[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 17:44:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา  (อ่าน 70695 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 มีนาคม 2553 09:57:26 »




พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

"ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" โดย หลวงปู่โง่น โสรโย


http://gotoknow.org/file/beone_01/view/414157


http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=349

คัดมาจากหนังสือ .. " ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา " ..
เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
 

ผู้โพส : แดดส่อง
 
Credit by :   http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2510

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:31:54 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 มีนาคม 2553 15:06:18 »



สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ

พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย

ณ เมรุชั่วคราว วัดพระพุทธบาทเขารวก

อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

จาก หนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ ๓๘๘ ปีที่ ๒๒ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้มีความเคารพนับถือได้ร่วมกันประกอบพิธีในการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่โง่น โสรโย ณ เมรุวัดพระพุทธบาทเขารวก ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย ในครั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ มิตรญาติ อย่างหาที่สุดมิได้
 
หลวงปู่โง่น โสรโย ได้อุบัติมาใช้ชีวิตในสมณเพศ บำเพ็ญประโยชน์และคุณูปการแก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา ตลอดถึงสังคมทุกระดับอย่างดียิ่ง เป็นเนติแบบอย่างอันงดงามของผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชีวิตจิตใจ หลวงปู่มีอัธยาศัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา สันโดษ รักสงบ เสียสละ ตามวิสัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนำสั่งสอนเหล่าประชากรโดยพุทธวิธี มีกุศโลบายในการรักษาตนให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งภายนอกและภายใน มีทัศนวิสัยในการปฏิบัติที่สมสมัย มีจิตใจใฝ่รู้วิชาทุกแขนง นำมาแก้ไขดัดแปลงก่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทำความแช่มชื่นให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น มีความเยือกเย็นเป็นสุขใจแก่ผู้เข้าใกล้ ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์

หลวงปู่โง่น โสรโย อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยมี ท่านเจ้าคุณสารภาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนมเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทปีแรก พระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ผู้อุปการะคือ หลวงพ่อวัง ได้ร้องขอและส่งให้ไปอยู่กับพระสหายของท่าน คือ เจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผรัตน์ ธมมญาโณ ที่วัดสุวรรณารามราชมหาวิหาร นครหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว ซึ่งต่อมา เจ้าบุญทัน บุปผรัตน์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แห่งราชอาณาจักรลาว ต่อมากรุงเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๒๘

ส่วน หลวงปูโง่น โสรโยในขณะนั้นเป็นพระนวกะ ได้เรียนนักธรรมและบาลีแบบลาว ซึ่งเจ้ายอดแก้ว บุญทัน ทรงรักใคร่โปรดปรานมาก เพราะดั้งเดิมเป็นสายญาติกัน และใช้งานได้คล่อง พูดไทยได้เก่ง เว้าลาวได้ดี ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสก็อาศัยได้ เพราะในระยะนั้นประเทศลาว ยังเป็นอาณานิคม เมืองขึ้นของฝรั่งเศส ท่านจึงต้องการให้พระภิกษุที่เข้ากับชาวต่างชาติรู้เรื่อง อยู่ด้วย เมื่อเวลาว่างท่านให้เข้าป่าเพื่อแสวงหาต้นไม้ที่เป็นยาสมุนไพร เพราะพระองค์ท่านทรงสนใจรับรู้ในเรื่องยาสมุนไพรมาก ตอนเข้าไปในป่าถึงเขตทุ่งไหหิน โดนทหารลาวและทหารฝรั่งจับในข้อหาเป็นจารชนจากเมืองไทยไปสืบความลับ ถูกขังคุกขี้ไก่ ๓๐ วัน พร้อมพระลาว ๒ รูป กับเด็กอีก ๑ คน เด็กคนนั้น คือ เจ้าสิงคำ ซึ่งต่อมาก็คือ ท่านมหาสิงคำ ผู้ทำงานช่วยพวกลาวอพยพร่วมกับสหประชาชาติ อยู่ที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ท่านจึงไปมาหาสู่บ่อย เพื่อขอความช่วยเหลือให้พี่น้องชาวลาว หลวงปู่โง่นก็ได้ช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ความสามารถจะมี

เรื่องการติดคุกขี้ไก่อยู่เมืองทุ่งไหหินนั้นสนุกมาก เขาเอาไก่ไว้ข้างบน คนและพระอยู่ข้างล่าง ไก่ขี้ใส่หัวตลอดเวลา เหม็นก็เหม็น ทรมานก็ทรมาน สนุกก็สนุก ได้ศึกษาธรรมไปในตัว ความทราบถึงเจ้ายอดแก้ว พุทธชิโนรสสกลมหาสังฆปาโมกข์ ท่านได้ร้องขอให้ปล่อยตัว แต่ทหารปล่อยเฉพาะพระลาว ๒ รูป กับเด็ก ๑ คน ส่วนหลวงปู่โง่นเขาไม่ปล่อย เพราะเข้าใจว่าเป็นคนไทย ด้วยเหตุที่พูดไทยได้เก่ง ทั้งนี้ ขณะนั้นเป็นช่วงระหว่างสงครามอินโดจีน ฝรั่งยุให้คนไทยกับคนลาวเป็นศัตรูกัน เห็นคนไทยก็จับขังหรือฆ่าทิ้งเสีย จึงมารู้ตัวเข้าคราวหลังว่า เรามันคนปากเสีย ปากพาเข้าคุก เพราะพูดภาษาไทย

ภายหลังสมเด็จพระสังฆราชลาว ท่านออกใบสุทธิให้ใหม่ โอนเป็นพระลาวเป็นคนลาวไป เขาจึงปล่อยตัวออกมา แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของพวกนักสืบอยู่นั่นเอง จึงกราบทูลลาผู้มีพระคุณ หาทางมุ่งกลับเมืองไทย แต่ไม่รู้จะมาอย่างไร จึงตัดสินใจไปพบคนที่รู้จักรักใคร่คือ ท้าวโง่น ชนะนิกรซึ่งเป็นข้าราชการลาวอยู่ในระยะนั้น ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง มีแต่หลุมหลบภัยและเสียงปืน ที่พี่ไทยกับน้องลาวยิงกันไม่ขาดระยะ ต้องธุดงค์ปลอมแปลงตัว เดินเลียบชายฝั่งแม่น้ำโขงลงมาทางใต้ ถึงใกล้เมืองท่าแขก ได้รับความช่วยเหลือจากพระลาวที่รู้จักกัน คือ ครูบาน้อย หาทางให้ได้เกาะเรือของชาวประมงข้ามฝั่งมาไทย พอถึงแผ่นดินไทยก็โดนร้อยตำรวจเอกเดช เดชประยุทธ์ และ ร้อยตำรวจโทแฝด วิชชุพันธ์ จับในข้อหาเป็นพระลาวหลบเข้ามาสืบราชการลับในราชอาณาจักรไทย ถูกจับเข้าห้องขัง ฐานจารชน อยู่ ๑๐ วัน ร้อนถึงพระพนมคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง ได้เจรจาให้หลุดรอดออกมา

พอพ้นจากห้องขังมาได้ ก็เข้ากราบพระอุปัชฌาย์คือ ท่านเจ้าคุณสารภาณมุณี สั่งให้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานกับ พระอาจารย์วัง ที่ถ้ำไชยมงคล ภูลังกา และไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ตอนเข้าพรรษา พระอุปัชฌาย์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ สอบได้นักธรรมตรี พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบได้นักธรรมโท พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้นักธรรมเอก ต่อมาหนีออกธุดงค์เข้าถ้ำ จำพรรษาที่ถ้ำบ้านยางงอย อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม กับอาจารย์สน อยู่ ๑ ปี พระอุปัชฌาย์รู้ข่าวเรียกตัวกลับ สั่งให้มาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม โดยบังคับให้เป็นครูสอนนักธรรมโท อยู่วัดศรีเทพ ๒ ปี เพราะวัดทั้งสองอยู่ใกล้กัน ไปกลับได้สบาย ผลของการสอนได้ผลดีมาก นักเรียนสอบได้ยกชั้นทั้ง ๒ ปี พระอุปัชฌาย์ชมเชยมาก และปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็นครูสอนนักธรรมเวลาเช้า ส่วนเวลาบ่าย หลวงปู่เป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์

ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ สอบเปรียญธรรม ป.ธ.๓ แต่ต้องตกโดยปริยาย เพราะข้อสอบรั่วทั่วประเทศ จึงต้องสอบกันใหม่ เกิดความไม่พอใจในวิธีการเรียนแบบสกปรก จึงย้อนกลับไปพึ่งใบบุญของสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศลาว และได้ตั้งใจเรียนแบบลาว สอบเทียบได้เปรียญ ๕โดยสมเด็จพระยอดแก้วสกลมหาปรินายก ออกใบประกาศนียบัตรให้ จากนั้นท่านสั่งให้ไปเรียนต่อที่ประเทศพม่า พอดีขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพม่าพากันเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของอูนุ มีการจับพระชาวต่างชาติเข้าคุก หลวงปู่โง่นก็พลอยโดนด้วย แต่โชคดีที่พระมหานายกของพม่า คือ ท่านอภิธชะมหา อัตฐะคุรุ ได้ขอร้องและทำใบเดินทางให้เข้าประเทศอินเดีย เลยเข้าไปเมืองฤๅษีเกษ แคว้นแคชเมียร์ ไปฝึกฝนอบรมวิชาโยคะ ๑ ปี เมื่อมีเพื่อนนักโยคะชักชวนขึ้นไปเมืองยางเซะ และเมืองลาสะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศธิเบต เพื่อศึกษาภูมิประเทศ และหลักการทางพระพุทธศาสนามหายาน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 27 มีนาคม 2553 15:14:41 »



พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับมาเมืองไทย ท่านเจ้าคุณรัชมงคลมุนี วัดสัมพันธวงศ์ ส่งให้ไปเป็นหัวหน้าก่อสร้างพระอุโบสถจตุรมุขหลังใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ที่วัดสารนาถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อยู่ได้ ๕ ปี พระอุโบสถจวนเสร็จ ขออำลาหนีไปพักผ่อนชั่วคราว ไปพักอยู่กับญาติๆ ที่เมืองอังกานุย ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วไปอยู่แคนเบอร่า ประเทศออสเตรเลีย อยู่แห่งละ ๑ ปี แล้วไปอาศัยอยู่กับญาติโยมเก่า ที่เขาเคยอุปการะอยู่ประเทศลาว ที่เมืองรียอง ประเทศฝรั่งเศส

พ.ศ. ๒๔๙๘ กลับเมืองไทย ไปช่วยท่านมหาโฮม คือ เจ้าคุณราชมุนี วัดสระประทุม ที่ปากช่อง จากนั้นเดินธุดงค์เข้าป่าเข้าถ้ำหลายแห่ง คือ ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ถ้ำตับเต่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วล่องใต้ไปอยู่ถ้ำจัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ถ้ำขวัญเมือง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วมาถ้ำมะเกลือ เหมืองปิล็อก จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขึ้นถ้ำฤๅษี (ถ้ำมหาสมบัติ) ถ้ำเรไร จังหวัดเพชรบูรณ์

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงพ่อแพร คือ ท่านเจ้าคุณเพชราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์องค์ก่อน ได้นิมนต์มาสร้างโรงเรียนประชาบาล วัดท่าข้าม และสร้างพระประธานใหญ่ ไว้ที่เขตอำเภอชนแดน แล้วท่านร้องขอให้ไปอยู่แคมป์สน เขตอำเภอหล่มสัก อยู่ได้ปีเดียว ท่านเจ้าคุณวิมลญาณเวที วัดมงคลทับคล้อ ซึ่งเป็นเครือญาติกันมาก่อน ขอให้มาสร้างฌาปนสถาน และบูรณะศาลาการเปรียญวัดมงคลทับคล้อ พอเสร็จเรียบร้อย ท่านร้องขอให้มาช่วยเหลือประจำอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เพราะเป็นแดนทุรกันดาร หน้าแล้ง จะขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ด้วยความเห็นชอบและเลื่อมใสของท่านเจ้าอาวาส ตลอดจนญาติโยม ได้ลงมือพัฒนาสถานที่นี้ให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นหลายอย่าง อาทิ ได้ขุดสระกักเก็บน้ำไว้ในบริเวณหมู่บ้าน เก็บน้ำให้ชาวบ้านไว้ใช้ตลอดปี สร้างถนนจากบ้านวังหลุมถึงเขารวก เป็นระยะทาง ๕.๕ กิโลเมตร และสร้างโรงเรียนประถมศึกษา เป็นอาคารชั้นเดียว ยาว ๕๐ เมตร มีห้องเรียน ๘ ห้อง อีกทั้งปั้นหล่อรูปสมเด็จพระปิยมหาราชไว้ที่หน้าเสาธง มีขนาด ๑ เท่าครึ่ง ตั้งอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ของทุกปี จะให้มีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป และแจกทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนไม่น้อยกว่าปีละ ๑๐๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดมาจนทุกวันนี้

หลวงปู่ได้แปรผันสังขารของท่านเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ รวมสิริชนมายุได้ ๙๔ ปีเศษ นับว่ามีอายุมากในปัจจุบัน แต่สังขารของหลวงปู่ไม่แก่เฒ่าอย่างที่ทุกคนคิด เพราะท่านมีวิธีรักษาจิต เพื่อชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัติ มีธรรมสมบัติเป็นจิตใจ จึงเป็นใจที่สงบ อันใจที่สงบนั้น ย่อมไม่แก่ชราคร่ำคร่าดังพระพุทธภาษิต ว่า สตญฺจ ธมโม นชรํ อุเปติ ธรรมของผู้มีใจสงบนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความแก่ชราคร่ำคร่า ก็คือการชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัตินั่นเอง

คนส่วนมากมักปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม แต่หลวงปู่ท่านใช้ชีวิตของท่านเดินย้อนรอยกรรม โดยการนำตัวแฝงเข้ามาเป็นอุปกรณ์การเดินทางเพื่อย้อนรอยกรรม จึงทำให้ชีวประวัติของท่านโดดเด่น โลดโผน เป็นวรธรรมคติแก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

อันปฏิปทาของหลวงปู่โง่น โสรโย นั้น ตรงกับคำว่า “ปะฐะ วิปปะภาโส” แปลว่า ผู้ยังพื้นปฐพีให้สว่างไสว เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยที่เป็นดวงตาของโลก มีความชื่นชมยินดีเป็นที่รวมใจ มีรัศมีสีทองผ่องอำไพส่องโลกนี้ เป็นคาถาที่ปรากฏใน โมรปริตร์ ถ้าคิดถึงหลวงปู่ก็ให้เจริญมนต์บทนี้ จะได้รับความคุ้มครองจากธรรมสมบัติตามปฏิปทาบารมีของหลวงปู่โง่น โสรโย เหมือนท่านอยู่กับเราในฐานะตัวแฝง ตลอดไป


(ข้อมูลจากหนังสือ พระราชทานเพลิงศพ)

 รัก   http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngon/lp-ngon-his-02.htm
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 27 มีนาคม 2553 15:46:16 »







ขอบคุณ คุณหยางอี้เซิน สำหรับข้อมูลหนังสือ
พระสุพรรณกัลยาจากตำนานสู่หน้าประวัติศาสตร์
ที่กรุณานำมาแบ่งปันนะคะ อนุโมทนาค่ะ...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กันยายน 2554 18:25:30 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 16:56:33 »




พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

โดย หลวงปู่โง่น โสรโย
วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร (พ.ศ. ๒๕๔๑)


อันเรื่องราวที่กล่าวถึง พระประวัติของ พระนางสุพรรณกัลยา ที่จะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องข้าพเจ้าได้สัมผัส มาจากทางฝันโดยบังเอิญ และจากเกร็ดพงศาวดารที่คนต่างชาติ คือ พม่าเขาเขียนเอาไว้ก็ไม่มากนัก น้ำหนักก็อยู่ที่เรื่อง พระนางเลี้ยงน้อง และปกครองคนไทย เอาใจใส่พวกชาติเดียวกันเท่านั้น ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ถ้าท่านไม่ทำใจให้เปิดกว้างพอ พอที่จะรับฟังเหตุผล ก็คงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น impossible หรือ unbelievable นี่หว่า แต่เรื่องนี้มันก็เป็นไปแล้ว และก็น่าเชื่อถือ เพราะหลักฐานที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ก็ได้มาปรากฏ ดังที่จะได้กล่าวต่อไป

