[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 08:25:29 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มงคล 38 ประการ  (อ่าน 15226 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 เมษายน 2558 19:47:39 »

.


อเสวนา จ พาลานัง
ปณฺฑิตานญฺจเสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ
เอตมฺมํคลมุตฺตมํ

มงคลที่ ๑ "ไม่คบคนพาล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

วันนี้ ตรงกับวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันเริ่มพูดเรื่อง มงคล เพราะว่ามงคล ๓๘ ประการนี้ มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมากท่านที่มีความสนใจใคร่จะอ่าน ก็เพราะว่าที่อาตมานำมงคลทั้ง ๓๘ ประการออกอากาศทางสถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมีความต้องการให้มงคลทั้ง ๓๘ ประการนี้ เป็นหนังสือออกมาสำหรับอ่าน คนที่มีเจตนาเป็นรายแรก คือจ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม แห่งจังหวัดสิงห์บุรี แจ้งมาว่าขอให้จัดทำหนังสือมงคลเล่มนี้ขึ้น แล้วก็ขอมอบเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท เป็นเงินเริ่มต้น

สำหรับท่านผู้นี้หนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่ออกมาสู่สายตาของบรรดาพุทธบริษัท ก็มีท่านจ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม คนหนึ่ง แล้วก็คุณสุวัฒน์ อีกคนหนึ่ง เป็นผู้เริ่มต้นให้ทุนรายละ ๔,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๘,๐๐๐ บาท แล้วต่อจากนั้นมาก็คุณอรอนงค์ คุณะเกษม ได้เป็นนายทุนใหญ่ นำหนังสือนั้นไปพิมพ์แจกในงานศพของบิดา ต่อมาก็มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนหลายท่านมี ดร.ปริญญา นุตาลัย คนหนึ่ง แล้วก็ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ อีกท่านหนึ่ง แล้วมีหลายท่านด้วยกัน ได้รวบรวมกันพิมพ์ขึ้นมาเป็นลำดับ

เป็นอันว่าหนังสือประวัติของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ได้พิมพ์มาแล้วหลายรุ่นจนกระทั่งหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วก็หนังสือไตรภูมิ แต่ว่าหนังสือทุกฉบับ ที่จะปรากฏเป็นอักษรขึ้นมาได้ ก็อาศัยท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ท.อ. และบรรดาบุตรหลานช่วยกันคัดลอกเป็นตัวอักษรขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าสำหรับอาตมาเอง ไม่มีปัญญาที่จะเขียนเป็นตัวอักษรขึ้นมาได้ ด้วยกำลังกายไม่มี อาศัยความแก่เฒ่าชราเป็นสำคัญ แล้วประกอบไปด้วยร่างกายมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำ ในเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านที่ฟังสถานีวิทยุ ๐๔ ในการที่อาตมานำเอามงคล ๓๘ ประการ ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาออกอากาศ มีบรรดาท่านพุทธบริษัทส่วนมากต้องการจะอ่านเป็นหนังสือ ฉะนั้น จึงได้พยายามเรียบเรียงใหม่โดยการบันทึกเสียงใหม่ ไม่ใช่เอาเป็นตอน เป็นวรรคเฉพาะวันพุธ เพราะว่าการอ่านแบบนั้นรู้สึกว่าจะไม่ปะติดปะต่อกัน แต่หนังสือเล่มนี้จะปรากฏขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยเรี่ยวแรงของท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ เป็นหัวหน้าในการคัดลอกตามเดิม สำหรับอาตมาเองก็ใช้แต่เพียงเสียง แต่ว่าเสียงที่จะพึงใช้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะสะดวกนัก ร่างกายไม่สมบูรณ์ตามแบบฉบับธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลก มันก็เป็นอย่างนั้น

เป็นอันว่าอาตมาขอขอบคุณบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน ที่พยายามให้ทุนในการที่จะพิมพ์หนังสือมงคล ๓๘ ประการ สู่สายตาของบรรดาท่านพุทธบริษัท มีท่านจ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม คนหนึ่ง แล้วก็อีกท่านหนึ่งที่ปรารถนาจะให้ทุน ก็คือคุณวารุณี สุนทรเวช บุตรสาวท่านพระยาแพทยพงศาสุภาธิบดี แล้วที่จะมีใครอีกบ้าง อันนี้อาตมาก็ยังไม่ได้ทราบเป็นอันว่าขอทุกท่านที่ร่วมทุนก็ดี ร่วมกำลังแรงก็ดี ช่วยคัดลอกเสียงออกมาเป็นหนังสือนี้ ขอผลความดีนี้จงมีแก่พุทธบริษัททุกท่าน ความดีใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความสนใจ ประกาศพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ด้วยการออกทุนก็ดี ออกแรงในการคัดลอกก็ดี ขอให้ทุกท่านทั้งหมดนี้ จงบรรลุธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้วในชาตินี้เถิด

ต่อจากนี้ไป ก็จะขอพูดเรื่องมงคล คำว่ามงคลนี้ ปรากฏมีแก่จิตใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและไม่ใช่พุทธศาสนิกชนมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ตรัสมงคล ๓๘ ประการกับเทวดา ความจริงเรื่องมงคลนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสกับคน ทรงเทศน์ให้เทวดาฟังเพราะว่าท่านผู้ไปถามมงคลเป็นเทวดา ไม่ใช่คน แต่ทว่าเรื่องราวของมงคลเกิดขึ้นกับคนก่อน ตามพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ปรากฏว่าในสมัยนั้นองค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิโสภาค ได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แต่ทว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ยังไม่ได้ตรัสมงคล ๓๘ ประการ แล้วก็เป็นโอกาสเดียวกันในเวลานั้น คนที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีมาก เขาพากันคิดเรื่องมงคล เขาถามกันว่า อะไรเรียกว่ามงคล แต่ละคนแต่ละฝ่ายก็พากันคิดว่า อย่างนี้เป็นมงคล อย่างนั้นเป็นมงคล ตัวอย่างตามฎีกา มงคลท่านกล่าวไว้ว่า บางท่านบอกว่าสายตาเป็นมงคล คือตาย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ก็มีผู้ค้านว่า ตานะเป็นมงคลก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ใช่มงคลตลอดกาล ว่าถ้าความมืดปรากฏ ตาก็มองไม่เห็นอะไร หรือว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏมาบังสายตา ตาก็ไม่สามารถจะเห็นได้ เป็นอันว่าบุคคลที่กล่าวว่าตาเป็นมงคลก็แพ้ไป บางท่านบอกว่าหูเป็นมงคล เพราะเราจะได้ยินเสียงอะไรได้ก็อาศัยหูเป็นปัจจัย แต่ก็มีคนค้านอีกเหมือนกัน ว่าถ้าฟังเสียงจากที่ไกลหูไม่สามารถจะฟังได้ เป็นอันว่าท่านที่กล่าวว่าหูเป็นมงคลก็แพ้ไป อย่างนี้เป็นต้น

นี่ มาเล่าสู่กันฟัง ว่าในสมัยนั้น ยังไม่มีใครทราบว่าอะไรเป็นมงคลกันแน่ แม้ว่าสมัยนี้ก็เหมือนกัน สมัยที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมงคลแล้ว และพระบาลีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสไว้ว่าเป็นมงคล ก็มีบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนำไปสวดให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนฟังอยู่เสมอ เวลาที่ชาวบ้านพากันนิมนต์พระไปทำบุญบ้าน หากกล่าวกันว่าเป็นงานมงคล คือ งานบวชนาคก็ดี (บวชคนให้เป็นพระนะ) หรือว่างานแต่งงาน งานโกนจุก งานขึ้นบ้านใหม่ งานขึ้นบ้านเก่าอะไรก็ตาม พระท่านมักจะขึ้นศัพท์ว่า อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจเสวนา เป็นต้น นี่ก็หมายความว่าพระท่านไปสวดสิ่งที่เป็นมงคลที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่เทวดา ให้ประชาชนทราบ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มงคลที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ และบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนพากันได้ยินอยู่เสมอ แต่ว่าก็หาคนที่นำมงคลของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติได้ยากเต็มที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาประชาชนทั้งหลายยังถือวัตถุเป็นมงคลอยู่ เวลาจะทำงานมงคลสักทีตัวอย่างเช่นงานแต่งงาน มักจะพากันหาด้ายมาทำเป็นสายสิญจน์แล้วทำเป็นมงคล เวลาที่จะทำมงคลก็ต้องหาอาจารย์ที่มีความสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ เสกมงคล จับมงคล และนอกจากนั้นก็ยังมีวัตถุธาตุอย่างอื่นที่อาศัยว่าเป็นมงคลใช้กันอยู่

ตัวอย่างคือสมัยหนึ่ง ที่อาตมาได้พบในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ความจริงน่ะพบกันมาเรื่อย แต่ว่าวันนั้นเป็นวันพิเศษ บังเอิญเขานิมนต์อาตมาไปในฐานะเป็นหัวหน้าพระ ไปในงานแต่งงานของท่านผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ท่านหนึ่งในต่างจังหวัด วันนั้น ปรากฏว่าสิ่งที่เป็นมงคลที่ชาวบ้านจัดมันมีครบ เช่น ใบเงิน ใบทอง ใบนาค นี่เขาสมมติกันว่า ถ้าจะนำมงคลสำหรับน้ำมนต์แล้วก็ต้องมีใบเงิน ใบทอง ใบนาค เพราะหากว่ามีใบเงิน คู่บ่าวสาวจะได้มีเงินมากๆ ถ้ามีใบทอง ก็มีทองมาก ถ้ามีใบนาค ก็มีนาคมาก จัดว่าเป็นของมีค่าสูงแล้วต่อมา มองลงไปดูในขันน้ำมนต์ ก็มีใบส้มป่อย ถามเขาว่า นี่ใช้ใบส้มป่อยทำไม เจ้าพิธีก็บอกว่าเจ้าใบส้มป่อยนี้มีอานุภาพมาก มันสามารถจะกันปีศาจได้ คือว่าปีศาจร้ายก็ดี โชคร้ายก็ดี ไม่สามารถจะมีอำนาจมาทำร้ายแก่คู่บ่าวสาว แล้วมองลงไปอีก ก็เห็นใบหนาด ถามว่ามีใบหนาดไว้ทำไม เขาบอกว่ากันผีร้าย ก็เลยสงสัย ว่าปีศาจร้ายกับผีร้ายนี่มันต่างกันตรงไหน ถามว่าใบหนาดนี่น่ะ มันกันได้ยังไง เขาก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องนางนาคพระโขนง เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่จริงเพียงใดก็ไม่ทราบ

สมัยที่นางนาคพระโขนงอาละวาดคนกลัวนางนาค เมื่อเห็นปีศาจนางนาคพระโขนงมาหลอก เขากระโดดเข้าไปในพุ่มส้มป่อย เป็นอันว่านางนาคไม่สามารถจะเข้าไปทำอันตรายแก่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นได้ อันนี้ก็น่าคิด มองดูไปอีกนิด เห็นใบมะตูมเข้า ก็ถามเขาว่าใบมะตูมนี้เอามาทำไม เขาบอกว่าคู่บ่าวสาวจะได้มีเสียงตูมตาม ชื่อเสียงโด่งดัง มองไปแล้วก็แปลกใจ แล้วก็มานั่งคิดในใจว่าถ้าใบเงิน ใบทอง หรือใบนาค ทำให้คนร่ำรวยขึ้นมาได้ มีใบเงินมากๆ คู่บ่าวสาวมีเงินมาก มีใบทองทำให้คู่บ่าวสาวมีทอง มีใบนาคทำให้คู่บ่าวสาวมีนาค ซึ่งจัดว่าเป็นของมีค่า แล้วก็เป็นว่าถ้าสิ่งเหล่านี้สามารถจะบันดาลให้คนเป็นได้อย่างนั้น ก็เป็นอันว่าคู่บ่าวสาวทุกท่านที่แต่งงานกันไม่ต้องทำมาหากิน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บันดาลให้มีความสุข มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เห็นคู่บ่าวสาวทุกท่านที่แต่งงานกัน ก็มีสิ่งที่เป็นมงคลที่เป็นวัตถุแบบนี้ แต่ในที่สุดก็ต้องหากินตัวเป็นเกลียว ดีไม่ดีก็หาไม่ค่อยจะพอกินเสียด้วยนี่ เป็นอันว่าบรรดาวัตถุที่บรรดาบุคคลทั้งหลายเห็นว่าเป็นมงคล ไม่ได้ช่วยให้คนร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งตรงกันข้ามกับที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์พระองค์ตรัสว่า การที่จะนำมงคลเข้ามาสู่ตัวนี้ต้องปฏิบัติความดีให้เข้าถึงความเป็นมงคล เป็นอันว่ามงคลของชาวบ้านเป็นมงคลนักคิด คือคิดว่าสิ่งนั้นเป็นมงคล สิ่งนี้เป็นมงคล แต่ว่ามงคลขององค์สมเด็จพระทศพลนี่เป็นมงคลสำหรับปฏิบัติให้เกิดขึ้น

นี่แหละ บรรดาท่านผู้ท่าน ความเห็นเกิดไม่ตรงกันระหว่างชาวบ้านกับชาววัด คำว่าชาววัดก็คือพระพุทธเจ้า คราวนี้ในงานนั้นเป็นงานเดียวกัน เวลาที่พระสวดชัยมงคลคาถา หมายความว่าจะสวดชยันโตกันแล้ว จะประพรมน้ำมนต์ให้แก่คู่บ่าวสาวให้มีมงคล ท่านเจ้าภาพใหญ่เป็นผู้หญิง เขาเรียกว่าคุณนาย ก็ไม่ทราบว่าท่านจะเป็นนายใคร จะเป็นนายตัวเองหรือว่านายคนอื่นก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบจริงๆ น่ะ ท่านไม่ได้เป็นนายใครที่ไหน คือท่านเป็นนายใจของท่าน จะว่าท่านเป็นนายใจนี่มันก็ไม่แน่ มองดูให้ชัดท่านจะเป็นนายหรือว่าจะเป็นคนของนาย เข้าใจว่าเป็นคนของนายมากกว่า คือว่าเจ้านายที่บังคับบัญชาท่านก็คืออุปาทานความยึดมั่น เพราะว่าเวลานั้น เมื่อสวดพระปริตรจบ ความจริงก็สวดมงคลผ่านไปแล้ว ตานี้มาถึงบทชยันโตจะเกิดขึ้น คุณนายท่านก็มองเห็นว่าใบมะยมไม่มี ท่านก็เลยใช้คนใช้ให้ไปเด็ดใบมะยม บอกว่านี่ นายไสวเธอจงไปเด็ดเอาก้านมะยมมา ๙ ก้านนะ ประเดี๋ยวพระท่านจะพรมน้ำมนต์แก่คู่บ่าวสาว ใบมะยมนี้มีความสำคัญมาก นี่ฉันสั่งแล้วนะ ฉันบอกแล้วว่าให้หาใบมะยมมาตั้งแต่วันวาน ทำไมจึงไม่มีใครจัดการนำมาให้ ถ้าไม่มีใบมะยมละก็ลูกสาวลูกเขยของฉันจะไม่เป็นที่นิยมของบรรดาประชาชนทั่วไป

ท่านผู้อ่านที่รัก ฟังคำนี้แล้วก็นึกสะดุดใจ จะว่าสลดใจมันก็ไม่ควร จะว่ามันเป็นเรื่องขบขันรึ ก็ไม่ควรเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านบอกว่า ใบมะยมนี่ ถ้าเอามาใช้เป็นเครื่องพรมน้ำมนต์แล้วละก็ ลูกสาวลูกเขยของท่านจะเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาประชาชนทั่วไป ฟังแล้วก็หนักใจเคยเห็นมาหลายรายแล้ว ทุกงานเขามีใบมะยมเหมือนกัน แต่ก็มีหลายรายที่ชาวบ้านไม่ชอบใจ เพราะว่าคู่บ่าวสาวคู่นั้นกลายเป็นคนปากร้าย มีจริยาเสีย แทนที่จะเป็นที่นิยมชมชอบของชาวบ้าน กลับเป็นที่เกลียดชังของชาวบ้าน แต่ทว่าคุณนายท่านบอกว่า ถ้าไม่มีใบมะยม จะไม่เป็นที่นิยมของประชาชน

นี่เป็นอันว่าบรรดาคนทั้งหลายชอบวัตถุ หาวัตถุมาเป็นมงคล เมื่อนายไสวได้รับคำสั่งของคุณนาย ก็วิ่งไปหาต้นมะยม ไปเด็ดเอาก้านมะยมมา ๕ ก้าน แทนที่จะเป็น ๙ ก้านมาส่งให้ท่านคุณนาย ท่านคุณนายรับก้านมะยมมาแล้วก็มานั่งนับ ปรากฏว่าไม่ใช่ ๙ ก้านมันเป็น ๕ ก้าน อีตอนนี้แหละท่านผู้อ่าน สิ่งที่เป็นมงคลมันเกือบกลายเป็นอัปมงคลเพราะอะไร เพราะว่าท่านคุณนายหน้าเขียว แล้วก็ตาแสดงความโกรธจัด หันไปดุนายไสวบอก นี่ฉันสั่งให้เธอเอามา ๙ ก้านนะ ลูกของฉันจะได้ก้าวหน้า แล้วก็มีความนิยมชมชอบของบรรดาประชาชนทั้งหลาย แล้วฉันสั่งเอามา ๙ ก้าน เธอทำไมจึงเอามา ๕ ก้าน อาตมาในฐานะที่เป็นหัวหน้าพระในวันนั้น ก็เลยเห็นท่าไม่เป็นการ ว่างานมงคลนี้ มันจะกลายเป็นอัปมงคลไปเสียแล้ว ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เลยหาทางตัดเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ความจริงก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดีขึ้นมาได้เหมือนกัน เดา ๆ เอายังงั้นเอง ก็เลยถามว่าคุณนาย ก้านมะยมที่นายไสวไปหยิบมาน่ะมันกี่ก้าน คุณนายแกก็บอกว่า ๕ ก้านเจ้าค่ะ ดิฉันสั่งให้ไปเอา ๙ ก้าน จะได้ก้าวหน้า อาตมาก็เลยบอกว่า แหมนายไสวนี่แกเป็นคนมีมงคลจริงๆ นี่ความจริงคุณนายเป็นคนมีโชคดีมากนะ แล้วก็คู่บ่าวสาวทั้งสองนี่เป็นคนที่มีโชคดีจัด คุณนายแกมองหน้า ถามว่าทำไม ก็เลยบอกกับแกว่าความจริงใบมะยม ๙ ก้านน่ะ ท่านเทียบกับนวหรคุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ อย่าง อันนี้จัดว่าเป็นความดีอย่างประเสริฐ แต่ทว่าก้านมะยม ๕ ก้านนี่ ก็หมายถึงว่าความดีของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มาร่วมกัน ถ้าเราเอา ๕ คูณ ๙ มันจะได้เท่าไหร่ ความดีจะสูงเป็นมหันต์ ความเป็นมงคลใหญ่จะปรากฏ พอพูดเท่านี้มันจะเป็นพูดปดหรือไม่ปดก็ไม่ทราบ ยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวพูดไปเองนี่ จะบาปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทว่าคุณนายยิ้มมาได้ ยิ้มแบบสดชื่น บอก ยังงั้นหรือเจ้าคะ ดิฉันไม่ทราบ เห็นเขานิยมกันว่า ๙ ก้านๆ ก็นึกว่า ๙ ก้านเป็นของประเสริฐ นี่บังเอิญ ๕ ก้านนี่ ไปตรงกับพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็มีคุณธรรมประเสริฐ ๙ อย่าง เมื่อเอา ๕ คูณ ๙ ก็ได้มากกว่า ๙ ธรรมดา เป็นอันว่านายไสวไม่ถูกดุต่อไป คุณนายก็ยิ้มชอบใจ เป็นอันว่าวันนั้นงานมงคล ก็เป็นมงคลต่อไปได้ นี่แหละ บรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลาย วัตถุที่เป็นมงคล และคนที่ชอบคิดว่าวัตถุเป็นมงคลยังมีอยู่มาก แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้แล้ว เขาก็ยังคิดว่าวัตถุเป็นมงคล แต่ความจริงองค์สมเด็จพระบรมครูไม่ได้เคยคิดอย่างนั้น คิดว่าการกระทำความดีเท่านั้น เป็นมงคล แล้วก็บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้อ่าน ท่านมีความเห็นตรงกับพระพุทธเจ้าไหม ท่านมีความเห็นตรงหรือไม่ตรง อาตมาไม่ตำหนิ แล้วก็ไม่สรรเสริญ เพราะอะไร เพราะไม่รู้นี่ว่าอย่างไหนมันดีกันแน่ นี่ว่ากันถึงมงคลนักคิด

ต่อมา มาว่ากันถึงมงคลของพระพุทธเจ้า คือเป็นมงคลนักทำ คือทำให้เป็นมงคลขึ้นมา ไอ้การคิดว่าวัตถุเป็นมงคลนี่ มันไม่มีผลกันแน่ เพราะว่าการมีใบเงินใบทอง คนก็ไม่ได้รวย มีใบมะตูม ชื่อเสียงก็ไม่ได้โด่งดัง มีใบส้มป่อย ใบหนาด ก็ไม่ปรากฏว่าคนประเภทนั้นพ้นจากอำนาจของผี มีใบมะยมขึ้นมาเช่นนี้ ก็ไม่จริงว่าจะถูกนิยมชมชอบเสมอไป เป็นอันว่ามงคลของบรรดาท่านนักคิดทั้งหลายยังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน เวลาที่พระท่านสวดมงคล ๓๘ ประการ ทุกคนก็ฟัง แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเหมือนกันว่าพระที่สวดมงคล ๓๘ ประการ ท่านรู้เรื่องราวที่สวดบ้างหรือเปล่า หรือว่าท่านรู้แล้ว แต่ตัวท่านเองปฏิบัติตามนั้นให้เป็นมงคลแก่ตัวเองบ้างหรือเปล่า แบบนี้สงสัย แล้วอีกประการหนึ่งที่บรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายฟังมงคล ๓๘ ประการ รู้หรือเปล่าว่าพระท่านว่ายังไง ถ้าหากว่าท่านรู้ นำมงคลของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติบ้างหรือเปล่า ตรงนี้ก็สงสัยเหมือนกัน ที่สงสัยก็เพราะว่าเคยเห็นพระหลายท่าน ท่านสวดมงคลคล่อง แต่ทว่าท่านไม่ได้นำเอาเรื่องราวของมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปปฏิบัติ นี่ไม่ได้นินทาพระนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พูดให้ฟัง แล้วก็บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็เหมือนกัน ฟังมงคลจักรวาลกันมาไม่รู้จักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยมีใครนำมงคลของพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติให้ครบถ้วน ทั้งนี้ จะมีเหตุผลด้วยประการใด อาตมาไม่วินิจฉัย

คราวนี้ จะมากล่าวกันไปถึงต้นเหตุของมงคล เมื่อบรรดาประชาชนพากันคิดมงคลทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก แต่ว่าหาคนไปถามคำว่าเป็นมงคลแก่พระพุทธเจ้าไม่ได้ เขาคิดกันมาแบบนั้นประมาณ ๑๒ ปี (ตามพระบาลีท่านว่าอย่างนั้น) ตอนที่เขาเริ่มต้นคิดกันนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยังไม่ทราบ แต่ว่าในเวลาที่ครบ ๑๒ ปีนี้ ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ตานี้ ในเมื่อบรรดาประชาชนทั้งหลาย ชาวโลกทั้งหลายพากันคิดมงคล เทวดาที่อยู่บนสวรรค์ เห็นชาวบ้านเขาคิดมงคลกันขึ้นมา เทวดาก็เลยคิดบ้าง นี่เป็นอันว่าคนนี่มีความสำคัญมาก เมื่อคิดอะไรขึ้นมาแล้ว เทวดาก็ต้องตามคน ความจริงก็น่าคิดเหมือนกัน ถ้าชาวบ้านเขายังไม่คิด เทวดาก็ไม่คิด เมื่อคนในโลกคิดมงคลขึ้นมา เทวดาก็เลยคิดบ้าง บรรดาประชาชนเขาประชุมกันเรื่องมงคล ถามว่าอะไรเป็นมงคล เทวดาก็ประชุมบ้าง เป็นอันว่าเทวดานี่เอาตามอย่างคน อีตอนนี้เห็นจะเบ่งได้แล้วคน ว่าเทวดานี่ต้องตามฉันนะ ฉันคิดอะไรขึ้นมานี่มีความสำคัญกว่า เทวดาต้องคิดตาม แต่ว่าเวลานี้ คนเขาพากันเดินขบวนกัน เทวดาเดินขบวนบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ บางทีเทวดาจะหลับเกินไปก็ไม่รู้ เป็นอันว่าช่างเขา เทวดาว่ายังไงก็ช่าง เออ ท่าจะชอบกลเหมือนกัน ประเดี๋ยวก่อนนึกขึ้นมาได้แล้ว ปีนี้เองเห็นจะเป็นต้นๆ ปีกระมัง จำเดือนไม่ได้เสียแล้ว เข้าไปในกรุงเทพ ฯ ไปที่บ้านท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ สมัยนั้นใกล้ๆ กับเดือนตุลาคม ที่เด็กเขาเดินขบวนกัน น่ากลัวจะเป็น พ.ศ. ก่อน ไม่ใช่ พ.ศ. นี้ (นี่หลวงตาแก่เริ่มเลอะเทอะแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะความแก่เข้ามาครอบงำ ขออภัยท่านด้วย)

เวลานั้นเด็กเขาเดินขบวนกันล้มรัฐบาลสามมหาราช ที่เรียกว่าสามมหาราชนี่ความจริงเขาเรียกว่าสามทรราชย์ แต่อาตมาไม่ว่าอย่างนั้น อาตมาอยากจะตั้งนามว่าท่านทั้งสามน่ะเป็นสามมหาราช เพราะมีอำนาจมาก มีอำนาจมากจริง ๆ ความจริงศักดิ์ศรีของท่านใหญ่ ท่านจะดีท่านจะชั่วเป็นประการใดนี่อาตมาไม่ได้อยู่ใกล้ท่าน ทราบแต่เพียงว่าในสมัยของท่าน รุ่งเรืองด้วยประการทั้งปวง อำนาจราชศักดิ์มีมาก เกินกว่ายุคใดๆ ตอนนั้น บรรดาประชาชนทั้งหลายกับบรรดาเด็ก ความจริงเด็กก็ไม่ใช่ตัวเล็กนัก เป็นนักศึกษา แล้วก็เป็นนักเรียน แล้วยิ่งไปกว่านั้น ก็มีเด็กเล็กอีกคน ที่รู้จักหน้ากันดี จะเอานามมากล่าวในที่นี้ก็เกรงใจท่าน เพราะว่าท่านเป็นอาจารย์ชอบเอาไว้หนวด เอาไว้ผมยาว แต่งตัวคล้ายๆ ชาวบ้านธรรมดา ท่านก็เลยพลอยเดินขบวนกับเด็กด้วย ตอนที่เด็กเดินขบวนนั่นเอง หลังจากนั้นไม่กี่วันอาตมาลงไปกรุงเทพ ฯ ก็มีท่านชายท่านหนึ่งมาตั้งปัญหาถามว่า เวลานี้สมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆัง ที่เป็นพระที่มีความสำคัญมาก บรรดาประชาชนเคารพมาก ถูกกักบริเวณอยู่บนสวรรค์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเขาลงโทษท่านว่าพาผีเด็กเดินขบวน นี่ท่าจะชอบกลเสียแล้ว นี่ถ้าเมืองมนุษย์เขาเดินขบวนกัน บนสวรรค์ก็คงจะเดินขบวนกันบ้าง ตานี้มาสงสัยว่าเด็กเขาเดินขบวนขับรัฐบาล แต่ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านขับใครไม่ทราบ นี่ซีชักจะยุ่ง พวกเราถ้าต้องการให้พวกเทวดาสงบละก็ ชวนกันตั้งอยู่ในความสงบดีกว่า ถ้าทำอะไรขึ้นมาเทวดาท่านทำตามนี่มันชักจะยุ่ง ถ้าบังเอิญพวกเรารบกัน เทวดาก็รบบ้าง พวกเรานอนหลับเทวดาก็หลับบ้าง เราซื้อของแพง ของบนสวรรค์เกิดแพงขึ้นมาบ้าง ขึ้นราคา นี่จะพาให้เทวดาท่านลำบาก ถ้าความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัทต้องการความสุขความเจริญ อยู่ด้วยความสุขกันจริงๆ ละก็อยู่ด้วยความสงบดีกว่า เพราะสงสารเทวดาท่าน เทวดาท่านต้องทำตาม ไอ้ที่พูดมานี่ไม่ได้เชื่อว่าสมเด็จพุฒาจารย์โตท่านทำแบบนั้น แต่เขาว่าอย่างงั้นนี่ ก็เลยว่าตามเขาไปมันก็เพลินดีเหมือนกัน

แต่ทว่าการที่เทวดาคิดมงคลขึ้นมาในสมัยนั้น ก็อาศัยบรรดาประชาชน บุคคลในโลกเขาคิดกันนี่เป็นความจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวอย่างนั้น เมื่อบรรดาเทวดาทั้งหลายพากันคิดว่าอะไรเป็นมงคล ตามที่บรรดาประชาชนคนในโลกก็คิด เมื่อคนในโลกคิดไม่ตกลงว่าอะไรเป็นมงคลแน่ เทวดาก็เลยตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน ว่าอะไรเป็นมงคล ต่อมาบรรดาเทวดาทั้งหลายอดรนทนไม่ไหว ต่างคนต่างคิดว่าอะไรเป็นมงคล ตกลงกันไม่ได้ จึงได้พากันไปเฝ้าท่านเทวราชา คำว่าเทวราชาคือราชาผู้ปกครองเทวดา ก็ได้แก่พระอินทร์   อินท แปลว่าผู้เป็นใหญ่ ที่นี่พระอินทร์ท่านเป็นใหญ่ท่านปกครองเทวดา ๖ ชั้น ในเมื่อเทวดาทั้งหลายมีความอัดอั้นตันใจ คิดมงคลไม่ได้ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ไปกราบทูลถามพระอินทร์ว่า อะไรที่เรียกว่ามงคลจริงๆ พระเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าที่คิดกันมาก็คิดตามคนน่ะ ชาวโลกเขาคิดมงคลกัน ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นคนหูทิพย์ตาทิพย์ (นี่เทวดาเขาว่ายังงั้น เขาว่าเทวดานี่หูทิพย์ ตาทิพย์ ตัวทิพย์ ใจทิพย์ แต่สงสัยอุจจาระกับปัสสาวะเป็นทิพย์ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ นี่นอกแบบแล้ว นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านหนังสือของคนนอกครูนี่ ทำไมจึงว่าคนนอกครู ความจริงไม่อยากจะอวดนะ ไม่อยากจะอวดใครว่าเป็นคนหัวล้าน แต่ว่าศัพท์มันไปลงคำว่านอกครูเข้า ก็รับกันเสียตรงๆ ก็แล้วกัน ว่าคนพูดนี่หัวล้าน แล้วก็คนหัวล้านท่านบอกว่าเป็นคนนอกครูก็เลยไปแหย่เทวดาเข้า นี่ดีไม่ดีนะ เทวดาท่านจะมาเขกหัวเข้ากลายเป็นนนทุกข์ไปเพราะอะไร เพราะว่านนทุกข์น่ะแกหัวล้าน ความจริงแล้วเทวดาหัวล้านไม่มี แต่เรื่องราวของรามเกียรติ์ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน สร้างสรรค์เทวดาเปลี่ยนแปลงไปจากความเป็นจริง เอาละเรื่องเหลวไหลอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องเหลวไหลอย่างนี้ขอผ่านไปดีกว่า มาว่ากันเรื่องมงคล)

เมื่อบรรดาเทวดาทั้งหลายเข้าไปประชุมกัน ถามพระอินทร์ จะเดินขบวนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ความจริงบนสวรรค์ก็ไม่น่าจะเรียกว่าเดินขบวน ควรจะเรียกกันว่าเหาะขบวน เพราะเทวดาเขาไม่ใช้เดินกัน เขาใช้เหาะ นอกจากจะเป็นบริเวณใกล้ๆ เขาถึงจะเดิน ถ้าบริเวณไกลๆ เขาไปเขาเหาะกันไปก่อน เป็นอันว่าเวลานั้นเทวดาคิดมงคลไม่ตกลงก็เลยพารวมกลุ่มกันเหาะเป็นขบวนไป พอเข้าไปใกล้เวชยันตวิมานก็พากันเดินขบวนต่อไป เข้าไปเฝ้าจอมท้าวไท คือพระอินทร์กราบทูลถามว่าเวลานี้ชาวบ้าน ชาวโลกเขาคิดมงคลกัน แต่ว่าชาวบ้านและชาวโลกทั้งหลายนั้นก็คิดกันไม่ตกว่าอะไรคือมงคล พวกข้าพระพุทธเจ้าก็เลยพากันคิดบ้าง เอาอย่างคน (คำว่าเอาอย่างคนนี่พูดเอาเองนะ ในบาลีท่านไม่มี) คิดกันแล้วก็ไม่ตกลงใจเหมือนกัน ว่าอะไรเป็นมงคล ขอพระองค์ผู้เป็นจอมเทวะได้โปรดกรุณาแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วย ช่วยบอกสิ่งที่เป็นมงคลแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เมื่อจอมเทวา คือพระอินทร์ได้ทรงสดับ บรรดาเทวดาจอมฉลาดน้อยทั้งหลายเหล่านั้น (คำว่าจอมฉลาดน้อยนี่ ก็เรียกว่าจอมโง่น่ะเองแหละ แปลให้ฟังเสียด้วยก็ได้ นี่ศัพท์แสงของหลวงตานี่ มันไม่เหมือนชาวบ้านเขา บอกแล้วนี่นอกครู รู้ไว้ด้วยว่าคนหัวล้านพูดไม่เหมือนชาวบ้าน ทำอะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะเผ่าพันธุ์ขุนช้างเป็นยังงั้น เวลาเกิดย่องไปเกิดที่จังหวัดสุพรรณก็เลยติดขุนช้างมานิดหน่อย ไม่มากนัก ถ้าติดทั้งหมดก็เป็นมหาเศรษฐีนานแล้ว)

พระอินทร์ท่านก็ถามว่า นี่พวกเธอ เธอจะมาถามฉันทำไมล่ะ เรื่องเป็นมงคลหรือไม่ใช่มงคลนี่นะ ฉันก็เป็นเทวดาอย่างเธอน่ะ แล้วเธอก็เป็นเทวดาอย่างฉัน ความจริงนี่จะพึงรู้อะไรทุกอย่าง คือเรียกกันว่าสัพพัญญูนี่ ไม่ใช่เทวดาเป็นสัพพัญญู หรือว่าพรหมเป็นสัพพัญญู หรือว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นสัพพัญญู คำว่าสัพพัญญู คือว่ารู้ทั้งหมด หรือว่ารู้ทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่รู้ไม่มี ฉะนั้น พระอินทร์ท่านก็บอกว่านี่พวกเธอ เธอเคยมองไปในเมืองมนุษย์บ้างหรือเปล่า ว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วหรือยัง ที่พระอินทร์ท่านถามนี่น่ะ ความจริงพระอินทร์ท่านรู้ เพราะสมัยที่พระบรมครูออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ เวลาที่พระองค์ตัดพระเมาลี คือตัดผม ท่านก็เอาผอบทองไปรับ แล้วเอามาไว้ที่พระจุฬามณีเจดีย์สถาน ที่ท่านถามอย่างนั้นก็อยากจะทราบความโง่ของเทวดา ว่าลูกศิษย์ของพระองค์น่ะ มีความโง่ขนาดไหน เมื่อบรรดาเทวดาทั้งหลายฟังคำของพระอินทร์ตรัสถาม จึงได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนานแล้วพระพุทธเจ้าข้า หมายความว่าตรัสขึ้นมา แล้วหลายปีแล้ว พระอินทร์จึงได้ถามว่าก็องค์สมเด็จพระประทีปแก้วพระองค์เป็นสัพพัญญู คือว่ารู้ทั้งหมด ทำไมพวกเธอจึงไม่ไปทูลถามพระบรมสุคตให้พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นมงคล แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ถ้ากระไรก็ดีพวกเธอทั้งหลายเหล่านี้จงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็ไปทูลถามมงคลแก่พระพุทธเจ้า ตามพระบาลีท่านว่ายังไง ประเดี๋ยวงัดตำราขึ้นมาเสียก่อน ถ้าไม่งัดแล้วมันจะผิด

ท่านกล่าวว่า เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม เขาแปลว่ายังไง ใครแปลได้ก็แปลไปเถอะ ถ้าแปลไม่ได้ก็จะแปลให้ฟัง บางทีถ้าแปลไม่เหมือนชาวบ้านเขาละขอโทษด้วย

เอวมฺเม สุตํ  แปลว่าข้าพเจ้าเคยฟังมาแล้วอย่างนี้ คำว่าข้าพเจ้าหมายถึงพระอานนท์ ว่าสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่พระเชตวัน คือสวนเจ้าเชตอาราม ซึ่งเป็นวัดที่อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ใกล้เมืองสาวัตถี นี่ใกล้เมืองสาวัตถีนะ ไม่ใช่ในเมืองสาวัตถี แล้วท่านว่ายังไงต่อไป อถโข อญฺญตรา เทวตา เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ว่าครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามแห่งราตรี หมายความว่าพอมืดลงไปหน่อยเดียว เทวดาองค์หนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ทำพระเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร เมื่อเข้าไปแล้ว ไปถึงแล้ว จึงได้ถวายอภิวาท ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยืนอยู่ส่วนที่ควรส่วนหนึ่ง ครั้งนั้น เทวดาผู้นั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า (ตอนนี้ที่พระชอบขึ้น พหูเทวา มนุสฺสาจ) บรรดาเทวะและมนุษย์ทั้งหลาย อันเป็นผู้มากไปด้วยความหวังในความสามัคคี ได้พากันคิดเรื่องของมงคลทั้งหลาย ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโปรดตรัสมงคลสูตรเถิดพระพุทธเจ้าข้า (ว่ามันส่งไปยังงั้นแหละ แปลเหมือนบาลีเขาหรือไม่เหมือนก็ไม่รู้)


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2558 10:50:15 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 เมษายน 2558 19:51:19 »

.


อเสวนา จ พาลานัง
ปณฺฑิตานญฺจเสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ
เอตมฺมํคลมุตฺตมํ


มงคลที่ ๑ "ไม่คบคนพาล" (ต่อ)

เป็นอันได้ใจความว่าเวลานั้น พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ที่เชตวัน คำว่าเชตวันนี่เป็นอาราม คือวัดที่อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธเจ้า ซื้อสวนของเจ้าเชต เจ้าเชตนี่เป็นคน แหม เขาเรียกว่าขี้เหนียวจัด สมัยปัจจุบันเขาเรียกกันว่ากระดูกขัดมัน หาที่ตรงไหนก็ไม่เหมาะ ไปเหมาะเอาที่สวนของเจ้าเชต บอกซื้อที่แก แกก็บอกเอายังงี้ซี แกเอาเงินของแกมาเรียงในที่ของฉันให้เต็ม ที่ไหนเป็นบ่อเป็นหลุมก็ต้องให้มันเสมอขึ้นมา เงินเต็มพื้นที่เท่าไรฉันขายในราคาเท่านั้น แล้วก็เวลาสร้างวิหารแล้วต้องใส่ชื่อของฉันไปด้วยนี่ คนระยำแบบนี้สมัยนั้นก็มีด้วย สตางค์ก็ไม่ออก ที่ขายให้ก็แพงเกินพอดี แล้วเวลาสร้างวิหารต้องใช้ชื่อของตัว แบบสมัยนี้เขามีกันบ้างหรือเปล่าไม่ทราบ เห็นวิหารต่างๆ ตึกต่างๆ ในที่สำคัญๆ เขาก็ใส่ชื่อคนนี้ ใส่ชื่อคนนั้น แต่ว่าคนที่มีชื่อเป็นเจ้าของตึกน่ะ ออกสตางค์บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้น่ะ แต่เข้าใจว่าคนสมัยนี้คงไม่ระยำเหมือนเจ้าเชต ถ้าไม่ใช่เจ้าของเงินจริงๆ คงไม่ใส่ชื่อไว้ในที่นั้น เป็นอันว่าในสมัยนั้น เทวดาองค์นั้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ถวายนมัสการด้วยความเคารพ แล้วก็ยืนอยู่ ณ ที่อันควรส่วนข้างหนึ่ง อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะสงสัย ว่าทำไมนี่ เทวดามีความเคารพในพระพุทธเจ้า แล้วทำไมจึงไม่นั่งลง ไหว้แล้วเสือกยืนอยู่ได้ ทำเป็นทหารเฝ้าพระราชา ความจริงทหารที่เฝ้าพระราชา เขาเฝ้าใกล้ๆ เขาก็หมอบเขาก็คลานเข้าไป ถวายคารวะ เวลาเข้าไปใหม่ๆ เขาก็ถวายวันทยาหัตถ์ทำความเคารพ เมื่อจบพิธีกรรมก็นั่ง เว้นไว้แต่ทหารรักษาการณ์ยืนอยู่ข้างหลัง นี่เป็นเรื่องธรรมดาแล้วพวกเทวดานี่ มาเฝ้าพระพุทธเจ้าทีไรไม่ยอมนั่ง เคยพบในพระบาลีตอนหนึ่งถามว่าเทวดาทำไมจึงไม่นั่ง อรรถคาถาท่านแก้บอกว่าเทวดาเขารีบกลับ ความจริงคงไม่ใช่ยังงั้น แต่ว่าระเบียบเขาจะมียังไงก็ไม่เคยพบว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสไว้แบบไหน เทวดาองค์นั้นมาทูลขอให้สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสมงคลแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสมงคล ๓๘ ประการไว้ในตอนต้นว่า อเสวนา จ พาลานัง ปณฺฑิตานญฺจเสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ นี่เป็นหมวดหนึ่ง ว่าการไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชาอย่างหนึ่ง จัดว่าเป็นอุดมมงคล นี่เป็นหมวดแรก แต่ความจริงเรื่องบาลีนี่จะมาพูดกันมาก มันก็ชักจะรำคาญ เพราะอะไร เพราะว่าชาวบ้านไม่ค่อยได้ศึกษาภาษาบาลี แต่ความจริงพูดแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกเหมือนกัน เพราะชาวบ้านที่เขามีความรู้ความชำนาญเปรื่องปราชญ์กว่าพระที่รู้ภาษาบาลีก็มีเยอะ ที่ไม่ค่อยอยากจะนำภาษาบาลีมาพูด เพราะเกรงว่าถ้าแปลผิดขึ้นมาก็จะขายหน้าชาวบ้านน่ะซี ก็เลยไม่ค่อยอยากจะพูด พูดไปก็แค่นั้นแหละ รำคาญใจคนเขียน รำคาญใจคนอ่าน เป็นอันว่าตอนนี้เรามาพูดกันถึงมงคลข้อที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าการไม่คบคนพาลจัดว่าเป็นอุดมมงคล

เอาละ ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น นี่เป็นความจริง ข้อนี้เห็นจะขัดกับโลกปัจจุบันเสียแล้ว เพราะว่าโลกในปัจจุบันนี้เขาชอบคบคนพาลกัน เวลานี้เห็นอันธพาลเยอะแยะ คนพาลกับอันธพาลไม่เหมือนกัน อันธนี่เขาแปลว่า บอด พาลนี่แปลว่าโง่ แต่ความจริงศัพท์ว่าพาล เขาแปลว่าอ่อน อาตมาเป็นคนนอกครูนี่ แปลยังงั้นไม่ชอบ แปลว่าโง่ดีกว่า อันธพาลแปลว่าโง่ด้วยแล้วก็บอดด้วย คือทั้งตาบอดและก็จิตใจโง่ ตาไม่บอดเป็นไร ความจริงคนพาลทั้งหลายไม่ใช่ตาบอด เขาเป็นคนใจบอด คนตาบอดนี่ดีกว่าคนใจบอด ทีนี้คนพาลเวลานี้มีมากหรือมีน้อย เดี๋ยวก่อน นั่งนับดูเสียก่อนว่าเจ้าคนพูดนี่มันเป็นคนพาลหรือเปล่า ดูแล้วก็เป็นจอมอันธพาลเลย คนพูดนี่แหละนะ ไม่มีใครละ ชาวบ้านเขาจะชั่วเขาจะดีจะไปรู้ตัวได้ยังไง จิตใจของบุคคลอื่นใดใครจะรู้ สิ่งที่เราจะรู้ได้ชัดก็คือเราตัวของเราเองนี่แหละรู้ ตานี้ก็มานั่งนึกดูซิตัวคนพูดนี่เป็นพาลหรือไม่พาล คำว่าพาลเขาแปลว่าโง่ อันธพาลแปลว่าบอด หมายความว่าไอ้ใจมันโง่ แล้วก็แถมใจบอดเสียด้วย โง่แล้วไม่ยอมรับฟังใคร มีไหมในตัวคนพูด นี่ความจริงถ้าเทศน์เขาห้ามปรารภตัว ถ้าดันไปปรารภคนอื่นมันจะดียังไง ถามจริงๆ อ้าว แล้วก็ถามใคร นี่พูดคนเดียว นี่ย่องไปถามใครเขาเข้าแล้วซี จะมีประโยชน์ยังไงนี่อีตาขรัวนอกครู นี่เอาแล้ว ถามตัวเองดีกว่า ว่าตัวเองเป็นพาลบ้างหรือเปล่าก็ถอยหลังลงไป อีตอนนี้ เรามาใช้ปัญญาคือญาณพิเศษระลึกชาติกัน อย่าลืมนะว่าคนพูดนี่ระลึกชาติได้ แล้วก็ระลึกได้เก่งเสียด้วย แต่ความจริงระลึกได้ไม่ครบถ้วนหรอก วิธีระลึกชาติไม่ต้องไปเรียนที่ไหนหรอก เรียนเองก็ได้ ความจริงวิชานี้ไม่มีใครสอน ฝึกขึ้นมาเอง ชาติ แปลว่าความเกิด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนนี่เกิดทุกวันแล้วก็ตายทุกวัน วันนี้เกิด พอรุ่งขึ้นคนวันก่อนตายไปเหลือแต่วันนี้ ลมหายใจเข้าเกิดทีหนึ่ง หายใจออกตายไปทีหนึ่ง ตานี้ คนพูดนี่นับตั้งแต่วันเกิดเป็นต้นมานี่ ตายนับครั้งไม่ถ้วน เป็นอันว่าระหว่างที่มาพูดนี่ นับตั้งแต่วันแรกที่ปฏิสนธิจากครรภ์มารดา ไอ้พูดแบบนี้มันก็ฟังยาก นับตั้งแต่วันคลอดออกจากครรภ์มารดา ออกจากท้องแม่ยังงี้ฟังสบายกว่า นี่มันเกิดมันตายมาไม่รู้เท่าไร ถ้าพูดตามแบบพระพุทธเจ้า ตานี้ ถอยหลังมาระลึกชาติกันในตอนนี้ มันก็ระลึกชาติได้เยอะ เพราะเกิดมานี่มันเกษียณอายุแล้ว ถ้ารับราชการละเขาขับเปรตออกไปนานแล้ว เขาไม่ให้ทำหรอก ยิ่งหัวล้านนอกครูแบบนี้ด้วยยิ่งเปิดใหญ่ มานั่งระลึกชาติกันลงไปว่าตัวเองเคยเป็นคนพาลบ้างไหม ถอยหลังลงไปซี

ลักษณะของพาล ก็คือคนที่ทำด้วยความโง่ จะทำอะไรก็ตาม ทำด้วยลักษณะของความโง่ ทำแล้วสร้างความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่น และกับตัวเองด้วย ทีนี้ถอยหลังลงไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ที่ระลึกชาติตอนชาติที่เป็นเด็ก ก็ไม่ใช่เด็กเล็กนัก ไอ้เล็กจริงๆ มันยังเดินไม่ได้คลานไม่ได้ ทำอะไรใครไม่ได้ อีตอนเด็กที่กำลังวิ่งได้ เดินได้ พูดได้ นี่ระยำทุกอย่าง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ได้ นี่ ลักษณะของคนพาล ลักษณะของคนพาลก็คือไม่ยอมรับนับถือสิทธิของบุคคลอื่น ลืมบอกไป ไอ้การไม่ยอมรับนับถือสิทธิของบุคคลอื่นนี่ มันกว้างเกินไป ควรให้สั้นเข้ามาก็คือไม่เคารพในศีล ๕ เพราะว่าไอ้ศีล ๕ นี่เป็นศีลธรรมดาที่บุคคลและสัตว์ทั้งหลายต้องการ คือ ๑. เรามีชีวิต เราไม่ต้องการให้ใครเขามาฆ่าเรา เราไม่ต้องการให้ใครเขามาทำร้ายเรา ประการที่ ๒ เรามีทรัพย์สินต่างๆ เราไม่ต้องการให้ใครมาลักมาขโมยทรัพย์สินของเรา ประการที่ ๓ เรามีคนเป็นที่รัก มีสามี มีภรรยา มีบุตรธิดา เราไม่ต้องการให้ใครมาละเมิดความรักของเรา ประการที่ ๔ เราไม่ต้องการฟังถ้อยคำมดเท็จของบุคคลอื่น ประการที่ ๕ เราไม่อยากเป็นคนบ้า นี่ศัพท์ชาวบ้านมันฟังง่ายดี คือเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก พูดอย่างนี้มันก็ต้องแปลน่ะซี แล้วพูดภาษาไทยต้องแปลมันจะเกิดประโยชน์อะไร พูดมันแบบไทยแท้ คือไม่อยากเป็นคนบ้า บ้ามากหรือบ้าน้อยมันก็บ้าเหมือนกัน เป็นอันว่าเหตุ ๕ ประการนี้ ทั้งสัตว์ทั้งคนต้องการที่ชาวบ้านซึ่งมีจิตใจระยำๆ เขาบอกว่าสัตว์นี่เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แล้วเขาก็ตั้งใจฆ่าสัตว์เอาเนื้อสัตว์มากิน ถามว่ามันบาปไหม เขาบอกว่าไม่บาป ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่าสัตว์มันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ ว่ายังงั้น ไอ้คำว่าบาปนี่ก็แปลว่า ชั่ว ทีนี้เรามานั่งนึกกันดูว่า ถ้าสัตว์มันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์โดยเจตนา แล้วมันก็รู้ตัวมันมีหน้าที่เลี้ยงมนุษย์ ยังงั้นละก็เมื่อบุคคลหรือบรรดามนุษย์ทั้งหลายมีความต้องการจะเอาสัตว์มากิน บรรดาเจ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นมันไม่วิ่งหนีหรอก มันวิ่งเข้ามาหมอบให้ฆ่ามันด้วยความเต็มใจ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นนี่ ไม่ว่าสัตว์ประเภทไหน ถ้ามันไม่เผลอ เราจะไปฆ่ามันละเห็นวิ่งโทงๆ ทุกรายแหละ บางทีจับมาได้กำลังจะฆ่ามันยังดิ้นอีก แล้วก็จะมานั่งคิดว่าสัตว์มันมีเจตนาคือ มีความรู้สึกในจิต หรือตั้งใจไว้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นี่มันจะใช้ได้หรือเปล่า มันก็ใช้ไม่ได้ อารมณ์แบบนี้แหละบรรดาท่านทั้งหลายที่เรียกว่าอารมณ์ของพาล แปลว่าโง่ ทำไมจึงว่าโง่ ไอ้ทีตัวเองละรักชีวิต ตามที่พูดมาแล้วไม่อยากให้ใครมาฆ่าตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาประทุษร้าย แม้แต่บอบช้ำก็ไม่ต้องการ แล้วก็ทรัพย์ศฤงคารต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ต้องการให้ใครมายื้อมาแย่งมาคดมาโกง หรือว่าคนรักของเรา ก็ไม่อยากให้ใครมาป้วนเปี้ยนๆ ด้อมๆ มองๆ แย่งความรัก แล้วเราก็ไม่ต้องการพูดโกหกมดเท็จกับใคร เราไม่มีความตั้งใจอยากจะเป็นคนบ้า

ตานี้ เมื่อเรามาเกิดในโลก มีความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไปนั่งมองดูตามความเป็นจริงว่าคนและสัตว์ในโลกนี้น่ะ มีความรู้สึกเหมือนเราบ้างไหม อันนี้เห็นจะไม่ต้องตอบให้มันยาก เพราะอะไร เพราะว่าเราเองมีความรู้สึกเช่นนี้ คนอื่นก็ต้องมีความรู้สึกเหมือนกันทั้งคนและสัตว์ ถ้ามิฉะนั้นละก้อไม่มีใครเขาหนีภัยกันเวลาอันตรายมาถึง นี่ที่กฎธรรมดาของคนและสัตว์มีความต้องการอย่างนี้ ตานี้ก็มานั่งดูถึงเจ้าคนพูดนี่ถอยหลังระลึกชาติไปแล้วนะ มีญาณพิเศษไม่ต้องกลัว พูดอย่างนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับสึกเพราะอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าใครมาอ้างเหตุผลแบบนั้น ก็แสดงว่าคนทำแบบนั้นระยำเกินกว่าคนพูด แล้วความจริงตัวเองก็มีญาณพิเศษเหมือนกันไม่รู้จักใช้ ญาณวิเศษนี้ไม่ใช่ได้มาจากใครหรอก ไม่ต้องเรียน พอเป็นคนขึ้นมาญาณพิเศษมันติดมาจริงๆ ติดมาได้ยังไง ก็นึกถอยหลังมันลงไปว่าตอนเด็กเราทำอะไรบ้าง โตขึ้นมาหน่อยทำอะไรบ้าง โตขึ้นมาอีกนิดทำอะไรบ้าง เป็นหนุ่มเป็นสาวทำอะไรบ้าง ยันแก่เหลาแหย่นี่ทำอะไรบ้าง ที่เรียกว่าระลึกชาติ เพราะว่าระลึกในชาติเกิดคือชาตินี้ ในชาตินี้สมเด็จพระมหามุนีท่านบอกว่าตายๆ เกิดๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าที่ทรงกายอยู่ได้เพราะสันตติ อาการมันสืบเนื่องกันเข้าไว้ อาหารเก่าหมดไป อาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงเข้าไว้ ที่เราต้องกินข้าวกินอาหารกันอยู่ตลอดเวลาก็เพราะว่าเขาเชื่อมชีวิตเก่ากับชีวิตใหม่ อาหารเก่ามันหมดไปร่างกายไม่มีอาหารใหม่ต่อมันก็ตาย ตานี้เมื่ออาหารเก่าหมดไปมันทำท่าจะตาย ก็เอาอาหารใหม่ไปหล่อเลี้ยงเข้าไว้ เป็นอันว่าไอ้ตัวเก่าตายไปตัวใหม่มาปรากฏ ตามแบบฉบับที่พระบรมสุคตท่านบอกว่าชีวิตของเราคล้ายๆ กับกระแสน้ำไหล คือหมายความว่ากระแสน้ำที่ไหลผ่านหน้าเราในแม่น้ำลำคลอง ท่านบอกว่าน้ำที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่น้ำเดิมหรอก มันเป็นน้ำใหม่ คือน้ำเก่ามันไหลไปแล้ว น้ำใหม่มันไหลมาแทน พอดีน้ำมันเท่ากันมันก็ทรงปริมาณไว้เท่าเดิมสูงกว่าเดิม เราก็เลยคิดว่าเป็นน้ำเก่า ข้อนี้จริงหรือไม่จริงก็ตามใจคนอ่าน เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ว่าอะไรใคร

