.แกะรอยปราสาทสุดเฮี้ยนปราสาทบราน ต้นธารแห่งตำนานเคาท์แดร๊กคิวล่าคงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีและดวงวิญญาณนั้น มันฝังแน่นอยู่ในมโนคติของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย ทุกวันนี้พวกเราก็ยังคงขนหัวลุกกับเสียงกระซิบอันไร้ที่มา หรือแม้แต่กระทั่งเสียงเพรียกอันน่าขนลุกที่เสียดแทรกมากับความมืด แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในอดีตมาแล้วเช่นกัน โดยที่หลายต่อหลายครั้งวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถอธิบายให้กระจ่าง ดังเช่นเรื่องราวที่ปรากฏในปราสาท (
Castle) ยุคกลางต่างๆที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ
ปราสาทในยุคกลางหลายต่อหลายแห่งที่ปรากฏขึ้นทั่วผืนแผ่นดินของทวีปยุโรปนั้น ดูภายนอกอาจจะสวยงามไร้ที่ติ แต่ภายในปราสาทกลับซุกซ่อนเรื่องราวพิศวงเหนือธรรมชาติเอาไว้มากมาย ซึ่งก็แน่นอนครับว่าเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นเหล่านั้นก็เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของ “วิญญาณ” ที่ยังคงถูกจองจำอยู่ในปราสาทแต่ละแห่งนั่นเอง ว่าแต่ปราสาทเฮี้ยนเหล่านั้นจะตั้งอยู่ที่ใดบ้าง และจะเฮี้ยนอย่างไร คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสาร ต่วย’ตูนมีเรื่องราวมานำเสนอกันที่นี่แล้วครับ
ปราสาทแห่งแรกก็คือ ปราสาทบราน (
Bran Castle) ในทรานซิลวาเนีย (
Transylvania) ประเทศโรมาเนีย ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1212 ครับ ความโดดเด่นของปราสาทแห่งนี้ก็คือ มันเป็นสถานที่ที่นักเขียนนามว่า “บราม สโตเกอร์” ชาวไอริช ใช้เป็นสถานที่สำหรับนิยายโด่งดังของเขาอันเป็นที่คุ้นหูกันในชื่อ “เคาท์แดร๊กคิวล่า” นั่นเองครับ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ปราสาทบรานแห่งนี้ได้รับการเรียกขานว่าเป็นปราสาทแห่งผีดูดเลือดเคาท์แดร๊กคิวล่า (
Dracula’s Castle) ตามไปด้วย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวของแวมไพร์ หรือผีดูดเลือด ที่เกี่ยวข้องกับปราสาทแห่งนี้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในนิยาย แต่ก็มีการเสนอกันว่าต้นแบบของท่านเคาท์ แดร๊กคิวล่าก็คือท่าน “วลาด แดรคูล” (
Vlad III Dracul) ที่เคยครอบครองปราสาทแห่งนี้อยู่เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อบิดาของท่านวลาดถูกลอบสังหารตามด้วยพี่ชายของเขาถูกจับฝังทั้งเป็น ทำให้ท่านวลาดกลายเป็นคนโหดร้ายกว่าที่เคยปรากฏในนิยายเล่มไหนๆ วิธีการสังหารเหยื่อของท่านวลาดก็คือการจับเหยื่อผู้โชคร้ายมาเสียบหลาวประจาน ซึ่งว่ากันว่าท่านวลาดสังหารคนด้วยการเสียบหลาวเช่นนี้ไปถึงหมื่นกว่าคน จนถึงขั้นได้รับฉายาว่าท่าน “วลาดจอมเสียบ” แต่ถึงอย่างนั้นแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ก็เสนอว่า แท้ที่จริงแล้วท่านวลาดไม่น่าจะเคยอาศัยอยู่ในปราสาทบรานแห่งนี้จริงๆ แต่อย่างใด
ปราสาทชิลลิงแฮม เก็บงำตำนานความหลอนภายใน
ข้ามจากโรมาเนียมายังประเทศอังกฤษกันบ้างครับ ปราสาทเฮี้ยนแห่งอังกฤษที่ยินดีนำเสนอเป็นอย่างยิ่งก็คือ ปราสาทชิลลิงแฮม (
