ออกเดินทาง เจ้าของบ้านใจดีไม่เต็มใจจะให้ไป เพราะเห็นว่าฉันยังกะปลกกะเปลี้ยอยู่ แต่ฉันรับรองให้หายวิตกว่าไม่เป็นไร และสัญญาว่า เมื่อได้เฝ้าแล้ว จะกราบทูลถึงที่แกขอถวายอภิวาทมาแทบพระบาทด้วย เราได้เดินมุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สืบถามทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโดยลำดับ
ครั้นไปถึงอัมพคน๑ ได้ทราบว่า ได้เสด็จออกจากที่นั้นไปแล้วราวแปดวัน ครั้นตามไปถึงป่ารัง๒ เมืองโภคนคร ก็ได้ทราบว่าเสด็จไปเมืองปาวา ก่อนหน้าที่เราไปถึงโภคนครได้สามวัน เพลาบ่ายลงนิดหน่อยในวันหนึ่งเราถึงเมืองปาวา ระทวยใจเหนื่อยอ่อนเต็มที
บ้านแรกที่เราพบ เป็นบ้านนายช่างทองแดง๓ เห็นเครื่องภาชนะรูปพรรณ ที่ทำขึ้นไว้เรียงอยู่ตามผนังห้องมากมายหลายอย่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงสูบเป่าแล่น ดูเหมือนคนในบ้านหยุดพักในเวลาตรุษสารทอะไรอย่างหนึ่ง ที่บ่อในบริเวณบ้าน พวกคนใช้กำลังล้างชามจานกันอยู่ ท่าทางมีพิธีแต่งงานเพิ่งจะเสร็จไปใหม่ๆ
ทันใดนั้น มีชายร่างเล็กนุ่งห่มผ้าใหม่เข้ามาขอทำบุณย์ใส่บาตร และพูดแถมว่า "ถ้าท่านมาเร็วกว่านี้สักสองสามชั่วโมงก็จะเป็นการดี ได้มีโอกาสต้อนรับ เพราะพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก เสด็จประทับเสวยพระกระยาหารที่บ้านข้าพเจ้าในวันนี้"
"เช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็ยังเสด็จอยู่ในเมืองปาวากระมัง?" "หามิได้ เมื่อเสวยเสร็จ ก็ประชวรมีพระอาการเจ็บปวดเป็นที่สุด เกือบจะทรงวิสัญญี ทำให้ข้าพเจ้าและคนอื่นๆ ตกใจกันอลหม่าน แต่แล้วก็ฟื้นพระองค์และเสด็จไปถึงเมืองกุสินาราเมื่อสักชั่วโมงล่วงมานี้เอง"
ฉันสมัครจะรีบตามไปทันที เพราะตามคำบอกเล่าของนายช่างทองแดงถึงเรื่องประชวร ก็เห็นว่าเป็นที่น่าวิตกมาก แต่จำต้องอยู่บริโภคอาหาร และพักเหนื่อยพอมีกำลังเสียบ้างเล็กน้อยก่อน
ทางจากเมืองปาวาถึงกุสินาราไปมาได้ง่าย ในไม่ช้าเราก็เดินข้ามทุ่งนาตัดป่าหญ้าสูง เมื่อผ่านลำธารสายหนึ่งลงไปชำระสนานกายรู้สึกชุ่มชื่นขึ้น หยุดพักอยู่สักครู่ แล้วเดินทางต่อไป เวลาจวนโพล้เพล้แล้ว ฉันแทบหมดกำลัง เดินอีกไม่ไหว
เมทินีพยายามเอาใจ ชวนให้หาที่พักแรมคืน ณ ควงไม้ในที่อันสูงสักหน่อย บอกว่าไม่จำเป็นจะรีบร้อนหักโหมกำลังให้เกินไปนัก ได้พูดว่า- "ฉันคาดว่า เมืองกุสินาราคงอยู่ไม่ไกลไปกว่าระยะอีกหมู่บ้านหนึ่ง และดูเหมือนเป็นเมืองที่อยู่กลางป่า ไฉนพระพุทธเจ้าจะเลือกเสด็จเข้าปรินิพพานเมืองนี้? พระองค์ควรจะเสด็จปรินิพพานในสวนป่าเชตวัน จังหวัดสาวัตถี หรือไม่เช่นนั้นก็ที่ในสวนป่าจังหวัดราชคฤห์ พระองค์คงจะไม่ปรินิพพานที่เมืองกันดารอย่างนี้ ใครเคยได้ยินออกชื่อเมืองกุสินารากันบ้าง?"
"แต่ประชาชนคงจะได้ยินชื่อเสียงเมืองกุสินาราต่อไปในวันนี้" ฉันพูดตอบแล้วเดินทางต่อไป ในไม่ช้าก็ละเหี่ยหมดกำลัง ต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปบนเนินสูงที่ไม่มีต้นไม้เพื่อชะเง้อดูว่าจวนจะถึงกุสินาราหรือยัง มิฉะนั้นจะต้องค้างคืนอยู่ในที่ไม่มีการป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายงูเงี้ยว และจะต้องกระทบอากาศซึ่งเป็นพิษทำให้เจ็บไข้
ครั้นขึ้นไปถึงยอดเนิน มองโดยรอบไม่พบหมู่บ้านที่ไหนสักแห่งเดียว ดูเป็นสล้างแลเป็นป่าพืดเรื่อยไป เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ สูงชะลูด แผ่กิ่งก้านบังแสงแดดภายล่างจนรกเรี้ยวเป็นป่าดิบสลับซับซ้อนกันขึ้นไป ถัดไปในที่แห่งหนึ่งเป็นชะเวิกลำธาร คือ ลำธารเดียวกับที่เราลงไปสนานกายก่อนหน้านี้สักครู่
อากาศตลอดทั้งวันอบอ้าว ท้องฟ้าพยับ แต่มาในตอนนี้ มีลมพัดฉิวๆ บ้างแล้ว อากาศเริ่มปลอดโปร่งเห็นภูมิประเทศได้ชัดขึ้นบ้าง เห็นภูเขากั้นเป็นกำแพงใหญ่ และตระหง่านขึ้นเหนือยอดไม้ บนยอดเขามีต้นไม้ขึ้นสล้าง มองดูแต่ไกลคล้ายสนามหญ้าเขียวชอุ่มอยู่หลายแห่ง ยอดที่สูงสุดพุ่งหายขึ้นไปในท้องฟ้า มีเมฆสีแดงเรื่อ ๆ อยู่ก้อนเดียวลอยผ่านเป็นพืดยาวไกลลิบ
ขณะเพ่งมองดูเมฆก้อนนี้ อันสอดสีอย่างแปลก เลยหวนระลึกถึงความหลัง ครั้งที่ได้เห็นบิดาเอาคีมคีบทองคำที่หลอมเหลือเนื้อบริสุทธิ์แล้วออกจากเตาทั้งเบ้า เมื่อเนื้อทองเย็นลง ก็เอาไปวางไว้บนเบาะแพรสีน้ำเงินอ่อน ลักษณะสีที่ว่านี้ ช่างเหมือนกับสีเมฆที่เห็นอยู่ในขณะนี้เสียจริงๆ และค่อยๆ เปลี่ยนสีไปแปลกๆ
ที่แลเห็นเป็นเมฆเปลี่ยนสีอย่างงามตาน่าดูนี้ หาใช่เป็นเมฆไม่
เมทินีมีอาการตื่นเต้นคล้ายตกใจอะไร มือสั่นเข้าจับแขนฉัน กระซิบบอกว่า "นั่นคือเขาหิมพาน"
