การประหาณสังโยชน์
ทิฏฐิสังโยชน์
วิจิกิจฉา สังโยชน์ สีลัพพตปรามาสสังโยชน์
กามราคะและปฏิฆะอย่างหยาบ
กามราคะและ ปฏิฆะอย่างละเอียด
รูปราคสังโยชน์
อรูปราคสังโยชน์ มานสังโยชน์ อุทธัจจสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์
โอรัมภาคียสังโยชน์
คือ......................................................................
สังโยชน์ เบื้องต่้า ๕
ถูกประหาณโดย โสดาปัตติมัคคจิต
ถูกประหาณโดย สกทาคามิมัคคจิต
ถูกประหาณโดย อนาคามิมัคคจิต
อุทธัมภาคียสังโยชน์
คือ
สังโยชน์ เบื้องสูง ๕
ทั้ง ๕ ประการนี้ ถูกประหาณโดย อรหัตตมัคคจิต.........................................อกุศล กองที่ ๙......................................
กิเลส เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเกิดขึ้นเมื่อใดก็จะทำให้ผู้นั้นรู้สึกเดือดร้อนรำคาญใจ กิเลสเป็นเจตสิก ชนิดหนึ่ง เมื่อประกอบกับจิต จะทำให้จิตนั้นเศร้าหมองเร่าร้อน โดยปกติชีวิตประจำวันของบุคคลตั้งแต่เช้าตื่นขึ้น จนเข้านอนหลับไป กิเลสทั้งหลายก็เข้าครอบงำจิตใจได้เกือบตลอดเวลาอยู่แล้วทั้งเวลาหลับและ เวลาตื่น และถ้ากิเลสเกิดขึ้นในเวลาขณะใกล้ตายก็เป็นเครื่องบอกได้ว่าผู้นั้นจะไปเกิด ในอบายภูมิ ๔ ถ้าบุคคลทั้งหลายระมัดระวังมิให้กิเลสเข้าครอบงำจิตใจได้ จิตใจก็จะสบาย ปลอดโปร่ง หน้าตาผ่องใส เป็นที่สบายตาสบายใจแก่ผู้พบเห็น เมื่อตายลงก็จะไปสู่สุคติภพ กิเลส มี ๑๐ อย่าง คือ
เป็นความเศร้าหมอง เร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนเรา โลภะ คือ ความยินดี ติดใจ ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ แล้วทำบาปอกุศลลงไป เมื่อตายลงจะนำไปเกิดเป็น เปรต อสุรกาย ได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘
เป็น ความเศร้าหมองเร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนเรา โทสะ คือความโกรธความไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ประสบ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ แล้วทำบาปอกุศลกรรมลงไป เมื่อตายลงจะนำไปเกิดเป็น สัตว์นรก ได้แก่ โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิต ๒
เป็นความเศร้าหมองเร่าร้อน ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนเรา โมหะ คือ ความโง่ ความ หลง ความมัวเมาใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ แล้วทำบาปอกุศล กรรม ลงไป เมื่อตายลงจะนำไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่ โมหเจตสิก ที่ในอกุศลจิต ๑๒
เป็น ความเศร้าหมองเร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนเรา มานะ คือ ความเย่อหยิ่ง ถือตนว่าดีกว่าเขา ต่ำกว่า หรือ เสมอเขาแล้วทำบาปอกุศลกรรมลงไป เมื่อตาย...........................................................