ตานี้ มานั่งคิดถึงตัวเอง ระลึกชาติถอยหลังเข้าไป ตอนเด็กๆ ชอบรังแกสัตว์เล็กๆ สัตว์เล็กสัตว์ไม่เล็กก็ตาม ไปบีบมันตายบ้าง ไปตีมันตายบ้าง พวกแมลงต่าง  อยู่อย่างนี้ เป็นต้น นี่แสดงว่าตนเองเป็นคนพาล โง่นี่ เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเขาไม่ต้องการให้เราไปทำ เราก็เสือกไปทำเข้า ตานี้การลักการขโมยของใครมีไหม?  ศีลข้อที่ ๒ มี ตอนเป็นนักเรียนชอบขโมยปลาหมึกเจ๊ก เจ๊กขายปลาหมึก ปลาหมึกย่างชิ้นละสตางค์ พาพวกเข้าไปมากๆ พอเจ๊กเผลอขยุ้มส่งให้พรรคพวกไป นี่แสดงลักษณะความเป็นพาลมีมาตั้งแต่เด็ก อีตอนยื้อแย่งความรักใครนี่ไม่รู้แฮะ แต่เรื่องเมียเขานี่ไม่ได้แย่งแน่ ลูกเขานะไม่แน่เหมือนกัน ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าใครให้ทานก็รับทานตามสมควร เพราะไม่ยังงั้นก็เกรงผู้ให้ทานจะขาดเมตตา ถ้าไม่รับสนอง เพราะการให้ทานต้องมีผู้รับ ทีนี้อีตอนโกหกนี่มีหรือเปล่าก็ธรรมดาของคนนี่ ก็อ้ายคนเจ้าชู้นี่ ถ้าไม่โกหกละมันจะเจ้าชู้ได้ยังไง แต่ว่าอีตอนนี้เป็นพาลน้อยอยู่ข้อหนึ่ง คือข้อสุดท้ายไอ้ความบ้า บ้าเพราะการดื่มเหล้าดื่มสุราเมรัย ตั้งใจปลุกปั้นให้ใจเป็นบ้า นี่ความจริงตั้งแต่เกิดมา ถ้าจะพูดว่าดื่มสุราโดยเจตนาให้มันอร่อยนี่ไม่เคย เคยลองอยู่ครั้งเดียว งานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๖ ตอนนั้นไปเที่ยวมันหนาวจัดกลับไม่ไหว เพื่อนเขาชวนกินเหล้า ล่อเข้าไปก๊งเดียวมันบาดคอ เลยไม่ชอบใจ แต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ปฏิญาณว่า ไอ้น้ำจัญไรแบบนี้ไม่กินมันต่อไป แต่ก็มีกรณีพิเศษอยู่ครั้งหนึ่งคือ น้ำตาลเมา สมัยนั้น น้าชายเป็นนายตำรวจ จับคนเมามาได้ ไปด่าเขาไปอะไรต่ออะไรเขา ทำร้ายเขา เขาก็แก้ตัวว่าเขาเมา ไม่รู้เรื่อง ก็เลยมานั่งคิดในใจว่า เอ เจ้าคนขี้เมานี่มันไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือไง ทีหลัง ๒ คนกับน้าชาย บอกให้น้าสะใภ้ไปหาน้ำตาลเมามา ๑ ไห ไก่ ๑ ตัว นั่งกินกัน ๒ คนน้าหลาน ๑ ไหผ่านไปไม่พอ เอามาอีกครึ่งไห ล่อเข้าไปจนหมดก็ปรากฏว่าเราพูดอะไร เราก็รู้เรื่อง ชาวบ้านเขาพูดอะไรก็รู้เรื่อง เวลาส่างเมาแล้วก็ถามน้าสะใภ้ ว่าเวลานั้นผมพูดยังงั้น เวลานี้ผมพูดยังงี้ใช่ไหม น้าสะใภ้ก็บอกว่าใช่ ก็เป็นอันจับไต๋คนเมาได้ว่าไอ้เจ้านี่โกหก โกหกบอกว่าเมาแล้วด่าชาวบ้านบอกว่ามันไม่รู้เพราะมันเมา ทีหลังเมื่อเวลาที่น้าให้ไปจับคนเมาที่อาละวาดกับชาวบ้านมา ก็เลยถามว่านี่แกกินเหล้าอะไรนี่ ยี่ห้ออะไร หรือว่าน้ำตาลเมา หรือน้ำขาว หรืออุ พอเขาบอกว่ากินอะไร เราก็สั่งให้ตำรวจไปซื้อเอามา แต่ความจริงผู้พูดไม่ใช่เป็นนายตำรวจ เรียกว่าเป็นสะเก็ดใต้ถุนศาลตำรวจ ไม่ได้เป็นแม้แต่พลตำรวจ ในฐานะที่น้าเป็นตำรวจก็ย่องๆ ไปดูกับเขา พอให้ตำรวจไปซื้อมาแล้ว ถามแกกินกับแกล้มอะไร แกกินประมาณเท่าไร ให้แกกินตามนั้น พอแกกินเสร็จไม้ตะพดนวดเข้าให้ ตีตามตัว ไม่ตีหัว แกร้องบอกว่าเจ็บ บอกโอ๊ย คนเมาไม่รู้เรื่อง ไม่เจ็บหรอก ไอ้ที่แกด่าเขาแกไม่รู้นี่ เวลาฉันตีแกรู้ไม่ได้หรอก คนเมาไม่เจ็บนวดใหญ่ ล่อเสีย ๒-๓ ราย ทีหลังแถวนั้นหาคนเมายาก นี่เป็นอันว่าคนพูดนี่ก็เป็นจอมพาลเหมือนกัน ท่านผู้อ่านที่รัก เป็นอันว่าลักษณะของคนพาลที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้คบ ต่างคนต่างพากันถอยหลังระลึกชาติลงไป พวกท่านทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่นี่ ระลึกชาติได้ทุกคน แต่ว่าจะระลึกชาติให้ละเอียดลออย่อมไม่ได้ เพราะของเล็กของน้อยเราอาจจะจำไม่ได้ นึกลงไปว่าตั้งแต่จำความได้แล้ว จนกระทั่งเป็นหนุ่มขึ้นมานิด โตขึ้นมาหน่อยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เราเคยสร้างความไม่ดีอะไรไว้บ้าง ในเรื่องของศีล ๕ ประการ ศีล ๕ ประการนี้ ถ้าเราจะว่ากันย่อๆ ข้อ ๑ ก็คือความโหดร้าย ข้อที่ ๒ เรียกว่าความใจเร็ว ขอโทษ ข้อที่ ๒ เรียกว่ามือไว ข้อที่ ๓ เรียกว่าใจเร็ว ข้อที่ ๔ เรียกว่าพูดปด ข้อที่ ๕ หมดสติ ถ้าจะพูดกันอย่างย่อๆ ก็ว่าโหดร้าย มือไว ใจเร็ว พูดปด หมดสติ นี่เป็นลักษณะของพาล ถ้าใครมีจิตโหดร้าย มือไวลักขโมยเก่ง ใจเร็วยื้อแย่งความรัก ทำลายความรัก พูดปด พูดไม่จริง หมดสติ ไม่ใช้สติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ เป็นลักษณะของพาลที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึง ลักษณะคนประเภทนี้พระพุทธเจ้าบอกหลีกไปเสียอย่าคบมัน ถ้าขืนคบเมื่อไรละก้อ เรามีแต่ความบรรลัยอย่างเดียว ไม่มีความเจริญ เราคบคนพาลเราจะไม่มีมงคล คือเป็นอัปมงคล ทำไมองค์สมเด็จพระทศพลจึงกล่าวอย่างนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า เอาละซีลองคิดดู ถ้าเราไปฆ่าเขาเราไปตีเขาใครเขาจะเอามือยัดใส่กระเป๋าเข้าไว้แล้วพวกพ้องพี่น้องเขามีเขาก็ล่อเราเข้าบ้าง มาทำเขาแล้วบางทีเขาไม่ทำตอบเขาไปเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจมาให้ทำตอบ ตำรวจก็จับเราไปซ้อมเสียบ้าง เอาเข้าคุกเข้าตะรางไป มันสบายที่ไหนละ มันไม่ได้เป็นมงคลเลย การลักขโมยเขาก็เหมือนกัน การขโมยของเขามาได้จิตใจเราไม่สบาย จะๆ ตัวอย่างให้ดูสักนิดก็ได้ สมมติว่าท่านไปขโมยหมวกของใครมาลูกหนึ่ง ตานี้เวลาไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ท่านสวมหมวกลูกนั้นเข้าไว้ แต่ความจริงคนที่สวมหมวกลูกนั้นใจไม่สบาย เพราะระแวงอยู่เสมอ เกรงว่าเจ้าของหมวกจะจำหมวกของเขาได้ นี่จะเอาอะไรมาเป็นมงคลก็คนขี้ลักขี้ขโมย คนที่ยื้อแย่งความรักของเขาก็เหมือนกัน ลูกของเขาเมียของเขาคนของเขา ไปทำลายเขา เรียกว่าไปขโมยร่วมรักกับเขา ผัวเขาก็เหมือนกันนา อย่าคิดชั่วแต่เมียเขา ผัวเขาก็เหมือนกัน แล้วเราจะมีความสุขใจได้ยังไง ในเมื่อเจ้าของเขาทราบเรื่องเข้า อีคราวนี้นอนไม่หลับแล้วซี ต้องระวังเกรงเหตุร้ายมันจะมาถึง เกรงว่าเขาจะมาทำร้าย เกรงว่าเขาจะเอาเจ้าหน้าที่มาจับ สำหรับคนโกหกมดเท็จก็เหมือนกัน ถ้าเขาจับได้เสียคราวเดียว คราวหลังพูดอะไรไม่มีใครเชื่อ ดีไหม ทีนี้มาระบบคนบ้าหมดสติ ไม่ดีแล้ว คนบ้าพวกนี้แย่งที่สุนัขนอนเยอะแยะ เห็นมาเยอะแยะแล้วไม่ต้องอธิบาย

เป็นอันว่าเหตุ ๕ ประการนี้ เป็นลักษณะของคนพาล องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงบอกว่าอย่าคบ ถ้าขืนคบมันซวยจัด แต่ว่าไอ้ความจริงน่ะ คนอื่นเขาพาล ชาวบ้านเขาพาลนี่เราไม่คบง่าย เพราะอะไร ถ้าเขาไม่ชอบใจแล้ว เราก็หลีกไปเสีย ถ้าหลีกต่อหน้าไม่ถนัดก็ค่อยๆ หลีก ตีตัวออกห่างทีละน้อยๆ ไม่ช้าเราก็ไม่มีความสัมพันธ์กัน นี่ลักษณะของการไม่คบคนพาลภายนอกเป็นของไม่ยาก แต่ว่าคนพาลที่หลีกเลี่ยงยากมันมีอยู่คนหนึ่งไอ้นี่จัญไรมาก มันมีอำนาจจริงๆ หนีมันไม่ค่อยได้ แต่ว่าจำเป็นจำใจต้องหนีให้ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถ้าเราไม่ต้องการ เราต้องทิ้งเจ้าคนนี้ไปเสีย ถ้าเรายังคบเจ้าคนนี้เพียงใดหรือว่าหนีมันไม่พ้น อันนี้แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ท่านจะต้องตกอยู่ในลักษณะของความเป็นคนพาลตลอดเวลา แล้วไอ้เจ้าคนพาลนี้มันอยู่ที่ไหน? นี่พูดกันอย่างภาษาชาวบ้านนา คนพาลนี้มันอยู่ที่เราน่ะซี มันอยู่ตรงไหนล่ะ มันอยู่ทั่วลักษณะของร่างกาย โดยเฉพาะที่อาศัยของมันจริงๆ ก็คือที่ใจ เห็นไหม นึกออกหรือยัง ถ้าใจของเรายังคบกับความชั่ว ๕ ประการ คือความโหดร้าย มือไว ใจเร็ว พูดปด หมดสติ ถ้าเรายังคบอยู่เมื่อไร จิตใจของเรายังคบความโหดร้าย ทำลายชีวิตหรือว่ากลั่นแกล้งทำให้บุคคลอื่นบอบช้ำ ยังชอบลัก ชอบขโมย คดโกงชาวบ้านเขา ยังชอบเจ้าชู้ ขโมยผัวเขา ขโมยเมียเขา ขโมยหน่อยๆ น่ะ ขโมยไม่มาก ลูกเขา คนใช้เขา คนในปกครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไอ้ลูกเขา คนรับใช้เขา คนในปกครองเขา พอรับอนุญาตได้ อีตอนเมียเขาผัวเขารับอนุญาต นี่น่ากลัวชอบกล น่ากลัวจะใกล้ตาย หรือว่าการโกหกมดเท็จ การดื่มสุราเมรัย ถ้าใจของเรามันชอบไปคบกับความรู้สึกประเภทนี้แล้ว เป็นอันว่าเราหนีคนพาลไม่พ้นแน่ ไอ้คนพาลพวกนี้น่ะมันสิงอยู่ในตัวเรา คนพาลภายนอกไม่สำคัญ สำคัญภายในที่มันสิงอยู่ในใจเรานี่ซี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เลิกคบ ความจริงไอ้เจ้าพาลในนี่ ถ้าเราเลิกคบมันได้เมื่อไหร่ พาลนอกมันก็ไม่เข้าใกล้ เพราะว่าเชื้อมันไม่มี ทีนี้ทำยังไงเราถึงจะเลิกคบมันได้   อันนี้ไม่เป็นไร เราจะเลิกคบกันทีเดียวน่ะความจริงมันยาก อึกอักก็จะมาเลิกคบกันปุบปับนี่มันยากนัก เพราะเราคบกันมานับเป็นแสนๆ กัป หรือเป็นอสงไขยๆ กัป ทั้งนี้ ถ้าหากว่าเราระลึกชาติได้จริงๆ ไม่ใช่ระลึกชาติแบบโกหกๆ ตามที่พูดมาในตอนต้น แต่ความจริงก็ไม่ได้โกหกหรอก พูดตามความเป็นจริง ก็เราระลึกชาติในชาตินี้นี่ ชาตินี้ใครจะไม่เรียกว่าชาติก็ให้มันรู้ไป คำว่าชาติ แปลว่าเกิด ก็เกิดขึ้นมาแล้วนี่ เกิดขึ้นมาก็เป็นชาติ เราระลึกเรื่องราวของชาตินี้ ก็ชื่อว่าเราระลึกชาติเหมือนกัน อย่างนี้มันพอจะเบ่งกับเขาได้นะ เราระลึกเข้าไว้ว่าในชาตินี้ และในเวลากาลที่ผ่านมา จิตใจของเราเคยเลวในอาการ ๕ ประการนี้ ในระยะไหนบ้าง ถ้าความเลวอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมันสร้างความสุข หรือสร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นกับใจ ถ้าเราเห็นว่ามันสร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นกับใจ เราจะทำมันต่อไปทำไม แต่ว่าลักษณะของใจที่คบกับความชั่วมานับเป็นแสนๆ กัป หรือว่าเป็นอสงไขยๆ กัป อย่างนี้ต้องไปถามพระพุทธเจ้าท่านดู ว่าเราเกิดมาแล้วกี่อสงไขยกัป ถ้าหากว่าไม่พบพระพุทธเจ้า ไม่มีที่จะถามก็ถามตัวเราเองก็ได้ว่าเราเกิดมาแล้วเท่าไหร่ ถ้ามันนึกไม่ออกก็ตอบว่าไม่รู้ นับไม่ได้เกิดมาเยอะแล้ว แต่ว่าชาติก่อนมันเกิดมาแล้วเท่าไหร่ช่างมัน มันจะเลวมันจะดียังไงก็ช่างมัน ไม่เกี่ยวกับชาตินี้แล้วก็เวลานี้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะสร้างความดีไม่คบกับอารมณ์ความเป็นพาล ในเวลานี้เป็นเวลาที่สำคัญ เราอย่าไปคิดว่าวันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า ความจริงวันหน้า เดือนหน้า ปีหน้ามันไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีอดีต เราไม่มีอนาคต เรามีแต่เฉพาะปัจจุบัน หรือว่าใครมี ถ้าใครมีละก็เชิญหยิบเอามาให้ดูทีเถอะ หยิบเมื่อวันวานนี้ เมื่อวานซืนนี้ เมื่อปีที่แล้วเอามาให้ดูซิหรือหยิบวันพรุ่งนี้เดือนหน้า เดือนโน้น ปีโน้น เอามาให้ดู ว่ายกเอามาให้ดูได้ไหม ถ้ายกเอามาไม่ได้ ก็แสดงว่าไม่มี เป็นอันว่าความจริงเรามีแต่ปัจจุบัน มีเวลานี้โดยเฉพาะเวลาหน้านี่มันยังไม่มีเลย จะไปพูดถึงวันหน้าทำไม หรือใครจะว่าไม่จริง ก็ตามใจ ไม่ได้ว่าใคร

เป็นอันว่าเรามาตั้งหน้าตั้งตาคอยพยายามคบคิดริดรอนความเป็นพาล หรืออันธพาลภายในใจของเราให้หมดไป ทีนี้เราจะมาริดรอนความเป็นพาลในใจ อันธพาลนี่มันเข้ามาถึงใจ จะไล่มันได้ยังไง ความจริงไม่ยาก ไม่ต้องแยกไม่ต้องเยิก เขาต้องแยกกัน พาลแบบนั้นเราต้องใช้แบบนี้ พาลแบบนี้เราต้องใช้แบบโน้น ไม่ต้องไปแยกให้มันลำบากละ เอารวมมันเลย อาศัยที่เจ้าพาล ๕ ตัวนี่มันเข้าสิงอยู่ในใจ มันเป็นเจ้านายใจของเรามานาน เขาบังคับบอกนี่ แกไปฆ่าปลามา ข้าจะกิน แกไปตีหัวคนโน้นนะ ข้าไม่ชอบใจ แกไปยิงเจ้านี่นะ ข้าไม่ชอบใจ คณะรัฐบาลที่เป็นขึ้นมาใหม่ๆ หรือว่าเก่าก็ดีข้าไม่ชอบ ข้าจะปฏิวัติ เวลานี้พระมหากษัตริย์มีขึ้นแล้วเปลืองเงินเปลืองทอง ข้าไม่ชอบ ข้าอยากจะประกาศให้ประเทศชาติเป็นคอมมูนิสต์ แน่ะ ไอ้เจ้าพาลมันคิดยังงี้แหละนา มันระยำ แต่ความจริงประเทศไทยเรามีมาได้เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ กับมีอำมาตย์ข้าราชบริพารรับสนองพระบรมราชโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์องค์ปัจจุบัน ท่านเก่งจริงๆ น่าสรรเสริญ น่าบูชา อยู่ๆ พระองค์ก็เสกฝนให้เกิดมาได้ นี่รัฐบาลหรือว่าท่านดอกเตอร์ทั้งหลายที่ไปเรียนมาจากต่างประเทศน่ะ ไปเรียนมากี่แสนดอกเตอร์แล้วทำอย่างพระองค์ได้หรือเปล่า เคยทราบมาว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้ไม่ได้เป็นดอกเตอร์ แต่ว่าพระองค์สามารถคิดอะไรต่ออะไรเยอะแยะ เอากันจุดใหญ่ๆ เสกฝนเอาซีที่เขาเรียกว่าฝนพระราชทาน ชาวบ้านไม่มีฝนพระองค์ก็มีฝนให้ เวลานี้น้ำมันเดือดร้อน เสกน้ำเป็นน้ำมันขึ้นมาอีก แล้วก็ทำอะไรต่ออะไรจิปาถะ เข้าถึงประชาชนได้เป็นอย่างดี ความจริงกษัตริย์เป็นศักดิ์ศรีของประเทศชาติเป็นประมุข เป็นที่พึ่ง เพราะมีความดีร้อยแปดพันประการ แต่เจ้าอารมณ์พาลมันบอกไม่เอาๆ กษัตริย์เปลืองสตางค์นี่ อยู่เฉยๆ แต่ความจริงไอ้ตัวมันเองน่ะมันอยู่เฉยๆ กษัตริย์ท่านทำความดี มันไม่รู้จักความดีของกษัตริย์ ถอยลงมารัฐบาลที่องค์สมเด็จพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งที่ไม่ลืมตัว ทุกคนก็ตั้งใจทำความดี วางนโยบายอย่างดีที่สุด แต่ว่าคนรับสนองนโยบาย เขาปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลหรือเปล่า นี่ว่ากันไป นี่ว่าถึงลักษณะของพาลที่มันมีความโหดร้าย มันไม่มองดูความดีของบุคคลอื่น

ตานี้จะพูดกันไปเยอะแยะเวลามันก็มาก เอาอย่างงี้ดีกว่า รวบรัดเข้ามาว่าลักษณะของความเป็นพาลมีแต่ฆราวาสหรือพระก็มีด้วย นี่แหละพระที่ชาวบ้านเขาถือว่าเป็นบุคคลที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นมงคล แต่ว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ว่าพระต้องมีอธิศีลสิกขา ต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีอธิจิตสิกขา มีจิตตั้งมั่น มีฌานสมาบัติ มีอธิปัญญาสิกขา คือมีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่หลง พระต้องไม่คบกับโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ปล่อยโลกธรรมทั้งหมด ไม่ต้องการลาภ ไม่ต้องการยศ ไม่ต้องการสรรเสริญ ไม่ต้องการสุข แต่ว่าพระองค์ไหนถ้าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตะเกียกตะกายหาลาภ ตะเกียกตะกายหายศ หาคนยกย่องสรรเสริญ หาความสุขในทรัพย์สิน อย่างนี้ก็เป็นนักบวชพาลเหมือนกัน ใช้ไม่ได้ไหว้ไม่ได้บุญ องค์นี้ไหว้ไม่ได้บุญ เว้นไว้แต่ว่ายศฐาบรรดาศักดิ์พระราชาถวายด้วยความเคารพ แล้วก็ไม่เมาในยศนั้น อย่างนี้ได้บุญ นี่ไม่ได้แกล้งว่าใครนะ มันเบื่อเต็มทีแล้วมิสเตอร์หัวโล้นนี่ มีเยอะที่เอาเรื่องไม่ได้ ที่ดีก็มีมาก ที่ชั่วก็มีมาก ไม่เคารพแม้แต่พระธรรมวินัย ระเบียบใหม่ๆ เกิดขึ้นก็ไม่เคารพ ดินแดนที่อยู่เวลานี้ เลวจริงๆ เลวบอกไม่ถูก ไม่เคารพแม้แต่พระธรรมวินัย ศีล ๕ ยังไม่เอากันเลย นี่ส่วนที่เลว ส่วนที่ท่านดีก็มีมหาศาลแต่สำหรับท่านที่ดีนี่ ชาวบ้านมองไม่ค่อยเห็นเพราะโกหกไม่เป็น เจ้าพวกนี้โกหกเป็น นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลายทั้งที่เป็นฆราวาสและเป็นพระ เราก็มานั่งนึกอยู่ อยู่ในใจว่าไอ้จิตความเป็นพาลมันเข้ามาสิงใจเราบ้างหรือเปล่า ถ้าเรายังฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงวางระเบียบไว้ เป็นอันว่าเราเป็นพาล

ตานี้ เรามาถอนความเป็นพาลกัน เลิกคบมัน พาลข้างนอก ใครเขาจะพาลสักกี่ร้อยกี่พันคนช่างเขา เรามาถอนใจเราจากพาลดีกว่า ลักษณะการถอนจากพาลไม่มีอะไร ง่ายนิดเดียว ง่ายนิดเดียว นั่งนึกดูซีว่าเราอยากให้ใครเขามาฆ่าเราไหม ถ้าเราไม่อยากให้ใครมาฆ่าเรา เราก็ไม่ฆ่าเขา ตานี้เราอยากให้ใครเขามาไหว้เราไหม ถ้าเราอยากให้ใครเขามาไหว้เรา เราก็ต้องยกมือไหว้เขาเสียก่อนแค่นี้เอง เขาก็ต้องไหว้เรา ง่ายนิดเดียว เราอยากจะให้ใครเขามายิ้มกะเราไหม อยากให้ใครเขามายิ้มกะเรา เราก็ยิ้มให้เขาก่อน เขาก็ยิ้มให้แก่เรา ตานี้เราอยากจะให้ใครเขาด่าเราไหม เมื่ออยากจะให้คนอื่นเขามาด่า เจอะหน้าด่ามันส่งไปเลยประเดี๋ยวก็ถูกด่า อยากให้ใครเขามาตีเราไหม ชอบให้ใครเขามาตีเรา เจอะหน้าตีส่งไม่ต้องหาเหตุหาผล เดี๋ยวเราก็ถูกตี นี่ลักษณะความจริงมันเป็นยังงี้ ทีนี้เราไม่ต้องการคบพาลในใจ เราจะทำยังไงเราก็ทรงศีล ๕ ง่ายเกินไป บอกว่าทรงศีล ๕ นี่มันง่ายเกินไป แต่ว่ายากสำหรับผู้ทำ ถ้าจะให้ดีละก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ไปแค่นี้เองท่านพุทธบริษัทสบายหมด พรหมวิหาร ๔ มียังไงจิตใจของเรารู้สึกว่า มีความรักตัวเรากับคนอื่น สัตว์อื่นเสมอด้วยเรา ด้วยความจริงใจ เรารักกันเสียให้หมดไม่ว่าใครละ ผู้หญิง ผู้ชาย แขก เจ๊ก มอญ ลาว จะเป็นคนชาติไหน ภาษาไหน เพศไหนช่าง ฐานะเป็นเช่นใดก็ช่าง รักเหมือนกันในฐานะที่เป็นเพื่อนเกิด ประการที่ ๒ มีความกรุณาคือสงสาร ตั้งใจไว้เสมอเราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ทั้งโลกให้มีความสุข ซึ่งไม่เกินความสามารถของเรา ประการที่ ๓ มีจิตอ่อนโยน คือไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครเขาได้ดีก็พลอยยินดีกับความดีของเขาส่งเสริมความดี ประการที่ ๔ ถ้าใครเขามีความทุกข์ ความยาก ความลำบาก เจ็บป่วยหรือพลาดพลั้งในกิจการงาน แต่ว่าไม่มีโอกาสจะช่วยได้เพราะมันเป็นเหตุเกินวิสัย ก็วางเฉยเข้าไว้ หรือว่าตัวเราเองถูกอาการเช่นนั้นเข้า มันเป็นเหตุเกินวิสัยที่จะแก้ไขได้ก็ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทำใจสบายๆ ทำใจไม่ดิ้นรน ที่เรียกกันว่า อุเบกขาวางเฉย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2558 10:50:50 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 เมษายน 2558 20:26:33 »

.


อเสวนา จ พาลานัง
ปณฺฑิตานญฺจเสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ
เอตมฺมํคลมุตฺตมํ


มงคลที่ ๑ "ไม่คบคนพาล" (จบ)

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าหากว่าเราสามารถทรงพรหมวิหาร ๔ แต่ว่าพรหมวิหาร ๔ นี่ ถ้าจะทรงให้ดีต้องค่อยๆ ขยับ คือค่อยๆ ระมัดระวังกาย ระมัดระวังใจ ใช้สติสัมปชัญญะควบคุมเข้าไว้ พอลืมตาขึ้นมาใหม่ๆ เราก็นึกไว้เลย ว่า หนึ่งเราจะรักคนและสัตว์ทั้งโลกเสมอด้วยตัวเรา สองเราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ทั้งโลกเสมอด้วยตัวเรา สามเราจะไม่อิจฉาริษยาใคร ถ้าใครเขาทำดีจะอนุโมทนาด้วย เอากำไรตอนเป็นปัตตานุโมทนามัย หมายความว่าเขาทำดีกันเกือบตาย ความจริงเราไม่ได้ทำกับเขา พลอยยินดีกับความดีที่เขาทำแล้ว แล้วก็เราไม่อิจฉาริษยาเขานี่ คนที่ได้ดีประเภทนั้น เห็นว่าเราพลอยยินดีด้วย แทนที่เขาจะไม่แบ่งให้เรา เราไปแสดงความยินดี ดีไม่ดีก็ได้อะไรต่ออะไรกินเข้าไปอีกด้วย อันนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่า เรามีอานิสงส์คือ ความดีมีผล แล้วต่อไป เราก็มีจิตเป็นอุเบกขา ความวางเฉยในสิ่งที่เราไม่สามารถจะแก้ได้ เช่นความป่วยไข้ไม่สบาย ความทุกข์ใดๆ มีขึ้น คนตายเกิดขึ้น ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ น้ำมันท่วมใหญ่เรากันน้ำไม่อยู่ ลมมันพัดไปเรากันลมไม่อยู่ ไอ้สิ่งเหล่านี้เราจะไปเต้นแร้งเต้นกาบอกต้องทำยังงั้น ต้องทำยังงี้ รัฐบาลต้องทำยังโง้น พระเจ้าแผ่นดินต้องทำยังงี้ หรือบุคคลผู้มีอำนาจต้องทำยังงั้น มันทำไม่ได้ มันเกินวิสัยเราตั้งไว้ในอุเบกขาคือว่า เออนี่มันเหตุเกินวิสัยจริงๆ เราจะไปเร่งรัดจับให้ใครเขาทำน่ะมันทำไม่ได้ ทำใจวางเฉยแบบสบาย  ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเกิดมาในโลก เท่านี้แหละ บรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลาย ความเป็นพาลของท่านจะสลายไปทันที

ที่ขอบอกไว้ย่อๆ  แบบนี้นะ บางทีนักปราชญ์เขาจะเฉดเอา เขาว่าเจ้าเหม่งนี่ ออกแบบใหม่แล้วซี ความจริงเขาให้แก้กันอย่างโน้น แก้กันอย่างนี้ บอกไม่ต้องหรอก ลองดูบ้างก็ได้ ลองๆ ทำกันดู ซ้อมใจดูสักสามเดือน ว่าให้จิตของเราทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นอัปปมัญญา คือไม่มีขอบเขต แล้วลองดูซิว่าจิตของเราจะละความเป็นพาลตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงแนะนำได้หรือไม่ ถ้าหากว่าเราทำจริงๆ แล้วก็ละไม่ได้เลย ผ่อนคลายไม่ได้เลย มาบอกใหม่ จะแนะนำให้ฟังใหม่ หรือว่าจะแนะวิธีให้โดยใช้พรหมวิหาร ๔ นี่แหละไม่ต้องใช้อย่างอื่น แล้วจะรู้ตัวเราละได้จริงๆ อันธพาลนี่ ไอ้ความเป็นพาลก็ไม่มี

เอาละบรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลาย นี่อาศัยอารัมภบทบ้าง แล้วกำหนดเข้ามาถึงมงคลข้อที่ ๑ ว่าเวลาเสียเท่าไรก็ไม่รู้นะ หนังสือเล่มนี้ตั้งใจว่าจะให้กะทัดรัดที่สุด แล้วก็คิดว่าอาการเนิ่นช้ายืดยาด ก็จะมีแต่เพียงระยะต้นนี้เท่านั้น เป็นอันว่าตอนนี้ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็ขอเก็บมงคล คือ จบมงคลข้อที่ ๑ ไว้เพียงนี้


เขียนโดย cherry
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2558 10:51:18 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 23 เมษายน 2558 20:18:06 »

.


ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒ "การคบบัณฑิตจัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ตามพระบาลีว่า ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ แปลว่าการคบบัณฑิตจัดว่าเป็นอุดมมงคล สำหรับมงคลที่ ๒ นี้ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้คบบัณฑิต ท่านบอกว่าบรรดาบัณฑิตทั้งหลายเป็นคนดี ความจริงบัณฑิตนี่ เขาแปลกันว่าเป็นคนมีความรู้ ตานี้ สมัยนี้บัณฑิตมีอยู่ดื่น ปรากฏว่าบัณฑิตจากอะไรต่ออะไรเยอะแยะ สำเร็จจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เรียกกันว่าบัณฑิต คนที่สึกจากพระก็เรียกว่าบัณฑิต ความจริงคำว่าบัณฑิตในปัจจุบัน ไม่ตรงกับความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าบัณฑิตก็คือ คนรู้ คำว่า รู้ ในที่นี้ ก็หมายถึงว่า รู้ดี แล้วก็เลี่ยงชั่ว รู้ในกิจที่จะพึงทำดี แล้วก็รู้วิธีที่จะเลี่ยงความชั่ว ท่านเรียกกันว่าบัณฑิต นี่บัณฑิตในที่นี้ ถ้าหากว่าจะพูดกันอย่างชนิดมงคลที่ ๑ ก็เห็นว่าจะยุ่งเกินไป เพราะว่ามงคลนี้มีถึง ๓๘ ประการ แล้วก็เป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยลำดับ เรียกว่า จากต่ำถึงสูง แต่การเดินจากต่ำถึงสูง ไม่ใช่เดินหนทางขึ้นชันเป็นการเดินทางแบบชนิดขึ้นทางลาดๆ  ค่อยๆ ขึ้นไปทีละน้อยๆ จนถึงระดับสูงสุด คือพระนิพพาน จัดว่าเป็นพระธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรวมความดีไว้ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ถ้าจะกล่าวกันแบบไทยๆ ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้ารวมพระไตรปิฎกไว้หมดในมงคล ๓๘ ประการ ฉะนั้น ตามความเห็นของอาตมา คิดว่าถ้าบุคคลใดทรงความดี ๓๘ ประการ ได้ครบถ้วน ท่านผู้นั้นก็ชื่อว่าทรงพระไตรปิฎกและก็เป็นคนดีสูงสุดในพระพุทธศาสนาตามเจตนาของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น มงคลแต่ละขั้นจึงมีปฏิปทาหนักเบาไม่เสมอกัน

มงคลข้อต้น สมเด็จพระทศพลทรงแนะนำไม่ให้คบคนพาล เรื่องนี้ก็พูดมาแล้วไม่ขอย้อนต่อไป ต่อจากนี้ไปจะว่าถึงจริยาของบัณฑิต ว่าคนประเภทใดที่เรียกกันว่าบัณฑิตเอากันแบบง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือคนที่รู้จักหลีกเลี่ยงจากความชั่ว แล้วก็พยายามประพฤติความดี พูดแบบนี้ถ้าจะอธิบายก็ยาวเหยียด เห็นท่าจะไม่เป็นเรื่อง มาขมวดกันลงมาใกล้ๆ ดีกว่า ว่าคนใดก็ดี ทรงพรหมวิหารทั้ง ๔ ประการได้ แล้วก็เว้นจากอคติทั้ง ๔ ประการได้แล้ว อันนี้เห็นจะเป็นบัณฑิตตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงมีความประสงค์ เพราะธรรมส่วนนี้ยังไม่ใช่ธรรมะชั้นยาก ขอนำจุดนี้มาพูดกันไว้เสียก่อน

ต่อนี้ไป ขอท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาคำว่าพรหมวิหาร วิหาร แปลว่าที่อยู่ พรหม แปลว่าประเสริฐ คนที่มีพรหมวิหารก็คือคนที่มีอารมณ์อยู่ในความประเสริฐตลอดเวลานี่แปลตามศัพท์หรือตามความเห็นของคนพูด ถ้าชาวบ้านชาวเมืองใครเขาจะแปลว่ายังไงนั่นมันเรื่องของเขา เขาไม่ได้มาพูดด้วยนี่ คนพูด คนเดียว พูดตามอัธยาศัย ตานี้เรื่ององค์สมเด็จพระจอมไตรต้องการบัณฑิต คนพูดจึงบอกว่าควรคบคนผู้ทรงพรหมวิหาร ๔ คือว่าคนที่มีอารมณ์อยู่ในขั้นของความดี คือมีอารมณ์ประเสริฐ คำว่าประเสริฐนี่แปลว่าดีไม่มีที่ติ ตานี้เรามานั่งคิดกันดู นอนคิดก็ได้ หรือจะยืนคิด จะเดินคิดก็ตามใจ ว่าพรหมวิหาร ๔ มีอะไรบ้าง

พรหมวิหาร ๔ ข้อต้น คือเมตตาความรัก คนใดก็ตามมีความรักตัวเอง รักคนอื่น รักสัตว์อื่นในโลกทั้งหมดเสมอด้วยตน ไม่ประกาศตนเป็นศัตรูกับบุคคลผู้ใด คนประเภทนี้ท่านผู้อ่านทั้งหลายเห็นว่าดีหรือชั่ว ข้อที่ ๒ กรุณาความสงสาร นอกจากจะมีความรักแล้วก็มีความสงสาร ประกอบไปด้วยความปรานี เห็นใครมีทุกข์ก็ต้องสงเคราะห์ให้มีความสุขตามฐานะที่ตนจะพึงทำได้ คนประเภทนี้ ท่านผู้อ่านเห็นว่าดีหรือไม่ดี ข้อที่ ๓ มีจิตใจอ่อนโยน คือไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาใคร เมื่อเห็นใครมีความดีมีความสุขก็พลอยยินดีด้วย ส่งเสริมความดี ส่งเสริมความสุขของบุคคลนั้นด้วยความจริงใจ คนประเภทนี้ท่านทั้งหลายเห็นว่าดีหรือชั่ว อารมณ์ข้อที่ ๔ เห็นว่าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยที่เราจะช่วยเหลือได้ เพราะเป็นกฎของกรรม สมมติว่านาย ก. ไปขโมยของๆ นาย ข. เขาเข้า แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับ พิพากษาให้ติดคุกติดตะรางตามอำนาจของกฎหมาย อย่างนี้เราก็ไม่สร้างความร้อนใจ เพราะนี่เป็นกฎของกรรม เขาทำความผิด แล้วเราก็ไม่แช่งชักหักกระดูกบุคคลผู้นั้น มีอารมณ์วางเฉย ถือว่านี่เขาทำความผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมายตามระเบียบของบ้านเมือง มีอารมณ์สบาย คือว่าไม่ซ้ำเติมด้วย แล้วก็ไม่เดือดร้อนด้วย เพราะว่าเป็นกฎของกรรม คนประเภทนี้ท่านทั้งหลายเห็นว่าดีหรือชั่ว ถ้าตามมติของผู้พูดหรือคนทั่วๆ ไปส่วนใหญ่ เห็นกันว่าดี ฉะนั้น คนประเภทนี้จึงควรเรียกกันว่าบัณฑิต นี่เราควรคบ แล้วคนที่เป็นบัณฑิตจริงๆ ก็ต้องหลีกเลี่ยงความชั่วอีก ๔ อย่าง คือคำว่า อคติ แปลว่าลำเอียง คือรักไม่เท่ากัน ลำเอียงเพราะความรัก ลำเอียงเพราะความโกรธ ลำเอียงเพราะความกลัว ลำเอียงเพราะความหลง รักมากให้มาก รักน้อยให้น้อย โกรธไม่ให้ เกลียดไม่ให้ กลัวไม่ให้ หลงว่าเขาชั่วหรือหลงว่าเขาดี ให้น้อยให้มากตามอำนาจของความหลงอย่างนี้ แปลว่าจิตไม่ทรงอยู่ในอารมณ์ของพรหมวิหาร ๔ ความไม่ดีทั้ง ๔ ประการนี้ ต้องไม่มีในจิตใจของบุคคลผู้นั้น อย่างนี้เรียกว่าบัณฑิต ถ้าคนไม่มีอคติทั้ง ๔ ประการนี้ ท่านเห็นว่าดีหรือชั่ว นี่พูดอย่างนี้ไม่ใช่อวดดี แล้วก็ไม่ใช่อวดชั่ว พูดให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายคิดเอา

เป็นอันว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะคบบัณฑิต ก็จงคบคนที่ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ เพราะว่ามงคลข้อนี้คงพูดไม่มากนัก ถ้าขืนพูดยาวอย่างข้อต้นก็เห็นจะเสร็จกัน อ่านกันไม่ได้แน่ เล่มใหญ่โตเกินไป

ตานี้ เวลานี้มีใครบ้างไหมที่เป็นตัวอย่าง อย่าเห็นว่าเป็นบัณฑิตที่เราเห็นกัน โดยมากก็คิดว่าพระที่บวชในพระพุทธศาสนาเป็นบัณฑิต พอโกนหัวห่มผ้าเหลืองเข้ามาเราก็ยอมยกมือไหว้ ละอัตภาพจากความเป็นคน ทรงความเป็นพระ บิดามารดาที่เราเคยเคารพท่านก็ต้องมาเคารพลูกชายของท่าน ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยเป็นที่เคารพของท่านผู้บวชก็ต้องมาเคารพท่านผู้บวชเสียแล้ว ตานี้ เจ้านายผู้บังคับบัญชาที่คนบวชเคยเคารพก็ต้องมาไหว้ ท่านทั้งหลายเห็นว่านักบวชทั้งหลายเป็นนักบวชจริงๆ หรือเปล่า  อันนี้พูดกันอย่างพระพูด ไม่ใช่ชาวบ้านพูด ถ้าหากว่าถามบุคคลผู้พูด อาตมาก็ต้องขอบอกว่า "ยังก่อน" ยัง ยังไม่ยอมให้เป็นบัณฑิตแค่โกนหัวและห่มผ้าเหลือง เพราะนั่นเป็นเพียงทรงเพศ หรือทรงเครื่องแบบของความเป็นบัณฑิตเท่านั้น นักบวชที่เป็นบัณฑิตจริงๆ ที่บรรดาพวกท่านควรจะคบก็ต้องดูกระแสพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าท่านผู้นั้นจะต้องปฏิบัติยังไง

ในอันดับแรกสุด นักบวชที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องทำตนให้พ้นจากความเป็นชาวโลก เมื่อเราเป็นชาวโลกคือเป็นคนธรรมดา เราไหว้พ่อไหว้แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย แต่พอบวชเข้ามาแล้ว พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาไหว้เรา แสดงว่าเราเป็นคนพ้นจากโลกแล้ว มาอยู่ในฝ่ายของธรรม สรณะอันหนึ่งที่เขาควรจะเคารพนับถือ ถือว่าเป็นที่พึ่ง เมื่อบวชเข้ามาแล้วจิตใจของตัวเอง ยังพอใจอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ ๑. อยากมีลาภ อยากร่ำรวย เวลามีลาภ ได้ลาภมา ดีอกดีใจว่านี่เรามีทรัพย์สินมาก เราเป็นคนรวย แล้วเวลาลาภสักการะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดน้อยเกินไป หรือเสื่อมไป ก็มีอารมณ์เศร้าใจ เสียใจร้อนใจ ดิ้นรนอยากจะมียศฐาบรรดาศักดิ์จะเป็นพระครู จะเป็นเจ้าคุณ จะเป็นมหาเปรียญ จะเป็นสมเด็จ อยากจะเป็น เมื่อเป็นแล้วก็มัวเมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ว่าเราเป็นผู้วิเศษแล้วดีกว่าคนที่ไม่มียศ เวลาที่ยศสลายตัวไปก็เสียใจ หรือเลื่อนยศไม่ทันเขาก็ดิ้นรน มีจิตใจไม่สบาย แล้วก็ตอนเวลาใครเขานินทาก็เดือดร้อนไม่ชอบใจคนนินทา มีใครเขาสรรเสริญขึ้นมาก็ดีใจตามคำสรรเสริญ มีจิตใจเกลือกกลั้วไปด้วยกามสุข พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย สัมผัสตามความที่ต้องการตามกามารมณ์ มีอารมณ์หมกมุ่นอยู่ในกาม แล้วก็ถ้ามีทุกข์ใดๆ เกิดขึ้นกับใจที่มีความปรารถนาไม่สมหวังก็มีความเดือดร้อน ถ้านักบวชท่านใดมีอารมณ์อย่างนี้ ยังละกฎ ๘ ประการนี้ไม่ได้ ยังยึดถือไว้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงเข้าใจไว้ นั่นไม่ใช่บัณฑิต เป็นพาล เป็นบุคคลที่เราไม่ควรจะเข้าไปคบ เพราะอะไร เพราะว่าบวชแล้วนี่ ทำตัวสูง ยกตัวสูงกว่าบุคคลอื่น ทำตัวเป็นผู้วิเศษให้บุคคลที่เราไหว้กลับต้องไหว้เรา รับเครื่องสักการะจากชาวบ้าน โดยชาวบ้านต้องประเคนแล้วก็ยกมือไหว้แต่ตัวเองไม่เคยยกมือรับไหว้ชาวบ้าน แต่ว่าจิตใจของตนนั้น เหมือนกับชาวบ้านธรรมดา อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมศาสดากล่าวว่าเป็นพาลไม่ใช่บัณฑิต จะบวชแล้วแก่หัวขาวทั้งหมด ผมขาว ตาเป็นน้ำข้าวก็ตามที จะชื่อว่าเป็นคนดีตามคติของพระพุทธศาสนาไม่ได้ ทั้งนี่เพราะอะไร เพราะท่านที่มีจิตใจประเภทนี้ตายแล้วลงนรกหมดไม่มีเหลือ ถ้าเราไปยอมรับนับถือคนประเภทนี้เข้า เขาก็จะสอนให้เราปฏิบัติเช่นเขา แล้วเราล่ะ เมื่อเขาตกนรกเราก็ตกด้วย จะมีประโยชน์อะไร ทีนี้ นักบวชที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นบัณฑิต ก็คือท่านนักบวชที่ต้องทรงความดี ๓ ประการ คือ ๑. อธิศีลสิกขา รักษาศีลบริสุทธิ์ ๒. อธิจิตสิกขา ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ฌาน ๓. อธิปัญญาสิกขา มีวิปัสสนาญาณยอมรับนับถือกฎของธรรมดา แล้วก็มีจิตใจมุ่งปรารถนาอย่างเดียวคือความดับไม่มีเชื้อ หมายความว่าดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ถึงแม้ว่าท่านจะยังดับกิเลสไม่หมด แต่ยังมุ่งเพื่อการดับกิเลส ปฏิบัติอยู่ในศีลดี สมาธิดี มีจิตใจดี ตามอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ ไม่เมาในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ถ้าบังเอิญว่าพระเจ้าแผ่นดินท่านจะพระราชทานยศฐาบรรดาศักดิ์เพราะความเคารพ เพราะพระองค์เห็นว่าดี ท่านก็รับ รับมาแล้วก็ไม่มัวเมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะเป็นการรับสนองความดีที่พระเจ้าแผ่นดินถวาย แต่ถ้าเขียนขอเข้าไปทั้งๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ขอกันเข้าไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินท่านเกรงใจคนของท่านก็เลยเซ็นออกมาให้ ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าคนนั้น องค์นั้นเป็นใคร หรือดีไม่ดีก็ดิ้นรนไปด้วยอำนาจของกำลังใจที่ประกอบไปด้วยโลภ วิ่งหาดิ้นรนขอให้คนนั้นช่วย คนนี้ช่วย ดีไม่ดีตามที่เขาเล่าลือกัน ถึงกับซื้อยศฐาบรรดาศักดิ์ อันนี้ใช้ไม่ได้นะ จิตใจแบบนี้เป็นพาล

เอาละบรรดาท่านผู้อ่าน อ่านมาถึงตอนนี้พอจะเข้าใจได้เลาๆ ว่า คนแรกที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นบัณฑิต ก็คือ ๑. ทรงพรหมวิหารสี่ ๒. เว้นจากอคติ คือความลำเอียง ๔ แล้วก็ถ้าเป็นพระเถรเณรชี ต้องทรงความดีตามที่กล่าวมาแล้ว อย่าพูดซ้ำเลยต้องเขียนมาก

เวลานี้ มีใครบ้างไหมที่เป็นตัวอย่างพอจะยกขึ้นมาให้ดูได้ว่าเป็นบัณฑิตที่เราควรจะคบ มีอยู่คนหนึ่ง ความจริงมีมาก มีมากที่บรรดาท่านทั้งหลายควรจะเอาเป็นตัวอย่างหรือควรจะคบ แต่ว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นมีคนรู้จักกันเฉพาะบางจุดบางพวก บางกลุ่ม แต่มีคนอยู่คนหนึ่งรู้จักกันหมดทั่วประเทศไทย ที่จัดว่าเป็นบัณฑิต ท่านผู้นั้นก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงพระนามว่าภูมิพลอดุลยเดช อันนี้เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นบัณฑิตจริงๆ มีพรหมวิหาร ๔ แต่ความจริงการจะคบบัณฑิตนี่ เขาเลือกคบแต่เฉพาะบุคคลที่ใจเป็นบัณฑิตหรือจริยาที่เป็นบัณฑิต เพราะคนเราทุกคนเกิดมาแล้วจะให้ดีทุกอย่างน่ะไม่ได้ ทีนี้เวลาเราคบเราก็เลือกคบเฉพาะจุด จุดไหนเป็นบัณฑิตเราจะคบจุดนั้น ถ้าจุดไหนเป็นพาลเราก็ละเสีย เท่านี้แหละ ถ้าฉลาดคบสักนิดเดียวมันก็เป็นของไม่ยากที่ยกตัวอย่างจะเอาพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเทิดทูน แต่ความจริงอาตมาเองกับพระเจ้าแผ่นดินยังไม่เคยเห็นหน้ากันจริงๆ เลย ยัง ยังไม่เคยเข้าไปนั่งคุยกัน เห็นแต่ภาพของพระองค์เสด็จที่นั่น เสด็จที่นี่ ตานี้เรามากล่าวถึงความดีว่าพระองค์เป็นบัณฑิต ก็เพราะจริยาที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ที่เขาเรียกกันว่าพระราชจริยาวัตรอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลายจะอ่านกันลำบาก พูดกันอย่างแบบชาวบ้านธรรมดาดีกว่า ภาษาลูกทุ่ง ว่างานที่พระเจ้าแผ่นดินทรงทำน่ะ เอางานใหญ่ๆ ที่เห็นได้ง่ายๆ เวลานี้พระองค์ทรงคิดได้แล้วนั่นคือทำฝน จะเรียกว่าทำฝนเทียมมันก็ไม่ถูก เรียกว่าคาถาเรียกฝนดีกว่า จะบอกว่านี่พระองค์ไม่ได้ทำองค์เดียวนะ คนอื่นเขาช่วยทำนั่นก็ถูก แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นประธานช่วยกันคิด แล้วก็คนทั้งหลายเหล่านั้นจะทำก็ต้องอาศัยทุนที่พระองค์ทรงหามาได้ด้วยพระองค์เองบ้าง จากรัฐบาลให้บ้าง ที่ชาวบ้านช่วยสงเคราะห์บ้าง ใช้ความคิดว่าคาถาเรียกฝน บันดาลให้ฝนตกในที่ทั้งหลาย ในระหว่างที่กำลังบันทึกเสียงนี้ อ่านหนังสือพิมพ์ดูแล้วเขาบอกว่ามีจังหวัดถึง ๑๔-๑๕ จังหวัด กำลังขอร้องพระมหากษัตริย์ขอฝนพระราชทาน ยังงี้พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ หรือว่าส่วนใคร ถ้าเราไม่คิดว่าพระองค์ทรงมีจิตเมตตาในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่ จะนั่งนอนเฉยๆ ตามใจรัฐบาลตามใจรัฐสภา รวมความว่าไม่ต้องการสงเคราะห์ใคร ถ้ารัฐบาลว่ายังไง ก็เซ็นส่งเดชเข้าไปเป็นที่ไม่ขัดใจของรัฐบาลและรัฐสภา พระองค์ก็จะมีอารมณ์สบาย เขาจะชอบใจพระองค์แต่นี่พระองค์มาคิดโน่น คิดนี่ คิดนี่คิดนั่น ดีไม่ดีคิดเลยรัฐบาลขึ้นไป คิดเลยรัฐสภาขึ้นไป คนที่มีอารมณ์ใจประกอบไปด้วยกิเลสอาจจะไม่พอใจพระองค์ก็ได้ แต่พระองค์ก็ไม่คิดว่ายังไง เขาจะคิดว่ายังไงก็ตามใจเขา ขอให้พสกนิกรราษฎรของพระองค์มีความสุข มีความสบายตามความสามารถของพระองค์ก็แล้วกัน แล้วก็ฝนพระราชทานของพระองค์น่ะ พระองค์คิดเม็ดเท่าไหร่ หรือว่าคิดซีละเท่าไหร่ออนซ์ละเท่าไหร่ หรือว่าปอนด์ละเท่าไร? เปล่าไม่ได้เคยคิด ค่าคิดก็ไม่ได้คิด ไอ้เรื่องค่าใช้จ่ายเสียหายก็หามาจากที่ไหนต่อที่ไหนตามแต่จะพึงได้ นี่เป็นอันว่า พระองค์มีพระทัยประกอบไปด้วยเมตตาและกรุณาสงเคราะห์พสกนิกรของพระองค์ นี่อย่างหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดๆ แต่ความจริงพระองค์ทำหลายสิบเรื่อง

อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เวลานี้น้ำมันแพง พระองค์ตั้งหน้าตั้งตาว่าคาถาเสกน้ำเป็นน้ำมัน เสกขึ้นมาได้แล้วราคาถูกกว่าน้ำมันของชาวโลกตั้งครึ่ง แล้วก็มีคุณภาพดีกว่า การที่พระองค์ทำแบบนี้ ก็อาศัยทรงพระมหากรุณากับพสกนิกรของพระองค์ว่าจะไม่ต้องพึ่งบารมีของชาวต่างชาติ ดีไม่ดีเขาก็หาโอกาสกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง ความดีประเภทนี้จัดว่า เป็นพรหมวิหาร ๔ ของพระมหากษัตริย์ประเภทอปริมาณปัญญาคือไม่มีปริมาณ ไม่เฉพาะกลุ่มบุคคล แล้วมิได้ลำเอียงเที่ยงธรรมว่าฝนน่ะ ฉันให้จังหวัดนี้จังหวัดโน้นว่าฉันไม่ดีฉันไม่ให้ น้ำมันนี่ก็เหมือนกัน คนนี้ว่าฉันดีฉันก็ขายให้ ขอทุนคืนมาทำใหม่ คนนั้นว่าฉันทำไม่ดี ฉันไม่ขายให้ เปล่า พระองค์ไม่ได้คิดอย่างนั้น ทำไปเพื่อสาธารณประโยชน์ และเวลานี้ทราบว่าพระองค์ทรงโปรดให้ตั้งโรงงานในนามโรงงานของประชาชนกลั่นน้ำมัน