Chillingham Castle) ซึ่งเต็มไปด้วยตำนานความสยดสยองอันยาวนานร่วม 800 ปีเลยทีเดียว ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในฐานะป้อมปราการสำหรับต่อกรกับกองทัพของสกอตแลนด์จากทางเหนือ ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องราวของการกักขัง ทรมานนักโทษอันนำมาซึ่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วทั้งบริเวณ และนั่นจึงทำให้มีเรื่องราวความเฮี้ยนของปราสาทแห่งนี้มาเล่าสู่กันฟังถึงสองเรื่องด้วยกันครับ
ความเฮี้ยนแรกคือ เรื่องดวงวิญญาณของเด็กที่ได้รับการขนานนามกันว่า “เด็กชายสีฟ้า” (
Blue Boy) ซึ่งมักจะปรากฏกายให้นักเดินทางที่ไปเยี่ยมเยียนปราสาทแห่งนี้ได้เห็นในรูปร่างของแสงวาบสีฟ้าในห้องสีชมพู และบางครั้งเขาก็อาจจะปรากฏตัวในลักษณะของแสงสีฟ้าทรงกลดเหนือเตียงนอนพร้อมกับแผดเสียงร้องไห้จ้าจนสร้างความหลอนให้กับแขกของปราสาทได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ แต่สิ่งที่ชวนให้ขนลุกชูชันได้มากที่สุดของวิหารแห่งนี้น่าจะเป็นวิญญาณของผู้คุมสุดโหดนามว่า “จอห์น เซจ” (
John Sage) ที่ว่ากันว่าเขาเกลียดชังพวกสกอตแลนด์เป็นอย่างมาก จึงมีวิธีการลงโทษเหยื่อซึ่งเป็นนักโทษด้วยวิธีการอันสุดแสนโหดร้าย บ้างก็ว่าเขาจะค่อยๆ กรีดเนื้อของนักโทษออกทีละส่วนจนกว่านักโทษผู้โชคร้ายคนนั้นจะหมดลมหายใจ แต่ในช่วงที่กำลังทำสงครามกับชาวสกอตแลนด์นั้นปรากฏว่า จอห์น เซจ ถูกฆ่าด้วยการจับแขวนคอ ทว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้จากปราสาทชิลลิงแฮมไปไหน กล่าวกันว่าทุกวันนี้นักเดินทางยังคงได้ยินเสียงของจอห์น เซจ ลากร่างของเขาเองไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินของปราสาทตรงโน้นทีตรงนี้ทีอยู่เสมอๆ
ปราสาทเอดินเบิร์กแห่งสกอตแลนด์สำหรับประเทศสกอตแลนด์ ที่จอห์น เซจไม่ค่อยปลื้มเท่าไรก็มีปราสาทเฮี้ยนอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ ปราสาทเอดินเบิร์ก (
Edinburgh Castle) ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถือว่าร่วมสมัยกับปราสาทชิลลิงแฮมพอดี นิตยสารไทม์สเคยจัดอันดับให้ปราสาทเอดินเบิร์กแห่งนี้เป็นสถานที่อันชวนขนหัวลุกมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถ้ามองเพียงแค่ภายนอกจะพบว่าปราสาทแห่งนี้สร้างอยู่บนหินผาล้อมรอบไปด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม แต่ภายในปราสาทกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวลี้ลับชวนสยองขวัญมากมายหลายเรื่องเลยทีเดียว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ปราสาทเอดินเบิร์กแห่งนี้เฮี้ยนติดอันดับโลกก็ด้วยว่ามันมีคุกสำหรับคุมขังนักโทษ ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นของความตายอันน่าสยดสยอง นอกจากนั้นศพที่เสียชีวิตจากโรคระบาดจำนวนมหาศาลก็ถูกนำมาฝังเอาไว้โดยรอบของปราสาทแห่งนี้ด้วยเช่นกัน นั่นจึงไม่แปลกถ้าจะมี “พลังงานบางอย่าง” วนเวียนอยู่รอบตัวปราสาทแห่งนี้ด้วย
ตามคำให้การของผู้ที่เคยพบเห็น “พลังงาน” เหล่านั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า บางครั้งที่พวกเขาเดินอยู่ในปราสาท ก็มักจะรู้สึกเสมือนว่าตัวเองถูกดึงบ้าง ถูกผลักบ้างจากมือที่มองไม่เห็น หรือบ้างก็เห็นเป็นเงาของวิญญาณรางๆ ปรากฏขึ้น ซึ่งก็มีทั้งวิญญาณของชายแก่ที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อน หรือบ้างก็เป็นวิญญาณของเด็กมือกลองไร้หัว บางครั้งก็อาจจะได้พบเจอกับวิญญาณของคนวางท่อผู้โชคร้ายที่เสียชีวิตในอุโมงค์ด้านใต้ปราสาท และวิญญาณของหญิงที่ถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าบุตรของเธอในปี ค.ศ.1537 ด้วยข้อกล่าวหาว่านางเป็นแม่มด อีกทั้งยังมีการพบวิญญาณของสุนัขเร่ร่อนปรากฏให้เห็นบริเวณสุสานด้วยเช่นกัน
