[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 พฤศจิกายน 2567 02:37:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ  (อ่าน 4054 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 20:31:51 »

เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ  อนัตตา=ไม่อมตะ  


ศาสนาพุทธของเรา  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบทางแห่งการเข้าไปเป็นสิ่งที่เป็นอมตะและไม่มีทุกข์  หลุดออกจากการเป็นสิ่งไม่เป็นอมตะและยังมีทุกข์ใน 3 ภพ


อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา

อนัตตา = สิ่งที่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

อนัตตา = สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่ไม่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ขันธ์ 5  ขันธ์ 5 จึงเป็นอนัตตา

.............................................................................

อัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา

อัตตา = สิ่งที่ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อัตตา = สิ่งที่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตบริสุทธิ์พุทธะ หรือจิตที่ไม่มีคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)  ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)จึงเป็นอัตตา

สรุป

อนัตตา คือ สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  ซึ่งจิตสังขารเข้าไปอยู่ คือ ขันธ์ 5

อัตตา คือ สิ่งที่เป็นอมตะ ซึ่งจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ) ที่เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"

ท่านเข้าใจหรือยัง  นี่คือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าจึงยืนยันในขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571ว่า "ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."

และพระอวโลกิเตศวรจึงสอนพระสารีบุตร บึนทึกในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 21:46:58 »

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

คุณเดียรถีย์พลศักดิ์ มีแต่ของเก่ามาขาย
หมดมุกแล้ว


สรุป

นิพพานของคุณเดียรถีย์พลศักดิ์  = อสังขตธาตุ = อัตตา = ธรรมธาตุ=ธรรมกาย = ธรรมขันธ์ = เจ้าแม่กวนอิม = เปลี่ยนเป็นใครอะไรก็ได้ = เลอะเทอะ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
   
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 00:24:07 »

ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต  ผู้นั้นเห็นเราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 08:21:23 »

ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต  ผู้นั้นเห็นเราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์


หมดมุกแล้วหรือครับ  มุกแป๊กก....ครับ
ตะแล้น..ตะแล้น..ตะแล้น...    หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

คุณเดียรถียร์พลศักดิ์ บิดเบือนพุทธพจน์ อีกแระ

ถีงแม้ว่า จะเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ ที่ผู้มีมลทินอย่างคุณเดียรถีย์ พลศักดิ์ ได้คิดค้นจินตนาการรำพัน ขี้นมา

ก็พอมีอรรถรสอยู่บ้าง เพราะรสพระธรรมนั้นเป็นเลิศกว่ารสใดๆ
แม้จะแทบหาความบริสุทธิ์เอาไม่ได้เสียเลย

ผู้มีศีลมีสติ มีสมาธิและปัญญา ก็ยังจะสามารถเลือกคัดเอาได้ หละนะ

แต่ธรรมะที่บริสุทธิ์อันแท้จริง ที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ
ไม่ได้อยู่ที่ใดอื่น

อยู่ในใจเราทุกคนนั่นแหละ ไม่ต้องเที่ยวแสวงหาออกไปนอกกายนอกใจนี่เลย

พยายามๆเข้าไว้เน้อ คุณหนูเดียรถีย์พลศักดิ์
ก็ขออัญเชิญ มอบ คำขวัญและกำลังใจ 
ด้วยสโลแกน  ของท่านปรมาจารย์ อิอิ

ด้วยบทนี้

" ทำไปเรื่อยๆ เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย
ทำไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อย เราไม่เหนือย "

สวัสดีปีใหม่ครับคุณเดียรถีย์พลศักดิ์
สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านผู้ชม
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:32:38 »

อ่านแล้วสงสัยทำให้อยากเรียนถาม
1 อัตตานั้นคือความเมตตาใช่มั๊ย...
2. ส่วนอนัตตาคือความว่างขณะไม่ปรุงแต่งใดๆ
3. อัตตาจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ว่างแต่เกิดการปรุงแต่งขึ้น
ขณะที่ไม่เป็นทุกข์...
ขณะที่เที่ยง...
ขณะที่ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
แต่เกิดการเมตตาขณะนั้น :01: :07:

ตอบ

1.    “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง
   นิพพานธาตุ...."

   "....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...."