เมื่อปี พ.ศ. 2490 ประเทศสหภาพพม่า ได้รับการปลดปล่อย จากการเป็นเมืองขึ้น ของมหาอำนาจตะวันตก เขายกพม่าให้ปกครองตัวเอง เป็นเอกราช ข้าพเจ้าได้ถูกเชิญ (ถูกนิมนต์) จาก ท่านมหาปีตะโก ภิกษุ ท่านเป็นพระมหาเถระ ที่คงแก่เรียนทางธรรม ท่านเรียนจบพระไตรปิฏก ทางโลก ท่านจบมหาบัณฑิต สาขา Philosophy จากอ๊อกฟอร์ด ลอนดอน ในสมัยที่เราอยู่ร่วมกัน ที่ประเทศอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน อยู่ที่เมืองหงสาวดีคือ เมืองพะโค อยู่ทางทิศเหนือของกรุงแรงกุน (เมืองย่างกุ้ง) ท่านได้นิมนต์ ให้ข้าพเจ้าไปช่วยงาน ด้านปติมากรรม คือเป็นช่างเขียนฝาผนัง ซ่อมแซมรูปลายฝาผนังที่ชำรุดให้ดีขึ้น อันการปรารภเรื่องติดต่อกันในต่างประเทศ ข้าพเจ้าเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างไรก็ขอให้ได้กลับเมืองไทยก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มีนาคม 2553 19:01:54 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 16:57:56 »


พอมาถึงเมืองไทย ได้รับความดลใจ ในคำสั่งของตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยในทางฝัน จึงได้ออกเดินทางไป ดังที่จะกล่าวไว้ในตอนตามรอยกรรม ในระยะที่ข้าพเจ้าไปอยู่นั้น ก็เกิดเรื่อง ที่พระภิกษุสงฆ์ในประเทศพม่า ซึ่งประกาศไม่พอใจ ในนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวเรื่องสมณศักดิ์ คือเขาจะยกฐานะให้พระสงฆ์พม่า มีสมณศักดิ์เหมือนพระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ทั่วประเทศไม่พอใจ ในเรื่องลาภยศ จึงก่อเหตุเดินขบวนต่อต้าน รัฐจึงจำเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ อนุโลมตามความต้องการ ของพระสงฆ์ทุกอย่างเรื่องก็จบ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมา ก็มีพระสงฆ์อยู่สองประเทศ คือ พระสงฆ์พม่า และศรีลังกา

พระคุณท่านมีอำนาจในทางการเมือง เล่นการเมืองได้ สมัครเป็นผู้แทนได้ เข้าไปนั่งประชุมในสภาได้ เพราะพระคุณท่านไม่ยี่หระ ที่จะยอมรับเงินรับสินบน ค่าเงินเดือน เป็นค่าจ้าง เป็นพระลูกจ้าง อันเป็นค่านิยพัต ค่าตาลปัตพัดยศจากรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างจากทางรัฐ เขาไม่ยี่หระเหมือนพระสงฆ์ไทย อันเรื่องที่พระหม่องเดินขบวน ก็จบลงไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าสิ โดนข้อกล่าวหาอย่างหนักว่า ความวุ่นวาย ของพระสงฆ์เมียนม่าที่ผ่านมานั้น มีข้าพเจ้าอยู่เบื้องหลัง เพราะข้าพเจ้าไปเดินกับเขาด้วย และเป็นนายทุนสนับสนุน ในเรื่องค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราใช้ทรัพย์ส่วนตัวไปราวห้าหมื่น แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น มหาอำนาจตะวันตก ผู้ปกครองเขายังไม่ว่า อันเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า อังกฤษเขาไม่เอามายุ่งด้วย และผู้หลักผู้ใหญ่ของอังกฤษ ก็รู้จักกับเราดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 09:44:43 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 16:59:42 »


เขาจึงเพียงกักสถานที่ ให้เราอยู่ในบริเวณ ของกระท่อมของเรานั้นเอง ซึ่งก็มีเพื่อนรักคือ อ้ายเจ้าเก่ง ภาษาพม่าเขาเรียกสุนัขว่า คย คย ข้าพเจ้าก็ได้ถูกเรียกเป็น พ๊งจีคย คำว่าพระภิกษุภาษาพม่าเขาเรียกว่า พ๊งจี จึงเป็นพ๊งจีคยมาตลอด เพราะมีสุนัขเป็นเพื่อน เขากักขังบริเวณ ไว้สอบสวน 15 วัน และอาศัยพระสงฆ์ คือพ๊งจีของพม่าช่วยไว้ ชีวิตหนอชีวิต อันการตกเป็นผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้า ได้ประสบมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวลอะไรเป็นไรเป็นกัน ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2482 ถูกทหารลาวจับ อยู่เวียงจันทร์เมืองหลวงของลาว

            เขาจับในข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ไทย เข้าไปสืบความลับทางราชการ เป็นแนวที่ห้ามาจากเมืองไทย มันถามเป็นภาษาไทยว่า ท่านเป็นคนไทยหรือ ตอบมันว่าใช่ อาตมาเป็นพระสงฆ์ไทย เกิดเมืองไทย เป็นคนไทย เพราะระยะนั้น สมัยนั้นสงครามมหาเอเซียบูรพากำลังก่อตัวขึ้น อ้ายลาวไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มันจับขังใส่คุกขี้ไก่ไว้สิบห้าวัน (มันแท้ๆ) คุกขี้ไก่คือไก่อยู่ข้างบน คนอยู่ข้างล่าง แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น รัฐบาลไทย ได้ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด ไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาจึงปล่อยออกมา เมื่อข้ามมาฝั่งไทย ตำรวจไทยเห็นเข้า ถามเป็นภาษาลาวว่า (เจ้าหัวมาแต่ไส) ตอบมันว่า อาตมามาแต่ฝั่งซ้าย สำเนียงลาวแท้ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นพระลาว มาสืบความลับจับเข้าอีก ขังไว้โรงพักสองวัน แก้ตัวออกมาได้ เพราะเรามีหลักฐาน ทางหนังสือสุทธิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 09:55:20 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:01:26 »


          และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 สงครามเอเซียบูรพาสงบ ทหารไทยได้ตีเมืองพระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ กำปงโสม ของเขมร คณะสงฆ์ไทย จะเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศเขมร สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส (อ้วน) ท่านเป็นมหาสังฆนายกองค์แรก ในสมัยนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าไปด้วย เพราะเป็นคนที่พูดภาษาเขมร และภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะ เขมรเคยเป็นเมืองขึ้น ของฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อขบวนท่านเสด็จกลับ ข้าพเจ้ายังไม่กลับ เพราะมีธุระหลายอย่าง คือ ต้องการเรียนภาษาเขมรให้แตกฉาน จึงเดินทาง เข้าไปเมืองพนมเปญ โดนทหารเขมรจับเข้าอีก ตั้งข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นตัวการ ที่นำทหารไทยไปตีเอาบ้านเอาเมืองของมัน แก้ตัวออกมาได้เพราะ อาศัยบารมีของ เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์

            และหลังจากนั้นมาอีกหกปี คือปี พ.ศ. 2490 โดนอ้ายหม่องพม่าจับเข้าอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวล ไม่สะทกสะท้าน ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย เพราะเรื่องอย่างนี้ เคยโดนมาครั้งแล้วครั้งเล่า อันการติดคุกขี้ไก่ในประเทศลาวนั้น เท่าที่สืบดูในจำนวน พระสงฆ์ไทยก็มีอยู่สองท่าน คือตัวข้าพเจ้าเองติดก่อน ติดอยู่ถึง 15 วัน ท่านที่สองคือ พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม แต่ท่านสมชายติดทีหลัง ติดกี่วันไม่ได้ถามท่าน ติดเรื่องเดียวกัน ที่เขาถือว่าเป็นแนวที่ห้า แต่คนละวาระคนละแห่ง