นี่พระองค์ทรงเป็นบัณฑิตให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่าง เราเลือกเอาแต่เฉพาะที่พระองค์ทรงความดีนะ ประเดี๋ยวคนที่เกลียดพระเจ้าแผ่นดินเขาจะมาว่า นี่มายกย่องสรรเสริญกัน ทั้งๆ ที่พวกท่านเหล่านั้นเห็นว่าไม่ดี ความจริงพระองค์อาจจะมีความไม่ดีอยู่บ้างในฐานะที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา คำว่าคนธรรมดานี่ก็หมายความว่า เป็นคนที่ยังมีกิเลส แต่ทว่ามีบุญบารมีเหนือกว่าคนทั่วไป เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน คนพูดนี่ถึงแม้ว่าจะบวชเป็นตาเถร เฮอะ เขาจะเรียกว่าตาเถร หรือพระก็ไม่รู้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นตาเถร เพราะอะไร เพราะมันดีไม่ทั่ว ถึงเวลาดีขึ้นมาก็เป็นพระ เวลาไม่ดีขึ้นมาก็เป็นตาเถรไป ทีนี้ความจริงตาเถรคนนี้แกเกิดก่อน ถ้าหากว่าพระองค์ไม่มีบุญญาธิการดีกว่าพระองค์ก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ อีตาคนนี้ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทีนี้อาศัยบุญบารมีของพระองค์ดีกว่า จึงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ นี่ว่ากันไปนี่เขาจะหาว่าเป็นพวกพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้วมั้ง ก็ตามใจ ถ้าไม่เป็นพวกของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่รู้จะเป็นพวกของใครนี่ เพราะเวลานี้ฝนมันไม่ตก พระองค์ก็ทำให้ฝนตกได้ที่วัดมีน้ำกินก็อาศัยฝนของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นฝนพระราชทาน ความจริงรัฐบาลท่านก็ดีแต่ว่าท่านไม่มีฝน ก็ไม่เคยว่ารัฐบาลชั่ว นี่ยกตัวอย่างโดยเฉพาะว่า เอาตัวอย่างที่เรารู้จักกันง่ายๆ อย่างพระเจ้าแผ่นดิน อย่างนี้ละควรคบ แล้วท่านผู้อ่านจะบอกว่า เออ พ่อเจ้าพระคุณ นี่มานั่งให้ไปพบพระเจ้าแผ่นดินน่ะ เวลาจะเข้าเฝ้าแต่ละทีนี้ โอ้โฮ ยากเหลือเกิน จะเข้าไปยังไง อันนี้ก็ขอแนะนำให้ว่าไม่ต้องเข้าไปหรอก การพบพระเจ้าแผ่นดินนี่พบไม่ยาก พบง่ายจะตายไป เราพบพระเจ้าแผ่นดินน่ะ เราพบในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นบัณฑิต เราไม่ได้พบหรือคบกับพระองค์ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าเวลาเราจะเข้าไปเฝ้าพระมหากษัตริย์มันต้องมีเวลา ต้องมีหมายกำหนดการ ต้องขออนุญาตกัน ต้องกราบทูลให้ทรงทราบก่อน แล้วก็ทรงอนุญาต แต่ว่าถ้าเราจะพบพระองค์ในฐานะที่เป็นบัณฑิต ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลยนี่ พบได้ทุกเวลา นี่บางทีอาจย้อนถามมาว่า นี่แกรู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินมานานแล้วรึ  บอกว่าถ้าในฐานะพระเจ้าแผ่นดินนี่นะ ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่ว่าในฐานะที่เป็นบัณฑิตนี่รู้จักมานาน พบกันมานาน เวลาจะพบกับท่านจะทำยังไงมันจะไปยากอะไร พบเมื่อไรก็ได้ ดึกดื่นเที่ยงคืนค่อนคืน เมื่อไหร่ก็พบได้ พบตอนไหนเล่า พบกันตอนนี้ซี เอากันตอนที่พระองค์ทรงมีความเมตตาปรานีน่ะ แล้วก็มีความปรารถนาสงเคราะห์ให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข ทำทุกอย่างเพื่อพสกนิกรทั้งหลายได้มีความสุข แล้วพระองค์ทำไปก็ไม่คิดค่าจ้าง รางวัล เราพบไม่ยาก พบไม่ยาก เราพบเมื่อไรเราก็พบได้ คือทำใจให้เสมอท่าน ไอ้การทำใจเสมอกัน แล้วปฏิบัติเสมอกันนี่เขาเรียกว่าคบหาสมาคม ไม่ใช่ต้องไปพบตัวนา นี่เราคบความเป็นบัณฑิตของพระองค์ ไม่ใช่คบในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์

ตานี้ เมื่อพระองค์เสกฝนได้ เราก็เสกมั่ง พระองค์เสกน้ำมันได้ เราก็เสกบ้าง ถ้าพระองค์ทำฝนให้ตกมาจากฟ้าได้ เราก็ไม่เอาละ เราไม่ใช่พระองค์มีทุนไม่มาก เราก็ทำฝนตกจากแม่น้ำหรือจากบ่อให้มันไปลงอยู่ในพืชในผัก มันจะเป็นไงไป ถ้าบ้านใกล้เรือนเคียงเขาขาดน้ำ บังเอิญเรามีเครื่องสูบน้ำ หรือเราไม่มีก็เกณฑ์บรรดาชาวบ้านใกล้เรือนเคียงด้วยกันว่า เออ ไอ้น้ำทุ่งของเราไม่มีจะขึ้นนา ไม่มีจะขึ้นไร่ มาช่วยกันสูบน้ำ มาช่วยกันโพงขึ้น นี่เรียกว่าเรากระทำฝนเหมือนกัน
ตานี้ วิชาทำน้ำมันของเราทำยังไง ถ้าน้ำมันไม่มีใช้กันจริงๆ ก็ช่วยกันลากเครื่องไอ้ยานพาหนะที่จะเคลื่อนเอาไปได้เอาไปใช้กิจการงานแบบสมัยโบราณใช้ด้วยกำลังแรงอย่างนี้มันก็ไปได้คล้ายน้ำมัน พวกเราไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินนี่จะได้มีทุนมากๆ

เป็นอันว่าเราทำจิตใจให้ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ ตามแบบฉบับของพระองค์ก็ชื่อว่าพบพระองค์ได้ตลอดเวลา

ตานี้มาว่ากันแบบธรรมะ ว่าการคบบัณฑิต เราจะคบคนเช่นไร คบพระยังงั้นรึ  พระไม่แน่นักหรอก นี่บวชพระอยู่นะรู้ว่า เทวดาพระนี่น่ะที่ระยำๆ จนกระทั่งบอกไม่ถูกก็นับปริมาณไม่ได้ แต่ที่ดีควรสักการะ ควรไหว้ ควรบูชาก็มีเยอะ ทีนี้เวลาเราจะคิดว่าพระเป็นบัณฑิตหรือไม่ ก็ดูจริตกริยาเสียก่อน ตามที่พูดมาแล้ว อันนี้ไม่ได้กล่าวโทษกัน พูดให้กันฟัง แล้วควรจะพูดตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าที่ทรงรับสถาปนาใหม่ๆ พระองค์ตรัสมาดีเหลือเกิน ชอบใจว่าถ้าพระไม่ดี พระจัญไรแล้วควรจะไม่ใส่บาตรเสียบ้าง นี่ชอบใจจริงๆ เป็นอันว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ พระเจ้าแผ่นดินสถาปนาขึ้นมา แหม ชอบใจมาก เพราะอะไร พูดชัดถ้อยชัดคำตรงไปตรงมา แสดงว่าพระองค์นี่ อาจจะมีพระอริยธรรมประจำพระทัยของพระองค์อยู่มาก ฉะนั้นจึงกล้าตรัสออกมาว่า ถ้าพระไม่ดีก็เลิกใส่บาตรเสีย คือว่าพระนี่ก็เหมือนกับฝุ่นละออง หรือของสะอาด พระศาสนาเหมือนกับพื้นที่ ถ้าพื้นที่ถูกฝุ่นละอองทับถมอยู่มาก ก็เกิดความสกปรก มันแปดเปื้อนมีแต่ความมัวหมอง ถ้าเราช่วยกันขัดสีฉวีวรรณ พื้นที่ก็จะสะอาดฉันใดพระศาสนาก็เหมือนกัน อย่านึกว่าพระน่ะ เป็นพระไปเสียทุกองค์ แล้วก็พระดีต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุดมันไม่แน่นัก ขนาดที่เมาในยศฐาบรรดาศักดิ์นี่แสดงว่าใจไม่ใช่พระ แต่ว่าท่านที่มียศฐาบรรดาศักดิ์แล้วท่านไม่เมาในยศ ปรากฏว่าปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัย อย่างนี้เป็นพระแท้ เรียกว่าเขาโยนโคลนมาให้ แต่ไม่ยอมให้โคลนซึมเข้าไปในกายเข้าไปในใจ เพราะอะไร...เพราะว่ายศฐาบรรดาศักดิ์นี่มันเป็นโคลนจัดเป็นโลกธรรม ลาภสักการะนี่เกิดมาเพราะอาศัยยศฐาบรรดาศักดิ์มีอยู่ อันนี้องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า ถ้าเมาในลาภไม่ใช่พระเสียอีก ยังติดอยู่ในโลก ท่านเหล่านั้นได้ลาภสักการะมาแล้ว ท่านก็ไม่เมาเอาเงินทองของชาวบ้านที่ได้มาไปสงเคราะห์พระพุทธศาสนา หรือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจแล้วก็เป็นผู้นำในด้านพรหมวิหาร ๔ ช่วยกันสถาปนาความดีให้ความสุขแก่ประชาชนเพราะพระเป็นศูนย์กลางช่วยกัน พระเจ้าแผ่นดินทำฝนจากบนฟ้า เราก็ทำฝนจากใต้ดินที่ไหนเขาอดน้ำอดท่าเราก็บอกเกณฑ์บรรดาประชาชนที่มีศรัทธาบอกเอาสตางค์ไปช่วยขุดบ่อกัน หรือออกแรงไปช่วยขุดบ่อกัน ที่กันดารน้ำจะได้มีน้ำบริโภค ที่ไหนมีถนนหนทางไม่ดี พระช่วยได้ดี บอกศรัทธาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่าการสร้างทางนี่มีอานิสงส์ อันดับแรกเดินสะดวกสบายติดต่อกันได้ ประการที่ ๒ ตายแล้วไปสวรรค์อย่างท่านมาฆมานพ ดังนี้นี่พระประเภทนี้เป็นบัณฑิต ถ้าพระทุกองค์ช่วยกันคิดแบบนี้ละก็ชื่อว่าเป็นบัณฑิตประเทศชาติของเราจะมีความดี จะมีความสุขมาก เอนี่พูดมากไปแล้วกระมัง

เดี๋ยวก่อนเลี้ยวลงมาหาการคบความเป็นบัณฑิตกันดีกว่า เป็นอันว่าพระก็ดี คนก็ดี ที่เป็นบัณฑิต ถ้าเราคิดว่าจะไปคบ ความจริงมันไปยากเหมือนกัน มันเลือกเวลา แล้วการเห็นจริยาภายนอกนี่เราไม่เห็นใจนี่ ดีไม่ดีพ่อเจ้าประคุณต่อหน้าคนทำท่าเป็นบัณฑิต แต่ดวงจิตจริงๆ กลายเป็นพาล อย่างนี้เราแย่ เคยเสียท่าเขามามากเหมือนกัน คนพูดนี่เสียท่าเจ้าพวกนี้มาเหมือนกัน บางทีหัวหงอกตาขาวเป็นน้ำข้าวแล้ว ทำลีลาเป็นอาจารย์สอนสมถวิปัสสนา แต่นานๆ เข้าไปดูจริยา แหมมันเลวกว่าชาวบ้านธรรมดาเยอะ นี่เจอะมาแล้ว แต่ไม่กล้าพูด เจอะมาหลายรายแล้วด้วย เวลานี้ก็กำลังพบอยู่ เอายังงี้ดีกว่า การคบบัณฑิตในฐานะที่มีตัวมีตนไม่ดีหรอก ป่วยการ คบยาก คบลำบาก เวลาจะไปมาหาสู่ทีก็ต้องเลือกวันเลือกเวลา ต้องเลือกกาลเลือกสมัย คบบัณฑิตจริงๆ ดีกว่า เอาบัณฑิตที่เราบังคับได้จะพบเมื่อไรกันก็ได้ บัณฑิตประเภทนี้มีอยู่เกลื่อนทุกสถานที่ วิธีคบแบบนี้ก็คือเอาใจของเราเข้าไปคบกับความดีที่เป็นบัณฑิต อย่างนี้น่ะคบกันได้จริงๆ คบกันได้แน่ คบแบบไหนก็บอกแล้วนี่ ความเป็นบัณฑิตเอากันแบบง่ายๆ ก็คือทรงพรหมวิหาร ๔ ตานี้เราก็เอาจิตของเรานี้ไปคบกับพรหมวิหาร ๔ อยู่ตลอดเวลา นึกไว้เสมอว่าพอลืมตาขึ้นมานะ นึกไว้ว่านี่เรา วันนี้ตั้งแต่ลืมตากว่าจะหลับตาลงไปใหม่ เราจะมีจิตใจรักคนและสัตว์เสมอด้วยตัวของเราเอง จะไม่ประกาศตนเป็นศัตรูกับใคร เราจะมีความสงสารปรานีบุคคลและสัตว์ทั้งหลาย จะสงเคราะห์ตามกำลังคือจะให้ความสุขที่ไม่เกินความสามารถที่เราจะให้ได้ เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร ถ้าใครได้ดีเราจะสนับสนุนเต็มที่ ถ้าบังเอิญใครเขาสร้างความผิดเกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ หรือมีโทษทุกข์ประการใด เราจะไม่ซ้ำเติม แล้วก็เราจะยับยั้งไม่ทำใจให้ทุรนทุราย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนั้น เราจะเว้นจากความชั่ว ๔ ประการคือ ความลำเอียงไม่เที่ยงธรรมเพราะอำนาจของความรัก ลำเอียงไม่เที่ยงธรรมเพราะความโกรธ เพราะความหลง เพราะความกลัว ตั้งใจไว้อย่างนี้แล้วปฏิบัติอย่างนี้เป็นปกติ นี่ขึ้นชื่อว่าเราคบบัณฑิต ที่เราสามารถจะพบได้ทุกขณะจิต อย่างนี้เราจะเป็นบัณฑิตได้ตลอดเวลา และบัณฑิตที่จะอยู่กับเรา เพราะใจของเราเป็นบัณฑิต หากว่าท่านผู้ใดทรงความเป็นบัณฑิตเข้าไว้ คบความเป็นบัณฑิตอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูบอกว่าบุคคลนั้นมีความสุขสูงสุด ที่เรียกว่าอุดมมงคล เพราะอะไร เพราะการคบคนพาลหรือทำจิตเป็นพาล ความจริงคุกตะรางนี่เขาสร้างไว้แอบๆ ข้างถนน แต่ว่าคนที่มีอารมณ์เป็นพาลน่ะ เดินเข้าไปได้นี่ เวลาที่จะเข้าคุกเข้าตะรางนี่เข้ายาก ต้องมีเวลา เจ้าหน้าที่เขาต้องอนุญาต แล้วคนที่มีอารมณ์เป็นพาลเข้าสบาย มีอิสรภาพ มีอำนาจมาก พอเดินเข้าไปเจ้าหน้าที่เปิดรับทันที แต่ทว่าคนที่เป็นบัณฑิต ประเภทนี้เรือนจำเขาไม่รับ เขาบอกไม่เอาหรอก เจ้าพวกนี้เกะกะเรือนจำ เพราะคุกตะรางเขาไม่ได้สร้างไว้ให้บัณฑิตอยู่ ใช่ไหมล่ะ ทีนี้การคบคนพาลก็แสดงว่าเราคบความทุกข์ ทั้งกายและใจเข้าไว้ อารมณ์ใจไม่มีความสุข กายก็ไม่มีความสุข ทีนี้ถ้าเราคบบัณฑิต เราอย่าไปคบคนที่เป็นบัณฑิตเลยมันคบยาก คบเขาสักเท่าไรถ้าเราไม่ทำตามเขา เราก็ไม่เป็นบัณฑิต ที่องค์พระบรมธรรมสามิตพระพุทธเจ้าบอกให้คบบัณฑิตก็คือ ทำใจของเราคบกับความเป็นบัณฑิตนั่นเองคือ เราทรงพรหมวิหาร ๔ เราเป็นคนใจดีรักไม่เลือก แต่อย่าไปรักแบบเจ้าชู้เข้านะโดนปืนตายมาหลายรายแล้ว ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เอากันรักแบบเมตตาปรานี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เรามีความกรุณาสงเคราะห์คนและสัตว์ ใครเขามีความทุกข์ช่วยเหลือตามกำลัง ตามที่จะพึงช่วยได้ ใครเขาได้ดียินดีด้วยความเต็มใจ สนับสนุนในความดีของเขา ใครเขาเพลี่ยงพล้ำไม่ซ้ำเติม ทรงความเฉยเข้าไว้ แล้วพร้อมใจอยู่เสมอที่จะสงเคราะห์เมื่อมีโอกาส หากว่าทำอย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บอกว่ามีความสุข ตานี้ อาตมาเองจะมายืนยันว่ามีความสุขนี่ก็ไม่ยันแล้ว ให้ท่านผู้อ่านไปไตร่ตรองเอาเองก็แล้วกัน เพราะเป็นคนมีปัญญา นี่เป็นอันว่าบันไดที่ ๒ บรรดาท่านผู้อ่านก้าวขึ้นมาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำให้เป็นบุคคลเข้าถึงความเป็นมงคล ๑. ไม่คบอารมณ์เป็นพาล ในนั้นเขาบอกว่าไม่คบคนพาลนะ ไอ้เรื่องคบๆ นี่ อย่าไปคบไปเคิบมันเลย อย่าไปยุ่งกับมันเลย เราเอาอารมณ์ของเราดีกว่า อารมณ์ของเราก็คืออารมณ์คน ถ้าอารมณ์ของเราไม่ตกอยู่ในอำนาจความเป็นพาล คือความโง่ เราก็มีสุข เราทำอารมณ์ของเราให้เป็นบัณฑิต คิดชอบอยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติชอบอยู่ตลอดเวลา เราก็เป็นสุข นี่แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงมงคล ๒ ประการ ให้ปรากฏ เป็นบันไดขั้นที่ ๒

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 เมษายน 2558 20:20:04 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 28 เมษายน 2558 16:02:03 »

.


ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๓ "การบูชาบุคคลที่ควรบูชา "
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ตานี้ มาบันไดขั้นที่ ๓ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ นี่มงคลที่ ๓ ท่านกล่าวว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นมงคล

แล้วคนที่เราควรบูชา อย่าเอากันไกลเลย เอากันใกล้ๆ ดีกว่า คนที่ควรบูชาก็คือคนที่เป็นบัณฑิตนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องพูดกันมาก ไม่ยังงั้นหนังสือเล่มนี้มันโตแย่แล้ว คนที่เป็นบัณฑิตทรงพรหมวิหาร ๔ นั่นแหละเราบูชา แล้วการบูชาเขาทำกันยังไง ไปจุดดอกไม้ธูปเทียนบูชากันยังงั้นหรือ เห็นใครเขาเป็นบัณฑิตมาเราก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปปักข้างหน้าบูชากัน ดีไม่ดีอีตาคนนั้น ยายคนนั้นทนควันธูปควันเทียนไม่ไหว สำลักควันธูปควันเทียนตายไปตามๆ กัน เราก็จะเกิดเป็นบาป ทำยังงั้นไม่ได้ การบูชานี่แปลกันง่ายๆ แปลว่าการยอมรับนับถือ บูชานี่ไม่ใช่แปลว่าจุดธูปจุดเทียน ไอ้จุดธูปจุดเทียนนั่นเป็นอามิสบูชามีผลเหมือนกัน แต่มีผลน้อยเต็มที สู้ปฏิบัติบูชาไม่ได้

บูชา ก็คือการปฏิบัติตาม การยอมรับนับถือว่าเขาทำความดี แล้วเราปฏิบัติตามนี่เรียกว่าปฏิบัติบูชา ทีนี้ การปฏิบัติตามบัณฑิต คือทรงพรหมวิหาร ๔ นี้ ดีแน่ มีความสุขไม่ต้องอธิบายมาก ขืนอธิบายละก็เสร็จ หนังสือเล่มนี้ยาวเฟื้อยเลย หนาไม่รู้กี่ร้อยยก

ตานี้ มาว่ากันถึงคนที่เราควรบูชา การบูชาแปลว่ายอมรับนับถือแล้วปฏิบัติตาม มาสมมติกันว่าพ่อกับแม่ของเราท่านเป็นโจร เอาละซี มายุ่งแล้ว ถ้าพ่อและแม่ของเราเป็นโจรปล้นชาวบ้าน ลักชาวบ้าน ขโมยชาวบ้าน เข่นฆ่าชาวบ้าน พ่อกับแม่นี่ ชื่อว่าเป็นคนที่เราต้องบูชาแน่ เพราะท่านเป็นผู้มีคุณ หากว่าท่านเป็นโจรแล้ว เราไม่ต้องเป็นโจรไปด้วยหรือ ถ้าหากว่าเราไม่คบหาไม่สมาคมกับท่าน เราก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน เอาเข้ามาแล้ว ยุ่งแล้ว คราวนี้จะทำยังไงกันล่ะ ไอ้คนอื่นเขาประพฤติชั่วที่เราไม่คบหาสมาคมได้ แต่พ่อแม่ของเรา ถ้าบังเอิญท่านประพฤติชั่วนี่ ถ้าเราไม่เลี้ยงดูท่าน ไม่บูชาท่าน ไม่กตัญญูกตเวทีต่อท่าน มันก็จะกลายเป็นไม่รู้คุณคนไป แย่แล้ว ทำยังไง หนีก็หนีไม่ได้ ท่านเป็นพ่อเป็นแม่ ถ้าจะอยู่กับท่านมันก็กลายเป็นโจร ทีนี้ทำยังไง เอา มานั่งช่วยกันนึก ใครนึกออกหรือยัง อ้าว ก็พูดคนเดียวนี่ จะไปให้ใครเขามาช่วยนึก แล้วเขาตอบมาจะว่ายังไง เอายังงี้ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วนะ จงบูชาบุคคลที่ควรบูชา ตานี้สำหรับท่านพ่อท่านแม่ของเราทั้งสองคนนี่ เป็นคนที่ควรบูชาอย่างยิ่ง ถ้าใครไม่บูชาพ่อไม่บูชาแม่ บุคคลประเภทนั้นชาวโลกไม่ควรคบ เพราะคนนี้หาความดีไม่มีแล้ว นี่ไม่มีอะไรดี มีแต่ความชั่ว เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน คุณคนอื่นไม่รู้ไม่เป็นไร แต่คุณพ่อคุณแม่นี่มีความสำคัญมาก เพราะว่าเราจะมีชีวิตร่างกายขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยพ่อแม่เป็นปัจจัย เพราะพ่อแม่ของเราทรงพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์ หากว่าท่านไม่มีความดีละก้อ เราเกิดขึ้นมาแล้ว ท่านจะแกล้งให้เราตายเสียเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาที่อยู่ในท้องจะทำให้แท้งเสียเมื่อไหร่ก็ได้ เกิดมาแล้วยังพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านปล่อยเสียเราก็ตายสบายๆ ท่านไม่ต้องไปนั่งฆ่า นั่งทุบให้ลำบาก แต่นี่ท่านต้องทนความเหนื่อยยากประคับประคองอย่างหนัก แหม ไอ้ความเกิดของเรานี่นะท่านผู้อ่าน มันสร้างความหนักให้แก่พ่อแก่แม่บอกไม่ถูก จะกินของเผ็ดจัด ร้อนจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ลูก ความจริงอาหารอย่างนั้นเป็นที่ชอบใจของท่านแม่ ของชอบใจพอใจอยู่ก็ต้องอดต้องออมเอา กิจการงานใดๆ ที่จะกระทบกระเทือนลูกในไส้ ลูกในท้อง ท่านจะมีอันตราย ท่านได้รับความลำบาก ท่านก็ยับยั้ง ตานี้ ท่านแม่ก็ต้องเพลางานไป ๑ คน งานก็ไปทับถมท่านพ่อมากขึ้น งานที่ท่านแม่ทำ ทำไม่ได้เสียแล้ว ท่านพ่อต้องทำแทน ไปหนักท่านพ่อเข้าอีก เมื่อเวลาท่านแม่ตั้งครรภ์อยู่ก็ประกอบไปด้วยอันตราย เวลาคลอดลูกทีไรประกอบไปด้วยทุกขเวทนาอย่างสาหัส นี่พูดแบบนี้แล้วจะย้อนมาถามกันไม่ได้นะ ว่านี่แกพูดแบบนี้น่ะ แกเคยออกลูกกะเขารึ ห้ามถามนะจะบอกให้ ถ้าใครถามแล้วก็จะไม่ตอบเพราะอะไร ตอบไงล่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเป็นผู้หญิงนี่ ยังไม่เคยออกลูกกับเขาสักที แต่ก็เห็นเวลาเขาคลอดลูกกัน เขาออกลูกกัน มันแย่จริงๆ เคยนะ เมื่อยังไม่บวชเคยเป็นหมอตำแย แต่ว่าไม่ใช่เป็นตัวหมอตำแยหรอก เป็นหมอตำแยจำเป็น เขาเรียกเข้าไปช่วย ช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ เห็นอาการของท่านมารดาที่คลอดบุตรแสนลำบาก นี่พ่อแม่น่ะ เอาชีวิตเข้าแลกเชียวนะสำหรับท่านแม่ สำหรับท่านพ่อก็เหงื่อแตกพลั่กเวลาท่านแม่ได้รับทุกขเวทนา วิ่งหน้าวิ่งหลังวิ่งหน้าบอกไม่ถูก นี่เพราะอาศัยความรักลูกเป็นปัจจัยเมื่อลูกเกิดขึ้นมาแล้วความหนักใจยังมีอีก ยังพูดไม่ได้ ยังกินไม่ได้ ยังเดินไม่ได้ นี่นั่งนึกเอาก็แล้วกัน อย่าให้พรรณนามากเลยหนังสือมันจะใหญ่ เป็นอันว่าเราจะมีชีวิตร่างกายขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยพ่อแม่มีเมตตา คือพรหมวิหาร ๔

ตานี้ มาพ่อแม่ของเรามีความประพฤติไม่ดี ท่านเป็นโจร เราจะหลีกไปเสียมันก็ไม่พ้นแล้ว ไม่พ้นความเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน เราจะทำยังไง เราก็มานั่งวิจัยพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นอุดมมงคล เรามานั่งวินิจฉัยกันดูซี ความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ กับความเป็นโจรของท่านมันรวมกันหรือเปล่า เอ้า ช่วยกันนั่งนึก คนอ่านช่วยกันคิดว่าความเป็นพ่อความเป็นแม่ของท่านกับเรา กับความเป็นโจรของท่านมันรวมกันหรือเปล่า คิดออกหรือยัง คิดออกก็แล้วไป หรือคิดไม่ออกก็แล้วไป ออกหรือไม่ออกก็จะพูดให้ฟัง พูดผิดพูดถูกก็ไม่รับรอง เป็นแต่เพียงบอกว่าอาตมามีความเห็นว่าความเป็นพ่อเป็นแม่กับความเป็นโจรนี่น่ะ มันคนละเรื่อง ความเป็นพ่อความเป็นแม่ของท่านที่มีกับเราก็เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ ท่านมีเมตตา ความรัก กรุณา สงสาร เลี้ยงดูมา มุทิตาไม่เคยอิจฉาริษยา อุเบกขาถ้าลูกทุกข์หนักไม่เคยซ้ำเติม ท่านเป็นผู้ให้ชีวิตท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างเลิศ เลือดและเนื้อ ชีวิตของเราทุกหยดๆ นี่เป็นของท่านทั้งหมด ถ้าหากว่าไม่มีท่าน และท่านไม่มีความเมตตาปรานี ไม่มีพรหมวิหาร ๔ เราจะมีร่างกายชีวิตขึ้นมาไม่ได้ ความดีอันนี้ ความเป็นพ่อเป็นแม่นี่เรามีได้เพียง ๒ คนเท่านั้น คือพ่อ ๑ คน แม่ ๑ คน จะหาพ่อเป็นคนที่ ๒ แม่เป็นคนที่ ๒ นี่หาไม่ได้ อย่าลืมนะ นี่ความเป็นพ่อเป็นแม่นะ ท่านเป็นพ่อเป็นแม่เราเพราะท่านทรงพรหมวิหาร ๔ ตานี้ความเป็นโจรของท่านเพราะการขาดพรหมวิหาร ๔ แต่ว่าความจริงท่านเป็นโจรนั่นท่านไปปล้นคนอื่นไปฆ่าคนอื่นนะ ท่านไม่ได้ฆ่าเรา ท่านไม่ได้ปล้นเรา สำหรับกะเรานี่ ท่านจะเป็นโจรร้ายขนาดไหนก็ตามที ท่านก็ยังทรงความดีมีเมตตาอยู่ตลอดเวลา ท่านจะไปฆ่าชาวบ้านมาสักกี่พันคนก็ตาม แต่พ่อที่เป็นโจรไม่เคยฆ่าลูก ถ้าลูกมีความกตัญญูรู้คุณ เห็นไหมล่ะทีนี้ เวลาที่เราจะบูชา เราก็ต้องแยกออกซี อย่าไปรวมกัน เราต้องทรงความเป็นธรรม เราบูชาท่านตรงไหนล่ะ ก็บูชาตรงที่ท่านควรบูชาคือทรงพรหมวิหาร ๔ ในฐานะที่เป็นพ่อเป็นแม่ ท่านเป็นพ่อเป็นแม่ท่านเลี้ยงดูเรามา เราก็เลี้ยงท่านตอบ ท่านรักเรามา เราก็รักตอบ ท่านสงสารเรามา กรุณาเรามา เราก็กรุณาสงสารท่านตอบ ท่านไม่อิจฉาริษยาเรา เราก็ไม่อิจฉาริษยาท่านตอบ เวลาสิ่งที่เกินวิสัยเกิดขึ้น ท่านไม่ซ้ำเติมเรา เราก็ไม่ซ้ำเติมท่านตอบ เป็นอันว่าเราบูชาตรงที่ท่านมีพรหมวิหาร ๔ เราก็ปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยปฏิบัติตามตรงที่ท่านมีพรหมวิหาร ๔ เราเลือกเอาตามที่ท่านเป็นบัณฑิตต่างหาก ควรบูชา แต่ตรงที่ท่านเป็นโจรนี้ ไม่ควรบูชา การไม่ควรบูชาก็หมายความว่า เราไม่เป็นโจรตามท่าน ท่านจะไปปล้นใครก็ตามใจ เราไม่ไปปล้นด้วย แต่เวลาท่านบอกให้หยิบมีด หยิบปืน หยิบหอก หยิบดาบ เราหยิบๆ ให้ในฐานะที่เป็นลูกปฏิบัติตามคำสั่งของบิดามารดา เช่นเดียวกับอะไร ท่านโจรกุกกุฏมิต ที่มีเมียเป็นพระโสดาบัน เวลานั้นพระถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านไม่ใช่โจรนะท่านเป็นพราน พระถามว่า เมื่อพระโสดาบันไปเป็นเมียของนายพราน พรานต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเวลาบอกให้หยิบหอก หยิบหน้าไม้ แหลนหลาว เครื่องมือซึ่งจะเอาไปฆ่าสัตว์ ก็ต้องหยิบให้แสดงว่าจิตใจมีความยินดีในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกับผัว ก็เป็นอันว่าทำตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับการฆ่าสัตว์ การเป็นพระโสดาบันจะทรงขึ้นได้ยังไง อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสกับพระว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นสตรีผู้นั้นเธอทำตามหน้าที่เท่านั้นนะ สำหรับพระโสดาบันย่อมไม่ยินดีในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในการละเมิดศีล แต่ว่าหน้าที่ของภรรยาที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของสามี คือ ภรรยาที่ดีเขาต้องทำยังงั้น ฉะนั้น เมื่อสามีบอกว่านี่เธอหยิบหอกให้ที หยิบดาบให้ที หยิบธนู หน้าไม้ให้ที เธอก็หยิบให้ตามหน้าที่ของภรรยาแต่ว่าในเรื่องจิตใจแล้วไม่เคยยินดีกับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

นี่แหละ บรรดาท่านผู้อ่าน เราซึ่งเป็นลูกของบิดาซึ่งเป็นโจรก็เหมือนกัน เราบูชาท่าน คือปฏิบัติตามท่านเฉพาะที่ท่านทรงพรหมวิหาร ๔ เราเลือกบูชาเฉพาะตรงที่ท่านมีความดี ตอนที่ท่านเป็นโจรเราไม่เอา เราไม่ยอมเป็นโจรด้วย ทีนี้ เวลาที่ท่านจะไปปล้นไปฆ่าใคร ท่านบอกเอ้าหยิบหอกมาทีซิลูก หยิบดาบมาที หยิบปืนมาทีอะไรเป็นต้น เราก็หยิบให้ ทำตามหน้าที่ในฐานะที่เราเป็นลูก ปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อแม่ เท่านี้ก็เอาตัวรอดเห็นไหม นี่เป็นอันว่าการปฏิบัติความดีน่ะ บูชาบุคคลผู้ควรบูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่นะ ทีนี้บุคคลอื่นคนใดก็ตาม ถ้าทรงอยู่ในศีล ทรงอยู่ในธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ถ้าฆราวาสใช้ได้ บูชาได้ จัดว่าเป็นบัณฑิต เป็นบุคคลผู้ควรบูชาทีนี้ ถ้าพระทรงอยู่ในคุณความดี ๓ ประการ คือ อธิศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์ อธิจิตสิกขา มุ่งหวังตั้งสมาธิให้ทรงฌาน อธิปัญญาสิกขา เจริญวิปัสสนาญาณ ยอมรับนับถือตามความเป็นจริงของกฎความเป็นจริง แล้วก็ไม่ติดอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ อันนี้ไม่ยกให้แน่นะ ไอ้โลกธรรมนี่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกจุดนี่ บอกว่าจงอย่าติดในโลกธรรมทั้งหมด ถ้าเราติดในโลกธรรมแล้วอย่าไปบูชาเลย ไม่ได้ความหรอก เป็นบุคคลที่ไม่ควรบูชา แม้จะหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ไม่มีความหมาย บูชาไปทำไม บูชาไปก็ไม่ต่างอะไรกับบูชาตัวเองซึ่งเป็นโจร เพราะพวกนี้ ถึงแม้จะไม่เป็นโจรปล้นใครก็เป็นโจรปล้นใจ ปล้นความดีของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปบูชาเข้า ไปปฏิบัติตามเข้าเสร็จ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เพราะว่าจิตใจของท่านพวกนี้ ที่เมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่ เป็นโจรเราดีๆ นี่เอง ไม่ควรแก่การบูชา ไม่ควรแก่การสนับสนุน ไม่ควรสรรเสริญ ไม่ควรให้ความอุปการะ แต่บังเอิญถ้าไปเจอะพระท่านที่มียศฐาบรรดาศักดิ์มีคนเขาถวายเงินถวายทอง แล้วท่านไม่เมาในยศ เขาตั้งยศให้ท่านก็รับ แต่ว่าท่านไม่เมาในยศ รู้ตัวอยู่เสมอว่าท่านเป็นพระ คือชาวบ้านเขาถวายสักการะ ถวายเงิน ถวายทอง เข้ามาท่านก็รับเอาไปทำในส่วนสาธารณประโยชน์ ช่วยบรรดาประชาชนทั้งหลายให้มีความสุขในด้านบุญกุศลบ้าง สร้างวัดวาอาราม สร้างโรงเรียน สร้างสถานที่พัก ขุดบ่อน้ำขุดสระน้ำ ให้ความสุขแก่ประชาชน และเป็นหัวหน้าประชาชนช่วยกันทะนุบำรุงความสุขความเจริญแก่ประเทศชาติ นี่อย่าเข้าใจว่ามาแนะนำให้พระเข้าไปติดโลกนะ ไม่ใช่ยังงั้น เราเป็นปูชนียบุคคลนี่ไม่ต้องไปทำเอง แนะนำเขาซี ว่านี่บ้านโน้นเขาอดน้ำนะ เราไปช่วยกันขุดบ่อน้ำให้กัน บ้านนี้เขาอดข้าว เอาข้าวไปให้ เจือจานซึ่งกันและกัน บ้านนี้เขาไม่มีเงิน เขาจะแย่ป่วยไข้จะตาย เอา มาเรี่ยไรกันบอกบุญกัน เอาเงินมาช่วยกันเป็นการสงเคราะห์ อันนี้ช่วยให้ชาวบ้านรู้จักทำสังคหวัตถุมีความสามัคคีช่วยกันสร้างความดี ทำให้โลกเป็นสุข พระทำได้ดีมาก ถ้าว่าพระช่วยกันทำแล้วจะเบาแรงพระเจ้าแผ่นดินไปมาก จะเบาแรงรัฐบาลไปมากความจริงพระทำได้ดี ถ้าพระองค์ใดท่านใดทำอย่างนี้ รีบวิ่งเข้าไปบูชาท่าน ถ้าพระองค์ไหนทำตัวสะสมเงินทองไว้มากๆ ทำตัวเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีประกาศตนว่าฉันนี่เป็นขุนนางมียศฐาบรรดาศักดิ์ พระประเภทนั้น ไม่ควรให้กินแม้แต่น้ำล้างเท้าเพราะว่าเป็นโจรปล้นความดีของพระศาสนา ทำลายความดีของท่านทั้งหลาย

เอาละท่านทั้งหลาย พูดมาพูดไปก็ใกล้ตะรางเข้าไปเต็มที สำหรับมงคลข้อที่ ๓ นี้ ก็ว่ากันมาโดยย่อว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นประเภทใดก็ว่ากันมาแล้ว

บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 28 เมษายน 2558 16:04:19 »

.



ปฏิรูปเทสวาโส จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๔ "การอยู่ในประเทศที่สมควร"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ต่อแต่นี้ไป ก็จะว่ากันถึงมงคลที่ ๔ องค์สมเด็จพระมหามุนีท่านตรัสว่ายังไงขอเปิดตำราดูก่อน อ๋อ องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้ว่า ปฏิรูปเทสวาโส จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ อันนี้เป็นมงคลที่ ๔ การอยู่ในประเทศที่สมควร จัดว่าเป็นอุดมมงคล

อันนี้ เห็นจะว่ากันอย่างย่อๆ คำว่าประเทศอันสมควรนี่ ไม่ใช่ประเทศเจ๊ก ประเทศไทย ประเทศแขก ประเทศมอญ ประเทศลาว ไม่ใช่ยังงั้น ประเทศที่สมควรก็คือ ในสถานที่นั้นมีบัณฑิตอยู่นั่นเอง มีบุคคลที่เราควรบูชาอยู่นั่นเอง ถ้าเราอยู่ในที่นั้นได้ ควรอย่างยิ่ง เป็นที่อยู่ที่สมควรเพราะเราปราศจากโทษ คือว่าท่านผู้เป็นบัณฑิต ท่านผู้ทรงความดี ท่านจะไม่แนะนำให้เราทำความชั่ว เมื่อเราอยู่กับท่านอยู่ใกล้ท่าน เราปฏิบัติตามท่านเราก็มีความสุข ทีนี้ จะหาว่าที่ไหนเป็นประเทศที่สมควร ใครสมควรก็จะต้องไปพูดกันทำไมเพราะพูดกันมากแล้วนี่ ถึงบุคคลที่ควรบูชา ถึงบุคคลที่เป็นบัณฑิต ถ้าสถานที่ใดก็ตามมีบัณฑิตอยู่ที่ไหน สถานที่นั้นชื่อว่าเป็นประเทศอันสมควร มงคลข้อที่ ๔ นี่ ขอผ่านไป 


.


ปุพฺเพจกตปุญฺญตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๕ "การทำบุญไว้ในกาลก่อน"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ทีนี้มาถึงมงคลข้อที่ ๕ ปุพฺเพจกตปุญฺญตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การทำบุญไว้ในกาลก่อนเป็นอุดมมงคล ท่านว่ายังงั้นนะ นี่มงคลข้อที่ ๕ ท่านว่ายังงี้นี่ คนที่มีบุญที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล เรามาว่ากันถึงคำว่าบุญเสียก่อน บุญแปลว่าอะไร อันนี้ก็คือจะพูดให้ฟัง บุญ แปลว่าเหตุของความสุขหรือปัจจัยของความสุข หรือว่าตัวของความสุขก็ได้ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ทำแล้วมันเกิดความสุข สิ่งนั้นเราเรียกกันว่าบุญ อันนี้สมเด็จพระสังฆราชวัดบวร ฯ จะไม่ใช่กรมหลวงชินวรนะ ต่อมาอีกองค์ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว ท่านเคยแปลคำว่าบุญ แปลว่าจิตสะอาด แหม ท่านแปลสวยจริงๆ สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ แต่ว่าองค์ไหนท่านจะแปลมาก่อนไม่ทราบ วันนั้นบังเอิญไปฟังวิทยุเข้า ท่านเทศน์ ท่านบอกว่าบุญนี่ก็คือจิตสะอาด ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าบุญ แปลว่าจิตสะอาด สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราเคยทำจิตสะอาดมาแล้วในกาลก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล แหม นี่สำคัญมากๆ การทำจิตสะอาดทำยังไงล่ะ ถ้าทำสูงเกินไปยังไม่ได้ เพราะมงคลข้อนี้ยังเป็นมงคลชั้นต่ำ พระพุทธเจ้าให้ค่อยๆ ก้าวขึ้นไป การทำจิตสะอาด จะไปนั่งซ้ำกับพรหมวิหาร ๔ ก็จะหาว่าตาเถรคนนี้ไม่เป็นเรื่องไม่มีแยกเสียบ้างมันมีแค่นั้นน่ะรึ เขาจะว่ายังงั้น แต่ความจริงพรหมวิหาร ๔ นะดีที่สุดอยู่แล้ว ยอดของความดียอดของความสะอาดของจิต ตานี้ ไม่ใช่จะอวดเบ่ง เรามานั่งช่วยกันคิดว่า ปุพฺเพจกตปุญฺญตา การที่เราสร้างความดี ทำความสะอาด ทำสิ่งที่เป็นบุญไว้ในกาลก่อนที่จัดว่าเป็นอุดมมงคลมีความสุขมันเป็นยังไง มานั่งพูดให้ฟัง พูดให้ฟังสักนิดหนึ่ง

เรามีจิตประกอบไปด้วยความเมตตาและกรุณา เรามีความรัก เรามีความสงสารเมื่อเรารักเราสงสาร ถ้าเห็นเขามีความทุกข์เราก็ให้ทานคือเอาของไปให้ เอาเงินไปให้สงเคราะห์ด้วยการช่วยเหลือเป็นแรงงาน หรือให้ความแนะนำกับบุคคลที่ได้รับความคับแค้น ให้เขามีความสุข ทีนี้การที่เราให้เขาอย่างนี้ การสงเคราะห์เขาอย่างนี้ ถามกันจริงๆ เถอะมันเป็นความดีหรือความชั่ว เอ้า เราไปนั่งคิดถึงคนอื่น มันมองไม่เห็นก็มานั่งคิดถึงตัวเรา ว่าถ้าเราได้รับการสงเคราะห์แบบนั้นบ้าง เราจะเกลียดคนสงเคราะห์ หรือว่าเราจะรักคนสงเคราะห์ นี่ถ้าเราไม่พูดกับคนบ้าหรือคนเมาก็จะพากันตอบเหมือนกันว่า คนที่สงเคราะห์เรา เราเกลียดเขาไม่ได้หรอก เราต้องรัก เพราะว่าเรามีความสุข เรามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้เพราะเขาเป็นปัจจัย เขาเป็นผู้มีคุณอย่างนี้ ก็ชื่อว่าปุพฺเพจกตปุญฺญตา เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องมาก ยกเป็นตัวอย่างแต่ความดีสั้นๆ เพราะยังเป็นมงคลต่ำๆ เป็นอันว่าเราเป็นนักสงเคราะห์อย่างที่เขาตั้งนักสังคมสงเคราะห์กัน สังคมสงเคราะห์ ถ้าสงเคราะห์จริงๆ ไม่หวังผลตอบแทน เป็นคุณหญิงคุณนายเป็นเจ้าคุณกันละก็ อย่างนี้จัดว่าเป็นปุพฺเพจกตปุญฺญตา หรือจัดว่าเป็นความดี ถ้าทำประเภทนี้หวังจะได้ผลตอบแทน หวังจะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ รับการสรรเสริญเยินยอ ใช้ไม่ได้ หรือให้คะแนนไม่ได้ ถ้าจะให้คะแนนก็ให้สักห้าพันสูญ เพราะการทำประเภทนั้น ไม่ต้องการทำเพื่อความหวังดีกับคนอื่น ทำเพื่อหวังผลให้ตนเป็นผู้เลิศ ใช้ไม่ได้ ยังงี้เขาไม่ใช้กัน

ตานี้ การสงเคราะห์ด้วยการไม่หวังผลในการตอบแทน สงเคราะห์ให้เขามีความสุขชื่อว่าการทำบุญไว้ในกาลก่อน หมายความว่าเมื่อวานนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเอากาลก่อนชาติก่อนอะไรหรอก เมื่อวานนี้ เราให้ทานกับสุนัขไว้ เราให้ทานกับคนขอทานไว้ เราให้ทานกับชาวบ้านที่ขาดฟืนขาดไฟขาดอาหารบ้านใกล้เรือนเคียง นี่เป็นปุพฺเพจกตปุญฺญตา เราเคยยกมือไหว้บุคคลที่มีอายุแก่กว่า ที่มีวัยวุฒิสูงกว่า มีคุณวุฒิสูงกว่า มีชาติวุฒิสูงกว่า เราเคยแสดงความเมตตาปรานีกับเด็กเมื่อวานนี้เอง เมื่อวานนี้ก็ถือว่าในกาลก่อนเหมือนกัน ตานี้พอมาวันนี้เข้า เราไปเจอะคนพวกนั้นเข้าไม่มีใครเขาประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา เขาก็แสดงความเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความเคารพ แสดงความขอบใจ เราก็มีความสุขใจอย่างนี้ จัดว่าเป็นอุดมมงคล นี่ว่ากันง่ายๆ แบบนี้ มันจะได้ไม่ยาว ฉะนั้น การสร้างความดีไว้ในกาลก่อน ที่เราเกิดมาเป็นคนได้ก็เพราะอาศัยการสร้างความดีไว้ในกาลก่อนคือว่าคนที่จะเกิดเป็นคนขึ้นมาได้ ๑. เคยมีศีลห้า ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือเคยมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ หรือบริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นจังหวะจะโคน เป็นครั้งเป็นคราว นี่เราจึงมาเกิดเป็นคนมีอาการ ๓๒ ครบถ้วนได้ ที่เรามามีผ้าผ่อนท่อนสไบมีทรัพย์สิน มีบ้านเรือนโรง มีข้าวกิน มีมากมีน้อยไม่สำคัญ พอมีอยู่บ้างก็เพราะอาศัยการทำความดีไว้ในชาติก่อน คือการให้ทาน คนไหนให้ทานมาก คนนั้นก็มีทรัพย์มาก คนไหนให้ทานน้อย คนนั้นก็มีทรัพย์น้อย คนไหนให้ทานกับท่านที่มีความบริสุทธิ์มาก คนนั้นก็มีทรัพย์มาก มีความสุขมาก คนไหนให้ทานแก่ท่านที่มีความบริสุทธิ์น้อย คนนั้นก็มีทรัพย์น้อย มีความบริสุทธิ์น้อย เอาไงกันแน่ ให้มาก แต่ให้กับคนเลวอานิสงส์มันก็น้อย ให้น้อยแต่ให้กับท่านที่เป็นคนดีก็มีความดี มีอานิสงส์มาก ทีนี้ ความดีที่ทำไว้ในกาลก่อน ความจริงจะปิดฉากเสียแล้วซี พูดไปพูดมา ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าในพระธรรมบทขุททกนิกาย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาท่านตรัสว่า พระพุทธกัสสปท่านเคยเทศน์ไว้อย่างนี้ว่า คนใดบริจาคทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนบุคคลอื่น คนนั้นเกิดไปในชาติต่อไป มีทรัพย์สินสมบัติมากแต่ไม่มีพวกพ้อง บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น แนะนำบุคคลอื่นให้ให้ทาน แต่ตนเองไม่ทำ เกิดในชาติต่อไปมีพวกมีพ้อง แต่ตนเองเป็นคนจน บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองด้วย แล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นให้ให้ทานด้วย บุคคลนั้นเกิดไปในชาติต่อไป มีทรัพย์สินมากด้วยแล้วก็มีพวกพ้อง พี่น้องบริวารมาก บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วยในการให้ทาน เกิดในชาติต่อไปเป็นคนยากจนด้วย แล้วก็หาพวกพ้องไม่ได้ด้วยนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือพระพุทธกัสสปท่านตรัสไว้อย่างนี้ แล้วองค์สมเด็จพระมหามุนีก็ทรงรับรองตามนั้น

พวกเราที่เกิดมาในโลก ที่เป็นคนขึ้นมาได้อย่างนี้ก็เพราะอาศัยความดีในชาติก่อน เมื่อกี้นี้พูดแล้วนี่ ว่าความดีเมื่อวาน นี่ย่องเข้ามาเล่นชาติก่อนกันเสียหน่อยเป็นยังไงเพราะอาศัยมีศีลห้าและมีกรรมบถ ๑๐ เราจึงเป็นคน เป็นมนุษย์ เรามีทรัพย์สินได้ก็เพราะอาศัยการบริจาคทาน ที่เรามีเพื่อนฝูง เรามีบริวารก็เพราะการชักชวนกันสร้างความดีที่เรามีปัญญาคิดอะไรต่ออะไรออกอย่างนี้ก็เพราะเราเคยอาศัยใช้ปัญญายอมรับนับถือกฎของความดี นี่เป็นอันว่าพวกเราเข้ามาเจอะความสุข คือเป็นมนุษย์ได้บริบูรณ์สมบูรณ์ ตาไม่บอด หูไม่หนวก แขนไม่ขาด หูไม่แหว่ง ปากไม่แหว่ง หรืออวัยวะสมบูรณ์ทุกอย่างก็เพราะอำนาจของศีล อำนาจของกรรมบถ ๑๐ เรามีกินมีใช้ก็เพราะอำนาจทานบารมี เรามีสติปัญญาดีเท่าที่เราจะพึงมี คือรู้จักภาษาคนได้ รู้จักคิดได้ รู้จักสร้างตัวได้ สั่งสมความดีได้ หากินได้ ก็เพราะอาศัยการยอมรับนับถือกฎของความดีตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันว่าเรามีความสุขกัน แล้วความสุขตามอัตภาพเพราะอาศัยความดีประเภทนี้มีมาในกาลก่อน

ตานี้ มาถึงชาตินี้น่ะ เราจะทำลายความดีหรือจะสร้างความดีต่อ เพราะว่าถ้าเรายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใดแล้ว ท่านทั้งหลายมันยังต้องเกิด ถ้าเราจะเกิดไปข้างหน้าละ เราจะยอมเป็นคนจนหรือว่าเราจะอยากเป็นคนรวย เราจะเป็นคนหูแหว่งจมูกวิ่น เป็นคนอวัยวะไม่สมบูรณ์ หรือเราจะต้องการเป็นคนมีอวัยวะสมบูรณ์ เราอยากจะเป็นคนมีสติปัญญา หรืออยากเป็นคนโง่ เอาเลือกกัน ๓ อย่าง เลือกกันเอาตามชอบใจ ตานี้จะมีใครที่ไหนล่ะ ใครเขาอยากจะมานั่งเป็นคนจน ไม่มีหรอก หาไม่ได้ หรือจะย่องไปมีที่ไหนบ้างก็ไม่รู้นา คนพูดไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย เอาแล้ว ย่องเข้ามาใช้ภาษาบาลีกันอีกแล้ว คำว่าสัพพัญญู แปลว่ารู้ทุกอย่างหรือว่ารู้หมด เช่น พระพุทธเจ้า นี่คนพูดนี่ไม่ได้รู้ตามพระพุทธเจ้า ก็เลยเดาๆ เอา ว่าคนทุกคนที่เกิดมาในโลกไม่มีใครอยากเป็นคนจน ถ้าบังเอิญจะมีใครเขาอยากเป็นคนจนกันบ้างละขอโทษด้วยนะ ว่าเจ้าคนพูดนี่มันโง่เกินไป แล้วยอมรับว่าตัวนี่โง่ ตานี้ เมื่อเราไม่อยากจะจน ก็ถอยหลังลงไป ว่านี่เรามีกินมีใช้ได้เพราะการให้ทาน การสงเคราะห์ ทีนี้ต่อไปชาติหน้า ถ้าเราอยากจะรวยอีก เอาให้มันรวยกว่านี้รวยแค่นี้มันมีการบกพร่องอะไรบ้าง เราเห็นบุคคลอื่นเขามีความสุขมากกว่าเรา เพราะมีทรัพย์สินมากกว่าเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ นี่แสดงว่าชาติก่อนเราเสียท่าเขานี่ เราทำอะไรไม่ได้ครบ มาชาตินี้เรารู้ตัวแล้วนี่ ไม่ได้การ ชาติหน้าต้องไม่ยอมแพ้ยายคนนั้น ตาคนนั้น ต้องเอามันให้ครบ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาให้ทาน แล้วก็การให้ทานนี่ให้แค่พอเหมาะพอดีนะ อย่าให้เพื่อเป็นการเบียดเบียนตัวเอง คืออย่าให้เป็นการเกินวิสัยเรียกว่าทำไปแล้วเราไม่เดือดร้อน ไม่ใช่เรามีบาทแล้วให้หมดบาท มีบาทไม่ใช่ให้ ๑ สลึง ต้องดูก่อนว่าความจำเป็นอะไรมันมีบ้าง ที่เราจะต้องใช้ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้น สิ่งที่เราให้ก็คือนอกเหนือจากความจำเป็น มันเป็นเงินปลอด นี่ การที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะนำพระพุทธเจ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออีตาคนนี้พูด แต่พระพุทธเจ้าท่านพูดมานี่ก็พูดตามไป ท่านทรงแนะนำว่าเราช่วยกันให้ทาน นี่พวกบรรดาหัวนอกรีตนอกรอยก็ว่าเอ้อ ถ้าสอนกันแบบนี้ ก็สอนให้ชาวบ้านขี้เกียจละซี คนอื่นไม่ต้องทำมาหากินหรอก คอยรับทานจากบุคคลผู้ให้ทาน ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นการผิดถนัด การให้ทานน่ะเป็นการสร้างมิตรนะ ไม่ใช่เป็นการสร้างศัตรู แล้วจะไปรู้กันในตอนให้ทาน เราให้ทานจัดเป็นสังคหวัตถุ เป็นการเชื่อมความรักซึ่งกันและกัน ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันให้มีความสุข อย่างนี้ ถ้าต่างคนต่างมีจิตคิดแบบนี้ ก็เป็นการช่วยกันสร้างชาตินั่นเอง เพราะคนทั้งชาติมีจิตใจเสมอกัน ชาติของเราก็จะเต็มไปด้วยความสุข เมื่อชาติทั้งชาติมีความสุข เราจะไปหาความทุกข์ตรงไหน หาความทุกข์ไม่ได้ เพราะไปไหนมีแต่มิตร มีแต่เพื่อน มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะผลของทานบารมีที่เราให้ นี่ว่ากันถึงชาตินี้นะ ถ้าชาติหน้ารวยใหญ่บอกไม่ถูก นี่ว่ากันย่อๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน

ตานี้ ถ้าว่าเราเกิดมาในชาตินี้มันสวยไม่เท่าเขาเสียแล้วซี เขาประกวดหญิงงามชายงามกัน แหม เราจะเข้าไปประกวดกับเขาบ้าง ถ้าจะได้ที่ ๑ ก็น่ากลัวมันข้างท้าย ใครเดินมาท้ายแถวเจอะเราแน่ อย่างคนพูดนี่ สวยเหน่งเลย คนพูดนี่เวลานี้สวยเหน่ง ที่ไม่ใช้คำว่าสวยเช้งก็เพราะว่ามันไม่ตรงความหมาย สวยเหน่งก็คือหัวล้านเหน่ง สวยน่ะ นี่มันสวยสู้เขาไม่ได้ ถ้าเราอยากจะเป็นคนสวยทำยังไง เราก็ทำตัวเป็นคนมีเมตตาจิต ระงับการละเมิดศีลข้อที่ ๑ เข้าไว้ มีจิตใจประกอบไปด้วยเมตตา คนประเภทนี้เกิดไปทุกชาติๆ สวยบอกไม่ถูก สวยจริงๆ คราวนี้ ถ้าเรามีทรัพย์สินไม่อยากจะให้ขโมยขโจรลัก ไม่อยากให้มีอันตราย เราก็ไม่ลักไม่ขโมยไม่ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของใคร เกิดมาชาติต่อไปมีทรัพย์สมบูรณ์ ไม่ต้องระวังของหาย ไม่มีอันตราย ใครจะเอาไฟเข้ามาจุดมันก็ไม่ติด น้ำก็ไม่ท่วม ลมก็ไม่พัดให้พัง ตานี้ เราต้องการให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือว่าสามีภรรยาของเราอยู่ในโอวาท ไม่นอกเหนือใจ จะพูดอะไร จะสอนอะไร เชื่อฟังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เราก็ระวังศีลข้อที่ ๓ กล่าวคือไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเราต้องการให้เราเป็นคนปากหวาน ปากหอม พูดกับใครใครก็ชอบ เราก็ไม่โกหกมดเท็จใคร ถ้าเราตั้งใจให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความดี มีปัญญาดี เราก็ไม่ดื่มสุราและเมรัย และตั้งใจเคารพในความดี

นี่แหละ ท่านทั้งหลาย เพียงเท่านี้ ถ้าเราสร้างความดีไว้ให้ครบถ้วน ถ้าเราเกิดไปชาติหน้าเราก็จะมีความดี มีความสุขใจตามความประสงค์ เราก็จะเป็นคนสวยสดงดงามมีทรัพย์สมบัติ เยือกเย็น มีบุคคลใต้บังคับบัญชาว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท มีวาจาเป็นศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครคิดนอกเหนือคำสั่ง และมีสติสตังสมบูรณ์บริบูรณ์ นี่เราว่าชาติหน้านะแต่ความจริงถ้าเราทำความดีอย่างนี้ มันเริ่มให้ผลตั้งแต่ชาตินี้ เพราะว่าการให้ทานการสงเคราะห์นี่ ไปที่ไหนก็มีคนยิ้มแล้ว มีคนชอบใจ มีคนรักแล้ว ตานี้ ถ้าเราเป็นคนมีความเมตตาปรานีไม่ฆ่าใคร ไม่ตีใคร ไม่ประทุษร้ายใคร ไม่กลั่นแกล้งใคร ถึงแม้ว่ารูปร่างไม่สวยเราก็เป็นคนสวย สวยเพราะอะไร สวยเพราะว่ามีคนรักเรามาก ไอ้คนสวยน่ะถ้ามีใครเขาเกลียด ความสวยก็ไม่มีความหมาย ทีนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนชอบ เพราะเราเป็นคนใจดี ไม่ประทุษร้ายใคร ถ้าเราไม่ลักไม่ขโมยของใครนี่ แหม ท่านทั้งหลายไม่ต้องห่วง ไปที่ไหนมันก็มีแต่คนรักอีก เสน่ห์มันดีเหลือเกิน ถ้าเราไม่ละเมิดความรัก เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่นในเรื่องกาเม จะไปนอนค้างอ้างแรมบ้านใครก็ได้ จะเดินไปกับลูกชายลูกสาวใครก็ไม่มีใครเขาว่า เพราะอะไร เพราะว่าความดีข้อนี้เป็นเหตุให้เกิดเมตตาจากบุคคลอื่น ถ้าเราไม่เป็นคนโกหกมดเท็จ พูดแต่ความเป็นจริง ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง เขาชอบฟังเราพูดอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าเราเป็นคนปากหอม มีเสียงเป็นเสน่ห์ ถ้าเราไม่กินเหล้าเมาสุรา เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราก็เป็นคนดีของสังคมแห่งความดี

นี่ ขึ้นชื่อว่าความดีที่เราทำไว้เพื่อชาติหน้า ก็ให้ผลความดีตั้งแต่ชาตินี้ ถ้าทุกคนในประเทศของเราสร้างความดีอย่างนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายที่เห็นว่าคำสั่งสอนทั้งหมดขององค์สมเด็จพระบรมสุคตนะ บั่นทอนประเทศชาติให้ทรุดโทรม หรือทำประเทศชาติให้เจริญ นี่ว่ากันถึงว่าคนรักประเทศชาติ เอ้า ลองมานั่งนึกดูกันอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินท่านปล่อยฝนช่วยชาวบ้านน่ะ เสกน้ำเป็นน้ำมัน ทดลองอะไรต่อทดลองอะไรอย่างนี้น่ะ ทำให้ชาวบ้านที่ถูกความแล้งรบกวน ต้นพืชผักธัญญาหารตายวอดวายกันหมด แต่ว่าแทนที่จะปล่อยอย่างนั้น ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินเอาฝนไปให้ นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายงอกงาม เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง อย่างนี้ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรม หรือว่าทำให้ประเทศชาติเจริญ พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้เปลืองเงินชาวบ้าน หรือพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ช่วยเสริมชาวบ้านให้มีเงินมากขึ้น นี่เอากันจุดเดียว เอาตัวอย่างพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เห็นชัด

ตานี้ ถ้าหากว่าพวกเราเป็นพสกนิกรของพระมหากษัตริย์ ในเมื่อพระองค์ทำใหญ่ได้ เราก็ทำมั่ง แต่ว่าทำเล็ก ช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ คนละจุด ๒ จุด ทุกคนต่างช่วยกันทำคนละเล็กละน้อย มันก็ใหญ่ขึ้นมาเอง เป็นอันว่าความสุขที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะพึงได้ในชาติหน้านั้น ความจริงเราได้ตั้งแต่ชาตินี้ และองค์สมเด็จพระมหามุนีเวลาเทศน์ก็เทศน์แบบนั้นเหมือนกัน ว่าการทำความดี ไม่ใช่ว่าเราจะต้องการผลในชาติหน้า ให้ต้องการผลจริงๆ ในชาตินี้ แต่เมื่อชาตินี้มันมีความดีมีความสุขแล้ว ความสุขนี้ก็มีปัจจัยให้ได้รับความสุขในชาติหน้าต่อไป ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า ปุพฺเพจกตปุญฺญตา การสร้างความดี คือว่าทำบุญไว้ในชาติก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน นี่ มงคลข้อที่ ๕ ก็ถือว่ายุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่าน สวัสดี
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 10.0 MS Internet Explorer 10.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2558 08:33:16 »

.


อตฺตสมฺมาปณิธิ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๖ "การตั้งตนไว้ชอบ "
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ต่อจากนี้ไป จะพูดถึงมงคลที่ ๖ ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับเทวดาในมงคลที่ ๖ นี้ มีพระบาลีว่า อตฺตสมฺมาปณิธิ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลว่า การตั้งตนไว้ชอบ จัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่าตั้งตนไว้ชอบ หมายความว่าตั้งตนไว้แล้วด้วยดี ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดกฎหมายของบ้านเมือง ไม่ผิดกฎข้อบังคับของหมู่คณะที่ตั้งไว้ ฉะนั้น คำว่าตั้งตนไว้ชอบ ไม่ได้หมายความว่าตั้งตนไว้ตามชอบใจของตน ถ้ามีความคิดแบบนี้ก็ถือว่า มีอารมณ์ไม่เข้าถึงมงคลตามที่พระพุทธเจ้าทรงหวัง ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับเทวดา หรือว่าเทศน์ให้เทวดาฟังก็หมายความถึงว่าการตั้งตนไว้ชอบตามระเบียบวินัยนั่นเอง

ทีนี้ ท่านที่ตั้งตนไว้ชอบส่วนมากพวกเราก็ทราบกันอยู่แล้ว ว่าการตั้งตนแบบไหนชอบการตั้งตนไว้ชอบนี้ ถ้าจะพูดก็เห็นจะต้องพูดกันแต่เพียงโดยย่อว่าคือ ๑ จงรักษาระเบียบวินัยของหมู่คณะและของกลุ่ม ของพื้นที่ของประเทศ ของโลก จงอย่าเป็นบุคคลผู้ฝืนระเบียบและวินัย ความจริงการประพฤติตนตามวินัยพระพุทธเจ้าตรัสไว้อีกส่วนหนึ่ง แต่ก็เนื่องถึงกันกับการตั้งตนไว้ชอบ

ตานี้ มาพูดกันให้ฟังชัดๆ ถึงชาวโลก ถ้าเราจะตั้งตนไว้ชอบตามระบบของชาวโลกนี่ พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะเบื้องต่ำ ก็ต้องมีความรู้สึกว่าถ้าเราเป็นเด็ก จงอย่าตีตนเสมอผู้ใหญ่ ถ้าเราเป็นลูกก็อย่าทำตนเสมอด้วยพ่อแม่ ถ้าหากว่าเราเป็นพ่อบ้านแม่เรือน จงอย่าตีตนเสมอผู้ใหญ่บ้าน เราเป็นผู้ใหญ่บ้านอย่าทำตนเสมอกำนัน ถ้าเราเป็นกำนันอย่าทำตนเสมอนายอำเภอ ถ้าเราเป็นนายอำเภอ อย่าตีตนเสมอผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดอย่าตีตนเสมอท่านอธิบดี ท่านอธิบดีก็อย่าตีตนเสมอท่านปลัดกระทรวง ท่านปลัดกระทรวงก็อย่าตีตัวเสมอท่านรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรีก็อย่าตีตนเสมอท่านนายกรัฐมนตรี ท่านนายกรัฐมนตรีจงอย่าคิดว่าเราดีกว่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือว่าเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ถ้ามีความเห็นอย่างนี้ก็ชื่อว่าตีตนไว้ชอบ หรือตั้งตนไว้ชอบตามระบอบที่พระพุทธเจ้าตรัส

ทีนี้ เราก็มาลองนั่งคิดกันดู ว่าการที่พระพุทธเจ้าตรัสแบบนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง หากว่าคนทุกคนรู้ตัวว่าตนมีสภาวะเช่นไร หรือว่ามีหน้าที่เช่นไร มีศักดิ์ศรีประการใด รักษาศักดิ์ศรีไว้โดยเฉพาะ เท่านี้เราก็มีความสุข ถ้าหากว่าเด็กทำตนเสมอด้วยผู้ใหญ่หรือทะนงตนคิดว่าตนดีกว่าผู้ใหญ่ นั่นเป็นความโง่ของเด็ก ถ้าจะพูดกันอีกทีก็คือเป็นความจัญไรของเด็ก เพราะเด็กคนนั้นจะหาความเป็นมงคลแก่ตนไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กตีตนเสมอหรือว่าตั้งตนเสมอผู้ใหญ่ เป็นการลบหลู่ดูผิด ไม่ใช่คำว่าดูถูก ดูผิดคิดไม่ชอบ เพราะว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าผู้ใหญ่ย่อมผ่านโลกมามาก เห็นดีเห็นชอบมามาก คำว่าผู้ใหญ่ในที่นี้ ก็หมายความถึงว่าคนที่ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ แล้วก็เว้นอคติ ๔ นี่พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงคนประเภทนี้ว่าเป็นผู้ใหญ่ คนที่มีอายุมาก แต่ขาดพรหมวิหาร ๔ แล้วตั้งอยู่ในอคติ คือความลำเอียงเที่ยงธรรม คนประเภทนี้จะแก่เหลาเหย่ขนาดไหนก็ตามที องค์สมเด็จพระชินสีห์ไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เป็นคนแก่ก็จริงแหล่ แต่ทว่าจิตใจไม่อยู่ในความทรงคุณธรรมของความเป็นผู้ใหญ่ นี่คนที่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้ ถ้าเราเป็นเด็กกว่าจะเป็นเด็กขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเราไปทำตั้งตนเสมอท่าน ก็แสดงว่าเราเลวเกินไป แต่ถ้าบังเอิญ ท่านผู้ใหญ่ท่านจะถ่อมตนมาเสมอด้วยเด็ก เรียกว่าท่านไม่ถือตัวถือตนสังสรรค์กับเด็กได้คล้ายๆ กับคนเสมอกัน อันนี้เป็นความดีของท่านผู้ใหญ่

ถ้าเราพูดกันง่ายๆ เอากันให้เห็นชัด ๆ พระมหากษัตริย์ จัดว่าเป็นประมุขของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเวลานี้ คนเทิดทูนพระมหากษัตริย์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน นี่เราพูดกันสมัยรัชกาลที่ ๙ สำหรับองค์ที่ล่วงมาแล้วจะเป็นยังไงนั่นไม่สำคัญ คำว่าไม่สำคัญนั่นหมายความว่า เพราะเวลานี้เราไม่ได้เกิดในสมัยของท่าน และองค์ที่จะขึ้นต่อไปข้างหน้าก็ยังถือว่าไม่สำคัญ เพราะเวลานี้ท่านยังไม่ได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระพุทธเจ้าทรงมีความตั้งใจอยู่อย่างเดียว การสอนพุทธบริษัทให้ตั้งอยู่ในมงคล หรือว่าเป็นคนที่มีมงคล ก็คือถืออารมณ์ปัจจุบันเป็นสำคัญ คำว่าปัจจุบัน แปลว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อีกสักครู่หนึ่งข้างหน้าหรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง หรือว่าวันหน้า คำว่าปัจจุบันคิดไว้เดี๋ยวนี้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ถ้าเราจะพูดกันตามแบบธรรมก็เรียกว่าพระองค์ทรงทศพิธราชธรรมเป็นอย่างดี ทำไมถึงว่าเป็นอย่างดีก็เพราะว่าเท่าที่เห็นเท่าที่รู้ พระมหากษัตริย์องค์นี้มีความอดกลั้นจิต ทรงจิตไว้ในธรรมได้อย่างดีมาก ตามที่ทราบมาในสมัยก่อนๆ เอากันอย่างง่ายๆ เห็นชัดๆ ที่พระมหากษัตริย์ทรงทำได้ดีกว่าพวกเราหลายคน นั่นก็คือพระองค์ทรงมีเอกอัครมเหสีพระองค์เดียว คือพระบรมราชินีนาถ พระองค์ไม่ได้เคยมีพระสนมนารีที่ไหนอีก แต่ความจริงส่วนลึกภายในที่อาตมาพูดก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่ทราบกัน ไม่เคยมีข่าวเข้าหู ว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้ทรงเจ้าชู้ มีพระสนมนารีไว้ภายนอก แล้วการที่ไม่รู้นี่ก็คิดว่าไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าโลกเราขึ้นชื่อว่าความลับมันไม่มี ตามที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า นัตถิ โลเก รโหนามะ ความลับต่างๆ ไม่มีในโลก ใครจะไปมั่วสุมความดีความชั่วกันอยู่ที่ไหนไม่เกินวิสัยของมนุษย์ที่จะพึงรู้ได้ แต่ว่าพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระองค์ทรงอดใจไว้ได้ มีแต่เอกอัครมเหสีพระองค์เดียว นี่เราถือว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้ตั้งตนไว้ดีโดยเฉพาะข้อที่ ๑ ตานี้ข้อที่ ๒ พระมหากษัตริย์องค์นี้ทรงทศพิธราชธรรมไว้อย่างหนึ่ง ที่เราจะพึงเห็นกันง่ายๆ ก็คือ ทานบารมี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราจะพูดกันให้ชัดก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ตั้งอยู่ในเมตตาบารมีอย่างกว้างขวาง ถ้าจะจัดเป็นพรหมวิหารก็เรียกว่าเป็นอัปปมัญญา คำว่าอัปปมัญญานี้หาประมาณมิได้ พระองค์ไม่ได้ทรงสนใจทะนุบำรุงความสุขความเจริญแต่ในเฉพาะครอบครัวหรือว่าราชวงศ์ ความจริงพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณโดยมีพระราชประสงค์ที่จะสงเคราะห์พสกนิกรทั่วไป ไม่เลือกว่าเป็นคนไทยหรือต่างด้าว ที่อยู่ในขอบขัณฑสีมา นี่เราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเสด็จออกนอกเขตพระราชฐาน เข้าไปในป่า ไปในดง ไปในภูเขา นำสิ่งของต่างๆ ไปสงเคราะห์อนุเคราะห์กับบรรดาประชาชน คนที่อยู่ไกลขอบเขตแห่งความเจริญ การเสด็จไปของพระองค์ไม่ใช่เป็นกีฬาสำหรับเที่ยวเล่น มันเป็นการเดินเขาเดินป่า ต้องทุกข์ทรมานด้วยประการทั้งปวงแล้วเวลาที่เข้าไปในขอบเขตนั้นๆ เคยเห็นภาพที่เขาถ่ายมาให้เห็น ที่เขาเรียกกันว่าภาพพระราชทาน พระองค์ก็นั่งในบ้านของชาวกะเหรี่ยงบ้างชาวป่าบ้าง เขานำสุรามาให้เสวยพระองค์ก็ทรงเสวย พระองค์ทรงวางตนเสมอด้วยกับบุคคลพวกนั้น ถือว่าเป็นพี่น้องกันนี่เป็นเจตนาที่ดีของพระองค์ซึ่งเราจะหาได้ยาก แล้วพระองค์ทรงแสดงเหมือนว่าคนทุกคนเป็นน้องเป็นเพื่อนที่สนิท รักชอบ การทำใจประเภทนี้แสดงว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้มีพระมหากรุณาธิคุณ ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมีหาขอบเขตมิได้ พระองค์ไม่ได้ทรงตั้งใจจะหาความสุขโดยเฉพาะส่วนพระองค์ แต่ความจริงพระองค์จะไม่ทรงทำแบบนั้นก็ได้ เพราะว่าเวลานี้ความเป็นใหญ่ ขึ้นอยู่แก่รัฐธรรมนูญ งานบริหารประเทศก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหรือรัฐสภา แต่ทำไมพระองค์จึงต้องทำอย่างนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงมีจิตใจหรือว่าพระราชหฤทัยเข้าถึงธรรม โดยเฉพาะเรียกว่าทนไม่ไหวที่จะนั่งกิน นอนกินเงินเดือนที่ชาวบ้านเขาให้ คิดเอาไว้เสมอว่าเราเป็นคนไทย แล้วเวลานี้ชาวบ้านเขายกย่องพระองค์ให้เป็นพระมหากษัตริย์ จัดว่าเป็นประมุขของคนในประเทศ ฉะนั้น จึงสร้างความดีในขอบเขตที่อาตมาเองคิดว่าคนหลายๆ คนนี่ยังมีสมรรถภาพสู้พระองค์ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าการนำของไปแจกเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ แล้วก็คนที่เอาของมาน้อมนำให้แก่พระองค์ที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศล คำว่าโดยนี่เขาแปลว่าตาม เรียกว่าทำบุญตาม พระองค์ก็ไม่เคยกักไม่เคยกันเอาเข้าไว้ นี่คิดว่ายังงั้นนะ ถ้าจิตใจของพระองค์คิดว่าจะเอาเปรียบชาวบ้าน กอบโกยเงินของชาวบ้านเป็นสมบัติของพระองค์แล้ว ความจริงพระองค์ไม่ต้องทำแบบนั้น เป็นแต่เพียงนอนอยู่เฉยๆ ตามใจรัฐสภา ตามใจรัฐบาล เขาจะเอายังไงก็เซ็นให้ทุกอย่าง เท่านี้รัฐสภาหรือรัฐบาลเขาก็ชอบใจ เพราะมอบเวรประเคนให้ ดีไม่ดีอาจจะขอให้พระองค์ช่วยรับผล คือทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม นี่พระองค์ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ เป็นอัปปมัญญา พระองค์ก็จะต้องทำอย่างนี้ การที่พระองค์แสดงองค์ทรงมีพระเมตตาแก่พสกนิกรทั่วประเทศขอบเขตขันฑสีมา ก็แสดงว่าพระองค์ทรงตั้งตนไว้ชอบในระบบของกษัตริย์ที่ถือว่าเป็นพ่อของคนทั้งเมือง เพราะว่าสมัยก่อนนี้ พระมหากษัตริย์เขาเรียกกันว่าพ่อเมือง คนทุกคนนับถือพระมหากษัตริย์เหมือนพ่อ นี่พระองค์ทรงตั้งตนไว้ชอบ มาคิดตอนนี้แล้วก็คิดถึงสมัยสุโขทัย

สมัยสุโขทัยนี่ ที่ตั้งเมืองขึ้นมาได้ก็เพราะว่าพระมหากษัตริย์เข้าถึงคน เรียกว่าพระมหากษัตริย์ทำเหมือนว่าเป็นเพื่อนกับคนทุกคนในประเทศ ไม่ได้คิดว่า พระองค์ทรงเป็นจ้าวนายเลย ในการเข้าถึงประชาชนในสมัยนั้นก็เข้าถึงง่ายที่สุด ให้โอกาสแก่บรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่จะเฝ้าได้ตลอดเวลา แต่อย่าลืมนะ ไม่ใช่เวลานอนหลับแล้วก็ไปปลุกกัน เว้นไว้แต่สงครามมันจะเข้ามาถึงประเทศและเหตุใหญ่ นี่ การจะเข้าจะออกยังไงก็ต้องรู้กาลรู้เวลา ไม่ใช่นึกๆ ว่า เอ้านี่เราเป็นคนเข้าถึงพระมหากษัตริย์ อยู่ๆ ก็เวลาตี ๑ ตี ๒ ตี ๓ ต้องการจะเฝ้าพระมหากษัตริย์ นี่มันเลยพอดีแล้ว ตั้งตนไว้ไม่ชอบ ทีนี้พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงสุโขทัยที่เคยนอนฝันไปหรือว่านั่งฝัน บางทีไม่ได้หลับ ตื่นๆ ฝันไปว่าทำไมชาวสุโขทัยจึงทรงตัวได้ทั้งๆ ที่มีกำลังน้อยกว่าขอมตั้งเยอะ การตั้งตนคราวนั้นก็เพราะอาศัยมีธรรมสามัคคี หัวหน้าคนไทยสมัยนั้นทรงความดี คือตั้งตนไว้ชอบ ไม่ถือตนว่าเป็นจ้าวคนเป็นนายคน ถือตนแต่เพียงว่าเป็นเพื่อนของคน เพราะอาศัยที่คนในสมัยนั้นถือตนเป็นเพื่อนของคนทุกคน บรรดาประชาชนทั้งหลายเลยยกย่องให้เป็นพ่อคนไปเสียเลย เพราะอำนาจของความดี

ก็เลยมานึกถึงว่าสมัยนี้ เวลานี้พระมหากษัตริย์องค์นี้ ทรงมีพระราชจริยาวัตรคล้ายกับกษัตริย์สมัยสุโขทัย นี่เราว่ากันไปตามนี้นะ นี่เป็นความดีของพระมหากษัตริย์นี่คนอ่านคงจะนึก และบางท่านอาจจะนึก แต่บางท่านอาจจะไม่นึกว่า นี่หลวงตาองค์นี้คงจะประจบกษัตริย์กระมัง อยากจะได้ตำแหน่งพระครู อยากจะได้ตำแหน่งเจ้าคุณ อยากจะได้ตำแหน่งสมเด็จ เปล่า ไม่เคยหวัง ให้ก็ไม่เอา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะตำแหน่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยกันนรกได้ การดำรงตำแหน่งหลวงตานี่โก้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าตำแหน่งนี้ประชาชนตั้ง เวลานี้ก็เป็นสมัยประชาธิปไตย และในบางครั้งบางคราวประชาชนบางเหล่าเขาก็ตั้งให้เป็นวัวเป็นควายเป็นสุนัขไปก็มี เพราะอะไร นัตถิ โลเก อนินทิโต บุคคลที่เกิดมาในโลกที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มี เวลานี้ก็ถูกนินทาจม ด่าเข้ามาทุกทิศทุกทาง ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร อยากด่าก็ด่าไป ถ้าเราคิดว่าตั้งตนปฏิบัติไว้ตามแนวที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์สอนพอแล้ว ถ้าคนเลวชม เราควรจะเสียใจ ถ้าหากว่าท่านผู้ใหญ่ คือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ชมเราควรจะดีใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านผู้ใหญ่ มีพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ท่านไม่ยอมรับนับถืออารมณ์ของกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ไม่บูชากิเลสจริง ๆ ถ้าหากว่าพระองค์ทรงชมควรจะปลื้มใจให้มาก ถ้าชาวบ้านชม ควรจะสลดใจให้มาก เพราะชาวบ้านมีกิเลส นี่ว่ากันเลยเถิดไปแล้วกระมัง ว่ากันถึงการตั้งตนไว้ชอบ นี่มาพูดโดยย่อ พระมหากษัตริย์องค์นี้ทรงตั้งตนไว้ตามระบอบพระธรรมวินัย ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้

ตานี้ เราที่เป็นพสกนิกร หรือว่าประกาศตนเป็นพุทธบริษัท หรือไม่ใช่ก็ช่างเถอะ เป็นคนในประเทศไทย ถ้าบุคคลผู้ใดที่เป็นข้าราชบริพาร นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาก็ดีหรือประธานสภาก็ดี ถ้าไม่รักษาจริยานี้ตามพระมหากษัตริย์ก็เรียกบุคคลนั้นว่า ตั้งตนไว้ไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะไม่ตั้งตนไว้ด้วยดี รวมความกันอย่างสั้นๆ เพราะว่ามงคลนี้มีมากมาย อันนี้ก็ไม่น่าจะพูดมาก เพราะรู้กันอยู่แล้ว เป็นอันว่าการตั้งตนไว้ชอบ คือตั้งตนให้อยู่ในขอบเขตระเบียบที่ตนพึงอยู่ จะต้องพึงปฏิบัติ เป็นอันว่า นี่เราว่ากันทางโลกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ จะว่ากันโดยทางธรรมมันก็จะเฟ้อไป เป็นอันว่าขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่า ท่านอยู่ในขอบเขตไหน ระเบียบวินัยกฎข้อบังคับของเขตนั้นมียังไง ตั้งตนไว้โดยเฉพาะในขอบเขตของระเบียบวินัยและกฎข้อบังคับ เท่านี้ก็ชื่อว่าท่านตั้งตนไว้ชอบคือหมายความว่าคนในกลุ่มเดียวกันเขาไม่เกลียดท่าน แล้วทุกคนเขามีความจงรักภักดี เขามีความหวังดีต่อท่าน ท่านเองก็ชื่อว่าเป็นคนมีความสุข

ตานี้ บุคคลที่จะตั้งตนไว้ชอบนี่ใครบ้าง ก็ว่ากันได้ บอกกันได้ตรงๆ ว่าทุกคนในโลก ให้ตั้งตนไว้ชอบสม่ำเสมอกัน คือว่าตั้งตนไว้ชอบตามระเบียบ ตามวินัย ตามกฎข้อบังคับของกลุ่ม ของหมู่คณะ และของประเทศชาติ จงอย่าตั้งตนไว้ตามชอบใจของตนอย่างที่บุคคลประชาชนบางกลุ่มทำอยู่เวลานี้ ทำไปทำมาทีแรกบางคนเขาคิดว่าดี แต่เวลานี้รู้สึกว่าเขาเริ่มจะเกลียดกันมากแล้ว นี่ ทำอย่างนี้ชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตนตามมงคลที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสั่งสอนและแนะนำ คือตั้งตนไว้ไม่ชอบ บุคคลนั้นเป็นใครก็ไม่ขอบอก เขารู้ตัวของเขาเอง เอาละ เป็นอันว่ามงคลที่ ๖ ก็ยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปเราก็มาว่ากันถึงมงคลที่เจ็ด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 พฤษภาคม 2558 08:42:06 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2558 04:38:38 »

.


พาหุสจฺจญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺมํ
มงคลที่ ๗  "การเป็นพหูสูตร"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลที่ ๗ พระพุทธเจ้าตรัสเป็นภาษาบาลีว่า พาหุสจฺจญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺมํ แปลความว่าการเป็นพหูสูตร จัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่า พหูสูตรนี่ แปลว่าเป็นคนจำอะไรไว้ได้มาก เช่นพระอานนท์ คือว่าจำไว้หมดทั้งความดีและความชั่ว สิ่งใดที่เป็นความชั่ว เขาบอกกันว่าไม่ดีจงอย่าทำ ถ้าทำแล้วมีความเดือดร้อนอย่างนี้เราก็จำได้ แล้วสิ่งใดที่เป็นความดี เขาบอกว่าทำแล้วเข้าถึงความเจริญ มีความสุขเป็นที่รักของบุคคลทั้งหลายทั่วไป แล้วตนเองก็จะเข้าถึงความเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้เราก็จำได้ เรียกว่าวิชาการต่างๆ ที่มีความสำคัญแก่ชีวิตของเราก็ดี ของมิตรร่วมประเทศชาติร่วมความเกิดก็ดี เรามีความรู้ เราจำได้ทุกอย่าง คนที่จะจำได้ดีนี้ ก็เป็นคนมีสติสัมปชัญญะ

คำว่าสติ แปลว่าคอยนึกเข้าไว้ เราศึกษาอะไร ได้รับคำสั่งสอน ได้รับคำตักเตือนอะไรมา เรานึกไว้อยู่เสมอ  แล้วสัมปชัญญะก็คอยควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ที่เรานึกได้นี่น่ะ มันถูกหรือมันผิดแล้วเวลานี้เราลืมเราหลงไปบ้างหรือเปล่า คนที่จำได้ดีทุกอย่าง ทรงความรู้ทุกอย่าง ทั้งความดีและความชั่ว เป็นอันว่าเป็นคนที่มีความรู้รอบตัว อย่างนี้เป็นคนที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเข้าถึงมงคล

เอาละ ข้อนี้พูดไว้เพียงสั้นๆ เท่านี้ก็พอ แล้วมงคลต่อไปเป็นมงคลที่ ๘





สิปฺปญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๘  "การมีศิลปะ"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํนี่บางข้อก็ต่อเอตัมมังคลมุตตมัง บางข้อก็ไม่ได้ต่อ มันเป็นเรื่องของคนแก่จะพูด ก็ช่างปะไร ต่อหรือไม่ต่อก็ไม่สำคัญ พูดไปใครจะชมก็ช่าง ใครจะด่าก็ช่าง ไม่เห็นจะมีความหมายอะไร พูดเต็มบ้างไม่เต็มบ้าง สำหรับภาษาบาลีก็แค่นั้นแหละ ว่ากันภาษาไทยให้เต็มก็แล้วกัน

คำว่า ศิลปะ นี่แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ สิปปัญจะ ท่านแปลว่าศิลปะ ศิลด้วยแล้วก็ปะเข้าไปด้วย เอ มันจะแย่กันเสียละกระมัง ไอ้สินที่เขาแปลว่าตัด ตัดเสียโบ๋แล้วก็ปะเข้าไป แต่ว่าศีลตัวนี้ท่านใช้ ศ ศาลา ศีลตัวนี้ไม่ใช่สินตัดเสียแล้ว ศีลตัวนี้แปลว่าปกติ ปกติ เมื่อศีลแปลว่าปกติแล้วเอาตัวปะเข้ามาใส่เอาอะไรเข้าไปปะก็ไม่รู้ แล้วปะตัวนี้เขาแปลว่าทั่ว ไม่ใช่ชั่วนะ ตัว ท แล้วก็สระอัวไม้เอก อันนี้เขาแปลว่าทั่ว ปะ ตัวนี้นะ แปลว่าทั่วไป ศีลแปลว่าปกติ คำนี้เรียกว่าศิลปะ ถ้าจะแปลกันตามชาวโลก ก็เรียกว่ามีฝีมือดี ปกติ เราเป็นคนฝีมือดีประกอบกิจการงานต่างๆ เรียบร้อยดี ทำดี ทำเก่ง เรียกว่าทำแบบประเสริฐ ทำแล้วไม่มีที่ติ เราเป็นชาวนาก็เป็นชาวนาอย่างดี มีศิลปะในการทำนา ที่ไหนควรที่ไหนไม่ควร เรารู้ข้าวประเภทไหนควรจะหว่านในตอนไหน เวลาไหนควรจะไถนา เวลาไหนควรจะคราด การเก็บหอมรอมริบทรัพย์สมบัติ เราทำดีทุกอย่าง ควรใช้ ไม่ควรใช้ อย่างนี้เรียกว่าศิลปะ แล้วศิลปะอีกประการหนึ่งคือรู้หลักรู้เกณฑ์ มีความฉลาดพอ พอที่จะเอาตัวรอดได้ เราก็เรียกกันว่าศิลปะ การแกะสลักทั้งหลายทำให้คนชอบใจ มีราคามีกำไรดี มันก็เป็นศิลปะ การประพฤติดีประพฤติชอบ เป็นที่ชอบใจของประชาชนทั้งหลาย ใครเห็นเราเข้าเขาก็ชอบใจเรา เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ จิตใจเราก็มีความสุข อันนี้ก็เป็นศิลปะ รวมความว่าศิลปะเป็นได้ทุกอย่าง แปลศัพท์ง่าย ใครเขาแปลว่ายังไงก็ไม่รู้ช่างเขาปะไร เขาแปลแบบไหนก็ช่างเขา นี่เราพูดคนเดียว เราแปลตามแบบของเรา มันสบายใจ เป็นอันว่าศิลปะนี้ เราทำดีทุกอย่าง ทั้งการประกอบกิจการงาน และความประพฤติ ดีทุกอย่าง พยายามทำไม่ให้คนเขาติ ก็เรียกว่าไม่ให้คนดีติ แต่คนเลวติช่างเขา อย่าไปทำให้คนเลวตินะ ไม่ใช่ศิลปะแล้ว ถ้าศิลตัวนี้ก็ไม่ใช่ ศ ศาลา ต้องกลายเป็น ส เสือ สินคือตัด ตัดความดีออกไป ใช้ไม่ได้

ศิลปะ ที่เราจะพึงทำด้วยการประกอบการงานก็ดี หรือว่าความประพฤติก็ดี ความคิดก็ดี ศิลปะตัวนี้ต้องคนดีชม ทำให้คนดีชอบใจ อย่างนี้เรียกว่าศิลปะ ถ้าเรามีศิลปะครบถ้วนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า?ท่านผู้มีศิลปะเป็นผู้มีอุดมมงคล คือมีความสุข นี่เราว่ากันง่ายๆ ย่อๆ อย่างนี้สบายดี ก็ไม่เห็นจะมีอะไรมาก เพราะตอนนี้เป็นเรื่องของโลก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤษภาคม 2558 04:46:22 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2558 04:44:24 »

.


วินโย จ สุสิกฺขิโต เอตมฺมํคลมุตฺตมํ  
มงคลที่ ๙  "พระวินัยที่ศึกษาดีแล้ว"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพระบาลีว่า วินโย จ สุสิกฺขิโต เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ใช่หรือไม่ใช่ อ๋อดี ใช่แล้ว แปลว่าพระวินัยที่ศึกษาดีแล้ว เป็นอุดมมงคล นี่ไม่ได้ย่อเอตัมมังคลมุตตมัง เดี๋ยวก็ต่อเดี๋ยวก็ไม่ต่อ ก็ถือว่าหลวงตาองค์นั้นมันเป็นคนที่ตกอยู่ในเรื่องของอนิจจัง ความไม่เที่ยงก็แล้วกัน เพราะอะไร เดี๋ยวก็ว่าบาลีเต็มบ้าง เดี๋ยวก็ว่าไม่เต็มบ้าง ก็จะได้รู้ว่าคนเราถ้ามีชีวิตและเลือดเนื้อ ถ้ายังมีเลือดเนื้ออยู่เพียงใด ไม่มีใครเป็นคนเต็มหรือว่าชาวบ้านเขาจะเต็มก็ไม่รู้ ตามใจ แต่ว่าคนพูดนี่ไม่เต็มแน่ ขณะใดที่เรามีเลือดเนื้อทรงกายอยู่ ที่เราเรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นอันว่าไม่มีโอกาสจะเต็ม ถ้ามันเต็มจริงๆ ก็ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินอาหาร เพราะนี่ร่างกายมันไม่เต็ม มันพร่องอยู่ตลอดเวลา ต้องกินอาหารอยู่ตลอดเวลา ก็แสดงว่าร่างกายไม่เต็มตานี้ มาด้านสติ สัมปชัญญะ มันก็ยังต้องนึกต้องคิด ยังป้ำๆ เป๋อๆ แบบนี้ ก็แสดงว่าเป็นคนสติสัมปชัญญะไม่ค่อยจะเต็ม เรียกว่าไม่ค่อยจะเต็มไม่ค่อยจะถูก ต้องเรียกว่าเป็นคนไม่เต็มบาทไม่เต็มสลึงเสียเลยมันถึงจะถูก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งใดบางอย่างที่ชาวบ้านเขาว่าดี หลวงตาองค์นี้ก็ว่าไม่ดี เป็นยังไง ความเกิด ชาวบ้านเขาชอบ นี่เมื่อตอนก่อนก็ชอบเหมือนกัน เวลานี้ไม่ชอบเสียแล้ว เพราะอะไร เกิดมาในตอนต้นก็รู้สึกว่ามันทำท่าจะดี มันมีความเจริญขึ้น แต่เวลานี้ซีมันซวยลงไปทุกที ทรุดโทรมลงไปทุกที จนกระทั่งไม่อยากจะส่องกระจกแล้ว ส่องกระจกทีไร เห็นหัวล้านทุกที มันจะดีตรงไหน นี่ความบกพร่องมันทวีขึ้นมาถึงหัวแล้ว นี่แสดงว่าทั้งตัว เต็มไปด้วยความบกพร่องมันจะเอาอะไรดีกัน อ้าว นี่อย่ามาพูดเรื่องดีไม่ดีเลย เพราะว่ามงคลข้อนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านตรัสว่า การศึกษาวินัยไว้ดี จัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่าวินัยนี้ ก็แปลว่าระเบียบ
ถ้าชาวบ้านชาวเมืองเขาแปลว่ากฎหมาย หรือ กฎข้อบังคับ กฎกระทรวง กฎของกลุ่ม ส่วนใหญ่เขาเรียกว่ากฎหมาย ออกทั่วไปทั้งบ้านเมือง จุดใหญ่จริงๆ ที่เป็นหัวข้อของกฎหมาย ที่เป็นแม่บทก็คือ รัฐธรรมนูญ อันนี้รวมความว่าวินัย แปลว่าเป็นระเบียบสำหรับปฏิบัติ คนในขอบเขตขัณฑสีมา ที่อยู่ในเขตนั้นๆ อันนี้สมเด็จพระทรงธรรม์ยังไม่ทรงให้พูดถึงธรรมเบื้องสูง

ตานี้ เรามานั่งคิดดูว่า ถ้าเราเป็นคนมีระเบียบ เรามีขอบเขต เรามีวินัย มันจะเป็นประชาธิปไตยได้ไหม ประชาธิปไตยนี่เขาแปลว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่เขาไม่ได้บอกว่าคนใดคนหนึ่งเป็นใหญ่ หรือว่ามีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นใหญ่ คำว่า ปะ หรือ ประ ซึ่งเป็นสันสกฤต คำว่าปะ เป็นภาษาบาลี ปะเขาแปลว่าทั่วไป เป็นอันว่า คำว่าประชาธิปไตยคนทั่วไปเป็นใหญ่ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งเป็นใหญ่

ตานี้ เราเป็นนักวิจัยนี่ เรามีวินัยดีแล้ว เราจะคิดว่าเวลานี้เป็นสมัยประชาธิปไตย เราทำอะไรเราก็ทำได้ ไม่ต้องมีขอบเขต ไม่ต้องมีกฎหมายเป็นเครื่องบังคับ ไม่ต้องมีกฎข้อบังคับของกลุ่มเป็นเครื่องบังคับ เราไม่ต้องเคารพระเบียบวินัยอะไร นึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ อย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าประชาธิปไตย เขาเรียกว่า อัตตาธิปไตย มีตัวเป็นใหญ่ ถ้าทำเฉพาะกลุ่มเขาเรียกว่าคณาธิปไตย มีหมู่คณะเป็นใหญ่ไม่ถูก ไม่ถูกแน่ เวลานี้ประเทศไทยประกาศว่าเป็นประชาธิปไตย ต้องคนทุกคนเป็นใหญ่ ใหญ่หมด ถ้าคนทุกคนเป็นใหญ่เสียจริงๆ แล้วสบาย ไม่มีใครเป็นเด็ก ไม่มีขอบเขตเป็นการบังคับบัญชา เอามันเสียให้ใหญ่เต็มโลกไปเลย วิธีที่คนเขาจะใหญ่เขาทำกันยังไง ความมีระเบียบวินัย ใครมีระเบียบวินัยคนนั้นน่ะแหละเป็นใหญ่ ตานี้ระเบียบวินัยของชาวโลกมันมียังไงจะพูดให้ฟัง เรียกว่าชาวโลกก็ดี ชาวธรรมก็ดี แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานต้องการวินัยเสมอกันเข้าใจไหมล่ะ นี่แหละคนทั้งโลกนี่แหละ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานก็เหมือนกัน ต้องการวินัย มีวินัยที่มีความพอใจเสมอกันอยู่ พูดอย่างนี้เข้าใจหรือยัง ถ้าไม่เข้าใจละก็จะพูดให้ฟัง คือวินัยแปลว่าระเบียบ เป็นเครื่องที่เราต้องการให้มีอยู่กับเราและบุคคลอื่น เฉพาะอย่างยิ่ง เอากับเราก่อน เราต้องการอะไรบ้าง และเราไม่ต้องการอะไรบ้างที่เป็นวินัยของชาวโลก วินัยของชาวโลกที่มีขอบเขตเฉพาะก็คือ

๑ เรามีร่างกายขึ้นมาแล้ว เราไม่ต้องการให้ใครมาประทุษร้ายร่างกายเราให้บอบช้ำ หรือว่าทำลายอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของเราให้ขาดหายไป หรือมาทำร้ายร่างกายเราต้องเสียชีวิต นี่เป็นวินัยของคนและสัตว์ที่มีความต้องการเสมอกัน ใช่ไหม ใช่หรือไม่ใช่ก็ตอบเอาเอง เพราะเวลานี้ท่านอ่านหนังสือนี่ ตอบมาเท่าไรหลวงตาองค์นี้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถามตัวเองซิว่าต้องการอย่างนั้นใช่ไหม

วินัยข้อที่ ๒ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของเราที่มีอยู่ เราไม่ต้องการให้ใครมายื้อแย่งลักขโมยคดโกง ใช้อำนาจราชศักดิ์มาข่มขู่เอาไป อย่างนี้เป็นวินัยข้อที่ ๒ ของทั้งคนและสัตว์เดียรัจฉาน ท่านมีความเห็นด้วยไหม

ข้อที่ ๓ คนที่เรารัก จะเป็นผัวก็ตาม เมียก็ตาม ลูกก็ตาม ข้าทาสหญิงชายก็ตาม บุคคลที่อยู่ในบังคับบัญชาก็ตาม ที่เราปกครองอยู่ เราไม่ต้องการให้ใครมาละเมิดสิทธิ์อย่างนี้ใช่ไหม นี่พูดสำหรับคนที่จะพอเป็นคนนะ แต่ไอ้คนไม่เต็มคน หรือไม่เต็มบาทไม่เต็มสลึง นี่ไม่พูดด้วยหรอก เอาละว่าคนเต็มคนมีสติสัมปชัญญะรับผิดชอบตามสมควรนี่เราต้องการอย่างนี้ใช่ไหม แล้วประการที่ ๔ เรื่องที่เป็นงานเป็นการ เราไม่ต้องการให้ใครมาโกหกมดเท็จเรา ยังงี้ใช่ไหม หรือต้องการให้ชาวบ้านเขามาโกหก ถามว่าวันนี้ฝนตกไหม เราต้องการฝน แต่ชาวบ้านเขาอยู่ฝ่ายอุตุเขารู้ว่าฝนไม่ตก แต่เขาบอกไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฝนตกแน่ อย่าไปทำการทำงานที่ไหน อย่าออกจากบ้านไปนะ เปียกยับเยินเลย ตานี้เราก็เลยไม่ไปแท้ที่จริงฝนไม่ตก ไอ้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ที่เราจะพึงได้มันก็สลายตัวไป เป็นอันว่าวาจาอย่างนี้เป็นการทำลายประโยชน์ เราต้องการไหม ถ้าคนเต็มคนนะ หรือว่าคนค่อนคนแต่ไอ้คนที่ไม่ถึงครึ่งคนนี่ไม่พูดด้วยหรอก เพราะว่าคนพูดนี่ก็ไม่ค่อยจะเต็มอยู่แล้ว ถ้าดันไปพูดกับคนที่ไม่ค่อยจะเต็มขึ้น มันก็พากันไม่เต็มใหญ่

ตานี้ ข้อสุดท้าย ใครอยากเป็นคนบ้าบ้าง มีไหม ถามจริงๆ ว่าคนทุกคนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นี้ นึกภาวนาอยากให้ตนเป็นคนบ้าบ้างไหม เป็นอันว่าอารมณ์ทั้ง ๕ ประการนี่ เป็นความต้องการของคนและสัตว์ทั้งหมด ที่รู้ว่าสัตว์ต้องการก็ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราจะไปฆ่ามัน มันวิ่งหนีโทงๆ นี่ ถ้ามันอยากให้เราฆ่ามัน มันจะหนีทำไม เว้นไว้แต่มีคนใจเลวเท่านั้น ที่คิดว่าสัตว์เดรัจฉานเป็นอาหารของคน คนที่ไม่มีระเบียบวินัย

ตานี้ ระเบียบวินัย ๕ อย่างนี้พอ พอแล้ว ไม่ต้องไปเอาระเบียบวินัยที่ไหนมาเขียนกันอีกหรอก มาเขียนกันให้เกือบตาย ไม่มีคนปฏิบัติมันก็เอาความดีไม่ได้ เวลานี้กฎหมายนับมาตราไม่ถ้วน ออกกันมาตั้งเยอะแยะ แต่คนในตะรางก็นับไม่ถ้วนเหมือนกัน คนเกกมะเหรกเกเรก็นับไม่ถ้วน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ คำว่ากฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์นี่ ความจริงได้ยินเขาว่ากันน่ะ ไม่รับรองหรอก เดี๋ยวจะมาจับกันไปเข้าตะรางนี่ไม่ชอบเหมือนกัน เขาบอกว่าคนออกกฎหมายน่ะแหละไม่ค่อยจะปฏิบัติตามกฎหมาย เขาลือกันนะ เขาลือกันจนกระทั่งคนบ้านนอกคอกนาเขารู้หมด คนในป่งในป่า เขาร่ำเขาลือกัน ว่าคนออกกฎข้อบังคับก็ดี กฎหมายก็ดี ไม่ค่อยประพฤติตามกฎหมาย เขาว่ากันยังงั้น จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ตานี้ คนที่ชอบออกกฎหมาย ออกข้อบังคับนะ ถ้าได้ยินเขาลือกันแบบนี้ละก็ หากว่าท่านเองเป็นนักออกกฎหมาย ออกกฎข้อบังคับท่านปฏิบัติเสียให้เคร่งครัด ชาวบ้านเขาจะได้ไม่นินทา ไอ้ที่เขาลือกันว่าคนที่ออกกฎหมายน่ะแหละ เป็นคนละเมิดกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วจะให้ใครปฏิบัติตามกฎหมายได้ล่ะ ตัวอย่างเช่น ของเขาสั่งมาจากต่างประเทศ ต้องเสียภาษีมาก ประมาณสัก ๑๐๐ ล้าน แล้วคนที่ออกกฎหมาย แล้วมีอำนาจควบคุมกฎหมาย แนะนำเขา บอก นี่ แกไม่ต้องไปเสียภาษีทั้ง ๑๐๐ ล้านหรอก แกมาเสียภาษีให้ฉัน ๕๐ ล้าน แล้วก็เสียภาษีให้ประเทศชาติเสีย ๑๐ ล้าน แกก็งดการเสียภาษีไป ๔๐ ล้าน เอาไหม ถ้าไม่เอา ดีไม่ดี ของนี่เข้ามาไม่ได้นะ ฉันห้ามเข้า เขาลือกันนะ อย่างนี้เขาลือกัน ก็เป็นอันว่าคนนั้นก็ต้องเอาซิ เขามีอำนาจนี่ ตัวเองก็มีกำไร นี่เขาลือกันว่าคนออกกฎหมายน่ะ ไม่ค่อยปฏิบัติตามกฎหมายกัน เขาว่าอย่างนั้นจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ นี่พูดให้ฟัง แล้วคำพูดนี่ก็เป็นตัวหนังสือ นักกฎหมายจะได้เข้าใจ แล้วได้ยินไว้บ้าง ว่าไอ้ที่เขาลือแบบนี้มันจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่จริงจะได้แถลงการณ์ให้เขาทราบ บอกเปล่า ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น ฉันเป็นผู้ออกกฎหมาย ออกกฎข้อบังคับก็ดี หรือว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย รักษากฎข้อบังคับก็ดี พวกฉันทุกคนนี้ปฏิบัติในขอบเขตของกฎหมายทุกคน บอกเขาเสียให้รู้ เขาจะได้คลายความเข้าใจผิด

ตานี้ องค์สมเด็จพระธรรมสามิตบอกว่า ถ้าคนเรามีระเบียบวินัยดี คือว่าระเบียบวินัยจริงๆ เอาแค่ ๕ ข้อเท่านี้แหละ กฎหมายไม่ต้องเขียนหรอก ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีข้อบังคับอะไร เอาวินัยที่สัตว์และชาวบ้านทุกคนชอบ ว่าเราไม่ต้องการให้ใครเขามาทำร้ายเรา มาฆ่าเรา เราก็ไม่ทำเขา ถ้าเราไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบ เราไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่คดโกงใคร เราก็ไม่คดโกงคนอื่น เพราะคิดว่าเราไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบ เราไม่ต้องการให้ใครมาละเมิดความรักเรา เราก็ไม่ละเมิดความรักผู้อื่น เราไม่ต้องการให้ใครมาโกหกเรา เราก็ไม่โกหกคนอื่น เราไม่อยากบ้าเราก็ไม่หาเชื้อบ้าเติมเข้าไปในร่างกาย ซึ่งทำใจให้วิปริต ได้แก่น้ำเมาต่างๆ ที่ทำสติสัมปชัญญะให้ฟั่นเฟือน เราก็ไม่ดื่มมันเสีย เป็นอันว่าการมีอารมณ์อย่างนี้ ก็คือเป็นคนมีอารมณ์   ประกอบไปด้วยเมตตาหรือที่เรียกว่ามีพรหมวิหาร ๔ คนที่ขาดเมตตา ขาดพรหมวิหาร ๔ มีวินัยไม่ได้ ไม่มีกฎหมาย เขียนเท่าไหร่ๆ ให้เขียนยันตายก็ไม่มีใครเขาปฏิบัติ

ฉะนั้น องค์สมเด็จผู้ ทรงสวัสดิ์จึงแนะนำชาวบ้านธรรมดา รักษาวินัย ๕ ข้อเท่านี้เป็นอุดมมงคล เพราะอะไร เพราะโลกนี้ทั้งโลกไม่มีใครทำร้ายกัน ไม่มีใครฆ่ากัน ไม่มีใครยื้อแย่งทรัพย์สินของกันและกัน ไม่มีใครทำลายจิตใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครโกหกไม่มีคนบ้า พอหรือยัง เป็นอันว่าความเห็นของคนเขียน เอ้ย ขอโทษคนเขียนนี่เจ้ากรมเสริม ความเห็นของคนพูด พูดให้เจ้ากรมเสริมเขียน เป็นอันว่า มีความเห็นว่า พระพุทธเจ้าให้มีวินัย ถ้าเราศึกษาวินัยเข้าใจดีแล้ว คำว่าศึกษานี่ สร้างความรู้สึกไม่ใช่ท่องจำคำว่าศึกษาวินัยดีแล้วตามที่พระพุทธเจ้าต้องการก็สร้างความรู้สึก ไม่ใช่มานั่งท่องจำกันเมื่อความรู้สึกมีอย่างนี้ก็มีความรู้สึกว่าคนอื่นเขามีความต้องการอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ปฏิบัติได้ด้วย นี่ที่เรียกว่าศึกษาดีแล้วน่ะศึกษาจำได้ด้วย มีความรู้สึกตามนั้นปฏิบัติได้ด้วย ชื่อว่าเป็นผู้มีวินัยดี อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่าเป็นอุดมมงคล เพราะว่ามีความสุขใครคนไหนล่ะมีความสุข เราซี คำว่าเรานี่ เป็นศัพท์ที่ใช้สำหรับคนทุกคน และสัตว์ทุกตัว ขึ้นชื่อว่าเราหมดทั้งโลกนี่น่ะ ถ้าต่างคนต่างมีวินัยดีแล้วมีความสุขทั้งโลก

นี่ชาวบ้านเขาบอกว่า ศาสนาเป็นเครื่องบั่นทอนความเจริญของประเทศชาติ ลองคิดดูว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ โดยเฉพาะคำว่าวินัยอย่างนี้น่ะ ทำให้ประเทศชาติเจริญ หรือประเทศชาติเสื่อม? ถ้าทุกคนมีวินัยดีแล้ว ตำรวจไม่ต้องมี ไม่ต้องเสียสตางค์จ้างตำรวจ ทุกคนไม่ต้องเสียภาษีเพื่อเอาสตางค์ไปจ้างตำรวจ แล้วทำยังไงล่ะ เศรษฐกิจมันก็ดีขึ้นอีกหน่อย ถ้าหากมีวินัยดีแบบนี้ ไม่ต้องจ้างทหาร ทหารไม่ต้องมีงบประมาณซื้ออาวุธ งบประมาณในการจ้างคนเป็นทหารไม่ต้องมี ปีละเท่าไหร่ ตานี้ งบประมาณในการจ้างคนมาปกครองคน คนปกครองคนนี่สงสัยเหมือนกันนะ บางคนก็ปกครองตามวินัย บางคนก็แหกวินัยเสียเยอะเหมือนกัน นี่เจอะมาหลายรายเต็มทีแล้ว เวลานี้ก็ยังพบ แหม มีขีดบนบ่า ๓ ขีดเท่านั้นแหละ ทำท่าเหมือนกันศาสดา ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เบ่งเสียเหลือเกิน ว่าคนที่ไม่มีวินัยนี่ เขาเอามาปกครองคนกันได้ยังไง ก็เอาคนเลวประเภทนี้มาปกครองคน คนดีมันจะมีความสุขได้ยังไง นี่แหละ คนที่ไม่มีวินัยจะอยู่ในขอบเขตไหน มันสร้างแต่ความซวย นี่ถ้าคนทุกคนมีวินัยเสียแล้ว ก็ไม่ต้องจ้างคนประเภทนี้มาปกครองคน แล้วก็คนทุกระดับชั้นน่ะไม่ต้องมี ภาษีอากรไม่ต้องเก็บหรอกเงินดาวเงินเดือนใครก็ไม่มี ตานี้ ไอ้เงินที่เราหาได้นี่มันจะสร้างความสุข สร้างความเจริญขึ้นขนาดไหน

เห็นไหม เห็นหรือยัง มันเป็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่คนเข้าถึงพระศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทำให้บ้านเมืองย่อยยับ แต่ความจริงคนที่เขาประกาศว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วก็ทำตนให้บ้านเมืองย่อยยับน่ะ ไอ้เจ้าคนประเภทนี้เป็นคนแอบแฝง เอาศาสนาบังหน้า จะเป็นคนผมยาวก็ตาม จะเป็นคนโกนหัวก็ตาม เหมือนกัน ไม่สำคัญเพราะเจ้าพวกนี้มันไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ได้เคารพพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แล้วแอบอ้างว่านี่เป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา หรือบางทีก็นี่ฉันนับถือศาสนาอะไรต่อศาสนาอะไร พระเจ้าองค์นั้น พระเจ้าองค์นี้ แต่ว่าไม่ได้ทำความดีตามพระพุทธเจ้าสั่งสอน หรือพระเจ้าองค์นั้นสั่งสอน ก็เลยทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาเห็นว่าเรื่องของศาสนานี่ เป็นการบั่นทอนความเจริญของประเทศชาติ

