[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 17:56:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 [3]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา  (อ่าน 70697 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 มีนาคม 2553 09:57:26 »




พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

"ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" โดย หลวงปู่โง่น โสรโย


http://gotoknow.org/file/beone_01/view/414157


http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=349

คัดมาจากหนังสือ .. " ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา " ..
เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
 

ผู้โพส : แดดส่อง
 
Credit by :   http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2510
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 10:31:54 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 17:01:32 »



พอออกจากเมืองปันเข้าเมืองทน ต้องใช้ขบวนหาบต่อ ขนของกันขึ้นเขาลงห้วย ลูกแล้วลูกเล่า อากาศก็เย็นเพราะเป็นฤดูหนาว ขบวนหาบและแบกของ ต้องเดินป่าผ่านดงกลางพงลึก จิตรำลึกถึงคนึงหลัง ตอนเรานั่งภาวนาหาตัวแฝง ที่หลวงปู่โลกอุดร สอนแสดงให้รู้แจ้งประจักษ์จิต อนิจจัง ตามโอวาทของพ่อโลกอุดรสอนไว้

ท่านให้รู้ตัวจริง  ตัวเป็น  ตัวแฝง  ไว้ในใจตน จงแยะแยกตนตัวจริง กับตัวเป็นออกให้หมด

แล้วกำหนด ที่ผู้รู้ เป็นครูสอน
สอนให้รู้ อยู่คู่กับ ดับนิวรณ์
อย่าให้จิตโยกคลอน ผ่อนอารมณ์ ข่มจิตใจ
เมื่อจิตเผลอไป ใจก็กลุ้ม รุมกิเลส
ชักหาเหตุ รักชัง ฟังไม่ไหว

ท่านสอนไว้อย่างไร ก็เป็นจริงทั้งทางรูปธรรม และนามธรรม อันทางรูปธรรมนั้นคือ เราโดนใส่ความว่าเป็นพระตัวการ ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิง ในวงการสงฆ์ของพระพม่า เพราะเราออกค่าใช้จ่าย ถวายพระสงฆ์ทั้งหมดที่ไปเดินขบวน จึงเจอเรื่องหนัก ถูกกักขังบริเวณ และโดนสอบสวนทุกวัน ส่วนด้านนามธรรมนั้น คือการค้นหาตัวแฝง รูปแฝงออกมาใช้ได้ผล ก็หลุดพ้นออกมาได้

และตัวแฝงนี้เอง ที่ได้ใช้ให้ไปค้นคว้าเรื่องโลกวิญญาณ จนได้ไปพบพระวิญญาณ ของท่านผู้มีบุญคุณ อันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมืองสมัยนั้น คือพระวิญญาณของนางสุพรรณกัลยา และสถานที่เขาฝังพระเจ้าเหนือหัว ของกรุงศรีอยุธยาคือ พระมหินทราธิราช พร้อมด้วยพระประยูรญาติของพระองค์ เราได้ค้นเอาสมบัติและสิ่งหวงแหนของท่านมาสักการะไว้แล้ว ตลอดทั้งได้แก้ไขทางไสยศาสตร์ เวทมนต์กลคาถาให้ท่านได้หลุดพ้น จากการผูกมัดด้วยภัยเวร แล้วเชิญวิญญาณท่านเดินทางกลับ อันกิจธุระ เรื่องแก้เวรแก้กรรมของเรา และท่านผู้มีพระคุณต่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้มาหมดแล้ว จิตใจก็ผ่องแผ้ว ด้วยสมความปรารถนา

จึงมาคิดในใจว่า ก็พระมหาเถระทั้งประเทศ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆ ท่าน ทำไมดวงจิต ของพระนางท่าน ตลอดทั้งทวยเทพเทวาฟ้าดิน จึงไม่ไปสัมผัส ให้ต้องเดินทางเข้าไปช่วยบ้าง ส่วนข้าพเจ้าเอง ก็เป็นพระภิกษุสับปะลังเคอย่างเรา ในทัศนะของพระสงฆ์องค์อื่น ๆ ท่านทำไมจึงผูกพัน หรือนิมนต์ให้ไปช่วย จะเอาผู้อื่นไม่ได้หรือ ภายหลังจึงมานึกได้ว่า อันคนที่จะไปช่วยท่านได้นั้น มันต้องเป็นคนบ้าหลายระดับ คือหนึ่งบ้าไม่กลัวความลำบากยากเข็ญ ไม่กลัวตาย เพราะเคยตายมาแล้วหลายครั้ง จากอุบัติเหตุดังจะกล่าวไว้ข้างหน้านี้ เพราะขณะที่ตายโดยมีสตินั้น เราได้ฝึกหัดตายก่อนตายมาแล้วว่า ขณะที่จิตมันไม่สัมผัสกับตัวจริง และตัวเป็นนั้นมันมีอาการอย่างไร

อันภาวะของภวังคจิต กับวิถีจิตนั้น มันจะมีอาการอย่างไร แล้วจับเอาตัวเองมาสร้างเป็นตัวแฝง จึงไม่กลัวตายบ้าไม่กลัวตาย ยิ่งตายบ่อยยิ่งดี และบ้าไม่กลัวคนทุกรูปแบบ ในทางที่ถูกต้อง อย่างที่สอง ต้องบ้าระดับเห็นเงินเห็นทอง เป็นของส่วนกลางมิใช่ของเราเอง และเราก็มั่งมีร่ำรวยเหลือใช้แล้ว จึงเห็นว่าเงินคือตัวภัยร้าย เป็นไฟเผากิเลสให้อยากได้มาก ๆ แต่นี้เราพร้อมและมีพร้อมที่จะให้ เพราะพื้นเพเดิมมีเหลือใช้เหลกิน บ้าประเภทที่สาม คือบ้าแบบเดนผีและเดนคน เดนมนุษย์และทั้งผีทั้งมนุษย์เขาไม่ต้องการ คือจะตายไปเมืองผี ผีก็ไม่รับ เพราะเคยมีอุบัติเหตุทางเครื่องบินตก ในต่างประเทศมาแล้ว ผู้โดยสารตายหมด เหลือแต่เราคนเดียว เพราะผีมันไม่ยอมรับ มันบอกว่ากลับไปได้ผีไม่เอา และเคยประสบอุบัติเหตุ ทั้งทางน้ำทางบกไม่ตายสักที และบ้าประเภทที่ไม่แคร์กับลาภยศ สรรเสริญ ไม่เพลิดเพลิน ในอามิสสุข

เราบวชมาแสวงหาทุกข์อย่างเดียว ถือว่าทุกข์คือบทเรียนบทรู้ของชีวิต จึงยึดเอาประสบการณ์ของชีวิต มาเป็นบทเรียน และบ้าประเภทที่สี่ คือบ้าหนังเหนียว ปืนยิงไม่เข้าและไม่ตาย (ถ้าลูกปืนไม่ถูก) ห้าบ้าประเภทเป็นคนทำอะไรทำจริง แบบบ้าระห่ำ ทำไม่เสร็จไม่หยุดไม่ยอมเลิก ดูแต่สร้างพระพุทธรูปแจก แจก แจก ฟรี ๆ ไปเป็นแสนองค์ ยังไม่ยอมเลิก แบบบ้าไม่กลัวฉิบหาย ขอบอกว่าข้ามันครบครันในเรื่องบ้า บ้าระดับโลกมนุษย์ และโลกผี ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มิใช่ของเราเป็นของแผ่นดิน ของส่วนกลาง ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เกิดมาจากท้องแม่ ก็มาแต่ตัวเปลือยเปล่า ล่อนจ่อน ผ้าผ่อนสักชิ้นก็ไม่มี แถมยังหลุดจากท้องแม่ตกลงไปในน้ำ ถ้าหมาไม่ช่วยไว้ก็เรียบร้อย โรงเรียนตาย ตายไปแล้ว ร้อนใจพาไปนรกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเองทวยเทพเทวา เห็นพระโง่นองค์นี้แหล ะที่บ้าหนักกว่าผีกว่าคน จึงดลบันดาลให้ต้องไปต่อสู้ และก็คงจะเป็นบุพกรรม ที่ทำไว้ในชาติก่อน จึงย้อนมาสนองผล
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 17:14:48 »




เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขบวนพวกเราไปพบถ้ำใหญ่ แห่งหนึ่ง ในระหว่างต่อเขตแดนพม่ากับไทย เป็นถ้ำใหญ่ที่กว้างขวางน่าอยู่ และภายในถ้ำ มีแต่หินสีเขียวเป็นหยดอย่างดี ที่มีค่าๆ (รู้สึกจะเป็นแหล่งหยกที่ดีที่สุด มากที่สุดในโลก เพราะหินทุกก้อนทั้งเขาเป็นหยกทั้งนั้น จึงพากันนั่งพักเอาแรง) ขณะนั้นเองเจ้าเก่งหมาคู่บุญของเรา ล้มลงนอนยาวหายใจระรวยๆ ลิ้นห้อย น้ำลายไหล เอาอย่างไรกันว๊า จึงเอาปรอทวัดความร้อน สอดเข้าปากก็ปกติ หัวใจเต้นปกติ ช่วยกันพยุง ให้มันลุกมันก็ไม่ยอม จึงประกาศร้องขอ ให้พวกขบวนหาบว่า หยุดพักกลางถ้ำนี้เอง เราห่วงเพื่อนตายของเรา คือเจ้าเก่ง ถึงหายาสมุนไพรแถวนั้นคือ เถาหมาว้อ กำลังเสือโคร่ง กรุงเขมา เถาวัลย์เขียว มาต้มให้กินเป็นยาแก้ร้อนใน ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เพราะเรื่องยาแผนโบราณ การสมุนไพร เราเรียนมา และช่วยรักษาตัวเอง และผู้อื่นได้ผลมาแล้วนี้เป็นหมา อาหารของมันก็มังสะภักษ์ไม่ต่างกับคน ผลที่มันจะหายมีแน่ พวกลูกหาบ ลูกจ้างทุกคนดีใจ เพราะเขาจะได้พักผ่อน ได้ค่าจ้างรายวัน

จึงจัดที่พักนอนให้เรา ในคูหาใหญ่นั้นเอง อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าเก่ง ลูกหาบเขาเป็นคนดี รักเรามากหากพวกนั้น เป็นคนไทยมันคงจะร่วมใจกันทุบหัวไปแล้ว เขาจัดแจงที่พักของเขาอีกคูหาหนึ่ง แล้วก่อไฟไว้ให้สองสามจุด เพื่อเป็นแสงสว่าง ดับความมืดในเวลากลางคืน ภายนอกถ้ำมีผาสูงชัน ได้ยินเสียงวิหคนกร้องก้องในไพร เสียงเรไร ไก่ขันสนั่นดง เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องโหวกโหวย เสียงโอ๋ย ๆ บนกิ่งไม้มีเหลือหลาย เสียงผัว ๆ ตัวเมียที่โยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง โอ้... น่าเวทนา เจ้าชะนีเรียกหาผัว เหมือนตัวเรา เรียกเจ้าเก่งที่เจ็บป่วยให้ได้หาย เก่งเพื่อนตายจงได้หายจากโรคา ไท้เทวาจงช่วยขัดกำจัดภัย ในคืนวันนั้นตอนดึก เห็นพระสงฆ์ไทยใหญ่ รูปร่างสูงโปร่งน่าเคารพ ท่านเดินผ่านแสงไฟ เข้ามานั่งบนแท่นหินหยก ในถ้ำติดกับที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ท่าทางท่านสังวร แบบสมณะเต็มร้อย ท่านออกปากถามข่าวว่า ขะมะนิยัง อาวุโส เราก็ตอบภาษาพระว่า ขะมะนิยัง ภันเต ท่านก็ยิ้มรับแล้วบอกว่า ในชีวิตของคุณ คุณคงจำได้ว่าท่านกับผมพบกันมาแล้วสาม สี่ ห้า ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว

ผมจะสนับสนุนแต่คนที่ทำความดี แล้วไม่หวังผลตอบแทน คุณจำจากบ้านเมืองมาคราวนี้ คุณได้ทำประโยชน์มาก และได้รู้ได้เห็น ได้ศึกษาหาความรู้ทางตัวแฝงได้ดี ยากที่บุคคลธรรมดาสามัญจะทำได้ เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรค นานับประการ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบเดนตาย และยังได้บริจาคทานแก่คนที่ตกยาก ใช้เงินส่วนตัวไปแล้วหลายล้านบาท แล้วยังช่วยผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ นั่นคือพระนางสุพรรณกัลยา ที่ได้มีส่วนสัมพันธ์ทางบุญคุณกับท่าน พร้อมด้วยพระธิดาทั้งสองพระองค์มาด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่า พระนางท่านมีพระธิดาองค์แรกเป็นทารก เขาปล่อยให้อดตายไปก่อนแม่ แล้วเขาจับยัดใส่ไหลูกเล็ก ฝังไว้ก่อนที่คุณขุดค้นเอานี่เอง และเรียกเอาวิญญาณมาด้วย ส่วนคนที่อยู่ในท้องได้แปดเดือน ถูกฆ่าตายทั้งกลม ด้วยน้ำมือของเจ้ามังสะไชยสิงหะราช หรือนันทบุเรง ไปพร้อมกับแม่ ที่เรียกว่าพระนางตายทั้งกลม ท่านช่วยทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณ เอามาหมด

และทั้งหมดนั้น เขาจะกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่าน ในอนาคต และจะเป็นผู้ชายทั้งสองคน เป็นผู้มีบุญมาก มาเกิดในสกุลทุกข์ยาก แต่เขาจะเกิดมาช่วยสังคม ท่านดูไปก็แล้วกัน คนพี่เขาจะมีชื่อว่าสุริยัน คนที่สองชื่อว่าบุญชุ่ม อีกประมาณสักสามสิบปีข้างหน้า ท่านจะเห็นหน้าเขา และเขาจะรักและเคารพท่าน เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ท่านดูไปก็แล้วกัน สักวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะมาหาท่านเอง และแต่ละคนเขาก็จะเวียนว่ายตายเกิด เหมือนท่านเอง เพราะรีบมา สร้างบารมี ไม่ยินดีในทิพยสมบัติ อย่างผู้อื่น เขานิยมกัน ก่อนมาเกิดในชาติปัจจุบัน เจ้าสุริยัน เป็นผู้กอบกู้เอาเมืองถลางเขตปักษ์ใต้ เขาจึงเกิดเมืองใต้ ส่วนเจ้าบุญช่วย (บุญชุ่ม) เขาเกิดมาเป็นเจ้าตนบุญ ผู้โด่งดังในภาคเหนือ คือพระอุปัชฌายะ ของคุณเองต่างคนต่างเป็นครู เป็นศิษย์กันมาตลอด แล้วให้คุณภาวนาว่า ปุพเพวะสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะวา เอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรังวายะโถทะเก ถ้าผู้มีจิตสรัางจิตให้เป็นตัวแฝงได้ ภาวนาคาถานี้ จะรู้ชัดเจนว่าชาติปางก่อน ย้อนไปไม่เกิด 5 ชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง จำไว้นี้เป็นคำเตือน ของหลวงพ่อโลกอุดร


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มิถุนายน 2555 13:29:23 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 17:20:06 »


จากนั้นท่านก็แนะนำเรื่อง การรักษาตัวจริง คือร่างกายด้วยการกินการนอน การทำงานให้สมดุลย์อย่าใช้มันมาก ส่วนตัวเป็น ให้ลดละทิ้งให้เด็ดขาด อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวเป็น คือตัวเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรต่อมิอะไร ตามวิสัยที่โลกเขาสมมุติกัน อันตัวเป็นนี่เอง คือสมุทัย จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เพราะไปยึดติดมัน อันคนส่วนมากชอบยึดติดอยู่กับตัวเป็นนี้เอง มันจึงทุกข์ ส่วนตัวแฝง ตัวทิพย์ ที่เรารู้เราเห็นมานั้นแหละ ให้สร้างมันขึ้นมา ติดตาตรึงใจไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี อันตัวแฝงนี้ ยิ่งใช้งานยิ่งมีพลัง ที่จะช่วยตัวเองและคนอื่นได้ ส่วนตัวเป็น ยิ่งนำออกมาใช้ยิ่งยุ่งทั้งแก่ตัวเอง และสังคม ส่วนตัวจริงนั้น ยิ่งใช้งานยิ่งเสื่อมโทรม แก่ง่ายตายเร็ว อันตัวที่จะช่วยให้ตัวจริง ได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เร็วตายเร็วได้ ก็อาศัยตัวที่สาม คือตัวแฝงนี้เอง จงจำเอาไว้ และผมขออวยพรให้ท่าน ได้ทำประโยชน์ให้สังคมไปนานๆ และขอเตือนกรรมที่ท่านทำเอาไว้ คือไปยิงปืนขู่ข้าศึก ให้ผิดใจกับพวกนางสนมนางในนั้น เขาไม่พอใจ จึงร้องขอเจ้าเหนือหัว ให้ประหารชีวิต แต่ท่านคิดทัน หลบหนีออกเวลากลางคืน ขนสมบัติไปด้วย ไปฝังเอาไว้ ที่ไม่ไกลจากวัดที่เมืองอยุธยา ที่พระพลรัตน์ไปเกิด

อันสมเด็จพระพลรัตน์นั้น คือท่านขรัวโต (สมเด็จโต พรหมรังสี) อันวีรกษัตริย์ตั้งแต่อดีตนั้น ท่านได้สืบสันติวงศ์ ทางบุญกุศลกันมาตลอด คือ พ่อขุนราม ก็มาอุบัติในวงศ์จักรี องค์ที่ 5 คือ พระปิยะมหาราช คุณอย่าลืมว่า วงศ์กษัตริย์ในเมืองสยามไทยนั้น ท่านมีการสืบสันตะติกันมา หลายชาติหลายภพ ซึ่งแต่ละท่านทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง ที่คนส่วนมากยอมรับนับถือเอามากๆ ท่านเหล่านั้น ก็กลับมาเป็นกำลังของชาติ ในยุคปัจจุบัน คือ ระดับเจ้า ระดับขุนพล ขุนทัพ แม่ทัพ ในยุคนี้สมัยนี้ทั้งนั้น ส่วนลูกชายบุญธรรมของท่านทั้งสองคนนั้น เขามีตัวแฝงมาแต่กำเนิด เขาเลี้ยงตัวได้ และท่านเองก็รักเขาจริงๆ เหมือนลูกในไส้ และเขาทั้งสองจะเกิดมา สนองกรรมไว้ชาตินี้เท่านั้น แล้วก็จะทำจิต ให้ถึงพระอนาคามี ไม่มาเกิดอีกแล้ว ผมขอฝากไว้ด้วย เพราะเขาจะช่วยสังคม และคนทั่วไปตลอดชีวิตของเขา และเขาก็ปราศจากคู่ครอง ท่านดูเองก็แล้วกัน ผมไปละลาก่อน พบกันใหม่ ที่เทือกเขาหิมาลัย ในอีกไม่นานนัก เพราะท่านจะต้องตามถนอมรัก ลูกคนที่สอง ซึ่งอยู่ที่หิมาลัยประเทศ

