22 ธันวาคม 2567 11:21:04
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
ธรรมะจากพระอาจารย์
.:::
ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (อ่าน 3872 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
«
เมื่อ:
16 กุมภาพันธ์ 2554 14:46:21 »
Tweet
ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม
(พระอาจารย์จันทร์ สิริจนฺโท)
พระธรรมเทศนาโดย
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
ตีพิมพ์ใน วารสาร ธรรมจักษุ
ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑
ระเบียบแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น มักแสดง
สังเวคกถา
เพื่อให้เกิดความสลดใจได้ความสังเวชเลยก่อน แล้วจึงทรงแสดงทางปฏิบัติมีทาน ศีลเป็นต้นไป
ให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อมใส มีความอุตสาหะ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม
ใน
สังเวคปริยาย
นั้น มักแสดง ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บไข้ มรณะ ความตาย
๔ประการนี้
ว่าเป็นของครอบงำสัตว์อยู่ทั่วโลก โลกคือหมู่สัตว์ตกอยู่ในอำนาจ
ไม่มีทางจะ
หลีกเลี่ยงแก้ไขด้วยประการ
ทั้งปวง ให้ผู้ฟังเกิดความ
สังเวชสลดใจ
เลยก่อน
บางสมัยแสดงว่า
รูปํ อนิจฺจํ ... รูปไม่เที่ยง
เวทนา อนิจฺจา ... เวทนาความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ อุเบกขา ไม่เที่ยง
สญฺญา อนิจฺจา ... ความจำได้หมายรู้ ไม่เที่ยง
สงฺขารา อนิจฺจา ... สังขารความคิดนึกตรึกตรองไม่เที่ยง
วิญฺญาณํ อนิจฺจํ ... ความรู้อารมณ์ไม่เที่ยง
ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์สัตว์ทนได้ด้วยยาก
ยํ ทุกฺขํ ตํ อนตํตา สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
อย่างนี้เป็นพระโอวาทอันแพร่หลายในพุทธศาสนา เป็น
พหุลานุโยค
คือมักแสดงโดยมาก
เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสังเวชสลดใจ
แล้วจะได้แสวงหาสิ่งที่เที่ยงถาวร ควรตนจะยึดเอาเป็นที่พึ่งได้
ส่วนทางให้เกิดความเลื่อมใสนั้น ดังทรงแสดงทาน การบริจาคให้สำเร็จผลแก่ทายกและปฏิคาหกอย่างนี้ ๆ
ศีลที่บุคคลมารักษาด้วยดีแล้ว จักอำนวยให้ได้รับความสุขอย่างนี้ ๆ
ภาวนา ถ้าบุคคลทำให้เกิดให้มีในตนแล้ว จักอำนวยให้ได้รับความสุขอย่างนี้
และจักได้รับความอุ่นใจ เห็นว่าตนมีที่พึ่งอันมั่นคงถาวรอันตนได้แล้วดังนี้
หรือแสดงพระพุทธคุณพระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ซึ่งเป็นอัศจรรย์น่าเลื่อมใสด้วยอาการอย่างนี้
ถ้าน้อมพระคุณนั้น ๆ เข้ามาในตน คือกระทำให้พระคุณนั้นมามีขึ้นในตน
จะได้รับผลคือความสุขสำราญเบิกบานใจ ด้วยอาการอย่างนี้ ๆ
พึงเข้าใจวิธีทางเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้สำหรับใจของตนด้วยประการ ฉะนี้
ในวันก่อนได้แสดงประเภทแห่งพระวินัยพอเป็นทางเข้าใจของพุทธบริษัทไว้แล้ว วันนี้จะแสดง
พระปรมัตถ์คือพระอภิธรรมปิฎก
ยกมาแต่พอเป็น
อุทาหรณ์
เพื่อให้พุทธบริษัท
รู้จักปรมัตถธรรม
ซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์หรือมีอยู่ในตนว่ามี
ลักษณะอาการ
อย่างนี้ ๆ
ใน