ตานี้ หากว่าพวกเราจะปฏิบัติตามวินัยกันเสียหมดทุกคน เห็นไหมว่างบประมาณของประเทศที่จ้างคนมาควบคุมเรา จ้างคนมาควบคุมระเบียบ มาสร้างระเบียบกัน รัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายก็ดี กว่าจะออกมาได้แต่ละฉบับ หมดเปลืองสตางค์ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ จ้างคนมารักษาความปลอดภัยของพวกเรา ดีไม่ดีพ่อเทวดาพวกนี้ก็กลายเป็นโจรไปเสียเองมีเยอะ พูดนี่ไม่กลัวใครหรอก กลัวทำไมล่ะ ก็คนที่ถูกฟ้องถูกร้องที่ควบคุมระเบียบวินัยคือกฎหมาย ที่เข้าคุกเข้าตะรางไปเพราะอะไร เพราะพวกนี้มาควบคุมเราหวังจะให้พวกเรามีความสุข แต่เขากลายเป็นโจรปล้นความดี คือ ทำลายระเบียบวินัยและกฎหมายที่ออกมาและเขาก็ควบคุมอยู่ อย่างนี้ใครๆ ก็รู้ ถ้าหากว่าเราทุกคนมีวินัยเสีย ๕ ข้อเท่านั้นแหละ ลูกจ้างทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่จ้างมาบังคับขู่เข็ญคดโกง บีบบังคับเรา ไม่ต้องจ้าง แล้วก็งบประมาณทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด เราใช้ปีละเท่าไหร่ เป็นอันว่าเงินทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายไป ยังอยู่กับพวกเรา นี่ บ้านเมืองของเราจะเจริญขึ้นหรือจะเสื่อมลงคนในบ้านเมืองเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ ไปนั่งเอาเท้าก่ายหน้าผากตรองกันเอง อ้าวขอโทษผิดไปแล้วกระมัง การที่จะเอาเท้าก่ายหน้าผากได้นี่มันลิงน่ะ แต่คนพูดนี่ หลวงพ่อท่านให้นามว่าลิงดำ เคยเอาเท้าก่ายหน้าผาก ทีนี้บรรดาพวกท่านทั้งหลายไม่ใช่ลิง เอามือก่ายหน้าผากก็แล้วกัน อย่าทำอย่างลิงเลย เป็นอันสรุปใจความว่ามงคลข้อนี้ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าการที่มีวินัยศึกษาดีแล้ว และปฏิบัติดีด้วย คำว่าศึกษาดีนี่ต้องปฏิบัติดีด้วย ทำให้พวกเราทั้งหมดเป็นประชาธิปไตยใช่ไหม ไม่ใช่คณาธิปไตย คือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นใหญ่ หรือบุคคลาธิปไตยบุคคลใดคนหนึ่งเป็นใหญ่ ถ้าเราจะเป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ ละก็ นี่ เราใช้ธรรมนูญ ๕ ข้อนี้เป็นเครื่องบังคับใจเราปฏิบัติแล้วปฏิบัติให้ได้ ถ้าทุกคนปฏิบัติได้จริง ๆ ละ กฎหมายทั้งหมด เลิก ไม่ต้อง ไอ้คนที่จะโกงเราที่ไหนมันจะมี จะมาตีเราก็ไม่มี จะมาฆ่าเราก็ไม่มี หรือจะมาคดโกงทรัพย์สินเราก็ไม่มี จะมาข่มเหงน้ำใจเราก็ไม่มี จะมาโกหกมดเท็จเราก็ไม่มี คนบ้าก็หาไม่ได้ในโลก ฮึ ไม่ต้องไปเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญกันให้เสียเวลา เสียค่าจ้าง จ้างแล้วก็เอาดีไม่ได้ ทำไป ๆ เดี๋ยวก็ฉีกทิ้ง อ้าว ไม่ดี ฉันไม่ชอบใจ เอาใหม่ รัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายก็ดี เหมือนกันเสื้อกางเกงอันนี้หลวงโกวิทอภัยวงศ์ เคยพูดไว้ในสมัยโน้น สมัยนั้น ย่องๆ ไปพบกับท่านวันหรือสองวัน ไม่ใช่วันหรอก ประเดี๋ยวเดียว ไปยังไงก็ไม่รู้ไปชนกันเข้า เอาบอกนี่นายควงศาวาส เวลานั้นลูกระเบิดลง ท่านเป็นนายก วิ่งปรื้ดมาถึงเลย เห็นคนป่วยเข้าจับคนป่วยเลือกโชกยกขึ้นรถของท่าน ไม่ยักกลัวรถเปื้อน เอาเอง ยกเอง ช่วยเขายกเขาหามเอง เห็นนายกเทศมนตรีติดบ่าเหลือง ชี้หน้าเลย ว่า เทศมนตรีอย่างนี้เขาไม่ตั้งไว้เป็นเจ้าคนนายคนนะ นี่ คนป่วยเดินอยู่เยอะแยะ นอนร้องครวญคราวกันอยู่แบบนี้ มายืนมือไพล่หลังนี่ไม่ทำหน้าที่ของตัว ตัวเป็นลูกจ้างนี่ แหม พ่อดุจริง ๆ นี่เขาจ้างไว้ให้ปฏิบัติให้ช่วยคนมีความทุกข์ นี่ มายืนมือไพล่หลังแบบนี้มันใช้ไม่ได้ บ่าเหลือง ๆ ติดไว้ทำไมโยนทิ้งไป ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องเป็นมัน โอ้โฮ ดุจัง แกดุจัง แกยกขึ้นรถเอง เลยถามว่า นี่ท่านนายกไม่กลัวรถเปื้อนเรอะ แกหันมามองแล้วก็ยกมือไหว้ บอกรถเปื้อนไม่เป็นไรครับชีวิตของคน ความทุกข์ของคนนี่สำคัญ เวลานี้เขาจ้างผมเป็นหัวหน้าคน คนรับใช้ แหม ท่านพูดถูกใจ นี่ชาวบ้านเขาจ้างผมเป็นหัวหน้าคนรับใช้นะครับ นี่ผมมารับใช้ตามหน้าที่ก็นึกเอออีตาคนนี้แปลก นี่มีแต่คนเขาเป็นนายกรัฐมนตรีเขาตั้งท่าเป็นนายคนกัน นี่ตัวแกเองบอกเป็นหัวหน้าคนรับใช้ แน่ เอายังงั้นเสียด้วย ก็เลยคุยกันไป เมื่อเขาเอาคนเจ็บไปหมดแล้ว คุยสนุกจัง แกไม่ได้คิดว่าไอ้เจ้าพระหัวโล้นหัวล้านคนนี้ไม่มีศักดิ์ศรีอะไร ไปนั่งคุยกับมันทำไม ไปยืนคุยกับมันทำไม แกก็นั่งปุ๊ลงไปที่สนามหญ้า ไม่มีอะไรรองหรอก พวกเราก็นั่งล้อมรอบ ชาวบ้านก็นั่งล้อมกรอบกันคุยฮา ๆ ๆ แกก็เลยบอกว่าไอ้กฎหมายวินัย รัฐธรรมนูญนี่มันไม่มีความสำคัญหรอกครับ เราบอก เอ ถ้าไม่สำคัญละก็จะมีไว้ทำไมล่ะ แกก็บอกว่ารัฐธรรมนูญก็ดี หรือกฎหมายก็ดี มันก็เหมือนกับเสื้อกางเกง ไอ้คนใช้เสื้อใช้กางเกงน่ะ เสื้อผ้ามันจะดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าไอ้คนสวมเสื้อสวมกางเกงมันไม่ดีแล้ว ไอ้เสื้อไอ้กางเกงทำอะไรไม่ได้เลยครับ แล้วก็บอกมันว่าไอ้เสื้อกางเกงนี่บังคับให้มันทำ ไปโทษตัวหนังสือเสียอีก แต่ความจริงความดีหรือไม่ดีนี่มันอยู่ที่คนครับ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ คือไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ หรืออยู่ที่กฎหมายเสมอไป ความจริงรัฐธรรมนูญกฎหมายน่ะดี หรือว่านโยบายของรัฐบาลน่ะดี แต่ว่าต้องปฏิบัติตามนโยบาย ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติตามกฎหมาย เวลานี้ที่มันดีไม่ได้ก็เพราะว่ารัฐบาลมีนโยบายแบบนี้แล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบาย ถือว่ารัฐบาลมีนโยบายแบบนั้นจริง ปฏิบัติตามนั้นจริงสั่งออกมาแล้ว แต่คนรับสนองในการปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติตามขอบเขตของกฎหมายหรือกฎข้อบังคับ ว่ารัฐบาลสั่งอย่างไหนต้องทำอย่างนั้น นี่มันอยู่ตรงนี้นาครับ ดีไม่ดีนี่มันอยู่ที่คนไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ ตัวหนังสือจะเขียนไว้ยังไงก็ได้ หรือไม่เขียนเลยก็ได้ ถ้าคนทุกคนดีเสียแล้วมันก็หมดเรื่องกัน แหมนี่ คุณควงหรือหลวงโกวิทอภัยวงศ์ แกพูดตรงกับพระพุทธเจ้าจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า ไอ้คนเราน่ะดีไม่ดีมันอยู่ที่ความประพฤติ คือมีระเบียบวินัย

ฉะนั้น เวลานี้เป็นประชาธิปไตย ชื่อนะ แต่เห็นว่าคณาธิปไตยออกเกะกะๆ ตามหัวเมืองเต็มไปหมด แต่บางทีมองๆ ไปแล้วกลายเป็นพาลาธิปไตยไป คือคนพาลเป็นใหญ่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดกับบรรดาประชาชน ใครบ้างก็ไม่รู้ อยากจะดูก็ดูเอา อยากจะรู้ก็ดูกันไป เป็นอันว่าเรื่องวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็ยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้


บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2558 17:30:35 »

.


สุภาษิตา จ ยาวาจา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ  
มงคลที่ ๑๐  "การมีวาจาสุภาษิต"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าตรัสเป็นบาลีว่า สุภาษิตา จ ยาวาจา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ  อีตรงนี้ต่อ อีตรงไหนที่ไม่ได้ต่อละ คุณเสริมช่วยต่อให้มันเต็มด้วยนะ ตัวบาลีมีอยู่ตรงไหนละก็ช่วยต่อให้มันเต็ม ใช้เอตัมมังคลมุตตมังใส่เข้าไปด้วย แต่ที่ให้ต่อนี้ไม่ใช่จะกลัวเขาหาว่าคนพูดบกพร่องหรอก เขาจะได้ไม่สะดุดใจมากนัก ไอ้การบกพร่องของคนพูดน่ะมันครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว ถ้ามันดีจริงๆ ไม่มาพูดอยู่นี่หรอก ไปนิพพานเสียนานแล้วนี่ก็เพราะความระยำมันมีมากถึงต้องมานั่งพูดอยู่นี่แหละ นี่เห็นไหม ชาวบ้านเขาอวดดีกัน แต่คนพูดไม่มีดีจะอวดมีแต่เลวอวด เอา ท่านอ่านหนังสือคนเลวกันเสียมั่งก็ดี จะรู้ว่าโลกนี้มีคนเลวอยู่สักคนหนึ่ง ถ้าท่านยังไม่เคยเห็นที่อื่น ท่านเห็นที่อื่นอาจจะเห็นแต่คนดี ไม่เคยเห็นคนเลว วันนี้หรือเวลานี้ท่านกำลังอ่านหนังสือของคนเลว จะได้รู้ว่าโลกนี้มีคนเลว คนเลวมีอยู่ ไม่ใช่มีแต่คนดีเสมอไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะภาษิตของโลกเขามีอยู่ประจำ ว่าโลกนี้ทั้งโลกมันหาคนชั่วไม่ได้ ภาษิตมีอยู่อย่างนี้ว่าคนชั่วก็มีคนดีก็มาก คนชั่วหายากคนดีถมไป นี่ซี ท่านบอกคนชั่วก็มีคนดีก็มาก ไปๆ มาๆ ก็ลงท้ายว่าคนชั่วหายากคนดีถมไป

เป็นอันว่าจะไปถามใครว่าชั่วไม่มีหรอก โกงเงินโกงทองของรัฐเข้าไปตั้งร้อยล้านพันล้านก็ยังดี ฆ่าชาวบ้านปล้นชาวบ้านเท่าใดก็ดี พระไม่ปฏิบัติตามระเบียบพระวินัยที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าบวชเข้ามาเป็นพระแล้ว จงอย่ายึดถือโลกธรรม ให้วางโลกธรรมเสียทั้งหมด เรื่องลาภเรื่องยศอย่าเอากัน ที่ไหนได้ พ่อตะเกียกตะกายหาลาภยศอยากจะเลื่อนเป็นชั้นนั้น อยากจะเลื่อนเป็นชั้นนี้ แต่ท่านก็ว่าของท่านดี เป็นอันว่าโลกนี้หาคนชั่วไม่ได้ หาพระชั่วไม่ได้ มีแต่คนดีพระดี เวลานี้เลยหาคนชั่วมาให้ดูสักตัวหนึ่งอย่าไปเรียกคนเลยมันอยากเลวนี่ ใครล่ะ เจ้าคนพูดนี่แหละ ที่มีความชั่วอย่างระยำ เจ้าคนพูดนี่มีความชั่วอย่างระยำ นี่ท่านอ่านแล้วอย่าไปพบตัวมันเลย ถ้าพบตัวมันแล้วมันก็มีแต่ความชั่วออกอวด ดีไม่ดีใครมา มียศฐาบรรดาศักดิ์ขนาดไหนก็ตาม ก็มีแต่อังสะตัวเดียวกำลังแต่งตัวแบบไหนใครมาหาไม่เคยแต่งตัวใหม่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สั่งไว้นี่ให้แต่งตัวอวดชาวบ้าน ใครอยากจะมาก็มา ไม่มาก็แล้วไป มาแล้วจะให้ไปนั่งห่มผ้าแต้ทำเป็นคนดี มีระเบียบแล้วมันร้อนเกือบตาย ถ้าหากว่าจะทำอย่างนั้นแล้ว ก็ทำมันเสียทั้งวันซีแล้วเอาผ้าออก แล้วจึงเอาจีวรออก ถ้ามันดีจริงๆ ไอ้นั่นมันไม่ดีจริงๆ นี่ โกหกเขานี่ ก็มาเวลาไหนแต่งตัวแบบไหน ก็คุยกันแบบนั้นก็หมดเรื่อง เอาของจริงๆ มาใช้กัน แล้วใครมากี่คนก็ตามมีพรมผืนใหญ่อยู่ผืนหนึ่งนั่นคือไม้กระดาน นั่งกันตามอัธยาศัยตั้งแต่ท่านรัฐมนตรีลงมาที่มาเยี่ยมถึงขอทานนั่งเท่ากัน นี่ความระยำมันมีอยู่ตรงนี้ ไม่ยกย่องศักดิ์ศรีใคร ต้องว่าอย่างนั้น แต่ความจริงตามใจนึกน่ะยกย่องแล้วนะ ยกย่องว่าท่านผู้มาเยี่ยมทุกคนเป็นคนเสมอกับผู้รับแน่ะ เอ้า ก็เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันนี่ แล้วใครมันจะวิเศษกว่าใคร ไอ้คนเกิดเหมือนกันแก่เหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ตายเหมือนกัน แล้วจะมานั่งเลือกที่นั่งให้มันดีกว่ากันได้ยังไง ตายแล้วถูกไฟเผาถูกฝังเหมือนกัน เหม็นเหมือนกัน ทีนี้คนรับมันไม่ดีนี่เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ยังไม่ตายความระยำก็มีมาก เดี๋ยวก็เหนื่อย เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็ป่วยไข้ไม่สบาย หมอทั้งหลายก็หนักใจต้องให้ยากันไม่หยุด ดีไม่ดีก็มานั่งพูดกวนใจชาวบ้าน มันดีตรงไหนล่ะ ไม่เห็นดีสักหน่อย นี่พูดมาพูดไปใช้สมองมากเกินไปหัวล้านเข้าไปอีก นี่ชาวบ้านเขาไม่ต้องการคนหัวล้าน นี่ เอ๊ะ หัวเรามันล้านจะดีตรงไหน หัวล้านหัวเหลืองหัวละเฟื้องสองไพ เขาว่าอย่างนั้นนะ ค่ามันไม่มากหัวหนึ่งอย่างมากก็เฟื้องไม่งั้นก็สองไพ เป็นอันว่าคนหัวล้านมีศักดิ์ศรีไม่เต็มบาท ราคาไม่เต็มบาทมันจะดีได้ยังไง เอาเป็นอันว่าท่านทั้งหลาย เวลานี้อ่านหนังสือของคนเลวเข้าไว้พบกับคนเลวสักคน

ในโลกนี้ พูดมากเลอะเทอะ ว่าไง สุภาษิตวาจา เออพอเหมาะกำลังดีทีเดียว ไอ้คนพูดวาจาเป็นสุภาษิต คือพูดตามความเป็นจริง นี่ก็พูดแล้ว นี่พูดตามความเป็นจริง นี่พูดแล้วนะ คนพูดมันเลวตรงไหนน้อนี่ บอกกันหมด นี่พูดตามความเป็นจริงไม่เชื่อลองมาซิ บางทีใส่อังสะอยู่ เอ้าเขาบอกว่า นี่ท่านอะไรอธิบดีศาลไหน ท่านอธิบดีหรือท่านหัวหน้ากอง หรือท่านผู้ว่าการหรือท่านรัฐมนตรี ท่านนายพลคนไหนก็ตามมา ก็บอกเอ้ามาก็เชิญ เวลานี้แต่งตัวแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องแต่งตัวใหม่ บางคนเขาบอกห่มจีวร ก็บอกจะห่มทำไม ไม่ได้ห่มมาทั้งวันน่ะ แล้วพอโผล่เข้ามาจะไปห่มจีวร ให้ชาวบ้านเขาดูว่าเป็นคนดีแต่งตัวเรียบร้อย มานั่งโกหกเขาทำไม เรามันระยำแค่ไหนให้เขารู้ความระยำเสียบ้างซิ เขาอยากคบเขาจะได้คบ เขาไม่อยากคบเขาจะได้ไม่คบ ให้เขารู้ความจริง เวลาเขามาละทำแต่งตัวห่มผ้าแต้ เวลาเขาไปถอดอังสะ แล้ววันหลังเขารู้ว่าไอ้หมอนี่ไม่ใช่พระนี่ เป็นนักบวชโกหกมดเท็จ เออซิ เขาก็เลยเสียดายเวลาที่เขาจะมาหา เกิดความไม่สบายใจ ไม่เอาไม่ตามใจใคร สบายแค่ไหนทำแค่นั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก นี่เวลาใครเขามาให้รีบห่มผ้าให้มันสวย ทำท่าให้มันเรียบร้อยเหมือนกับเป็นพระอรหันต์ ไอ้จิตใจจริงๆ ก็คือสัตว์นรก ไม่ชอบ ใครชอบก็ชอบ ไม่ชอบละ คนพูดไม่ชอบ เป็นอันว่าสุภาษิตวาจา ก็คือพูดจริงๆ พูดเป็นวาจาสุภาษิต อย่าโกหกมดเท็จเขา นี่ไม่เห็นมันจะเป็นเรื่องอะไร พูดแต่วาจาที่เป็นประโยชน์ อะไรมันเป็นประโยชน์นักก็ไม่ต้องอธิบาย รู้กันอยู่แล้วนี่พูดกันมาเยอะ พูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง อย่าทำลายประโยชน์เขา ถ้าขืนอธิบายละร้อยวันมันก็ไม่จบ เป็นอันว่ามงคลนี้หยุดมันอยู่แค่นี้บ่นไปบ่นมาเลยหยุดเลย คนที่มีวาจาเป็นสุภาษิต คือวาจาจริง พูดจริง พูดเพราะไม่ขัดใจชาวบ้านโดยธรรม บุคคลประเภทนี้เป็นผู้มีอุดมมงคล คือมีความสุข จบมันเสียง่ายๆ อย่างงี้ใครจะว่าอะไร
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2558 19:34:30 »

.
http://i01.i.aliimg.com/wsphoto/v0/32272664219_1/Chinese-Bronze-Handwork-Carved-font-b-Tibetan-b-font-Buddha-Statue-with-Sw0rd.jpg
มงคล 38 ประการ


มาตาปิตุ อุปฏฺฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ  
มงคลที่ ๑๑ "การบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ต่อไปก็เป็นมงคลที่ ๑๑ พระบาลีว่า มาตาปิตุ อุปฏฺฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข ชื่อว่าเป็นอุดมมงคล นี่บาลีท่านกล่าวว่าบำรุงบิดามารดา แต่หากว่าเราบำรุงให้มีความทุกข์ละมันจะมีประโยชน์อะไร ก็เลยต่อท้ายอีกนิดว่าบำรุงบิดามารดาให้มีความสุข ถ้าทำให้ท่านมีความทุกข์เขาไม่เรียกบำรุง เขาเรียกทำลาย ตอนนี้ซิคนที่เป็นบิดามารดาคือเป็นพ่อเป็นแม่ นี่เคยฟังเขามา เข้าไปในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เขาว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพูดว่าพ่อแม่ไม่สำคัญ ครูบาอาจารย์ไม่สำคัญ พระมหากษัตริย์ไม่สำคัญ เอ๊ะ แล้วเขาว่าใครสำคัญล่ะ นี่เขายังไม่เป็นพ่อคนแม่คนนะเขาพูด พอเขาเป็นพ่อคนแม่คนเข้าเถอะ พอเขารู้ว่าลูกของเขาพูดแบบนั้นเขาจะสลดใจเต็มที่ จะคิดว่าไอ้ลูกระยำคนนี้ เราเลี้ยงมันมาด้วยความรัก เราทะนุบำรุงมันมาด้วยความลำบาก เรามีความทุกข์อย่างหนักทุกอย่างเพื่อลูก เราจะไม่มีกินก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกมีกินก็แล้วกัน เราจะทุกข์สักเท่าใดก็ตามขอให้ลูกมีความสุข เราจะตายก็ช่างขอให้ลูกมีชีวิตอยู่ นี่ความรู้สึกของพ่อแม่ทุกคนเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าพ่อแม่นี่สละชีวิต สละความสุขเพื่อลูกได้ แต่หากถ้ารู้ว่าลูกมีอารมณ์จัญไร ถือว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ ท่านจะมีความรู้สึกยังไง เป็นอันว่าชีวิตและเลือดเนื้อของท่านนี่น่ะ ท่านได้มาจากไหนมานั่งคิดดูซิ ถ้าเราไม่มีพ่อไม่มีแม่เราเกิดมาได้ไหม หรือจะไปพูดแบบคนจัญไรทั้งหลายเคยได้ฟังมาหลายคน ว่าความจริงที่เขาเกิดมานี้น่ะ พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิดหรอกเขาย่องเกิดขึ้นมาเวลาที่พ่อแม่กำลังสนุกกัน เอ้า ถ้าบังเอิญมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ช่างเถอะ ตานี้ไอ้แดนที่เราเกิดน่ะ เกิดมาจากแดนไหน ไม่ใช่เกิดมาจากแดนของพ่อของแม่หรอกรึ ที่บางทีท่านบังเอิญจะคิดว่า ช่างมัน เราไม่ได้ตั้งใจให้ลูกเกิด นี่เรามาร่วมรักเพื่อปรารถนาความสุข ตามความปรารถนาทางใจ แต่ว่าไอ้ลูกจัญไรเสือกมาเกิดทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อนุญาต

ตานี้ พอท่านที่เป็นพ่อเป็นแม่รู้แล้วว่ามีลูกทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าหากว่าท่านขาดความดี คือพรหมวิหาร ๔ ท่านก็คิดว่าไอ้ลูกจัญไรคนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจให้มาเกิด เสือกมาเกิดทำไมไม่เอา ฆ่ามันเสียให้ตาย อยู่ในครรภ์ไม่มีโทษอะไร ทำง่ายๆ นิดเดียวมันก็ตายหรือไม่ยังงั้นทนเอาหน่อย พอออกมาจากท้องแล้วปล่อยมันเสีย ไม่ให้นมมันกิน ไม่เหลียวไม่แลไม่ดู มันจะเป็นยังไงช่างหัวมัน มันอยากจะตายก็เชิญตายไปตามอัชฌาสัย ไม่ได้ให้มันมาเกิดนี่ เท่านี้ไอ้เจ้าลูกอัปรีย์คนนั้นที่พูดแบบนั้น มันก็จะไม่มีโอกาสมาเห็นโลก ไม่มีโอกาสมาพูดข่มขู่ทำลายความดีของพ่อแม่ พ่อแม่ประกอบไปด้วยความดี พยายามระงับความสุขของตนเพื่อบำรุงความสุขของลูก ยอมทุกๆ อย่างเพื่อลูกในท้อง ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อการศึกษาดีของลูก ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อลูกจะได้มีฐานะมั่นคง เป็นอันว่าความดีของพ่อของแม่ไม่ต้องพรรณนากันก็ได้ เพราะคนทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่คนอยู่แล้ว ตานี้ลูกคนนั้นก็ยังไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่คน แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่คนเขาจะรู้สึกตัวเองว่าการบำรุงรักษาลูกมันหนักแค่ไหน หนักกายหนักใจเพียงไร รู้สึกเสียใจเพียงใด ถ้าลูกของเขาพูดอย่างนั้นได้

นี่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ได้มีความเห็นเสมอกับคนประเภทนั้น ท่านบอกว่าพ่อแม่นี่ เป็นคนที่มีความสำคัญมาก เราจะมีชีวิตขึ้นมาได้ก็อาศัยพ่ออาศัยแม่ แล้วพ่อแม่ท่านเป็นคนดี ดีตรงไหน ดีที่มีพรหมวิหาร ๔ กับลูกทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านมีความรักจริง ถ้าท่านไม่รักเราท่านก็ปล่อยให้เราตายไม่เลี้ยง ท่านสงสาร สงเคราะห์ทุกอย่าง นับตั้งแต่อยู่ในท้องจนออกมาใหม่ ไม่รังเกียจ ขี้เยี่ยวอะไรก็ตาม ถ่ายออกมาเมื่อไหร่แม้แต่มือของท่านก็กอบอุจจาระของลูกไปทิ้งได้ ไม่มีความรังเกียจ ลูกมีความป่วยไข้ไม่สบายก็ยอมทน ไม่หลับไม่นอน ยอมเสียเงินเสียทองเพื่อลูกทุกอย่าง ลูกโตขึ้นมาแล้วให้การศึกษาทุกอย่าง มันจะเป็นหนี้เป็นข้าเพียงใดก็ตามที ขอให้ลูกของเรานี้มีความรู้ก็แล้วกัน ต่อมาในขั้นปลาย ท่านก็ตั้งใจจะทะนุบำรุงให้ลูกตั้งหลักตั้งฐานไปด้วยดี เมื่อลูกนี้แยกออกไปแล้วก็ยังไม่หมดความห่วงใย แม้แต่ลูกตายก็ยังมีจิตคิดสงเคราะห์ นี่ ว่ากันย่อๆ เพียงเท่านี้ เป็นความดีของพ่อแม่

ตานี้ ถ้าเราเป็นคนดี ต้องการที่จะเป็นคนมีมงคล องค์สมเด็จพระทศพลบอกว่าต้องบำรุงพ่อบำรุงแม่นะ ถ้าเราไม่บำรุงพ่อบำรุงแม่ละก็แย่เลยพวกเรา ทำไมถึงจะเป็นยังงั้นก็เพราะว่าถ้าเราขาดการบำรุงพ่อบำรุงแม่ ใครเล่าเขาจะเห็นว่าเราดี ก็ชีวิตร่างกายของเรานี้เป็นของพ่อของแม่นี่ เพราะพ่อแม่ท่านให้ชีวิตเรา คือชีวิตเลือดเนื้อทั้งหมดที่มีในร่างกายของเราเป็นของท่าน อย่าลืม ถ้าไม่มีท่านเสียแล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง ตานี้ พอตั้งปฏิสนธิแล้ว พ่อแม่มีความรัก ปรารถนาดี สงเคราะห์ทุกอย่าง อดออมทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดจะเป็นภัยแก่ลูกในครรภ์ ท่านพ่อแม่ยับยั้งทุกอย่าง ไม่ทำอย่างนั้น ไม่บริโภคอาหารอย่างนั้น เห็นใจหรือยังว่าท่านมารดามีความหนักใจเพียงใด อันตรายในการคลอดบุตรนะท่านเอ๋ย คนออกลูกตายเสียเยอะแยะแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะรักลูก ถ้าไม่อยากตายก็มีอย่างเดียว ลูกมันเกิดมาก็ทำให้มันแท้งไปเสียก็หมดเรื่อง นี่เพราะรักลูกตายเพราะคลอดลูกเสียนับไม่ถ้วน ท่านพ่อก็หนักมากขึ้นเมื่อท่านแม่มีลูก ภาระต่างๆ ที่พ่อแม่เคยช่วยกันก็ต้องถูกยับยั้งไป บางอย่างทำไม่ได้ เพื่อหวังดีแก่ลูก พ่อก็แบกซี แบกอื้อแทนท่านแม่ขึ้นมา นี่เป็นอันว่าท่านพ่อช่วยหามาเพื่อให้ท่านแม่บำรุง

ตานี้ เมื่อถึงเวลาของเราบ้าง เราก็ต้องบำรุงท่าน การสนองคุณพ่อคุณแม่นี้บรรดาท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าบอกว่าโอ้โฮ คุณของพ่อของแม่นี่มหาศาลจริงๆ บรรดาท่านชายหญิงทั้งหลายจะทำยังไงก็ตาม จะคิดว่าการสนองคุณพ่อคุณแม่ให้เสมอกับความดีของท่านน่ะ อย่าไปคิดยังงั้น มันเสมอไม่ได้แน่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตและเลือดเนื้อเรานะ ทีนี้เราจะเอาชีวิตของเราไปให้พ่อให้แม่เวลาท่านแก่แล้ว บอกนี่อย่าแก่เลยพ่อและแม่เอ๋ย เชือดคอเราเอาเนื้อเข้าไปยัดในกายของท่านให้เป็นหนุ่มขึ้นมาทำได้ไหม ทำไม่ได้ซี กลัวเจ็บกลัวตาย ตานี้ท่านจะตาย บอกว่าอย่าตายเลย เอาชีวิตของเราไปใส่แทนท่าน มันไม่มีโอกาสจะทำได้ นี่เป็นอันว่าเราให้อะไรท่านก็ให้ได้ แต่ให้ชีวิตร่างกายแก่ท่านจริงๆ น่ะ ให้ไม่ได้

ทีนี้ การสนองความดีของพ่อแม่นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าทำยังงี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าท่านต้องการอะไร เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยจัดหาให้ท่านตามสมควรแก่ฐานะและความสามารถของเรา แล้วก็จงอย่าสร้างความสะเทือนใจให้เกิดแก่ท่าน เห็นท่านมีความเห็นผิดคิดมิชอบอย่าค้านตรงๆ ค่อยๆ หาทางเลี่ยง เป็นการหารือ สมมติพ่อและแม่บอกว่าไอ้หนูนี่ไปขโมยสตางค์คนนั้นมาทีเถอะ สตางค์ของเรามันไม่มี ถ้าเราไปค้านว่าไม่ดีอาจจะไม่ถูกใจท่าน ทำให้ท่านเดือดร้อน เราก็เอายังงี้ซี ทำทีเหมือนว่าไปขโมย ไปนอนแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วก็กลับมาบอกว่าพ่อไม่ได้หรอกบ้านนั้น ตาคนนั้นแกระวังนั่งจ้องปืนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าไปเมื่อไรแกฆ่าทันที แต่พอถึงเวลาอารมณ์ดีเรามีสตางค์ เราก็เอาสตางค์ไปให้ท่าน แล้วคุยไปคุยมาก็ลองถามท่านว่า พ่อ ไอ้สตางค์ของเรานี่น่ะถ้าบังเอิญใครเขามายื้อแย่งลักขโมยนี่เราพอใจไหม แกก็จะต้องตอบว่าไม่ได้ซิ ของเราใครจะขโมยไปไม่ได้ ดีไม่ดีต้องฆ่ากันตายเลยถ้าขืนขโมยกัน ตานี้เราก็ได้ท่าแล้วนี่ เราก็บอกนั่นน่ะซีพ่ออีวันนั้น ที่พ่อให้ไปขโมยสตางค์เขาน่ะ ผมก็คิดยังงั้นเหมือนกันครับ คิดว่านี่ทรัพย์สินของเขา เขาคงรักเหมือนเรารักของเรา แต่ความจริงผมไปผมไม่ได้ขโมยเขาหรอก ผมไปนั่งคิดนอนคิดว่าเขาคงคิดแบบนี้ ผมก็เลยไม่ได้ลักขโมยของเขา เพราะเห็นว่าเขาคงจะรักของๆ เขาเหมือนเรารักของๆ เรา นี่ ค่อยๆ โอ้โลมปฏิโลม เป็นอันว่า จงพยายามทำจิตใจของพ่อแม่ที่มีความเห็นผิดให้กลับมีความเห็นถูก อย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงจะกล่าวว่าเราจึงจะเป็นลูกที่ดี จัดว่าเป็นการบำรุงพ่อแม่ทั้งวัตถุและจิตใจ ถ้าทำได้อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรท่านบอกว่าทำความดีคล้ายๆ กับความดีของท่านที่มีกับเรา นี่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าคล้ายๆ กันนะ ไม่ใช่ว่าความดีที่เราทำนี่เสมอเหมือนกับความดีท่านให้เราจะชื่อว่าเป็นการตอบสนองความดีของท่านให้มีความสุขเสมอกับความดีของท่านที่ให้เรายังใช้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าท่านให้ชีวิตจิตใจเรา เป็นแต่เพียงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคล้ายกันเท่านั้น การสนองความดีของพ่อแม่ให้หมด เช่นว่าให้เท่านี้พอแล้ว ความดีที่ให้กับพ่อแม่ ความดียิ่งกว่านี้ไม่มีอีก หมดกันทีบุญคุณของพ่อแม่ไม่มีสำหรับเรา ถ้าคิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน นี่เรียกว่าเราไม่รู้คุณบิดามารดามากล่าวถึงโดยโทษถ้าเราเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณท่าน อุปการะท่าน เอาใจท่านทุกอย่างพยายามหลีกเลี่ยงความชั่วที่ท่านมี หาความดีมาใส่ให้ท่าน ไม่สามารถจะสอนเองได้ก็เอาคนอื่นที่ท่านเคารพนับถือมาค่อยๆ ช่วยแนะนำ แล้วปฏิบัติทุกอย่าง เช็ดผ้าขี้สีผ้าเยี่ยวบำรุงรักษา พยาบาลเมื่อท่านป่วยไข้ไม่สบาย แม้แต่ท่านจะตายก็ไม่รังเกียจในศพ หากว่าท่านเป็นคนประเภทนี้นะ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าเป็นอุดมมงคล เป็นคนดีมีความสุขเพราะอะไร เพราะว่าคนทั้งหลายที่เขาเห็นว่าท่านนี่น่ะเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณพ่อรู้คุณแม่จริงๆ สนองความดีของพ่อของแม่ด้วยหาความรังเกียจไม่ได้ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ตายไปแล้ว ก็นอนใกล้ๆ ศพได้โดยไม่มีความรังเกียจ พ่อแม่ตายไปแล้วยังคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ทำบุญให้พ่อให้แม่อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ชาวบ้านทุกคนโดยถ้วนหน้าเขาก็จะบอกว่าแหม เจ้านี่เป็นคนดีจริงๆ คบได้ ถ้าพวกเราจะคบคนประเภทนี้ละก็ไม่เสียทีแน่ ในเมื่อพ่อแม่ของเขา ๆ ก็มีความกตัญญูรู้คุณ ถ้าเราจะสงเคราะห์เขาบ้าง เราจะช่วยเหลือเขาบ้าง คนประเภทนี้ไม่เป็นคนอกตัญญูทำลายความดีของเราแน่ เราให้เท่าไรไม่มีเสียเรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ สงเคราะห์เท่าไรก็ชื่อว่าบุคคลๆ นี้ไม่อกตัญญู ไม่ทำลายความดีที่มี นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าการบำรุงบิดามารดาชื่อว่าเป็นอุดมมงคล

เมื่อเราเองก็กลายเป็นบุคคลที่ชาวบ้านชาวเมืองเขารัก เขาเห็นว่าเราเป็นคนดี ไปบ้านใคร ใครเขาก็ไม่รังเกียจให้พัก ไม่รังเกียจในการสงเคราะห์ แล้วไปที่ไหนก็หาศัตรูได้ยาก เพราะว่าเราเป็นคนดีเป็นคนที่ชาวบ้านรักมาก ในเมื่อเราเป็นคนที่ชาวบ้านเขารักไปบ้านใครก็ได้กินข้าว หนาวก็มีผ้าห่ม ป่วยไข้ไม่สบายก็มีคนสงเคราะห์ จะมีอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นก็มีคนคอยช่วยเหลือ อย่างนี้ ท่านชื่อว่าเป็นความดี เป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ หรือว่าเป็นความชั่ว เอ้า ท่านวัดเอาเองก็แล้วกัน เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม ทรงสอนใครแล้วไม่เคยบอกใครว่า นี่ฉันสอนแกทำอย่างนี้แกต้องเชื่อฉันนะ นี่พระที่ดีท่านไม่พูดแบบนี้ ท่านบอกว่าฟังแล้วๆ ก็นำไปคิดก่อน นำไปปฏิบัติดูก่อน ถ้ามันดีจริงๆ ละก็ค่อยๆ นำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าหากว่ายังดีไม่ได้ หาความดีไม่ได้ จะไปประพฤติปฏิบัติทำไมเสียเวลาเปล่าๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสของท่านอย่างนี้นา เพราะว่าท่านแน่ใจว่า คำตรัสสิ่งที่เป็นมงคลนี้เป็นของดีจริงๆ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับมงคลข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ ๑๑ เห็นไหมล่ะ ก็บอกแล้วนี่ว่าเจอะเอาคนไม่ดี ปากก็ไม่ดี แล้วแถมตาก็ไม่ดีเสียอีกด้วย เขียนไว้แล้วเชียวนาว่ามงคลข้อ ๑๑ แว่นก็ใส่ มองมามองไปก็ไม่รู้ว่าเลขอะไร นี่เป็นอันว่าคนพูดไม่มีอะไรดี แต่ความดีซึ่งจะพึงมีจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ สำหรับคำอธิบายก็ว่ากันแบบนี้ ผิดบ้างถูกบ้างก็ขออภัยด้วย เป็นอันว่ามงคลที่ ๑๑ ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มิถุนายน 2558 19:42:41 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2558 19:30:31 »

.
http://lotuswithingallery.com/wp-content/uploads/2013/12/Statue-01151.jpg
มงคล 38 ประการ


ปุตฺตทารสฺสสงฺคโห เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๒-๑๓ "การสงเคราะห์บุตรและภรรยาท่านจัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลข้อที่ ๑๒-๑๓ พระบาลีว่า ปุตฺตทารสฺสสงฺคโห เอตมฺมํคลมุตฺตมํ มงคลข้อนี้แปลเป็นภาษาไทยว่า การสงเคราะห์บุตรและภรรยาท่านจัดว่าเป็นอุดมมงคล สำหรับมงคลข้อนี้พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเทวดาว่า ถ้าหากว่าคนทั้งหลายรู้จักสงเคราะห์บุตรและภรรยาให้เป็นสุข นี่เห็นจะเป็นเรื่องของพ่อบ้าน พ่อบ้านที่ต้องสงเคราะห์ลูก แล้วก็สงเคราะห์ภรรยา การสงเคราะห์บุตร สงเคราะห์ภรรยา ก็หมายความว่าพ่อบ้านต้องทำหน้าที่ของพ่อบ้านให้ครบถ้วน คือหมายความว่าการที่พ่อบ้านจะสงเคราะห์ภรรยา เรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคิหิปฏิบัติ มีหลายประการด้วยกัน แต่ว่าจะขอพูดแต่เพียงโดยย่อเพราะนำข้อธรรมะทั้งหมดก็จะเฟ้อเกินไป แล้วอีกประการหนึ่งบรรดาท่านทั้งหลายก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า การจะสงเคราะห์ภรรยาให้เป็นสุข เราก็นึกถึงตัวเราเองก็แล้วกัน การที่จะให้ใครมีความสุขระดับไหน จงคิดว่าเราทำยังไงหรือว่าบุคคลทำประเภทไหน เราจึงจะมีความสุข ก่อนที่จะมองเขา เราควรจะมองเรา สมมติว่าเราเป็นพ่อบ้าน ถ้าเข้ามาในบ้าน ถ้าแม่บ้านทำตนเป็นแม่บ้านที่บกพร่อง ไม่รู้จักกิจที่ตนจะพึงปฏิบัติ เวลาโผล่เข้ามาในบ้านแม่บ้านก็หน้างอ บ้านช่องก็เลอะเทอะ ข้าวปลาอาหารที่จะบริโภคก็ไม่มี สถานที่จะนั่งจะนอนก็เต็มไปด้วยความสกปรก แม่บ้านขาดดูแลทุกอย่างในกิจของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าแม่บ้านเป็นคนนอกใจพ่อบ้าน ชอบคบชู้สู่ชาย แบบนี้พ่อบ้านจะพอใจไหม อย่างนี้ก็คงจะตอบกันได้ไม่ยากว่า พ่อบ้านทุกคนไม่พอใจ

ตานี้ ก็มามองดูตัวของเราบ้างในฐานะที่เป็นพ่อบ้าน ถ้าหากว่าเราเป็นพ่อบ้านที่ไม่สนใจกับแม่บ้าน เงินได้มาเท่าไรก็จับจ่ายไปด้วยเรื่องน้ำเมาบ้าง สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร โบราณท่านว่ายังงั้น เอาไปกินเหล้าเสียตามสบาย ไม่เคยที่จะห่วงแม่บ้าน ว่าภาระอันใดที่แม่บ้านจะต้องรับผิดชอบ แต่ต้องอาศัยทรัพย์ทั้งหลายจากพ่อบ้านเป็นผู้หามา แล้วท่านพ่อบ้านก็เอาเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สุขส่วนตัวเสีย กินเหล้าแบบสบายแล้วก็นารี ข้อที่ ๒ นี้สำคัญมาก ผู้หญิงเขาไม่ชอบให้เราไปคบผู้หญิงภายนอก แบ่งความรักให้กับบุคคลอื่น บางทีก็ไม่ได้แบ่งความรัก ไปซื้อความรักจากเขาชั่วคราว เอาเงินไปจับจ่ายใช้สอยเรื่องการนารีภายนอก ดีไม่ดีก็ซื้อเอาโรคติดเข้ามาด้วย นี่เป็นประการที่ ๒ ประการที่ ๓ ท่านว่าพาชี นี่ภาษิตโบราณนะ พาชีหมายถึงการเล่นม้า เล่นการพนันเนื่องด้วยม้า รวมความเสียว่าการพนันทั้งปวง ที่ต้องทำเงินให้สูญเสียไป กีฬาบัตรก็รวมกันไว้ในที่นี้ เป็นอันว่าเราเป็นคนไม่รู้จักหน้าที่ของพ่อบ้าน ได้ทรัพย์สินมาเท่าไร ไม่นำมาจับจ่ายในครอบครัวของตนตามสมควร ไม่ได้มอบหมายความรักอย่างจริงจังให้แก่แม่บ้าน ไม่ยกย่องสรรเสริญอย่างจริงจังให้แก่แม่บ้าน ไม่ยกย่องสรรเสริญแม่บ้านว่าเป็นคนสำคัญของเรา เห็นแม่บ้านเป็นคนไม่สำคัญ แล้วทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยหามาให้ แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่เคยซื้อหามาให้ การเอาอกเอาใจก็ไม่มี การทำประเภทนี้มันจะเป็นความสุข หรือความทุกข์ เราก็ว่ากันไป คิดดูเอา นี่ เรื่องของมงคล

องค์สมเด็จพระทศพลบอกว่า ถ้าหากว่าเราจะหาความสุข คำว่าอุดมมงคลน่ะ ถือว่าเป็นความสุขที่สุด ความสุขอย่างเลิศประเสริฐจริงๆ เราต้องการเห็นบ้านเป็นสวรรค์เราก็ต้องเอาใจของเราเข้าไปวัดกับใจของแม่บ้าน ถือคติเดิมไว้ว่าก่อนที่เราจะรับคนๆ นี้มาเป็นแม่บ้านของเรา เราเคยแสดงน้ำใจยังไง ในตอนนั้นบอกว่ารักอย่างยิ่ง มีอะไรก็จะมอบให้ ยกความเป็นใหญ่ให้ หาเครื่องประดับให้ หาความเป็นใหญ่มาให้ จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน ยากดีมีจน ๒ คนเราจะร่วมกัน ไม่ใช่เราจะหลีกเร้นไปหาความสุข พูดกันเพียงเท่านี้ก็เห็นจะพอเข้าใจ เป็นอันว่าเราทำหน้าที่ของพ่อบ้านที่ดี ได้เงินมาเท่าไร แจ้งให้แม่บ้านรู้ ถ้าบังเอิญที่เราจะนำเงินมามอบให้ครบถ้วนไม่ได้ ก็แจ้งเหตุผลให้ทราบ ว่าเงินที่นำไปจับจ่ายใช้สอยที่มันขาดจำนวนลงไป เพราะอะไรเป็นสำคัญมีอะไรเป็นเหตุ แล้วยิ่งกว่านั้นก็ควรจะยกย่องความดีของแม่บ้าน เพราะว่าหน้าที่แม่บ้านเขามีอะไรบ้าง ความจริงแม่บ้านนี่ ทำงานย่อมไม่เห็นในงาน การจัดงานบ้านนี่เหนื่อยเกือบตาย หนักใจที่สุด แต่ว่ามองไม่เห็นงาน นี่บรรดาแม่บ้านหรือว่าพ่อบ้านที่เคยจัดบ้านทั้งหลาย ย่อมมองเห็น อย่างนี้ก็ควรจะเห็นใจเขา เราจะไปทางไหนมาทางไหนกลับตามเวลา เห็นว่าพูดเพียงย่อๆ เท่านี้พอจะเข้าใจ แล้วเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่สำคัญก็คือ อย่าทำตนเป็นคนนอกใจแม่บ้าน จะไปคบชู้สู่สาว สาวเล็กสาวใหญ่สาวเก่าสาวใหม่ภายนอก ถ้าจะคบบ้างตามความจำเป็น ก็แจ้งเหตุแจ้งผลให้ทราบ เท่านี้ก็เป็นที่พอใจแล้ว แม่บ้านก็จะชื่นใจ จะมีกำลังใจทำการงานของตน เป็นอันว่าหน้าตาของแม่บ้าน เวลาที่เราจะเข้าบ้าน ก็เห็นบ้านเป็นสวรรค์ เพราะอะไร เพราะกิจการงานในบ้านครบถ้วนบริบูรณ์ บ้านช่องสะอาดการปฏิบัติเอาอกเอาใจของแม่บ้านก็ย่อมปฏิบัติด้วยความดี ด้วยความตั้งใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราดี ทำตามหน้าที่ครบถ้วน เท่านี้พูดย่อๆ จัดว่าเป็นการสงเคราะห์แม่บ้าน

ตานี้ บุตร การสงเคราะห์ลูก นี่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าเรามีลูกขึ้นมาเพราะอาศัยเราเป็นปัจจัย จะไปนั่งคิดว่าไอ้ลูกหญิงลูกชายนี้เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดน่ะไม่ได้ เพราะเหตุที่ว่าเราทำ เราทำมันจะต้องเกิด เราสร้างเหตุ เราจะถือว่าผมไม่มีนี่มันไม่ได้ เมื่อมีบุตรขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ของพ่อให้เต็มภาคภูมิ หน้าที่ของพ่อนี่ไม่มีอะไรมากนี่ ทรงพรหมวิหาร ๔ เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ อย่าง เท่านี้พอแล้ว ถ้าท่านยังคิดไม่ออก ก็ไปนั่งนึกเอาเอง ถ้าขืนพูดมากมันก็ไม่เป็นประโยชน์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดแนะนำมงคลข้อนี้แก่เทวดา ว่าถ้าบุคคลผู้ใดรู้จักหน้าที่ของตนว่าตนเองเป็นพ่อบ้าน ความจริงก่อนที่จะเป็นพ่อบ้านน่ะ ควรจะศึกษาเสียก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นึกอยากจะมีเมียกับเขาขึ้นมา เมื่อมีเมียแล้วไม่เคยคิดที่จะมีลูก เมื่อมีลูกโผล่ขึ้นมาเลยไม่รู้ทีท่าว่าการปฏิบัติสงเคราะห์ลูก สงเคราะห์เมียเป็นยังไง ถ้าอย่างนี้จะหามงคลที่ไหน มันก็มีแต่ความจัญไรเข้ามาถึงตัวเท่านั้น เข้ามาในบ้านเมื่อไร เราก็จะเห็นบ้านกลายเป็นเมืองนรกไป ความแช่มชื่นใดๆ ที่เราคิดว่ามันจะพึงมี มันจะหาได้ที่ไหน ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงสงเคราะห์ว่าคนใด ถ้าจะเป็นพ่อบ้าน หรือว่าหญิงใดที่จะเป็นแม่บ้าน ให้ศึกษาภาวะของพ่อบ้านและแม่บ้านให้ครบถ้วน เมื่อถึงเวลา ถึงคราวเป็นพ่อบ้านจริงๆ เป็นแม่บ้านจริงๆ ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมีความสุขใจ เพราะต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตน

สำหรับมงคลนี้ ขอพูดแต่เพียงเท่านี้ เพราะไม่มีอะไรมาก รู้จักตัวเป็นสำคัญ รู้จักการสงเคราะห์เป็นสำคัญ หน้าที่ของตัวนั้นก็คือพรหมวิหาร ๔ กับอคติ ๔ พรหมวิหาร ๔ ทรงไว้ อคติ ๔ ทำลายไปเท่านี้หมดเรื่อง

เป็นอันว่ามงคลข้อที่ ๑๒-๑๓ ขอผ่านไป ต่อจากนี้ก็จะพูดถึงมงคลข้อที่ ๑๔



อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺมมํ
มงคลที่ ๑๔ "คนที่จะมีความสุขเพราะการงานไม่คั่งค้าง จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลข้อที่ ๑๔ พระบาลีมีว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺมมํ ท่านกล่าวว่า คนที่จะมีความสุขเพราะการงานไม่คั่งค้าง จัดว่าเป็นอุดมมงคล คนที่มีการงานทุกอย่างไม่คั่งค้างนี้มีความสุข นี่หมายความว่าคนทุกคนที่เกิดมาแล้ว ถ้าจะหาความสุขอีกด้านหนึ่ง คือว่าคนทุกคน ต้องมีงานที่ทำ มีหน้าที่ทำกิจการงานทุกอย่างตามที่ตนจะพึงมีไม่ว่างานอะไรทั้งหมดที่เราได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็ดี หรือเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องจัดหาก็ดี งานทั้งหมดนี้อย่าให้มันค้าง ตั้งใจทำงานด้วยดี ทำให้เสร็จทันเวลาแล้วก็เสร็จก่อนเวลา เมื่อกิจการใดๆ ก็ตามที่เราทำเสร็จสิ้นไปไม่คั่งค้าง ความสบายใจมันก็เกิด เพราะเวลาที่เราจะพักเราจะผ่อน เราจะนอน งานมันไม่ตามเข้าไปในมุ้ง แล้วคนที่ทำงานไม่เสร็จปล่อยให้งานค้างวันค้างคืน เวลากลับบ้าน หรือเวลาพักผ่อน เวลาที่เราจะเข้านอนงานมันตามเข้าไปในมุ้งด้วย พอล้มตัวลงนอน หายเหนื่อย จิตใจมันก็คิดถึงการงาน ความสุขใจมันก็ไม่มี นี่ ว่าถึงความสุขใจของตัวเราเอง

ตานี้ ไอ้ความสุขใจของเรานี่ มันก็เกี่ยวถึงประเทศชาติแล้วก็เกี่ยวถึงโลก เพราะว่าคนทุกคนทั้งโลกนี่ ถ้าทุกคนมีความขยันหมั่นเพียรรู้จักหน้าที่ของตัว งานอันใดที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็ดี หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาที่จะต้องสั่งงานให้บุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาทำก็ดี หรือว่าเราทำหน้าที่ของเราโดยเฉพาะเป็นงานอิสระก็ดี พิจารณาดูว่าวันนี้งานอะไรบ้าง ที่มีความสำคัญ หรือว่างานทุกอย่างที่จะต้องทำ ให้มันเหมาะสมกับกิจการงานที่จะต้องทำ หรือว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา หรือว่าเรามีหน้าที่ในการสั่ง ว่างานอะไรบ้าง ที่เราควรจะสั่งให้บุคคลในใต้บังคับบัญชาทำ งานทุกๆ อย่างนั้น เราทำ เราปฏิบัติไม่คั่งค้างเสร็จสิ้นไปด้วยดี ถ้ากิจการงานที่ทำนี้ ทุกคนมีกิจการงานไม่คั่งค้างทั้งโลกแล้ว ท่านจะเห็นว่าโลกนี้มีความสุขหรือมีความทุกข์ นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำแต่เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถือว่าชาวโลกทุกคนถ้าต้องการมีความสุข หวังความเป็นอุดมมงคล คือว่าต้องการมงคลให้เกิดขึ้นแก่ตน ถ้าทุกคนทำงานทุกอย่างไม่คั่งค้าง ไม่หลีกเลี่ยง ร่มไม่กาง เป็นอันว่าไม่หนีงาน ไม่กักงานเข้าไว้งานทุกอย่างทำได้ดีครบถ้วนทุกประการ นี่คนทุกคนก็มีแต่ความสบายใจ ผู้บังคับบัญชาที่จะต้องสั่งก็ตั้งใจสั่งงานได้ดีครบถ้วนสบายใจไปได้หนึ่งละ ว่าหนึ่ง เราเป็นผู้สั่ง สั่งงานแล้วผู้รับสนองงานก็ปฏิบัติงานนั้นครบถ้วนทุกประการ เมื่อผู้บังคับบัญชาทราบว่า เราทำงานครบถ้วน แล้วก็ด้วยดีเขาก็จะดีใจภูมิใจว่าบุคคลใต้บังคับบัญชาของเราเป็นคนดี เรื่องการพิจารณาความดีความชอบมันก็ติดตามมา แล้วบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้างานไม่คั่งค้าง เวลาพักงานก็ไปนอนสบาย ผลที่จะพึงได้ก็คือความสุขใจ งานไม่ตามเข้าไปในมุ้ง และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พึงได้จะติดตามมาเพราะความดี ก็คือรางวัลความดี สำหรับท่านที่ทำงานตามหน้าที่ของตน เมื่องานของตนไม่คั่งค้าง ก็มีความสุขใจ ผลที่จะพึงได้จากผลงานก็ครบถ้วนบริบูรณ์ นี่ ถ้าทุกคนทั้งโลกทำเหมือนกันหมดอย่างนี้ ท่านคิดว่ามันเป็นความดีหรือความชั่ว มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ มานั่งนอนช่วยกันคิด อ่านไปแล้วก็คิดไปด้วย ถ้าเห็นว่ามันเป็นความสุขนี่พูดกันว่าคนเต็มคนสักหน่อยนะ ถ้าคนล้นคน หรือคนหย่อนกว่าคนนี่ ไม่พูดด้วยหรอก เพราะพูดเท่าไรแกก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าเห็นว่ามันเป็นความสุข แล้วเราก็มานั่งนึกดูว่า ศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่เขาร่ำลือกันบอกว่า ศาสนานี่เป็นกาฝากของโลกเป็นจุดถ่วงของโลกนี่มันเป็นความจริงหรือความไม่จริง

เอาละเท่านี้ ขอฝากไว้เพียงเท่านี้นะ มงคลนี้ว่าเท่านี้พอแล้วเพราะไม่ต้องไปนั่งยกตัวอย่างให้รำคาญใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 มิถุนายน 2558 07:16:04 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2558 07:27:12 »

.