ด้วยเหตุนี้  ความเมตตานั้น ต้องไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เหลืออยู่  จึงจะเรียกว่า "อัตตา"

2. อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร หมายถึง สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ส่วนอนัตตาคือความว่างขณะไม่ปรุงแต่งใดๆ  เขาเรียกว่า "สุญญตา"

3. อัตตาจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ว่าง ไม่คิดปรุงแต่งด้วยราคะ โทสะ โมหะ ... ขันธ์ชองสิ่งนี้จึงเป็นอมตะ เรียกว่า ธรรมขันธ์ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรืออายตนะนิพพาน

 แต่ถ้าเกิดความคิดปรุงแต่งด้วยราคะ โทสะ โมหะ เขาเรียกว่า อัตตานุทิฏฐิหรืออุปทาน ... ขันธ์ของสิ่งนี้จึงไม่เป็นอมตะ เรียกว่า ขันธ์ 5
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:46:41 »

ตอบ

ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรเลย

ธรรมขันธ์ (ธรรมกาย) เป็นอัตตา  เพราะอยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  ไม่ให้เกิด  ไม่ให้แก่  ไม่ให่เจ็บ ไม่ให้ตาย  และจะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้  เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเปลี่ยนเป็นใครก็ได้

ที่ว่าเจ้าแม่กวนอิมจะเปลี่ยนแปลงเป็นใครเป็นอะไรก็ได้

แล้วมันไม่แปรปรวน ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง ได้ยังไงครับ

 เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
ของเก่าที่เปลี่ยนไป ๆๆ  ยังคงอยู่ หรือดับหายไปครับ


อนัตตลักขณะสูตร  ซ่อนความลับของสิ่งที่เป็นอัตตา เอาไว้ในขันธ์ 5 ซึ่งเป็นอนัตตา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

        รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นอนัตตา ถ้ารูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
 :45:

จากอนัตตลักขณะสูตร

รุป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จะเป็นอัตตาได้ ต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ:

1.  รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ   ไม่อาพาธ = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

2. บุคคลพึงได้ในรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ข้อ 1 หมายถึง ไม่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา = กาลเวลาและกรรมเป็นตัวกำหนด = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นั่นเอง

ข้อ 2 หมายถึง บุคคลนั้นสามารถกำหนดได้ว่า  จะให้รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด   อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย = จะให้เป็นอะไรก็ได้ จะให้สิ้นสุดเมื่อไรก็ได้  แล้วแต่ผู้นั้นจะกำหนด

กล่าวอีกนัยหนึ่ง

พระบรมศาสดาตรัสสอนปัญจวัคคีย์ว่า : ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา

ปัญจวัคคีย์ตอบว่า: ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า (= ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา)

แล้วถ้าสิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา (= ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์ หรือธรรมธาตุ หรือ อายตนะนิพพาน เป็นอัตตา หรือตัวตนของเรา)
ปัญจวัคคีย์จะตอบว่า: ข้อนั้นควรเลยพระพุทธเจ้าข้า ใช่หรือไม่

สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา = ไม่อาพาธนั่นเอง

สรุป

ความหมายคำว่า อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร มีคุณสมบัติ 2 ประการ

1.  คำว่า ไม่แปรปรวน ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องมีคำว่า "เป็นธรรมดา"[/ b]ด้วย =ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือไม่อาพาธ

2.  ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น =  บุคคลนั้นสามารถกำหนดได้ว่า  จะให้รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด   อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย = จะให้เป็นอะไรก็ได้ จะให้สิ้นสุดเมื่อไรก็ได้  แล้วแต่ผู้นั้นจะกำหนด
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
อนัตตา
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
時々๛कभी कभी๛ 6 6112 กระทู้ล่าสุด 15 สิงหาคม 2553 22:08:33
โดย 時々๛कभी कभी๛
อัตตา สร้าง อนัตตา, พระเจ้า(พระธรรม) สร้าง สรรพชีวิต
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
phonsak 2 3596 กระทู้ล่าสุด 27 ตุลาคม 2553 19:39:05
โดย หมีงงในพงหญ้า
อมตะ 'ปอง ปรีดา'
หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
Kimleng 0 1376 กระทู้ล่าสุด 06 กรกฎาคม 2558 15:11:06
โดย Kimleng
"มหาธรรม 13" นิพพาน อัตตา อนัตตา
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1153 กระทู้ล่าสุด 22 กรกฎาคม 2559 15:54:00
โดย มดเอ๊ก
[การเงิน] - “อมตะ” ปักธงลงทุนพันล้านเหรียญสร้างเมืองทันสมัย สปป.ลาว
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 306 กระทู้ล่าสุด 17 มกราคม 2565 23:54:57
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.401 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 09 พฤศจิกายน 2567 22:34:58