[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:37:01 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 [2] 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรเพื่อสุขภาพ  (อ่าน 28157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 13 มกราคม 2562 15:23:23 »

.



กระท่อม-กัญชา    
เป็นยาวิเศษหรือยาเสพติดร้ายแรง ?  
 
มีอาจารย์ฝรั่งชาวอเมริกันที่เป็นนักภาษาศาสตร์ระดับโลกคนหนึ่งชื่อ ดร.วิลเลียม เจ. เกดนีย์ เคยกล่าวว่า เรื่องราวของวัฒนธรรมไทยทั้งหมดอยู่ในเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน”

เกดนีย์คือใคร คนไทยเดี๋ยวนี้คงไม่รู้จัก

แต่ถ้าเอ่ยชื่อจิตร ภูมิศักดิ์ คนไทยย่อมรู้จักบ้าง

เกดนีย์คนนี้แหละเป็นผู้เคยดูแลอุปถัมภ์จิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงที่เขามาสอนหนังสือและทำวิจัยด้านไทยคดีที่เมืองไทยอยู่นาน จนได้ผู้หญิงไทยไปเป็นพจนานุกรมฉบับแนบกายกลับอเมริกาไปด้วย ฮา!

เรื่องราวของกระท่อม-กัญชาก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวไทยและทหารไทยที่สอดแทรกอยู่มากมายในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องขุนช้างขุนแผน เช่น ตอนขุนแผนประชุมพลยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่


“ครานั้นขุนแผนแสนศักดา ดูท้องฟ้าเห็นจำรัสรัศมี
สบยามตามตำราว่าฤกษ์ดี สั่งให้ตีฆ้องชัยไว้เดโช
ยกจากวัดใหม่ชัยชุมพล พวกพหลพร้อมพรั่งตั้งโห่
พระสงฆ์ส่งสวดชยันโต ออกทุ่งโพธิ์สามต้นขับพลมา
โห่ร้องฆ้องลั่นมาหึ่งหึ่ง  นายจันสามพันตึงเป็นกองหน้า
กองหลังสีอาดราชอาญา พวกทหารสามสิบห้าต่างคลาไคล
บ้างคอนกระสอบหอบกัญชา ตุ้งก่าใส่ย่ามตามเหงื่อไหล
บ้างเหล้าใส่กระบอกหอกคอนไป          ล้าเมื่อไรใส่อึกไม่อื้ออึง
บ้างห่อใบกระท่อมตะพายแล่ง เงี่ยนยาหน้าแห้งตะแคงขึง
ถุนกระท่อมในห่อพอตึงตึง ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกันฯ”

จะเห็นได้ว่ากองทัพไทยไม่ใช่เดินด้วยท้องเท่านั้น แต่ต้องเดินด้วยกระท่อม-กัญชาด้วยนะ อิ อิ… เรียกว่า “คอนกระสอบหอบกัญชา…ตะพ่ายใบกระท่อม” ชยันโตโห่เอาฤกษ์เอาชัยยกทัพออกมาจากวัดใหม่ชัยชุมพลกันเลย

หน้าที่ของใบกระท่อมในกองทัพนั้นชัดเจนอยู่แล้วคือ ช่วยให้พลทหารมีเรี่ยวแรงเดินกลางแดดร้อนๆ เป็นกระบวนทัพไม่แตกแถวหรือทิ้งช่วงกัน ดังกลอนว่า “ถุนกระท่อมในห่อพอตึงตึง ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกัน”

คำว่า “ถุน” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง “เสพพอแก้ขัด” ไม่ได้เสพเอาจริงเอาจัง ซึ่งถ้าไม่ได้ “ถุนกระท่อม” เดินทัพ มีหวังหัวแถวกับหางแถวคงไปกันคนละทิศคนละทาง ฮา! ส่วนหน้าที่ของกัญชา ก็ตอนหยุดพักพลเสพคลายเครียดที่เหนื่อยล้าเดินทัพมาทั้งวัน


“ขุนแผนก็สั่งให้หยุดพัก ที่ล้าเลื่อยเมื่อยหนักก็นอนสลบ
บรรดาพวกพหลพลรบ จุดคบกองไฟไว้เป็นวง
ลางคนหาเขียงหั่นกัญชา นั่งชักตุ้งก่าจนคอก่ง
บ้างมีแต่กัญชามานั่งลง ผลัดกันหั่นส่งใส่ไฟโพลง
ที่ไม่มีขอซื้อสามมื้อสลึง พอส่งถึงรับหั่นควันโขมง
อยากหวานเมางวงล้วงกระโปร่ง          บ้างโก้งโค้งค้นหาพุทรากวน”

นี่ละครับชีวิตทหารไทยย้อนยุค ซึ่งหาดูได้จากภาพทหารลิงดูดบ้องกัญชาตามฝาผนังวัดพระแก้ว แต่ในเรื่องขุนช้างขุนแผน อุปกรณ์เสพกัญชาคลาสสิคกว่า คือเป็น “ตุ้งก่า” หรือหม้อสูบกัญชาของแขก อย่างแขกเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์ในเรื่อง “ระเด่นลันได” ซึ่งนางประแดะคอยจุดชุดกัญชาที่เป็น “หม้อตุ้งก่า” ถวายผัว ดังกลอนว่า

“แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมา นางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพราย            โฉมฉายควั่นอ้อยคอยแก้คอ”

ข้อสังเกตในที่นี้คือ กัญชาคู่กับของหวาน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะสูบกัญชาเพลินจนขาดน้ำตาล แล้วแต่ว่าจะสะดวกของหวานแบบไหน จะเป็นอ้อยหรือพุทรากวนก็ไม่เกี่ยง ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะใช้ลูกอมจูปาจุ๊ปส์หรือช็อกโกแลตแทนก็ได้ ฮา

แต่กัญชาไม่ใช่ว่าจะเสพติดกันง่ายๆ เพราะหลายคนก็คงไม่ชอบ เช่น มีบรรยายไว้ตอนพลายชุมพลจับเสน่ห์ โดยปลอมตัวเป็นแขกชวากับจหมื่นศรีไปล่อจับเถรขวาดที่ทำเสน่ห์พลายงาม

แผนขั้นแรกคือ ประเคนหม้อตุ้งก่าจุดกัญชาถวายพระ กะมอมกัญชาก่อน แต่พระแสบคอไม่เล่นด้วย


“สองแขกขยับจับตุ้งก่า  จ้าหลิ่มยัดกัญชาไฟจุดเข้า
สูบคนละจ้าหลิ่มทำยิ้มเมา    เถรเฒ่าว่าอะไรข้างในดัง
สองแขกว่าข้างในนั้นใส่น้ำ        เถรขวาดว่ามันทำเป็นอีฉัง
กูจะขอลองรสหมดหรือยัง หยิบไฟเก้กังมาทันใด
สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง    เถรชักคอก่งไม่ทนได้
แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป          กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา”

พอแผนขั้นแรกคือมอมกัญชาจ้าหลิ่ม (พวยใส่ใบกัญชา) ไม่สำเร็จ แผนขั้นสอง คือมอมยาฝิ่น ปรากฏว่าเถรขวาดติดฝิ่นงอมแงม เผลอคายความลับอย่างลืมตัว

ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมยาเสพติดในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องนี้บอกเราว่า กระท่อม-กัญชา เสพติดยากกว่าติดฝิ่นกินเหล้าหรือติดหมาก และบุหรี่เสียอีก

มีตัวอย่างวรรณกรรมสะท้อนสังคมไทยให้เห็นว่าติดหมากขนาดไหน แต่ไม่ได้หมายว่า เหล้า กัญชา ยาฝิ่นเป็นของดี ตอนหน้ามาติดตามนะ





กระท่อม-กัญชา
เป็นยาวิเศษหรือยาเสพติดร้ายแรง ในวัฒนธรรมไทย (๒)
 

ความตอนที่แล้ว เล่าถึงวรรณคดีไทยขุนช้างขุนแผนตอนพลายชุมพลจับเสน่ห์ โดยปลอมตัวเป็นแขกชวากับจหมื่นศรีไปล่อจับเถรขวาดที่ทำเสน่ห์พลายงาม

แผนขั้นแรกคือ ประเคนหม้อตุ้งก่าจุดกัญชาถวายพระ กะมอมกัญชาก่อน แต่พระแสบคอไม่เล่นด้วย ความว่า


“สองแขกขยับจับตุ้งก่า  จ้าหลิ่มยัดกัญชาไฟจุดเข้า
สูบคนละจ้าหลิ่มทำยิ้มเมา    เถรเฒ่าว่าอะไรข้างในดัง
สองแขกว่าข้างในนั้นใส่น้ำ  เถรขวาดว่ามันทำเป็นอีฉัง
กูจะขอลองรสหมดหรือยัง    หยิบไฟเก้กังมาทันใด
สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง  เถรชักคอก่งไม่ทนได้
แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป          กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา”

เมื่อแผนขั้นแรกคือมอมกัญชาจ้าหลิ่ม (พวยใส่ใบกัญชา) ไม่สำเร็จ แผนขั้นสองคือมอมยาฝิ่น ปรากฏว่าเถรขวาดติดฝิ่นงอมแงม เผลอคายความลับอย่างลืมตัว จากประสบการณ์ทางวัฒนธรรมยาเสพติดในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องนี้บอกเราว่า กระท่อม-กัญชา เสพติดยากกว่าติดฝิ่น กินเหล้าหรือติดหมาก บุหรี่เสียอีก ยังมีตัวอย่าง ดูอย่างนางทองประศรีมารดาขุนแผน ตื่นเช้ามาไม่ทันล้างหน้าก็ตำหมากใส่ปากแล้ว

“ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างหล้า                  ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่
ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้    นั่งเคี้ยวไป เคี้ยวไปแล้วตรองการ”

แต่ก็สะกิดเตือนไว้แน่นอน เหล้า กัญชา ยาฝิ่น ย่อมไม่ใช่ของดีตามค่านิยมไทย ดังเช่น พ่อแม่ไม่ยกลูกสาวให้คนกินเหล้าเมากัญชาติดยาฝิ่น ดังเนื้อความตอนนางศรีประจันสอบถามความประพฤติของพลายแก้วที่จะมาเป็นลูกเขยว่า

“ตูจะขอถามความท่านยาย                ลูกชายนั้นดีหรืออย่างไร
ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา    ฝิ่นฝามันสูบบ้างหรือไม่”

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยจนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๘๖-๒๔๘๗ พืชกระท่อม-กัญชายังไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำลายสุขภาพหรือผิดศีลธรรมร้ายแรงเหมือนกับเหล้าบุหรี่ด้วยซ้ำ พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.๒๔๘๖-๒๔๘๗ และพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.๒๔๘๗ ซึ่งออกมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เพราะรัฐบาลยุคนั้นต้องการเก็บภาษีผูกขาดจากฝิ่นให้มากขึ้น จึงต้องกำจัดคู่แข่งซึ่งปลูกง่าย เสพง่ายแต่ไม่มีรายได้เข้ารัฐ

ถึงกระนั้น กฎหมายทั้งสองฉบับก็ยังอนุญาตให้ใช้พืชสมุนไพรทั้งสองชนิดในการประกอบโรคศิลปะได้ โดยเฉพาะแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน ที่มีอยู่ทั่วทุกท้องถิ่นทั้งประเทศไทย มีตำรับยาดีที่ประกอบด้วยส่วนพืชกระท่อม-กัญชา ทั้งที่เป็นยาตำราหลวงและพื้นบ้านนับร้อยตำรับที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมของไทยกลับถูกตัดตอนทำหมันโดยรัฐไทยที่ขาดความรู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

โดยตราพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ตีตรวนพืชกระท่อม-กัญชา จากที่เคยเป็นสมุนไพรให้คุณทางการแพทย์อย่างอนันต์ กลายเป็นยาเสพติดให้โทษมหันต์ หรือพืชอาชญากรอุกฉกรรจ์ไปเลย

กล่าวเฉพาะพืชกระท่อมเอง สหประชาชาติมิได้ประกาศให้อยู่ในบัญชีรายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์แต่อย่างใด

นอกจากพม่า มาเลเซีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียแล้ว ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ตีตราพืชกระท่อมเป็นพืชผิดกฎหมายเลย ยกเว้นประเทศไทยซึ่งเป็นถิ่นภูมิปัญญาพืชกระท่อมแท้ๆ

คิดดูเถอะ เมืองไทยมีข้อมูลการใช้พืชกระท่อมตามภูมิปัญญาพื้นบ้านมากที่สุด แต่เรากลับไม่ได้รับประโยชน์จากพืชกระท่อมเลย

ผิดกับประเทศที่ไม่เคยมีภูมิปัญญากระท่อมในอดีต อย่างญี่ปุ่นก็ยังชิงจดสิทธิบัตรสารไมตร้าจีนีน (7-hydroxy mitragynine) เป็นยาระงับปวดน้องๆ มอร์ฟีนเลยทีเดียว

ส่วนกัญชานั้นหลายประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกาและยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ สามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์ของกัญชาในเชิงรุก ขณะที่เมืองไทยซึ่งเป็นแหล่งต้นพันธุ์กัญชาที่ดีที่สุดในโลก คือ พันธุ์หางกระรอก ในชื่อพฤกษศาสตร์ว่า แคนนาบิส ซาติวา (Cannabis sativa L. ) กลับยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ว่าจะปลดล็อกกัญชาไปในทิศทางใด ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและราคาถูกที่สุดโดยไม่ตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนผูกขาดทางการแพทย์

ถ้าว่ากันโดยสปีชีส์ (species) แล้ว นักพฤกษศาสตร์ย่อมรู้ดีว่า พืชวัตถุใดที่มีชื่อสปีชีส์ภาษาละตินว่า “sativa , sativum หรือ sativus” แสดงว่า พืชชนิดนั้นกินเป็นอาหารได้อย่างปลอดภัย (Eatable product)

เช่น ข้าวเจ้า (Oryza sativa), ข้าวโอ๊ต (Avena sativa), เกาลัด (Castanea sativa), กระเทียม (Allium sativum), ผักชี (Cariandrum sativum) และหญ้าฝรั่น (Crocus sativus) เป็นต้น

การสร้างมายาคติว่าการปลดล็อกกระท่อม-กัญชาจะทำให้มีคนขี้ยามากขึ้น และมีการใช้ในทางที่ผิดมากขึ้น โดยลืมไปว่ากระท่อม-กัญชาเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาดีได้ด้วย ไม่ใช่เหล้าบุหรี่ที่มีแต่โทษ

การล็อกหรือผูกขาดกระท่อม-กัญชาเท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้หมอไทย หมอพื้นบ้านได้ใช้ภูมิปัญญาพัฒนาด้านบวกของสมุนไพรทั้งสองนี้ได้อย่างเต็มที่ จึงเปิดช่องให้พวกขาดความรู้นำไปใช้ในทางที่ผิดด้านเดียว

จนฝ่ายความมั่นคงหวาดผวาหรือเกิดภาพหลอนจากมายาภาพที่พวกตนสร้างขึ้นเอง โดยที่หารู้ไม่ว่า ทั้งการปิดกั้นหรือการผูกขาดจะก่อให้เกิดโทษอย่างมหันต์ยิ่งกว่าการคลายล็อกและการเปิดกว้างเสียอีก

มูลนิธิสุขภาพไทยลงภาพกัญชาเมื่อครั้งที่ผ่านมาคลาดเคลื่อน ได้แก้ไขภาพที่ถูกต้องในครั้งนี้ จึงขออภัยผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้

หวังใจว่ากระท่อม-กัญชาจะกลับมาสู่การใช้ประโยชน์เพื่อช่วยบำบัดรักษาโรคและดูแลสุขภาพให้กับคนไทยได้วันหน้า




เห็ดขี้ควาย บัญชียาเสพติดที่ฝรั่งนำไปจดสิทธิบัตร  

นอกจากรอลุ้นปลดล็อกกัญชาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแล้ว วันนี้ชวนผู้อ่านมาฟังเรื่องราวของสมุนไพรจากธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่จัดว่าเป็นยาเสพติดเหมือนกัญชา กระท่อม และยังเหมือนกันที่เป็นสมุนไพรตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยด้วย

นั่นคือ เห็ดขี้ควาย

ประเทศไทยไม่ค่อยเหมือนใครในโลก กระท่อมก็จัดให้เป็นยาเสพติดจนปิดกั้นการค้นคว้าวิจัยนำมาใช้ประโยชน์

เห็ดขี้ควายที่ภูมิปัญญาพื้นบ้านนำมาเป็นยารักษาโรค แต่ก็จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ

โดยผู้ใดผลิต ขาย นำเข้าหรือส่งออกต้องจำคุกตั้งแต่ ๒-๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐๐,๐๐๐-๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นผู้เสพ จำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในบางประเทศมีการศึกษาวิจัยเห็ดขี้ควายกันนานแล้ว เช่น

การพัฒนายาจากเห็ดขี้ควายในอเมริกามีการจดสิทธิบัตรขั้นตอนการสกัดสารที่ได้จากเห็ด คือ ไซโลไซบินและไซโลซินจากเห็ดขี้ควาย ซึ่งจดสิทธิบัตรมาตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๕๙ หรือ พ.ศ.๒๕๐๑ (เลขสิทธิบัตร US3183172A)

ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๘๑ หรือ พ.ศ.๒๕๒๔ มีการจดสิทธิบัตรในการพัฒนาสารสเคอร์โรเตีย (sclerotia) ซึ่งได้จากสารไซโรไซ

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนายาจากสารสกัดจากเห็ดขี้ควายร่วมกับเห็ดชนิดอื่นๆ ด้วย

นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างในต่างประเทศที่ให้ความสนใจการพัฒนาสารจากเห็ดขี้ควายเพื่อใช้เป็นยาแผนปัจจุบัน

และในปัจจุบันมีผู้พยายามพัฒนายาจากเห็ดขี้ควาย เพื่อใช้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อให้คลายเครียด ลดความซึมเศร้า

เห็ดขี้ควายคืออะไร

ที่เรียกชื่อเช่นนี้ก็เพราะเป็นเห็ดที่ขึ้นอยู่บนกองขี้ควาย แต่ต้องเข้าใจว่าเห็ดที่ขึ้นบนกองมูลสัตว์นี้มีอยู่หลายชนิด ในทางวิชาการได้แยกแยะไว้แล้วว่า เห็ดที่นำใช้ประโยชน์ คือ ชนิดที่อยู่ในสกุล Psilocybe เช่น Psilocybe cubensis, Psilocybe semilanceata, Psilocybe semilanceata, Psilocybe azurescens เป็นต้น