นอกจากวิญญาณที่พร้อมจะปรากฏออกมาให้ได้ขนลุกขนพองกันแล้ว ปราสาทแห่งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ยากอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงาหรือแสงแปลกๆ หรืออยู่ดีๆ อุณหภูมิในห้องก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ แถมยังมีหมอกปริศนาก่อตัวขึ้นมาเองพร้อมกับมีเสียงลึกลับที่อธิบายไม่ได้ดังขึ้นอีกด้วย
ปราสาทลีปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการเข่นฆ่ายังมีปราสาทอีกแห่งหนึ่งที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นปราสาทผีสิงที่ “เฮี้ยนที่สุดในโลก” ด้วยเช่นกัน ปราสาทที่ว่านั้นคือ ปราสาทลีป (
Leap Castle) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ.1250 ในประเทศไอร์แลนด์
ความเฮี้ยนของปราสาทหลังนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1557 เมื่อลูกหลานของตระกูลโอ คารอล ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าผู้นำได้เข้ามาครอบครองปราสาทแห่งนี้ แต่เกิดเหตุแย่งชิงสิทธิในการครองปราสาทกันระหว่างสายตระกูลจนทำให้เกิดสงครามภายในอันนำมาซึ่งการเข่นฆ่ากันในที่สุด
ผู้ที่ได้เข้าครอบครองปราสาทมีนามว่า “ไทต์ โอ คารอล” หนุ่มตาเดียวซึ่งว่ากันว่าเขาสูญเสียตาข้างหนึ่งไปในการรบ เขาสังหารพี่ชายของตัวเองซึ่งเป็นบาทหลวงจนเสียชีวิตคาโบสถ์ เล่ากันว่าเลือดของบาทหลวงนั้นสาดกระเซ็นไปทั่วโบสถ์แห่งนั้นจนแดงฉาน นอกจากพี่ชายแล้ว ไทต์ โอ คารอล ยังวางแผนเชิญญาติพี่น้องของพวกเขาทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงในปราสาทก่อนที่จะฆ่าทุกคนทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้ใครขึ้นมาเป็นใหญ่ในปราสาทแห่งนี้เหนือตนเองอีก และยังมีเรื่องราวคละกลิ่นคาวเลือดที่เกิดขึ้นในตระกูลรุ่นต่อๆ มาอีกมากมาย จนเป็นต้นเหตุของความเฮี้ยนติดอันดับโลกของปราสาทลีปแห่งนี้
ในปี ค.ศ.1900 สองสามีภรรยาชาวอังกฤษนามว่า ชาล์ลและมิลล์เดรส ได้ย้ายมาที่ปราสาทแห่งนี้ ทั้งคู่ถูกวิญญาณของบรรพบุรุษในปราสาทแห่งนี้หลอกหลอนอยู่เสมอ บ้างก็ปรากฏเป็นเงาดำปริศนา บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่ามีมือมาวางบนไหล่ แต่พอหันไปก็พบเพียงความว่างเปล่า นอกจากนั้นแล้วยังมีกลิ่นเหม็นสาบแปลกๆ ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งอีกด้วย
อีกหนึ่งความหลอนของปราสาทลีปมาจากคุกลับแบบยุโรปยุคกลาง ซึ่งสร้างคล้ายกับเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยเหวลึก แต่ไม่ใช่เหวลึกธรรมดาครับ เพราะในเหวนั้นมีกับดักและหนามแหลมคมตั้งอยู่เต็มบริเวณ ทางเดียวที่นักโทษจะหนีออกจากคุกได้ก็คือโดดลงไปในเหวและหวังว่าตัวเองจะรอดจากกับดักต่างๆ นานาเท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มีใครรอด มีการขุดค้นพบศพที่แห้งกรังตายคากับดักมากมายหลายร่าง ช่วยเสริมความเฮี้ยนให้กับปราสาทลีปแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ปราสาทฮิเมะจิ คือหนึ่งในปราสาทที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น