ทุกครั้งที่ถูกจับกุมคุมขังนั้น เราไปช่วยเขา เราไปทำประโยชน์ให้เขา เราขนเอาเงินทองของส่วนตัวทั้งนั้น ไปช่วยเขาไปให้เขา พอเรามีเรื่องขึ้นมาจะหาใครๆ ช่วยเหลือไม่มีเลย นี้แหละหนา สัจจะธรรมกรรมแท้ๆ จึงได้คิดเป็นโคลงกลอนสอนใจตัวเองว่า

(เมื่อมั่งมี ผีผอม ตอมกันแดก เมื่อโลงแตก ผีอ้วนชวนกันหนี
เมื่อมั่งมีมากมาย มิตรหมายมอง เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง)

จะมีก็แต่เจ้าเก่งที่แสนรู้คู่บุญ ที่ติดตามมาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมห่าง มันนอนขวางทาง ทำท่าตาเขม็งเบ่งใส่ คนที่มันไม่ใว้ใจทุกคน จนพวกพม่ามันเรียกข้าพเจ้าว่า พ๊งจีคย (พระหมา) จึงได้ความคิดติดใจมาตลอดว่าเลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:00:39 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:02:18 »


          อันสถานที่ที่เขาให้อยู่ และกักบริเวณ เขาก็ให้อยู่ในสถานที่เดิม คือกระท่อมที่เขาจัดสร้างให้เอง แต่ก็อากาศดี มีสถานที่อยู่กว้างขวาง ไม่ได้ถูกผูกมัดพันธนาการอะไร มันให้อยู่ในบริเวณขอบเขต ที่มันกำหนดให้ เราก็สบาย ทุกๆ วันมันก็ให้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบ สอบแล้วสอบอีก เราทำเป็นไม่ยอมพูดกับมัน เพราะมันจะบีบคั้นเอาแต่เงิน เงินลูกเดียว ถ้าเราไม่ให้มัน มันจะปล่อยให้อดข้าวตาย ก็จะเอาอะไรมาให้ มันยึดเอาไปหมดแล้ว และยังจะมาบีบเอาอะไรอีก บ้าจริงๆ เสร็จแล้วมันก็หายไป วันหลังก็เปลี่ยนคนใหม่มาเฝ้า มาสังเกตุการณ์

ตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาถามตัวเองว่า เอาอย่างไรกันดี เราจะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (คนหนอคน) ยามอับจนคนเคียดแค้นชิงชัง ยามมั่งคั่ง คนประดังนอบน้อม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสบทั้งซวยโชคโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จึงได้ปรัชญาของชีวิตว่า (อันชีวิตที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่) ความโง่คือ ความที่จิตติดอยู่กับสุข ที่ติดยึดอยู่กับสุข ที่เป็นโลกียะ ผู้ฉลาดย่อมนำเอาความทุกข์ ที่ประสบมาเป็นบทเรียน

ในบทปฐมเทศนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลของสมุทัย คือความสมมุติของคน ความสมมุติสังคมของโลก จึงมาพบกับหลักสัจจะธรรมข้อหนึ่งว่า ในขณะที่ชีวิตประสบ กับภาวะที่วิกฤตอย่างรุนแรงนั้น ชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้น อีกหลายเท่าตัว ดังนั้นข้าพเจ้า จึงได้สอนตัวเองว่า เราจงสร้างจิตตานุภาพไว้ให้มากๆ เพราะจิตตานุภาพที่เราสร้างไว้นั้น จะช่วยเหลือเราได้ในยามยาก ชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้ เป็นชีวิตที่อ่อนแอ บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรู จะเป็นคนเข้มแข็งได้ยาก เหล็กที่ผ่านการตี การทุบ ทุบจนแท่งเหล็กเป็นมีดเป็นพร้าขึ้นมา แล้วผ่านน้ำผ่านไฟมาแล้ว จึงกลายเป็นเหล็กแข็ง และเหนียวใช้การได้ดี

ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตใดที่ผ่านความสมบุก สัมบัน ผ่านความทุกข์ความลำเค็ญ ผ่านเย็นร้อนอ่อนแข็งมาแล้ว เป็นชีวิตที่มีบทเรียนมามาก มีความรู้มาก อันความรู้ มันมีอยู่สองอย่างคือ ความรู้จำ กับความรู้จริง อันความรู้จำนั้น เกิดขึ้นจากการเรียน เรียนจากครู จากตำรา รู้มาเรียนมาไม่ถึงใจ เพราะไม่รู้ว่า รสชาติธาตุแท้ของชีวิตนั้น มันเป็นอย่างไร แต่ความรู้จริงนั้น คือรู้จากประสบการณ์ ที่เกิดจากชีวิตจริงของเราเอง มันมีรสชาติธาตุแท้แห่งความทรงจำ ไปอีกนานเท่า นานเชียวล่ะ และเป็นรากฐาน ในการที่จะได้ปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง ให้เข้มแข็งขึ้นอีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:06:33 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:03:38 »


          อันการที่ข้าพเจ้า ถูกอ้ายหม่องเล่นงานคราวนั้น มันเป็นผลดีที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึงและเข้าใจ ในชีวิตของตัวเองอย่างถ่องแท้ วิธีแก้ของเราก็คือ สอนและเตือนตัวเองว่า ผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ จึงตั้งอธิษฐานจิต ทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย จิตวิญญาณหลังตาย สบายกว่ามีชีวิตอยู่ จะอยู่ไปทำไม ตายดีกว่าจะได้สบาย จึงค้นคิดว่าความตายคืออะไร แล้วตอบเองว่าความตายคือ การหมดความรู้สึกนึกคิด ชีวิตอินทรีย์ขาดจากกัน หัวใจหยุดเต้น มันสมองหยุดสั่งงาน จิตวิญญาณออกจากร่าง อยู่ที่ความว่างเปล่า สักครู่จิตวิญญาณก็ลอยละล่องไปสู่ภพใหม่ นั่นแหละคือความตายที่รู้กันทั่วไป

จึงสนใจขึ้นมาว่า อันภาวะเช่นนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่ จึงอยากตั้งหน้าฝึกจิต ฝึกใจให้รู้จักวิธีตายก่อนตาย อันภาวะของความตายนั้น ตามหลักของกายวิภาควิทยาว่า หัวใจหยุดเต้น ลมหายใจไม่มีคือตาย แต่เราจะยังไม่ตายอย่างนั้น เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันจะเต้นหรือไม่เต้น ก็เป็นเรื่องของมัน เรามาจับจดอยู่ที่ลมหายใจดีกว่า เที่ยวทัวร์ทางลม เอาลมเป็นไกด์ ลมหายใจเข้า หายใจออกนี้เอง เป็นเครื่องจูงจิต เอาความวิกฤตของชีวิต ที่กำลังประสบอยู่ มาเป็นผู้สอน สอนว่า ตาย ตาย ตาย ลมหายใจเข้าก็ว่าตาย ลมออกก็ว่าตาย เป็นอุบายสกดจิตตัวเอง ให้เข้าสู่สภาวะแห่งความหลับ (หลับทางจิต) จับเอาตัวนิมิต คือตัวฝันนั่นเอง มาสร้างเป็นตัวแฝง พลังแฝงขึ้นตามคำแนะนำ ของพระผู้เฒ่าหลวงปู่โลกอุดร สอนให้สมัยที่ถูกฝังตัวอยู่ในหิมะ เพราะมันถล่มมาทับ ที่ภูเขาหิมาลัยโน้น