จริงอย่างว่า เห็นสูงตระหง่านอยู่ข้างหน้า คือ ขุนเขาแห่งเขาทั้งหลาย เป็นสถานที่อยู่แห่งหิมะไม่มีขาด คือ หิมาลัย เป็นที่สถิตแห่งทวยเทพ และเป็นสำนักของฤๅษีมุนีผู้สำเร็จ 'ภูเขาหิมพาน' ข้อนี้แม้แต่เมื่อฉันยังเด็กอยู่ ก็นับถือว่าเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ กระทำให้รู้สึกทั้งเคารพทั้งเกรงอย่างซึ้งใจอย่างไรพูดไม่ถูก อันเรื่องราวที่เนื่องด้วยขุนเขานี้มีมากมายและเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เช่นว่า "แล้วก็ไปสู่ป่าหิมพาน ประพฤติพรตเป็นฤษี" ได้เคยเป็นผู้ป่วยปีนเขานี้มาแล้วแต่กาลก่อน นับจำนวนเป็นเรือนพัน เพื่อหาความเป็นไปในที่สงัดวิเวกให้บรรลุภูมิความสุขโดยการบำเพ็ญตบะโยคะ อันเป็นทางหลุดพ้น ต่างผู้ต่างแสวงทางวิโมกษ์ตามวิธีที่เห็นว่าถูก ซึ่งลงท้ายเป็นมายาเข้าใจผิดทั้งนั้น แต่บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จมาใกล้แดนนี้แล้ว พระองค์เท่านั้นที่ล่วงพ้นมายาความหลงผิด – พระผู้ซึ่งเราโดยเสด็จตามรอยพระบาทมาในขณะนี้
ขณะฉันยืนนึกเพลินอยู่ รูปที่เห็นเป็นสีรุ่งเรืองก็เลือนหายไป ประหนึ่งว่าโพยมสวรรค์หลุบลงมาคลุมเสียหมดไม่ให้เห็น แต่เมื่อได้เห็นมาแล้ว ก็พอทำให้มีใจชุ่มชื่นเกิดกำลังกระปรี้กระเปร่าขึ้นอีก
ฉันพูดกะเมทินีว่า "ถึงหากพระพุทธเจ้าจะเสด็จข้ามขุนเขานั้น เพื่อไปสู่ภูมิแดนอันสูงสุดถึงไหนก็ตาม ฉันเป็นขอตามเสด็จไปให้พบจนได้"
เมื่อมีมานะเช่นนี้ ฉันก็เดินต่อไป ไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง ก็หมดแดนป่าไม้ที่รกเรี้ยว เข้าเขตไร่นาข้างหน้าเรื่อยไป เวลานั้นมืดลงแล้ว พระจันทร์กำลังขึ้นปรากฏดวงโตอยู่เหนือยอดไม้ ตรงข้ามกับที่ซึ่งเราไปถึงแล้ว คือ เมืองกุสินารา
อันที่จริง เมืองกุสินาราก็ไม่ใหญ่โตยิ่งไปกว่าหมู่บ้านของพวกมัลละ มีบ้านและกำแพงเมือง ใช้ไม้สานเอาดินทา เห็นในครั้งแรก ก็เข้าใจว่าคงจะมีโรคระบาดอะไรอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เมืองน้อยๆ นี้ จนผู้คนเบาบางไป ตามประตูบ้าน มีคนชราและคนเจ็บนั่งร้องให้กันอยู่เซ็งแซ่
เราเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นบิดไม้บิดมือตอบว่า "พระศาสดาจะด่วนเสด็จเข้าปรินิพพานเสียแล้ว ในเวลานี้เอง ดวงประทีปของโลกจะดับแสงไป พวกมัลละพากันไปที่ป่ารัง เพื่อไปเฝ้าถวายบูชาแด่พระองค์ผู้ทรงพระภาค เพราะเมื่อก่อนหน้าจะมืดค่ำเล็กน้อย พระอานนท์มาในเมืองตรงไปที่ตลาด ซึ่งเป็นที่ชุมนุม กำลังพวกมัลละประชุมโต้เถียงกันด้วยเรื่องการเมือง เมื่อพระอานนท์ไปถึงได้บอกว่า ‘ดูก่อนพวกมัลละ ในวันนี้ก่อนเวลาเที่ยงคืน พระพุทธเจ้าจะเสด็จเข้าพระปรินิพพาน ท่านจงรีบพากันไปเฝ้า เพราะพระพุทธองค์จะได้เสด็จเข้าพระปรินิพพานในเมืองท่าน เป็นโอกาสที่พวกท่านจะได้เฝ้าครั้งสุดท้าย’ เมื่อพวกมัลละได้ทราบดั่งนี้ ก็ปริเทวนาการด้วยความเสียใจ พาบุตรภริยารีบไปที่ป่ารัง ส่วนพวกข้าพเจ้าที่เหลืออยู่เป็นคนชราและพิการเดินเหินไม่ไหว จึ่งจำต้องแกร่วอยู่กับที่ ไม่สามารถไปบูชาพระศาสดาในครั้งสุดท้ายได้"
เมื่อได้ความดั่งนี้ เราก็รีบออกประตูเมืองไปยังป่ารัง** ทันทีซึ่งชาวบ้านเหล่านั้นชี้ทางให้ ไปตามทางเห็นพวกมัลละกลับมาเป็นหมู่ อารามที่อยากจะให้ถึงทันใจ เรารีบสาวก้าวตัดข้ามทุ่ง ตรงไปทางมุมป่าน้อย
ครั้นไปถึง เห็นภิกษุองค์หนึ่งยืนพิงร้องให้อยู่กับต้นไม้ ฉันรู้สึกตื้นขึ้นมาในใจ หยุดมองดู ขณะนั้น ภิกษุองค์นั้นเงยหน้าแหงนขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์วันเพ็ญส่องมากระทบเต็มหน้าท่าน ฉันก็จำได้ว่าเป็นพระอานนท์
ฉันเข้าใจว่า คงมาไม่ทันก่อนเวลาเสด็จปรินิพพานเสียแล้วกระมัง คิดแล้วก็ใจหาย ไม่ทราบว่ากำลังวังชาไปไหนหมด
ขณะนั้น ได้ยินเสียงมีใครแหวกสุมทุมไม้ แล้วเห็นพระภิกษุร่างใหญ่องค์หนึ่งเข้ามาเอามือทาบบ่า พระอานนท์พูดว่า "ท่านพระอานนท์ พระศาสดารับสั่งให้หา"
เท่านั้นเอง ก็เป็นอันทราบได้แน่ว่ายังมีโอกาสได้เฝ้าทันในครั้งสุดท้าย แรงฉันแข็งขันขึ้นมาทันที สามารถเดินต่อออกไปได้อีก ขณะนั้นพระองคุลิมาลเหลียวมาเห็นและจำฉันได้ มีหน้าตาแสดงวิตกกลัวเราจะเข้าไปรบกวนพระพุทธเจ้า ฉันจึ่งชิงพูดให้เบาใจเสียก่อนว่า-
"ท่านอย่าวิตกเลย พวกฉันจะไม่รบกวนร้องไห้ร่ำไรอย่างผู้หญิงธรรมดา ในเวลาอันเป็นปัจฉิมกาลแห่งพระพุทธเจ้า พวกฉันตั้งใจรีบเร่งจากเมืองเวสาลีมาโดยไม่หยุดพัก ความประสงค์ก็เพียงได้เฝ้าพระองค์อีกหนหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น ขอท่านอย่าให้เสียความตั้งใจนี้เลย โปรดอนุญาตให้ได้เข้าเฝ้า เพื่อจะได้มีอินทรีย์กล้าแข็งบำเพ็ญกุศลต่อไป"
ท่านก็ทำกิริยาให้เราตามไป เราไปไม่สู้ไกลกี่มากน้อย ถึงช่องว่างน้อยๆ ในป่ารัง มีพระภิกษุราวสองร้อยองค์ยืนเฝ้าอยู่เป็นรูปอัฒจันทร์ ณ ท่ามกลางที่นี้ มีต้นรังขนาดใหญ่สองต้นกำลังออกดอกเป็นกลุ่มก้อนขาวไสว ระวางควงไม้รังทั้งคู่นี้ เห็นพระพุทธเจ้าประทับบรรทมบนพระแท่น ซึ่งปูลาดด้วยผ้าสีเหลืองมีพระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร ดอกรังก็โปรยเกสรเป็นละอองมาอาบพระองค์
ด้านพระปฤษฎางค์ถัดไปไกล คือ เขาหิมพาน มีหิมะปกคลุมเป็นนิตย์นิรันดร แต่บัดนี้ถูกความมืดเข้าปกคลุม ซึ่งฉันดูเหมือนจะเห็นขึ้นในใจ ว่าที่ฉันเกิดมีกำลังมาได้ทันเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่นี่ ก็เพราะได้เห็นขุนเขานั้นในคราวแรกเมื่อเวลามา
