[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 13:07:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI"  (อ่าน 20453 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แคทรีนจังกกไข่
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 49


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 36.0.1985.125 Chrome 36.0.1985.125


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:33:48 »

“ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI"


“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler)

เอเจนซี – ขณะที่กองทัพนาซีเริ่มแตกพ่ายทั้งที่เมืองสตาลินกราดและแอฟริกาเหนือ ผู้นำเผด็จการ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler) ยังหวังพลิกสถานการณ์ โดยสั่งทีมนักวิทยาศาสตร์สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ซึ่งจะนำชัยชนะมาให้แก่ฝ่ายอักษะ...แม้อาวุธบางชนิด เช่น จรวด วี2 และ เครื่องบินขับไล่รุ่นแรก ๆ ของโลก จะถูกนำมาใช้ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ก็สายเกินไปที่จะยับยั้งความพ่ายแพ้แก่กองทัพนาซี นอกจากนี้ ยังมีอาวุธอื่น ๆ ที่ “เหนือจินตนาการ” เสียจนไม่ผ่านขั้นตอนการวางแผน และ “จานบิน” ที่ใช้ทิ้งระเบิดในลอนดอนและนิวยอร์ก ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคำยืนยันออกมาว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฮิตเลอร์เคยออกแบบอากาศยานที่มีรูปร่างคล้าย “จานบิน” และสามารถพัฒนาถึงขั้นสร้าง “ต้นแบบ” ที่ใช้บินได้จริงมาแล้ว
รายงานจากนิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ พีเอ็ม ของเยอรมนี ระบุว่า โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮานส์ แคมม์เลอร์ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการทดลองต้านแรงโน้มถ่วงของโลก รายงานดังกล่าวอ้างคำบอกเล่าของพยานซึ่งเชื่อว่าตนเคยเห็น “จานบิน” ที่มีสัญลักษณ์กางเขนเหล็กของกางทัพนาซี บินในระดับต่ำเหนือแม่น้ำเทมส์เมื่อปี 1944 ในช่วงเวลาเดียวกัน นิวยอร์ก ไทม์ส เคยลงบทความเกี่ยวกับ “จานบินปริศนา” และลงภาพถ่ายวัตถุดังกล่าวขณะบินผ่านตึกระฟ้าในนครนิวยอร์กด้วยความเร็วสูง...พีเอ็ม ระบุว่า กองทัพนาซีทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ “บินได้จริง”


ภาพที่อ้างว่าเป็นจานบินต้นแบบของนาซี ซึ่งถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
แคทรีนจังกกไข่
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 49


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 36.0.1985.125 Chrome 36.0.1985.125


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:35:07 »



โครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปราก (Prague) ระหว่างปี 1941-1943 โดยมี รูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2 ชรีเวอร์ และ ฮาแบร์โมล ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ ฮิตเลอร์ สั่งให้ แฮร์มานน์ กอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศของนาซี สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ขึ้น โดยในระยะแรกเป็นเพียงการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดลุฟท์วาฟฟ์ แต่ต่อมาในปี 1944 โครงการดังกล่าวตกอยู่ในความดูแลของ แคมม์เลอร์ ซึ่งคิดสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่มีรูปร่างคล้ายกับ “จานบิน” โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้างจานบินต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก



วัตถุรูปร่างคล้ายจานบินยูเอฟโอ ที่อดีตนักข่าวชาวโปแลนด์และนักประวัติศาสตร์การทหาร
อ้างว่ากองทัพนาซีเป็นผู้สร้างขึ้น


ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ขณะมีผู้พบเห็นจานบินของนาซีลอยในระดับต่ำ เหนือท้องฟ้ากรุงลอนดอนเมื่อปี 1944


ฮิตเลอร์มุ่งมั่นจะสร้างอาณาจักรไรช์ที่ 3 ให้อยู่ได้นานถึง 1,000 ปี เพื่อสนองความใฝ่ฝันที่แสนสวย เขามีโครงการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดพิเศษหลายโครงการ เช่น จานบินขึ้นลงตามแนวดิ่งที่สามารถบินได้เร็วเหนือเสียง จรวดนำวิถียิงจากระยะไกล เครื่องบินทิ้งระเบิดสมรรถนะสูง และระเบิดปรมาณู เป็นต้น ฮิตเลอร์สามารถทำโครงการได้สำเร็จเพียงบางโครงการเท่านั้น อาณาจักรไรช์ที่ 3 ของเขาก็ล่มสลายลงภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงตัวตาย เขามีคำสั่งให้หน่วยเอสเอสทำลายโครงการที่เขาได้ทำสำเร็จแล้วให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้รัสเซียนำพิมพ์เขียวจากโครงการของเขาไปใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ดี เมื่อคนของเอสเอสได้นำพิมพ์เขียวและจานบินทั้งหมดเผาทำลายที่กลางลานสนามบิน ปราก-จีเบลล์ ทหารรัสเซียสามารถยึดจานบินเครื่องต้นแบบได้หนึ่งลำ ส่วนโครงการจรวด วี2 และแบบพิมพ์เขียวก็ถูกทหารรัสเซียยึดเอาไปพัฒนาเป็นจรวดสกัด (SCUD) ขีปนาวุธนำวิถีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลัวจนขนหัวลุก เกิดวิกฤติที่เกือบก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อรัสเซียแอบนำจรวดสกัดไปติดตั้งจ่อจมูกสหรัฐอเมริกาไว้ที่คิวบาในสมัยประธานาธิบดีเคเนดี ซึ่งเป็นคนหนุ่มรูปหล่อและมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา เขาได้ยื่นคำขาดต่อรัสเซียให้ถอนจรวดสกัดออกไปจากคิวบาภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นสหรัฐอเมริกาจะใช้ระเบิดปรมาณูถล่มรัสเซียให้แหลกลาญทันที รัสเซียยอมถอนจรวดสกัดกลับเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ฟิเดล คัสโตร ผู้นำคิวบาก็กลายเป็นคู่แค้นของสหรัอเมริกา จนมีการทำลายล้างกันหลายครั้งหลายหน แต่คัสโตรก็รอดตายมาจนถึงวันนี้ และเขาได้ยุติบทบาททางการเมือง โดยโอนอำนาจบริหารให้กับน้องชายหลายปีแล้ว จรวดสกัดของรัสเซียเป็นขีปนาวุธระยะไกลของค่ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น เมื่อคอมมิวนิสต์ล่มสลายลง หลายประเทศได้นำจรวดสกัดมาพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูง สามารถยิงไปได้ไกลมากขึ้น เช่น เกาหลีเหนือได้พัฒนาจนสามารถยิงจรวดสกัดไปถึงสหรัฐอเมริกา




โครงการจานบินเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1941 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญของเยอรมัน 3 คน คือ Schriever, Habermohl, Miethe และวิศวกรจากอิตาลีอีก 1 คน คือ Bellonzo เมื่อสงครามยุติลง กองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำตัว Schriever และ Miethe ไปเป็นนักโทษในค่ายกักกันที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำงานเกี่ยวกับจานบินภายใต้ชื่อ"OperationPaperclip" ส่วน Habermohl หน่วยข่าวกรองทางทหารสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า ถูกรัสเซียจับตัวไป





ข้อมูลจาก : allmysteryworld



บันทึกการเข้า
แคทรีนจังกกไข่
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 49


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 36.0.1985.125 Chrome 36.0.1985.125


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:37:40 »



‘ฮิตเลอร์’ หวังใช้แหวนพระเจ้าครองโลก…!