เห็ดขี้ควายชนิดที่พบได้ทั่วไปและนิยมนำมาใช้เป็นยากล่อมจิต คือ ชนิด Psilocybe cubensis เห็ดขี้ควายชนิดนี้มีทั้งเก็บมาจากธรรมชาติและเพาะเลี้ยง มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ คือ magic mushroom

เป็นเห็ดที่มีฤทธิ์กับระบบประสาท พบได้ตามกองขี้ควายแห้ง จึงเป็นที่มาของชื่อเห็ดชนิดนี้ ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพ หมวกดอกมีสีเหลืองปนน้ำตาล

ทั้งดอกมีสีอ่อน แต่กลางหมวกมีสีเข้มกว่าบริเวณอื่นๆ ใต้หมวกดอกมีลักษณะเป็นครีบ มีสีน้ำตาลดำ

บริเวณก้านใกล้กับหมวกดอกมีวงแหวนปรากฏอยู่

ในอดีตนานนับพันปี กลุ่มคนที่อยู่ในอเมริกาเหนือใช้เป็นยากล่อมประสาท ทำให้เกิดการฮึกเหิม มีความกล้าออกไปสู้ศึกสงคราม

ในระยะต่อมาได้มีการนำมาใช้เป็นยาระงับประสาท และในตำรายาไทยก็มีการกล่าวถึงด้วยว่า มีรสเบื่อเมา มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด แก้นอนไม่หลับ แก้พิษไข้ร้อน กระสับกระส่าย

หมอไทยใช้เห็ดขี้ควายเป็นยาทำให้ง่วงหรือนอนหลับ จึงเรียกยานี้ว่ายาสุขไสยาสน์

ที่สำคัญยิ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานมีการใช้เห็ดขี้ควายในตำรับยาต่างๆ มากกว่า ๒๐ ตำรับ ที่มีการปรุงยากันมาก ได้แก่ ตำรับยาแก้ไข้หมากไม้ (ไข้ที่เป็นในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล มักเป็นในช่วงที่มีผลไม้ออกมากๆ ไข้ชนิดนี้เมื่อเป็นแล้วห้ามทานผลไม้) ยกตัวอย่างยาแก้ไข้หมากไม้ ให้เอาเห็ดขี้ควายปิ้งให้แห้ม (เกรียม) ฮากข้าว ฮากแตงกัว (แตงกวา) ฝนกินดีแล

ยารักษาโรคผิวหนัง ที่มีการใช้เห็ดขี้ควาย

เช่น

ยาออกสุก (เป็นอีสุกอีใส) ตุ่มบ่ขึ้น (ตุ่มไม่ออก) ให้เอา ไข่เป็ด ๑ เห็ดขี้ควาย ๑ ทาดีแล หรืออีกตำรับให้ใช้ ฮากแค้งขม (มะแว้ง) เห็ดขี้ควาย ขนบั่วไก่ขาว (ขนอ่อนของไก่ชี) ฝนใส่น้ำหน่อไม้ส้ม ทาดีแล

ย่าฆ่าตุ่ม (เมื่อเป็นไข้หมากไม้ ต้องมีตุ่มออกมาลำตัว) ให้เอาเห็ดขี้ควาย ยางแมงวัน (ยางจากต้นมะม่วงหัวแมงวัน) มาขั้ว (ใส่กระเบื้องหรือกระทะตั้งไฟให้ร้อน แล้วคนไปจนสุกหรือเกรียม) สมกัน (ผสมกัน) ทาดีแล

ยาลวงแก้วตาควาย (โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเหมือนตาควาย) ให้เอา เห็ดขี้ควาย ๑ คาบงู ๑ เอาเถ้าเขาควายขาด เผาดอม (ด้วย) กันใส่ดี

ในท้องถิ่นอีสานบ้านเฮานั้น เห็ดขี้ควายเป็นเห็ดที่กินได้ เคยมีการนำมาใส่ในอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ

บางพื้นที่ก็นำมาทาเกลือปิ้งกิน

แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่กินหรือสูบเข้าไปปริมาณมากจะทำให้มีอาการมึนเมา ประสาทหลอน เห็นภาพและแสงต่างๆ มีลักษณะอาการคล้ายกับเสพแอลเอสดี

สารที่ทำให้เกิดอาการมึนเมาและประสาทหลอนคือสาร ไซโลไซบิน (Psilocybin)

เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่คล้ายสารเซอโรโทนิน (Serotonin) แล้วสารตัวนี้ไปทำให้ไปรบกวนการทำงานของเซอโรโทนินที่เป็นธรรมชาติในร่างกายเรา ที่ทำให้คนที่กินเข้าไปควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้

อาจแรงถึงทำให้มีอารมณ์ก้าวร้าวและฆ่าตัวตายได้

มีการประมาณการว่า กินขนาดที่ทำให้เกิดพิษได้ คือ กินหรือเสพมากกว่า ๑๕ ดอก หรือกินเห็ดแห้งเข้าไป ๑-๔ กรัม

แต่ในปัจจุบันสารไซโลไซบินและไซโลซินจากเห็ดขี้ควายที่ทำให้มึนเมาประสาทหลอนนี้ ถูกนักวิจัยต่างชาติจดสิทธิบัตรไว้ในประเทศของเขาแล้ว

แต่ในประเทศไทยทางมูลนิธิสุขภาพไทยกำลังตรวจค้นดูว่า มีการอนุญาตให้จดสิทธิบัตรไปหรือยัง

ถ้ามีการอนุญาตก็จะเกิดคำถามคำโตเช่นกัญชาว่า รับจดไปได้อย่างไร ในเมื่อเห็ดเป็นสมุนไพรธรรมชาติ และเป็นความรู้ที่ใช้บำบัดรักษาโรคดังได้ยกตัวอย่างไว้แล้ว ซึ่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.๒๕๕๒ ไม่คุ้มครอง

ผู้นิยมสมุนไพรต้องช่วยกันติดตามคุ้มครองสิทธิภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยให้ดี ขณะนี้ต่างชาติกำลังพัฒนายาจากเห็ดขี้ควายเพื่อใช้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และเพื่อเป็นยาคลายเครียด ลดความซึมเศร้า

สารไซโรไซบินและไซโรซินจะเป็นสารเสพติด แต่ถ้าดูจากความรู้การใช้ประโยชน์ของชาวบ้าน ตัวเห็ดขี้ควายทั้งดอกไม่ใช่สารเสพติด หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องน่าจะมาช่วยกันเร่งเก็บและจัดระบบความรู้ ทำการศึกษาวิจัยและส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง อย่าให้ต่างชาติหยิบฉวยไปใช้ได้ง่ายๆ

หวังว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี จะมีส่วนช่วยทำให้สัมฤทธิผลโดยเร็ว




บัว ล้ำค่า ราคาประหยัด  

คนไทยคุ้นเคยกับบัวหรือดอกบัว เพราะนำมาใช้ประโยชน์มากมาย อาจนึกไปว่าบัวนั้นเป็นพืชน้ำที่มีในไทยหรือในอินเดียต้นทางธรรมของพระพุทธศาสนาที่มีมากว่า ๒,๖๐๐ ปีแล้วเท่านั้น

แต่ในวงการนักพฤกษศาสตร์โลกได้พยายามค้นหาแหล่งกำเนิดบัว พบหลักฐานสำคัญ คือ ซากฟอสซิล ((fossil) หรือซากดึกดำบรรพ์ของบัวหลวงจำนวนมากในทวีปอเมริกาเหนือ และในยุโรป เก่าแก่แค่ไหน? ขอบอกว่าไม่ใช่เก่าแก่หลักพันปี แต่ที่ประมาณการคือ มีมาแล้ว ๗๐-๑๓๕ ล้านปี ในประเทศญี่ปุ่นก็พบฟอสซิลบัวหลวงอายุประมาณ ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ปี และสำหรับบัวสายก็พบซากฟอสซิลเก่าแก่ไม่แพ้กัน คือ ประมาณ ๑๑๕-๑๒๕ ล้านปีมาแล้ว

นอกจากพบซากฟอสซิลในญี่ปุ่นแล้ว ยังพบเมล็ดบัวหลวงที่กลายเป็นหินกระจัดกระจายในประเทศจีน

และที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งตรงที่มีการขุดค้นในเหมืองเก่าแห่งหนึ่งแถบแมนจูเรีย พบเมล็ดบัวหลวงแห้ง

จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ทำการตรวจหาอายุเมล็ดแห้งนี้ พบว่ามีอายุเก่าแก่ประมาณ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปี

ต่อมานักพฤกษศาสตร์ได้ลองนำเมล็ดบัวหลวงไปเพาะ ไม่น่าเชื่อว่าในเวลา ๑๘ เดือน เมล็ดบัวนี้เติบโตได้ให้ดอกด้วย แต่มีดอกที่เล็กกว่าดอกบัวหลวงในปัจจุบัน มีกลีบดอกเพียง ๕-๗ กลีบ แต่ให้สีชมพูที่เหมือนกับดอกบัวในยุคปัจจุบัน

การค้นพบนี้แสดงให้มนุษย์รู้ว่า เมล็ดบัวสามารถพักตัวและยังมีชีวิตอยู่รอดได้ยาวนานหลายพันปี

ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ ที่วัฒนธรรมของชาวจีนถือว่าบัวและดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของสิริมงคล เช่น ภาพบัวที่แสดงถึงการต่อเนื่องไม่จบสิ้น การรวมกัน การปรองดอง ภาพฝักบัวหมายถึงอวยพรให้มีบุตรในเร็ววัน ภาพเด็กอุ้มปลาและมีดอกบัวก็จะหมายถึงให้มีเงินทองใช้ติดต่อกันทุกๆ ปีไม่ขาดมือ เป็นต้น

ในวัฒนธรรมอียิปต์ ถือว่า บัวเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาบูชาเทพเจ้า และดอกบัวเองก็ยังนับถือว่าเป็นเทพเจ้าด้วย และชาวอียิปต์ซึ่งนิยมชมชอบสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในแม่น้ำไนล์ ก็ถือว่าบัวที่ขึ้นตามริมน้ำไนล์เป็นสิ่งที่ดีงาม เพราะกระแสน้ำไนล์ชำระล้างอยู่ตลอดเวลาจึงถือเป็นพืชแห่งความบริสุทธิ์ มีการค้นพบดอกบัวแห้งในสุสานของกษัตริย์แห่งอียิปต์ ซึ่งมีอายุประมาณ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี ในตอนแรกเข้าใจว่าเป็นบัวหลวง แต่ภายหลังการตรวจสอบพบว่าเป็นบัวสายดอกสีขาวชนิดดอกบานตอนกลางคืน และจากการสำรวจของนักโบราณคดีก็พบภาพเขียนรูปสระบัวสายในซากอาคารด้วย นี่ย่อมแสดงให้เห็นความสำคัญของบัวที่มีมาตั้งแต่ในอดีต

ในเอเชียบ้านเราทั้งไทย แขก จีน มักจะนิยมบัวหลวงหรือปทุมชาติ ซึ่งอาจเป็นเพราะบัวหลวงมีถิ่นกำเนิดในทวีปนี้ และบัวก็มักเกี่ยวพันกับศาสนาทั้งพราหมณ์และพุทธ เช่น ในรูปปั้นของเทพเจ้าที่เคารพของชาวฮินดูก็พบการนำสัญลักษณ์บัวมาใช้ ส่วนพุทธศาสนาคงไม่ต้องอธิบายมากนัก คนไทยคุ้นเคยกันดีของความหมายและการนำบัวหรือดอกบัวมาบูชา

ในด้านประโยชน์ บัวเป็นพืชน้ำที่นำมาใช้ได้ทุกส่วน ประโยชน์ทั้งด้านอาหาร ยาสมุนไพร และประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ การนำบัวมากินเป็นอาหาร เช่น กลีบดอกก็กินได้จิ้มน้ำพริก สายบัวมีรสเย็นชื่นใจ ช่วยดับร้อนแก้ไข้ กินสดๆ กินแล้วให้พลังงานต่ำใช้ควบคุมน้ำหนักตัว มีใยอาหารช่วยระบบขับถ่ายได้อีกด้วย เมล็ดกินได้ทั้งเมล็ดอ่อนและแก่ เมล็ดอ่อนนำมากินสด ถ้าไม่เอาดีบัวหรือต้นอ่อนออกก็จะได้รสชาติขมๆ

แต่ดีบัวนี้ คือ ยาสมุนไพรอย่างดี ปัจจุบันพบว่า ดีบัวมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์หลายชนิด มีอยู่ชนิดหนึ่ง ชื่อ “เมธิลคอรีพอลลีน” ((methylcorypalline) ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพระดับครัวเรือน ราคาถูกหาง่าย ให้ผลดี และยังมีการศึกษาทางเภสัชวิทยาว่า ดีบัวมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยให้นอนหลับดีด้วย

รากบัวหรือเหง้าบัวก็นำมาทำอาหารและเครื่องดื่มกินได้

หากจะย่นย่อสรรพคุณของบัวทุกๆ ส่วน ได้ว่า

ใบอ่อน บำรุงร่างกายให้ชุ่มชื่น

ใบแก่ แก้ไข้ บำรุงโลหิต นำไปสูบแก้ริดสีดวงจมูกได้

ดอก กลิ่นหอม ใช้แก้ไข้มีพิษร้อน แก้เสมหะและโลหิต บำรุงหัวใจ และบำรุงครรภ์ทำให้คลอดบุตรง่าย และนำมาต้มน้ำกินแก้อ่อนเพลียได้

เกสร หอมเย็น แก้ไข้ แก้เสมหะ แก้ร้อนในอ่อนเพลีย ถือเป็นยาหอมบำรุงหัวใจ บำรุงประสาทบำรุงกำลัง

ดีบัว แก้กระหายน้ำ ช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ แก้น้ำกามเคลื่อนขณะหลับ

ก้านดอก ถ้านำมาตากแห้ง ใช้สูบแก้ริดสีดวงจมูก ก้านใบ ใช้เป็นยาห้ามเลือดได้

ราก ตามสรรพคุณยาไทยมีรสมัน แก้ไข้พิษร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง เป็นยาเย็น ใช้บำรุงกำลัง แก้กระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย แก้อาเจียนได้

วิธีทำ นำรากบัวล้างน้ำสะอาด หั่นเป็นแว่น ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดสัก ๑๐ นาที แต่งน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มอุ่นๆ หรือใส่น้ำแข็งกินก็ได้

เหง้า นำมาต้มดื่ม ใช้บำรุงกำลัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไอขับเสมหะ แก้อาการอ่อนเพลีย

เทศกาลส่งมอบความห่วงใยและความสุขที่กำลังจะมาถึงนี้ หากจะอุดหนุนทั้งภาคเกษตร และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชุมชน และเป็นสัญลักษณ์ดีงาม สิริมงคล บัวต้นสดพร้อมกระถางงามๆ เป็นของขวัญที่ดีต่อใจและให้ความหมายที่ประเสริฐ นำของฝากเช่นเกสรบัวแห้ง เป็นเครื่องดื่มชาชง บำรุงสุขภาพอย่างดีเยี่ยม หรือดีบัวแห้ง ก็คือสมุนไพรที่ดีต่อหัวใจ ของขวัญธรรมชาติ ธรรมดา แต่ล้ำค่า ราคาประหยัดจ้า


ที่มา : หนังสือมติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 24 มกราคม 2562 14:57:47 »

.


ฟักทอง  

หลายคนอาจคิดว่า ฟักทองเป็นพืชถิ่นของไทย แต่ถ้าฉุกคิดถึงเทพนิยายยอดนิยมที่คนทั่วโลกรู้จักมานานนับศตวรรษเรื่อง ซินเดอเรลลา คงเห็นจินตนาการรองเท้าแก้ว และรถฟักทอง นี่ย่อมบอกว่าดินแดนทางตะวันตกต้นทางของเทพนิยายมีต้นฟักทองให้ผลโตสีเหลืองอร่ามหรือสีเหลืองส้มๆ มานมนานแล้ว

นักพฤกษศาสตร์บอกว่า ฟักทองมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นไม้เถาที่ขึ้นได้ทั้งในเขตร้อนไปจนถึงขึ้นได้ในเขตหนาว เราจึงเห็นฟักทองแพร่กระจายไปทั่วโลก หากท่องเที่ยวต่างเมือง คิดจะกินฟักทองผัดไข่ก็หากินได้ไม่ยากนัก

ฟักทองหาง่ายขนาดนี้ และยังมีประโยชน์มากมายสำหรับคนทุกเพศวัยด้วย

ไม่ได้กล่าวเกินจริง เริ่มจากในยุคที่ทุกคนมีสมาร์ตโฟน ใช้คอมพิวเตอร์ เปิดแท็บเล็ตกันวันละหลายชั่วโมง ดวงตาของคนวัยเด็กไปจนวัยเกษียณต้องการอาหารสมุนไพรที่คอยปกป้องหรือชะลอการเสื่อมถอยของดวงตา ซึ่งฟักทองมีคำตอบ

เนื่องจากผลฟักทองมีวิตามินเอที่สูงมาก ส่งผลดีต่อดวงตาหรือบำรุงสายตา และแก้ปัญหาการมองในที่มืด ลดปัญหาและป้องกันเยื่อบุตาแห้งด้วย

ที่พิเศษไปกว่านั้น เมื่อนักโภชนาการพบว่าในเนื้อฟักทองมีสารสำคัญที่เรียกว่า ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งมีอยู่ในพืชผักหลายชนิด

แต่ฟักทองเป็นพืชที่หาง่ายและมีอยู่จำนวนมาก สารสำคัญ ๒ ชนิดนี้ คือยาบำรุงดวงตา ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นต้อกระจก และกระจกตาเสื่อม ในร่างกายของเราพบสารลูทีนมากที่จอรับภาพของจอประสาทตา

ลูทีนช่วยในการกรองแสงที่จะมาทำอันตรายดวงตาของเรา แสงอันตราย เช่น แสงสีฟ้าจากจอสมาร์ตโฟนที่กระจายออกมาแล้วส่องมาทำร้ายดวงตาของเรา ลูทีนนี้จึงช่วยปกป้องได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าเล่นมือถือวันละหลายชั่วโมง กินฟักทองแล้วจะช่วยได้ เราต้องลดเวลาใช้สายตาด้วย)

วิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีนในผลฟักทองยังมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ซึ่งไม่เพียงสุภาพสตรีที่ห่วงใบหน้าและผิวตัวเท่านั้น

ปัจจุบันบุรุษก็ใส่ใจสุขภาพผิวด้วย การกินฟักทองเป็นประจำ ร่างกายก็จะได้รับสมุนไพรบำรุงผิวจากธรรมชาติ

หรือในเวลานี้มีการทำมาส์กหน้าด้วยฟักทอง ทำง่ายๆ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเสร็จ นำฟักทองมาต้มให้สุก บดให้เละอาจเติมน้ำบ้างได้ รอให้เย็นแล้วบางคนใช้ฟักทองล้วนๆ ทาให้ทั่วใบหน้า บางคนเพิ่มน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้ นำมาทาพอกให้ทั่วใบหน้า ปล่อยไว้สัก ๒๐-๓๐ นาที ล้างออก

ลองสัมผัสผิวดูจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลได้

ฟักทองยังเป็นอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารเหล่านี้หากเราเรียนรู้การกินเป็นประจำก็เป็นการส่งเสริมสุขภาพ เพราะมีส่วนในการช่วยชะลอวัย ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ การกินฟักทองยังได้รับใยอาหารมากพอสมควร

เรารู้กันดีว่าใยอาหารช่วยในการขับถ่าย ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ การขับถ่ายได้ดียังมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณงามตามธรรมชาติด้วย และมีบางคนที่กำลังลดน้ำหนักตัวก็เลือกกินฟักทองเป็นอาหารช่วยควบคุมน้ำหนักตัว

สำหรับชายวัยกลางคนขึ้นไป ควรหันมาสนใจฟักทองอย่างยิ่ง เพราะฟักทองเป็นอาหารชั้นเลิศช่วยต่อมลูกหมาก

ความรู้นี้มาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของทั้งไทยและยุโรป ในไทยจะออกมาในแนวช่วยแก้ไขปัญหาปัสสาวะขัด หรือปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย และพุ่งไม่แรง ซึ่งอาการเหล่านี้ในชายที่มีอายุมากขึ้นจะพบว่ามาจากปัญหาต่อมลูกหมากโต

ซึ่งความรู้ดั้งเดิมของทั้งไทยและยุโรปแนะนำให้กินเมล็ดฟักทองจะแก้อาการเหล่านี้ได้

จนเมื่อการวิจัยสมัยใหม่พบว่า เมล็ดฟักทองมีสารชนิดหนึ่งชื่อ เคอร์บิซิน (Curbicin) ช่วยลดการปัสสาวะตอนดึก และปัสสาวะคล่องขึ้นในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต

และพบสารอีกชนิดชื่อ เบต้า-ไซโตสเตอรอล (Beta-sitosterol) ซึ่งไปช่วยยับยั้งสารชนิดหนึ่งที่ไปทำให้เซลล์เนื้อเยื่อของต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้นใหญ่ขึ้น

พูดง่ายๆ ไปช่วยไม่ให้ต่อมลูกหมากโตขึ้น และสารนี้ยังช่วยให้ปัสสาวะคล่องขึ้นด้วย

ในการศึกษายังทดลองให้กินน้ำมันจากเมล็ดฟักทองด้วย ซึ่งก็ได้ผลดี ช่วยลดการปัสสาวะตอนกลางคืน ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากได้ในบางราย

ในเมล็ดฟักทองยังเป็นอาหารที่หาง่ายและมีธาตุสังกะสีอยู่จำนวนมาก ซึ่งขอบอกว่าธาตุสังกะสีสำคัญสุดๆ ต่อการสร้างฮอร์โมนเพศชาย สร้างสเปิร์มและช่วยให้คุณภาพสเปิร์มดีด้วย

การกินเมล็ดฟักทองจึงไม่ใช่เฉพาะชายสูงวัย ครอบครัววัยเจริญพันธุ์คุณพ่อบ้านก็ควรกินเมล็ดฟักทองเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วย การกินเมล็ดฟักทองคั่วสุก เป็นสมุนไพร เพื่อต่อมลูกหมาก แนะนำให้กิน เช้าเย็น ครั้งละ ๑-๒ ช้อนโต๊ะ

ประโยชน์ของฟักทองยังมีอีกมาก - ฟักทองช่วยลดอาการซึมเศร้า

พบว่าในฟักทองมีส่วนไปเพิ่มสารที่เรียกว่าเซโรโทนิน และนอร์อิฟิเนฟริน สาร ๒ ชนิดนี้ถ้าร่างกายมีลดลงจะทำให้มีปัญหาซึมเศร้า แต่ฟักทองไปช่วยให้สารเหล่านี้เพิ่มกลับไปปกติได้ สารเซโรโทนิน คือสารที่ช่วยให้ร่างกายมีความสุข

หากปรุงเมนูฟักทองกินเป็นประจำ เลือกเมล็ดฟักทองเป็นของคบเคี้ยวกินเล่น หวังได้ว่าสุขภาพดีได้ทุกวัย สุขใจได้ตลอดปี


ที่มา : หนังสือมติชนสุดสัปดาห์



มะเฟือง  
Averrhoa carambola L.
OXALIDACEAE

ไม้ต้นขนาดกลาง ลำต้นและกิ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน

แกนกลางมีไส้คล้ายฟองน้ำสีแดงอ่อน ใบประกอบมีใบย่อย ๕-๑๑ ใบ ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง และตาข้างตามกิ่งและลำต้น สีชมพูอ่อนถึงเกือบแดง ผลแหลมเป็นเหลี่ยมมีร่องเป็นพูประมาณ ๔-๖ พู

พันธุ์มะเฟืองที่พบในไทยได้แก่ พันธุ์พื้นเมือง รสเปรี้ยว มีทั้งลูกใหญ่และลูกเล็ก พันธุ์กวางตุ้ง ผลสีขาว ขอบสีเขียว รสหวาน  พันธุ์ไต้หวัน ผลใหญ่ กลีบบาง ขอบบิด รสหวาน  และพันธุ์มาเลเซีย ผลใหญ่ น้ำเยอะ หวานอมเปรี้ยว

ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณใช้ผลมะเฟืองเป็นตัวยาช่วยในยาแก้ไอ ขับเสมหะน้ำ แต่ควรระวังในการรับประทาน เนื่องจากมีกรดออกซาลิกสูง อาจเพิ่มโอกาสเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคไต
เนื่องจากสารนี้ไปจับตัวกับแคลเซียมและตกเป็นผลึกนิ่วในไตและที่สำคัญ ผู้ที่รับประทานยาลดไขมัน ยาคลายเครียดอยู่ไม่ควรรับประทานมะเฟือง เนื่องจากว่ามะเฟืองมีฤทธิ์ไปต่อต้านการทำงานของตัวยาด้วย




ตะลิงปลิง  
Averrhoa bilimbi L.
OXALIDACEAE

ไม้ต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีชมพู ผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ตามกิ่ง ใบประกอบแบบขนนก ดอกช่อออกตามกิ่งและลำต้น สีแดงเข้ม ผลสด ฉ่ำน้ำ สีเหลืองแกมเขียว รสเปรี้ยวจัด

ตำรายาไทยใช้ ผล มีสรรพคุณ แก้เสมหะเหนียว ฟอกโลหิต ราก แก้พิษร้อนใน กระหายน้ำ แต่ควรระวังในการรับประทาน เนื่องจากมีกรดออกซาลิกสูงเช่นเดียวกับมะเฟือง อาจเพิ่มโอกาสเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
เนื่องจากสารนี้ไปจับตัวกับแคลเซียมและตกเป็นผลึกนิ่วในไต





มะระขี้นก  
Momordica charantia L.
CUCURBITACEAE

ไม้เลื้อยพันต้นไม้อื่น ยาว ๒ เมตร มีมือเกาะ ลำต้นเป็นเหลี่ยมมีขนปกคลุม ขอบใบหยัก เว้าลึก มี ๕-๗ หยัก ปลายใบแหลม

ดอกเดี่ยว แยกเพศ สีเหลืองอ่อน กลีบดอกบาง ช้ำง่าย
ผลสดรูปกระสวย ผิวขรุขระ มีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ผลแก่แตกอ้าออก
เมล็ดสุกมีสีแดงสด รูปร่างกลมแบน

ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖ ใช้เนื้อผลดิบเป็นตัวยาตรง ในยาแก้ร้อนใน ใบมะระขี้นก ในยาบรรเทาหัด อีสุกอีใส

ส่วนเนื้อผลดิบเป็นตัวยาช่วยในยาแก้ไข้






สะเดา

สะเดา ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica A. Juss. วงศ์กระท้อน Meliaceae ชื่ออื่นๆ สะเดา สะเดาบ้าน (ภาคกลาง), สะเลียม (ภาคเหนือ), เดา กระเดา กะเดา (ภาคใต้), จะดัง จะตัง (ส่วย), ผักสะเลม (ไทลื้อ), ลำต๋าว (ลั้วะ), สะเรียม (ขมุ), ตะหม่าเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ควินิน (ทั่วไป), สะเดาอินเดีย (กรุงเทพฯ) พบขึ้นทั่วไปตามป่าแล้งในอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา และไทย