ในเวลาที่ข้าพเจ้านั่งฟังมันเป็นอาการครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งฟื้น ครึ่งฝัน และก็ฝันดีด้วย ช่วยให้เรามีกำลังใจ คิดอีกอย่างว่าก็ทำไมหนอ พระสุพรรณกัลยา ท่านไม่บอกเราในเรื่องนี้ นี่เราเอาพระวิญญาณ ของทั้งสามแม่ลูกมาด้วย ดีเหมือนกัน เราจะได้สัมผัสกับแม่ม่ายลูกสอง ตอนนั้นรุ่งอรุณ เวลาฟ้าสางพอดี เจ้าเก่งหมาคู่บารมี มันลุกออกวิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน เป็นเพราะเราเอายาสมุนไพรกรอกปาก และยาปะคบให้มันจึงหาย หรืออะไรชอบกล มันร่าเริงเข้ามาหา ส่อสายตาฝากความรักประจักษ์จิต ดีกว่ามิตรที่เป็นคนล้นเหลือหลาย จึงมานึกว่า ถ้าไอ้เจัาเก่งมันไม่ทำอาการป่วย เราพร้อมคณะ ก็ผ่านด่านดงพงป่าเหล่านี้ไปแล้ว และก็จะไม่เจอท่านผู้มีปัญญา ผู้มีบุญมาโปรดเราอย่างนี้เลย นี่เจ้าเก่งมันเป็นหมาแสนรู้ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับเพื่อนของมัน คือข้าพเจ้าแต่ตัวข้าพเจ้าสิโง่ และโง่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก เพราะไม่รู้ล่วงหน้า อะไรจะเกิดขึ้น ตกลงเรายอมแพ้หมา ยอมให้หมาที่ฉลาดกว่าเรา เข้าตำราว่า โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็นฉลาดไม่ได้เลย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 17:32:39 »


การเดินทางต่อ เราข้ามภูเขาหลวง ที่ขวางกั้นพม่าตอนบน กับไทยตอนเหนือ ได้ใช้เวลาอีกสิบห้าวัน ออกช่องทางบ่อเบี้ย เพราะต้องเดินอ้อมขุนเขาที่สูงชัน จากเหนือล่องใต้ จากเมืองปันเมืองทนล่องใต้ออก เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พวกขบวนหาบ ส่งเขาก็ลากลับบ้านเมืองของเขา เราจึงโทรเลขถึง เจ้าทิพย์วรรณ และนายพันเอกประภาส จารุเสถียร ผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมาตลอด ท่านจึงส่งรถสองคัน ขึ้นไปรับกลับเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2493 ส่วนสิ่งของต่าง ๆ จำนวน 3 หาบ เราฝากไว้กับบ้านเจ้าทิพย์วรรณ เพราะไว้ใจท่านมาก และท่านก็เป็นเจ้า ระดับเจ้าฟ้าหญิง แห่งนครเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งก็เป็นสายญาติผู้ใหญ่ ของโยมมารดาของเราเอง ส่วนข้าพเจ้ากับเจ้าเก่ง ก็เข้าป่าแสวงหาวิเวก พร้อมด้วยพระรูปของพระสุพรรณกัลยา และท่านสั่งว่า รูปพระน้องยาเธอของท่าน คือพระนเรศวรมหาราช ก็ให้หล่อไว้พร้อมกัน

ท่านสั่งว่าอีกในไม่ช้า พม่าเขาจะมีพระรูปของเจ้าบุเรงนอง ไว้ใกล้ชิดติดแดนไทยในภาคเหนือ ของประเทศเพราะเขาถือว่า ผู้เอาชัยชนะไทยได้ มีเจ้าบุเรงนองพระองค์เดียวเท่านั้น เขาจึงจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้เขตแดนไทย และแล้วขอให้ท่าน อัญเชิญพระรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ฝั่งไทย ให้หันหน้าใส่กัน อย่าให้ห่างกันเกินกว่า 1,000 วา ให้สองเสด็จได้ทัศนา เจริญสัมพันธมิตรไมตรีต่อกัน และไทยกับพม่า ก็จะเป็นเสมือนแผ่นดินเดียวกัน ทางจิตใจ และจะได้เจริญสิริวิไล ทั้งสองประเทศ

 เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือ จู่ๆ เมื่อปี 2540 นี้เอง พม่าก็สร้าง อนุสาวรีย์ของเจ้าบุเรงนอง ขึ้นไว้ที่ท่าขี้เหล็ก ระยะติดชิดกับฝั่งแม่สาย หันหน้ามาทางฝั่งไทย ใคร ๆ ไประยะนี้ ก็จะเห็นเจ้าบุเรงนอง ข้าพเจ้าจึงจะอัญเชิญพระบรมรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ที่ฝั่งไทย ให้อยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องให้ไกลกันเกินกว่าสองพันเมตร ที่อำเภอแม่สาย หันพระพักต์ไปทางพม่า ให้ทั้งสองพระองค์ ได้หันหน้าใส่กันอีก เรื่องก็นับว่าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ที่พระนางท่านบอกไว้เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น จึงนับว่าเป็นความฝัน จะเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ เพราะพระรูปข้าพเจ้าได้หล่อไว้ก่อนแล้ว เป็นพระรูปขนาดเท่าตัวพระองค์จริง เพราะข้าพเจ้าเชื่อความฝันของตัวเอง จึงลงมือปั้นหล่อไว้ก่อน ขณะนี้พระรูปก็อยู่ที่ข้างกระท่อมของข้าพเจ้าเอง พร้อมที่จะอัญเชิญไปได้ทุกเมื่อ ขอบอกว่า อันพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ของพระสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยทาริกาทั้งสองนั้น ตกเป็นของคนไทยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2491 และได้เดินทางถึงแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2493 และได้ทำการหล่อรูปของพระนางท่านเมื่อ พ.ศ. 2535 ปิดมาเป็นความลับแต่แรกเริ่ม ครบห้าสิบปี

และได้เจอกับกุลสตรี บุตรสาวของท่าน เมื่อปี 2520 คนแรกที่งานวางศิลาฤกษ์อาคาร ร่วมกับสมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นพระองค์ท่าน ยังไม่ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหมอสุริยัน เขาเป็นเจ้าพิธีพราหมณ์ มีคนนับถือเขามาก เขาเข้ามาขอมอบตัว เป็นลูกบุญธรรมตลอดชีวิต และเมื่อเขาบวชเป็นบรรพชิต คือเป็นพระภิกษุ จากสมเด็จพระญาณสังวร และครั้งที่สอง บวชที่วัดสระเกตุ เขาบวชวันนั้นเสร็จ เขาก็ไปอยู่กับข้าพเจ้าตลอด ลูกคนนั้นคือคุณสุริยัน อริสังวโร หมอหยองที่คุณรู้จักทุกวันนี้ ส่วนคนที่สองคือ เจ้าบุญชุ่ม เขารู้จักกับข้าพเจ้าตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นเณร ตอนที่เขาเป็นสามเณรนั่นซิเอาเรื่อง มาให้เราแทบจะบ้าตาย เรื่องเขาเป็นสามเณรรูปหล่อ ข้อปฏิบัติเคร่งครัด คนก็นับถือมาก อยากจะไปอยู่หิมาลัยประเทศ คือเขตตอนเหนือ ประเทศเนปาล ข้าพเจ้าเอง กับคุณโยมประดิษฐ์ วิชาพานิช คุณเม่ง นายช่างภาพ คุณบุญไชย ใครอีกบ้างก็จำไม่ได้ นำขึ้นเครื่องบินเหินฟ้า พำนักปฏิบัติภาวนา ไปหิมาลัย เอาไปฝากไว้กับพระอมริตตะเถระ เจ้าคณะใหญ่ประเทศเนปาล ท่านสมภาร และเป็นประมุขของสงฆ์ ก็ยอมรับลูกบุญธรรม ของเรา เพราะก่อนเราเคยพบกันที่พม่า พอออกพรรษา ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์ วิชาพาณิชย์ คุณวิภาวรรณ หมอพิลาทั้งครอบครัว พากันไปเยี่ยมไปทอดผ้าป่า ถวายค่าอาหาร แล้วเดินทางต่อ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองนั้นประเทศนั้น
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 17:48:55 »


ตอนขึ้นไปทางเหนือติดแดนจีน คือเมืองยาลัม และอเวเลสต์ เชิงเขาหิมาลัยนั้น ตรงนั้นเขาเล่าว่า เป็นเวียงวังบ้านเกิด ให้กำเนิดของ หลวงปู่พระครูโลกอุดร ชื่อจริงของท่านคือ พระอุตระ น้องชายชื่อพระโสณะ ที่มีกล่าวในอนุพุทธประวัติ ที่ท่านถูกส่งเป็นสมณะฑูตไทย เดินทางมาให้กำเนิดพุทธศาสนา เผยแพร่ในแดนสุวรรณภูมิ คือแดนทอง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว และเขมร โดยเฉพาะคนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอม ที่คนผู้ละโมบโลภหลง เอาชื่อท่านมาขายกินกัน ในสังคมไทยหารู้ไม่ว่า หลวงปู่โลกอุดรเกิดที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป ในคราวนั้น เราไปกันหลายคน เพื่อนมัสการโบราณสถานที่นั่น และทั่วหิมาลัยประเทศ จึงขอบอกตรง ๆ ว่า หลวงพ่อโลกอุดร คือพระอภิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ ท่านจะเสด็จโปรดทุกแห่ง แต่แห่งใดมีจิตใจเป็นพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน เพื่อแสวงหาลาภผล ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระ ท่านไม่เอาด้วย และไม่ปรากฏให้เห็นเลย ท่านจะช่วยแต่ผู้ที่เสียสละ มีแต่ให้กับให้ และช่วยคน โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และต้องได้ตัวในคือ ตัวแฝงด้วย และตัวแฝงเอาออกมาใช้ได้ด้วย อันเจ้ากูที่หนาด้วยกิเลส หาทางร่ำรวย ฉวยโอกาสนั้น เมินเสียเถิดอย่าหลอกเขาต่อไปเลย บ้านช่องของท่านอยู่ที่ เมืองอุตระ ยาลัมอเวอเลสต์ เขตติดต่อกับแดนจีน เชิงเขาหิมาลัยโน้น

ตอนไปคราวนั้น เราได้พำนักแสวงบุญไปชม ไปนมัสการสถานที่เก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง เกือบทั่วหิมาลัยประเทศ การไปเที่ยวที่นั่นวันนั้น เมื่อพากันชมสถานที่ ที่พระผู้มีบุญมาเกิด พวกเราก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นเอง สามเณรเจ้าบุญชุ่ม ก็ลองภูมิข้าพเจ้าว่า พ่อครับ หนังสือในแผ่นหินป้ายใหญ่ๆ นี้ ลองอ่านซิหลวงพ่อ เราก็อ่านดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยิน หนังสือนั้นเขียนเป็น อักษรฮินดี และกูต๊าฟ มีประมาณ 30 แถว แล้วกำลังจะแปลให้ลูกศิษย์ฟัง ประเดี๋ยวนั่นเอง แทนที่จะเป็นน้ำไหลออกมา อย่างเจ้าบุญชุ่มบอก แต่เป็นพระสงฆ์รูปร่างใหญ่ เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น ซึ่งก็มีรั้วทองแดงสูง 2 เมตร กั้นไว้ ท่านเดินออกมาได้ เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านเดินยิ้มออกมา จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า จะมะนิยังอาวุโส เราก็ตอบท่านว่า ขะมะนิยังภันเต (เป็นภาษาพระสงฆ์ ท่านถามข่าวคราว กันตามธรรมเนียม) ถ้าแปลเป็นไทยให้ตรง ๆ ว่า ท่านยังทนไหวหรือ (หรือท่านยังไม่ตายหรือ) แล้วก็ขอถ่ายรูปรวมกัน ข้าพเจ้ายืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย พระอาคันตุกะยืนขวา วันนั้นมือกล้องถ่ายหลายท่านร่วมกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็จากกัน พวกโยม ๆ ก็อยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร ทำไมจึงแสดงความสนิทสนม กับอีตาโง่นมากนัก ขนาดจับมือถือแขนหยอกล้อกัน ถึงกับเอามือลูบหัวโล้นอีตาโง่นได้

แต่ท่านหัวล้านใส ในสายตาท่านคมสงบเสงี่ยม พระหัวล้านกับพระหัวโล้น เจอกันมันแท้ ๆ แต่รูปถ่ายที่ออกมารูปท่านกลายเป็นพระแขก มีผ้าพันหัวเอาไว้ มิใช่หัวล้านสักหน่อย พวกโยมๆ จึงฮือฮาถามว่า ทำไมถึงเป็นไปอย่างงี้ เราก็ตอบเขาว่า ก็ฝากพนัก ที่เป็นก้อนหินป้ายนั้นแหละ เป็นที่อยู่ของหลวงปู่โลกอุดรเกิด ถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ ณ ที่นี้ องค์ที่ท่านจำแลงรูป ออกมาจากก้อนหินนี้ คือหลวงพ่อโลกอุดร ท่านเป็นพระอริยเจ้า ระดับอภิสมารกาย คือกายทิพย์ จะปลอมแปลงตัว ให้เป็นอย่างไรก็ได้ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเข้ามาที่นี่ มิใช่ที่ราบเรียบ แต่เราเดินมาอย่างสบาย ขึ้นเขาหิมาลัยมาได้ อย่างไม่รู้ว่ามันสูงชัน ดูโน้นซิโยม หิมะที่ปกคลุมเขาอเวอเลสต์ ขาวโพลนไปหมด แต่ขากลับเราก็จะเดินสบาย เพราะต้องเดินลงได้อานิสงส์มาก ทุกคนก้าวหน้าร่ำรวยสบายแล้ว รูปนั้นถ่ายด้วยกล้องโพโลรอย รูปจะออกมาให้เห็นทันที แต่ที่ถ่ายด้วยกล้องอย่างดีนั้น วันหลังเอาฟิลม์จากกล้องอย่างดี มาล้างดูจะเป็นอย่างไร และเมื่อล้างดูแล้ว ก็เป็นเหมือนกันหมด
ดังที่เห็นในภาพนี้เอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ขอให้คิดเอง แต่ผู้เขียนเชื่อเต็มร้อย เพราะเราถ่ายในสถานที่เกิดของท่าน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:09:48 »



"กษัตริยานุสรณ์" พ.ศ.2520 สีน้ำมัน  อ.จักรพันธ์
http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P2394074/P2394074.html

เกร็ดย้อนรอยประวัติศาสตร์
และ พงศาวดารพระตำนานของพระสุพรรณกัลยา

ดังผู้เขียนได้กล่าวไว้ ในคำปรารภเบื้องต้นนั้นว่า อันการได้มาซึ่งพระประวัติ เรื่องราวอันเป็นตำนาน ที่เป็นทั้งแบบรูปธรรม และนามธรรม ของพระตำนาน พระสุพรรณกัลยานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะในประวัติศาสตร์ และพงศาวดาร ก็กล่าวไว้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เรื่องที่เป็นความจริง หรือใกล้ความจริง ของวีรสตรีท่านนี้ จึงเกือบจะหาย จากความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำของคนไทยไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เกิดจากความฝัน อันเป็นอารมณ์ ที่ธรรมชาติสร้างมา และบุญกรรม บาปเวร ที่มีอยู่ก่อน เป็นผลสะท้อน ย้อนมาให้ผู้เขียน ไปตามความฝัน เพื่อไปแก้กรรม และสร้างกรรมต่ออีก จึงได้ใช้ความพยายาม บุกป่าฝ่าดง มุ่งตรงต่อเมืองเมียนม่า ด้วยเท้าเปล่า โดยมิได้อาศัยยานพาหนะใดๆ ทั้งนั้น

ด้นดั้นเดินธุดงค์ ไปอย่างเดียวดาย แทบจะถึงปางตาย เอาชีวิตไม่รอด และได้ไปเจอ มรสุมของชีวิต ทุกรูปแบบ ใช้เวลานานถึงสองปีกว่าๆ ในสถานที่ที่จะต้องการไป เพื่อศึกษาหาความจริง จากอารมณ์ฝัน เราไปแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วเรื่องอะไรถึงต้องไป และก็ได้กล่าวตอบแล้วในตอนต้น อันยอดปรารถนาของเรา ก็เพื่ออยากสัมผัสทางจิตวิญญาณ เมื่อได้รับรู้ทางจิตวิญญาณ แล้วก็ค้นคว้า ให้จิตวิญญาณ ที่เป็นนามธรรมนั้น ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา คือพระฉายาลักษณ์ จากกล้องถ่ายรูป ออกมาจนได้ และก็ได้มีโอกาส ศึกษาค้นคว้าทางตำนาน จากตำรับตำราของเขา ที่เขาเก็บเอาไว้ ในหอสมุด บังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆ เมื่อปี พ.ศ. 2229 ที่เขาไม่เอาใจใส่แล้ว มาศึกษาดู ก็ไปพบหนังสือ ซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ ของพระนางเอง ที่เขียนเอาไว้หลายตอน ผู้เขียนจึงได้ตัดทอน ที่เป็นอักษรพม่าสมัยโบราณ เอามาลงไว้ดังต่อไปนี้

อักษรหนังสือนี้ เป็นอักษรโบราณนานมาแล้ว ซึ่งไม่ต่างกับอักษรไทย ในสมัยอยุธยา ผู้เขียนจึงแปล ออกมาได้ความว่า "ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัว คือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พล และน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

"ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้อง ตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้าพเจ้ากลับมาลาพ่อแม่ เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงาน ข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสอง กลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมือง ที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์

เมื่อใช้ความพินิจพิจารณาดูด้วยเหตุผล และเนื้อเรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่า ตัวพระนางเองเมื่ออายุได้ 14 ปี และน้องชายคนโตคือ เจ้าองค์ดำอายุ 12 ปี เจ้าองค์ขาวอายุ 10 ปี ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย เหตุที่ตัวพระนางจะไป เพราะน้องชายทั้งสองไม่ยอมไป ถ้าพี่สาวไม่ไปด้วย ก็ผิดกับพระตำนาน และประวัติศาสตร์ว่า พระนเรศวรมีอายุ 3 ปี ส่วนพระเอกาทศรถก็คงปีกว่าๆ เท่านั้น
และเจ้าบุเรงนองจะเอาไปทำไม เพราะเล็กเหลือเกิน เดินไม่ไหว แถมยังเป็นภาระ ในการเลี้ยงดูอีก และจะเอาน้ำนมที่ไหนให้กิน เพราะสมัยนั้นไม่มีนมเทียม นมสำเร็จรูป ที่จะให้เด็กเล็กๆ ดื่มได้อย่างสมัยนี้ ฟังดูแล้ว มันไกลจากความเป็นจริง แต่นี้พระเจ้าองค์ดำ มีพระชนมายุถึง 10 ปี เดินได้สบาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 เมษายน 2553 16:30:18 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลี่ยนภาพที่หายไปค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:21:33 »




ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา

ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้บันทึกเอาไว้ เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวที่ท่านทำ และท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้ทราบถึงความเป็นมาของท่าน และต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดา คือ พระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เชื้อสายต้นตระกูลของพระนาง ท่านนั้นมีกำเนิด มาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดา มาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสาย พระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้ และได้บันทึกไว้มีดังนี้

เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชเมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชา ซึ่งเป็นน้องชาย ของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติ โดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรัก ราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามา จะตีกรุงศรีอยุธยา โดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติ และอำนาจวาสนาอย่างเดียว กัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้น ที่บ้านป่าถ่าน

ต่างองค์ต่างก็ฟันกัน ด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ขาดตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติ ครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกกองทัพมากวาดต้อน เอาผู้คนเป็นจำนวนมาก จากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็น ไพร่พล ของอ้ายขะแม (เขมร) สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา ในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน ในระยะที่เจ้าสามพระยา ตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมร อยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติ ที่พลับพลานั้นเอง เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้ว ก็กวาดต้อนเอาไพร่พล และสิ่งของที่มีค่า กลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชา ครองเมืองกัมพูชาแทน พวกขอมในระยะนั้น เป็นเมืองขึ้น คือประเทศราชของไทย จึงย้ายเมืองหลวง จากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญ ตลอดทุกวันนี้ ส่วน พระอินทราธิราช ก็อยู่ครองเขมรไม่นานนัก ก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มีนาคม 2553 19:43:18 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:26:05 »


ส่วนพระบรมไตรโลกนาถ ได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบ และอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน พระองค์จึงเสด็จไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว ก็ได้รับการต้อนรับจาก อาณาประชาราษฎร์ อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี และ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขต ทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษา พระประวัติ และพระราชประเพณีของวีรบุรุษ แบบกรุงสุโขทัยในอดีต และในเวลานั้น ก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการเก่าๆ ในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำ ให้ความรู้เพิ่มเติมอีก และได้ทรง เลือกประเพณีเก่าๆ และใหม่ๆ มาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครอง แบบพ่อปกครองลูก อย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราช และทรงเลือกปฏิบัติ ตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุ ของบรรพบุรุษ และเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน

อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน และในสมัยของพระองค์ท่าน ก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัย ยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อ และไพรพลเมื่อปี พ.ศ. 1999 เมื่อปีนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเสด็จกลับ เพื่อรับเป็นรัชทายาท ไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เอง ก็เกิดยุ่งกันขึ้น ทางเหนืออีก เพราะพระองค์ทรงปกครอง แบบพ่อปกครองลูก มิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆ เป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆ มีเจ้าเมืองปกครองกันเอง แบบเจ้าเมือง เจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกัน เพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์

ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลก ก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรี สวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เพราะเวลานั้น เมืองเชียงใหม่ มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา เพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไป กวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราช จะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมา ของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือ มันยุ่งกันนัก จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบาย ย้ายพระองค์เอง ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก เสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทย อยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 ส่วน กรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน

ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุง พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงาม ไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัด พระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และ วัดอื่นๆ อีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูต ไปอาราธนานิมนต์ พระผู้ทรงแตกฉาน ในพระไตรปิฏก จากทวีปลังกา มาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เอง ก็ทรงอุปสมบท ประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้ว ก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่ง เป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่าน ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระ แตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือน ถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุด ก็ฆ่าลูกชายของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลนาถ เห็นเป็นโอกาสดี จึงยกทัพขึ้นไปตี เอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญา เป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #49 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:30:41 »


สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสี เชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ 1 พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ ในการรบ ที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อน แล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทน พระราชบิดา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองเหนือคือ เมืองพิษณุโลก ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน อันวีรกรรม ผลงานของพระรามาธิบดี องค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีก เมื่อปี 2050 พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบ และได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้น ในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพระบรมไตรโลกนาถ และพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวง วัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูป ด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง

วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอก เอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุด อำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว อันเจ้าทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทาง ที่จะแสวงหาอำนาจ ความเป็นใหญ่ใส่ตัว และพวกของตัว ผู้ที่ใฝ่ และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชคือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชอยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราช ได้ครองเมืองนี้เอง ได้สู้รบกับ กองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอู สู้ไทยไม่ได้ถอยกลับ เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อน ที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ก่อเรื่อง ให้บ้านเมืองต้องเดือดร้อน ไปทุกหัวระแหง เพราะความร้ายกาจ ของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัด ของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป

ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายใน และภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ ประสบภัยอันใหญ่หลวง ถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อน และเป็นผู้กอบกู้ชาติไทย ให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนา แต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดา ให้ขึ้นครองราชแทน แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆ ที่ตัวเอง มีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเอง ชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน แล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง จึงวางแผน ฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเอง ด้วยให้กินยาพิษ เมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราช อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชาย ของเจ้าแก้วฟ้าแทน

ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้ว กลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใคร ที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการ ทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรม ของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจ และท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผน ทูลเชิญเจ้าเหนือหัว คือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือ ไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน ให้อาณาประชาราษฎร์ ได้ยลโฉม อภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้าง ออกพ้นนอกกำแพงเมือง ถึงตรงคลองสระบัว ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรู เสี้ยนหนามของแผ่นดิน ให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ด ของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติ รักบ้านเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจ ในผู้มีอำนาจ วาสนา บารมีมากๆ ว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรี บารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่น จนเกินไปบรรลัยลูกเดียว
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:36:08 »


เมื่อชาวกรุงศรีอยุธยา ช่วยกันกำจัดตัวเสี้ยนหนามของชาติ คือเจ้าขุนวรวงศา กับศรีสุดาจันทร์ได้สำเร็จแล้ว ก็พร้อมกันไปทูลเชิญ หลวงพ่อพระเฑียรราชา ให้ลาผนวช (คือให้สึก ลาเพศจากสมณะ ให้ขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 2091 เหตุที่ท่านจะหนีบวช เพื่อพึ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เพราะทนการปองร้าย การจองล้างจองผลาญ พาลหาเรื่องใส่ความ จากพี่สะใภ้ คืออีแม่นางศรีสุดาจันทร์ไม่ไหว จึงไม่สนใจรับราชสมบัติใดๆ ทั้งนั้น แต่คราวนี้ พระองค์ท่านต้องรับหน้าที่ ไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะเหตุที่ชาวประชา ข้าราชการทั้งหมด ในเมืองสยามไทย ฝากความหวัง ไว้กับท่านให้ครองราช จึงได้อภิเษก ให้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้อภิเษกสมรส กับพระศรีสุริโยทัย เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้เสวยราชแล้ว ก็ปูนบำเหน็จ ให้ผู้ทำความดีช่วยเหลือบ้านเมือง ผู้กำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินทุกคน คือ ท่านขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งอดีตเป็นเจ้ากรมตำรวจ ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมือง และพื้นเพเดิม ตระกูลเดิมของท่าน ก็เป็นรัชทายาท เชื้อสายของวงศ์พระร่วง และเป็นพระญาติที่ใกล้ชิด กับพระไชยราชาธิราช ผู้เป็นพระบิดา ของเจ้าแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) ผู้เป็นพี่ยาเธอ ของพระเฑียรราชา จึงสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช แล้วเลื่อนเป็น พระมหาธรรมราชา แล้วทรงมอบ พระราชธิดาองค์ใหญ่ คือ พระวิสุทธิกษัตรี ให้ไปเป็นพระชายา แล้วให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ก็ทั้งสองท่านนี้เอง เป็นผู้ให้กำเนิด คือพระราชบิดา และราชมารดา ของพระนางสุพรรณกัลยา กับเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว แล้วต่อมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ากลียุค พม่าบุกทำลาย พระเจ้าตาของพระนาง คือพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงเรียกตัว กรีฑาทัพลงมาช่วยที่อยุธยา

อันพระเจ้าตาของท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ กับพระเจ้ายาย คือ พระศรีสุริโยทัย ได้ให้กำเนิด พระราชโอรสสองพระองค์ พระราชธิดาสามพระองค์ ซึ่งมีรายนามดังนี้คือ

1. พระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
2. พระวิสุทธิกษัตริย์ คือ พระมารดาของพระนางเอง กับเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว
3. พระบรมดิลก
4. พระเทพกษัตรี
5. พระมหินทราธิราช ซึ่งได้ครองราช แทนพระจักรพรรดิ

องค์ที่หนึ่ง พระองค์แรกเป็นชาย ชื่อพระราเมศวรเป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญชาญชัย มีความรักชาติ รักพี่รักน้อง รักแผ่นดิน รักเกียรติภูมิ ได้ตำแหน่งรัชทายาท มีความองอาจ คู่พระทัยในพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแพ้สงคราม ก็ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกัน พร้อมด้วยพระเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว เมื่อแพ้สงคราม เราทั้งสาม ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง ขอเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม เขานำไปไว้ที่เมืองหงสาวดีเช่นกัน องค์ที่สามคือ พระบรมดิลก ที่สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง เหมือนพระมารดาคือ พระศรีสุริโยทัย แต่พงศาวดารไทย ไม่ได้กล่าวถึงเลย เท่ากับเป็นวีรสตรี ที่สาบสูญไปอีกองค์ ขาดจากความทรงจำของไทย ไม่ผิดกับฉัน องค์ที่สี่คือ พระเทพกษัตรี ท่านองค์นี้นับว่า เป็นราชธิดาที่น่าสงสาร ในชีวิตของท่าน ต้องพลัดพราก จากบ้านเมืองนอนรอนแรมไปอยู่ต่างแดน เพราะในการเสียกรุงครั้งนั้น เจ้าศรีสัตนาคนหุต ฉุดเอาไปทำเมียเสียเอาดื้อ องค์ที่ห้าคือ พระมหินทราธิราช ผู้ครองอำนาจ ต่อจากพระมหาจักรพรรดิ แล้วเมื่อเสียกรุงครั้งแรกปี พ.ศ. 2112 เจ้าบุเรงนองจับเอาไปเป็นเชลย และให้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา พอเดินทางไปถึงเมืองสระถุง ใกล้กับเมืองอังวะ พระมหินทราเกิดความไม่ยำเกรง ต่อบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี บุเรงนองเกิดพิโรธ โกรธแค้น จึงสั่งประหารด้วยดาบ แล้วโยนศพ ลงแม่น้ำสะโตง ก็พระคุณท่านยังลงไปงม เอาศพขึ้นมา ทำฌาปนกิจให้ท่าน ฝังไว้ตรงไหนท่านรู้เอง ตอนท่านกลับ ก็อย่าลืมขุด เอาอัฐิธาตุกลับไปด้วยนะ ส่วนขบวนของพระเจ้าลุงของฉัน คือ พระราเมศวรนั้น เขาไล่เอาไป เป็นทัพหน้าอยู่ทางเหนือ เมื่อท่านกลับ กรุณาไปเชิญเอางาช้างเผือกไปด้วย เพราะช้างเผือกนั้น มีงาแฝดข้างหนึ่ง เป็นสีดำ หรืองาช้างดำ เล่มเล็กๆ ใครมีไว้เป็นมงคลแก่ตัว
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 18:41:23 »


ส่วนฉันเองพร้อมด้วยน้อง พอเห็นเขาประหารพระเจ้าอา คือพระมหินทราธิราช ต่อหน้าต่อตา ก็พากัน เกิดปริวิตกอย่างมาก ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องตายแบบนี้ ก็ต้องถึงเราแน่ แต่ก็มีท่านเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ทัดทานเอาไว้ ในคราวที่พวกฉันจะถูกรังแก แต่ไม่รู้ว่าท่านมีอะไรดี อยู่ในตัว ทำให้บุเรงนองต้องกลัว และเกรงใจท่านเอามากๆ คงจะเป็นเพราะท่านเป็นหมอ หมอยาสมุนไพร ได้ช่วยรักษา ให้บุเรงนองหายจากโรค พ้นจากความตายได้หลายครั้ง และบุเรงนองเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เนื้อตัวเกรอะกรัง ด้วยน้ำหนองไหลไม่ขาด ท่านฉลาด หายาตามป่ามาอาบ ทา ให้หายทุกครั้ง และเขาถูกช้างเหยียบจะตายเอา ท่านชี้มือบอกให้ช้างหยุด ช้างก็หยุด เขาไม่ตายเพราะท่าน ดังนั้นเจ้าบุเรงนองจึงเกรงใจท่าน และรักท่าน

และท่านก็ได้กราบทูลเขาว่า กุมารทั้งสองคน พร้อมด้วยกุมารีอีกคนหนึ่ง คือตัวฉันกับน้องๆ นั้น เจ้าเหนือหัว ทรงขอกับพระมหาธรรมราชา มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าเหนือหัวต้องรักษาสัจจะ ให้รักเขาเหมือนลูก และทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ ถ้าหากไม่แล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตาย แล้วปล่อยให้ท่านทรมาน ด้วยโรคตลอดไป และจะตายเอาเร็วด้วยนะ ดังนั้นเขาจึงรักฉันกับน้องๆ เหมือนลูกจริงๆ แต่ก็ไม่ขาดจากสายตาท่าน ที่จะต้องดูแลทุกข์สุข ในการเดินทาง บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ห้อยโหนปีนเหว ใช้เวลารวมเดือนกว่าๆ พวกเราทรมานมาก ไม่รู้ว่ามีกรรมมีเวรอะไร แต่ชาติปางก่อน มันจึงย้อนมาสนองเรา เอาชาตินี้ ขอให้ท่านจงช่วยแก้กรรมให้ด้วยคะ หรืออาจจะเป็นเวรกรรม ที่พระบิดาของฉัน ทำกับแม่นางศรีสุดาจันทร์ก็ได้ อันการที่ฉันได้เล่าเรื่องราว ถึงสกุลรุนชาติ สายญาติต้นตระกูลเดิมของฉันก็มีเท่านี้

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดี ก็ยกกองทัพเข้ามารุกราน ด้วยได้ระแคะระคายว่า กรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าหงสาวดีจึงให้เกณฑ์พม่า สมทบกับมอญ และไทยใหญ่ ให้มาชุมนุมทัพพร้อมกัน ที่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงยกมากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2091 อันที่จริงกรุงศรีอยุธยา จะไม่ใช่ว่าไม่เคยสงคราม แต่สงครามที่ได้ทำมา ในครั้งก่อนๆ นั้น นอกพระราชอาณาเขต ไม่เหมือนกับครั้งนี้ เพราะในสมัยก่อน พระไชยราชาธิราชก็ได้ต่อสู้ ฟาดฟันกับพม่า คือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ให้ป่นปี้หนีหายไป ไม่เป็นขบวนมาแล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่มีศึกใหญ่ เข้ามาประชิดประเทศ ยึดดินแดน ส่วนสำคัญของไทย เป็นสมรภูมิ แต่เนื่องด้วยกำลังรี้พล และเสบียงอาหารของไทย ในระหว่างนั้นยังสมบูรณ์อยู่

ด้วยเมื่อกำจัดขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ แต่นั้นมา บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบ มิได้เกิดการจราจล ถึงกับรบราฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อได้ข่าวพระเจ้าหงสาวดี ยกกองทัพใหญ่เข้ามา ประชิดพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพ เมืองเหนือลงมาช่วย และทรงส่งกองทัพใหญ่ออกไป ตั้งรักษาเมืองสุพรรณบุรี เป็นที่มั่นคอยรับหน้าข้าศึก และเตรียมการป้องกัน พระนครศรีอยุธยาไว้ก่อน แต่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดี มีกำลังใหญ่หลวง กองทัพไทยที่ยกออกไป ตั้งรับรักษาเมืองสุพรรณบุรีจึงสู้ไม่ได้ จำต้องทิ้งเมือง ถอยกลับมายังกรุงศรีอยุธยา การถอยในครั้งนี้ เป็นการถอย แบบถอยท่าเดียว มิใช่เป็นการถอยพลาง สู้พลาง หรือหาที่มั่นแห่งใดแห่งหนึ่ง รับข้าศึกเป็นระยะๆ ไป แต่เป็นการกลับถอยหนี เข้ากำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาอย่างเดียว
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 19:19:41 »

สาธุ ๆ

เรื่องนี้บูมสุด ๆ เมื่อสิบปีที่แล้ว

ไปทางไหนก็มีแต่เรื่องพระนาง

อนุโมทนาบุญกับสาระความรู้ดี ๆ ครับ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: 29 มีนาคม 2553 21:26:57 »




ส่วนทางกรุงศรีอยุธยาเล่า แทนที่จะส่งกองทัพออกไปช่วย กองทัพสุพรรณบุรี กลับเฉยเสีย ปล่อยให้กองทัพของเจ้าหงสาวดี รุกไล่ถึงชานพระนคร ขณะนั้น ถ้าหากกองทัพไทย จะยกกองทัพออกไปต่อต้านข้าศึก ก็อาจจะได้เปรียบกว่าทหารพม่าอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยในกรุง ยังสดชื่นอยู่ ส่วนกองทัพพม่า ยกกองทัพรอนแรมมา ย่อมจะเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ถ้าหากทางกรุงศรีอยุธยา จะยกเข้าโจมตีทันที เมื่อกองทัพพม่ามาถึง ก็คงจะได้ชัยชนะบ้าง แต่ทางกรุงศรีอยุธยากับนิ่งเฉยเสีย เพราะยังไม่ได้ฤกษ์ จากโหรปล่อยเวลาให้ข้าศึกได้พักผ่อน และกินอาหารให้อิ่ม มีกำลังก่อน จึงได้ฤกษ์จากโหร

และในช่วงนี้เอง ที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องบันทึกการสูญเสีย สมเด็จพระนางศรีสุริโยทัย อัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป อย่างน่าเศร้าสลด กล่าวคือ กองทัพพม่ายกทัพเข้ามา ตั้งค่ายที่ชานพระนครเป็นที่มั่น เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 แล้วพอรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ใคร่จะทรงทราบกำลังของ กองทัพข้าศึก ว่าจะเข้มแข็งประการใด จึงลอบเสด็จ ยกกองทัพหลวงออกไป ครั้งนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหมสี ขอเสด็จตามไปด้วย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็โปรดอนุญาต ให้แต่งพระองค์เป็นชาย อย่างมหาอุปราช ต่างองค์ต่างทรงพระคชาธาร หรือช้างศึก ออกไปพร้อมกัน กับพระราชโอรสทั้งสองคือ พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช กองทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงออกไปปะทะกับ กองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นกองทัพหน้า ของพระเจ้าหงสาวดี ความตั้งพระทัยเดิม ว่าจะออกไปดูลาดเลาข้าศึกนั้น กลายเป็นการทำยุทธหัตถี เข้าโดยฉับพลัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เข้าชนช้างกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่ง ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที ก็แล่นหนีข้าศึก เจัาแปรได้ที ก็ขับช้างไล่ตามมาไม่ยับยั้ง

                      
 http://akarophas.blogspot.com/2011_02_01_archive.html    

สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสีที่ตามเสด็จมา ทรงเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะเป็นอันตราย ก็ไสช้างทรง ตรงเข้ามาขวางกั้นพระสวามี พระเจ้าแปรสำคัญว่าเป็นชาย ก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระอังศาขาด ซบพระเศียรทิวงคต อยู่บนคอช้าง ขณะนั้น พระราเมศวร กับพระมหินทราทรงเห็นเหตุการณ์ ก็ขับช้างทรงเข้าช่วย ขวางกั้นข้าศึกไว้อย่างหนักหน่วง จนข้าศึกถอยทัพ จึงได้พระศพ สมเด็จพระชนนีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ถอยทัพกลับคืนเข้าในพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อทรงถอยทัพ กลับคืนเข้าพระนครแล้ว ก็ใหัรักษาพระนครไว้ให้มั่น คอยกองทัพเมืองเหนือ ของพระมหาธรรมราชาที่จะยกมาถึง จึงจะตีทัพข้าศึก กระหนาบทั้งสองด้านให้พร้อมกัน ส่วนพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้น ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่สวนหลวง ภายหลังได้ทรงมีบัญชา ให้สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิงศพ ที่ในสวนหลวง ต่อเขตวัดสบสวรรค์ แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้น ตรงพระเมรุ มีพระเจดีย์ใหญ่เป็นสำคัญ ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้คือ วัดสวนหลวงสบสวรรค์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤษภาคม 2554 17:50:54 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #54 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 17:24:53 »




ถ้อยแถลงท้ายเรื่อง

ท่านผู้อ่านโปรดทราบ ในเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ส่วนมาก ก็ได้กล่าวไว้ที่เรื่องนั้นๆ ที่ได้มาจากฝัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ของบุคคลบางจำพวก ซึ่งก็เกือบจะร้อยทั้งร้อย ไม่ค่อยจะเชื่อ คือหากจะมีตำรากล่าวไว้ ในมหาสุบินนิมิตสูตร ซี่งเป็นนิมิตความฝัน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลายๆ ที่กล่าวไว้ ในศาสนาต่างๆ ว่า พระผู้เป็นเจ้า God มาเข้าฝันก็ดี หรือเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้าย พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระสุบิน (ฝันว่า) บรรดาทวยเทพเทวา มาห้ามไม่ให้อยู่ที่เดิม คือไม่ให้ทรงสร้าง เมืองหลวงขึ้นที่เดิม คือกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงทรงยาตราทัพ ไปตั้งที่บางกอก คือก่อนนั้นชื่อบางกอก และข้างวัดมะกอก จึงขอบอกว่า เรื่องฝัน มีมานาน หลายร้อย หลายพันปีแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องจริงตอนหลัง

แต่เรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ ในหนังสือเล่มนี้ คือตัวของคน คือตัวจริง เห็นก็รู้ คือรู้จักว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น คือเป็นโน่น เป็นนี่ เขาเป็นอะไร เป็นใคร ตัวนี้รู้ จึงจะเห็น ส่วนตัวที่สาม คือตัวแฝง ซึ่งเป็นตัวนามธรรมล้วนๆ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านสนใจมาก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกแจกไม่ทัน และก็ทำให้ผู้เขียนเอง ตลอดทั้งโรงพิมพ์ด้วยจะบ้าเอา เพราะการขอมาไม่ขาดสาย วันละหลายสิบราย เพราะพิมพ์ออกแจกฟรี พิมพ์ด้วย กระดาษอย่างดี ราคาแพงๆ ยังมาแจกฟรีได้ ไม่หมดตัวให้รู้ไป ทั้งนี้เพราะ ผู้เขียนเองตระหนักดีว่า เราเป็นพระ เป็นนักบวช เราต้องเป็นผู้ให้ มิใช่ผู้เอา ถือว่าการทำอะไร ถ้าหวังความร่ำรวย หวังผลกำไร มิใช่วิสัยของสมณะ เพราะ ผู้เขียนเป็นพระนักให้ ที่ได้กล่าวมาแล้ว มิใช่พระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน รบมาได้ไม่รู้จักพอ (ไม่รู้จักเอือม เป็นทาสของตัณหา)
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #55 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 17:28:25 »



อันเรื่องตัวแฝงนั้น ก็คือการแยกตัวรูปธรรม คือตัวจริง กับตัวเป็น นี้ออกให้เป็นสองภาค หลายท่าน อาจไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องวิเศษวิโส ของคนระดับอรหันต์ หรือผู้ถอดจิตได้ แต่ความจริงนั้น จิตกับกาย มันถอด ออกจากกันได้ ในเวลาที่กายสงบ ไม่ต้องทำอะไร ส่วนจิตใจก็อยู่ในภาวะที่สงบ จากอารมณ์ภายนอกเช่นกัน อย่างเรานอนฝัน ก็จะฝันในขณะที่กาย มันนอนหลับสบาย แล้วกายก็หลับ จิตก็ฝัน มันจะฝันไปตามเรื่อง เรื่องเหตุที่จะให้ฝันนั้น ได้กล่าวไว้แล้ว และอีกเรื่องที่สอง ผู้เขียนเอามากล่าว เป็นเรื่องราวไว้ในที่นี้ เอามาจากอาการที่กายสงบ อยู่สบายๆ ในที่สงัด ทางกายที่เรียกว่า กายวิเวก ส่วนจิตก็อยู่ในภาวะที่สงบ เรียกว่า จิตวิเวก คือ ทำสมาธิ จะเป็นชั้นไหนก็ได้ทั้งนั้น อันดวงจิตนี้เอง มันจะกลายเป็นสสาร ที่มีอยู่แล้วในบริเวณนั้น ที่มันมีอยู่ก่อน หลายสิบ หลายร้อย หลายพันปี มันจะไม่หายไปไหน ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีหลักว่า E=mc2 (สสารย่อมไม่หายไปจากโลก) อันสสารของใหม่ คือ ตัวจิตวิญญาณของเรา พอมันคลุกเคล้ากับสสารเก่าที่มีอยู่แล้ว มันก็แสดงให้เป็นรูป ให้เห็นในฝันด้วยสายตา และเป็นเสียง ให้เราได้ยินทางโสตประสาท (ทางหู) ในจิตใต้สำนึก ก็เป็นฝันอีกเช่นกัน


ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็กรุณาอย่าหาว่า เป็นเรื่องเหลือวิสัยเลย โปรดให้ท่านเข้าไปอยู่ที่สงบ สงัด ทั้งกายและใจ ในสถานที่สงบสงัดดังกล่าวมาแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ในจิตใจของเรา เบื้องต้นมันจะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่ง มันจะสร้างความรู้สึกนึกคิด อยากเห็น อยากได้ความสงบ อยากพบกับความรับผิดชอบ ชั่วดี อีกฝ่ายหนึ่ง มันอยากจะคลุกคลีกับธุลี คือกิเลสตัณหา ทั้งสองฝ่ายในดวงจิตเรา มันโอเคลงรอยกันได้ ตอนนี้สมาธิจิต คือ จิตเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับสสาร ที่มีอยู่บริเวณนั้น มันจะเกิดเป็นแสงสว่างทางจิต วิญญาณ ความมืดมน ที่ทำให้จิตวิญญาณ มันหายไป อันสิ่งใดๆ ในอดีตกาลมันจะผ่านเข้ามา ให้รู้ได้ทางจิต มีนักปราชญ์ทางจิตวิญญาณหลายท่าน ได้เขียนไว้ อย่างท่านพุทธทาสท่านพูด ท่านคุยอยู่คนเดียว กับก้อนหิน ที่เป็นรูปอวโลกเตศวร ท่านหลวงวิจิตรวาทการ ท่านนั่งคุยอยู่คนเดียวกับพระนารายณ์ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช สนทนากับพระประธาน ท่านสมภารกร่าง คุยกับพระพุทธรูปทั้งวัน ในเรื่องไผ่แดง และตัวผู้เขียนเอง นั่งคุยกับกอไผ่ แต่ข้างใน เป็นเสาหลักเมืองโบราณ จนได้ขุดค้นขึ้นมา และได้สร้างไว้ให้ชาวพิจิตร ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจว่า อันตัวแฝง วิญญาณแฝง มันมีอยู่ในดวงจิตของท่านแล้ว คืออยู่ในดวงจิตของทุกๆ คน แต่คนเราส่วนมาก มองข้ามไป ไม่นำออกมาใช้ มันจึงเกิดทุกข์ เพราะจิตวิญญาณ มันโดนขัง ฝังลึกอยู่กับโลภ โกรธ หลง สารพัด จงหาทางฝึกหัดกันบ้าง เพื่อเป็นเรือนที่พัก เป็นวิมานของจิตใจ แล้วใจจะได้รับความสุข ความสว่างเหินห่างจากทุกข์ภัย

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #56 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 18:14:38 »



พระกัสสปะพุทธเจ้า อานันดาวิหาร พม่า
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namon&month=02-2008&date=11&group=4&gblog=33
ขออนุญาตใช้ภาพค่ะ

บทสรุปที่มีหนังสือค้านเนื้อหาที่กล่าวมาแล้ว

ในระยะไม่นานมานี้ ผู้เขียนไปต่างประเทศ ได้พบได้อ่านหนังสือ เล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้น ด้วยพระสงฆ์ไทย ในอเมริกา มีนักสอน ศาสนาชาวคริสต์ เขานำมาให้ และเขารู้สึกภูมิใจ ที่เรื่องในเนื้อหา ของหนังสือเล่มนั้น ได้สรรเสริญ เยินยอ พระเป็นเจ้าของเขาไว้หลายแห่ง ส่วนพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมศาสดา ของชาวพุทธนั้น ท่านได้เป็นแค่ Son คือ เป็นบุตร และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้า คือ God ของเขาอีก มิใช่ว่าพระพุทธเจ้า จอมศาสดาของเรา จะเป็นผู้ประเสริฐ เลอเลิศอะไรทั้งนั้น และยังมีอีกหลายเรื่อง และหลายแห่งที่กล่าวไว้ โดยปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ปฏิเสธ แม้กระทั่ง เรื่องผลบุญ ผลบาป กรรมเวรว่าไม่มี ใครจะร้ายจะดี ก็อยู่ที่พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้าเท่านั้น ที่จะดลบันดาลให้

หนังสือเล่มนั้นชื่อ SUFFERING AND NO SUFFERING เขียนขึ้นด้วยพระสงฆ์ไทย เล่มใหญ่ ถึงห้าร้อยกว่าหน้า ดังจะได้นำข้อปลีกย่อย มากล่าวในที่นี้ในหน้า 305 เขาเขียนว่า

God Can Be Compared With Dhamma. The Buddha With the Wise of Noble Teachers, or The Son of God
พระผู้เป็นเจ้า เปรียบเสมือนธรรม พระพุทธเจ้า ดุจดังผู้ทรงปรีชาญาณ หรือ พระบรมครู หรือ บุตรของพระเจ้า

Inaddition, The Buddha can be compared with the Wise or Noble Teachers, or The Son of God.
นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังเปรียบได้ดัง ผู้ทรงปรีชาญาณ หรือพระบรมครู หรือบุตรของพระเจ้า

อันคำแปลที่เป็นภาษาไทยนั้น ผู้เขียนแปลเอง จึงได้ความว่า พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ มิใช่เป็นผู้ประเสริฐที่สุด เลอเลิศอะไร ที่แท้จริงก็เป็นเพียง ลูกชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นแค่โฆษก ของพระเป็นเจ้าของเขาเท่านั้นเอง นี้ชาวพุทธเราอายเขาไหม ที่พระสงฆ์ไทย ในต่างแดนเขียนอย่างนี้ เท่ากับย่ำยีให้ ศักดิ์ศรี ของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เหลวแหลก ป่นปี้ไปเท่านั้นเอง และหน้าที่ 81ที่เขาเขียนว่า

It is important to understand the following points regarding rebirth. First, Rebirth cannot be proven her and now. Second, Rebirth is contingent upon the beliefs of the people. Third, Rebirth is not concerned with Buddhism, which teacher "Anatta".

(แล้วข้าพเจ้าได้นำมาแปล เป็นภาษาไทยได้ความว่า)
มันสำคัญมาก ที่จะต้องทำความเข้าใจ กับประเด็นของการเวียนเกิด ประการแรก การเวียนเกิด ไม่สามารถจะพิสูจน์ ให้เห็นได้ ประการที่สอง การเวียนเกิด อาจมาจากความเชื่อของมนุษย์ ประการที่สาม การเวียนเกิด ไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ซึ่งสอนเรื่องอนัตตา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #57 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 18:23:18 »



ผู้เขียนขอค้านว่า อันบุคคลที่ไม่เชื่อ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด และบาปบุญคุณโทษนั้น เป็นคนประเภท มุขโขโลกะนะ เป็นบุคคล ที่มีความมืดบอดทางปัญญา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จงได้ช่วยกันโยน พระสูตรตันตปิฏก ทั้งสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ ลงน้ำ หรือเผาไฟทิ้งไปเลย ไม่ต้องเชื่อถือกัน แล้วเรื่องพระไตรปิฎก ยกทิ้งไปเลย อันคำตรัสอุทาน ของพระบรมศาสดาจารย์ ที่พระองค์ตรัสว่า อัคโคหะมัสสิง โลกัสสะ เชตโกหะมัสสมิงโลกัสสะ เสฏโฐหะมัสสมิงโลกัสสะ อายะมันติมาชาติ นัตถิชาติปุนันภะโว และคำว่า อะเนกะชาติสังสารัง สันทาภิสัง อนิพพิชัง ฯลฯ ทั้งพระสูตรก็โยนทิ้งไปเลย ที่ผู้อ่านได้อ่านแล้วพิเคราะห์ดู ในเนื้อหาของหนังสือนั้นแล้ว ก็เห็นว่า ผู้เขียนได้ประยุกต์เอง เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเรา เข้าไปอยู่ในความรู้ ความเห็นของตัวเองทั้งหมด แล้วยังกดดันความยิ่งใหญ่ ของพระบรมจอมไตร ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ ให้อยู่ในระดับ บุตรชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้าเท่านั้น แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณ โลกนี้โลกหน้า ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ปฏิเสธหมด เป็นเรื่องของบุคคลเชื่อกันเอง ด้วยความโง่เขลา ทุกอย่างพระเป็นเจ้า ผู้สูงส่งจะประธานให้เอง และกล่าวถึงเรื่องจิตวิญญาณ ในหน้าที่ 25 หน้า 27 และหน้า 30 ก็เช่นกัน ที่เขาเขียนว่า
P.25 The Original Mind is ‘free’ ‘void’ ‘luminous’, and ‘nonsuffering’

วิญญาณเดิมนั้น เป็นอิสระ ว่างเปล่า สว่าง และไม่ทุกข์

"the original Mind is luminous; it is tarnished due to the presence of visiting
defilement. The Original Mind is luminous; it is untarnished due to the absence of visiting
defilement".

วิญญาณเดิมสว่าง มันถูกทำให้มัวหมอง เพราะต้องมลทิน และจะไม่มัวหมอง หากไม่ต้องมลทิน
P.27 Nature of the Original Mind is Luminous,...

วิญญาณเดิม สว่างโดยธรรมชาติ
P.30 ...the Original Mind has no-suffering, for it is luminous.

วิญญาณเดิม ไม่ทุกข์ เพราะมีความสว่าง

ข้าพเจ้าขอค้านว่า ในหลัก อิทัปปัจจะยะตา ว่า อวิชา ปัจจะยาสังขารา สังขารา ปัจจะยา วิญญาณนัง ฯลฯ ทุกขะโทมะนัสสะ รวมความในพระอภิธรรมข้อนี้ว่า อวิชาความโง่ ความมืดบอด เป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือความคิด ความปรุงแต่ง สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นเหตุให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นเหตุให้เกิดผัสสะ ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน คือความไปยึดมั่น ถือมั่น อุปาทาน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และตัวทุกข์นี้เองให้เกิด อวิชา ตัณหาอุปาทานอีกไม่รู้จบเป็นวัฏฏะ คือวนไปเวียนมา เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น แต่ถ้าวิญญาณเดิมแท้นั้น มันเป็นอิสสระ ว่างเปล่า ประภัสสะ ไม่มีทุกข์ไม่มัวหมอง แล้วก็เท่ากับค้านว่า พระอภิธรรมบทนี้ทั้งหมด และเมื่อปฏิเสธเสียทั้งหมด อันตำรับตำรา ที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา รจนาขึ้นทั้งหมด หรือแม้แต่หนังสือ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ก็ใช้ไม่ได้เลย ในเนื้อหาของหนังสือนี้ หน้า 18 บรรทัดที่ 17 เนื้อความว่า ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา และกิเลสตัณหาสร้างขึ้นมา เป็นตัวตนนี้ฯ และทำให้ต้องเป็นทุกข์ (ถ้าจิตมันไม่มีกิเลส ตัณหา มันจะเกิดมาทำไม) ดังนั้น จึงขอสรุปว่า ผู้เขียนไม่มีความเข้าใจพอ ในเรื่องจิต
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #58 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 18:53:45 »



ทุ่งเจดีย์เมืองพุกาม

บทสรุปท้าย

ผู้เขียนขอเรียนเตือน ท่านผู้อ่านทั้งหลายไว้ว่า ในระยะที่หนังสือเหล่านี้ ออกมาสู่สายตาท่านผู้อ่าน
รู้สึกว่า จะมีมนุษย์อุบาทว์ ส่วนมากเป็นสตรี ที่ชอบอวดอ้างว่า เขาคือพระนางสุพรรณกัลยา กลับชาติมาเกิด

และชอบไปบอกข่าว ป่าวร้องให้คนหลงเชื่อ คงจะเพื่อหวังผลอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงขอบอกว่า พระนางท่านเป็น
เชื้อสายกษัตริย์ สายสุขุมาลย์ชาติ ในชีวิตของพระนางท่าน ไม่เคยสร้างบาปกรรม ทำเวรอะไรทั้งนั้น

ถ้าท่านมาเกิดจริง ก็คงจะอุบัติใน วงศ์กษัตริย์ สุขุมาลย์ชาติ ชาติที่สูงส่ง ระดับพระองค์เจ้า หรือเจ้าฟ้าขึ้นไป
คงจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์จัญไร มาหลอกลวง ใครแน่ๆ


ถ้ามาเกิดจริง ก็คงจะเป็นแม่ศรีสุดาจันทร์ ตัวทำให้ป่วนปั่น แก่บ้านเมือง เมื่อก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1 เท่านั้น ดังนั้น
ถ้าท่านได้เห็น ได้ยิน ก็อย่าเชื่อพวกมันเลย ผู้เขียนเอง ก็เขียน เพื่อเอาความดี ของพระนาง

ที่นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นอุทาหรณ์ ในทางที่ดีงามของท่านเท่านั้น แล้วยึดเอามา เป็นตัวอย่างของชีวิต
ในการเสียสละ เพื่อสังคม แต่เห็นจริงก็อยู่ในจำพวก derution คือ เห็นภาพลวง
หรือแบบ Harusination ของพวกประสาทหลอนอ่อนๆ จะเข้าไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตไปแล้ว



ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา..ทุ่งเจดีย์เมืองพุกาม...

รวบรวมข้อมูล และภาพประกอบ เผยแพร่เพื่อเทิดพระเกียรติ
โดย .. ฉวีวรรณ สุวรรณรัฐ

ห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข มหาวิทยาลัยมหิดล

Credit by : http://members.fortunecity.com/saney/kalaya/tumnan.htm
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มีนาคม 2553 18:55:19 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #59 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 19:29:53 »



รัก รัก รัก


http://img258.imageshack.us/img258/2079/b9ab7a531c95a34032f1ddd.gif
พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มีนาคม 2553 19:33:40 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #60 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553 20:35:45 »




 รัก   รัก    รัก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มีนาคม 2553 21:01:19 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 [3]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.64 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 17 พฤศจิกายน 2567 05:07:31