แหวนเงินเกลี้ยงทำขึ้นอย่างง่าย ๆ 2 วง มีน้อยคนรู้ว่าเคยเป็นแหวนที่พระเจ้าเคยสวมใส่มา ก่อนต่อมามอบแก่พระเยซูเจ้า เพื่อสร้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เมื่อครั้งเผยแพร่ศาสนาคริสต์บนโลก
เชื่อกันว่า แหวนเงินอันทรงมหิทธานุภาพคู่นี้ เมื่อสวมใส่ในนิ้วมือของผู้ใดก็ตาม คนผู้นั้นสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์เรียกฟ้าฝนพายุและสายฟ้าได้ดั่งผู้วิเศษ นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ปัจจุบัแหวนพระเจ้าถูกชนเผ่านักรบทะเลทราย เผ่าเบดูอิน (Bedouin) เก็บรักษาไว้อย่างลับสุดยอด ในยุคโบราณ ผู้นำทรราชย์หลายชาติรู้ว่า แหวนพระเจ้า (God Ring) มีอิทธิฤทธิ์ ต่างพากันแย่งชิง เพื่อครอบครองดังเช่นจักรพรรดิเนโร (Nero) แห่งกรุงโรม หรือที่รู้จักในชื่อ “นีโรจอมโหด” ผู้ทารุณโหดร้าย รวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) แห่งกองทัพนาซี และ ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) ก็เอากับเขาด้วย...เอาละสิให้ตายเถอะจอร์ชเริ่มสนุกละสิงานนี้..55+

อิสราเอล โคเฮน (Israel Cohen) นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางกล่าวว่า  “ผู้ใดได้สวมแหวนพระเจ้า จะมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ พลังอำนาจนี้คือพลังอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริง”  “ชาวเบดูอินต่างรับรู้พลังอำนาจของแหวน 2 วงนี้ดี จึงเก็บงำเป็นความลับมากว่า 2,000 ปี เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของผู้นำชาติที่โลภมาก และต้องการปกครองโลก” จากหลักฐาน มีนักโบราณคดีของอิสราเอลได้ยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีแห่งอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ได้ตั้งหน่วยทหารพิเศษตามหาแหวนพระเจ้ามากว่า 10 ปี

ชนเผ่าเบดูอินเป็นเผ่าที่รบในทะเลทรายได้เก่ง (หนึ่งในนั้นเป็นอดีต รมว.กลาโหมอิสราเอล เชื้อสายเผ่าเบดูอิน) เร่ร่อนอาศัยอยู่ตามโอเอซิส (Oasis) กลางทะเลทรายในเขตแดนอิรักและซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) แต่แม้จะทุ่มเทกองกำลังค้นหาเท่าใดก็ไม่พบแหวนพระเจ้า เพราะชาวเบดูอินที่รู้เรื่องต่างพากันปิดปากเงียบ ทำให้ซัดดัมสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปเกือบ 3,000 คน เมื่อถูกทหารซัดดัมกดดันมากเข้า ชนเผ่าเบดูอินจึงไปพึ่งใบบุญอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่กัดกับอิรักมาช้านาน “ถ้าซัดดัมได้แหวนพระเจ้ามาครอบครอง มันจะเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุด สามารถทำลายล้างสหรัฐอเมริกา หรือยุโรปให้พินาศหมดสิ้น”

นักโบราณคดีอิสราเอลกล่าวอีกว่า ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,000 ปีก่อน จักรพรรดิผู้เหี้ยมโหดแห่งกรุงโรม “เนโร” ได้ส่งกองทหารตามหาแหวนพระเจ้าเช่นกัน 

จักรพรรดิเนโรส่งทหารตามหาแหวนศักดิ์สิทธิ์เมื่อราว ค.ศ. 64 โดยหวังว่าจะได้แหวนมา เพื่อจะสร้างอาณาจักรโรมันให้ยิ่งใหญ่ครองทั้งโลก แต่แล้วจักรพรรดิเนโรกลับบ้าคลั่ง สั่งเผากรุงโรมเสียเอง

ในยุคจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส นโปเลียน โบนาปาร์ต (Bonaparte) ได้กรีธาทัพแสนยานุภาพบุกยึดตีอาณาจักรต่าง ๆ ในตะวันออกกลางไปจนถึงอียิปต์ จุดมุ่งหมายเพื่อการขยายอาณาจักร และมุ่งตามหาแหวนพระเจ้าด้วย แต่ค้นหาไม่พบเช่นกัน

ยุคของฮิตเลอร์ หลังจากยึดยุโรปได้บางส่วน กองทัพนาซีของฮิตเลอร์ได้รับคำสั่งจัดทหารจำนวนหนึ่งไปตามหาแหวนพระเจ้า ฮิตเลอร์ส่งทหารไปหาแหวนพระเจ้าพร้อม ๆ กับสั่งนักวิทยาศาสตร์สร้างอาวุธร้ายแรง เช่น จรวด วี-2 (V-2) เครื่องบินรบติดเครื่องยนต์ไอพ่น เพื่อนำอาณาจักรไรช์ที่ 2 (Second Reich) หรือเยอรมันครองโลก
ฮิตเลอร์เกือบได้แหวนศักดิ์สิทธิ์ แต่ผู้ได้จับต้องสวมใส่คือขุนศึกมือขวา นามว่า “จอมพลเออร์วิน รอมเมล ผู้ได้ชื่อว่า จิ้งจอกทะเลทราย” จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) เป็นผู้นำกองทัพรถถัง โดยนำกองทัพบุกยึดฐานทัพข้าศึกที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาจนแตกพ่ายไป รวมทั้งกองทัพของอังกฤษ และอเมริกัน ก่อนที่นายพลจอร์จ แพตตัน (George Patton) ผู้นำทัพรถถังอเมริกันจะแก้แค้นได้สำเร็จ การรบชนะทุกครั้งของจอมพลรอมเมลในครั้งนั้น นักโบราณคดีอิสราเอล เชื่อว่าเขาได้สวมใส่แหวนศักดิ์สิทธิ์ในยุคนั้น กองทัพเยอรมันว่าเป็นผู้ปลดปล่อยแอฟริกาจากการตกเป็นอาณานิคมของทหารอังกฤษ  ต่อมาชาวเบดูอินผู้รักษาแหวนพระเจ้าเริ่มดูออกว่าจอมพลรอลเมลที่แท้คือผู้ยึดครองคนใหม่ มีความเลวร้ายพอ ๆ กับอังกฤษ จึงแอบมาขโมยแหวนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนไป ก่อนที่จอมพลรอมเมลจะส่งมอบแก่ฮิตเลอร์  และเหตุที่นักรบเบดูอินเอาแหวนศักดิ์สิทธิ์กลับไปได้ เพราะรอมเมลไม่เชื่อในฤทธิ์ จึงทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แหวน จึงเป็นโอกาสที่นักรบเบดูอินจะมาแอบนำกลับไป
นักโบราณคดีอิสราเอลกล่าวอีกว่า ตนเองเคยเห็นแหวนศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อ 20 ปีก่อน จากหัวหน้าเผ่าเบดูอินผู้หนึ่ง แลดูเหมือนแหวนเงินธรรมดา ไม่มีค่างวดอะไร
หัวหน้าเผ่าเบดูอินผู้นั้นกล่าวว่า "พวกเขาจะรักษาแหวนวงนี้จนกว่าพระเยซูจะเสด็จฯมายังโลกเป็นครั้งที่ 2 แล้วมานำแหวนกลับไป พวกเขาจะไม่ยินยอมมอบแหวนศักดิ์สิทธิ์แก่ใครอีกแล้ว"



เรียบเรียง : Bob Thai
ขอบคุณ: คุณ อังคีรส์ เจริญราษฎร์ (นิตยสาร 108 โลกแปลก พิสดาร)

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.225 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 19 พฤศจิกายน 2567 15:46:28