ท่านสอนเตือนว่า ตัวเรามันมีอยู่ 3 ตัวคือ ตัวจริง ตัวเป็น และ ตัวแฝง ทั้งสองตัวแรกนั้น อย่ายึดมั่นในมัน รีบสละละทิ้งให้หมด กำหนดเอาตัวแฝง คือตัวพลังภายในจิตใจเท่านั้น เพราะตัวจริงยิ่งใช้ยิ่งโทรม ส่วนตัวเป็นยิ่งใช้ยิ่งยุ่งยิ่งทุกข์ แต่ตัวแฝง พลังแฝงนั้นยิ่งใช้ยิ่งดี มีพลังจะกำบังความทุกข์ ให้เกิดความปิติสุขที่ใจ เราจำคำสอนของท่านคำนี้ไว้แล้ว เอาสติเป็นนายเวร คอยจ้องดูลมเข้าลมออก อย่างไม่ลดละ ทีแรกจะรู้สึกว่า อันเจ้าลมที่เข้าๆ ออกๆ นั้นมันหยาบ แล้วมันจะค่อยละเอียดลงๆ แผ่วเบาลง ละเอียดลงๆ จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดวงจิตมันจะผ่องแผ้วสงบเย็น ในดวงจิตมันจะเข้าสู่มิติหนึ่ง อีกโลกหนี่งเป็นสภาวะที่มีความสงบที่สุด ที่เรียกว่าปิติ

ความสุขทางใจละเอียดที่สุด อันสภาวะอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะสรรหาภาษามนุษย์ มาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เลย มันเป็นภาษาของจิตวิญญาณ ภาษาของโลกทิพย์ แบบรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น อันการที่ถูกเจ้าหม่องเล่นงาน อย่างสาหัสสากรรจ์ แบบข้าวไม่ให้ฉัน น้ำไม่ให้ดื่ม ในครั้งกระนั้นเอง ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก็จะสมัครเข้าสำมะโนครัว ร่วมเป็นสมาชิกของยมบาล โดยไม่คาดฝัน นึกภาวนาเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ตาย ตาย อันกลอุบายนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ไต่เต้า เข้าถึงกระแสวิญญาณ ของพวกโอปาติกะตลอดลอดได้ ลอดเข้าถึงด่านของทวยเทพเทวา คือ พระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ตลอดได้สัมผัสกับสรรพวิญญาณต่างๆ ดังที่จะพรรณาต่อไป

การทำความเพียรทางใจคราวนี้ เราเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ก็จะฉันจะดื่มได้อย่างไร เพราะไม่มีจะดื่มจะฉัน อันหนทางที่เราจะเข้าสู่โลกวิญญาณนั้น เรากรุยไว้แล้ว รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน ที่รู้ทางใจ ดังในระยะที่กล่าวไว้นั่นเอง ก็คือไปกับลม เที่ยวโลกวิญญาณด้วยลม หายใจให้สติคือผู้รู้ รู้ตัว จ้องลมที่เข้าๆ ออกๆ เมื่อมันละเอียดเข้าจริงๆ มันก็หลุดเข้าไปสู่สภาวะอันโล่งแจ้ง เห็นเป็นแสงสว่าง เหมือนแก้วลูกโต โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลง แล้วโตขึ้นๆ อีก เห็นเป็นแสงสว่างจ้า เหมือนแก้วลูกโตๆ โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วก็โตขึ้นๆ อีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วเจ้าลูกแก้วนั้นก็ลอยเข้ามา ลอยเข้ามา มาอยู่ใกล้ๆ เฉพาะหน้า แล้วก็มาห่อหุ้มเอาตัวเราไว้

อันลูกแก้วนั้นเรามีเอาไว้แล้ว ถือติดตัวไปเพื่อเพ่งกสิณ เพื่อจูงใจไปไหนเอาไปด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้มันอยู่ ลูกแก้วลูกนี้ เราได้มาแต่ประเทศยูโกสลาเวีย ขอซื้อจากหมอดูทางลูกแก้ว และเราก็ได้เห็นอะไรๆ หลายๆ เรื่องกับลูกแก้วลูกนี้เอง ในขณะที่เข้าไปอยู่ในลูกแก้ว เป็นเกราะหุ้มไว้ ตัวเราอยู่ข้างใน แล้วมองออกไปข้างนอก จะเห็นฉากต่างๆ อะไรสลับซับซ้อน และเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม บางฉากก็เห็นปราสาทราชมณเฑียรมีวัดเวียงวัง เจดีย์วิหารดูตระการตาน่าชม และบางฉาก ก็เห็นฝูงชนจำนวนมาก เดินไปมาขวักไขว่ ในจำนวนผู้คนเหล่านั้น ทุกคนรู้สึกว่า เขาจะมีแต่ความสุขสันต์กัน เพราะแต่ละคน มีแต่ความยิ้มความแย้ม หรรษาร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มย่อง ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสี สวยสดงดงามมาก ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:11:19 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:06:26 »



สัมผัสทางวิญญาณกับพระสุพรรณกัลยา

ในทันใดนั้นเอง สายตาทางจิตวิญญาณของเรา ก็มองเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่านยิ้มให้ ยิ้มแล้วยิ้มอีก แล้วเอ่ยปากว่า ท่านขาท่านชื่อโสรโย ที่เป็นพระสงฆ์ หลงมาจากเมืองสยามไทยใช่ไหม ถ้าใช่ท่านไม่ต้องร้อนใจ ฉันก็เป็นคนไทย เช่นเดียวกับท่าน ฉันจะหาทางช่วยท่านให้พ้นภัย เพราะท่านเคยอยู่กับฉันมาแต่ก่อน เราเคยมีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว ท่านเคยช่วยเหลือ ดูแลฉันมาตลอด เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในคณะเรา เราได้พึ่งพาอาศัยท่าน เวลาจะถูกเขารังแก ท่านต้องมาขัดขวางเอาไว้ ท่านหายไปไหนมา รีบมากับฉันเดี๋ยวนี้

ทันใดนั้นเอง ท่านก็นำพาข้าพเจ้าเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งมีสภาวะที่สูงขึ้นไปกว่า ละเอียดกว่า ซึ่งเป็นมิติสถานเก่า ที่ซึ่งพวกเราจำนวนมาก ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย เมื่อสมัย กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก แล้วสุภาพสตรีท่านนั้นก็บอกว่า ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา จำได้ไหม พวกเรามาด้วยกันจำนวนมาก ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เพราะท่านเก่งมีฝีมือเป็นนายช่าง เก่งทางสร้างอาคารบ้านเรือน ให้พวกเราอยู่ ในจำนวนหมู่ของเชลย และสร้างวัดเวียงวังให้พม่าด้วย แล้วท่านก็ชี้มือให้เราดู แล้วว่าโน่นแน่ะคือหมู่บ้านที่ท่านสร้าง ก็มองเห็นหมู่บ้าน ที่มีกาแลไว้บนหน้าจั่ว เป็นทิวแถว ทรงไทย เรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบ ท่านบอกว่า ยังมีอีกหลายที่ยังสร้างไม่เสร็จ โน้นน่ะวัดที่ท่านสร้างให้เขา ก็ยังไม่เสร็จอีก ท่านจึงต้องมาทำต่อในคราวนี้

เมื่อวานนี้ท่านหายไปไหน มีใครเขาบอกว่า ท่านกลับไปช่วยพระยาตาก กู้เมืองกรุงศรีอยุธยาใช่ไหม เมื่อกลับมาวันนี้ แต่งตัวเป็นนักบวชเสียแล้ว คงจะหาวิธีหนีเอาตัวรอดละซี หนีไปทำไม ไม่คิดถึงพวกฉันหรือ เราทุกข์ยาก พลัดพรากจากบ้านเมืองมาด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน มากินข้าวกันเถอะ หลังจากนั้น สุภาพสตรีท่านนั้น ก็จัดอาหารหวานคาว และท่านก็นั่งกินด้วย เราได้เห็นผู้คนที่รู้จักมักคุ้นกัน จำนวนมากเข้ามาหา มาถามข่าว และพูดจาล้อเลียน กระเซ้าเย้าหยอกกัน อย่างสนุกสนาน ดูแล้วแต่ละคน เขาแสดงความเคารพนับถือ ในท่านสุภาพสตรี คนที่นั่งกินข้าวอยู่กับเรามาก ท่านออกปากพูดว่า ฉันได้ส่งข่าว ไปทางเมืองสยามไทยแล้ว ให้เขามาช่วยท่าน แล้วอีกไม่นาน ท่านก็จะพ้นภัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 19:32:41 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:10:26 »