พระพุทธเจ้าตรัสกะพระอานนท์ก่อนกว่าผู้อื่นหมด เพราะท่านมายืนเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วว่า "สำแดงอานนท์ เรารู้ได้ดีว่าท่านร้องไห้โศกเศร้าถึงเรา และท่านคงคิดอยู่ว่าท่านยังไม่สิ้นอาสวกิเลส ยังไม่บรรลุความเห็นแจ้ง และบัดนี้พระศาสดาผู้กรุณาแก่ท่านก็ยังจะเข้าปรินิพพานเสียแล้ว สำแดงอานนท์ ท่านจงเลิกคิดอย่างนั้นเสียเถิด จงอย่าปริเทวนาการ จงอย่าโศกเศร้า สำแดงอานนท์ เราได้บอกแก่ท่านแล้วมิใช่หรือว่าบรรดาสิ่งที่ยึดถือรักใคร่ ย่อมมีอันต้องจากไป ธรรมดาย่อมเป็นธรรมดาของมันกระนั้น สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นเองโดยสภาพธรรม เราไม่ได้จัดการให้เกิดขึ้น แต่ชอบออกรับว่า เป็นของเรา สิ่งนั้นๆ ย่อมมีอาการแปรไปตามธรรมดาวิสัย เราจะดิ้นรนให้เป็นอย่างใจเราคิดไม่ได้นอกจากออกรับเอาเป็นของเหลวๆ และในที่สุดมันก็ต้องล่วงลับไปด้วยอำนาจแห่งธรรมดา และจะฝืนให้คงอยู่ไม่สำเร็จเลย จะได้ก็แต่ความคลั่งเพ้อออกรับเอาเสียเต็มแปล้ นับประสาอะไร ตัวท่านเองก็อย่าทะนง ย่อมตกอยู่ในอำนาจธรรมดาที่จะบันดาลให้เป็นอย่างไรได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมดาทั้งหลายจึ่งเป็นอนัตตา คือเลือกไม่ได้ ไม่สำเร็จด้วยเราสักอย่างเดียว มันเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป มันรวมกันแล้วย่อมจากไป ปรุงมันขึ้น มันก็แตกสลายไป สำแดงอานนท์ ท่านได้ปฏิบัติเรามานานด้วยความเต็มใจจงรัก ไม่มีอิดเอื้อนท้อถอย ชื่อว่าได้พยายามดีแล้ว จงใช้ความพยายามอันสม่ำเสมอนั้น มาในทางบำเพ็ญเพียรในไม่ช้าท่านจะหลุดพ้นจากกิเลสดำฤษณา ทิฐิความเห็นเชือนและอวิชชาความไม่รู้แจ้งเห็นผิดไปตามมายา"
ท่านพระอานนท์พยายามกลืนสะอื้น เพื่อแสดงว่าไม่มีความเสียใจต่อไปแล้ว แข็งใจกราบทูลถามว่า "พระสรีระร่าง จะโปรดให้จัดการอย่างไร?" พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ไม่ควรวิตกในเรื่องนี้ เพราะสาวกที่ทรงสติปัญญา พร้อมทั้งพราหมณ์และคฤหบดีมหาศาลที่เขานับถือ คงจะจัดทำกันไปเอง ตามเห็นสมควรแก่การณ์ ตัวท่านมีสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจอยู่คือ จงนึกถึงอมฤตธรรม อย่าได้นึกสิ่งอะไรเลย จงเร่งพยายามขวนขวายต่อไปให้บรรลุ อย่าย่อท้อถอยหลัง"
พระพุทธเจ้าตรัสเฉพาะพระอานนท์แล้ว ก็ทรงทอดทัศนาการมายังเหล่าพระสาวกที่ยืนเฝ้าอยู่เป็นวง ตรัสว่า- "ภิกษุทั้งหลาย บางทีท่านทั้งหลายจะนึกว่า พระธรรมนั้นขาดศาสดาเสียแล้ว ท่านไม่มีศาสดาต่อไปแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่าพึงคิดอย่างนี้ ธรรมที่เราแสดงไว้เมื่อเราล่วงไปจักเป็นศาสดาของพวกท่าน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าพึงยึดเอาสิ่งภายนอกเป็นที่พึ่ง จงถือพระธรรมเป็นที่พึ่งให้มั่น พระธรรมนั้นจะเป็นความสว่างแก่ท่านเอง จะเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง"
ส่วนตัวฉันนั้น พระพุทธเจ้าทรงชำเลืองเห็น พระองค์ซึ่งทรงพระมหากรุณาธิคุณ ได้ทอดพระเนตรเพ่งอยู่ครู่หนึ่ง ฉันรู้สึกว่าที่ได้บากบั่นเดินทางมา เป็นอันไม่เปล่าผลเลย
ล่วงมาสักครู่ พระองค์ตรัสอีกว่า- "ภิกษุทั้งหลาย บางทีจะมีบางท่านที่เกิดความสงสัยขึ้นในส่วนศาสดา หรือในส่วนพระธรรม ท่านจงถามเสียให้สิ้นระแวงเถิด เพื่อไปภายหน้า ท่านจะไม่ได้โทษตัวเองว่าเมื่อพระศาสดายังทรงมีชีวิตอยู่ มิได้ไต่ถามอะไรไว้"
พระองค์ตรัสดั่งนี้ ประทานโอกาสให้ผู้ที่เฝ้าอยู่กราบทูลข้อสงสัยได้ แต่ก็นิ่งกันหมด ใครเล่ายังจะมีใจลังเลสงสัย เมื่อได้มาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์แห่งพระองค์ ผู้จะเสด็จลับไปแล้ว? พระพุทธเจ้าเสด็จไสยาสน์อยู่ที่นั้น มีแสงเดือนในวันเพ็ญส่องสีเหลืองอ่อนมาทั่ววรกาย ประหนึ่งว่า เทพบุตรกำลังเตรียมการสนานพระสรีราพยพในครั้งสุดท้าย กล่าวคือ โปรดละอองเกสรดอกไม้ลงมา
พระอานนท์เต็มตื้นในหฤทัย ประสานหัตถ์ กราบทูลว่า- "ข้าแต่พระองค์ ประหลาดนักหนา พระสัจธรรมนี้ ข้าพระองค์เชื่อว่าในที่ประชุมสงฆ์นี้ ไม่มีผู้ใดแม้แต่รูปเดียวที่ยังมีความไม่สนิทใจในคำสั่งสอนและศาสดาอยู่"
และพระผู้ประเสริฐสุด ก็ตรัสว่า- "สำแดงอานนท์ ท่านกล่าวด้วยมีศรัทธาเต็มที่ แต่เรารู้แล้วว่าไม่มีความกินแหนงตะขิดตะขวงอยู่ในใจผู้ใด เพราะแม้ผู้ที่นับว่ามีเชาวน์ปัญญาล้าหลังกว่าเพื่อน ก็โปร่งใจในลัทธิธรรมแล้ว และในที่สุดก็จะได้บรรลุโมกษธรรมเหมือนกัน"
ครั้นพระองค์ตรัสดั่งนี้แล้ว ผู้ที่เฝ้าอยู่ก็รู้สึกเยือกประหนึ่งว่า มีมืออันทรงพลังการอำนาจมาเปิดทวารวิถีแห่งความเป็นอนิจจาประจำสังขาร สำหรับเชิญพระองค์เสด็จเข้า
พระองค์เผยพระโอษฐ์อีกครั้งหนึ่ง เป็นพระปัจฉิมวาจาที่จารึกไว้แก่สังสารโลก เป็นพระสัจธรรมอันล้ำเลิศว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตขอเตือนท่าน อันสังขารทั้งหลายมีแต่เสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญกุศลให้เต็มที่ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
นี้คือ พระโอวาทแห่งพระศาสดาเป็นมรดกครั้งสุดท้าย ครั้นแล้ว สิ้นพระดำรัส สิ้นพระสุรเสียง หับพระโอษฐ์หลับพระเนตร พระอัสสาสประสาทซึ่งเคยระบายตามธรรมดาก็ค่อย แผ่วเบาลงๆ ทุกที แล้วก็สิ้นกระแสลม โดยพระอาการอันสงบ พระภิกษุองค์หนึ่ง*** ประกาศว่า พระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว
อนิจจา! แสงเดือนเพ็ญผ่องกระจ่างจับพระพักตร์อยู่เมื่อกี้ก็จางซีดขมุกขมัวลง ท้องฟ้าสลัวมัวพยับครึ้ม อากาศเย็นเฉียบจับหัวใจ น้ำค้างหยดเผาะๆ เป็นหยาดน้ำตาแห่งสวรรค์ เกสรดอกรังร่วงพรูเป็นสายสหัสธาราสรงพระพุทธสรีระ จักจั่นเรไรสงัดเงียบดูไม่มีแก่ใจจะทำเสียง ธรรมชาติรอบข้างต่างสลดหมดความคะนองทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วจึ่งมีเสียงกระซิกๆ สะอื้นไห้แห่งพระภิกษุสงฆ์ ฝ่ายพวกมัลละก็ร้องไห้โฮแทบสิ้นสมฤดี
ขณะนั้น อันว่า ปฐวีกัมปนาการก็บังเกิดปรากฏพิลึกพึงกลัวทั่วโลกธาตุทั้งปวง อีกทั้งห้วงมหรรณพก็กำเริบตีฟ้องคะนองคลื่นครืนครั่น นฤนาทสนั่นในมหาสมุทรสาคร ทั้งหมู่มัจฉาชาติมังกรผุดดำกระทำให้ศัพท์สำนานนฤโฆษ ทั้งขุนเขาสิเนรุราชราชบรรพตก็น้อมยอดโอนอ่อน มีอาการปานประหนึ่งว่ายอดหวายถูกอัคคีลน อเนกมหัศจรรย์ก็บันดาลทั่วเมทินีดลสกลนภากาศ ปางเมื่อพระบรมโลกนาถเจ้าสู่พระปรินิพพาน นั้นแล. ---------------------------------- * ปาวาลเจดีย์ ๑ อัมพปาลีวัน ซึ่งนางอัมพปาลีคณิกาถวายเป็นสังฆราม ๒ กุฏาคารศาลา ป่ามหาวัน? ๓ จุนทกัมมารบุตร ** ต่อมาเรียกว่า อุปวัตตนสาลวันมงคลสถาน *** พระอนุรุทธ์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 สิงหาคม 2558 15:00:23 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5764
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2558 15:17:20 » |
|
.ฉันอาจเห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้าแล้ว แต่จำได้รางๆ คล้ายเห็นในน้ำไหล๔๔ พินัยกรรมวิสิฏฐี พระปัจฉิมพุทธพจน์ที่ฉันได้ยินกับหูจริง ๆ เมื่ออยู่ในมนุษยโลกเป็นดั่งที่เล่าแล้วนั้น
กำลังร่างกายที่ฉันจะทรงชีพอยู่ต่อไป เป็นอันหมดเสียแล้ว ความไข้เข้ามาสู่ตนหนักลงจนเพียบไม่รู้สึกสติ ฉันได้เห็นหน้าคนที่มารุมรอบตัวฉันเป็นเงา ๆ คล้ายในความฝัน ที่จำเค้าได้แน่นอน คือหน้าเมทินีซึ่งประจำอยู่เสมอ ครั้นแล้วก็มืดวูบไปหมด และในทันใดนั้น ดูเหมือนมีน้ำเย็นชุ่มมาชโลมให้พิษไข้ที่ร้อนแรงจางหายไป เหมือนดั่งเดินทางมายืนอยู่ริมขอบสระภายใต้แสงแดดที่แผดจัด แล้วรู้สึกว่าตนเองว่าเป็นดอกบัวภายในน้ำอันเย็นฉ่ำ ได้รับความชุ่มชื่นตลอดถึงก้าน และในคราวเดียวกัน น้ำหนักที่มีอยู่ข้างบนค่อยเบาลงทุกที เห็นดอกบัวสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือตน ที่ริมขอบดอกบัวเห็นแววหน้าอันงามของเธอกำลังชะโงกลงมาดู ครั้นแล้วฉันก็ลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้อย่างสบาย เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นมาอยู่ใกล้เธอ ในสวรรค์สุขาวดี กามนิต- "ขอความเจริญจงมีแก่หล่อนเถิด ที่ความรักของหล่อนชักนำให้ขึ้นมาอยู่บนนี้ได้ ถ้าหล่อนไม่ตามขึ้นมาด้วย ป่านนี้ฉันจะไปอยู่ในภพไหนอีกต่อไปก็ทราบไม่ได้ จริงอยู่ ในเวลานี้เรายังไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยตัวเองให้พ้นภัยในคราวที่โลกานุโลกถึงกาลประลัยได้อย่างไร แต่กระนั้น ถ้อยคำที่หล่อนกล่าวมาแล้ว ทำให้ฉันเชื่อมั่นในใจ เพราะดูหล่อนมิได้มีความวิตกหวาดสะดุ้งต่อสิ่งที่จะถึงการประลัยไปอยู่แล้วแม้แต่น้อย เปรียบเหมือนแสงแดดอยู่ในกลางพายุจะสะเทือนด้วยก็หาไม่"
"ผู้เคยพบเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่า ย่อมไม่มีความหวั่นสะเทือนแม้แต่น้อย เหตุการณ์ครั้งนี้คือสกลจักรวาลจะต้องถึงปางประลัยไป แม้ดูเป็นใหญ่เหลือประมาณ ถ้าเปรียบกับเหตุการณ์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าปรินิพพาน ก็นับว่าเล็กน้อย เพราะบรรดาที่เราเห็นอยู่โดยรอบนี้เป็นแต่อาการที่เปลี่ยนไปตามธรรมดาเท่านั้น แล้วชีพทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเข้าสู่แดนแห่งความเกิดอีก ท้าวมหาพรหมที่เห็นอยู่โน่นกำลังเป็นบ้าพยายามต้านทานต่อสิ่งที่ต้านทานไม่ได้ และบางทีจะมองดูเราด้วยความริษยา ที่เห็นเรายังส่องแสงอยู่เรื่อย ๆ ไม่มีลดลง ท้าวมหาพรหมนี้ ซึ่งเผอิญมาสิ้นบุณย์ เมื่อถึงการประลัยแล้ว คงจะไปเกิดใหม่ในภูมิต่ำลง และมีผู้ประณิธานจะได้จุติมาเป็นท้าวมหาพรหมต่อไป บุคคลจะไปสู่ภพใดก็ด้วยประณิธานอันแน่วแน่ ประกอบด้วยกรรมเป็นเครื่องชักนำไป โดยสรุปสิ่งทั้งหลายก็ย่อมเป็นไปตามสภาพของมัน ไม่ดีไม่ชั่ว เกิดมาจากธาตุเดียวกัน ฉันจึ่งว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย และเพราะด้วยเหตุเดียวกันนี้ ฉันไม่เห็นเป็นของน่าตกใจกลัวอย่างไร ซ้ำจะเป็นที่น่ายินดีที่เผอิญได้มีชีวิตอยู่เห็นในระวางกาลประลัย เพราะถ้าหลงไปว่าพรหมโลกเป็นอนันตะไม่มีเขตสุดแล้ว ก็จะเลยไม่มีญาณความหยั่งรู้สิ่งไรที่เลิศกว่า"
"เช่นนั้น หล่อนก็รู้สึกสิ่งซึ่งเลิศกว่าพรหมโลกนี้อย่างนั้นหรือ?"
"พรหมโลกนี้ กำลังจะสิ้นไปเธอก็เห็นอยู่ แต่มีแห่งหนึ่งไม่มีความสิ้นไป ไม่มีเบื้องต้นและเขตสุด ซึ่งพระบรมศาสดาเคยตรัสว่ามีอายตนะ (แดน) อันหนึ่ง ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่นามธรรมมีอารมณ์ยึด ไม่ใช่โลกนี้โลกหน้า ไม่ตั้งอยู่ในทิศไหน ตำบลไร ไม่ใช่เมืองแก้ววิเศษรุ่งเรืองไพศาล ไม่ใช่ ที่ไป ที่มา ที่เคลื่อนที่หยุด ไม่มีที่ยึดเกาะเกี่ยว ไม่มีเกิด ไม่มีตาย แต่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ เรียกว่าพระนิพพาน เป็นของลึกซึ้ง นึกเห็นเอาด้วยยาก นึกรู้ตามด้วยยาก คาดคะเนเอาไม่ได้ เป็นของประณีตละเอียด เพราะรำงับสังขารทั้งปวง เพราะสลัดคืนกิเลสทั้งปวง เพราะสิ้นความแส่อยาก จึ่งเป็นที่สงบเงียบ เป็นที่ดับเย็นสนิท บัณฑิตก็พึงทราบได้เอง"
"ดูก่อนเจ้าผู้เป็นที่น่าชื่นใจ เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ จงช่วยฉันด้วย เราทั้งสองจะได้ลอยเด่นขึ้นอีก เพื่อไปสู่แดนแห่งศานตินั้น"
"พระบรมศาสดาเคยตรัสว่า ที่ว่าเราจะลอยเด่นขึ้นอีกนั้น ไม่เป็นความจริงแห่งแดนนั้น ที่ว่าเราจะไม่ลอยเด่นขึ้นอีกนั้น ก็ไม่เป็นความจริงฉันเดียวกัน ท่านจะสมมุติบัญญัติสิ่งใดที่ท่านทำขึ้นหลากๆ ยุ่งเหยิงอย่างไรๆ และสามารถจะจับถือได้ ย่อมไม่เป็นความจริงแห่งแดนนั้น"
"อ้าว! แล้วมีประโยชน์อะไรแก่ฉัน ในสิ่งซึ่งฉันจับถือเอาไม่ได้?" "ขอในสิ่งที่จับถือได้ จะมีค่าควรกับยื่นมือออกไปรับหรือ?" "วาสิฏฐี ฉันเชื่อแน่ว่าในชาติใดชาติหนึ่งฉันคงได้ฆ่าพราหมณ์ หรือกระทำอกุศลอุกฉกรรจ์ที่คล้ายคลึงอนันตริยกรรม ผลนั้นจึ่งตามสนองอย่างรุนแรงไปถึงในถนนน้อย ในกรุงราชคฤห์ เพราะถ้าฉันไม่ประสบภัยตายไปในปัจจุบันทันด่วน ณ ที่ตรงนั้น ฉันก็คงได้ไปเฝ้าแทบบาทพระพุทธเจ้าแล้ว และคงจะได้เฝ้าอยู่อย่างเดียวกับหล่อน ในเวลาที่เสด็จเข้าปรินิพพาน แล้วจะได้มีใจสงบเหมือนกับหล่อนในบัดนี้ มาเถิดวาสิฏฐี ในขณะที่เรายังมีสติสัมปชัญญะอยู่นี้ ขอหล่อนเห็นแก่ความรักซึ่งมีแก่ฉัน จงอธิบายพุทธลักษณะให้ฉันเห็นขึ้นในใจให้ถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อฉันจะได้ชมพระลักษณะซึ่งฉันไม่มีโอกาสได้เห็นเมื่อครั้งอยู่ในมนุษยโลก จะได้ช่วยให้ฉันได้รับศานติสุข"
"ยินดี ที่จะพรรณนาให้เธอฟัง" แล้วาสิฏฐีก็จาระไนพุทธลักษณะโดยละเอียดถี่ถ้วน
กามนิตตอบด้วยยังมีความไม่พอใจอยู่มากว่า "มีประโยชน์อะไรที่บอกมา? เพราะเท่าที่รำพันให้ฟังทั้งหมดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียวกับรูปพระภิกษุชรา ที่ฉันร่วมแรมคืนอยู่ด้วยในห้องโถงชายปั้นหม้อ ณ กรุงราชคฤห์ ที่ฉันเล่าให้หล่อนฟังแล้ว และซึ่งฉันได้เข้าใจว่าเป็นผู้ไม่รู้อะไร แต่บัดนี้รู้สึกว่า ที่พระภิกษุชราองค์นั้นกล่าวไว้ เป็นความจริงทุกประการ แต่ช่างเถิด วาสิฏฐี ไม่ต้องชี้แจงอีกต่อไปดอก เป็นแต่ขอให้หล่อนนึกเพ่งเห็นนิมิตขึ้นมาในมนัสของตนเอง ซึ่งภาพพระพุทธเจ้า จนเด่นชัดเท่ากับได้อยู่เฉพาะพระพักตร์ และอาศัยที่เรามีฉันทฤทธิ์ร่วมกันในวิถีฌาน ฉันก็อาจมีส่วนเห็นด้วยพร้อมกันไปกับหล่อน"
วาสิฏฐี ยินดีตามที่ขอ แล้วก็สำรวมจิตแน่วแน่ ประมวลอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง นึกหน่วงถึงพระรูปพระพุทธเจ้าตามที่ตนเคยเห็นในขณะที่จวนเสด็จเข้าพระปรินิพพาน "เธอเห็นพระรูปหรือยัง?" "ยัง วาสิฏฐี"
วาสิฏฐีคิดว่า "จำเราต้องให้รูปนิมิตที่เกิดในดวงจิตนี้ สมานกับชีวรูปอื่นรวมกันให้สนิทเสียก่อน" นางมองไปในอากาศธาตุซึ่งหาเขตไม่ได้โดยรอบ ในที่ซึ่งพรหมโลกกำลังอยู่ในอาการจะแตกทลายไป
อันว่านายช่างหล่อผู้สามารถยอดเยี่ยม จัดทำแม่พิมพ์มหาเทวรูปอันทรงสง่าสำเร็จแล้ว แต่มารู้สึกว่ามีโลหธาตุที่จะหล่อไม่เพียงพอแก่แม่พิมพ์นั้น เที่ยวมองหาโลหธาตุที่มีอยู่ในโรงของตน พบวัตถุที่กระจายเกลื่อนอยู่รอบตัว มีเทวรูปน้อยๆ และรูปอื่นต่างๆ ที่เป็นโลหธาตุ ซึ่งตนได้ทำมาแล้วทั้งหมด ก็เอามารวมเข้าในเบ้าหลอมด้วยความพอใจ เพื่อสามารถหล่อรูปทิพย์ให้ได้บริสุทธิ์เลิศเพียงรูปเดียว ดั่งนี้มีอุปมาฉันใด วาสิฏฐีมองหาในอากาศอันหาเขตมิได้อยู่รอบตัว แล้วเอาบรรดาสิ่งที่เหลือจากรัศมีอันกำลังอ่อนแสงและรูปพรรณสัณฐานต่างๆ ในพรหมโลก ซึ่งกำลังจะสลายไป เข้ามาไว้ในดวงจิตด้วยอำนาจมโนมยฤทธิ์ รวมลงเบ้า คือห้องมนัสของนางหลอมลงสู่แม่พิมพ์ ก็เกิดรูปสมบัติครบถ้วนมหาบุรุษลักษณะมีสิริมหิมา แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะที่จะเข้าพระปรินิพพาน ก็มีอุปไมยฉันเดียวกัน ปรากฏแจ่มจ้าดั่งเดือนเพ็ญเด่นอยู่กลางโพยม และขณะที่ได้เห็นพระรูปนี้อยู่เฉพาะหน้าแล้ว วาสิฏฐีบังเกิดความรู้ สิ้นความกระหายอันหมักหมม และความทุกข์อาลัย แล้วเพ่งดิ่วแน่วแต่จะให้กามนิตเห็นพระรูปโฉมนั้นด้วย
ครั้นแล้วกามนิตก็พูดขึ้นว่า "ฉันเริ่มจะเห็นพระรูปขึ้นบ้างแล้ว จงรวมกำลังใจให้มั่น ให้พระรูปเปล่งรัศมีให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น"
วาสิฏฐีก็เบ่งอำนาจแห่งฤทธิวิธี นำเอารูปท้าวมหาพรหมที่เหลืออยู่สู่เบ้าหลอมเข้าแม่พิมพ์ คือ ห้องมนัสอีก เพิ่มประกอบพระสรีระรูปให้ชัดเจนที่สุด
ขณะนั้นกามนิตก็พูดขึ้นว่า "เดี๋ยวนี้ฉันเห็นชัดขึ้นแล้ว
ส่วนวาสิฏฐีรู้สึกประจักษ์แก่ฌาน เป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่ทรงไสยาสน์จะเสด็จปรินิพพาน ทรงชำเลืองเห็น และทอดพระเนตรเพ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสกะนางว่า "มาแล้วหรือ? บทโอวาทที่ให้ไว้ระลึกแจ้งจบแล้วหรือ?"
กราบทูลสนองในวิถีจิตว่า- "จบแล้ว พระเจ้าข้า" "ดีแล้ว วาสิฏฐี หนทางอันไกลที่ต้องเดินทรมานกายมา ไม่ทำให้เหนื่อยบ้างหรือ? ยังต้องการให้ตถาคตช่วยเหลืออยู่อีกหรือไม่?" "พอความต้องการแล้ว พระเจ้าข้า" "ดีแล้ว ตัวท่านยังยึดถือตนอยู่หรือเปล่า?" "ข้าพระองค์รู้แจ้งซึ่งตนแล้ว พระเจ้าข้า เหมือนผู้ลอกกาบกล้วยออก จะไม่พบแก่นต้นกล้วยนั้นฉันใด ข้าพระองค์ก็ได้เรียนรู้แจ้งซึ่งตนว่าเป็นสภาพแปรปรวนไม่คงที่ถาวรเพราะหาแก่นสารมิได้ แล้วข้าพระองค์ก็ย่อมละความอาลัยยึดถือดื้อดึงเสีย ด้วยความหยั่งทราบเท่าที่เป็นจริงว่า “นี้ไม่ใช่ของเรา นี้ไม่ใช่อาตมันของเรา มีแต่มายาเท่านั้น"
"ดีแล้ว บัดนี้ท่านยังยึดถืออยู่แต่พระธรรมอย่างเดียวหรือ?" "ข้าแต่พระองค์ พระธรรมเป็นเครื่องนำให้ข้าพระองค์ไปสู่จุดที่หมาย เปรียบเหมือนผู้ที่ข้ามลำธารโดยอาศัยแพเป็นเครื่องข้าม ครั้นเมื่อถึงฝั่งที่หมายแล้วก็ไม่ข้องแวะแพนั้นต่อไป หรือไม่ลากเอาแพนั้นขึ้นไปด้วย เพราะฉะนั้นในบัดนี้ได้ปล่อยอะไรๆ ทั้งสิ้นจนพระธรรมนั้นแล้ว ไม่ได้เกาะเกี่ยวอะไรอีกต่อไป"
"ดีแล้ว เมื่อไม่เกาะเกี่ยวในสิ่งไร ปราศจากความพัวพันในสิ่งไรๆ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ามีแต่มโนธาตุ นั่นเป็นเพียงเป็นคู่สำหรับญาณ คือ ความรู้อันแจ่มใสและสำหรับสติโดยเฉพาะ ทั้งไม่อาศัยเกาะเกี่ยวอะไรๆ ในภพเลย ดั่งนี้ท่านก็จะขึ้นไปสู่ที่อันเป็นแดนแห่งศานติอย่างตถาคตได้"
ขณะนั้น กามนิตพูดขึ้นว่า "บัดนี้ ฉันอาจเห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้าแล้ว แต่จำได้รางๆ คล้ายเห็นในน้ำไหล"
วาสิฏฐี ก็เบ่งอำนาจมโนมหิทธิไปในอากาศอันว่างเปล่าจนสุดสามารถอีก
กามนิตสังเกตเห็นวาสิฏฐี บัดใจก็อันตรธานวับไป แต่ก็อันตรธานเหมือนดั่งผู้กำลังจะตาย ได้ทำพินัยกรรมเป็นมฤดกไว้ให้ กล่าวคือ วาสิฏฐีได้มอบพระรูปโฉมซึ่งเหมือนดั่งองค์พระพุทธเจ้าให้ไว้แก่กามนิตอยู่ในท่ามกลางแห่งความว่างเปล่า ซึ่งบัดนี้กามนิตเห็นได้ชัดเจนและจำได้
"อ้อ! พระภิกษุชราที่อาตมาได้แรมคืนร่วมอยู่ด้วยในกรุงราชคฤห์ และดูหมิ่นว่าโง่เซอะ คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง อาตมานี้ช่างเขลาเสียจริง ๆ จะมีใครโง่เขลาเหมือนอย่างอาตมานี้บ้างไหมหนอ? สิ่งที่อาตมาปรารถนาคือความสุขอันสูงสุดเพื่อความหลุดพ้นนั้น ก็มีอยู่ในญาณแห่งอาตมาแล้วนับได้หลายอสงไขยกัลป์”
ครั้นแล้ว พระรูปพระพุทธเจ้าก็เข้ามาใกล้มโนวิถีกามนิตเด่นขึ้นทุกที ดูประหนึ่งว่าเป็นเมฆเลื่อนลอยเข้ามา แล้วหุ้มกายกามนิต เป็นดั่งหมอกที่มีรัศมีรุ่งเรืองใสกระจ่างฉะนั้น๔๕ กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล อันว่าในห้องโถง ที่ประชุมเลี้ยงดูกัน เมื่อดับโคมไฟต่างๆ หมดแล้ว ก็เหลือแต่โคมเล็กอยู่ดวงเดียวริบหรี่อยู่มุมห้องหน้ารูปบูชา ดั่งนี้ฉันใด กามนิตก็เหลืออยู่ทีหลังเพื่อนริบหรี่แต่ผู้เดียวในท่ามกลางวิศวราตรี คือกาละอันเป็นราตรีไปหมด
อันรูปธรรมกามนิตมีตารกธาตุแห่งความเหมือนในองค์พระพุทธเจ้าห่อหุ้มอยู่แล้ว นามธรรมก็มีความตรึกในองค์พระพุทธเจ้าเข้าไปซึมซาบอยู่ นี้แหละเป็นเสมือนน้ำมันที่หล่อเลี้ยงไฟในโคมน้อยไว้มิให้ดับ
ถ้อยคำที่ตนได้เคยสนทนาอยู่กับพระบรมศาสดาในห้องโถงช่างหม้อกรุงราชคฤห์ ได้กลับมาปรากฏโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ประโยคต่อประโยคและคำต่อคำ เมื่อหวนระลึกถ้อยคำเหล่านี้ได้ตลอดแล้ว ก็เริ่มทวนต้นไปใหม่ ในข้อความที่ระลึกได้เป็นประโยคๆ ไปนั้น ประโยคหนึ่งๆ เป็นเสมือนทวารต้นทางที่จะเข้าวิถีใหม่แห่งธรรมรส ซึ่งเข้าไปตรองเห็นแล้ว ก็ล่วงเข้าอีกทวารหนึ่ง แล้วก็ผ่านอีกทวารหนึ่ง เป็นลำดับติดต่อกันไป พลางกามนิตตรวจค้นตามระยะวิถีแห่งความตรึกนึก จนไม่มีสิ่งไรเหลืออยู่ นอกจากความมืดตื้อซึ่งล้อมอยู่รอบตน
ขณะที่ดวงจิตเป็นไปอยู่อย่างนี้ ทั้งมีความเพ่งพินิจหน่วงองค์พระพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นอารมณ์จนหมดสิ้น ไม่มีอารมณ์อะไรอื่นเหลืออยู่ ประกอบทั้งรูปธรรมก็นำเอาตารกธาตุที่อยู่รอบตน เข้าไปรวมเนื้ออยู่ด้วยทวีขึ้นจนสิ่งที่เหลืออยู่โปร่งบางไปหมด ครั้นแล้ว ความมือแห่งวิศวราตรีก็ปรากฏมีเป็นสีน้ำเงินอันงาม แล้วก็เข้มขึ้นทุกที เป็นดั่งนี้ กามนิตจึ่งนึกว่า- "ออกไปในที่นั้น เป็นความมืดอันกว้างขวางมหึมาหนาแน่นแห่งวิศวราตรี แต่ก็จะต้องมีคราวถึงกำหนด เป็นความรุ่งเช้า เกิดมีท้าวมหาพรหมขึ้นใหม่ ถ้าว่าความตรึกนึกและมโนธาตุของเราเพ่งเล็งไปทางที่จะจุติเป็นท้าวมหาพรหม ซึ่งมีหน้าที่รังสฤษฏ์สกลโลกขึ้น ก็คงจะไม่มีใครจะดีไปกว่าเรา เพราะในขณะจะสิ้นกัลป์กำลังถึงการประลัยอยู่นี้ สิ่งทั้งปวงก็ย่อยยับดับตามกันหมด คงเหลือแต่ท้าวมหาพรหมประจำหน้าที่มีความรู้สึกได้ดีพร้อม อยู่ในท่ามกลางวิศวโลกานุโลกแต่ผู้เดียว จริงอยู่ ถ้าเราปรารถนาก็ย่อมจะทำได้ในทันที กล่าวคือรังสฤษฏ์สิ่งทั้งปวงให้กลับมีชีวิตขึ้น แล้วจัดให้อยู่ตามตำแหน่งในโลกานุโลกที่ปรากฏใหม่ แต่ก็มีอยู่อย่างเดียวที่เรารังสฤษฏ์หาได้ไม่ คือไม่สามารถชุบวาสิฏฐีขึ้นมาได้อีก วาสิฏฐีได้สิ้นชาติสิ้นภพไปแล้ว ล่วงไปในลักษณะซึ่งไม่มีเชื้อเกิดเหลืออยู่เลย ถึงพระเป็นเจ้ามหานุภาพองค์ใดองค์หนึ่งหรือเทวดา มาร พรหม จะค้นหาก็ไม่พบร่องรอย เมื่อไม่มีวาสิฏฐีผู้งามเลิศและดีเลิศแล้ว จะมีผลดีอะไรในความเกิดมีชีวิตอยู่? มีประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของท้าวมหาพรหม ที่ต้องล่วงไปเหมือนกัน? อะไรคือความเป็นชั่วคราว? และอะไรคือความคงที่?" "ไม่ต้องคิดอย่างอื่น ความคงที่นั้นมี และทางไปสู่ความคงที่นั้นก็มี""พราหมณ์ชราผู้หนึ่งเป็นวนะปรัสถ์ ถือความมักน้อยสันโดษอยู่ในป่า ได้เคยสอนเราว่า ในบริเวณรอบหัวใจ มีเส้นโลหิตอันละเอียดห้อมล้อมอยู่นับด้วยร้อย สำหรับอาตมันจะได้ส่งความคิดความรู้สึกแล่นไปตลอดกาย แต่มีเส้นหนึ่งขึ้นไปสู่กระหม่อมศีรษะ นั้นแหละเป็นทางที่อาตมันออกจากร่าง โลกานุโลกก็อย่างเดียวกัน ย่อมมีวิธีนับด้วยร้อยด้วยพันด้วยแสน ผ่านไปในแดนทุกข์ สั้นบ้าง ยาวบ้าง และแผ่ซ่านไปจบภวานุภพ แต่ก็มีวิถีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ที่ออกจากภพเหล่านี้ไปได้อย่างแท้เที่ยง นี้คือวิถีไปสู่แดนความคงที่ไม่มีเครื่องกีดขวางอีกแล้ว ในขณะนี้เรากำลังดำเนินเข้าสู่ทางนั้น และจะไปจนถึงที่สุด"
แล้วกามนิตก็ยึดเอาพระพุทธนิมิตไว้ในมโนธาตุแน่นแฟ้น มุ่งแต่วิถีที่จะไปสู่ความสิ้นแห่งทุกข์ ขณะนั้นวิศวราตรีที่ใสเห็นได้ตลอดก็มืดแน่หนักเข้าทุกที
ครั้นเมื่อมืดอับทึบถึงที่สุด ก็บังเกิดสยัมภูองค์ใหม่ฉายแสงแปลบขึ้นมา คือ ท้าวมหาพรหม ผู้จะส่องความสว่าง และถนอมสกลจักรวาลนับได้แสน ให้คงสืบปวัตยการไปตลอดอีกกัลป์หนึ่ง
และในขณะนั้น ท้าวมหาพรหมก็บันดาลสิ่งทั้งปวงให้มีชีวิตขึ้น
"ดูก่อนสรรพชีพ ซึ่งได้พักอยู่ตลอดคืนหนึ่งของพรหมโลก ในความว่างเปล่าจงตื่นเถิด แล้วเข้าประจำตำแหน่งตามอำนาจกำลังที่เราเฉลี่ยแก่ตน รับความบันเทิงไปชั่ววันหนึ่งของพรหมโลก"
ครั้นแล้วชีพและโลกานุโลก ก็ผุดขึ้นจากมหันธการความมืดแห่งความว่างเปล่า ดุจลูกลอยลมโผล่สลอนขึ้นมาในกลางหาว เป็นดาวต่อดาว ชีพต่อชีพ ส่งเสียงแซ่ซ้องยินดีกึกก้องตลบนภากาศว่า-
"ข้าแต่ท้าวปรเมษฐ์ พระองค์ตรัสเรียกพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้อุบัติในสกลจักรวาลที่สร้างใหม่ และเริ่มเป็นวันใหม่ เพื่อให้พวกข้าพเจ้าได้รับความชื่นบานในพรหมโลก จากส่วนความบันเทิงสุขที่พระองค์มีอยู่รุ่งเรืองฉายมาให้"
เมื่อกามนิตได้เห็นและได้ยินเสียงสำรวลร่าครึกครื้นรื่นเริงโดยตลอดไป ก็บังเกิดความสังเวชใจ
"ชีพและโลกานุโลก และดาวเทพ และแม้ถึงท้าวมหาพรหมเอง ต่างแซ่ซ้องยินดีปรีดาต้อนรับวันใหม่แห่งพรหมโลก เพราะอะไร? ก็เพราะไม่รู้แจ้งซึ่งความจริง"
อันความสมเพชโลก ทวยเทพและท้าวมหาพรหมนี้เองเป็นทางให้ประทานมานะความสำคัญตน และภวราคความติดใจเกิดที่ยังเหลือเป็นเศษอยู่ หมดสิ้นไป และบัดนี้ก็มารำพึงว่า-
"ระวางวันหนึ่งของพรหมนี้ ย่อมมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส และประกาศพระธรรมคือสัจจะและทวยเทพที่เราเห็นอยู่รอบข้างเหล่านี้ก็อาจได้ยินสัจจะอันส่องทางวิสุทธิแห่งตนๆ เป็นอุปนิสัยแล้ว ถ้ามาระลึกได้ว่าในเวลารุ่งเช้าแห่งวันในพรหมโลกได้เห็นผู้หนึ่งออกไปพ้นชาติภพแล้ว นั่นจะเป็นอุทาหรณ์แห่งสัจธรรมที่ตนได้ยินมาสำแดงผลประจักษ์แก่ตน และเมื่อโจษกันว่า "ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในท่ามกลางพวกเราหรือจะเรียกว่าส่วนหนึ่งแห่งเราก็ได้ ได้ล่วงหน้าไปในวิถีที่เป็นทางวิมุตติแล้ว" ก็จะเป็นเหตุนำเขาเหล่านั้นเข้าสู่วิถีถูกด้วย เพราะฉะนั้นเราจักช่วยนำทางเขาทั้งหมด จะไม่เอาตัวรอดแต่ผู้เดียว เพราะตามความจริงไม่มีใครช่วยตนเองได้ โดยตนเองมิได้ช่วยเหลือผู้อื่น"
ในเวลาไม่ช้า ดาวเทพบางองค์ก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีดาวเทพอยู่องค์หนึ่ง ท่ามกลางพวกตนหาได้ส่องแสงรุ่งเรืองสว่างขึ้นโดยลำดับไม่ กลับมีลักษณะตรงกันข้ามคือหรี่มัวลงไป