คัมภีร์อภิธรรมสังคิณี
ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งพระอภิธรรมปิฎก ยก
กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ขึ้นเป็นหลัก
แล้วจึงแจกออกไปเป็นชั้น ๆ ให้
พระโยคาพจรกุลบุตรพึงกำหนด
คำที่ว่า
ธรรม
นั้นเป็นชื่อของสภาวะอันหนึ่ง
มีอันเดียว
ที่มากนั้น
มากด้วยอาการ
ที่เรียกว่า
คุณธรรม
คือเป็น
คุณของธรรม
เหมือนตัวอย่าง
กุศล อกุศล อัพยากฤต
ไม่ใช่ตัวธรรม เป็นคุณของธรรม หรือจะว่าเป็นลักษณะ เป็นอาการ เป็นกิริยาของธรรมก็ได้
จะพูดแต่เพียงว่าอาการ ให้พึงเข้าใจกันเหมือนอย่างคำที่ว่าขันธ์ก็มีนัยอย่างเดียวกัน เป็น
ชื่อแห่งสภาวะ
อันหนึ่งมีอันเดียวเท่านั้น ยกเอารูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ มาสวมเข้า จึงเป็น
ขันธ์ ๕
รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็ชื่อว่า
คุณธรรม ถ้าเอาไปสวมใส่ธรรม ก็ชื่อว่า
รูปธรรม เวทนาธรรม สัญญาธรรม สังขารธรรม วิญญาณธรรม
ถ้าเอาไป
สวมใส่ขันธ์
ก็ชื่อว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ย่นลงให้สั้นก็คือรูป ๑ นาม ๑ เรียกว่า
นามรูป
นามรูปก็เป็น
อาการ
ของธรรม ถ้าเอาไปสวมใส่ธรรมก็ชื่อว่า
รูปธรรม นามธรรม
ต่อนี้
จักแจกรูปธรรม นามธรรม
ให้กว้างออกไป ส่วนรูปธรรมคงไว้เป็น ๑ ส่วนนามธรรมแจกออกเป็น ๔ คือ เวทนา ๑ สัญญา ๑ สังขาร ๑ วิญญาณ ๑.
ต่อนี้
จักกระจายรูปนามนั้น
ให้กว้างออกไปอีก รูปหนึ่งนั้นแหละ แจกออกตามอาการเป็นรูป ๒๘ คือเป็น
มหาภูตรูป ๔
ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป
คือ รูปที่อาศัยมหาภูตรูปอีก ๒๔ จัดเป็น ปสาทรูป ๕ โคจรรูป ๔ ภาวรูป ๒ ทหยรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ อาหารรูป ๑ วิญญัติรูป ๒ วิการรูป ๔ ลักขณรูป ๔ รวมเป็น ๒๔
แจกนามทั้ง ๔ นั้นให้มากออกไป
แจกเวทนาเป็น ๕
คือ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา อาศัยทวาร ๕ คือ เกิดแต่จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวารทวารละ ๕ ๆ เป็นเวทนา ๒๕
แจกสัญญาเป็น ๖
คือหมายอารมณ์ ๖ รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
แจกสังขารเป็น ๕๒
คืออัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๕ อกุศลเจตสิก ๑๔
แจกวิญญาณออกเป็น ๑๒๑
คือ กามาวจรจิต ๕๓ รูปาวจรจิต ๓๒ อรูปาวจรจิ ต ๑๒ โลกุตตรจิต ๒๔ รวมเป็น ๑๒๑
เรียกว่า
จิต
คือวิญญาณ
นั่นเอง
ยกมาแสดงพอเป็นอุทาหรณ์
เพื่อจะได้เข้าใจ
อภิธรรมปิฎก
ที่ท่านแสดงว่าเป็น
ปรมัตถธรรม
ตัดใจความให้สั้น ธรรมที่พุทธบริษัทประพฤติตามอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นปรมัตถ์ทั้งนั้น ในคัมภีร์อภิธรรมท่านไม่ได้ยกขึ้นสู่
ปุคคลาธิษฐาน
ท่านแสดงเป็นโครงกลาง ๆ ไว้เท่านั้น ธรรมเหล่านั้นเป็นของละเอียด สุขม แสดงเป็น
ธัมมาธิษฐาน
เหมือนอย่าง
สติปัฏฐาน
ทั้ง ๔ คือ กาย ๑ เวทนา ๑ จิต ๑ ธรรม ๑
สัมมัปปธาน ๔
เพียรกำจัดบาปที่ยังไม่มีไม่ให้มีขึ้น ๑ เพียรกำจัดบาปที่มีอยู่แล้วให้หมดไป ๑ เพียรบำรุงบุญที่ยังไม่เคยมีให้มีขึ้น ๑ เพียรบำรุงบุญที่มีอยู่แล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ๑.
อิทธิบาท ๔
ฉันทะ ความพอใจ ๑ วิริยะ ความเพียรกล้า ๑ จิตตะ ความตั้งใจมั่น ๑ วิมังสา ความตรวจตรอง ๑ ผู้ประสงค์จะให้ธรรมประเภทใดสำเร็จ ต้องใช้อิทธิบาททั้ง ๔ นี้เป็นกำลัง
อินทรีย์ ๕
คือ ศรัทธา ๑ วิริยะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑ ปัญญา ๑ คือบำรุงให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า อินทรีย์พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
คือ สติ ๑ ธัมมวิจยะ ๑ วิริยะ ๑ ปีติ ๑ ปัสสัทธิ ๑ สมาธิ ๑ อุเบกขา ๑ ทำให้สามัคคีพรักพร้อมกันขึ้น ชื่อว่า โพชฌงค์
อัฏฐังคิกมรรค ๘
คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปโป ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันโต ๑ สัมมาอาชีโว ๑ สัมมาวายาโม ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑
ชื่อว่าอริยมรรค
บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 9.0.597.98
Re: ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
«
ตอบ #1 เมื่อ:
16 กุมภาพันธ์ 2554 15:31:32 »
http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma
ไป อกาลิโกโฮม มาแล้วจ้า ป้า แป๋ม Code ของที่นั่นใส่ยากไปหน่อย อ้อ........ไม่หน่อยละ{เยอะ}เลย
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กุมภาพันธ์ 2554 15:33:46 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
«
ตอบ #2 เมื่อ:
16 กุมภาพันธ์ 2554 16:09:06 »
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้
มีมาใน
คัมภีร์พระอภิธรรม
ทั้งนั้น แสดงเป็นกลาง ๆเรียกว่า
ธัมมาธิษฐาน
เป็น
ปรมัตถธรรม
ทั้งสิ้น ถ้ายกขึ้น
สู่ปุคคลาธิษฐานเป็น
พระสูตร
ทั้งสิ้น
จะยกปรมัตถ์ขึ้นสู่ปุคคลาธิษฐานให้เห็นเป็นพระสูตรเป็นตัวอย่าง เหมือน
สติปัฏฐาน
๔ กาย ๑ เวทนา ๑ จิต ๑ ธรรม ๑ แสดงไว้เป็นกลาง ๆ อย่างนี้เป็นปรมัตถธรรม ถ้ายกขึ้นสู่บุคคลเป็นพระสูตร ชื่อว่า
สติปัฏฐานสูตร
ยกขึ้นสู่บุคคลคือยกขึ้นสู่กายของเรานี้ คำที่ว่ากายนั้น หมายที่ประชุมธาตุดิน น้ำไฟ ลม ได้แก่สกลกายของเรานี้ ในอาการ ๓๒ มีเกสา โลมา เป็นต้น ถึง มัตถลุงคัง แยกเป็นดิน ๒๐ แยกเป็นน้ำ ๑๒ เพิ่มไฟลมเข้าอีก แยกเป็นไฟ ๔ แยกเป็นลม ๖
ชื่อว่า กาโย
ยกเวทนาขึ้นสู่บุคคล คือสกลกายนี้ ชื่อว่า
เวทนา
คือ มีสุขอย่างหนึ่ง มีทุกข์อย่างหนึ่ง มีไม่ทุกข์ไม่สุขอย่างหนึ่งประจำอยู่ที่สกลกายนี้เสมอ
กายนี้จึงชื่อว่าเวทนา
ยก
จิต
ขึ้นสู่บุคคล
คำที่ว่า จิตนั้น ก็คือใจของเราที่รู้คิดรู้นึก รู้สกลกายอวัยวะนี้เอง
ชื่อว่า
จิต
ยก
ธรรม
ขึ้นสู่บุคคล
ธรรมนั้นได้แก่ธรรมดา เขาเป็นอยู่อย่างนั้น เหมือนความประพฤติดี ความประพฤติชั่ว ดีชั่วเป็นตัวธรรมดา ถ้าบุคคลประพฤติดีก็เป็นบุญ ถ้าประพฤติชั่วก็เป็นบาป บุญ บาป ก็เป็นธรรมดา
ยกธรรมขึ้นสู่บุคคลเป็น
ปุคคลาธิษฐาน
พึงเข้าใจความอย่างนี้
จะ
ยกธรรมประจำกาย
ขึ้นมาแสดงอีกส่วนหนึ่ง กาย เวทนา จิต ธรรม รวมกันเข้าชื่อว่า
บุคคล
ยกสติขึ้นสู่กาย ขึ้นสู่เวทนา ขึ้นสู่จิต ขึ้นสู่ธรรม
ชื่อว่ายกขึ้นสู่บุคคล
เป็นปุคคลาธิษฐานอย่างนี้เป็นตัวอย่าง
ชื่อว่าพระสูตร
รวมเนื้อความให้สั้นเข้า พึงสำเหนียกให้ตั้งใจว่า พระธรรม คือ พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ มีอยู่ในสกลกายของเรานี้ครบทุกประเภท คือ ห่อกายของเรานี้มิดชิดทีเดียว จึงเป็นปริยัติธรรม เราต้องจำทรงท่องบ่น คือให้รู้ไว้ว่า
นี้พระสูตร นี้พระวินัย นี้พระปรมัตถ์
เมื่อเข้าใจแล้วก็เป็น
ปริยัติธรรมภายใน
ขึ้น
พระปริยัติเป็นเหตุส่องทางให้เราปฏิบัติ คือให้
ดำเนินตาม
พระวินัยนั้นเอง ส่วนพระวินัยนั้นได้แสดงมามากแล้ว ไม่ใช่อื่น
ได้แก่
ศีล สมาธิ ปัญญา
นั้นเอง
ศีล สมาธิ ปัญญาเป็น
องค์อริยมรรค
มรรคเป็นเครื่องประหารกิเลส กิเลสนั้นที่เป็นรากเป็นมูลก็คือโลภะ โทสะ โมหะ เหลือนั้นกิ่งก้านสาขาของมูล ๓ นี้เอง เมื่อบำเพ็ญกองศีลให้มีขึ้นจนเป็นสีลขันธ์ คือสกลกายนี้เรียกว่าขันธ์ เมื่อสกลกายนี้ทรงศีลไว้ ก็ชื่อว่าสีลขันธ์ให้เป็น
อธิศีล
คือเป็นศีลอย่างสูง
เป็น
อริยกันตศีล มีอำนาจปราบ
โลภะ โทสะ โมหะ
ส่วนหยาบ
ที่เผล็ดออกมาทางกาย ทางวาจา ให้หมดอำนาจ ไม่สามารถจะงอกงามขึ้นได้ แล้วตั้งใจบำรุงสมาธิให้เป็น
สมาธิขันธ์
คือให้รู้สึกว่าขันธ์อันนี้
ทรงไว้ซึ่งสมาธิจนเป็น
อัปปนาจิต
ชื่อว่า
อธิจิต
มีอำนาจปราบโลภะ โทสะ โมหะที่เป็นกิเลส
อย่างกลาง
เกี่ยวเกาะอยู่กับจิตมี
กามฉันท์
เป็นต้น ให้หมดอำนาจไม่สามารถจะงอกงามขึ้นได้ แล้วตั้งใจบำรุงกองปัญญาให้เป็น
ปัญญาขันธ์
คือให้รู้สึกว่าขันธ์อันนี้ทรงไว้ซึ่งปัญญาคือ
วุฏฐานคามินีวิปัสสนาปัญญา
เป็นปัญญาชำแรกกิเลสอย่างละเอียดคือตัว
อวิชชานุสัย
เรียกว่า
อธิปัญญา
มีอำนาจปราบ
อนุสัย
สังกิเลส
ให้หมดอำนาจไป
ส่วน
ปฏิเวธธรรม
เป็นผลของปฏิบัติธรรมผู้บำเพ็ญกองศีลเต็มที่ กิเลสซึ่งเป็น
ข้าศึกของศีล
ดับไป ก็รู้สึกได้รับผลคือความสุขสำราญใจเป็น
ปฏิเวธธรรมในชั้นศีล
เมื่อได้บำเพ็ญกองสมาธิให้เต็มที่ กิเลสที่เป็นข้าศึกของสมาธิดับไป ผู้ปฏิบัติก็รู้สึกได้รับผลคือความเย็นใจ เป็น
ปฏิเวธธรรมในชั้นสมาธิ
เมื่อบำเพ็ญกองปัญญา ให้เต็มที่ กิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของปัญญาก็ดับไป
ผู้ปฏิบัติก็รู้สึกได้รับผลคือความสิ้นสงสัยในกิเลส
ได้รับความสำราญบานใจ เป็น
ปฏิเวธธรรมในชั้นปัญญา
การแสดง
ปรมัตถธรรมไว้เป็นหลัก
แล้วขยายออกมาเป็นพระสูตร พระวินัย ย่นลงเป็นปริยัติธรรม ส่องความถึงปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรม
ส่องความถึง
ปฏิเวธธรรม
ไว้เพียงเท่านี้ พอเป็นเค้าทางแก่
โยคาพจรกุลบุตร
ผู้เห็นภัย
ในวัฏฏสงสาร
เพื่อจะได้ตรวจตรอง
ดำเนินตาม
จะได้ไม่เป็นคนงมงาย ปฏิบัติอย่าให้เสียหลักพระปริยัติธรรม
ให้ตรวจตรองจับเอาอาหาร
แห่งพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ พระปริยัติ พระปฏิบัติ พระปฏิเวธ
ให้ชัด
ใจ
ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อฟังพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์
ภายนอก
ให้เอาพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์
ภายใน
ออกฟัง
นอกมีเท่าใด ในก็มีเท่านั้น
พระธรรมที่แสดงมานี้ล้วนเป็น
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม
คือเป็นพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาดีแล้ว คือไพเราะในเบื้องต้นคือศีล ไพเราะในท่ามกลางคือสมาธิ ไพเราะในที่สุดคือปัญญา และเป็น
สนฺทิฏฺฐิโก
ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นด้วยตนเอง
และเป็น
อกาลิโก
ผู้ปฏิบัติไม่ต้องอ้างกาลอ้างเวลา เพราะพระธรรมมีอยู่ทุกเมื่อ และเป็น เอหิปสฺสิโก ผู้ปฏิบัติอาจท้าทายร้องเรียกให้ผู้อื่นมาดูได้เพราะเป็นของมีจริง และเป็น
โอปนยิโก
ผู้ปฏิบัติอาจน้อมเข้าสู่ตน คือให้มีขึ้นในตนได้ และเป็น
ปจฺจตฺตํ
ผู้รู้ทั้งหลายคือผู้ปฏิบัติจะพึงรู้แจ้งจำเพาะที่ตน ไม่ต้องเป็นกังวลไปถามผู้อื่น
เมื่อพุทธบริษัทได้สดับธรรมปริยายดังแสดงมานี้
พึงมนสิการ
แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม ก็จักมีแต่ความเจริญงอกงามในศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกทิพาราตรีกาล
ขอบพระคุณที่มาจาก
:
palungjit.com
http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=2612.0
miracle
of
love
P
ic
s b
y
:
G
o
o
gle
อกาลิโกโฮม
*
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 9.0.597.98
Re: ลักษณะแห่งพระปรมัตถธรรม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
«
ตอบ #3 เมื่อ:
16 กุมภาพันธ์ 2554 19:58:03 »
สาธุ ๆ
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
คำค้น:
ธรรมเทศนา
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...