ขณะนั้น ความรู้สึกตัวจากความหลับฝัน อันเป็นสมาธิน้อยๆ ที่เป็นตัวแฝงของเราก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัว (ตื่นจากหลับฝัน) ฝันสนุกเสียด้วย เพราะเห็นคนสวยๆ มาปลอบใจ แล้วจะไม่ให้สุขได้อย่างไรว๊า แล้วก็ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม กลับไปมานานพอสมควร เพื่อยืดเส้นยืดสาย หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ได้ยิน เสียงคนข้างนอกพูดกันว่า พระนายช่างองค์นี้ ท่านเข้านั่งทำสมาธิได้หลายวันแล้ว นั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ยอมลุก ไม่กิน ไม่ถ่าย นึกว่าแข็งตายไปแล้ว โอ้ยอย่างพึ่งตายเลย ขี้เกียจทำศพ และจะเกิดเรื่องยุ่งด้วย เพราะเป็นพระต่างชาติพลาดท่า รัฐบาลก็ยุ่งด้วยอีกดูๆ แล้วมิใช่คนที่จะตายแล้วสูญ เพราะเขามาเป็นนักวิชาการ เพราะท่านอภิธชะมหาอัตฐคุรุ ประมุขสงฆ์ของพม่า ก็นับถือเขาด้วย ไม่แน่จริง เขาคงไม่นิมนต์เข้ามาเมืองเรา

จากนั้นเขาก็จัดหาอาหารมาให้ฉัน เราก็โบกมือปฏิเสธไม่รับไม่ฉัน จึงมานึกคิดหวนจิต กับไปในความฝันที่ผ่านมา เราไปเห็นสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่ง ชื่อสุพรรณกัลยาที่บอกว่า เราเคยอยู่กับท่าน เราเคยช่วยท่าน เราเคยเป็นเชลย เราเคยเป็นนายช่าง สร้างบ้านให้เชลยอยู่ เราหายหน้าไปช่วยพระเจ้าตากกู้เมือง เมื่อวานนี้ และเราได้เห็น ได้คุยกับสุภาพสตรี ชื่อสุพรรณกัลยา แสดงความห่วงใยในเรามากๆ อยากทราบว่า สุภาพสตรีที่ชื่อสุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยาคือใครกันแน่ และท่านบอกว่า เราหายไปเมื่อวันวาน ไปช่วยงานพระยาตากกู้เมือง อะไรกันแน่ อีกเช่นกันอันกาลเวลาของโลกมนุษย์ ห่างกับโลกวิญญาณนั้น ถึงสองร้อยกับสองปี

คือกรุงศรีแตก แตกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 แล้วมาเสียอีก ครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2310 อันกาลเวลามันห่างกันเหลือเกิน คือห่างกันเท่ากับ หนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งวัน แต่กาลเวลาของโลกวิญญาณนั้น มันห่างกันแค่สองวันเท่านั้นเอง คือเมื่อวานนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสนใจมาก อยากจะศึกษาทางโลกวิญญาณ ให้มันชัดเจนมากขึ้นไปอีก คือวันนั้นเอง เป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทงพอดี มีชาววัด ชาวบ้านละแวกนั้น เขามาจุดธูป จุดเทียนบูชาพระไว้ริมสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างไกล จากที่เราอยู่ เรายึดเอาแสงสีของไฟ ที่ระยิบระยับกับผิวน้ำ ให้สะท้อนเข้ากับลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มาเป็นอารมณ์ของจิต ติดอยู่ให้เป็นเตโช และวาโยกสิญ เป็นเครื่องจูงจิต ให้ติดอยู่ในอารมณ์เดียว เหนี่ยวเอาเรื่องราวที่ผ่านมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:24:35 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:12:40 »


เมื่อวันก่อนให้เกิดขึ้นในมโนทวาร ในกาลนั้นเอง ภาพลักษณ์ของพระนางสุพรรณกัลยา ก็มาปรากฏขึ้น ในมโนทวารอีกอย่างชัดเจน ท่านเป็นสุภาพสตรีที่เลอโฉม แต่งตัวด้วยชุดไหมสีทอง แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า แต่งตัวแบบสาวพม่าในยุคนั้น ใส่ผ้านุ่งสีทอง รัดเข็มขัด มีลูกปัดที่คอสองชั้น สวมเสื้อแขนยาวคอกว้างได้สัดส่วน ประทับยืน มือขวาค้ำสะเอว มือซ้ายหย่อนลง แล้วท่านกล่าวว่า พระคุณเจ้าจะพ้นภัยแล้ว แต่ท่านก็ต้องช่วยฉันเช่นกัน จะให้ท่านช่วยเรื่องอะไร เดี๋ยวจะบอกให้ เพราะฉันเองก็ถูกเขาเล่นงาน ถูกพันธนาการ ด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย

ได้ถูกกวาดต้อนมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลย อยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ดังที่ท่านทราบมาก่อนแล้ว ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน แต่ท่านเก่งทำอะไรเป็นทุกอย่าง ฉันไว้ใจท่าน เพราะท่านซื่อสัตย์ และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆ ไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

ขณะนี้ ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขา ของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆ ว่า ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ เป่าลงไปแรงๆ แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัตคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) อันชีวิตทุกชีวิต ก็คือความฝันเช่นกัน และจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้ว ก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม

ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี
จะประสพพบโชคและโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา
จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์ จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า
 มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:28:15 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:13:56 »


เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า ท่านขาท่านเก่งมาก ที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบา เท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวาร ก็ยังกัองกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้าง ของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถา ของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆ วันแล จำไว้เนอ จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ เขาพูดกันว่า เราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี)

พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆ บอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทย คือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุ ปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ

เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้ มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้า ก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่า มันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้า และเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ทั้งด้านนามธรรม และด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ และปฏิเสธอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูเหตุผล (คือคนโง่) เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆ ที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:35:17 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:15:56 »



อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิด คือไม่ชอบเจ้า เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใด จะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้า จักรๆ วงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียด ความชังในระบบเจ้า ของพวกลิเกขึ้นมา

เมื่อพวกมันเลิกเล่น เลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าว กับหัวปลาทูกรอบๆ กับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายา โลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจาน่าทุเรศแท้ๆ แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด ของเราตลอดเวลา ก็เพราะท่านได้นำพา ให้เราได้เข้าถึง ได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆ มนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้ว เข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้ หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทายรูป อันเลอโฉมของท่าน

และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆ ที่เป็นอดีตกาล ซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวต่อไป อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขา ก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไร สิ่งนั้นก็มาถึง อันสถานบ้านเรือนที่เราดู เราเห็นด้วยตา ว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไป ดูภาวะการณ์ที่ท่านและเรา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น ก็เห็นว่า เราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรง เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือ ท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง

แม้แต่พระอนุชาของท่าน คือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็ก จนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา และพระอนุชาทั้งสอง ท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่าน อันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนาย เป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้าน สร้างเรือน เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัส ด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นาน เพราะภาวะการของจิต มันจะถอยออกมา อยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป

จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อน มาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนอง มันก็ปองรัก จะหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำ ระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอม และตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาต จากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทย ถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาต จะอายุสั้น เจ้าบุเรงนองมันตาฝาด ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา จึงจัดแจงโยธาไพร่พล พร้อมด้วยตัวเขา และน้องชายทั้งสองของฉัน และตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดน แล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือน อยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู

มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไม เพราะปกติข้าศึก จะไม่จับเอาผู้หญิงที่ไม่พ้นนิติภาวะ ไปเป็นเชลย จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะ น้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริง และพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มา อย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็ก ไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้าย ตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆ ท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ ก่อนออกเดินทางกลับ คือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชา ก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย และของเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยาน ในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 19:35:24 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:41:21 »




กลับบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรก

กล่าวย้อนไปถึงการเดินทางกลับ อำลาท่านผู้บังเกิดเกล้า ที่เมืองอยุธยา จำเดิม แต่ได้พลัดพราก จากบ้านเกิดเมืองนอน มาเป็นเวลาร่วมสิบปี มีครั้งเดียวเท่านี้ ที่ฉันได้กลับไปเห็นหน้าบิดา มารดา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ เมื่อได้ทำพิธีอำลา ท่านผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เจ้าบุเรงนองก็พากลับ และให้กลับทุกคน แม้แต่พระอนุชาของฉัน เพราะเจ้าบุเรงนอง มันใช้อำนาจบาทใหญ่ พระราชบิดาของฉัน จะร้องขออะไรมันก็ไม่ยอม แม้แต่ท่านจะขอกำลังทหารไทย ไว้ป้องกันประเทศ มันก็ด่าว่าเอา มันบอกว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นใครที่ไหนจะใหญ่ จะมีกำลังเหนือมัน มันเคี่ยวเข็ญ เย็นค่ำ ร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

พระราชบิดาของฉัน ก็กลัวมันยิ่งกว่าเสือ เหลือร้ายจริงอ้ายบุเรงนอง เมื่อกลับถึงถิ่นเมืองหงสาวดีแล้ว พิธีการการอภิเษกสมรส ระหว่างฉัน กับเจ้าบุเรงนองก็เกิดขึ้น ฉันก็ตกเป็นของเจ้าบุเรงนอง ตามประเพณีของเขา แต่น้องชายของฉันสิเหงา เพราะดูกิริยาท่าทางของเขา เศร้าสร้อยหงอยเหงาจริงๆ เพราะเขาเคยอยู่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ฉันฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาด้วยมือ เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ ฉันสงสารน้องชายที่ว้าเหว่ ฉันจึงวางเล่ห์กลอุบาย กับเจ้าบุเรงนองว่า ท่านเจ้าขา อันพระอนุชาทั้งสองของฉันนั้น เขาได้เติบใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นแน่นรักษาตัวได้ และเอาตัวรอดได้แล้ว ฉันจึงอยากจะขอร้อง ให้น้องชายทั้งสองคน กลับไปช่วยราชการ ของพระราชบิดาที่เมืองไทย

เพราะได้รับข่าวว่า พญาละแวก คือพวกขอม (เขมร) ได้ยาตราทัพอันเกรียงไกร มาประชิดติดแดนไทยแล้ว และก็ตีได้แล้วหลายเมือง ทางทิศตะวันออกของไทย ถ้าเราช้าไปจะต้องเสียใจ เพราะเมืองไทย ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพญาละแวก เราจะสูญเสียประเทศราชของเราไปอีก ฉันเชื่อแน่ว่า พระน้องยาเธอของฉันทั้งสอง เขาจะเอาชนะพญาละแวกได้ เพราะไพร่พลคนไทย ก็จะมีกำลังใจ ในอันที่จะต่อสู้ กับพญาละแวกได้ เมื่อเจ้าบุเรงนองได้ฟัง มันก็เชื่ออย่างสนิทใจ มันจึงปล่อยให้เจ้าองค์ดำพี่ชาย กับเจ้าองค์ขาว กลับเมืองไทย พร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง ท่านขาตอนที่น้องทั้งสองของฉัน ที่ฉันได้ทนุถนอม กล่อมเกลี้ยงเขามาแต่แบเบาะ มีเคราะห์กรรมอะไรหนอ ที่จะมาพรากให้ฉันต้องอยู่เดียวดาย

ในขณะที่น้องชายของฉันจากไปนั้น ฉันมีความรู้สึกสังหรณ์ใจว่า จากนี้ไปภายหน้าตลอดชีวิต ฉันจะไม่ได้เห็นน้องชายทั้งสอง ของฉันอีกแล้ว จึงได้ยินแต่สั่งคำเดียวว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ น้องทั้งสองจะจดจำคำว่า แม่ แม่ แม่ ไว้ในห้วงแห่งดวงใจตลอดไป ท่านขา ในคราวนั้นเอง ฉันรู้สึกว่าดวงตา ดวงใจของฉัน มันหลุดลอยออกจากร่าง มันทำให้จิตใจเวิ้งว้าง ว้าเหว่ ไม่มีฟ้า ไม่มีดิน ได้ยินแต่เสียงน้องสั่งว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ ถึงเขาจะออกเดินไปแลัว จนสุดสายตา แต่เสียงสั่งลาของน้อง ก็ยังก้อง อยู่ในโสตประสาทของฉัน ไม่มีวันลืมเลือน ฉันจึงยืนขึ้น เอามือขวาค้ำสะเอว ส่งกระแสจิตให้รุนแรงว่า ไปดีเน้อน้อง ไปดีเน้อน้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 เมษายน 2553 16:13:36 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลี่ยนภาพที่หายไปค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:42:47 »



มันเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งนะท่าน ที่พระราชบิดาของฉัน สอนเอาไว้ว่า ถ้าจะอวยชัยให้พรใคร เมื่อเขาจากไป ถ้าเป็นผู้หญิงให้ใช้มือซ้าย ถ้าเป็นผู้ชายให้ใช้มือขวา ถ้าเป็นทั้งหญิงทั้งชาย ให้ใช้ทั้งสองมือ ดูแต่คราวที่พวกคณะเราจะจากท่านมา ทั้งสองครั้ง ท่านก็ใช้พระหัตถ์ ทั้งสองข้างของท่านค้ำสะเอว เราจึงไปมาอย่างปลอดภัย เมื่อเขากลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าทัพ แล้วเปลี่ยนคำว่า หัวหน้าใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วประกาศเป็นพระราชอาญาว่า หากมันผู้ใดมันอุตริ เปลี่ยนชื่อแม่ทัพ ให้เป็นศัพท์อื่นๆ นามอื่นขอให้บุคคลผู้นั้น มันถึงซึ่งความวิบัติ ฉิบหายวายวอดเถิด

นี่แหละท่านน้องที่กตัญญู เขาเอาชื่อแม่ที่เขารัก และมีพระคุณกับเขา ไปตั้งเป็นแม่ แม่ แม่ อยู่กับตัวเขาตลอดไป (กองทัพไทยเราจึงมีแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา) และกาลต่อมาภายหลัง เมื่อน้องชายฉันกลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นแม่ทัพ ได้รวบรวมสรรพกำลังให้เกรียงไกร แล้วขับไล่กองทัพ ของพญาละแวก ให้แตกกระเจิง แล้วรวบรวมไพร่พล ของพญาละแวก เข้าเป็นกำลังเสริม ร่วมกันเล่นงานกองทัพอ้ายหม่อง ให้ม่องเท่งไปไม่เป็นกระบวน แต่การเอาชนะกับเจ้าหม่องนั้น ล่าช้ามากๆ ส่วนน้องชายฉันเขารู้ รู้ว่าเจ้าหม่อง มันส่งชายฉกรรจ์ แต่งตัวปลอมตัวเป็นพระ มาสืบความลับว่า จุดอ่อน จุดแข็งของกองทัพไทย อยู่ตรงไหน

เจ้าพวกแต่งตัวเป็นพระนี้เอง คนไทยไม่รู้ว่าเป็นพระพม่า หรือพระไทย เพราะเหมือนกันหมด ดูไม่ออกว่าพระพม่า หรือพระไทย พอน้องชายทั้งสองของฉันกลับไป ก็ขอร้องให้ท่านพระพลรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่สอนคาถาปราบศึกให้ สั่งให้พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศ โกนคิ้วทิ้งให้หมด เพื่อให้คนไทยรู้ว่า พระพม่า หรือพระสงฆ์ไทย องค์ไหนไม่โกนคิ้ว องค์นั้นเป็นพระหม่อง ขับออกไปจากเมืองไทยให้หมด คนไทยกำหนดรู้ รู้กันโกนคิ้วไม่โกนคิ้วนี่เอง ฉันเห็นท่านมาวันนี้ ท่านโกนคิ้วจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทย พอเขาแก้ไขได้ทุกอย่างแล้ว ก็จะหวนกลับมา ตีเอาเมืองหงสาวดี และปริมณฑล เพื่อยึดเอาตัวฉันกลับไป ท่านขา พอเจ้าบุเรงนองมันสืบรู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มีฉันเป็นผู้วางแผน

ในระยะนั้น ก็มีความไม่สงบเกิดขึ้น เพราะตัวพระคุณเจ้าเอง วางแผนให้เจ้าบุเรงนอง ผู้ครองความเป็นใหญ่ อันเจ้านันทบุเรงนั้น มันมักมากในกามคุณ มีเมียมากนับไม่ถ้วน แต่มีคนหนี่งชื่อ สุวนันทา เป็นภรรยาคนที่สาม ชาวไทยใหญ่ เป็นคนสวย เจ้านันทบุเรง ก็หลงใหลมันมาก มันอยากเป็นราชินี จึงบังคับให้สามี วางแผนแย่งอำนาจ แย่งสมบัติจากพระราชบิดา มาเป็นใหญ่เสียเอง เจ้าบุเรงนองผู้บิดา จึงทรงตรอมพระทัย ในที่สุดก็ขาดใจตายดังกล่าวแล้ว ให้ทะเลาะกันกับเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นลูกชาย เลยเกิดโรคหัวใจวายตายไป อย่างกระทันหัน มันคือเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นอุปราชขึ้นครองเมือง ชื่อเจ้านันทบุเรง มันได้ครองราชย์เป็นใหญ่ และเป็นระยะที่เขาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ความวุ่นวายมีอยู่ทั่วไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 19:56:00 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:43:55 »


กอปรกับมารู้ข่าวว่า กองทัพของไทย ขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมัน คือฉันเอง ให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชก ต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าว อดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส (มันเลวยิ่งกว่าหมา เพราะธรรมดาแล้ว หมาตัวผู้จะไม่กัดหมาตัวเมีย อันคนจำพวกที่ชอบรังแกหญิง เอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศตัวเมียนั้น จึงเป็นบุคคล จำพวกที่มีสันดานเลว ยิ่งกว่าหมาเสียอีก) ท่านขา เมื่อมันเห็นว่าฉัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ (และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ)

แล้วฉันก็ตายไป พร้อมกับลูก อยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผี มาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยการผูกรัดรึง ตรึงฉันด้วยไม้กางเขน ตรากระสัง ให้วิญญาณของฉัน ไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมาก ที่ท่านได้มาช่วย แก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน อันเรื่องนี้เอง ก็เป็นวิบากกรรม ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องไปรับรู้รับเห็น เรื่องของเจ้าหญิงทุกอย่าง และท่านกล่าวว่า ในกาลต่อไปข้างหน้า ฉันตั้งปณิธานไว้ว่า (ฉันจะไปอุบัติบังเกิด ช่วยบ้านเมืองในสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน แต่จะไปอุบัติ ในสกุลสุขุมาลย์ชาติ ในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง) ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดี ให้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแก้ลำที่คนไทยลืมฉัน

โดยจะไม่สนใจใยดี กับการที่จะอภิเษกสมรสเลย เพราะฉันเข็ดแล้วเข็ดอีก เรื่องผู้ชาย แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทย ฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้ว บอกฉัน และฉันขอฝากรูปลักษณ์ของฉัน ที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉัน ให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอ ของฉันจารึกไว้ ก็คงจะสลายหายสูญ ไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว

ขอให้ท่านหวนจิต คิดย้อนกลับไปดู ภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมา เป็นธิดาองค์ใหญ่ ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดา ได้ไปครองเมืองอยุธยา ได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคา อย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน นับว่าฉันเองได้สถิต อยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา แต่ต่อมา พม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชาย ต้องตกเป็นเชลย ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจอง ด้วยเครื่องพันธนาการ ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ทั้งกายและจิตใจตลอดมา

จำเดิมแต่ได้พลัดพราก จากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ ทรมานในการจำจากน้องทั้งสอง อันเป็นที่รักที่สุด ดุจกับว่าดวงตา ดวงใจ มันหลุดลอยออกไปจากร่าง ออกไป สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษ จนถึงแก่ความตาย อย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆ จะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไป เพื่อความอยู่รอด ของประเทศชาติบ้านเมือง ฉันเสียใจ ที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรี ที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจ ของคนทั้งชาติ โดยปราศจากการมีครอบครัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:50:51 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 17:44:41 »



แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัย ไปสู่สถานที่ ที่ไม่มีการเกิด การตายอีกแล้ว แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริง ก็ต้องพึ่งพิงอาศัย กระแสดวงใจของคนจำนวนมาก ช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้ ดังนั้น จึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉัน ออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป ที่เขาอยากรู้ อยากเห็นด้วย นี้แหละท่านอันชีวิตคนเราทุกๆ คน จะคละเคล้าไปด้วยสุข และทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาส เพราะตกอยู่ใต้อำนาจ ของความปรารถนา

ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา ปลูกสร้างขึ้นมา แล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกูไปทุกสิ่ง ได้ครอบครองสิ่งใดแล้ว ก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้น ไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วง เอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิด คิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์ แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมาก ที่บ้านเมืองของเราหลายๆ แห่ง ได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไรแล้ว มันก็สั่งให้คนไทย จุดไฟเผาบ้านเรือน ตลอดพระราชฐาน วัดวาอารามที่สวยๆ งามๆ ให้เหลือแต่ซากสลักหักพัง พินาศสันตะโร

แต่กรุงศรีอยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ ผีร้ายๆ จะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพ ไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก แต่พวกพม่านั้น มันก็ได้รับผลกรรม ตอบแทนอย่างคุ้มค่า เรียกว่ากรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน ไม่มีเวลาสิ้นสุด แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติ หรือใส่ร้าย แต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละ เป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญ บ้านเมืองตัวเองให้พินาศ เพราะจิตใจคิดอาฆาต ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉัน มาเป็นมหาอุปราช ผลสุดท้าย ของพระราชบิดาของฉัน ก็ได้ครองราชแทน

เพราะพระเจ้ามหินทราธิราช ได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละ ได้รวบรวมหมู่เชลยไทย ช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่าน แล้วเอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเอง ส่วนมากคือคนไทยเอง ที่เขาเคืองแค้น ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากผู้เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจ ที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว มหาภัยยุคเข็ญ มันก็ต้องเกิด ดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละ เป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 20:26:05 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 11:11:23 »


ส่วนพญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้น คู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอด ไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญ สังหารคนไทย นับครั้งไม่ถ้วน การที่มันกระทำนั้นเอง จึงเป็นมรดกตกทอด มาถึงลูกหลานของมัน และมันก็เข่นฆ่าทารุณกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกัน เหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านัก และอย่าลืมตัว ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ให้คนไทยทั้งชาติ ตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน แต่ดีอย่างหนึ่ง ที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ

แต่เสียอย่างเดียว ที่คนไทยมีนิสัย ไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน เมื่อถึงยุคราชโจน อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อน แต่บ้าอำนาจ จะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดี หลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือท่าน ผู้ประทับอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมี มุณีทั้งหลาย

ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตน และสั่งสมให้มากที่สุด ที่จะมากได้ แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุม ในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้ง หลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน คือเรารู้จักวิธีฝึก ให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิด ประดิษฐ์สิ่งที่ร้าย ให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆ ไปมันจะชินไปเอง ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้าง ทุกขเวทนาให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เอง เป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ ก็เพราะได้มาเจอท่าน

ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์ อย่างวิเศษในดวงใจ และดวงตาของฉัน ที่ได้นำพาให้ฉัน กลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ที่บอกท่านว่า เป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมาน อันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวี จากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติ เป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหารหนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่ง ไปตายที่กรุงโรม และก่อนตาย ก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวย สร้างความมั่งมี เอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน

แล้วย้อนกลับมาบวช ในศาสนาพุทธที่เมืองไทย อะไรกันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลิน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลส ตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำ นำพาให้เรา ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ พอมาถึงตอนนี้ ท่านหญิงก็หัวเราะ เพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอย คือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ ที่ประจักษ์อยู่ใน มโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย และก็รับปากท่าน เพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้

จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดี กับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ต ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้ เพราะเราเป็นช่างเขียน เรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใด ที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดู ในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขา เข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้น จะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัส ทางจิตวิญญาณให้ได้
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.495 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 8 ชั่วโมงที่แล้ว