สำหรับปราสาทเฮี้ยนแห่งสุดท้าย ขอพาไปใกล้ๆ บ้านเราอย่างประเทศญี่ปุ่นกันบ้าง ปราสาทที่ถือได้ว่าเฮี้ยนที่สุดของแดนปลาดิบก็คือ ปราสาทฮิเมะจิ (
Himeji Castle) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงราวปี ค.ศ.1333 ถือเป็นปราสาทที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ความเฮี้ยนของปราสาทนกกระสาขาวมาจาก “บ่อน้ำ” ของปราสาท ที่มีมากมายนับสิบบ่อ และหนึ่งในบ่อน้ำเหล่านั้นก็เป็นที่สิงสถิตของวิญญาณหญิงสาวนามว่า “โอกิกุ” (
Okiku) ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับตำนานเรื่อง “ผีนับจาน” ของญี่ปุ่นนั่นเองครับ ถ้าว่ากันตามตำนานแล้วโอกิกุคนนี้ถูกกล่าวหาว่าเธอทำจานอันมีค่าของตระกูลหายไปใบหนึ่ง จึงโดนฆ่าและนำร่างไปโยนทิ้งลงบ่อน้ำ ทำให้ดวงวิญญาณของนางยังคงวนเวียนอยู่กับบ่อน้ำแห่งนั้น และในยามค่ำคืนนางก็มักจะปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับเสียงนับจานหนึ่งใบ...สองใบ...จนถึงเก้าใบ...อย่างสิ้นหวังเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเธอเอง มีการกล่าวกันว่าต้นธารของตำนานเรื่องผีนับจานที่เล่ากันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นก็น่าจะมาจากปราสาทฮิเมะจิแห่งนี้นี่แหละครับ และก็ยังเชื่อกันด้วยว่าในปัจจุบันบ่อน้ำของโอกิกุก็ยังคงอยู่ภายในปราสาทแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาตินั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวของความทะเยอทะยานและการทรยศหักหลังอันนำมาซึ่งการสู้รบ เข่นฆ่าจนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงยุคกลางที่ปราสาทมากมายหลายแห่ง โดยเฉพาะในทวีปยุโรปได้กลายมาเป็นฉากหนึ่งของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และเป็นเวทีของการสังเวยชีวิตกันอย่างโหดเหี้ยมจนเป็นต้นเหตุแห่งความเฮี้ยนติดอันดับโลกของปราสาทเหล่านั้นมาจนถึงทุกวันนี้
ในปราสาทโบราณมักมีตำนานอันน่าสะพรึง (ภาพจาก Crimson Peak)ปราสาทในยุคกลางจึงมักจะถูกนำมาเป็นฉากในการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์แนวสยองขวัญเหนือธรรมชาติมากมายหลายเรื่อง ดังเช่นเรื่องล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายกลางเดือนตุลาคมนี้อย่าง
Crimson Peak ปราสาทสีเลือด ภาพยนตร์ลึกลับซ่อนเงื่อนเหนือธรรมชาติในบรรยากาศแบบโกธิค กับเรื่องราวของอีดิธ นักเขียนสาวจากครอบครัวฐานะดี ซึ่งตกหลุมรักโธมัส บุรุษลึกลับที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ ภายหลังการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของพ่อ เธอตัดสินใจแต่งงานกับโธมัสและย้ายมาอยู่ในปราสาทของเขาที่เธอไม่รู้เลยว่ามีความลึกลับและน่าสะพรึงกลัวรออยู่
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดยกิลเลอร์โม เดล โทโร สุดยอดผู้กำกับแนวดาร์กแฟรีเทล โดยใช้เวลาสร้างนานถึง 9 ปี! จะลึกลับเขย่าขวัญสักแค่ไหนต้องติดตามกันดูครับ.
โดย : ณัฐพล เดชขจร
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน