เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti-aging Medicine) ศาสตร์แห่งการป้องกันโรคและทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ กำลังเป็นที่นิยมจากคำนิยาม "หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง"
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรวัฒน์ เป็นผู้นำศาสตร์ด้านนี้เข้ามาเผยแพร่จนได้รับความนิยม อธิบายถึงคำว่าอายุรวัฒน์ในการเสวนาเรื่อง"ไม่เครียด ไม่แก่ แก้ยังไง" งานมติชน เฮลท์แคร์...ดูแลสุขภาพ ครั้งที่ 2 ว่า เป็นศาสตร์ที่ช่วยต้านความชราและไม่มีโรค เป็นการดูแลจากภายใน แตกต่างกับศัลยกรรมที่เป็นการเสริมความงามภายนอก โดยมองว่าคนเรามีอายุ 2 แบบ อายุจริงตามวันเดือนปีเกิด กับอายุภายใน เป็นตัวเลขทางชีวภาพ ศาสตร์ชนิดนี้จะเป็นการชะลออายุภายใน สามารถหยุดนาฬิกาหรือย้อนวัยได้ โดยเราต้องรู้ก่อนว่า คนเราเริ่มแก่ตั้งแต่อายุ 20 ปี ตามหลักอายุรวัตร สังเกตได้จากว่า พออายุเกิน 20 ปี เรามักจะนอนนานแต่ไม่อิ่ม ไม่สดชื่น "ที่ถามว่า การยิ้มหรือหัวเราะจะทำให้ตีนกาเยอะขึ้นไหม นั่นเป็นเรื่องจริง แต่การทำหน้าบึ้งจะใช้กล้ามเนื้อหน้า 300 กว่ามัด ซึ่งยิ้มจะใช้เพียง 200 กว่ามัด ทำให้เวลาเราหน้าบึ้งริ้วรอยจะยิ่งลึกและเยอะกว่า"
นายแพทย์กฤษดา ยังแนะนำวิธีทดสอบความแก่ 1.จับใต้ท้องแขน หากหนาเกิน 1 เซ็นติเมตร แสดงว่ามีมวลไขมันเยอะเป็นสัญญาณบอกความชรา
2.ลองหยิกที่หลังมือ หากมีรอยเป็นจีบๆ แปลว่าเหี่ยวแล้ว และ
3.กระพือแขน ถ้าโบกไปคนละทางกับมือแสดงว่าเริ่มมีปีกแก่ (Chicken Arm)
ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แก่ก่อนวัย คือการนอนดึก เพราะทำให้ Growth hormone ไม่หลั่ง ขอแนะนำให้ฝึก นอนหลับตอน 4 ทุ่มและตื่น 6 โมงเช้า ทำเป็นกิจวัตรจะช่วยให้สดชื่น สมองสดใส
หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา เราต้องรู้จักตัวเอง ความเครียดจะยิ่งทำให้แก่บางคนคิ้วผูกโบ มีตีนกา
ยิ่งแต่ละคำที่พูดเป็นเรื่องลบ นินทาก็จะยิ่งแย่ หรือโกรธแต่ละครั้งเหมือนกับการดื่มยาพิษ เราต้องพูดบวกเพื่อดีต่อตัวเราเอง
สำหรับคนที่ชอบเอาเรื่องต่างๆ ไปคิดตอนนอน ร่างกายก็จะหลับยากหลับไม่ลึก
ขอให้ตั้งใจคิดแค่ว่า เราทำอะไร ณ ขณะนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน ทำสมองให้เป็นลิ้นชักปิดให้หมด
ปัจจุบันนี้คนชอบทำอะไรพร้อมๆ กัน หลายๆ อย่าง เป็นการประหยัดเวลา แต่มันส่งผลระยะยาวให้เป็นคนความจำสั้น ลืมง่าย เราควรเปิดทีละลิ้นชักทำทีละเรื่อง นอกจากนี้ คนที่ชอบทำงานแล้วไม่ได้ทำ หรือคนที่เกษียณอายุแล้ว มักจะเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง เนื่องจากเวลาเราทำงานจะมีธาตุหนุ่มสาวความสุขจะหลั่งออกมา แต่ถ้าหยุดทำงานจะกลายเป็นคนซึมเศร้า
"วิธีต้านแก่ คือ 1.เราต้องเก็บภาพที่สวยงาม เพราะสมองเหมือนเครื่องเล่นดีวีดี คนที่ใกล้จะตาย ตาจะเริ่มดับและหูจะเริ่มดับ สมองจะเล่นเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต 3 วินาทีสุดท้าย ในจิตสุดท้ายดับไปตอนมีความสุขก็จะไปในที่ดีๆ แค่เพียงเราคิดบวก
2.พยายามมองคนให้เหมือนเด็ก บางคนไม่เคยรู้จักกันแต่ไม่ชอบกันเป็นเรื่องแปลก เท่าที่ผมพบคือคนเรามักจะไม่ชอบกลิ่นบางอย่าง กลิ่นที่ไม่ปกติทำให้ใจเราร้อนรุ่มและรู้สึกอึดอัดเวลาที่อยู่กับคนนั้น เราจึงควรมองทุกคนให้เหมือนเด็กใจจะเย็นลง แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาเองก็มีความเป็นเด็ก พยายามหาแง่ดี ทุกคนมีข้อดี ธรรมชาติไม่เคยสร้างให้ใครเกิดมาแย่บริสุทธิ์"
ส่วนเรื่องการรับประทานอาหารแนะนำให้ทานมะเขือเทศ ยิ่งนำไปประกอบอาหารสารที่สำคัญอย่างไลโคปีนจะหลั่งออกมาเยอะ เช่น น้ำมะเขือเทศ ขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือน้ำพริกอ่อง ช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี
ถ้าเป็นสูตรอาหารควรจะทานปลาทูวันละ 2 ตัว คะน้า 5 กำ หรือรับประทานผักชนิดอื่นให้ถึง 5 ขีดต่อวัน ต้องทานให้ครบ ผักก็เหมือนยาหากทานไม่ครบก็ไม่สามารถให้ประโยชน์สูงสุด สำหรับคนที่อยากให้ผิวพรรณขาวใสให้เลือกกะหล่ำดอกวันละ 5 กำมือ ผิวขาวช่วยได้ แต่ถ้าถามว่าต้องทานให้ครบทุกสีหรือไม่ แนะนำให้เลือกผักสีเขียว เพราะสีนี้เป็นสีที่กลบสีอื่นเอาไว้ สังเกตได้จากผักคะน้าทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
สำหรับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีไม่ควรออกหนักๆ ติดกันเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะยิ่งหลั่งสารแก่ทำให้โทรมเร็ว โดยสามารถเลือกวิธีออกกำลังกายได้ 2 อย่าง
1.สลับชนิด เช่น ซิทอัพ 15 ที และวิ่ง 15 นาที ทำสลับกัน
2.สลับช่วง เช่น วิ่ง 2 นาที ผ่อน 2 นาที ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบครึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรควรวอร์มร่างกายก่อนเสมอ ที่สำคัญห้ามออกกำลังกายตอนท้องว่าง ถ้าต้องการวิ่งควรเป็นช่วงบ่ายหรือเย็น ช่วงเช้าแค่เดินก็พอ นอกจากนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรรับประทานชีส (เพราะเป็นโปรตีนไม่เหมือนกับเนย) โยเกิร์ต เนื้อขาวทั้งปลาและไก่ ไข่ขาว อาหารพวกนี้ช่วยทำให้กล้ามขึ้นได้
ข้อมูลจาก
www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277290586&grpid=&catid=02