เหล่าดาวเทพจึ่งร้องเตือนว่า-
"ท่านผู้เป็นภราดา ท่านพึงหันไปเพ่งท้าวมหาพรหม เพื่อได้รับแสงให้เกิดความสว่างรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพราะท่านก็ผู้หนึ่งเป็นภราดาในหมู่เรา อันท้าวมหาพรหมได้เรียกให้มาร่วมเสวยความบันเทิงสุข ด้วยอาศัยรัศมีท้าวเธอฉายส่องมาให้"
แม้ทวยเทพร้องบอกมาเช่นนี้ กามนิตจะได้เอาใจใส่หรือได้ฟังก็หาไม่
ทวยเทพคงจ้องดู เห็นดาวกามนิตยังหรี่แสงลงเสมอ ก็เกิดความวิตก ร้องทุกข์ต่อท้าวมหาพรหมว่า-
"ข้าแต่ท้าวสุรเชษฐ์ ผู้เป็นแสงสว่างและเป็นผู้ถนอมเหล่าพวกข้าพเจ้า ได้โปรดเถิดพระเจ้าข้า ดาวดวงนี้ไม่มีความสามารถจะส่องรัศมี มีแต่จะลดน้อยถอยแสงลงไป ขอประทานแสงสว่างจากพระองค์ เพื่อให้ฟื้นขึ้นจะได้ร่วมความบันเทิงสุขภายในรัศมีอันรุ่งเรืองของพระองค์"
ครั้นแล้ว ท้าวจัตุรพักตร์มหาพรหมผู้เต็มเปี่ยมด้วยพรหมวิหาร ก็เพ่งพระเนตรในพระพักตร์ด้านที่แปรไปทางกามนิต ส่งมหานุภาพให้ฟื้นกำลังขึ้น
แต่แสงของกามนิตยังคงปรากฏว่าลดน้อยลงทุกที ท้าวมหาพรหมทรงสมเพช ในเหตุที่ว่าดาวดวงนี้ไม่ยอมรับรัศมีที่พระองค์ฉายไปประทาน แม้แต่ดวงอาทิตย์ตั้งแสน ซึ่งล้วนได้รับแสงไปจากพระองค์ก็ยังยินดีปรีดา ไม่เหมือนกับดาวดวงนี้ พระองค์จึ่งประมวลเอาแสงทิพย์ที่มีอยู่ในสกลจักรวาล อันเป็นแสงมีอำนาจพอที่เผาผลาญโลกานุโลกได้ตั้งพันให้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา ส่องพุ่งตรงไปที่กามนิต
แต่แสงของกามนิตก็คงหรี่ลดลงอยู่เรื่อย ประหนึ่งว่าใกล้ความดับอยู่แล้ว
ท้าวมหาพรมทรงปริวิตก ว่า
"ดาวนี้ดวงเดียวที่พ้นอำนาจเราไปได้ เช่นนั้นเป็นอันว่าเรามิได้ทรงสรรพศักดิ์แท้จริงเสียแล้ว เราไม่แจ้งว่าดาวดวงนั้นจะไปทางไหนด้วย เช่นนั้นเป็นอันว่า เรามิได้เป็นสัพพัญญู เพราะดาวเทพดวงนั้นจะมิได้ดับไปเหมือนความดับคือความตาย ที่มีแก่ชีพอื่นทั้งหลาย ซึ่งแล้วไปเกิดใหม่ตามกรรมปรุงแต่งไว้ ดาวดวงนั้นไม่ยินดีรับแสงของเราเพราะเห็นความสว่างในวิถีไหนหนอ? เช่นนั้นคงมีความสว่างที่รุ่งเรืองกว่าเราอยู่ในวิถีตรงข้ามจากเรา เราควรจะถือเอาทางนั้นด้วย ดีหรือไม่หนอ?"
และในขณะเดียวกันนี้ ชีวาตมันแห่งเหล่าดาวเทพก็บังเกิดปริวิตกเช่นเดียวกันว่า-
“ดาวดวงนี้ถอยห่างจากอำนาจท้าวมหาพรหม เช่นนั้นเป็นอันว่า ท้าวมหาพรหมมิได้ทรงสรรพศักดิ์ แสงอะไรหนอที่ส่องนำทางดาวดวงนั้น จนปรากฏว่าดาวนั้นไม่ไยดีต่อรัศมีท้าวมหาพรหม? ถ้าเช่นนั้นต้องมีแสงอื่นอีกแห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองดีกว่าแสงซึ่งเราได้รับความบันเทิงสุขอยู่ ณ บัดนี้ และอยู่ในวิถีทางที่ตรงข้ามจากเรา เราควรจะไปทางนั้นดีหรือไม่หนอ?
ฝ่ายท้าวมหาพรหม ทรงรำพึงว่า
"เราตกลงใจแล้ว ถ้ากระไร เราพึงรวมรัศมีแห่งเรา ซึ่งซ่านไปทั่ววิศวากาศ คืนมาสู่เรา แล้วให้จักรวาลเหล่านี้ทั้งหมดถึงแก่ประลัย เป็นกลางคืนๆ หนึ่งของพรหมโลกและเมื่อรวบรวมรัศมีมาอยู่ในเราแห่งเดียวหมดแล้ว จักได้แผ่รัศมีนั้นตรงไปที่ดาวเทพดวงนั้นโดยเฉพาะ เพื่อรั้งให้กลับคืนมาอยู่ใหม่ในพรหมโลกจงได้"
ครั้นแล้ว ท้าวมหาพรหมก็ทรงเรียกเอาบรรดารัศมีที่แผ่ไปทั่ววิศวากาศ โลกานุโลกก็ถึงระยะการประลัย เข้าสู่ความมืดแห่งพรหมราตรีกาลอีกคำรบหนึ่ง และท้าวมหาพรหมก็รวบรวมรัศมีให้มาอยู่ในที่แห่งเดียว ฉายพุ่งไปที่กามนิต อันเป็นแสงอำนาจพอที่จะให้สกลโลกนับด้วยแสนโกฏิลุกเป็นไฟ แล้วให้รัศมีนั้นกลับคืนมาสู่พระองค์ และแผ่ปล่อยไปในวิศวากาศขึ้นเป็นคำรบใหม่
ถึงตอนนี้ ท้าวมหาพรหมควรทอดพระเนตรดาวกามนิตสุกสว่างขึ้น กลับเห็นแสงริบหรี่หนักลงเรื่อยไปจนดับวูบไม่มีเหลือ
ระวางกลางวิศวากาศอันหาเขตกำหนดมิได้ สกลจักรวาลานุจักรวาล เกิดขึ้นแล้วชั่วแล่นหนึ่งก็ประลัยลาญ เกิดเป็นวันใหม่ของพรหมโลกเป็นวันหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าหนึ่งกัลป ส่วนกามนิตมักถือเอาซึ่งสัญจาริกเป็นบุณยวัตร ก็ดับรอบจริมจิตสิ้นเชื้อไปเอง เหมือนแสงไฟในโคมที่ดับเพราะหมดน้ำมันที่หล่อเลี้ยงไส้ไว้จนหยาดสุดท้าย ฉะนั้นแลอิติ ศฺรีกามนีตสูตฺรํ สํปูรณมฺ กามนิตสูตรบริบูรณ์โดยประสงค์แลจบบริบูรณ์ธรรมดาทั้งหลายจึ่งเป็นอนัตตา มันเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป kimleng วาดภาพประกอบเรื่องโดยใช้ปากกาลูกลื่นสีดำ + ดินสอดำ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มกราคม 2560 08:40:37 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
กำลังโหลด...