พระพุทธรูปกอดสาว คือ ยับยุม ของพุทธนิกายตันตระยาน

อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺมมํ
มงคลที่ ๑๔ "คนที่จะมีความสุขเพราะการงานไม่คั่งค้าง จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลข้อที่ ๑๔ พระบาลีมีว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺมมํ ท่านกล่าวว่า คนที่จะมีความสุขเพราะการงานไม่คั่งค้าง จัดว่าเป็นอุดมมงคล คนที่มีการงานทุกอย่างไม่คั่งค้างนี้มีความสุข นี่หมายความว่าคนทุกคนที่เกิดมาแล้ว ถ้าจะหาความสุขอีกด้านหนึ่ง คือว่าคนทุกคน ต้องมีงานที่ทำ มีหน้าที่ทำกิจการงานทุกอย่างตามที่ตนจะพึงมีไม่ว่างานอะไรทั้งหมดที่เราได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็ดี หรือเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องจัดหาก็ดี งานทั้งหมดนี้อย่าให้มันค้าง ตั้งใจทำงานด้วยดี ทำให้เสร็จทันเวลาแล้วก็เสร็จก่อนเวลา เมื่อกิจการใดๆ ก็ตามที่เราทำเสร็จสิ้นไปไม่คั่งค้าง ความสบายใจมันก็เกิด เพราะเวลาที่เราจะพักเราจะผ่อน เราจะนอน งานมันไม่ตามเข้าไปในมุ้ง แล้วคนที่ทำงานไม่เสร็จปล่อยให้งานค้างวันค้างคืน เวลากลับบ้านหรือเวลาพักผ่อน เวลาที่เราจะเข้านอนงานมันตามเข้าไปในมุ้งด้วย พอล้มตัวลงนอนหายเหนื่อย จิตใจมันก็คิดถึงการงาน ความสุขใจมันก็ไม่มี นี่ ว่าถึงความสุขใจของตัวเราเอง

ตานี้ ไอ้ความสุขใจของเรานี่ มันก็เกี่ยวถึงประเทศชาติแล้วก็เกี่ยวถึงโลก เพราะว่าคนทุกคนทั้งโลกนี่ ถ้าทุกคนมีความขยันหมั่นเพียรรู้จักหน้าที่ของตัว งานอันใดที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็ดี หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาที่จะต้องสั่งงานให้บุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาทำก็ดี หรือว่าเราทำหน้าที่ของเราโดยเฉพาะเป็นงานอิสระก็ดี พิจารณาดูว่าวันนี้งานอะไรบ้าง ที่มีความสำคัญ หรือว่างานทุกอย่างที่จะต้องทำ ให้มันเหมาะสมกับกิจการงานที่จะต้องทำ หรือว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา หรือว่าเรามีหน้าที่ในการสั่ง ว่างานอะไรบ้าง ที่เราควรจะสั่งให้บุคคลในใต้บังคับบัญชาทำ งานทุกๆ อย่างนั้น เราทำ เราปฏิบัติไม่คั่งค้างเสร็จสิ้นไปด้วยดี ถ้ากิจการงานที่ทำนี้ ทุกคนมีกิจการงานไม่คั่งค้างทั้งโลกแล้ว ท่านจะเห็นว่าโลกนี้มีความสุขหรือมีความทุกข์ นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำแต่เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถือว่าชาวโลกทุกคนถ้าต้องการมีความสุข หวังความเป็นอุดมมงคล คือว่าต้องการมงคลให้เกิดขึ้นแก่ตน ถ้าทุกคนทำงานทุกอย่างไม่คั่งค้าง ไม่หลีกเลี่ยง ร่มไม่กาง เป็นอันว่าไม่หนีงาน ไม่กักงานเข้าไว้งานทุกอย่างทำได้ดีครบถ้วนทุกประการ นี่คนทุกคนก็มีแต่ความสบายใจ ผู้บังคับบัญชาที่จะต้องสั่งก็ตั้งใจสั่งงานได้ดีครบถ้วนสบายใจไปได้หนึ่งละ ว่าหนึ่ง เราเป็นผู้สั่ง สั่งงานแล้วผู้รับสนองงานก็ปฏิบัติงานนั้นครบถ้วนทุกประการ เมื่อผู้บังคับบัญชาทราบว่า เราทำงานครบถ้วน แล้วก็ด้วยดีเขาก็จะดีใจภูมิใจว่าบุคคลใต้บังคับบัญชาของเราเป็นคนดี เรื่องการพิจารณาความดีความชอบมันก็ติดตามมา แล้วบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้างานไม่คั่งค้าง เวลาพักงานก็ไปนอนสบาย ผลที่จะพึงได้ก็คือความสุขใจ งานไม่ตามเข้าไปในมุ้ง และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พึงได้จะติดตามมาเพราะความดี ก็คือรางวัลความดี สำหรับท่านที่ทำงานตามหน้าที่ของตน เมื่องานของตนไม่คั่งค้าง ก็มีความสุขใจ ผลที่จะพึงได้จากผลงานก็ครบถ้วนบริบูรณ์ นี่ ถ้าทุกคนทั้งโลกทำเหมือนกันหมดอย่างนี้ ท่านคิดว่ามันเป็นความดีหรือความชั่ว มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ มานั่งนอนช่วยกันคิด อ่านไปแล้วก็คิดไปด้วย ถ้าเห็นว่ามันเป็นความสุขนี่พูดกันว่าคนเต็มคนสักหน่อยนะ ถ้าคนล้นคน หรือคนหย่อนกว่าคนนี่ ไม่พูดด้วยหรอก เพราะพูดเท่าไรแกก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าเห็นว่ามันเป็นความสุข แล้วเราก็มานั่งนึกดูว่า ศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่เขาร่ำลือกันบอกว่า ศาสนานี่เป็นกาฝากของโลกเป็นจุดถ่วงของโลกนี่มันเป็นความจริงหรือความไม่จริง

เอาละเท่านี้ ขอฝากไว้เพียงเท่านี้นะ มงคลนี้ว่าเท่านี้พอแล้วเพราะไม่ต้องไปนั่งยกตัวอย่างให้รำคาญใจ



ทานญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๕ "การให้ทานจัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าทานญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ท่านกล่าวว่าการให้ทานนี่จัดว่าเป็นอุดมมงคลเห็นไหมล่ะ ตอนนี้มาแล้วซี เคยได้ฟังเขาบ่อยๆ ว่าพระที่ชอบพูดแบบนี้นี่ เพราะพระขี้เกียจ พระเป็นกาฝากของสังคม ท่านแนะนำให้คนทุกคนเขาให้ทานตัวก็สบาย ยิ้มย่องผ่องใส ร่างกายสมบูรณ์ ทรัพย์สินก็มาก แต่ทว่านี่เป็นกระแสพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับเทวดา ท่านไม่ได้แนะนำมาให้ให้กับพระโดยเฉพาะ

คำว่าทานการให้ ท่านไม่จำกัดลงไปว่าต้องให้แก่พระจึงจะได้บุญ ขอโทษที่นี้เราไม่ได้พูดกันถึงบุญ เราพูดกันถึงความสุข คือคำว่าเป็นมงคล เรียกว่าความดี มีความสุข ทีนี้เราก็มานั่งนึกดูว่า นี่กาฝากมานั่งพูดให้ฟังนี่ ถ้าแนะนำให้บรรดาประชาชนคนทั้งหลายเขาให้ทาน เป็นอันว่าคนที่รับประทานก็เลยนั่งขี้เกียจ ทำให้ประเทศชาติ ทำให้โลกมีคนขี้เกียจขึ้นมามาก ขาดรายได้ นี่เขาว่ากันยังงั้นนะ ได้ยินมาบ่อย แต่ความจริงไอ้ที่เขาพูดนี่มันจริงก็มีนา ที่เขาพูดมานี่มันตรงตามความเป็นจริงก็มีเยอะ ไม่ปฏิเสธ แล้วก็การกระทำแบบนั้นน่ะ ความจริงเขาไม่ได้ทำตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เขาทำไม่ถูก นี่พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกคนน่ะควรให้ทาน ไม่ใช่แต่ละบุคคล หรือว่าแบ่งชั้นวรรณะ ยกตัวอย่างในสมัยปัจจุบัน พวกพระเป็นผู้รับทาน แล้วพระทั้งหลายท่านก็มานั่งนึกว่าเรามามีหน้าที่รับทานอย่างเดียว การให้ทานไม่มี อย่างนี้ ที่ชาวบ้านเขาบอกว่าพระนี่เป็นมารถ่วงสังคม หรือว่าเป็นกาฝากในสังคม ถูก ขอตอบว่าถูก ถ้านักบวชจัญไรทำตัวแบบนั้นละเป็นมารสังคมจริงๆ ไม่ได้ถ่วงแต่สังคมอย่างเดียว ถ้าหากว่าท่านจะถามว่า "แล้วก็พระมีหน้าที่ในการให้ทานด้วยรึ?" ก็ตอบว่าพระต้องมี พระนี่เป็นบุคคลตัวอย่างเพราะว่าในฐานะที่รับกระแสพระสัทธรรมเทศนา พระรับพระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว ถ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสอะไรออกมา พระต้องปฏิบัติตามนั้น เพราะว่าพระนี่ถือว่าเป็นทายาทขององค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาเอง รับมาแล้วต้องทำ ไม่ใช่มีหน้าที่มาแนะให้ชาวบ้านเขาทำเพื่อความสุขของตัว ได้เงินได้ทองได้ของมาแล้วก็สะสมเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ถ้านักบวชที่ทำตนแบบนี้ละก็ท่านทั้งหลายโปรดทราบ ว่าเป็นนักบวชกาลีที่ทำลายความดีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านทั้งหลายอย่าสนับสนุน พูดกันอย่างภาษาไทยๆ ก็ว่า ไม่ควรขุนหรือไม่ควรให้กินเลย ทำไมจึงพูดแบบนี้ล่ะ ที่พูดแบบนี้ พูดด้วยความรู้สึกจริงใจ นี่จะพูดไปมีความรู้สึกแบบนี้มานานแล้วและเวลานี้ก็พอดีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่ได้รับสถาปนามาใหม่ ๆ พระองค์ก็ตรัสแบบเดียวกันว่า ถ้าพระไม่ดีก็ควรจะไม่ใส่บาตรเสียบ้าง ไม่ให้กินเสียบ้างนั่นแหละดี เพราะพระศาสนาเปรียบเหมือนพื้นที่ บุคคลในพระศาสนาเปรียบเหมือนวัตถุที่สร้างพื้นที่ให้สกปรกหรือว่าสะอาด ถ้าบุคคลที่เข้ามาบวชในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ไม่ปฏิบัติตนให้สมควรตามที่สมเด็จพระโลกนาถทรงสั่งแล้ว ก็ทรงสอนว่าอย่างนี้เป็นกาลีไม่ควรเลี้ยง นี่ความจริงความเห็นของสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ชอบใจมาก มองดูพระสังฆราชมาหลายองค์แล้ว แต่ก็ไม่ได้เกลียดเลยทุกองค์แหละ ชอบท่านเหมือนกันแต่ว่าองค์นี้ชอบใจมาก เพราะถูกใจ ที่ไม่เข้ากับบุคคลจัญไร ที่หวังหาความสุขด้วยการเอาเปรียบชาวบ้าน แล้วมาพูดถึงว่าพระจะให้ทาน ความจริงพระให้ทานได้สะดวก เพราะพระไม่มีลูก พระไม่มีเมีย ไม่มีภาระมาก แล้วก็ความเป็นอยู่ของพระก็สะดวกเพราะว่าชาวบ้านสงเคราะห์อนุเคราะห์ ความจำเป็นในการครองชีพมีอยู่ เดี๋ยวนี้ศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครู นักบวชทั้งหลายต้องยอมละเมิดวินัยข้อหนึ่ง นั่นคือหยิบสตางค์ ใช้สตางค์เรื่องนี้ก็เหมือนกัน พระไม่ควรจะมานั่งโกหกชาวบ้าน เวลามานั่งต่อหน้าชาวบ้าน ชาวบ้านเขาถวายสตางค์ก็บอกว่าฉันไม่หยิบเงิน ถ้าไม่หยิบเงินก็อย่ารับไว้เลยนะ ถ้ารับไปมันก็เหมือนกับหยิบเงิน เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ารับเงินเองก็ดี ให้คนอื่นรับแทนก็ดี หรือว่าให้คนอื่นรับไว้เพื่อตนก็ดี ตนยังคิดว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินของตนวัตถุนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ตัวเองเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่เวลานี้มีความจำเป็นเสียแล้วนี่ พระไปนั่งรถนั่งเรือเขาก็เก็บสตางค์ เดินไปตามทาง ถ้าเกิดความหิวเข้า แวะเข้าไปในร้านค้าเวลาจะฉันอะไรเขาก็เอาสตางค์ ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่มีตามความจำเป็น แม้แต่ยาเขาก็เอาสตางค์ตามร้านค้า เป็นอันว่าพระวินัยอันนี้พระทั้งหลายต้องจำทน ปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัย เข้าใจว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงไม่เพ่งโทษ เพราะก่อนที่พระองค์จะทรงปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงโปรดมีพระเมตตาว่า ในกาลเวลาต่อไปถ้าวินัยข้อใดที่เราบัญญัติไว้ไม่เหมาะสมกับกาลสมัย วินัยข้อนั้นให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายประชุมกันยกเลิกเสียได้ เรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องไม่น่าอาย การรับสตางค์ นักบวชที่ไม่รับสตางค์ ตายแล้วปรากฏว่ามีเงินเป็นล้านเป็นแสนนี่ ขายขี้หน้าเขา

นี่แหละ บรรดาท่านทั้งหลาย จงจำไว้ว่าถ้านักบวชจัญไรไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เว้นไว้แต่สิกขาบทข้อนี้ตามความจำเป็น ควรจะเลิกขุนเสียบ้าง เอ๊ะ ใช้คำว่าขุนนี่ต่ำไป ขุนนี่มันเป็นบรรดาศักดิ์นะ สมัยก่อนนี้มันเป็นบรรดาศักดิ์ พ้นจากนายมาเป็นหมื่น พ้นจากหมื่นมาเป็นขุน อ้าวแล้วพูดให้ตรงกับสมเด็จพระสังฆราชว่าจงอย่าใส่บาตรเสียบ้าง ตานี้ถ้าแกไม่เอาบาตรไปก็จงอย่าใส่ย่ามเสียบ้าง ถ้าแกไม่ได้ถือย่ามไปก็จงอย่าส่งให้เสียบ้าง ดีไหม ทำไมจึงได้ว่ายังงั้น เพราะว่าการไม่ปฏิบัติตนตามกระแสพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ กลายเป็นทำให้พระศาสนามัวหมอง

ตานี้ มาว่ากันถึงพระให้ทานนี่มันเป็นของไม่ยาก เพราะพระเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนพุทธบริษัท เขาชื่อว่าพระบริสุทธิ์ แต่ว่านักบวชจัญไรที่ไม่บริสุทธิ์นี่ ไม่ใช้คำว่าพระ ที่นี้ เวลาพระจะให้ทานนี้ไม่ยาก ของที่เหลือกินเหลือใช้ เราทำได้ อาหารที่เขาให้มา เหลืออย่าขายซี เทศน์มาได้ก็อย่าขาย ไปบิณฑบาตมาได้เหลือกินอย่าขาย แจกคนที่มีความทุกข์ ให้เขาได้จัดเป็นทาน พระพุทธเจ้าไม่ทรงห้าม มันเป็นความดี ถ้ายิ่งไปกว่านั้นเรียกว่าของที่เหลือกินเหลือใช้ เอาไปสร้างในส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ มันก็เป็นความดี ก็เงินจำนวนนี้เป็นเงินของชาวบ้านเขาให้มา มันพ้นจากความจำเป็นของเราแล้ว เราก็สนองความดีของชาวบ้าน เงินจำนวนนี้เริ่มในการลงทุน สร้างสถานที่พัก สร้างบ่อน้ำ สร้างศาลา สร้างอะไรต่ออะไรก็ช่าง หรือว่าตั้งเป็นสมาคมในการสงเคราะห์อนุเคราะห์ก็ได้ตามอัธยาศัย เป็นอันว่าทำไปเพื่อสาธารณประโยชน์ ความจริงพระทำได้ง่าย บอกชาวบ้าน บอกทำอย่างนี้น่ะมันดี เพราะอะไร เพราะว่าการให้ทานนี้ เป็นจริยาของการผูกมิตร ทำจิตใจของบุคคลทั้งหลายให้เกิดความรักซึ่งกันและกัน นี่มาลงในคำให้ทาน ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าคนควรให้ทาน

ทีนี้มีคนอีกบางประเภทเขาว่า นี่ เป็นการแนะนำให้ชาวโลกขี้เกียจ ตอนนี้ท่านจะต้องนึกดูให้ดีนะ ว่าที่พระพุทธเจ้าพูดกับเทวดาน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มว่าให้ทาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำคนทุกประเภทคือทุกคนว่าทุกคนควรให้ทาน ตานี้ก็ต้องมานั่งนึกกันละซีว่าทุกคนเป็นคนให้ทานแล้วใครจะเป็นคนรับทาน ยุ่งแล้ว ท่าจะยุ่งแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วนี่เทศน์มายังไงกันนี่ มันขัดกับความเป็นจริงเสียละมัง น่ากลัว น่ากลัวพระองค์จะเผลอไปแล้วนี่ นี่ไม่ได้จำกัดว่าคนทุกคน ใครเป็นผู้ให้ทาน ใครเป็นผู้รับ ถ้าทุกคน ๆ มีหน้าที่ให้ทานเสียแล้ว ใครจะมีหน้าที่รับทานกันล่ะ นี่น่ากลัวพระพุทธเจ้าจะเผลอ ไอ้ที่พูดอย่างนี้นะ แกล้งพูด บอกให้ฟังเสียด้วยความจริงใจ แกล้งพูดว่าน่ากลัวพระพุทธเจ้าจะเผลอ เรื่องพระพุทธเจ้าเผลอไม่มีหรอก พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทั้งหมด รู้ครบรู้ถ้วน ตานี้ หากว่าท่านไม่เผลอแล้ว ทุกคนต่างคนต่างให้ทานนี่ จะให้กับใคร ไอ้การให้กับการรับนี่ท่าน เขาต้องมองกันมองกันว่าคนที่เราจะให้นี่เขาขาดอะไร ถ้าขาดน้ำเราให้น้ำเขาก็พอใจ แต่เมื่อเรามีน้ำอยู่แล้วก็ไม่มีใครเขาอยากให้เรา บังเอิญเราขาดไฟ เขาให้ไฟ เราก็พอใจ ไอ้คนมันมีเวลาขาดแต่การให้ทานนี่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถไม่ได้บอกว่าทุกคน เวลาตื่นขึ้นมาแล้วถ่างตาให้ทานกันโดยไม่เลือกกาลไม่เลือกสมัย ไม่เลือกบุคคล ไม่ใช่ยังงั้น ให้ตามความเหมาะสมแล้วก็การให้นี่น่ะต้องให้โดยไม่เบียดเบียนตน แล้วเวลาที่เราจะให้เราต้องพิจารณาก่อนให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ที่มันควรจะให้หรือยัง มันพอที่จะสงเคราะห์เขาได้หรือยัง ถ้าทรัพย์สินทั้งหลายที่มีอยู่มันมีความจำเป็นที่เราจะแบ่งให้ใครไม่ได้เราก็ยังไม่แบ่งให้ การให้อย่างนั้นเป็นการบีบคั้นตน บีบคั้นใจตนเอง อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่ทรงโปรด ก่อนจะให้นี่ต้องพิจารณาว่านี่ของอย่างนี้ สมมติเอาว่าเงิน ๑ บาท ไอ้ ๑ บาทน่ะ มันมีความจำเป็นอะไรบ้างถ้าความจำเป็นมันยังบีบบังคับอยู่นี่เราไม่ให้ แต่สมมติว่าถ้าคนนั้นเขาจะตายล่ะ เราจะทำยังไง วิธีให้อีกอย่างหนึ่งมันมี คือชี้ทางให้ แนะนำให้ บอกว่านี่ที่นี่นะฉันไม่มีหรอก มีเหมือนกันแต่มันให้ไม่ได้ อีกประเดี๋ยวหนึ่งเจ้าหนี้เขาจะมาเอา นี่จะแบ่งให้ท่านได้ยังไงโน่นแน่ะบ้านโน้นเขาพอมีจะให้ได้ ชี้ทางไปก็ได้ นำไปก็ได้ แนะนำก็ได้ อันนี้ชื่อว่าเป็นการให้เหมือนกัน คือว่าให้โดยการแนะนำ

การให้ด้วยวาจานี่ ปรากฏมาในเรื่องราวของพระศาสนา สมัยที่พระพุทธโฆษาจารย์ถูกอาราธนาลงมาจากดุสิต มาเกิดในตระกูลของพราหมณ์ที่ไม่เคารพในพระพุทธศาสนา มีพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านต้องการให้พระพุทธโฆษาจารย์กุมารมาบวชในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ก็เพราะทราบว่าท่านเป็นเทวดา แล้วก็มีปัญญามาก จะเป็นกำลังใหญ่ของพระพุทธศาสนา จึงพยายามเดินเข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น แต่บ้านนั้นเขาไม่เคารพพระท่านไปยืน ๆ เขาไม่ให้ท่านก็เลยไป สองวัน พอวันที่ ๓ ปรากฏว่าไปยืนใหม่ แม่บ้านออกมาเจอะเข้า ก็บอกว่านี่พระคุณเจ้านิมนต์ไปรับบาตรที่อื่นเถอะ ที่บ้านนี้ไม่มีใครเขาใส่บาตร เรียกว่าไม่มีใครเขาให้ทานก็แล้วกัน ท่านก็เลยเดินลัดออกไปทางหลังบ้าน พบพ่อบ้านเข้า ถามว่านี่ ท่านหัวโล้นได้อะไรบ้างล่ะ ท่านองค์นั้นท่านก็บอกว่า เออ เมื่อ ๒ วันก่อนไม่เคยได้อะไร วันนี้ได้แฮะแปลก บ้านนี้ใจดีนี่ ๒ วันก่อนเขาไม่เคยได้ อีตาพ่อบ้านแกก็สงสัยว่าใครเป็นคนเอาของใส่ให้นี่ เจ้าหัวโล้นพวกนี้เราไม่เคารพเราไม่นับถือ มันคนละศาสนานี่ คนละพวก เขาเป็นพวกพราหมณ์ ก็เลยบอกไหนได้อะไร ขอดูหน่อยซิ แกก็ขอเปิดบาตรดู พระท่านก็เปิดบาตรให้ดู ไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาตรเปล่าๆ ก็เลยบอกว่านี่เจ้าหัวโล้นจับได้แล้ว จอมโกหกนี่ พวกแกนี่โกหกมดเท็จนี่ ไม่มีอะไรสักนิด ทำไมแกบอกว่าได้ พระองค์นั้นท่านก็ยิ้มท่านไม่โกรธ ท่านบอกว่าไอ้ที่ได้นี่ฉันไม่ได้บอกว่าได้ของมานี่ แกไม่ได้ถามให้ครบถ้วน คนถาม ถามไม่ครบนี่ ถามว่าได้ไหม ฉันก็บอกว่าได้ อีตานั่นแกก็ถามว่าได้อะไร ตอบว่าเมื่อ ๒ วันก่อนนี้ฉันมายืน ไม่มีใครพูดกับฉันเลยแหละฉันก็เลยเดินเลยไป วันนี้มา ฉันได้หน่อยหนึ่ง ถามว่าได้อะไร ได้จากแม่บ้าน คือแม่บ้านเขาให้ ถามว่าให้อะไร ไม่เห็นมีอะไรติดบาตรสักนิด ท่านก็เลยบอกว่าได้วาจา วันนี้แม่บ้านเขาออกมายืนอยู่หน้าบ้าน เขาบอกว่าที่นี่เขาไม่มีใครเขาให้ทานหรอก เชิญไปที่อื่นเถอะนี่เราได้คำปฏิสันถาร ได้คำแนะนำจากแม่บ้าน จะถือว่าเราไม่ได้ยังไง ได้ วันก่อนไม่เคยได้เลยนี่ ของก็ไม่ได้ คำแนะนำใดๆ ก็ไม่ได้ คำปฏิสันถารใดๆ ก็ไม่เคยได้ ก็วันนี้เราได้แล้วยังบอกว่าเราไม่ได้ เราก็กลายเป็นคนโกหก อีตานั่นเลยเลื่อมใส บอกเอ อีตาหัวโล้นนี่ดีแฮะ ไอ้เขาไม่ให้เขาบอกให้หลีกไป บอกให้เลยไป แกยังบอกว่าได้ กลายเป็นคนดีไปเสียได้นี่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เลยนิมนต์ไปรับบาตรที่บ้าน นิมนต์ฉันบนบ้านนี่อำนาจของความดีชื่อว่าการให้

ฉะนั้น การให้ทานนี่ เราไม่มีวัตถุก็ไม่เป็นไร เราก็ให้คำแนะนำ นี่มาว่ากันถึงการให้นะ ทีนี้พูดถึงการให้มันมีคุณหรือมีโทษ ที่พระพุทธเจ้าจัดว่าเป็นอุดมมงคล เป็นเหตุสร้างความสุข ท่านว่ายังงั้นนะ มงคลนี้ก็คือความสุข ความสุขที่จะมีมาได้อีกจุดหนึ่งก็คือการให้ทาน ทานนี่แปลว่าให้ เมื่อเราให้ไปแล้วมันได้อะไร นี่เรามาพูดกันเฉพาะคนที่เต็มคน คนล้นคนกับขาดคนนี่ไม่พูดกัน คนประเภทนี้พูดไม่ได้หรอก พูดเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง ทีนี้เรามานั่งนึกถึงตัวเราดูสักนิดหนึ่งว่า สมมติว่าวันนี้เราขาดอาหาร หิวเกือบตายแต่บังเอิญมีใครสักคนหนึ่งเขานำอาหารมาให้เราได้กินเข้าไป อาหารนั้นมันจะเลิศประเสริฐขนาดไหนไม่เข้าใจ ถ้าหิวละก็มันอร่อยทั้งนั้น กินเข้าไป ทรงกายขึ้นมาได้ มีกำลังกายเดินเหินแข็งแรง สติปัญญามันเริ่มมีขึ้นเพราะความอิ่ม เอากันอย่างเดียวก็พอ ถ้าขืนพูดมากเรื่องทานนี่หลายร้อยเล่มไม่จบหรอก เพียงเท่านี้น่ะลองคิดดู จิตใจของเรามันจะเกลียดคนให้หรือรักคนให้เอามานั่งนึกกันดู ท่านจะเกลียดอยากจะฆ่าคนให้ท่านกิน หรือว่าท่านจะขอบคุณเขา นี่เราพูดกันอย่างชนิดคนเต็มๆ นะ เอาคนเต็มคนกัน คนไม่เต็มคน คนเลยล้นคนไม่เอา ลองนั่งนึกดูซิ เวลานี้ตัวท่านเอง ตัวท่านเองมีความบกพร่องอะไรอยู่สักอย่างหนึ่งที่ความต้องการเรายังหาไม่ได้ แต่ถ้าใครบังเอิญเขาจัดของสิ่งนั้นมาให้ท่านความรู้สึกของท่านเวลานี้จะมีความรู้สึกยังไง อยากจะฆ่าคนนั้นหรือยายคนนั้นที่เอามาให้นี่ ฆ่ามันเสียให้ตายซิ มันเสือกสร้างความสุขให้แก่เรา เสือกสร้างความสะดวกให้แก่เรายังงั้นรึ จะคิดแบบไหน นี่คิดอย่างคนพูด คนพูดน่ะมันเต็มคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เต็มหรือไม่เต็มก็ไม่รู้ ถ้าคิดแบบคนพูดละแหม ขอบใจจริงๆ ดีไม่ดียกมือไหว้หลายตลบ นับไม่ถ้วนเพราะเรามันจะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้วน่ะ เขามาสงเคราะห์เราแบบนั้น

ทีนี้ ถ้าคนทุกคนมีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกันแบบนี้ทั้งโลกอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินทำเป็นตัวอย่าง เอาอีกแล้ว พูดไปพูดมา มาเลี้ยวเข้าพระเจ้าแผ่นดินอีก จะหาว่าไปประจบพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้หรอก พระเจ้าแผ่นดินไม่เคยใส่บาตรให้สักที ยังไม่เคยเจอะพระพักตร์มองหน้าพระองค์ใกล้ๆ เลย เว้นไว้แต่ตอนเป็นเด็กตอนที่พระองค์เป็นเด็ก ตอนนั้นอยู่ในกรุงเทพฯ ท่านเคยเสด็จไปที่วัด แล้วตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ทรงเป็นพระอนุชา ตอนนั้นน่ะเห็นหน่อยหนึ่งใกล้ๆ ห่างกันสัก ๒ วา บางทีก็ไม่ถึงแต่ไม่ได้พูดกัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยเห็นใกล้อีก แต่ทำไมพูดไปพูดมาแล้วก็ย่องเข้าไปหาพระเจ้าแผ่นดินเสียเรื่อย ไอ้ที่ย่องเข้าไปตามนี้น่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินทำตามระเบียบที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ แนะนำไว้ในมงคล บังเอิญพระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรตรงกับความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ ความดี การให้ทาน จัดเป็นทศพิธราชธรรมอันหนึ่ง คือธรรมที่พระราชาจะต้องปฏิบัติ ทีนี้ เมื่อองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระกรุณาโปรดคนเฒ่า คนแก่ คนยากคนจน คนเด็ก คนเล็ก ตลอดกระทั่งสมเด็จพระราชชนนี และพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกยาเธอทั้งหลายก็ปฏิบัติตนคล้ายพระองค์ ทีนี้การที่พระองค์เที่ยวย่องออกไปตามป่า ตามเขาที่มีคอมมูนิสต์คอมมูหน่อยอยู่ ที่มีผู้ก่อการร้ายก่อการดีทั้งหลาย พระองค์ไปที่ไหนพวกนั้นไม่ยักยิงให้ตาย เพราะอะไร เพราะว่าพระองค์มีน้ำใจประกอบไปด้วยเมตตาตั้งใจให้ทาน เวลาให้-คนที่มารับนะ-ใครเขาจะมาประกาศเป็นคอมมูนิสต์คอมมูหน่อยอยู่ก็ตาม เป็นผู้ก่อการดีผู้ก่อการร้ายก็ตาม ก็ไม่ได้คิด คิดอย่างเดียวสงเคราะห์คนที่ยังมีความทุกข์ ขาดสิ่งนั้น ขาดสิ่งนี้ หาเอาไปให้ตามที่พึงให้ได้ แล้วก็มีบรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยกันมากท่านโดยเสด็จพระราชกุศลน้อมถวายจตุปัจจัย ถวายสตางค์แด่พระองค์ ของบ้าง พระองค์ก็ทรงนำไปแจก การทำแบบนี้เป็นการผูกมิตร นี่ที่คนพูดคิดนา ว่าที่ประเทศไทยมันยังไม่พังโครมครามลงไป ก็เพราะอาศัยปัจจัยทานของพระมหากษัตริย์ และบรรดาท่านที่มีปัญญามีความดีทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกับพระมหากษัตริย์ มอบสมบัติของท่านที่มีอยู่ให้แด่พระองค์ พระองค์ก็เป็นตัวแทนไปแจกแก่คนภายนอก ที่เขาเกลียดคนในเมือง ว่านั่งเป็นสุข นอนเป็นสุข มีรถยนต์ขี่ มีเรือบินขี่ มีตึกอยู่ มีหนังดูมีไน้ท์คลับเข้าอะไรต่ออะไร แต่พวกเขาขาดทุกอย่าง นี่พระองค์ทรงทำแบบนี้เป็นการยันเรียกว่ารักษาเสาของประเทศเข้าไว้ ไม่ให้เสามันผุ ไม่ให้ชาติมันล้ม นี่ เห็นไหม จัดว่าเป็นความดีที่มองเห็นได้ง่าย ทีนี้ในเมื่อพระองค์ทรงทำตนเป็นตัวอย่างแบบนี้ เราทุกคนทำกันมั่งเป็นยังไง เอากันทุกคนในโลกนี้ ในประเทศไทย ประเทศเจ็กเขาไม่เอาด้วยก็ตามใจ นี่เราเป็นคนไทยอยู่ในเมืองไทย ใครทุกคนเป็นคนไทยทั้งหมด จะเป็นมอญ เป็นลาว เป็นแขก เป็นเจ็ก เป็นฝรั่งมังค่าอะไรก็ตาม ถือว่าอยู่ในประเทศเดียวกันก็เป็นพวกเดียวกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน หิวหนาวร้อนเหมือนกัน ต่างคนต่างคิดหวังสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เราเห็นใครมีความทุกข์ ทุกข์ยากมากกว่าเรา เราพอจะแบ่งปันให้ได้เราก็ให้ ถ้าต่างคนต่างทำอย่างนี้นะ ท่านทั้งหลายลองคิดดู ว่ามันจะมีศัตรูตรงไหนจะมีใครเป็นศัตรูใคร เราขาดอย่างนี้เขาให้ เขาขาดอย่างโน้นเรามีเราให้ ต่างคนต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันแบบนี้ ประเทศเราหรือว่าทั้งโลกกระทำเหมือนกันทั้งหมด มันจะเป็นโลกที่มีความสุขหรือมีความทุกข์ นั่งนึกเอาเองก็แล้วกัน เพราะกิริยาที่ให้เป็นกิริยาที่สร้างมิตรไม่ใช่สร้างศัตรู มันเป็นการทำลายศัตรูแบบสันติวิธี นี่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงเห็นประโยชน์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีจึงได้ตรัสกับเทวดาว่า หากว่าจะปรารถนามงคลละก็ทำแบบนี้ซี มันจึงจะได้มงคล และจัดว่าเป็นอุดมมงคลด้วย คือมีความสุขอย่างที่สุดสำหรับมงคลข้อที่ ๑๕

เป็นอันว่าท่าจะยาวไปหน่อย ขอยับยั้งไว้เพียงแค่นี้ ความจริงเรื่องทานนี้มีอีกเยอะ แต่เอาเถอะแค่นี้ก็พอ พูดมากรำคาญ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กรกฎาคม 2558 18:58:51 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2558 19:11:07 »

.
http://g02.a.alicdn.com/kf/HTB1hZeQIXXXXXaGXVXXq6xXFXXX8/-font-b-Nepal-b-font-font-b-Buddhism-b-font-Pure-Silver-24K-Gold-Shakyamuni.jpg
มงคล 38 ประการ


ธมฺมจริยา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๖ "การประพฤติธรรมจัดเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลที่ ๑๖ มีพระบาลีว่า ธมฺมจริยา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า การประพฤติธรรมจัดเป็นอุดมมงคล นี่ตามหนังสือ นี่พ่อเทวดาทับศัพท์ส่ง แปลว่าธรรมจริยาแน่ะ แหมจะแปลหนังสือให้ชาวบ้านเขาอ่าน จะแปลให้มันรู้เรื่องสักหน่อยก็ไม่ได้ ยังงี้ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ได้เรียนมานี่นะ เขาจะเข้าใจได้ยังไง ทำอะไรก็ทำให้ครบๆ เสียหน่อยซีพ่อคุณ ใครก็ไม่รู้แปล เขาไม่ได้เขียนชื่อมา ธรรมจริยา จริยาแปลว่าความประพฤติ ธรรมะคือความดี เขาอยากไม่แปลมาก็แปลมันส่งไป ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ จริยาแปลว่าความประพฤติ ธรรมะ แปลว่าความดี คำว่า ธรรม แปลว่าทรงไว้ซึ่งความดี นี่การประพฤติธรรม พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นอุดมมงคล นี่ไม่เห็นยากเลย แต่ว่าความดีนี่ต้องแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทนะ ดีของคนชั่วอย่างหนึ่ง ดีของคนดีอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าประพฤติความดีน่ะ ต้องเป็นของคนดีน่ะ ไม่ใช่ประพฤติความดีของคนชั่ว ระวังนะต้องเลือกดูสักหน่อย ไอ้ความดีของคนชั่วน่ะมันเป็นยังงี้ เพราะบรรดาอันธพาลหรือโจรผู้ร้ายทั้งหลายนี่น่ะ ใครไปปล้นเขามาได้ใครไปฆ่าเขามาได้ เขาจะยกย่องไอ้หมอนี่มันเก่งมันแน่จริงๆ ไอ้บ้านนี้ข้าตั้งใจจะปล้นมานานแล้ว จะเข้าปล้น ปล้นไม่ได้สักที มันมีการระวังรักษาด้วยดี หรือว่าไอ้เจ้าคนนี้นี่ข้าตั้งใจจะฆ่ามานานแล้วมันปลอดทุกทีนี่ ไอ้เจ้านี่มันเก่งมาก นี่ความดีประเภทของคนชั่วแบบนี้ไม่เอา พระพุทธเจ้าไม่ทรงแนะนำ ไม่จัดว่าเป็นมงคล จัดเป็นอัปมงคล การประพฤติธรรม คือความดี ต้องเป็นความดีที่ชาวบ้านชาวเมืองคนดีเขาชอบกัน

แล้วคนดีเขาชอบกัน เขาชอบแบบไหนล่ะ มันไม่เห็นยากเลย อย่าพูดกันมากเลยเรื่องธรรมนี่ มันเยอะแยะ เอาแบบธรรมดาๆ ซี ชาวบ้านนี่เขาชอบให้คนรักเขาใช่ไหมตัวท่านผู้อ่านอยู่นี่ก็เหมือนกันแหละ ชอบให้ชาวบ้านเขาเกลียดหรือชอบให้ชาวบ้านเขารักว่ากันแบบตรงไปตรงมานะ จะมาค้านแบบพระเทศน์ แบบในสภานี่ไม่เอา แบบใช้ลิ้นตลบแตลงนี้ไม่เอา ชาวบ้านต้องการ แม้คนและสัตว์ทั้งหมดต้องการให้คนอื่นรักเรา ตานี้เราก็เหมือนกัน เมื่อต้องการให้คนอื่นเขารัก เราก็รู้เหมือนกันว่าคนอื่นต้องการให้เรารักเขา อันนี้เราก็รักเขาเสียด้วย ต่างคนต่างก็รักกัน เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าใครเป็นคนประพฤติดี ท่านว่าคนทุกคนในโลกนี่ต่างคนต่างประพฤติความดี นี่ก็เอากันแบบย่อๆ ประพฤติความดีก็คือใจนะ ใจเข้าถึงความดี เมื่อใจมันเข้าถึงความดีเสียอย่างเดียวกายวาจามันก็ถึงหมด ไอ้กายกับวาจาน่ะมันเป็นทาสของใจ มันเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใจ ใจสั่งแบบไหนปากพูดแบบนั้น ใจสั่งแบบไหนกายทำแบบนั้น ตานี้ก็เอากันตรงใจ ใจของเราอยากให้คนและสัตว์ทั้งโลกรักเรา เราก็มีความรู้สึกยังงั้น คนและสัตว์ทั้งโลกเขาก็ต้องการให้เรารักเหมือนกัน ทีนี้เราต่างคนก็ต่างรักกันเสีย เราไม่เกลียดกันเราไม่เป็นศัตรูกัน เราเป็นเพื่อนกัน อย่างนี้มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ โลกนี้จะเร่าร้อนหรือเยือกเย็น

ตานี้ อีกข้อหนึ่ง คนทุกคนและสัตว์ทุกประเภท ถ้ามีอะไรขาดแคลน ต้องการการสงเคราะห์จากบุคคลอื่น แม้แต่เราก็มีความรู้สึกแบบนั้น ฉะนั้น โอกาสที่มีสำหรับการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันได้ เราก็สงเคราะห์ตามกำลังที่จะพึงให้ อย่างนี้โลกนี้จะเป็นสุขหรือโลกนี้จะเป็นทุกข์ เราจะเป็นสุขหรือเราจะเป็นทุกข์ในเมื่อเราอยู่กับสังคมแบบนี้ ว่ากันเต็มโลกเลยนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพูดให้ชาวโลกฟัง พูดกับเทวดาว่าชาวโลกเขาทำยังงี้จะเป็นอุดมมงคล

ตานี้ มีอยู่จุดหนึ่ง ถ้าใครเขาทำความดี เราไม่กีดกันความดี สนับสนุนความดีเขาด้วยการจริงใจ ยกย่องสรรเสริญตามความเป็นจริง คนที่ทำความดีก็มีกำลังใจ นี่ทุกคนต่างทำแบบนี้โลกนี้จะเจริญหรือโลกนี้จะเสื่อม จะรุ่งเรืองหรือจะสลายตัว ที่เขาบอกว่าพระศาสนาน่ะเป็นยาเสพติด หรือว่าเป็นกาฝากของโลก ทำลายโลกให้ย่อยยับ ลองคิดดูว่าตามที่พระพุทธเจ้าพูดมาแบบนี้น่ะ โลกมันจะย่อยยับหรือว่าโลกมันจะเจริญ โลกจะเร่าร้อนหรือว่าโลกจะเยือกเย็น ตานี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเกินวิสัยที่จะช่วยกันได้ เราก็ไม่ซ้ำเติม วางเฉย ตั้งท่าไว้ก่อน ถ้าโอกาสมีเมื่อไรสงเคราะห์โอบอุ้มทันที จริยาทั้ง ๔ ประการนี้ ท่านเห็นว่าดีหรือไม่ดี ถ้าคนทั้งโลกทั้งหมดประพฤติอย่างนี้ มีอารมณ์ใจแบบนี้แล้วก็ทำตามนี้ ต่างคนต่างทำ สนองซึ่งกันและกัน โลกนี้จะมีความสุข หรือว่าโลกจะมีความทุกข์ โลกจะเข้าถึงความเจริญ หรือว่าโลกจะเข้าถึงความเสื่อม พระพุทธศาสนาเป็นฝ่ายทำลายโลก คือเป็นกาฝากทำลายโลกให้บรรลัย หรือว่าพระพุทธศาสนาจะสร้างโลกให้เจริญ คิดกันดูก็แล้วกัน พูดให้คิด พูดให้ฟัง ไม่ได้บังคับให้เชื่อ เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ตรัสแบบนั้น ว่าฉันพูดไปแล้ว แกอย่าพึ่งเชื่อนะ จงพากันไปใคร่ครวญเสียก่อนลองไปปฏิบัติ ถ้ามันดีก็เอา ถ้าไม่ดีโยนมันทิ้งไปเลย อย่าเชื่อพระสมณโคดม จงอย่านิยม อย่าสรรเสริญว่าพระสมณโคดมเป็นคนดี ถ้าหากว่าใช้ไม่ได้ไม่เกิดประโยชน์ความสุข ทีนี้ถ้าหากว่าทุกคนต่างประพฤติดี เอาอย่างย่อๆ แค่ ๔ ข้อเท่านี้พอเหลือแหล่ สี่ข้อเท่านั้นพอแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนให้มันมากหรอก ลองนั่งคิดดูว่ามันมีความสุขหรือความทุกข์เอาละ สำหรับมงคลข้อนี้ก็หยุดแค่นี้แหละไม่ต้องพูดมาก อะไรที่ไม่ควรพูดมากก็ไม่อยากพูดมาก



ญาตกานญฺจสงฺคโห เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๗ "การสงเคราะห์ญาติให้เป็นสุข จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

พระองค์ตรัสเป็นพระบาลีไว้ว่า ญาตกานญฺจสงฺคโห เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การสงเคราะห์ญาติให้เป็นสุข จัดว่าเป็นอุดมมงคลความจริงตามพระบาลีเขาบอกว่า การสงเคราะห์ญาติเท่านั้นนะ ไม่มีคำว่าเป็นสุข แต่หากว่าเราจะสงเคราะห์ให้เขาเป็นทุกข์ละก็มันจะเป็นมงคลได้ยังไง เลยเติมให้เสียอีกนิดหนึ่ง ว่าการสงเคราะห์ญาติให้เป็นสุขจัดว่าเป็นอุดมมงคล เรามีความสุขด้วย

คำว่าญาติ เราก็ทราบกันอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้คำอธิบายอย่างไหนว่าญาติ เป็นการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เราไม่เบียดเบียนเขา เราเป็นผู้ให้ คำว่าเรานี่คือใคร ก็คือคนทุกคนในโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าเฉพาะใคร คนทุกคนมีญาติทั้งนั้น ใครก็ตามถ้าชื่อว่าเป็นญาติของเรา เราก็เกื้อกูล เราก็สงเคราะห์ตามหน้าที่เท่าที่เราจะพึงทำได้ เพียงเท่านี้ชื่อว่าเราสร้างความสุข สร้างความรักขึ้นในหมู่ญาติ แล้วก็ต่างคนต่างสงเคราะห์กันนะ ไม่ใช่เรานึกว่าคนนั้นเขาเป็นญาติให้เขาสงเคราะห์เรา แต่เราก็ต้องรู้ว่าเราเป็นญาติของเขาเราก็ต้องสงเคราะห์ตามควรแก่หน้าที่ ตามควรแก่ฐานะ ตามควรแก่ความจำเป็นนี่ท่านไม่ได้บอกขยายไปทั้งโลกหรอก ท่านว่าต่างคนต่างสงเคราะห์ญาติ แล้วคนในโลกนี่ถ้าไม่เป็นญาติกันก็หายากเต็มทีละ ท่านกล่าวว่า วิสาสา ปรมาญาติ การคุ้นเคยกันอย่างสนิทสนมชื่อว่าเป็นญาติ เมื่ออาศัยการคุ้นเคยกันจัดว่าเป็นญาติ แล้วเราก็สงเคราะห์กันเป็นอันว่าความเชื่อมโยงกันก็ชนหมดทั้งโลก นี่การสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็สงเคราะห์ ต่างคนต่างไม่คิดและทำการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ท่านคิดว่าเราจะเป็นสุขหรือโลกจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าทุกคนทำก็ต้องขึ้นชื่อว่าโลก เราเป็นผู้อยู่ในโลก เราจะมีความสุขหรือความทุกข์ นี่เราหาคนเบียดเบียนกันไม่ได้นะ มีแต่คนสงเคราะห์กันนี่คำแนะนำของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพระพุทธศาสนา คำว่าพุทธศาสนา คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ศาสนาแปลว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี่จะเป็นการบั่นรอนทำลายความเจริญของโลก บั่นรอนทำลายความสุขของโลก หรือว่าส่งเสริมความเจริญ ส่งเสริมความสุขของโลก มงคลนี้พูดแค่นี้แหละ อธิบายมากเดี๋ยวเล่มมันโต อธิบายไปก็ฟุ้งเฟ้อเปล่า ๆ นั่งคิดกันเอาก็แล้วกันว่ามันดีหรือไม่ดี ลองดูก็ได้ นี่ต้องลองนะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านพูดอะไร แล้วต้องลองประพฤติ ลองปฏิบัติ อย่าเพิ่งเชื่อท่าน เป็นอันว่ามงคลข้อที่ว่าสงเคราะห์ญาติ คือมงคลข้อที่ ๑๗ ขอผ่านไป



อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๘ "การงานที่ปราศจากโทษ"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ พระบาลีท่านว่ายังงี้ ใครเขาแปลไว้ว่ายังไง อ๋อ การงานที่ปราศจากโทษ ปัดโธ่ เอามันเสียตรงๆ ไม่ได้หรือพี่ทิด แปลละมักจะอมไอ้ความจริงไว้เสมอ ให้ชาวบ้านเขาเข้าใจความจริงบ้างซี บอกว่าเราทำงานที่ไม่มีโทษ จัดว่าเป็นอุดมมงคล นี่พ่อดันแปลว่าการงานที่ปราศจากโทษ พูดให้มันเต็มๆ คำเสียหน่อยให้มันเต็มประโยค อย่าไปอวดความเป็นนักปราชญ์กันอยู่เลย ไอ้พูดแบบนี้ เขียนให้ชาวบ้านเขาอ่านแบบนี้แหละ เขาไม่เข้าใจ เลยหาว่าพระศาสนาไม่ได้ความ ความจริงพระพุทธศาสนาดี แต่ไอ้คนเอาศาสนามาพูดน่ะ มันพูดไม่ค่อยจะหมดเรื่อง ไม่ค่อยจะหมดเปลือก นี่แหละไอ้ความระยำที่ทำให้ศาสนาเสื่อมทราม คนเขาไม่นับถือเป็นแบบนี้อ้าวจะไปนั่งบ่นเขาทำไม มาว่าเรื่องของเราดีกว่า

การงานที่ปราศจากโทษ มันก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็เหมือนๆ กับที่พูดมาแล้ว คือทำการงานไม่ให้คั่งค้าง แต่ว่าอย่าทำการงานให้เป็นการเบียดเบียนกับคนอื่นเขา อย่าหัดโกงงาน คืองานมีหน้าที่เท่าใดทำครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าโกงงาน โอ้โกงน่ะ มันมี ถ้าเขาให้ทำหนึ่ง บางทีทำเสียสอง ลงหมายเลขว่า ๑ ไอ้ทำ ๒ นี่ทำอะไร โกงซีโกงทรัพย์สินของเขา เขาจ่ายบาทเดียวไปจ่ายเสีย ๒ บาท อ้างเหตุผลตามความจำเป็นอย่างที่เขาประมูลการก่อสร้าง สมมติเอานา นี่ไม่ได้รู้ว่ามันจะมีหรือไม่มีหรอก สมมติเอาสมมติว่าตึกหลังนี้ราคาล้านบาท ราคาจริงๆ ช่างรับเหมาเขาเอาล้านบาท แล้วบอกว่านี่ไม่ได้แก ถ้าหากว่าล้านบาทฉันไม่ไห้แกสร้างหรอก แกต้องเขียนราคามาล้านสองแสนอีกสองแสนนี่แกจ่ายสดให้ฉัน แล้วฉันจะเอาเงินส่วนรวมจ่ายให้แกไปเมื่อแกทำเสร็จ เป็นล้านสองแสน อย่างนี้เขาเรียกว่างานมีโทษ ใช้ไม่ได้ ทำลายความดี อีกประการหนึ่งกิจการงานที่ท่านสั่ง ทำแค่นี้อย่าทำลดลงไปให้งานมันคั่งค้าง แล้วกิจการงานทุกอย่างอย่าให้มันเข้าไปกระทบกระทั่งคนอื่นเขา อย่าทำลายประโยชน์ของเขา เท่านี้แหละ มงคลข้อนี้ไม่มีอะไรมาก ขืนพูดมากก็รำคาญ เพราะชาวบ้านเขารู้อยู่แล้ว ถ้าหากว่าทุกคนทำงานแบบนี้ ท่านลองคิดทีว่าดีหรือไม่ดี ทำกันแบบตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่เบียดเบียนใคร ที่ดินของเรามีแค่ไร เราใช้แค่นั้น อย่าไปรุกรานเขา อำนาจการงานของเรามีเพียงใดทำเท่านั้นอย่าไปรุกรานงานของบุคคลอื่นเขา แล้วก็อย่าเปลี่ยนแปลงงานของเขาที่มันดีแล้ว งานถูกๆ ให้มันแพงขึ้นมาอย่างเสาเข็ม บางทีช่างเขาเอาเสาเข็มที่ดีกว่า ราคาถูกกว่า แต่เราเป็นผู้คุมงาน เราสร้างเสาเข็มเสียเอง เลวกว่าแต่ว่าแพงกว่า แต่เขาไปซื้อที่อื่นมาทั้งๆ ที่ดีกว่าของเรา เราบอกใช้ไม่ได้ ไม่เอา ต้องเอาของฉัน งานประเภทนี้มีโทษแน่ เพราะเราโกงเขานี่ เราจะขายของเลวให้มันแพง ประโยชน์มันได้กับเรา แต่ถ้าบังเอิญว่าของเราราคามันแพงกว่า มีคุณสมบัติเท่าเขาหรือเลวกว่าเขาก็ตาม ถ้าเขาไปหามาได้ราคาถูกกว่าของเรา แต่ว่าคุณสมบัติเท่าของเราหรือว่าดีกว่า อย่างนี้ โอ เค อนุมัติทันที อย่างนี้เรียกว่างานที่ไม่มีโทษ ปราศจากโทษ ไอ้เรื่องความมีโทษไม่มีโทษ นี่ก็พูดมาตั้งแต่ความเป็นบัณฑิต และความเป็นพาลมาแล้วก็รู้อยู่แล้ว เป็นอันว่าการงานทุกอย่างเราทำด้วยความบริสุทธิ์ ซื่อตรงต่อการงาน ซื่อตรงต่อเวลางาน ซื่อตรงต่อบุคคลผู้ใช้งาน ซื่อตรงต่อบุคคลผู้รับงาน คือผู้ใต้บังคับบัญชา ซื่อตรงต่อครอบครัวของเรา เราทำงานเพื่อตัว ทำงานเพื่อครอบครัว ตรงไปตรงมาหาโทษไม่ได้ ทุกคนทำงานอย่างนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำกับเทวดา ว่าชาวโลกปฏิบัติอย่างนี้แล้ว จะเข้าถึงความเป็นมงคล เพราะมีความสุข ท่านเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าไหม นึกเอา นี่แหละที่เขาว่าพระพุทธศาสนาบั่นรอนความดีของโลก ลองคิดกันดู การเข้าถึงพระศาสนาจริง ๆ แล้วจะรู้ นี่เราพูดกับคนเต็มคนนะ นี่พูดมาหลายตอนแล้ว ไอ้คนล้นคนกับคนขาดคนไม่พูดด้วย แล้วคนที่พูดนี่เต็มคนหรือไม่เต็มก็ไม่รู้ ลืมดูตัวเอง เอ้าเรื่องนี้ผ่านไป ไม่เห็นจะยากอะไร เรื่องไหนไม่ยากก็รีบๆ ก้าวไป หนังสือมันจะโต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กรกฎาคม 2558 19:17:01 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2558 06:08:47 »

.
http://www.alittlebuddha.com/India%202009/ABC05/Gate%20West%2007.JPG
มงคล 38 ประการ


อารตี วิรตีปาปา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๑๙ "การงดเว้นจากบาปเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

พระบาลีท่านว่าอารตี วิรตีปาปา อ๋อ ท่านว่าไว้เท่านั้น อารตี วิรตีปาปา งดเว้นจากบาป อ้าวลืมลงท้ายไปเสียแล้ว ว่าใหม่ ว่า อารตี วิรตีปาปา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ นี่เดี๋ยวลืมเดี๋ยวก็ไม่ลืม นี่ไอ้คนพูดมันไม่ค่อยจะเต็มเหมือนกัน ถ้ามันเต็มแล้วมันก็ไม่ลืม แต่ว่าไหนๆ โดยที่ตัวเองไม่ค่อยจะเต็ม ก็เลยพูดให้คนที่เขาเต็มฟังดีกว่า คนที่ไม่เต็มกับคนล้นคนไปฟังเข้ามันจะเละกันใหญ่ ถ้าคนที่เต็มเขาฟัง เขาจะได้วินิจฉัยตามความเป็นจริง

บาลีบทนี้ ท่านบอกว่างดเว้นจากบาปเป็นอุดมมงคล พอใช้คำว่าบาปเข้าตัวเดียวใจหายวาบเลย ไม่รู้ว่าบาปมันอยู่ตรงไหน นี่ซี พี่ทิดที่แกแปลหนังสือมาให้แกแปลแบบนี้จะวงเล็บให้สักหน่อยไม่ได้ ว่าคำว่าบาปก็คือความชั่ว เท่านี้ชาวบ้านเขาก็จะรู้ ว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามา เราไปด่าพ่อแม่เข้า มันก็เป็นความชั่ว ด่าพี่ด่าน้องก็เป็นความชั่ว ด่าหมูด่าหมาก็เป็นความชั่ว เพราะคำด่ามันเป็นคำหยาบใช่ไหม

ขึ้นชื่อว่าความชั่วมีอะไร ไล่ไปเลย
๑. อย่าฆ่าเขา อย่าทำร้ายเขา นี่เป็นความชั่ว
๒. อย่ายื้อแย่งลักขโมยคดโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่น
๓. อย่าทำลายจิตใจด้านความรักของบุคคลอื่น
๔. อย่าพูดปดมดเท็จ
๕. อย่าดื่มน้ำเมา
เพราะทำใจของตนให้เป็นใจบ้าเพราะอะไร เพราะเมามันก็บ้า พอเมาเข้าไปแล้วชักไม่รู้จักพ่อไม่รู้จักแม่ ดีไม่ดีลูกเขยกับพ่อตาลงนิ้วเป็นเพื่อนกันก็ได้ หรือบางทีถ้าดีไปกว่านั้น ไอ้พ่อตาสมัครเป็นน้องชายลูกเขยเสียก็ยังได้ บางคราวลูกเตะพ่อฆ่าแม่เสียก็ยังได้ นี่น้ำเมามันสำคัญอย่างนี้ นี่ท่านบอกว่าจงงดเว้นจากความชั่ว อาการทั้ง ๕ อย่างนี้ ท่านเรียกว่าปัญจเวร คือความชั่ว ถ้าว่ากันเป็นภาษาไทยชัดๆ ความชั่ว ๕ อย่างนี่เขาว่าอย่างนี้ โหดร้าย แน่ะ มีจิตโหดร้าย มือไว ใจเร็ว พูดปด หมดสติ นี่พอเข้าใจว่างดเว้นจากบาป ๑.ปาณาติปาตาเวรมณี ข้าพเจ้าของงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จำตายยืดยาดฟังไม่รู้เรื่อง ฟังเป็นภาษาไทยชัดๆ ว่าจิตโหดร้ายชอบข่มเหงเขาทำร้ายเขา มือไว ชอบฉกฉวยลักขโมยสิ่งของๆ เขา ใจเร็ว แย่งรักซี ของที่เขารักของเขา เราก็เอาเข้าบ้าง เห็นไหม คน คนกาเมน่ะ แล้วก็พูดปด พูดหาความจริงไม่ได้ หมดสติ ไอ้หมดสตินี่ หมดแบบไหนมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ จะหมดแบบกินเหล้าเมายามันก็ไม่ดี จะหมดสติเองมันก็ไม่เป็นเรื่อง คนจะดีมันต้องมีสติสัมปชัญญะเป็นอันว่าเราไม่เป็นคนใจโหดร้าย มีเมตตาปรานี มีความรัก มีความเมตตาในบุคคลและสัตว์ทั้งโลกเท่ากับรักตัวของเรา เราไม่มือไว ไม่ลักไม่ขโมย ไม่ทำลายของๆ บุคคลอื่น ไม่ใจเร็วคือไม่ขโมยรักผัวเขา ไม่ขโมยรักเมียเขาลูกเขา บุคคลในปกครองของเขา ถ้ามีหน้าที่จะแต่งงานกับเขาได้ ก็อนุญาตกับคนที่ปกครองเขาเสียก่อนคือพ่อแม่ หรือผู้บังคับบัญชาแล้วพูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นคนมีสติสัมปชัญญะดี นึกไว้ได้ไม่ลืม รู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวมีหน้าที่ยังไง มีฐานะเช่นใด ควรจะทำแบบไหน มีกำลังใจครบถ้วน นี่คนไม่ทำบาป ที่พี่ทิดแกแปลบอกว่าบาป ทีหลังจำไว้ด้วยนะ ไอ้บาปนี่แปลเป็นภาษาไทยเสียด้วยซี แปลว่าความชั่ว เรียกว่าไม่ทำความชั่ว เป็นการทำความดี คือความดีที่เราชอบ เมื่อเราชอบแล้วคนและสัตว์ทั้งโลกทั้งหมดเขาก็ชอบเหมือนกัน เมื่อเราทำสิ่งที่เราชอบแล้วชาวบ้านชาวเมืองเขาชอบด้วย มันจะมีสุขหรือมีทุกข์ คิดกันเอาเอง นี่กระแสพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับเทวดา แนะนำว่าถ้าชาวโลกต้องการมงคล จงงดเว้นจากความชั่วเสียให้หมด ขึ้นชื่อว่าอะไรที่เขาเรียกว่าความชั่ว ต้องเป็นไปตามกฎธรรมดานะจะไปเอาชั่วของโจรไม่ได้ พวกโจรเขาบอกว่านี่แกไปลักควายมาซี ถ้าพวกไปลักควายเขาไม่ได้ บอกนี่แกเลวจริงๆ ของเท่านี้เอาไม่ได้ อีแบบนี้ไม่ใช้ ใช้แต่ที่ชาวโลกทั้งหมดตามปกติมีความนิยม แม้แต่พวกโจรจริงๆ ก็เหมือนกัน มันไม่อยากให้ใครไปฆ่ามันของมันที่มันลักมันขโมย มันยื้อแย่งเขามา มันก็ไม่ต้องการให้ใครมายื้อแย่งมันไป ไอ้ความจริงตัวเองก็ต้องการ แต่เบียดเบียนชาวบ้าน เรื่องนี้ไม่เอา เอาตรงไปตรงมาอย่างที่ว่ากันมาแล้ว ลองนั่งนึกดูทีว่าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว บั่นรอนความเจริญของโลก บั่นรอนความสุขของชาวโลก หรือว่าส่งเสริมความสุขชาวโลก สร้างความเจริญให้แก่ชาวโลก นั่งนึกกันดูซิถ้าหากไม่มีคนใจร้าย ไม่ทำลายเขา ไม่ฆ่าเขา ไม่ทุบตีทำร้ายเขานี่พวกตำรวจนี่เลิกใช้แล้วงบประมาณไม่ต้องจ่าย งบประมาณของตำรวจปีหนึ่งกี่ล้านก็ไม่รู้หรือกี่พันล้านก็ไม่รู้ เลิก เอาเงินจำนวนนั้นมาซื้อก๋วยเตี๋ยวแจกชาวบ้าน กินอิ่มสบายๆ และถ้าโลกทั้งโลกไม่มีใครคิดร้ายซึ่งกันและกัน การรบราฆ่าฟันก็ไม่มี งบประมาณในการใช้ทหารไม่ต้อง เลิก เอาเงินจำนวนนั้นมาแบ่งกันใช้สบายๆ ไม่ต้องเสียภาษีให้มันลำบากรัฐมนตรีการคลังนอนสบาย นอนหลับ ไม่ถูกผู้แทนราษฎร หรือชาวบ้านเขาด่าว่า หางบประมาณมาป้อนไม่ไหว แล้วถ้าหากว่าไม่มีการลักไม่มีการขโมยซึ่งกันและกันด้วย ไม่มีการทำร้ายซึ่งกันและกัน นี่เรียกว่าคดีทางแพ่งก็ไม่มี คดีอาญาก็ไม่ปรากฏลักขโมยคดโกงกันก็ไม่มี เลิก พวกศาล ตุลาการ ผู้ว่าการ พวกนายอำเภออะไรต่ออะไร เลิกหมด คนพูดปดก็ไม่มี มีแต่คนดี เป็นอันว่ารัฐมนตรี รัฐมนโทอะไรก็ไม่ต้องใช้กันแล้ว ไม่ต้องตั้งงบประมาณจ้างใครมาปกครอง คนทุกคนปกครองกันเองแบบสบายๆ เพราะคนทุกคนเป็นคนดี ไอ้ที่ต้องเสียงบประมาณจ้างเจ้าหน้าที่เขามาปกครองเรา มาบังคับบัญชาเราก็เพราะพวกเรามันไม่ดี นี่ ต่างคนต่างทำความดีแบบนี้ทั้งหมดละก็ ลองหลับตานึกดูซิ โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุขหรือจะเต็มไปด้วยความทุกข์ นั่งนึกกันเอาเอง จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าน่ะเป็นกาฝากของสังคม หรือว่าเป็นปุ๋ยบำรุงสังคม นึกกันเอาก็แล้วกัน อย่าให้ยกย่องสรรเสริญเองเลย ว่าต่อไป



มชฺชปานา จ สญฺญโม เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๐ "การระวังจากการดื่มน้ำเมา"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

พระบาลีท่านว่า มชฺชปานา จ สญฺญโม เอตมฺมํคลมุตฺตมํ (ต่อๆ ไปสักหน่อยเดี๋ยวเขาจะหาว่าบกพร่อง) อันนี้ท่านแปลว่าบังคับตนจากการดื่มน้ำเมาเอาเข้านั่น ตนมันอยู่ตรงไหนล่ะ เอางี้ดีกว่าพี่ทิด บังคับปากจากการดื่มน้ำเมา ดีไหม สัญญโมเขาแปลว่าสำรวม ระวัง ว่าจงระวังไว้ว่าอย่าไปดื่มน้ำเมานะหนู ถ้าเอ็งอยากมีความสุขอย่าไปดื่มน้ำเมาเพราะน้ำเมาสร้างใจให้เป็นใจบ้า นี่ว่าภาษาไทยสบายๆ ไม่ต้องว่าภาษาเจ๊ก ภาษาจีน ดื่มน้ำเมากลายเป็นคนประมาท ไอ้คำว่าประมาทมันยังเป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทยหรอก ภาษาไทยก็แปลว่าบ้าเลย เพราะอะไรล่ะ คนเมานี่บางทีมันลืมพ่อลืมแม่หมด ไม่รู้จัก ด่าพ่อตีแม่ก็ได้ ทางดีๆ เดินมันเสียเต็มทางไปหมด บางทีจะไปไหนเวลาไม่เมาแหมท่าทางตุ๋มติ๋มเป็นคนขี้อาย พอเมาเข้าไปแล้วเดินแก้ผ้าก็ยังได้ ร้องรำทำเพลงไม่เลือกที่ ไม่ว่าบุรุษไม่ว่าสตรีหมดความอาย ดีไม่ดีนอนที่ไหนก็นอนได้ ทำที่ไหนก็ทำได้อย่างที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน ประเภทที่หนังสือพิมพ์เขาลงเมื่อ ๒-๓ วัน วันนี้มันวันที่เท่าไร วันที่ ๒๕ ละมังหรือ ๒๖ ก็ไม่รู้ กรกฎาคม อ่านหนังสือพิมพ์มา ๒-๓ วันแล้วเขาบอกว่ามีผู้ชายจ้ำบ๊ะเมื่อก่อนนี้มีแต่ผู้หญิงจ้ำบ๊ะ ไอ้จ้ำบ๊ะนี่มันแปลว่ายังไงก็ไม่รู้ มันจ้ำกันยังไงถึงบ๊ะๆ ๆ ก็ไม่รู้แต่ว่าเขาถ่ายรูปมาเห็นแก้ผ้าเต้นน่ะ ไอ้ศัพท์ว่าจ้ำบ๊ะนี่เป็นภาษาอะไรก็ยังฟังไม่ออก บางทีจะเป็นภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ แต่ว่าแก้ผ้าเต้น ดีเหมือนกัน ความจริงแกไม่น่าจะแก้ผ้าเต้นอย่างเดียวนะ ควรจะแก้ผ้าเป็นปกติเลยมันจะได้ไม่เปลืองเงินเปลืองทองดี ไม่เปลืองของใช้ จะเป็นมงคลใหญ่ นี่แก้ผ้าเต้นแล้วก็ได้สตางค์ นี่ตอนที่แกจะแก้ผ้าเต้นนี่แกต้องกินเหล้าเมา ดื่มน้ำเมาเสียก่อน ทีนี้การดื่มน้ำเมานี่มันทำให้ใจของคนนี่มันผิดวิปริตไปจากใจดีเป็นใจด้าน คือหาความอายไม่ได้ แล้วก็สามารถจะสร้างความชั่วได้ทุกอย่าง ถ้าผู้บังคับบัญชาขี้เหล้าสั่งงานผู้ใต้บังคับบัญชา คนงานทุกคนในความบังคับบัญชานั้นเมาหมดเพราะมันสั่งเมาๆ นี่ หรือว่าเรานั่งไปในรถนั่งไปในเรือ คนบังคับรถบังคับเรือเมา เราก็เลยพลอยเมาไปด้วย เพราะอะไร เพราะต้องใจหายใจคว่ำ เกรงว่ารถเรือจะไปชนอะไร หรือจะล่มเข้านี่มันไม่เป็นอะไร อย่างนี้พิจารณาได้ง่าย ขึ้นชื่อว่าน้ำเมาเป็นโทษ เพราะทำใจของคนไม่ให้เป็นคน คือว่าทำใจของคนให้เลยความเป็นคน หรือเลวกว่าความเป็นคน ถ้าจะว่าเป็นคนก็ต้องเรียกว่าคนไม่เต็มคนหรือว่าคนล้นคน เมื่ออาการเป็นอย่างนี้ มันดีหรือไม่ดีล่ะ นี่ไม่อธิบาย เวลานี้ล่อเหล้ากันมาก กินกันเยอะ มีเหล้าเป็นสรณะ มีน้ำเมาเป็นสรณะจะให้พรกันก็เอาน้ำเมาไปให้พรกัน ทีนี้ ไอ้พรที่ให้มันให้ด้วยน้ำเมา ให้ด้วยความเมา คนรับพรก็เลยเป็นคนเมาไปหมด คนให้ก็เมายกแก้วเหล้าขึ้นชูดื่มแล้วก็ไชโยให้พร แล้วไอ้น้ำเมามันเป็นของไม่ดี มันทำลายสติสัมปชัญญะ พรที่จะให้ไปมันจะเป็นพรเป็นเพิรอะไร เขาไม่เรียกพรหรอก พรเขาแปลว่าความสุข ความประเสริฐ พรนี่แปลว่าประเสริฐก็ไอ้น้ำเมามันจัญไรนี่ ก็เลยแปลว่าให้จัญไรกันเข้าไป

ตานี้ ถ้าทุกคนต่างไม่ดื่มน้ำเมา สติสัมปชัญญะมันก็ดี มันก็ทรงความเป็นสภาพมันก็สามารถจะทรงความดีไว้ได้ คุกตะรางจะขังใครล่ะ ไม่มีที่ขังมีแต่คนดี อย่างนี้ท่านเห็นว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาเทศน์ผิดหรือเทศน์ถูก การแนะนำแบบนี้ท่านเห็นว่าประเทศชาติจะเร่าร้อน หรือประเทศชาติจะมีความสุข ตัวท่านเองและคนทุกคนในโลกต่างคนต่างประพฤติแบบนี้ ใครจะมีความทุกข์หรือความสุขพิจารณาเอาเอง ถ้าหากว่าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสั่งสอนจริงๆ จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นกาฝากของสังคม หรือว่าพระพุทธศาสนาเป็นปุ๋ยของสังคม พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าเว้นเสียได้จะมีความสุข นึกกันเอานะ



อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๑ "ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลข้อ ๒๑ มีความตามพระบาลีว่า อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย จัดว่าเป็นอุดมมงคลท่านว่ายังงั้น

คำว่าไม่ประมาท คือไม่เผลอนั่นเอง คำว่าธรรมทั้งหลายก็แปลว่าความดีเรียกว่าเราไม่เผลอในการที่เราจะประพฤติความดีเข้าไว้ ความดีมีอะไรบ้าง อย่าไปบรรยายกันให้มากเลย พูดกันมาเยอะแล้ว หันไปอ่านตอนต้นๆ ก็จะพบความดีเอง ถ้าคนทุกคนไม่เผลอในการทำความดี ไม่ปล่อยความดีให้พ้นใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่าเป็นอุดมมงคล คือมีความสุขอย่างประเสริฐ ข้อนี้ไปหาข้อเท็จจริงกันเอาเองเถอะ ประเดี๋ยวจะมาหาว่าโฆษณาพระพุทธเจ้ากัน แล้วคนพูดก็กำลังบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา แต่ที่พูดมาเป็นศัพท์ของชาวบ้านก็เพราะว่าคนพูดเป็นลูกของชาวบ้าน ชอบใช้ภาษาชาวบ้านๆ ธรรมดา เพราะเวลาพูดมาแล้วคุณเสริม หรือท่านพลอากาศตรีหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. นี่กว่าหนังสือจะพิมพ์กันเสร็จ จะเป็นพลโทหรือยังก็ไม่รู้ เอาถ้าเป็นพลโทก็เป็นไป ท่านให้ก็เอา ท่านไม่ให้ก็ไม่ต้องเดือดร้อนทำใจ สบายๆ

เป็นอันว่ามงคลข้อนี้ก็ไม่ขออธิบายมาก ให้ไปนึกกันเอาเอง ไปคิดกันเอาเอง ว่าถ้าคนทุกคนไม่เผลอในการทรงความดี นึกถึงความดีไว้แล้วก็ทำความดีไว้ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่ามีความสุขอย่างประเสริฐ คืออุดมมงคล ไปนั่งใคร่ครวญกันเอาเองก็แล้วกันเพราะเวลานี้เขาโฆษณากันบอกว่าปัญญาชนมีเยอะ แต่ไม่แน่นักหรอก ดีไม่ดีพ่อเอาแข้งเข้าไปชนกันเสียนี่ พ่อเอาตัวเข้าไปชนกันเสีย พ่อไม่ใช้ปัญญาเข้าไปชนกันหรอก แปลก แต่เขาบอกว่า เขาเป็นปัญญาชน หรือเขามีปัญญาไว้สำหรับตั้งใจสั่งให้กายมันไปชนกันก็ไม่รู้นี่เป็นเรื่องของเขา พระไม่เกี่ยว



คารโว จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๒ "การเคารพในบุคคลที่เคารพจัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

คารโว จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ท่านกล่าวว่าการเคารพในบุคคลที่เคารพจัดว่าเป็นอุดมมงคล แต่บาลีจริงๆ ท่านเขียนว่าเคารพเฉยๆ อันนี้ ก็เห็นจะไม่ยากหรอก ถ้าเรามีผู้บังคับบัญชา เราเจอะหน้าผู้บังคับบัญชาแทนที่จะเคารพด่าส่งเดชเลย ประเดี๋ยวก็ได้ลดเงินเดือน ดีไม่ดีก็ได้ลดยศจากนายร้อยกลับมาเป็นพลเรือนเต็มขั้น แล้วก่อนที่จะมาเป็นพลเรือนก็เข้าตะรางไปก่อนใช่ไหม เจอะพ่อเจอะแม่ เตะส่ง ด่าส่ง เดี๋ยวก็ได้ผล เจอะพระเจ้าแผ่นดินมา เอ้า เอ๊ะ พระเจ้าแผ่นดินนี่คนแค่เรานี่หว่า มีหู มีตา มีขา มีแขนเหมือนเรา เอาด่าส่งเดช อายุเท่าๆ กัน ประเดี๋ยวก็เข้าตะรงตะรางไป ดีไม่ดีก็ถูกยิงเป้า นี่แสดงถึงความไม่เคารพให้ปรากฏ

ตานี้ ถ้าเรารู้จักการเคารพ มือ ๑๐ นิ้ว ยกมือไหว้แสดงน้ำใจนอบน้อมแก่บุคคลทั่วๆ ไป เป็นเด็กก็ตามเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม ช่างมันเราเคารพให้เกียรติแก่คนทุกคน แล้วถามจริงๆ เถอะ มันจะมีใครเขาเกลียดไหม การเคารพเขาน่ะ การเคารพทำให้เราอดข้าวอดปลา หาที่นอนพักผ่อนไม่ได้รึ มันไม่ใช่ยังงั้นหรอก มันจะกลายเป็นความสุขขึ้นมาน่ะซี คนที่เราเคารพเขา เขาก็ดีใจว่า เอ้อ คนนี้เขาดีนะ ดีไม่ดีเรามียศฐาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขา แต่เห็นว่าเขามีอายุอาวุโสหน่อยก็ให้เกียรติเคารพเขา คนที่ถูกเคารพแหมจะปลื้มใจไปมาก ดีไม่ดียอมตายแทน

มงคลข้อนี้ขอพูดไม่มาก ให้ไปนึกกันเอาเองก็แล้วกัน ว่าการรู้จักเคารพซึ่งกันและกันน่ะ มีพ่อมีแม่ก็เคารพพ่อเคารพแม่ มีพี่ป้าน้าอาก็เคารพพี่ป้าน้าอาตาลุง มีผู้บังคับบัญชาเราก็เคารพผู้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่เขาเด็กกว่า เขาให้คำแนะนำให้การสงเคราะห์เรา ถ้าเราพลั้งเผลอหรือเราขาดอะไรขึ้นมา เราก็ทำความเคารพเขาเพราะว่าเขามีคุณกับเรา อย่างนี้มันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ โลกนี้ทั้งหมด ถ้าทุกคนรู้จักเคารพซึ่งกันและกัน โลกนี้จะมีความสุขหรือความทุกข์ จะเป็นโลกที่ทรงไว้ซึ่งความเจริญหรือโลกที่ทรงไว้ซึ่งความเสื่อม นี่พิจารณาดูนะ ไม่ได้โฆษณาพระพุทธศาสนา แต่ทว่าพระพุทธเจ้าตรัสกับเทวดาไว้อย่างนั้น เมื่อท่านตรัสไว้ ก็เอามาพูดกันให้เข้าใจ แล้วก็ให้ท่านทั้งหลายวินิจฉัยเอาเองด้วยปัญญาชน แต่จงอย่าใช้ปัญญาสั่งกายไปชนกันนะ ตามข่าวที่เขายกทัพตีกัน เดี๋ยวที่โน่นยกทัพตีกับที่นี่ ที่นี่ยกทัพตีกับที่โน่น ไอ้นี่เขาไม่ได้เรียกใช้ปัญญาชนนะ เรียกว่าปัญญาสั่งกายให้เข้าไปชนกัน ไม่เป็นเรื่อง ทีนี้ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลตามกฎของความเป็นจริง

ได้ยินข่าวอีกนิดหนึ่ง ที่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งเขาเรียกกันว่าปัญญาชน เขาบอกว่ามีคัมภีร์ๆ หนึ่งที่เขาถือเป็นสรณะ ว่าพ่อแม่ไม่สำคัญ ครูบาอาจารย์ไม่สำคัญ กษัตริย์ไม่สำคัญ แล้วเขาเห็นว่าใครสำคัญ  บุคคลประเภทนี้ ท่านเห็นว่าเขาดีหรือเขาเลว อันนี้ไม่วินิจฉัยนะ ถ้าคนทุกคนในโลกแสดงตนเป็นอย่างนี้ โลกนี้จะมีความสุขหรือความทุกข์ ตานี้ ตรงกันข้าม เราเห็นว่าคนทุกคนสำคัญ คนทุกคนที่ทรงไว้ซึ่งความดี เรามีหน้าที่ในการคารวะ เราให้คารวะต่อเขา แล้วเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ แล้วถ้าทุกคนต่างทำอย่างนั้น จะมีใครบ้างที่มีความทุกข์ ข้อนี้ ก็ยกประโยชน์ให้แก่บรรดาท่านทั้งหลายผู้อ่านพิจารณาเอา ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมงคลกับเทวดานี้มันถูกหรือมันผิด

บุคคลเรา ถ้าจะมีความผิดใจโกรธกัน หรือเป็นศัตรูกันก็เพราะอาศัยการไม่เคารพ ถ้าหากว่าบุคคลแต่ละบุคคล หมายความว่าทั้งโลกต่างคนต่างมีความเคารพซึ่งกันและกัน คำว่าเคารพแปลว่าการยอมรับนับถือ เด็กทรงตัวในความเป็นเด็ก รู้ตัวว่าเด็ก ผู้ใหญ่ทรงตัวในความเป็นผู้ใหญ่ รู้ตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ เด็กมีความเคารพผู้ใหญ่ในฐานะที่มีวัยวุฑโฒ คือความเจริญด้วยวัย มีวัยสูงกว่า ผู้ใหญ่ก็เคารพสิทธิของเด็กในฐานะที่เป็นลูกเป็นหลาน หรือว่าเป็นน้อง มีความเคารพมีความรักกันอยู่อย่างนี้เราจะหาความทุกข์ได้ที่ไหน เพราะเป็นปัจจัยสร้างความสามัคคีความรักความกลมเกลียวซึ่งกันและกัน นี่ว่ากันในส่วนของบุคคล ตานี้ว่ากันเฉพาะสถานที่และทรัพย์สิน ถ้าเรามีความเคารพในสิทธิของบุคคลอื่น ว่าทรัพย์สินส่วนนี้เป็นทรัพย์สินของเขา เราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง เราก็ไม่เข้าไปแย่ง ไม่เข้าไปคดไปโกง ไม่ทำลายทรัพย์สินเขาให้พินาศไป ด้วยเจตนาร้าย คือระมัดระวังไว้ว่า นี่เป็นทรัพย์สินของเขา เรามีความรักในทรัพย์สินของเราเพียงใด ท่านผู้เป็นเจ้าของก็มีความรักในทรัพย์สินของเขาเพียงนั้นเช่นเดียวกับเรา ถ้าต่างคนต่างมีความเคารพกันอย่างนี้ บรรดาท่านสาธุชนทั้งหลายคงจะใช้ปัญญาพิจารณาได้ว่า ความอื่นใด หมายถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนจากการที่เป็นศัตรูกันมันก็ไม่มี ถ้าเราไม่มีความเป็นศัตรูกันมีแต่ความเป็นมิตร หรือมีแต่จิตรักใคร่ซึ่งกันและกัน ตานี้ การที่องค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่าการเคารพซึ่งกันและกันเป็นมงคล หวังว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนคงจะใช้ปัญญาพิจารณาเห็นแล้ว นี่ว่าถึงการเคารพในสิทธิและการเคารพในบุคคลซึ่งกันและกัน

ตานี้ ความเคารพจะมีความสูงขึ้นไปกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง คือเคารพในความดีซึ่งกันและกัน ตอนนี้องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงแนะนำไว้ พอเห็นว่าบุคคลใดที่เขามีความดี มีความสุข มีฐานะรุ่งเรือง เราก็ย่องๆ ไปดูเขาสักหน่อย พิจารณาไว้สักคน คนนี้ที่เขามีความดีอย่างนี้ ทั้งกายวาจาและจิตของเขาเรียบร้อย น่ารักน่าบูชา นี่เขาทำยังไง และอีกประการหนึ่งความดีส่วนให้คือการทรงอยู่ในความเป็นสุข ที่ครอบครัวนี้เขามีความสุข บุคคลนี้เขามีความสุข นี่เขาทำกันแบบไหน แล้วบ้านนี้เดิมทีเขาก็ไม่มีตระกูลใหญ่โตอะไรเป็นคนมีฐานะพอมีพอใช้ แต่เวลานี้ความเป็นอยู่ของเขารุ่งเรืองเกินกว่าที่เราจะคิด เพราะเขาประกอบกิจการงานด้วยความดี จนฐานะรุ่งเรืองมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างคาดไม่ถึง นี่เขาทำความดีอะไรไว้ เขาทำยังไงมันถึงได้ดีแบบนี้ แล้วเราก็เลยไปดูความดีของเขา การประกอบกิจการงานของเขา ว่าที่เขาทำ เขาทำแบบไหน วางโครงการแบบไหนจึงได้รุ่งเรือง เขาทำกันแบบไหน เขาประพฤติแบบไหน กลุ่มนี้เขาจึงมีความสุข แล้วเขาทำแบบไหนปฏิบัติอย่างไร จึงมีจิตใจดี มีวาจาดี มีกายดี เมื่อเราเห็นความดีของเขาใน ๓ สถานแล้ว เราก็เคารพในความดีของเขา ลอกแบบเอามาใช้ อย่างนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญว่าอยู่ในเกณฑ์ของความไม่ประมาทในความดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เอง ท่านทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์แรก แล้วต่อมาบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นพระอรหันต์ตาม ก็เพราะมีความเคารพในความดีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นี่ตัวอย่างที่เราจะพึงมองเห็น ฉะนั้นถ้าหากว่าบรรดาท่านสาธุชนทั้งหลายอ่านไป พิจารณาไป แล้วปฏิบัติไปตามกระแสพระสัทธรรมที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสกับเทวดาในมงคลข้อที่ ๒๒ นี้ว่า คารโวจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลว่า ความเคารพซึ่งกันและกันเป็นความสุขอย่างสูงสุด ลองเอาของท่านไปคิด ลองเอาของท่านไปปฏิบัติดู ถ้าเห็นว่ากระแสพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระบรมครูใช้ไม่ได้ ก็ถือว่าพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้เหมือนกัน แต่หากว่าทุกท่านทั้งโลกต่างคนต่างปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาข้อนี้แล้วทุกคนก็มีความสุขดี ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็ถือว่ากระแสพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ใช้ได้ เอาไปปฏิบัติ นี่สำหรับมงคลข้อนี้ก็ว่าไว้แต่เพียงย่อๆ เพียงเท่านี้ เพราะไม่มีอะไรมาก
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2558 06:48:22 »

.
http://img-196.uamulet.com/uauctions/UAKBImages/2014/5/28/6353690390784700001.jpg
มงคล 38 ประการ


อารตี วิรตีปาปา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๓ "การไม่หยิ่งผยองเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ตามพระบาลีว่า นิวาโตจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลเป็นใจความว่าการไม่หยิ่งผยอง จัดว่าเป็นอุดมมงคล

ข้อนี้องค์สมเด็จพระทศพลชี้ให้เห็นง่ายๆ ว่าคนเราซึ่งมีความเคารพซึ่งกันและกัน ตามมงคลที่ ๒๓ มีความสุข ทีนี้ถ้าหากว่าเราเกิดไม่เคารพเสียแล้วเราเกิดความหยิ่งผยองขึ้นมาจะถือว่านายเกิดก่อนเป็นผู้ใหญ่ไม่สำคัญ แต่ตัวฉันนี้ถึงแม้ว่าจะเกิดทีหลัง ถ้ามีความรู้ดีอยู่ในที่เจริญกว่า แสดงกาย แสดงวาจาไม่เคารพต่อเจ้าของถิ่น ต่อบุคคลที่มีวัยสูงกว่า หรือบางทีวัยก็สูงกว่า ผ่านกิจการงานมาก็มาก ได้ปริญญาบัตรต่างๆ มีความรู้สูงแต่เราเกิดมาทีหลัง เห็นว่าเราเป็นคนหนุ่มกว่า ทันสมัยกว่า คนแก่ล้าสมัย เลยไม่ตั้งใจเคารพในคนแก่ ทะนงตนว่าฉันนี่ทันสมัยกว่า ฉันนี่ดีกว่า โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา เอาอย่างนี้เป็นต้นนะ หรือว่าเป็นบุคคลเสมอกัน หนุ่มเท่ากัน แก่เท่ากัน แต่ทะนงตนว่าท่านนี่น่ะ ไม่ดี มีจุดบกพร่องตรงนั้นตรงนี้ ฉันนี่ดีกว่า แสดงลีลาเหยียดหยาม ไม่เคารพซึ่งกันและกันในสิทธิต่างๆ รวมว่าอย่างนี้เป็นต้น เห็นจะไม่ต้องพูดมาก ถ้าอย่างนี้ท่านทั้งหลาย บังเอิญเป็นใจของท่าน ท่านจะมีความรู้สึกยังไง สำหรับกับบุคคลทั้งหลายที่หยิ่งผยองแสดงอาการทะนงตนลบหลู่ท่าน

ตานี้ มาอีกมุมหนึ่ง ถ้าเห็นบุคคลใด ถึงแม้ว่าเขาจะมีตระกูลสูงกว่า มีความรู้สูงกว่ามีฐานะ มีปัญญายิ่งกว่า แต่ทว่าแสดงอาการถ่อมตนลงมาเสมอด้วยเรา ไม่แสดงอาการเหยียดหยามด้วยประการทั้งปวง ยอมรับนับถือ ซึ่งเราคิดว่าไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น คนที่แสดงจิตแบบนี้ จริยาแบบนี้ ทุกท่านที่อ่านหนังสือนี้ลองพิจารณาดูสักทีว่า ถ้าเราไปพบคนแบบนี้เข้า เราจะมีความรู้สึกยังไง เราจะรักคนประเภทนี้หรือว่าเราจะเกลียดคนประเภทนี้ ตอบกันง่ายๆ สำหรับคนที่มีอารมณ์ดีสักนิดก็คงจะมีจิตอดที่จะมีความเมตตาและความรักความเคารพนับถือไม่ได้ เห็นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ใหญ่ อุตส่าห์ถ่อมตัวมาเสมอเรา อย่างนี้เป็นต้น ตัวอย่างในปัจจุบันที่เราจะเห็นกันได้ชัด เอาคนสูงสุดในประเทศไทย คำว่าสูงสุดนี่ไม่ใช่สูงอย่างเปรต เอาสูงในฐานะที่ทรงอยู่ ที่ตามรัฐธรรมนูญก็ดี ตามกฎหมายของบ้านเมืองก็ดี ยกย่องว่าท่านผู้นี้เป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นประมุขของประเทศชาติ ได้แก่องค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ในปัจจุบัน ในเวลานี้ หรือในอดีต พระองค์ท่านจะเสด็จไปที่ไหนก็ตามที รู้สึกว่าพสกนิกรของพระองค์นี้ แวดล้อมเป็นจำนวนมาก สุดที่จะคณานับได้ ถึงแม้ในถิ่นนั้นจะเป็นแดนกันดารประการใดก็ตามที จะไกลแสนไกล ถ้าพอที่จะเดินไปถึงค่ายได้ แม้จะนอนค้างอ้างแรมกลางทาง ก็มีคนไปเฝ้าในทุกสถานที่ ที่เป็นอย่างนี้เราก็พิจารณาดูจริยาของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ที่มีคนมีความจงรักภักดีนี่หมายถึงว่าคนที่เขามีความเคารพในความดี เขาไปเฝ้าไปแหนพระองค์อย่างนี้ เพราะอะไรเพราะว่าพระองค์ไปที่ไหน ถ้าดูตามภาพถ่ายก็ดี หรือว่าดูตามภาพโทรทัศน์ หรือว่าภาพยนตร์ที่เขาถ่ายภาพมาให้ดู จะปรากฏว่าพระราชาก็ดี พระบรมราชินีนาถก็ดี พระราชโอรส พระราชธิดาก็ดี และสมเด็จพระราชชนนีก็ดี พระองค์ไม่วางตนผยองว่า นี่ฉันเป็นพระมหากษัตริย์ นี่ฉันเป็นพระบรมราชินีนาถ นี่ฉันเป็นพระเจ้าลูกเธอพระเจ้าลูกยาเธอ ว่านี่ฉันเป็นแม่ของพระเจ้าแผ่นดิน จริยาที่พระองค์แสดงแบบนั้น ไม่เคยมี เห็นแต่มีอาการแสดงอ่อนน้อม โค้งกายลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จใหญ่ คือสมเด็จพระราชชนนีพระองค์ทรงคลุกคลีกับคนทุกประเภท จึงเป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายมีความรัก นี่ยกตัวอย่างเห็นง่ายๆ บอกคนไทยเรานี่ยังมีความเคารพในความดีมีอยู่

ที่ยกตัวอย่างมาทั้งนี้ ก็เพื่อให้เห็นว่ากระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมครู ที่ตรัสว่าสิ่งที่เป็นมงคลแก่เทวดา คือการไม่หยิ่งผยอง ไม่ทะนงตนว่าเป็นผู้เลิศไม่ทะนงตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นปัจจัยของความสุข นี่เป็นอันว่าพระบรมมหากษัตริย์พร้อมไปด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกเธอ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ทั้งหมดนี้พระองค์เป็นที่รักของคนไทย ที่เคารพต่อความดีก็เพราะว่าพระองค์นี้ไม่ทะนงตนในฐานะว่าเป็นบุคคลสูงกว่า ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นพระราชา ก็คิดว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ทรงมีความเคารพในฐานะที่เขาเป็นคนเหมือนกัน นี่แหละท่านผู้อ่านทั้งหลายกระแสพระสัทธรรมเทศนาในมงคลที่ ๒๓ ว่า นิวาโตจะ เอตัมมังคลมุตตมัง การไม่หยิ่งผยองนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงจัดว่าเป็นเหตุของความสุขอย่างสูงสุด จะเป็นไปได้หรือไม่ ขอบรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลายลองพิจารณาดู




กตญฺญุตา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๔ "การสันโดษเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ท่านกล่าวว่าสนฺตุฏฐี จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ หมายความว่าการสันโดษเป็นอุดมมงคล นี่เอาอีกแล้วคำว่าสันโดษนี่สันตุฎฐีแปลว่าสันโดษศัพท์นี้เคยมีท่านรัฐบุรุษสมัยหนึ่งเวลาที่พระทำการสัมมนากันหรือปรึกษาหารือกัน มีท่านผู้นั้น ผู้มียศยิ่งใหญ่ มีอำนาจใหญ่มีจดหมายมาถึงกลุ่มพระ ขอร้องให้พระทั้งหลายจงอย่าเทศน์เรื่องสันโดษ เพราะเห็นว่าจะเป็นปัจจัยให้ประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญไม่ได้ คือว่าคนทั้งหลายที่มีความสันโดษยินดีเฉพาะทรัพย์ที่ตนมีอยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจไป ไม่สร้างสรรค์ความเจริญ ความก้าวหน้าให้เห็นแก่ตัว ในเมื่อคนทั้งหลายไม่เจริญ ไม่มีทรัพย์ไม่มีสินมาก ประเทศชาติก็พลอยยากจนไปด้วย นี่ในจดหมายฉบับนั้นถือเนื้อความแต่โดยย่อเป็นอย่างนี้

ตานี้ เราก็มาพิจารณากันดูอีกทีว่าทำไมองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขาพากันยกย่องว่าพระองค์เป็นสัพพัญญูวิสัย แต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรกลับมาเทศน์ขัดกับความเป็นจริงของโลก บอกให้ชาวโลกปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตแห่งสันโดษ คือยินดีเฉพาะทรัพย์ของตนที่มีอยู่ แบบนี้เป็นอันว่าสมเด็จพระบรมครูน่ะ ทำลายเศรษฐกิจของประเทศชาติและของโลก ไอ้ข้อนี้มันจะจริงหรือไม่จริง มานั่งพิจารณากันดู นอนก็ได้ หรือจะยืนจะเดินก็ตามใจ มาพิจารณาศัพท์กัน คำว่าสันโดษ แปลว่ายินดีเฉพาะทรัพย์ที่เรามีอยู่ นี่องค์สมเด็จพระบรมครูไม่ได้บอกว่ามีอยู่เท่านี้แล้วจงอย่าหากินอย่าสร้างต่อไป ท่านไม่ได้บอกยาวไปแค่นั้น การพิจารณาพระกระแสสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตร ต้องใช้มันสมองนิดๆ ไม่ต้องคิดมาก คิดหน่อยๆ พอแล้ว แค่ใช้ปัญญา ไม่ต้องยาวเท่าหางอึ่ง เพราะถ้ายาวแค่หางอึ่งไป เดี๋ยวจะดึงกลับไม่ไหว แค่เอาแต่เพียงใจมานั่งคิดกันว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้สันโดษ อันนี้มันเป็นโทษของชาวโลก ทำให้โลกคับแคบทำให้โลกไม่เข้าจุดของความเจริญ

ตานี้ ศัพท์ว่าสันโดษ ท่านแปลว่าจงยินดีแต่เฉพาะทรัพย์ที่เรามีอยู่ นี่หมายความว่าเรามีทรัพย์อยู่เพียงใด ที่เราหามาได้โดยชอบธรรม ท่านไม่ได้สอนให้ขี้เกียจ ไม่ได้คัดค้านการแสวงหา อย่างเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท ถ้าเราจะทำการค้าปรารถนาจะได้เงินสักล้านบาทแต่ว่าการค้านั้นเป็นไปโดยสุจริตธรรม อันนี้ ไม่ขัดกับคำว่าสันโดษ เพราะว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่หามาได้โดยสุจริตธรรมนั้น ก็ชื่อว่าสันโดษ ไม่เป็นการเบียดเบียน ถือว่าเป็นทรัพย์ของเรา ไม่ใช่ทรัพย์ของเขา เพราะเราไม่ได้โกงเขามา แต่ว่าการค้าต้องมีกำไร จะถือว่าการมีกำไรนี่เป็นการคดการโกงก็ไม่ได้ คือเป็นการตกลงซึ่งกันและกัน มีความพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย หรือว่าคนที่รับราชการเป็นชั้นจัตวาก็ดี เป็นชั้นตรีก็ดี ชั้นจัตวาอยากจะเป็นชั้นตรี สร้างความดีขึ้นมาให้ได้ ข้าราชการชั้นตรี อยากจะเป็นชั้นโท สร้างความดีเป็นชั้นโทขึ้นมาให้ได้ ไอ้ความดีที่สร้างนี้ ไม่ใช่ไปป้ายความผิดให้แก่ใคร ปฏิบัติงานตามระเบียบแบบแผนทุกอย่าง ตามกฎหมาย ตามกฎข้อบังคับ มีความขยันหมั่นเพียร มีเงินเดือนสูงขึ้น หรือว่าเป็นปลัดกระทรวงสร้างความดีให้เป็นรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีแล้วสร้างความดีจนได้เลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีทำความดีจนได้เลือกเป็นอะไรล่ะ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงใช้ นึกไม่ออกเสียแล้ว เป็นองคมนตรี นี่ก็ทำความดีแล้วก็ก้าวขึ้นไปเพราะความดี อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเรื่องสันโดษ เพราะว่ายินดีในทรัพย์สินที่เราหามาได้โดยชอบธรรม ที่เรียกว่ายินดีเฉพาะทรัพย์สินของเราที่มีอยู่คือเป็นสิ่งที่เราหามาได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่เราไปโกงใครเขา ทีนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ทรัพย์ที่เราหามาได้ด้วยความสามารถเท่าไหร่ ยินดีเท่านั้น เราไม่ยินดีในการคด ในการโกงใคร แม้แต่การปฏิบัติ และจริยาใดๆ ก็ตามเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ขอบรรดาท่านผู้อ่านจงพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ที่บอกกับเทวดาว่าคนที่มีสันโดษมีความสุขแล้วก็เป็นความสุขอย่างยิ่ง ข้อนี้ท่านจะเห็นจริงด้วยหรือไม่ประการใด ก็ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเอา




กตญฺญุตา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๕ "การรู้คุณคนเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ตามพระบาลีว่ากตญฺญุตา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ คำว่ากตัญญูแปลว่ารู้คุณ เป็นอันว่าคนที่รู้คุณคน หรือคนที่รู้คุณสัตว์ หรือว่าสัตว์รู้คุณคน อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่าเป็นผู้มีความสุขอย่างสูงสุด นี่ เรามานั่งคิดกันดู ว่าคนที่รู้คุณคน กตัญญู รู้แล้วก็ตอบแทน ไอ้ กต นี่แปลว่าทำ รู้คุณคน แล้วก็ตอบแทนคุณด้วย สนองคุณเขาด้วย รู้ว่าคุณนี่เป็นพ่อ คุณนี่เป็นแม่ รู้ความดีของพ่อแม่ชีวิตเลือดเนื้อ ร่างกาย สติปัญญาทั้งหลายที่เรามีอยู่ อาศัยพ่อแม่เป็นปัจจัย ถ้าหากว่าพ่อแม่ไม่มีความดี ไม่สงเคราะห์เรา ไม่ทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ชีวิตของเราจะมีขึ้นมาไม่ได้ อีกประการหนึ่งสำหรับบุคคลผู้เป็นผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ สอนเรามาตั้งแต่ กอขอ กอกา หรือกอไก่ จนกระทั่งได้ปริญญา เราก็คิดว่าท่านผู้นี้ เป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเราไม่ได้อาศัยท่าน ความรู้อย่างนี้มันก็ไม่มี หรือบุคคลใดที่เขามีความดี เคยสงเคราะห์ให้ความสะดวกเรา เมื่อถึงคราวคับแค้น แม้แต่ท่านผู้นั้นไม่ให้ทรัพย์ไม่ให้สินประการใด เป็นแต่เพียงแนะนำให้ บอกว่าไปตรงโน้นซิจะมีผลดี ไปตรงนี้ซิจะปลอดภัย เราก็ถือว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีคุณกับเรา เราก็ตั้งใจสนองความดีตอบแทนท่าน คนประเภทนี้ ท่านมานึกเปรียบเทียบดูให้ดีว่า สมมติว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่เขา แต่ว่าลูกของเราไม่อยู่ในโอวาท ขาดความเคารพ ขาดการรู้ในคุณพ่อแม่ เราเลี้ยงมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย เดี๋ยวนี้พอโตขึ้นหน่อยแสดงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่พ่อแม่ที่ให้ชีวิตและร่างกายมาเขาก็ไม่มีความเคารพ หรือว่า ถ้าเราเป็นครูบาอาจารย์ ตั้งใจสอนศิษย์ด้วยความจริงใจ ไม่ได้คิดว่าเรารับจ้างรัฐบาลมาสอน ไม่ได้คิดว่าเรารับจ้างสอนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ตั้งใจอย่างเดียว ที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหามีความรู้ มีความสามารถ แต่บรรดาเราเองผู้เป็นครู ผู้หวังดีต่อศิษย์ มาเจอศิษย์อกตัญญู พบครูเข้าแล้วไม่แสดงความเคารพ แสดงอาการเหยียดหยามต่อครู หรือว่าเราจะมีอาหารสักนิดหนึ่งไปพบสุนัขตัวหนึ่งซึ่งกำลังหิวโซมา เราก็นำอาหารอันนั้นให้แก่สุนัขตัวนั้นบริโภค เมื่อเจ้านั่นกินเข้าไปแล้วมีกำลัง ไล่กัดเรา อันนี้ตัวท่านเองจะมีความรู้สึกยังไง จะมีความรู้สึกชอบใจตามบุคคลประเภทที่กล่าวมาแล้วไหม

ทีนี้ถ้ามองกันในมุมกลับ หากว่าเราเป็นพ่อคนแม่คน เรามีลูกหญิง ลูกชายก็ตามที ลูกทุกคนนี้อยู่ในโอวาททุกอย่าง มีความกตัญญูรู้คุณ เวลาเรามีทุกข์ เธอก็พยายามช่วยทุกอย่างตามความสามารถ การให้โอวาทอย่างใด ๆ ไป เธอไม่เคยเหยียดหยามไม่เคยขว้างทิ้ง ปฏิบัติตาม่ด้วยความจริงใจ หรือว่าถ้าเราเป็นครูบาอาจารย์เขา จะสอนอะไรไปลูกศิษย์เห็นเมื่อไรแสดงความเคารพ และความรู้ความประพฤติที่ให้ไปก็ปฏิบัติทุกอย่างตามที่สอน แล้วก็สมมติว่าเรามีขนมสักชิ้นหนึ่ง อาหารสักหน่อยหนึ่ง เห็นสุนัขตัวผอมโซเดินมา กำลังหิว เอาอาหารให้แก่สุนัขตัวนั้น เจ้าสุนัขตัวนั้นอิ่มเข้าไปแล้ว เห็นหน้าเมื่อไรแสดงความรักความเคารพทันที โดยวิธีเข้ามาหมอบคลานอยู่ที่เท้าบ้าง ถ้าอยู่ที่ขาก็วิ่งเวียนไปเวียนมา แสดงความรัก ก็ลองคิดดู ว่าคนก็ดีสัตว์ก็ดี ที่มีความกตัญญูต่อท่าน ท่านจะมีความรู้สึกยังไง จะมีความรู้สึกรัก หรือว่าเกลียด เอาใจของท่านวัดดู นี่เป็นอันว่า ถ้าบุคคลทั้งหลายในโลกนี้ ปฏิบัติตามพระธรรมเทศนาที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสกับพวกเทวดาว่า คนที่มีความกตัญญูรู้คุณและตอบแทนท่าน อย่างนี้จัดว่าเป็นคนดีมีความสุข เอาไปนั่งนึกกันก็แล้วกัน ว่ามันจะจริงหรือไม่จริงเพียงใด ประเดี๋ยวจะหาว่ามาสรรเสริญพระพุทธเจ้ามากเกินไป เพราะบุคคลสมัยใหม่ เขายังไม่เห็นคุณของพระพุทธเจ้าก็มีมาก แล้วองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เคยตรัสว่า คำแนะนำอะไรของเราก็ดี เมื่อบอกแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้อย่าเพิ่งเชื่อ ลองนำไปปฏิบัติกันก่อน นี่เป็นอันว่ากระแสพระสัทธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสกับเทวดาผ่านมาถึง ๒๔ ข้อ ถ้าทุกคนปฏิบัติได้แล้วถึง ๒๔ ข้อนี้ทั้งหมด ไม่มีอาการบกพร่องก็จะพิจารณาตัวเองได้ว่าโลกนี้จะมีความสุขความเยือกเย็น หรือว่ามีความทุกข์ ความเร่าร้อนอย่างใด นี่องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ได้กล่าวเฉพาะบุคคล เพราะเทวดาไปถามคำว่ามงคล ก็หมายความว่า ถ้าทุกคนจะเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี ถ้าพึงปฏิบัติอันนี้องค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์หมายความว่า คนทุกคนในโลกทำกัน ถ้าเราคนเดียวเป็นผู้ทำมันก็แย่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าสันโดษเวลานี้ พบยาก ส่วนมากเป็นคนกระโดดกันเสียหมด กระโดดละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น กระโดดหนีภาษีของบ้านเมือง กระโดดหลบกฎหมายของบ้านเมือง กระโดดหลบรัฐธรรมนูญของบ้านเมือง ไม่เป็นเรื่อง เป็นอันว่าไม่เป็นเรื่อง เป็นปัจจัยของความทุกข์

ตานี้ เราทิ้งคำว่ากระโดดลงมาแสดงอาการสันโดษดูบ้าง แล้วก็มาตั้งหน้าแสดงความกตัญญูรู้คุณบุพการีที่ท่านทั้งหลายช่วยกันสร้างประเทศชาติของเรา ให้เราอยู่อาศัยมีความสุขถึงบัดนี้ ไม่เป็นขี้ข้าของใคร มากลับตัวกลับใจกันเสียใหม่ ดูทีรึว่ามันจะมีความสุขหรือความทุกข์ กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ ระเบียบวินัยจะได้มีความสำคัญ จะได้ไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่ร่างกันขึ้นมาก็ดี กฎหมายก็ดี กฎข้อบังคับใดใดก็ดี มันเป็นแต่เพียงเศษกระดาษ เป็นอันว่าความสำคัญส่วนใดๆ ของประเทศชาติ ถ้าไม่มีคนเคารพในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับและระเบียบวินัย แล้วอันนี้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เห็นว่ามันเป็นไฟไหม้โลก เท่านั้นเอง ก็หมายถึงว่าไอ้ไฟไหม้ใจเรา มันเป็นความเดือดร้อน เพราะความร้อนนี่มันเกิดจากไฟ ไฟที่ติดเชื้อเข้ามาภายนอกไม่สำคัญเราหลบได้แต่ไฟที่เข้ามาเผาใจนี่เราจะหลบไปไหน ตัวไปที่ไหนใจมันก็ไปที่นั่น เป็นอันว่าเราไปไหนก็ไม่พ้นไฟ ไฟมันไหม้อยู่ตลอดเวลา มันจะมีความสุขได้ยังไง เอาเรื่องนี้พูดกันไปก็ยาวเกินไปเพราะมงคลมาก ขอฝากไว้เพียงแค่นี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2558 11:06:33 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2558 06:58:11 »

.


กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๖ "การฟังธรรมตามกาล จัดเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ท่านกล่าวว่ากาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ท่านแปลว่า การฟังธรรมตามสมัยจัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่าธรรม คือความดี นี่การฟังธรรมจำเป็นไหม จะต้องไปฟังจากพระเทศน์ สำหรับผู้พูดเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะพระที่เทศน์ธรรมะ ถ้าหากพระองค์นั้นไม่ทรงธรรมและวินัย ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าขืนไปฟังท่าน ท่านไม่เคารพในธรรมวินัย ท่านก็จะเลือกเฟ้นเฉพาะธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งที่ท่านถนัด อาจจะเป็นกระแสพระธรรมเทศนา ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ไม่นิยมให้ปฏิบัติ เอามาเทศน์ให้ท่านฟังก็ได้ แต่ว่าบังเอิญพระองค์ใดมีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ปฏิบัติตนจนถึงขั้นสาธุชน เป็นคนบริบูรณ์ด้วยศีล กัลยาณชนเป็นคนสมบูรณ์ด้วยสมาธิ คือฌานสมาบัติ และอริยชน เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ชั้นโสดาบันขึ้นไป แบบนี้ ถ้าท่านไปฟังพระพวกนี้พูด จะเกิดความสบายใจมาก เพราะว่าท่านจะเอาแต่ความดีมาพูดให้ท่านฟัง เป็นอันว่าธรรมะที่เราจะฟังตามกาลเวลาอันสมควร เราจะฟังจากใครก็ได้ไม่สำคัญ

ตัวอย่างที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่เสวยพระชาติเป็นพระมหากษัตริย์มีนามว่าสุตโสม เวลานั้น มีพราหมณ์ ๔ องค์ ๔ ท่านด้วยกันจะมาบอกธรรมะข้อหนึ่งแก่พระองค์ แต่ว่าเวลาบอกธรรมะหรือสอนธรรมะข้อเดียวนี้ ตามธรรมดาศิษย์ผู้รับฟังต้องนั่งข้างล่างอาจารย์ต้องนั่งสูง มิฉะนั้นจะไม่เป็นการเคารพในธรรม แต่ว่าเวลานั้นพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ก็วางความเป็นกษัตริย์เสีย ยกย่องพราหมณ์ซึ่งมีฐานะเป็นประชาชนพลเมืองต่างๆ แต่ว่ารู้อรรถธรรมให้นั่งในที่สูง แล้วพระองค์ก็ฟังธรรมโดยเคารพ นี่ขึ้นชื่อว่าธรรมะที่จะพึงฟังไม่จำเป็นต้องเลือกบุคคล ว่าบุคคลผู้ทรงธรรมบอกธรรมจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ เป็นพระ เป็นฆราวาส มีสัญชาติเป็นอะไรไม่สำคัญ แต่ถ้าว่าบุคคลนั้นเขาบอกความดีกับเรา แนะนำความสุขให้แก่เรา คือการทำอย่างนี้มีความสุข การทำอย่างนี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ จงหลีกเลี่ยงเหตุของความทุกข์ ปฏิบัติในเหตุของความสุข เราจะมีความสุขกายสุขใจอยู่ตลอดเวลา นี่บุคคลใดที่เขาแนะนำเราได้อย่างนี้ เช่นในปัจจุบันถ้าใครเขาจะมาบอกเราว่านี่ รัฐธรรมนูญสำหรับเป็นต้นฉบับ เป็นแม่บทในการปกครองประเทศชาติมีอย่างนี้ พวกเราจงมีความเคารพในพระมหากษัตริย์ ในฐานะที่พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วก็เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติเป็นตัวแทนของพวกเรา รัฐธรรมนูญนี้พวกเราจะถือว่ามีความสำคัญมาก เธอเกิดขึ้นมาเพราะความอยากจะให้เป็นยังงั้นของพวกเรา พวกเราทั้งหลายย่อมมีความเคารพในรัฐธรรมนูญปกครองประเทศ แล้วต่อมาพวกเราเองก็แต่งคนเข้าไปนั่งประชุมเป็นตัวแทน ออกกฎหมายบ้าง ออกกฎข้อบังคับใด ๆ บ้าง เพื่อปฏิบัติกัน จะได้มีความสม่ำเสมอกัน เราก็พยายามปฏิบัติตามนั้นว่า นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการ คือกฎหมายที่ออกมานั้นเขาลงโทษกันแต่เฉพาะคนผิด คนที่มีความสุจริตนี่เขาไม่ลงโทษ ทุกคนคือผู้รักษากฎหมาย ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายและบุคคลผู้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ทุกคนเคารพกฎหมายและกฎข้อบังคับเสมอกัน ไม่ใช่มือหนึ่งถือคันไถ มือหนึ่งถือเตารีด มีจิตบริสุทธิ์ ถ้ามีใครเขามาบอกเราอย่างนี้ เราฟังไว้ แล้วก็จำไว้ และทุกคนในโลกนี้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย แล้วต่อไปก็มีคนมาพูดให้ฟังอีกว่านี่พวกเรา ปฏิบัติเพียงแค่กฎหมาย นี่มันยังดีไม่มาก คนเราทุกคนไม่ใช่สัตว์นี่ ย่อมมีความรักในชีวิต ฉะนั้น เราทั้งหลายจงอย่าทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน จงอย่าประหารซึ่งกันและให้รับความบอบช้ำและลำบาก ถ้าทุกคนปฏิบัติได้อย่างนี้ ทั้งโลกมันจะมีแต่ความสุข แล้วเขาก็แนะนำต่อไป ว่าทรัพย์สินทั้งหลายแต่ละบุคคลย่อมรัก หาได้มาโดยยากนี่เราอย่าละเมิดในทรัพย์สินของคนอื่นเลยนะ ของใครมียังไงก็ใช้ไปตามนั้น ถ้าเรามีไม่พอเขาสงเคราะห์เป็นความดี ทุกคนก็ปฏิบัติตามนี้

ว่ากันอีกทีถึงความรักในบุคคล เขาเป็นสามีภรรยากัน เป็นลูกเต้ากับใครก็ช่างในเมื่อมีผู้ปกครองเราอย่าไปยุ่งเลยนะ ถ้าเรารักในเขาขออนุญาตผู้ปกครองเขาเสียก่อนตามธรรม ตามวินัย ตามกฎหมายของบ้านเมือง จะได้ไม่เป็นการทำลายจิตใจซึ่งกันและกัน ทุกคนฟังแล้วก็ปฏิบัติตามนั้น

มาอีกทีเขาบอกว่านี่ คนดีเท่านี้ยังไม่พอนะ คนทุกคนที่รับฟังเรื่องราวต่างๆ ต้องการอย่างเดียวคือความจริง ในเมื่อความจริงเขาต้องการ เราต้องการ คนอื่นเขาก็ต้องการเหมือนกัน คือเวลาที่พูดกันน่ะ ถ้าพูดเป็นการเป็นงานละก็อย่าไปโกหกกันนะไม่ดี เราทุกคนก็ปฏิบัติตามนั้น แล้วต่อมาอีกอัน เขาบอกว่านี่ทุกคนต้องการเป็นคนดี แต่ไอ้สุราเมรัยนี่มันทำลายความดีของบุคคล คือทำลายสุขภาพ ทำลายจิตใจ ทำลายจริยาที่ดี แล้วก็ทำลายประสาท เมาเข้าไปแล้ว บางทีไปแย่งที่เจ้าตูบมันนอน อันนี้ไม่ดี มันเสียศักดิ์ศรีของตัวเราเอง ทุกคนก็ยอมรับนับถือ ถ้าการพูดแบบนี้ จะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็ตาม ใช้ได้ ใช้ได้ นี่ละเป็นความดีสั้นๆ เอากันแค่นี้ ถ้าทุกคนพยายามทำความดีอย่างนี้อยู่เสมอ ตามกาล ตามเวลา ฟังแล้วก็อย่าโยนทิ้งไป เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์จะได้ไม่เสียเวลาฟังเปล่า ถ้าเราไปนั่งฟังแล้วก็ไม่นำมาใช้ เราไม่ไปเลยดีกว่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเสียเวลาการงาน เสียเวลาพักผ่อนจะนอนหลับของเรา ไหนๆ เราเสียเวลาไปนั่งฟังแล้วก็นำมาใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ให้คุ้มกับการที่เราเสียเวลา การที่เราเป็นประโยชน์กับเราและครอบครัว นี่ การฟังธรรม คือคนกล่าวในความดีตามกาลตามเวลาบ่อย ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นอุดมมงคล ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหูเรานี่ถ้าฟังกระทบบ่อยๆ มันก็กระทบใจเข้าไปทีละนิดๆ ไม่ช้าจิตมันก็ชินต่อคำพูดแบบนั้น อารมณ์มันก็ชินในการประพฤติปฏิบัติ หนักๆ เข้าขึ้นชื่อว่าความดี คือ ๑ ไม่ทำลายศักดิ์ศรีของรัฐธรรมนูญ คือไม่ละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ไม่ละเมิดบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคือกฎหมาย ไม่ละเมิดระเบียบแบบแผน พระธรรมวินัยและกฎข้อบังคับ แล้วปฏิบัติอยู่เฉพาะในความดี เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ถ้าทุกคนทำอย่างนี้นั้น โลกจะมีความสุขหรือความทุกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา ที่จะยกย่องกันมากเข้า จะหาว่านี่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามาพูดนี่ มันก็ดีทั้งนั้นแหละ





ขันตีจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๗ "ความอดทน จัดเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ขันตีจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ท่านกล่าวว่าความอดทน จัดว่าเป็นมงคล

แหม คำว่าอดทนนี่ ทีแรกเห็นท่าจะต้องเป็นทนอดเสียก่อนละมั๊ง อดทนได้แก่ความอดกลั้น ใครเขาทำอะไร ใครเขาพูดอะไรให้ไม่ชอบใจ โทสะมันเกิดเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากว่าเราปล่อยใจให้เป็นไปตามอำนาจของโทสะ น่ากลัว อันตรายจะถึงตัว ดีไม่ดีก็จะเข้าคุกเข้าตะรางหรือตายไป หากว่าเราปฏิบัติตามกระแสที่องค์สมเด็จพระจอมไตรแนะนำว่าไม่ชอบใจอะไรอดทนเข้าไว้ก่อน อดทนเข้าไว้ ขันติ แปลว่าอดใจ ความจริงโสรัจจะนี่เขาแปลว่าสงบเสงี่ยม ขันติ โสรัจจะ นี่เขามาเรียงไว้คู่กัน พระพุทธเจ้ากล่าวไว้คู่กัน ความอดทนอดใจได้จัดว่าเป็นความสุข เพราะอะไร เขาด่ามา เรายังไม่ด่าไป อดใจไว้หน่อยเพราะอะไร เพราะเราเห็นว่าคนที่ด่าเรานี่ เป็นคนเลว ไม่ใช่คนดี วาจาด่าเป็นวาจาสามหาว หาความดีอะไรไม่ได้ ตานี้ ถ้าหากว่าเราไปด่าเขาเข้า เราก็เลวเท่าเขา แล้วเราก็มานั่งดูถึงคนด่า คนที่ด่าคนน่ะ แสดงอาการโฮกฮาก ส่งเสียงดังท่าทางขึ้งเครียด แสดงอำนาจอาจหาญให้ปรากฏ คือว่าคนทั้งหมดที่เขาเดินไปนี่น่ะ เขาจะมองแบบเหยียดหยามเพราะว่าจริยาแสดงอาการ วาจาที่กล่าวออกมาก็ดี ด่าเขานี่มันก็เป็นวาจาหยาบ อาการทางกายที่แสดงออกมาก็หาความน่ารักอะไรไม่ได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่อดใจอดทน อดทนไม่ด่าเขาระงับใจไว้ ทำจิตใจให้ปกติ ถึงแม้ว่าใจมันจะพลุกพล่าน เราบังคับกาย บังคับวาจา ว่าจงอย่าไปด่าเขาเลย ไม่เป็นเรื่อง ไอ้การสร้างความขัดเคืองแบบนี้เป็นโทษ ทำใจสบาย เพียงแค่นี้คนทั้งหลายเขาเห็นเข้า แหม ว่านั่นเขาถูกด่าแล้วนี่ แต่คนนี้ยังอดใจอดทนอยู่ได้สงบเสงี่ยม เป็นคนที่น่ารักจริงๆ นี่ลองคิดถึงตัวเราว่าพบแบบนั้นเข้าก็แล้วกัน ว่าจะมีความรู้สึกเป็นยังไง

อันนี้มาว่ากันต่อไปถึงความอดทนในเรื่องอื่น การประกอบกิจการงานก็ดี การประพฤติตนเป็นคนดีตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าก็ดี ต้องอดทนทั้งนี้เพราะอะไร เพราะใจของเรานี้ มันเป็นใจเลว ๆ อยู่ตลอดเวลา คือมันคบกับกิเลส ตัณหา อุปาทานอยู่ตลอดเวลา ตามสมัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามันตั้งใจจะสร้างแต่ความเลว ถ้าจะมาทำความดีเข้า มันก็ฝืนอารมณ์เก่า ตอนนี้ต้องอดทนเข้าไว้ ทำใจให้มันชิน นี่ถึงความรู้สึก คราวนี้ถึงการประกอบอาชีพก็เหมือนกัน มันต้องเหนื่อยต้องยาก ถ้าไม่อดทนมันก็ไปไม่ไหว คนใดที่มีความอดทน มีความอดใจ ต่อสู้กับความทุกข์ความยาก คนประเภทนี้ก็มีแต่ความสุข นี่ว่ากันแค่นี้ดีกว่า พูดมากก็เสียเวลา หนังสือเล่มนี้จะโต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2558 11:02:04 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2558 11:00:45 »

.


โสวจสฺสตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๘ "ความเป็นผู้ว่าง่าย จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

พระบาลีว่าโสวจสฺสตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลความว่าเป็นผู้ว่าง่าย จัดว่าเป็นอุดมมงคล สำหรับมงคลนี้ พระพุทธเจ้าตรัสกับเทวดา อย่างที่เรียกกันว่า เราฟังกันรู้เรื่องง่าย ก็เพราะว่าพระองค์ตรัสว่า การเป็นคนว่าง่ายนี่ก็หมายความว่าเป็นคนที่ไม่ดื้อ นี่ความเป็นคนว่าง่ายในที่นี้ก็จำเป็นต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ว่าบุคคลที่ว่าเรานี่ เขาเป็นพาลหรือว่าเขาเป็นบัณฑิต เขาเป็นคนดีหรือว่าเขาเป็นคนชั่ว ถ้าหากว่าคนชั่วแนะนำให้เราปฏิบัติ เราต้องเป็นคนว่าง่ายของคนชั่ว เป็นอันว่าผู้ปฏิบัติตามนั้น ไม่เข้าอยู่ในเขตมงคลของพระพุทธเจ้า

คำว่าง่ายในที่นี้ ต้องว่าง่ายตามกระแสเสียงของบุคคลผู้สร้างความดี คือปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของความดี จึงจะจัดว่าเป็นคนที่ว่าง่ายตามสายของมงคลที่พระพุทธเจ้าตรัส

คนว่าง่ายในที่นี้ เรามีอะไรเป็นเครื่องเปรียบเทียบ เราจะปฏิบัติตามกระแสเสียงของใคร ถ้าเป็นชาวโลก ความจริงคนที่อ่านทุกคนก็อยู่ในโลก แถมคนที่พูดก็อยู่ในโลกเหมือนกัน เราเป็นคนชาวโลก เสียงที่ฟังครั้งแรกก็คือเสียงของบิดามารดา เพราะว่าบิดามารดาตกอยู่ในเขตของคนที่จะเป็นผู้ใหญ่ตามคุณธรรม คือพรหมวิหาร ๔ มีความรัก มีความสงสาร ไม่อิจฉาริษยา มีการวางเฉย ถ้าเราดีกว่าท่าน หรือว่าเหตุร้ายเกิดขึ้น ถ้าเป็นเหตุเกินวิสัยท่านไม่ซ้ำเติม นี่หากว่าบิดามารดาตั้งอยู่ในขอบเขตของความดี บอกแล้วนี่ว่า ถ้าบิดามารดาท่านเป็นโจร เราไม่บูชาความเป็นโจรของท่าน เราบูชาแต่ในฐานะที่ท่านเป็นคนดี คือเป็นผู้ใหญ่ เป็นบิดามารดาของเรา นี่อาการที่ว่าท่านสั่ง หากว่าท่านสั่งอยู่ในขอบเขตของความดี เราก็ปฏิบัติตาม

ตานี้ มาอีกระดับหนึ่ง คือคนดีอีกสายหนึ่งก็คือครูบาอาจารย์ เราปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างคนว่าง่าย แต่ว่าอยู่ในขอบเขตของความดี ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่าท่านผู้นี้เป็นครู หรือเป็นโจร เพราะว่าความเป็นครู ระเบียบของครูมีอยู่ว่า ๑.ให้วิชาความรู้ ๒.แนะนำสั่งสอนศิษย์ให้ปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของความดี แต่ว่าครูบาอาจารย์ของเรานี่ฝืนระเบียบ กฎข้อบังคับของความเป็นครู คำสั่งอย่างนั้นเราปฏิบัติตามไม่ได้ นี่เป็นเครื่องสังเกตว่าเราจะว่าตามใคร นี่ถ้ายาวออกไปอีกนิด เราก็ไปดูกฎหมายของบ้านเมือง ว่าในที่ประชุมของสภา และท่านผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง มีความปรารถนาอยู่อย่างเดียวคือต้องการให้ประเทศชาติปลอดภัย เป็นอิสรภาพ ไม่เป็นทาสของใคร แล้วก็ต้องการให้บุคคลทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขตของประเทศมีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี่ถ้ากฎหมายออกมาอย่างนั้น เราก็เป็นคนว่าง่ายตามกฎหมาย และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบุคคลที่มีอำนาจในการออกกฎหมายก็เป็นคนว่าง่าย คือว่าง่ายตามรัฐธรรมนูญ ธรรมนูญการปกครองของประเทศมีขอบเขตไว้เพียงใด ปฏิบัติตนตามนั้น ชื่อว่าเป็นคนว่าง่ายในมงคลข้อนี้ นี่ว่ากันตามสายชาวโลก หากว่าจะพูดกันตามสายธรรมะ เราก็เป็นคนว่าง่ายของพระอริยเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ไม่ฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ มีความประสงค์อยู่อย่างเดียวคือเหมือนกัน ได้แก่ ๑. แนะนำให้บุคคลทั้งหลายละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ นี่ ถ้าหากว่าเราว่าง่ายตามกระแสพระสัทธรรมเทศนา เป็นอันว่ากฎหมายบ้านเมืองก็ดี คำสั่งของบิดามารดาก็ดี คำแนะนำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ก็ดี ไม่มีอำนาจมาลงโทษเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกระแสพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สอนให้เราเป็นคนไม่ทำความชั่วเสียแล้ว เราทำแต่ความดี อารมณ์ใจก็ผ่องใส ไม่คิดประทุษร้ายใคร นี่ คนว่าง่ายสอนง่าย ตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสกับเทวดา ข้อนี้เป็นมงคลที่ ๒๘ หากว่าปฏิบัติได้ทุกคนเหมือนกันก็ชื่อว่ามีความสุขตามที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์กับเทวดา ทั้งนี้ ขอบรรดาท่านผู้อ่านโดยถ้วนหน้า จงพิจารณาด้วยปัญญาว่ามีความจริงหรือไม่จริงเพียงใด




สมฺณานญฺจทสฺสนํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๒๙ "การเห็นสมณะชื่อว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

ตามพระบาลีว่า สมฺณานญฺจทสฺสนํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การเห็นสมณะชื่อว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่า สมณะ นี่ท่านผู้อ่าน รู้สึกว่าจะเป็นของหนักสำหรับบรรดาท่านผู้อ่านอยู่หน่อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคำว่าสมณะ แปลว่าผู้สงบ หรือสมณะแปลว่าผู้มีบาปอันลอยแล้ว คือพ้นจากความเป็นบาป ทีนี้เราจะไปหาสมณะกันจากไหน เวลานี้คนทั่วไปมักจะเห็นบุคคลผู้ทรงเพศพิเศษ คือปลงผม เรียกว่าหัวโล้นก็แล้วกัน ห่มผ้าเหลือง หัวโล้นใช้ชุดผ้าขาวบ้างเป็นสมณะ ความจริง ถ้าเราใช้ความคิดเห็นเพียงข้อนี้ ก็ไม่สมกับเจตนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับเทวดา เพราะเพศไม่ใช่ว่าจะมาแนะนำทำบุคคลผู้ทรงเพศนั้นให้เป็นสมณะได้แน่นอน สมณะ ขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ในมงคลข้อนี้ ถ้าเราจะถอยหลังเข้าไปหามงคลตั้งแต่ข้อต้นๆ เราก็จะเห็นคนที่เป็นสมณะมีแต่ละชั้น คือคำว่าสมณะ แปลว่าผู้สงบ เป็นคนสงบเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น มีบาปคือความชั่วลอยแล้ว หาความเป็นคนเลวไม่ได้ แต่ว่าสมณะ ก็แบ่งออกเป็นชั้นๆ เหมือนกัน ตั้งแต่ระดับต่ำถึงระดับสูง นี่เราไปหาจากไหนดี พูดมาแล้วนี่ว่าคนทรงเพศไม่แน่นักว่าจะเป็นสมณะ บางทีผู้ทรงเพศที่เราเข้าใจว่าเป็นสมณะ แต่เนื้อแท้จริงๆ เป็นพาล คือมีสันดานชั่ว ไม่ได้ปฏิบัติตามเครื่องแบบของตัวที่สวมไว้ มีถมไป แต่ว่ามีผู้คนทั้งหลายไม่ได้ทรงเครื่องแบบในความเป็นสมณะ แต่ว่าเขาปฏิบัติตนเป็นสมณะ คือมีความสงบจากความชั่ว อย่างนี้ก็มีมาก เป็นอันว่าคำว่าสมณะในที่นี้ไม่ถือเครื่องแบบเป็นสำคัญ ให้ถือความประพฤติของกาย วาจา และใจ เป็นสำคัญ

เราก็มาแบ่งชั้นกันดูว่าสมณะจริงๆ น่ะ มีกี่แบบ กี่ชั้น จะว่ากันไปให้ดีก็บุคคลที่ปฏิบัติตามมงคลนี้ทุกระดับ ถึงระดับมงคลที่ ๓๘ จัดว่าเป็นสมณะเต็มที่และคนที่มีความดีตามมงคลนี้แต่ละข้อ มากก็ตาม น้อยก็ตาม ก็จัดว่าเป็นสมณะตามขั้นนั้นๆ จะกล่าวให้ท่านฟังแต่เพียงโดยย่อ อย่างมงคลข้อที่ ๑ ท่านกล่าวว่า เราไม่คบคนพาล คนที่ไม่คบคนพาล ก็แสดงว่าบุคคลนั้นไม่ต้องการความเป็นพาล และไม่ประพฤติพาล นี่จัดเป็นสมณะประเภทที่ ๑ แล้วมงคลข้อที่ ๒ ท่านบอกว่าจงคบแต่บัณฑิต บัณฑิต แปลว่าผู้รู้มีอารมณ์หลีกเลี่ยงจากความชั่ว ถ้าเราคบเฉพาะที่เป็นบัณฑิต หรือคนที่เขาคบเฉพาะที่เป็นบัณฑิต แปลว่าจิตของเขามีความสงบจากความชั่ว อย่างนี้ ก็เป็นสมณะอันดับที่ ๒ มงคลที่ ๓ ท่านบอกว่าจงบูชาบุคคลที่ควรบูชา นี่หมายความว่าคนที่มีความดีในขั้น ในระดับที่เราควรบูชา นี่หมายความว่าคนดีมีความดีในขั้น ในระดับที่เราจะควรบูชาได้ คนที่บูชาบุคคลที่ควรบูชานี้ ก็จัดเป็นสมณะอีกประเภทหนึ่ง นี่กล่าวแต่โดยย่อๆ พอได้ความพอไม่ให้ซ้ำกับเรื่องเก่า เป็นอันว่าสมณะที่เราจะหาไว้เพื่อคบหาสมาคม หรือการเห็น หรือที่เห็นเป็นปกติ ก็คือบุคคลที่ปฏิบัติตามพระมงคลของพระพุทธเจ้านี่เอง เราก็พิจารณาดูว่าท่านผู้นี้ปฏิบัติตามมงคลได้กี่ข้อ ทรงมงคลคือความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ปฏิบัติ คือสั่งสอนมาได้กี่ข้อ เขาปฏิบัติได้ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ทรงความดีอันนี้ไว้ แสดงว่าเป็นสมณะเล็ก ถ้าหากท่านผู้ใดทรงความดีตามกระแสมงคลที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเทวดาได้ครบทั้ง ๓๘ ข้อ ก็เป็นอันว่าท่านผู้นั้นเป็นสมณะใหญ่ เต็มภาคภูมิ ควรที่จะบูชาได้ การเห็นสมณะแบบนั้นบ่อยๆ ทำจิตใจเราให้เป็นสุข เพราะว่าสมณะเป็นผู้มีความสงบ สงบทั้งกาย วาจา และใจ คำสงบกายไม่ใช่หมายความว่านั่งนิ่งๆ หมายความถึงว่าไม่เอากายเข้าไปประทุษร้ายใครให้มีความทุกข์ สงบวาจาไม่ใช่ว่าจะไม่พูดกับใคร ทำตนเป็นคนเคร่งทำปากหงิม พูดน้อยๆ ลืมตาน้อยๆ จริยาท่าทางของทางกายสงบเสงี่ยม ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นสมณะ ต้องดูว่าวาจาที่กล่าวออกมานี่เป็นประโยชน์หรือว่าเป็นโทษ สำหรับสมณะน่ะ เป็นนักพูด ไม่ใช่นักเงียบ แต่ว่าพูดแต่เฉพาะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เห็นบุคคลใดทำกิจที่จะเป็นโทษ ท่านสมณะก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงเสีย ให้ปฏิบัติในขอบเขตของความสุข เช่นพระพุทธเจ้า เป็นต้น

ทีนี้ สำหรับใจของสมณะก็เป็นจิตที่พ้นแล้ว จากโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือไม่มัวเมาในลาภ ไม่เสียใจเพราะลาภสลายตัวไป ไม่มัวเมาในยศ ไม่เสียใจเพราะยศสลายตัวไป ไม่ยินดีในคำสรรเสริญ ไม่เร่าร้อนในการนินทา แล้วก็เว้น ระงับใจจากสุขอันเนื่องจากกามารมณ์ แล้วก็ไม่หวั่นไหวเมื่อทุกข์เกิดขึ้นจากกฎของธรรมดา นี่เป็นอาการของสมณะ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายจะหาสมณะเป็นเครื่องพิจารณาสำหรับดูไว้เฉยๆ หรือว่าดูไว้เป็นเครื่องปฏิบัติตามก็เอาโลกธรรมทั้ง ๘ ประการนี้ เข้าไปเปรียบเทียบ ว่าท่านผู้นี้มีความโลภโมโทสันในทรัพย์สินบ้างหรือเปล่า มีความเพลิดเพลิน มีความหลงใหลใฝ่ฝันในทรัพย์สินบ้างหรือเปล่า สะสมทรัพย์สินมากเกินไป เกินกว่าวิสัยของสมณะบ้างหรือเปล่านี่ก็ดูกัน ว่าทรัพย์สินที่เขาหามาได้นั้น ได้มาจากการคดโกงหรือได้มาโดยสุจริต เพราะว่าสมณะมีกิจหลายประการ มีระดับขั้นหลายขั้น ถ้าจะกล่าวกันเฉพาะสมณะเบื้องสูงอย่างเดียว บรรดาท่านผู้อ่านก็ไม่มีโอกาสที่จะพบได้ง่ายๆ ก็ต้องว่าไปตั้งแต่สมณะเล็ก สมณะเล็กก็คือแสวงหาทรัพย์สินมาให้โดยชอบธรรม ไม่เบียดเบียนใคร เมื่อทรัพย์สลายตัวก็แล้วไป ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับสมณะใหญ่นี้พิจารณาได้ คือได้รับทรัพย์สมบัติมาแล้วก็ทำทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนสาธารณประโยชน์ คือไม่สะสมทรัพย์ให้เป็นโทษกับตนและบุคคลอื่น นี่เป็นสมณะใหญ่ เมื่อทรัพย์สินหมดไปเพราะนำทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นไปเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ท่านก็ภูมิใจ มีความเยือกเย็นใจ สบายใจ

ตานี้ มาถึงยศ สำหรับสมณะเล็ก ใครเขาให้ยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็ไม่เมาอยู่ในยศ ถือว่ายศนี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราทำความดีบุคคลอื่นเขาบูชา เขาให้มาเราก็รับ เมื่อรับแล้วเราก็ทรงความเป็นผู้ใหญ่เข้าไว้ ไม่มัวเมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ที่เราจะพึงได้ หรือว่าที่เขาให้เรายังงี้เป็นสมณะเล็ก คราวนี้ถ้าสมณะใหญ่ สมณะใหญ่ก็เลยไม่สนใจในยศฐาบรรดาศักดิ์ ถือว่าไม่เป็นเรื่องสำคัญ ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียวคือจิตเป็นสุข พ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม กิเลส แปลว่าความเศร้าหมองของจิต เพราะการมียศนี่ ยศมาจากกิเลส คนที่จะรับยศ หรือบุคคลผู้ให้ยศก็คือคนที่มีกิเลส ถ้าเราไปรับเอายศเข้ามาแสดงว่าเราบูชากิเลส นี่สมณะใหญ่ท่านวางไปเสียเลย ยศฐาบรรดาศักดิ์ท่านไม่เอา แล้วเมื่อยศจะสลายตัวไป หรือไม่มียศท่านก็สบายใจ ไม่มีความทุกข์ สำหรับสมณะเล็ก ได้รับการสรรเสริญเยินยอก็ยิ้ม ๆ แล้วก็รับไว้ แต่ทำจิตใจสบาย ถือว่าการสรรเสริญนี่ไม่แน่นักเพราะอะไร เพราะว่าไม่แน่ว่าเราจะดีเท่าคำสรรเสริญ เมื่อเขาสรรเสริญมาแล้วเราก็พิจารณาตัวเราตามความเป็นจริง เพราะตัวของเราเองเรารู้ ไม่มีคนอื่นใดใครจะรู้ตัวของเรายิ่งไปกว่าเรา ถ้าเห็นตัวของเราไม่ดีตามคำสรรเสริญ ก็นึกในใจว่า แล้วคนสรรเสริญนี่ตาไม่ค่อยดี นี่เราดีไม่ถึงนั้นแอบมาสรรเสริญเราได้ แต่ก็ไม่โกรธเขา สำหรับพระสมณะใหญ่ท่านวางไปเลย เห็นว่าคำสรรเสริญนี้มีอุปมาเหมือนกับหอกหรือแหลนหลาวที่มาเสียบแทงหัวใจ เพราะการสรรเสริญปรากฏทีไร คราวนั้นปรากฏว่าเขาต้องการให้เราเป็นทาสรับใช้ของเขา นี่ความรู้สึกของสมณะใหญ่

ถ้าเรื่องของการนินทาว่าร้าย สำหรับสมณะเล็กก็ต้องอาศัยความอดใจเข้าไว้ ถือตามพระบาลีที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า นัตถิโลเก อนินทิโต คนที่เกิดมาในโลกไม่ถูกนินทาเลยไม่มี นี่มีความอดทน อดใจเข้าไว้ ได้ยินเขานินทา แทนที่เราจะไปต่อว่าต่อขานกับเขา เราไม่เอา อดใจเข้าไว้ ถือว่าช่างมัน สำหรับสมณะใหญ่นั้นท่านไม่คิดอย่างนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังคำนินทาว่าร้าย จิตใจของท่านสบาย ถือว่า เออ ธรรมดา ในเมื่อขันธ์ ๕ คือร่างกายมันยังปรากฏเพียงใด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นเครื่องประจำโลก มันต้องกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ท่านยิ้มได้แบบสบายๆ นี่เป็นอาการของสมณะใหญ่

ทีนี้ ว่ากันถึงความสุขทางกาย ถ้าเกิดขึ้น คือความไม่ป่วยไข้ไม่สบาย มีพาหนะใช้ตามความต้องการ นี่มีความสัมผัสตามความประสงค์ สมณะเล็กก็มีความพอใจ แต่ทว่าใจของสมณะเล็กไม่งุ่นง่าน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มัวเมากับความสุข คิดว่าความสุขมาเมื่อไรปัจจัยของความทุกข์มาเมื่อนั้น เพราะสุขของโลกีย์มีหน้าที่อย่างเดียว คือเป็นพื้นฐานรับความทุกข์ ท่านไม่เมาในความสุขที่เป็นโลกีย์ ทีนี้สำหรับสมณะใหญ่ ถ้าความสุขใดเกิดขึ้นมากับกายก็ดี หรือกระทบใจเข้ามาสักนิดเป็นวิถีทางของโลก ท่านสมณะใหญ่ยิ้ม บอกว่านี่ เรื่องของชาวโลกเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าร่างกายของใครในโลก หาความสุขจริง ๆ ไม่ได้ โลกไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งแห่งความจริง โลกเต็มไปด้วยความสับปลับ โลกเต็มไปด้วยความกลับกลอก ท่านไม่ยินดีแล้วก็ไม่ยินร้ายในความสุขนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่าความสุขหรือความทุกข์ใดๆ ที่เกิดมาในสมัยที่ทรงร่างกาย เป็นเรื่องผ่านไปชั่วขณะ ถ้าเราทิ้งอัตภาพนี้ได้เมื่อไร ความสุขใหญ่จะมีแก่เราเมื่อนั้น ท่านไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจเมื่อความสุขเกิด

ทีนี้ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นกับร่างกาย ท่านสมณะเล็กอดกายอดใจเข้าไว้ คือว่ามีขันติความอดทนเข้าไว้ว่า เออ ความทุกข์ที่เกิดกับร่างกายอย่างนี้มันก็อาจจะเป็นชั่วขณะหนึ่ง เราจะพยายามหาทางระงับทุกขเวทนาที่จะพึงเกิดกับกายหรือว่ากับใจ ถ้ายังหาทางไม่ได้ก็อดใจเข้าไว้ อดทนเข้าไว้ บางทีอดใจไม่ไหวก็อัดใจเข้าไว้ก่อน ไม่ปล่อยอาการขึ้นลง อาการที่ไม่น่าดูไม่น่าชมไม่สมกับความเป็นสมณะให้ปรากฏออกมา สำหรับสมณะใหญ่ที่พบกับความทุกข์เข้า จะเป็นทางกายก็ดีทางวาจาก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยิ้มได้เป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะผ่านไม่ได้ แล้วก็ดีใจที่เห็นว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง ทุกข์เป็นครูใหญ่ ที่จะทำให้จิตใจของเราไม่เกาะขันธ์ ๕ เป็นโลกต่อไป นี่อาการของสมณะที่ท่านทั้งหลายจะพึงพบเห็น

เมื่อสรุปเอาง่ายๆ ก็ว่า สมณะจริงๆ นั้น ไม่ใช่ถือเพศเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบัน มักจะถือเพศและถืออาการที่แสดงออก เพศก็หมายความว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองบ้าง โกนหัวห่มผ้าขาวบ้าง บางทีไม่โกนหัว แต่ว่านุ่งขาวห่มขาว อย่างนี้เป็นต้น บางทีไม่โกนหัว ไม่นุ่งขาวห่มขาว แต่ว่าทำท่าทีว่าจะเป็นพระอรหันต์ ทำท่าทางให้สงบอย่างนี้ ยังถือว่าเป็นสมณะไม่ได้ ต้องถือเอาการประพฤติ หรือความรู้สึกของใจเป็นสำคัญ นี่การเห็นสมณะทุกวันคือท่านทรงไว้ซึ่งความดี เราเห็นบ่อยๆ ได้ยินท่านพูดบ่อย เราเองก็ชักจะเป็นสมณะขึ้นมาด้วย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าการคบคนเช่นใดย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น ถ้าเราอยู่ใกล้คนกินเหล้าเมายา ไม่ช้าเราก็เป็นนักดื่มคอทองแดงไปด้วย ถ้าเราอยู่ใกล้กับคนที่ประพฤติดีประพฤติชอบ เราก็เป็นคนดีไปด้วยเพราะการเห็น การสมาคม การใกล้ชิดสนิทสนมเป็นปัจจัยดึงกำลังใจของเราให้เดินไปหา ทีนี้ การเห็นสมณะ พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าเป็นอุดมมงคล หมายความว่ามีความสุขไม่มีความทุกข์ เพราะสมณะมีกายไม่มีโทษ มีวาจาไม่มีโทษ มีความรู้สึกของใจไม่มีโทษ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดแก่บุคคลอื่นใดจากทางกาย วาจา และใจ สำหรับมงคลนี้ขอผ่านไป ว่ากันไปอีกมงคลหนึ่ง เป็นมงคลที่ ๓๐
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2558 06:32:13 »



ตโป จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๓๑ "การบำเพ็ญตบะจัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

คำว่า ตโป จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ พระบาลีผู้นี้ใครผู้แปล ท่านแปลไว้ว่า การบำเพ็ญตบะจัดว่าเป็นอุดมมงคล คำแปลของท่านบวมๆ อยู่ ก็ไม่เป็นไร

คำว่าตบะ แปลว่าอาการที่เผาผลาญความชั่วคือบาป เรามานั่งช่วยกันทำ นี่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าคนทุกคนนะ มาช่วยกันบำเพ็ญกิจที่ทำลายความเป็นอมิตร คือเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน เป็นศัตรูทั้งตัวเรา และศัตรูทั้งบุคคลอื่นให้พินาศไป อะไรที่เป็นปัจจัยของความทุกข์ เรามานั่งปฏิบัติกันเลย การบำเพ็ญนี่แปลว่าการปฏิบัติ ทำลายมันให้หมดไป

อันดับแรก ปัจจัยที่เราต้องการ คือต้องการให้คนทุกคนในโลกมีศีล ๕ แล้วพวกเราทั้งหมดทั้งโลกก็มานั่งปฏิบัติศีล ๕ พร้อมๆ กันไป คำว่าบำเพ็ญในที่นี้ ไม่ต้องมานั่งเฉ ๆ คือมีจิตคิดอยู่ว่า เราจะไม่ทำลายใครทางร่างกาย ไม่ทำลายทรัพย์สินของใคร ไม่ทำลายจิตใจของใครในด้านความรัก พูดด้วยความเป็นจริง ทำสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์นี่เป็นอันดับแรก

อันดับที่ ๒ ก็ทรงความดี คือมีเมตตาความรัก ในบุคคลและสัตว์ทั้งหมด สงสารเกื้อกูลซึ่งกันและกันให้มีความสุขตามฐานะที่เราจะพึงทำได้ ตัดอารมณ์อิจฉาริษยาไม่ว่าใครทั้งหมด ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย แล้วก็ช่วยส่งเสริมความดี วางเฉยในเมื่อกรณีอันใดปัจจัยของโลกมันเกิดขึ้นซึ่งเราไม่สามารถจะยับยั้งได้ ไม่ทำใจให้กระวนกระวาย นี่เป็นการบำเพ็ญตบะอย่างหนึ่ง แล้วสูงขึ้นไป ก็ทำใจให้ผ่องใสผิดกว่าคนปกติ หมายความว่าอารมณ์ใจของเรานี้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่าคนทั้งหลายที่เกิดมาในโลกก็ดี สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกก็ดี สิ่งที่มีความเสมอกันนั่น ก็คือ ๑.ความไม่เที่ยง ที่ตามพระบาลีท่านเรียกว่าอนิจจัง มันเกิดแล้วก็แก่ อีตอนเสื่อมไปหาความแก่ความทุกข์ คือความง่อนแง่นของร่างกายมันก็เกิด ไอ้ความง่อนแง่นของร่างกายเกิดนี้ ถ้าใจไม่สบายแล้ว ใจมันก็โยกโคลงไปด้วย นี่เราไม่ปล่อยให้ใจโยกโคลง ถือว่าเป็นกฎธรรมดา เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า เกิดมานี่ต้องมาพบกับเหตุอย่างนี้ แล้วในที่สุดอาการตายมาถึง ตัวทำลายมาแล้ว ตัวทำลายมา ถือเป็นเรื่องธรรมดา คนเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น วัตถุต่าง ๆ มีขึ้นมากมีความทำลายหมดเท่านั้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลกนักบำเพ็ญตบะ ถือเรื่องธรรมดาเป็นสำคัญ แล้วก็พร้อมกันนั้น ก็ทรงพรหมวิหาร ๔ มีศีลเป็นปกติ ถ้าคนในโลกทั้งหมดนี้ทำได้อย่างนี้ ท่านผู้อ่านท่านจะคิดว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข หรือว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยความทุกข์

นี่ การศึกษามงคล เขาต้องศึกษาเรื่อยๆ ขึ้นไป คือทำความดีตั้งแต่เล็กมาหาใหญ่เพราะว่าตอนนี้ ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสสูงขึ้นมาตามลำดับ เหมือนกับคนพยายามขึ้นที่สูง แต่ว่าขึ้นในทางลาด ไม่ใช่ขึ้นในทางชัน

ความจริงมงคล ๓๘ ประการนี่มีประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตร ตรัสไว้เป็นพื้นฐานที่เหมาะสม เหมาะแก่การปฏิบัติของแต่ละบุคคลอันแรกก็ปฏิบัติมงคลต้นให้เข้าถึงจุดของความดี แล้วค่อยๆ ขยับมาทีละน้อยๆ อันนี้รู้สึกว่าปฏิบัติง่ายกว่ามรรค ๘

คนเราโดยมากถ้าคนบอกเขามาถามว่า พระพุทธศาสนามีอะไรเป็นหลัก โดยมากจะไปเอา มรรค ๘ ไปให้เขา เหมือนกับเราส่งต้นตาลไปให้เขาไต่ขึ้น นี่มันแย่ มันแย่จริงๆ การจะขึ้นยอดตาลซึ่งมันไม่มีกิ่งไม่มีก้าน มันจะไหวรึ  ตานี้เราไม่เอายังงั้นละ ถ้าเขาถามว่าพระพุทธศาสนามีอะไรเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิบัติจากง่ายๆ ขึ้นไปทีละน้อยๆ แบบสบายๆ เหมือนกับเด็กอ่อนพึ่งสอนเดิน เราจะเรียกให้ขึ้นบันได ๘ ขั้น แต่บันไดชันมันจะขึ้นไม่ไหว ถ้าจะให้เด็กไต่ไปตามทางลาด ก็จะขึ้นได้ เราก็โชว์กับชาวต่างประเทศหรือศาสนาอื่นเขาว่าของเราดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสมงคล ๓๘ ประการเข้าไว้ ถ้าใครปฏิบัติได้ตามนี้ จะปฏิบัติได้ตามแบบสบายๆ ไม่หนักอกไม่หนักใจ หาความดีได้เป็นขั้นๆ จนกระทั่งขั้นสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ้นทุกข์ คือเป็นอรหัตผล

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน มงคลข้อที่ ๓๑ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2497


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 04 กันยายน 2558 06:43:11 »


พฺรหฺมจริยญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
มงคลที่ ๓๒ "การประพฤติพรหมจรรย์ จัดว่าเป็นอุดมมงคล"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)

มงคลที่ ๓๒ พระบาลีว่า พฺรหฺมจริยญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า การประพฤติพรหมจรรย์ จัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่าการประพฤติพรหมจรรย์ ท่านผู้อ่านที่มีความรู้ทางภาษาบาลีก็พอจะเข้าใจ ที่ไม่มีความรู้อยู่บ้างชักจะยุ่ง คิดว่าพรหมจรรย์ก็คือนักบวชที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองบ้าง บางทีสตรีที่ยังไม่มีประจำเดือนเขาเรียกว่าพรหมจารี ก็แปลว่าพรหมจรรย์ ความนี้ เป็นความเฉพาะชาวโลกเท่านั้น แต่สำหรับมงคลนี้ไม่ได้ถือยังงั้น ถือว่าการประพฤติพรหมจรรย์ คำว่าพรหมจรรย์ จรรย์ แปลว่าความประพฤติ พรหม แปลว่าประเสริฐ อันนี้ก็ต้องเรียกว่าการประพฤติอย่างประเสริฐ นี่มงคล ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าทรงยกสูงขึ้นมาแล้ว เพราะปัจจัยเดิมก็ได้แก่การบำเพ็ญตบะ เป็นเครื่องเผาผลาญบาป คือไม่มีความชั่ว ความชั่วมีเท่าไร เผาให้หมด เมื่อเผาหมดแล้ว ก็เข้าถึงความประเสริฐ ตานี้ ความประเสริฐ จะประเสริฐกันตรงไหน อะไรเรียกว่าประเสริฐ คำว่าประเสริฐนี้ แปลว่าไม่มีที่ติ อันนี้ชักยุ่ง คำว่าไม่มีที่ตินี่ คนติคือใคร สำหรับคนตินี่ ถ้าเป็นชาวโลก ถือเอาไม่ได้แน่ เพราะชาวโลกแกมีอะไรไม่แน่นอน โลก แปลว่ามีอันที่จะต้องฉิบหายไป คราวนี้ชาวโลกนี่ก็ต้องแปลว่ากลิ้ง หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ถ้าไปมองฟังชาวโลกติละก็ ตายแล้วหาความเป็นพรหมจรรย์กันไม่ได้ ทีนี้ คนที่เราจะรับติรับชมก็มีอยู่คนเดียว คือคนที่หมดกิเลส มีองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายโดยเฉพาะ ที่ได้ถึงความเป็นอรหันต์แล้ว คือหมดเลว มีแต่ความดีการรับฟังการติการชม ได้แต่พึ่ง ๒ ประการนี้ คือพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ถ้าไปนั่งฟังชาวโลกติชาวโลกชมละก็เสร็จ เป็นโรคเส้นประสาทตายหมด ทีนี้ คำว่าดีโดยประเสริฐหรือดีอย่างประเสริฐ ประพฤติอย่างประเสริฐ คือประพฤติพรหมจรรย์ เราจะเอาอะไรมาเป็นสำคัญ สิ่งที่เราจะเห็นได้ง่ายที่สุดเป็นเครื่องวัด ก็คือรากเหง้าของความชั่ว รากเหง้าของความชั่วน่ะมันมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.โลภะ ความโลภ ๒.โทสะ ความโกรธ ๓.โมหะ ความหลง ถ้าเราขุดรากเหง้าของมันทิ้งเสียได้แล้ว ไอ้กิ่งก้านสาขาไม่ต้องห่วงไม่มีอะไรเหลือ การประพฤติพรหมจรรย์ในข้อนี้ ก็หมายความว่าทรงตบะ เผาผลาญความชั่วให้สิ้นไป นี่ความจริงท่านน่าจะกล่าวรวมกันไว้ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าจะเป็นการลำบาก ความจริงเอาข้อที่ ๓๑ กับ ๓๒ ถ้ารวมกันไว้ก็ได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นว่าจะเข้าใจลำบากจึงแยกออกไปเสีย

เมื่อเราเผาผลาญความชั่วแล้ว ก็ประพฤติเฉพาะความดี นี่ท่านแยกให้เห็นง่ายๆ ค่อยๆ ขยับไป รู้สึกว่าสบายดีจริงๆ การปฏิบัติตนตามมงคลน่ะปฏิบัติสบาย ค่อยๆ ขยับไปทีละน้อยๆ จะเห็นได้ชัดว่ามันดีหรือมันชั่ว เราก็เอามงคลเป็นเครื่องวัดกำลังใจของตัวเท่านี้พอ สบายจริงๆ ตานี้ เมื่อเราเผาผลาญบาปหมด ถ้าเราไม่ประพฤติความดี ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นคนดีอย่างนี้ ท่านเรียกว่าโคตรภู ยังอยู่ในระหว่างกลาง เป็นอันว่าเราไม่ทำความชั่ว แต่เรายังไม่สร้างความดี เราละความชั่วแล้ว แต่ความดีเรายังไม่ทำ ยังไม่ชื่อว่าดี ตรงนี้น่ะ มันยุ่งสักนิดละมั๊ง เราไม่ด่าเขา แต่เรายังไม่ชม นี่เทียบให้ฟัง คนนี้เราไม่ด่าเขา แต่เรายังไม่ชม เราไม่ด่าเขา เป็นการวางเฉย แต่เรายังไม่ชมเขายังไม่เรียกว่าดี ตานี้ สิ่งที่เราจะทำต่อไป เราไม่กินเหล้าเมาสุรา แต่ว่าเราก็ไม่ประพฤติการเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น นี่เรียกว่าความชั่วเราไม่ทำ แต่ความดีเราก็ยังไม่ได้ทำ ละความชั่วได้ ความดียังไม่ทำ ในข้อนี้ก็เหมือนกัน เราพยายามเผาผลาญความชั่วให้สิ้นไป แต่ความดียังไม่ทำ ถ้าจะพูดโดยผลทางใจมันก็เกิดแล้ว แต่มันเกิดไม่สนิทนัก นี่ไม่ต้องมาวินิจฉัย ว่ากันไปเลยดีกว่า รำคาญใจคนอ่าน เมื่อเราเผาผลาญความชั่ว จากมงคลในข้อ ๓๑ แล้ว มาข้อ ๓๒ ตั้งใจประพฤติความดีทุกจุด ที่เป็นจุดของความดีอันนี้ เป็นเรื่องของธรรมะชั้นสูงแล้วตรงไหนล่ะ เราทำกันตรงไหนจึงจะถึงความดี นี่มันเรื่องใหญ่เสียแล้วนี่ ความดีก็คือ ๑.เราไม่สนใจกับความดีและความชั่วของบุคคลอื่น มาสนใจกับใจเราโดยเฉพาะ ไอ้เรื่องกายกับวาจานี่ความจริงไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็ได้ เรายุ่งกับใจตัวเดียวพอ เพราะกายกับวาจามันขึ้นกับคำสั่งของใจ ถ้าใจดีแล้ว กายกับวาจามันก็ดีด้วย นี่เรามาควบคุมกำลังใจของเราให้อยู่ในขอบเขตของความดี ดีแบบไหนบ้าง แหม ถ้าจะงัดอุทุมพลิกสูตรมาพูดมันก็ยาว ตั้งหลายสิบข้อ ไม่เอาละ เอากันดีตรงที่ว่าไม่มีความโลภ ง่ายๆ หน่อยไม่โลภ แล้วไม่ติดใจในทรัพย์สิน ไม่มัวเมาในทรัพย์สิน เห็นว่าทรัพย์สินเหล่านี้ มีความจำเป็นเหมือนกันในสมัยที่มีชีวิตอยู่ แต่อารมณ์ใจของเราก็รู้ มันกับเราต้องแยกกัน ไม่แยกกันตอนที่เราตายแล้ว ก็แยกกันในระหว่างที่เราไม่ทันตาย เพราะว่าทรัพย์สินทั้งหลายนี้ มีขึ้นมาได้ก็สลายได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่าไม่เมาในทรัพย์สิน ไม่ติดอยู่ในทรัพย์สิน ตัวนี้เอากันตัวสูงเลย ไม่ติด เขาให้รับ มีทางที่จะได้มา รับ รับแล้วก็จัดทรัพย์ที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตตระ ทำโลกียทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ ทำยังไง? ธนบัตรใบเดียวกันมันทำได้ ๒ อย่าง ใบเดียวกัน ถ้าเราเอาไปซื้อสุราดื่ม หรือซื้อปืนมาไล่ยิงชาวบ้าน นี่มันสร้างความทุกข์ ถ้าธนบัตรใบนั้นเราเอาไปสงเคราะห์คนที่รับความทุกข์ให้มีความสุข มันก็เป็นเหตุของการสร้างความสุข ทีนี้มาเรื่องของความโลภของท่านที่ประพฤติพรหมจรรย์ เห็นค่าของทรัพย์สินทั้งหมดมีค่าทุกอย่างไม่ใช่ว่าไร้ค่า แต่ว่าถ้าจะนำทรัพย์ไปใช้ในค่าของโลกีย์ คือสะสมให้ตัวเองร่ำรวยมหาศาล เห็นว่าขอบเขตนี้ยังสั้นเกินไป เวลาเราตายเราแบกไปไม่ได้ เมื่อมีทรัพย์ก็แบ่งทรัพย์นั้นไว้ตามความจำเป็น ส่วนที่เหลือนั้นแจกจ่ายความสุขตามที่เราจะเห็นสมควร ถ้าฝนมันตกน้อย ก็เอาสตางค์ไปช่วยพระเจ้าแผ่นดินท่านเสกฝน หาวัตถุมาช่วยกำลังคนที่ขาดฝน เขาจะได้ได้ฝนทำพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เกิดขึ้นมันก็มีความสุขมาถึงเรา หรือว่าโรคภัยไข้เจ็บมันเกิดขึ้น ก็ช่วยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้หรือจะไม่ช่วยเข้าไปถึงกระทรวง รวมกันเข้า เอาสตางค์ไปซื้อยามาแจกให้แก่คนไข้ตามนายแพทย์สั่ง ดังนี้ก็ใช้ได้ หรือว่าเห็นว่าใครเขายากจนเข็ญใจมีความทุกข์ เราก็บำรุงความสุขตามสมควร หรือว่าสร้างส่วนสาธารณประโยชน์ เป็นส่วนกลางๆ ไม่ใช่ส่วนของใคร ใครจะมาใครจะไปก็ใช้ได้สม่ำเสมอกัน อย่างนี้เรียกว่าทำโลกียทรัพย์ ให้เป็นโลกุตตระทรัพย์ คือทำธนบัตรให้เป็นความดีเกิดขึ้น ไม่เมาในลาภ นี่พรหมจรรย์ประพฤติอย่างประเสริฐ

ประการที่ ๒ ละความโกรธด้วยอำนาจของความเมตตา เมตตาก็ดี ละความโกรธก็ดี การสงเคราะห์คนก็ดี นี่ อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ไปๆ มาๆ ก็มาลงเจ๊งกันอยู่ตรงนี้ เราก็ละความโกรธเสียด้วยอำนาจเมตตา การช่วยเขามันเป็นการกรุณา ความสงสาร เราไม่โกรธ ไม่พยาบาทใครเสีย ใจมันก็สบายเราก็สุข คนอื่นก็สุข เพราะเราไม่เป็นศัตรูของใคร และเราก็ไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรูของเขา นอนสบาย หลับสบาย ตื่นสบาย จะอยู่นอกบ้านในบ้านก็สบาย ใจมีความสุข เลิก ถือว่าโกรธเป็นไฟเผาผลาญ แล้วเราก็ไม่หลงเห็นอัตภาพร่างกายของเราว่ามันจะทรง คงทนถาวรต่อไป รู้ตัวว่ามันแก่ทุกวัน ความเมามันในโลกีย์วิสัยเลิก เพราะมันอยู่ไม่นานนี่ มันก็ไปแล้ว มันจะพังของที่เราได้มาก็พัง เราจะไปมั่วสุมกับบุคคลใด คนทั้งหลายเหล่านั้นไม่ช้าก็พัง ถ้าเขาไม่พังก่อน เราก็พังก่อนเขา ไม่เห็นมันมีอะไร ขุดรากขุดเหง้าของความชั่วทั้ง ๓ ประการนี่โยนทิ้งไปด้วยการเป็นผู้มีพรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐาน เมื่อพรหมวิหาร ๔ มีแล้ว มันจะมีอะไร ศีลมันก็บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิ ความมีจิตใจตั้งมั่น ไม่ต้องไปนั่งหลับตาก็ได้ ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ จริงๆ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ต้องไปยกป้ายว่าฉันเป็นนักสมถะ วิปัสสนา ไม่ต้อง สมาธิมันทรงตัว เพราะอะไร เพราะอารมณ์ของความชั่วไม่มีที่เราฝึกสมาธิกันนี่ เราฝึกจิตให้หลีกจากความชั่ว ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ แล้วมันจะชั่วกันตรงไหน พรหมวิหาร แปลว่าที่อยู่ของพรหม ที่อยู่ของคนประเสริฐ ถ้าเราจะประพฤติให้เข้าถึงความประเสริฐ ก็ต้องเข้าถึงพรหมวิหาร ๔ จิตใจมันมีแต่ความรัก ความเมตตาปรานี ปรารถนาในการสงเคราะห์ ไม่อิจฉาริษยาใคร มีอารมณ์ใจวางเฉยในขันธ์ ๕ โอ๊ะ สูงไปไหม? ไม่สูง เพราะตัวนี้เป็นตัวสูงเสียแล้ว มีจิตใจวางเฉยในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้เรื่องไหม ไม่รู้เรื่องก็เอายังงี้ดีกว่า มีจิตใจวางเฉยในร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่ มันจะป่วยก็ตามใจ รักษาหายก็หาย ไม่หายก็แล้วไป มันจะตายก็ปล่อยมัน เพราะเห็นว่าร่างกายนี้นั้น เป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นบ่อน้ำที่รับน้ำ คือความทุกข์เข้ามาขังไว้ ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว ทุกข์จากความหิว ความกระหาย ความหนาว ความร้อน มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีสรรเสริญอะไรจิปาถะ มันจะไม่มีเลย นี่ เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์แบบง่ายๆ ไม่เห็นยาก เรียกว่าเอากันแต่ตรงดี

ไอ้ดีนี่ ถ้าจะไล่กันดะไปมันก็ไล่ไม่จบ หาจุดจบมันแค่พรหมวิหาร ๔ พอแล้ว ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ได้ดีจริงๆ จะพบพรหมจรรย์ จะไปไล่เอาไอ้โน่นมา เอาไอ้นี่มาให้ชาวบ้านเขาฟังลำบาก ไม่เป็นเรื่อง ผลที่สุดมันก็มาลงแค่พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร แปลว่า ที่อยู่ของผู้ประเสริฐ ถ้าเราไม่เรียกกันว่าพรหมจรรย์ จะเรียกกันว่าอะไร

มงคลข้อนี้ ขอผ่านไป ก่อนจะผ่านขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูสักนิดหนึ่ง ว่าคนที่ทรงความดีอยู่ในชั้นพรหมวิหาร ๔ ถ้าโลกนี้ทรงไว้ทุกคน โลกนี้จะมีความสุขตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลที่กล่าวกับเทวดาไหม อันนี้ ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายใช้ปัญญาพิจารณาเอาเอง อาตมาไม่ยัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านพูดไว้เสมอว่าพระธรรมเทศนา คือคำสอนของท่าน ท่านไม่กะไม่เกณฑ์ให้ใครเชื่อ ก่อนที่จะเชื่อต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน อันนี้ ก็ใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน เห็นว่าธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรมดี ก็เอาไปปฏิบัติ ถ้าไม่ดี ก็โยนทิ้งไป ไม่มีใครขัดคอ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.386 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 พฤศจิกายน 2567 05:05:11