จัดเป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ความสูงประมาณ ๒๐-๒๕ เมตร เนื้อไม้แข็งแรงทนทาน ใบสะเดามีสีเขียวเข้ม เมื่ออ่อนมีสีแดง ใบประกอบขนนกชั้นเดียว ใบย่อยรสขมจัด ขอบใบจักเล็กๆ ส่วนดอกสะเดาออกเป็นช่อ ดอกขนาดเล็กสีขาวหรือ สีเทา กลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบดอกมี ๕ กลีบแยกจากกัน ลักษณะเป็นรูปช้อนแคบยาวประมาณ ๔-๖ ม.ม. มีขนนุ่มสั้นขึ้นทั้งสองด้าน ในช่อดอกมีสารจำพวกไกลโคไซด์ Nimbasterin ๐.๐๐๕% และมีน้ำมันหอมระเหยที่มีรสเผ็ดจัดอยู่ ๐.๕% นอกจากนี้ยังพบว่ามีสาร Nimbecetin, Nimbesterol, กรดไขมัน และสารที่มีรสขม

ผลกลมยาวเล็กน้อย เมื่อสุกสีเหลือง ส่วนเมล็ดสะเดามีลักษณะกลมรี ผิวเมล็ดค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาว สีเหลืองซีดหรือเป็นสีน้ำตาล ในน้ำหนัก ๑ กิโลกรัมมีเมล็ดประมาณ ๔,๐๐๐ เมล็ด ในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ประมาณ ๔๕% มีน้ำมันขม Margosic acid ๔๕% หรือเรียกว่า im oil และมีสารขม Nimbin

เกี่ยวกับสรรพคุณของสะเดา นำคำตอบมาจากเว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ข้อมูลของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า สะเดาเป็น ผักสมุนไพรพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีน แร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย

สรรพคุณทางยาของสะเดา

๑. ดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อนใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง ล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น

๒.รักษาโรคผิวหนัง สารเกดูนิน (Gedunin) และนิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดมีประสิทธิภาพสูงในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัส ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราที่เท้า เล็บ กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด และอีสุกอีใส
 
๓. แก้ไข้มาลาเรีย สารเคมีกลุ่มลิโมนอยด์ (Limonoids) ได้แก่ สารเกดูนิน และนิมโบลิดี ในใบและเมล็ดสะเดา สามารถยับยั้งเชื้อฟัลซิปารัม (P.Falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาชนิดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๔. รักษาโรคไขข้อ ขอบใบสะเดา เมล็ดสะเดา และเปลือกต้น เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อได้ ช่วยลดอาการปวด บวมในข้อ โดยอาจนำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ทาบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และอาการปวดหลังช่วงล่าง หรือนำใบมาต้มเป็นน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการของโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคกระดูกพรุน

๕. ช่วยย่อยอาหาร ใบสะเดานำมาทำเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดี ช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งน้ำดีที่ถูกกระตุ้นสร้างออกมานั้นจะช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้นด้วย

๖. บำรุงสุขภาพช่องปาก บำรุงเหงือกและฟัน นิยมนำมา สกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยรักษาโรครำมะนาด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก

๗.ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง มีผลวิจัยบางชิ้นเผยว่า สารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) และ สารลิโมนอยด์ (Limonoids) ที่พบในเปลือก ใบ และผลสะเดา มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง

๘. คุมกำเนิด ใช้น้ำมันสะเดาเพื่อคุมกำเนิดในผู้หญิงและผู้ชาย โดยใช้วิธีต่างกัน ผู้หญิงจะใช้น้ำมันสะเดาชุบสำลีทาบริเวณปากช่องคลอด ส่วนผู้ชายจะใช้ฉีดน้ำมันสะเดาบริเวณท่อนำอสุจิ

๙. สะเดาช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย

๑๐. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยจะยับยั้งการผลิตอินซูลินได้กว่าร้อยละ ๕๐ และยังช่วยปรับสมดุลความอยากอาหาร

๑๑. ดีท็อกซ์สารพิษในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดดีหมุนเวียนในร่างกายมากขึ้น

๑๒. ต้านมะเร็งสารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย

๑๓. ลดการติดเชื้อราในช่องคลอด

๑๔. บำรุงหัวใจ ผลของต้นสะเดาหากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อย วันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ




กุยช่าย

กุยช่าย (Chinese Chive) พืชสมุนไพรจำพวกผัก มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคเหนือเรียกหัวซู ภาคอีสานเรียก หอมแป้น กูไฉ่ หรือ ผักแป้น โดยทั่วไปมี ๒ ประเภท คือ กุยช่ายเขียวและกุยช่ายขาว ต่างกันในเรื่องการปลูกและดูแลรักษาเท่านั้น

ต้นกุยช่ายเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสูงประมาณ ๓๐-๔๕ ซ.ม. เหง้าเล็ก ใบแบนเป็นรูปขอบขนาน บริเวณโคนมีกาบบางซ้อนสลับกันไปมา ดอกกุยช่ายนั้นคนทั่วไปมักนิยมเรียกกันว่า ดอกไม้กวาด ออกดอกเป็นช่อสีขาว กลิ่นหอม ก้านช่อดอกมีลักษณะกลม มีใบประดับหุ้มช่อดอก ผลทรงกลม เมื่อผลแก่จะแตกตามตะเข็บ มีเมล็ดในช่องผนังด้านในช่องละ ๑-๒

เมล็ด สีน้ำตาลแบนและขรุขระ

สรรพคุณ ใบช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ฟกช้ำบวม แก้ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด แก้อาการปวดแน่นหน้าอก ขับลม เมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายหรือพยาธิแส้ม้า บำรุงตับ บำรุงไต แก้อาการปวดเอว เหง้าแก้อาการฟกช้ำบวม แก้กลาก


ที่มาข้อมูล Khaosod daily
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 เมษายน 2562 13:56:35 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 05 เมษายน 2562 16:22:22 »



รู้จักต้นคูนหรืออ้อดิบ
กินให้ถูกมีประโยชน์ กินผิด ‘อันตราย’
 

เมื่อต้นเดือนมีนาคม มีข่าวว่าผู้หญิงคนหนึ่งสั่งแกงส้มปลาใส่อ้อดิบกับไก่ต้มขมิ้นมากิน

เพียงแค่กินคำแรกก็ได้เรื่อง หลังจากเคี้ยวกินมีความรู้สึกแปลกๆ ในปาก แสบเริ่มชา ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนในปากแล้ว ลามถึงในลำคอ จนต้องนำส่งโรงพยาบาล

หลังจากสืบสาวก็ได้ความว่า แม่ค้าร้านแกงไม่รู้จักหรือแยกไม่ออกระหว่าง “อ้อดิบ” กับ “บอน” ซึ่งพืชจำพวกบอนเป็นพืชพิษ ถ้าจะนำมาปรุงอาหารต้องมีความรู้และประสบการณ์อย่างดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายได้ง่าย

ในทางวิชาการ เรียก อ้อดิบ หรือ ต้นคูน หรือ โหรา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocasia gigantea (Blume) Hook. F. H. ชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Green Taro

ภาคกลางและภาคอีสานเรียกว่า ทูน คูน หัวคูณ

ภาคเหนือเรียกว่า ตูน ภาคใต้เรียกว่า เอาะดิบ ออกดิบ ออดิบ นครศรีธรรมราช-ยะลา เรียก ออดิบ ชุมพรเรียกว่า กะเอาะขาว ประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า บอน กาญจนบุรีเรียกว่า กระดาดขาว

แต่ต้องระวังเพราะเรียกชื่อซ้ำกันแต่เป็นคนละชนิดกับกระดาษขาว (Alocasia alba Schott) และกระดาษดำ (Alocasia macrorrhizos (L. ) G. Don

คูนหรืออ้อดิบ เป็นพืชตระกูลบอน มีหัวอยู่ใต้ดิน ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ รูปร่างเป็นลูกศร มีนวลเคลือบแผ่นใบ ก้านใบยาวกลมมีนวลเคลือบ มี ๒ ชนิด คือ ชนิดสีเขียวอ่อน ใบมีสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียวอมขาว ชนิดสีม่วง ใบและก้านใบสีม่วง ออกดอกเป็นช่อเชิงลด มีกาบหุ้ม ก้านช่อดอกกลมยาว มีกาบหุ้มจนมิด เมื่อดอกยังไม่บาน ช่อดอกทรงกระบอก  ในบางพื้นที่ที่มีความชื้นสูง จะส่งเสริมปลูกเป็นแปลงเพราะสามารถเก็บก้านและใบมากินได้ตลอดปี

ในการนำอ้อดิบมาประกอบอาหาร มักใช้ก้านที่โตเต็มที่ ลอกเอาเปลือกเขียวที่หุ้มอยู่ออก กินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก แกล้มแกงรสจัด ส้มตำ

ชาวเหนือมักนำใบอ่อนและก้านไปแกงส้มใส่ปลา ปรุงเป็นผักในแกงแคหรือแกงกะทิ

ชาวใต้นิยมนำก้านไปแกงเหลืองใส่ปลา ยำอ้อดิบเป็นอาหารที่ทำกินกันในจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช เป็นอาหารที่มีราคาถูก ทำง่าย กินได้เป็นประจำ

ประโยชน์ด้านสมุนไพร ใบใช้รักษาแผลใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ และดอก แก้แผลเรื้อรัง ลำต้นใต้ดินนำมาตำพอกช่วยถ่ายแก้พิษไข้ พิษร้อน หรือเอาเหง้ามาตำพอกแก้ฝี และถ้านำผลอ้อดิบสดๆ มาฝนผสมกับน้ำผึ้งกินช่วยละลายเสมหะได้

นอกจากนี้ ฝักแก่ยังมีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลง ถ้านำฝักมาบดผสมน้ำ แช่ทิ้งไว้ ๒-๓ วัน กรองเอาน้ำที่ได้ไปฉีดพ่นกำจัดแมลงและหนอนในแปลงผักต่างๆ ได้ ฝักแก่ยังใช้แทนฟื้นในการหุงต้มกับเตาเศรษฐกิจได้ มีขนาดที่พอเหมาะ ใช้สะดวกไม่ต้องผ่าไม่ต้องตัดฟืน เนื้อของฝักแก่ยังใช้แทนกากน้ำตาลในการทำหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการทำเกษตรธรรมชาติ ได้จุลินทรีย์ไปขยายทำปุ๋ยหรือสารกำจัดแมลงศัตรูพืช

คูน หรือ อ้อดิบ เป็นพืชที่มีศักยภาพที่ดี ควรจะส่งเสริมให้มีการปลูกเป็นอาชีพ

นอกจากทำอาหารกินได้แล้วยังเป็นการอนุรักษ์พืชในกลุ่มนี้

เพราะส่วนใหญ่เราเคยชินกับความเป็นพิษของบอนและเผือก จึงทำให้ไม่กล้ากินคูนหรืออ้อดิบ ซึ่งเป็นพืชในกลุ่มบอน แต่ไม่มีพิษเหมือนชนิดอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม อ้อดิบมีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกับ กระดาษขาว (Alocasia alba Schott) และกระดาษดำ (Alocasia macrorrhizos (L. ) G. Don ในทางวิทยาศาสตร์จัดว่าเป็นพืชคนละสกุล เนื่องจากมีลักษณะของดอกที่แตกต่างกัน

ต้นกระดาษขาวมีข้อมูลค่อนข้างน้อย ส่วนต้นกระดาษดำ มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Elephant ear, Giant taro, Ape, Ear elephant, Giant alocasia, Pai มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า กระดาดดำ (กาญจนบุรี) กระดาดแดง (กรุงเทพฯ) บึมบื้อ (เชียงใหม่) บอนกาวี เอาะลาย (ยะลา) โหรา (สงขลา) คือ โทป๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เผือกกะลา มันโทป้าด (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) กลาดีบูเก๊าะ (มลายู-ยะลา) เป็นต้น

กระดาดดำมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าทอดไปตามพื้นดิน ลำต้นสั้นตั้งตรงและเป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล มีหัวอยู่ใต้ดิน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไป ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค จัดเป็นไม้พิษอีกชนิดหนึ่ง ต้นกระดาดทั้งขาวและดำ จะมีสารจำพวกเรซิน และ Protoanemonine ซึ่งเป็นพิษ และยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ถ้าจะกินเหง้า ต้องต้มให้สุก หรือทำใส่แกงต้มสุกค่อยกินได้

อ้อดิบกินได้ แต่มีคำแนะนำต้องมั่นใจว่าเป็นชนิดที่กินได้ หากไม่มั่นใจควรปรึกษาผู้รู้ ส่วนแม่ค้ามือใหม่ก่อนคิดปรุงอาหารกับพืชจำพวกบอนต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายที่ไม่ตั้งใจขึ้นได้ ปัจจุบันมีสถานที่พักผ่อนแนวรีสอร์ต จัดสวนหรือจัดภูมิทัศน์ด้วยการปลูกอ้อดิบไว้ แล้วนำมาปรุงอาหารบริการนักท่องเที่ยวด้วย

แกงส้มอ้อดิบสอนให้รู้ว่า ทั้งอาหารและยาสมุนไพรมีประโยชน์ แต่ต้องใช้ให้ถูกต้องถูกชนิดด้วย
 มติชนสุดสัปดาห์




๕ ความรู้สมุนไพร เราเข้าใจดีแค่ไหน?

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๖ ที่ผ่านมาเมื่อต้นเดือนมีนาคมนั้น มูลนิธิสุขภาพไทยจัดนิทรรศการและสาธิตอาหารและยาสมุนไพรหลายเรื่อง มีผู้สนใจอย่างดี ที่ขอหยิบยกมาเล่าเพื่อการขยายผลก็เป็นกิจกรรมสำรวจผู้ที่มาชมงานว่า มีความรู้ความเข้าใจสมุนไพรดีแค่ไหน คล้ายๆ ทดสอบว่า ข้อมูลที่แชร์กันสนั่นในโลกโซเชียลนั่น เชื่อได้หรือไม่?


ผู้อ่านลองให้คะแนนตัวเองตามไปด้วยก็ได้ มูลนิธิตั้งคำถามไว้ ๖ ข้อ เป็นเรื่องสมุนไพร ๕ เรื่อง อีก ๑ เรื่องว่าด้วยการนวดไทย การเล่นเกมที่บูธถือเป็นการสำรวจดูว่าคนที่มาเที่ยวงานสมุนไพรมีความรู้ดีแค่ไหนไปในตัวด้วย มีผู้มาทดสอบทั้งหมด ๒๐๘ คน ได้ผลดังนี้

คำถามที่ ๑
ฝาง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงเลือด เหมาะกับคนท้องใช่หรือไม่?

ให้เลือกคำตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” มีคนตอบถูกเพียงร้อยละ ๒๖ ตอบผิด ร้อยละ ๗๔ซึ่งไม่น่าเชื่อเลย และพลอยเป็นห่วงเรื่องการใช้ฝาง เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ไม่ควรกินฝางในสตรีตั้งครรภ์ เพราะฝางมีสรรพคุณขับประจำเดือน จะทำให้แท้งลูกได้ สำหรับคนปกติทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
ฝางเสน หรือเรียกสั้นๆ ว่า ฝาง ชื่อวิทยาศาสตร์ Caesalpinia sappan L. เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเย็น ตามตำรายาไทย แก่นฝางเสนมีสรรพคุณบำรุงโลหิต ขับประจำเดือน แก้ปอดพิการ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน ช่วยลดความร้อนในร่างกาย กระหายน้ำ แก้ไอ ขับระดู และน้ำยาอุทัยที่นำมาผสมน้ำดื่มกินแก้กระหายนั้นก็ทำมาจากฝางนั่นเอง

คำถามที่ ๒
กินเห็ดสดๆ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายใช่หรือไม่?

ในช่วงที่ผ่านมาคนทั่วไปสนใจการกินเห็ดกันมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า มีผู้ตอบถูกเพียงร้อยละ ๓๕ ตอบผิดร้อยละ ๖๕ คำถามข้อนี้อาจลวงให้หลงคำตอบ เพราะเห็ดนั้นมีสรรพคุณเสริมภูมิคุ้มกันได้
แต่ที่ต้องย้ำให้รู้คือ ห้ามกินเห็ดสดๆ เด็ดขาด ต้องนำมาทำให้สุกก่อนทุกครั้ง และเห็ดมีทั้งชนิดที่กินได้และชนิดที่มีพิษ (ห้ามกิน) จึงต้องรู้จักเห็ดอย่างดีก่อนนำมาปรุงกินเพื่อประโยชน์ทั้งอาหารและยา

คำถามที่ ๓
น้ำมะนาวล้างไตใช่หรือไม่?

ข้อนี้ดูง่ายๆ หรือหมูๆ กว่าข้ออื่น แต่ผู้ที่ตอบคำถามนี้ก็ได้ผลชนะกันไม่ขาด
คือ มีผู้ตอบถูกคิดเป็นร้อยละ ๕๖ ยังมีคนเข้าใจผิดถึงร้อยละ ๔๔ ซึ่งไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะเชื่อในข่าวสารทางการแชร์กันมาก และนึกไปว่ารสเปรี้ยวของมะนาวคงไปช่วยล้างไต ซึ่งไม่เป็นความจริง มะนาวมีสารซิเตรตสามารถป้องกันการเกิดนิ่วบางชนิด แต่น้ำมะนาวไม่ได้ช่วยในการล้างไต

มะนาวมีประโยชน์ด้านสมุนไพรมากมาย สรรพคุณเด่นสุด คือ เป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ

วิธีปรุงน้ำมะนาวให้เป็นยาสมุนไพรง่ายที่สุดคือ การคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาล และแต่งรสด้วยเกลือเล็กน้อย ใช้วิธีจิบน้ำมะนาวทีละน้อย เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์บริเวณคอเพื่อลดอาการไอและเจ็บคอ

น้ำมะนาวมีวิตามินซีและมีกรดซิตริกตามธรรมชาติ ซึ่งให้ทั้งความเปรี้ยวและออกฤทธิ์ช่วยให้อารมณ์แจ่มใส คลายเครียด ช่วยแก้ความอ่อนล้าอ่อนเพลีย หากท่านกำลังอยู่ในอาการเหนื่อยล้าหรือต้องการความสดชื่น หรืออากาศร้อนๆ ในเวลานี้ถ้าได้ดื่มน้ำมะนาวเย็นๆ สักแก้วจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นแน่นอน

คำถามที่ ๔
กินใบย่านาง แก้เข่าเสื่อมใช่หรือไม่?

ย่านางเป็นอาหารที่กินกันทั่วไป จึงช่วยให้มีผู้ตอบถูกมาก คิดเป็นร้อยละ ๖๔ และตอบผิดร้อยละ ๓๖ แต่ก็ยังเข้าใจผิดถึงประมาณ ๑ ใน ๓  จึงขอให้ความรู้เพิ่มเติมว่า โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของขาหรือเข่าผิดรูป น้ำหนักตัวมาก ใช้ข้อเข่าหักโหม และซ้ำๆ เช่น งอเข่ามากเกินไป การคุกเข่า หรือนั่งยองๆ เป็นเวลานาน ฯลฯ

ย่านาง เป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ใบย่านางมีวิตามินเอ และวิตามินซีสูง ยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน และไนอะซีน

ย่านาง เป็นยาเย็น มีสรรพคุณโดดเด่น เกี่ยวกับการดับพิษและลดไข้ หรือลดความร้อนในร่างกาย รากย่านางเป็นยาสำคัญตัวหนึ่งในกลุ่มยา ๕ ราก ที่เป็นยาตำรับโบราณคู่บ้านคู่เมืองไทย ใช้สำหรับแก้ไข้ทั้งปวง ประกอบด้วยรากย่านาง รากคนทา รากมะเดื่อชุมพร รากชิงชี่ และรากเท้ายายม่อม แต่เนื่องจากย่านางเป็นพืชผักที่หาง่ายในตลาดสด จึงนิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรตัวเดี่ยวเพื่อแก้ไข้

คำถามที่ ๕
ว่านชักมดลูกตัวผู้หรือตัวเมีย? ที่ใช้แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยมดลูกเข้าอู่เร็ว


ว่านชักมดลูกเป็นสมุนไพรยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง ก็นึกว่าคนทั่วไปจะตอบถูกสักร้อยละ ๘๐ แต่กลายเป็นว่า มีผู้ตอบถูกร้อยละ ๖๒ เท่านั้น และตอบผิดร้อยละ ๓๗ คงเพราะคนทั่วไปไม่รู้ว่าว่านชักมดลูกมีชนิดตัวผู้และตัวเมีย

ว่านชักมดลูกตัวผู้ ไม่มีสรรพคุณแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติและมดลูกเข้าอู่เร็ว แต่ควรจำไว้ว่า ว่านชักมดลูกตัวผู้มีพิษต่อตับ ไต ม้าม และที่วางขายในท้องตลาด พบว่ามีการใช้ทั้งตัวผู้และตัวเมียปะปนกันจึงต้องระวัง และควรเลือกผู้ผลิตที่วางใจได้จริง ๆ ไม่นำสมุนไพรผิดชนิดมาใช้

ว่านชักมดลูกตัวเมีย (Curcuma comosa) มีสรรพคุณรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ตกขาว ช่วยขับน้ำคาวปลา นอกจากนี้นักวิจัยยังพบอีกว่า ว่านชักมดลูกตัวเมียมีสารสำคัญ คือ กลุ่มไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง สรุปได้ว่า ว่านชักมดลูกตัวเมียเป็นฮอร์โมนธรรมชาติจากพืชช่วยดูแลสุขภาพของสตรี ช่วยชะลอความเสื่อม ป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ จากความเสื่อมของร่างกาย และมีความปลอดภัยเป็นอย่างดี

คำถามที่ ๖ เก็บไว้เล่าคราวหน้า เฉพาะ ๕ คำถามนี้มิตรรักแฟนสมุนไพรตอบถูกหรือผิดไปกี่ข้อ ผลการสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นเบื้องต้นว่า ท่ามกลางกระแสตื่นตัวการใช้สมุนไพร แต่คนจำนวนมากยังมีความรู้หรือเข้าใจสมุนไพรไม่ถูกต้องมากมายด้วย ต้องมาช่วยกันเรียนรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์สมุนไพรให้ถูกต้อง
 ... มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 25 เมษายน 2562 16:17:13 »

.



สมุนไพร ที่ผู้หญิงครึ่งโลกต้องการ  

การคงความเป็นหนุ่มสาวนั้นเป็นความใฝ่ฝันของคนทั่วโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

มีตำนานและความเชื่อมากมายที่จะทำให้ร่างกายกลับคืนคงความหนุ่มสาว อายุยืนยาวในทุกชนชาติ ตั้งแต่น้ำพุแห่งความหนุ่มสาว จอกศักดิ์สิทธิ์ ยาอายุวัฒนะ พลังจักระของอินเดีย เป็นต้น

การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านก็มีตำรับยาอายุวัฒนะมากมาย

การคงความหนุ่มสาวนั้น การแพทย์แผนปัจจุบันเชื่อว่า เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายที่สำคัญคือเอสโตรเจนในผู้หญิง และเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย เมื่อฮอร์โมนเหล่านี้ลดน้อยลงหรือหมดไป ร่างกายจะเข้าสู่ความชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น กล้ามเนื้อลีบลง ผมร่วง กระดูกบางไขมันในเลือดสูง เกิดโรคหัวใจหลอดเลือด ฯลฯ

ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็วในช่วง ๔-๕ ปีหลังหมดประจำเดือน

บางรายต้องใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์เพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์เปลี่ยนแปลง กระดูกบาง แต่ก็มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนสังเคราะห์ จึงมีการหาฮอร์โมนทดแทนที่ได้จากธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัย และได้ผลเหมือนฮอร์โมนจากร่างกายมากที่สุด


สมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก คือว่านชักมดลูกตัวเมียกับฮอร์โมนเพศหญิงธรรมชาติ ข้อมูลจากสำนักข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับว่านชักมดลูกตัวเมีย (Curcuma comosa) ว่า สรรพคุณตามตำรายาไทย มีการใช้เหง้าว่านชักมดลูกรักษาอาการของสตรี เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร และไส้เลื่อน

ซึ่งจากภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้ นักวิจัยไทยได้ทำการวิจัยในหนูทดลอง พบว่าว่านชักมดลูกตัวเมียมีสารสำคัญคือกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน (สารที่ได้จากพืชในธรรมชาติที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน) ซึ่งมีศักยภาพในการรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมและความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย

นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี ต้านการอักเสบซึ่งเป็นผลดีกับโรคในระบบประสาท รักษาและซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจ กระตุ้นการหลั่งน้ำดี ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ยังพบสารช่วยลำเลียงไขมันออกจากเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าไปในตับ และเสริมให้เกิดการขับคอเลสเตอรอลและกรดน้ำดีสู่ทางเดินอาหารและออกจากร่างกายพร้อมอุจจาระ ว่านชักมดลูกตัวเมียยังช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรงป้องกันเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขาดความยืดหยุ่น ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ รักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกได้เท่ากับกลุ่มหนูที่กินเอสโตรเจน ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
ป้องกันโรคสมองเสื่อมในหนูทดลอง

ข้อมูลการใช้ว่านชักมดลูกในประเทศไทย พบว่าว่านชักมดลูกเป็นสมุนไพรในตระกูลขมิ้น ในตำรายาไทยใช้รักษาอาการของสตรี แก้มดลูกพิการ ทำให้มดลูกเข้าอู่ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ

ปัจจุบันมีการนำว่านชักมดลูกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายกันอย่างกว้างขวาง

จึงทำให้ ศ.ดร.ภาวิณี ปิยะจตุรวัฒน์ ทำการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชและพิษวิทยา พบว่าว่านชักมดลูกที่ขายในท้องตลาดนั้นมีการปะปนกันทั้งตัวเมียและตัวผู้ ว่านชักมดลูกตัวผู้ จะมีพิษต่อตับ ไต ม้าม แถมยังไม่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือมีน้อยมากอีกด้วย

ว่านชักมดลูกตัวผู้ (Curcuma latifolia) มีลักษณะต่างจากตัวเมียเล็กน้อย หัวจะกลมแป้นกว่า แขนงข้างจะยาวกว่า แต่ผู้ปลูกมักจะตัดหรือหักแขนงข้างออกเพื่อนำไปปลูก ทำให้แยกตัวผู้ตัวเมียไม่ออก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงพยาบาลของรัฐที่เคยส่งเสริมต้องเลิกทำการผลิตยาว่านชักมดลูกสำหรับสตรีหมดประจำเดือน เพราะหาแหล่งวัตถุดิบที่ถูกต้องไม่ค่อยได้

ดีที่ในเวลานี้ทางมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรร่วมมือกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการเพาะเนื้อเยื่อว่านชักมดลูกตัวเมีย ได้ทดลองปลูกไปจนขยายพันธุ์ในพื้นที่ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา มานานร่วม ๑๐ ปี จนเป็นแหล่งปลูกและขยายพันธุ์ว่านชักมดลูกตัวเมียมากที่สุดของประเทศไทย

แล้วด้วยความพอดีที่ประธานมูลนิธิสุขภาพไทยมีที่ดินอยู่ละแวกนั้น จึงได้ร่วมขอพันธุ์ว่านชักมดลูกทำการปลูกตามประสาคนชอบปลูกดอกไม้ ต้นไม้ ทำไปทำมาหลายปีจึงแบ่งวัตถุดิบมาให้สถานที่ผลิตยาของมูลนิธิสุขภาพไทยผลิตออกมาเผยแพร่
 
ว่านชักมดลูกตัวเมียเป็นฮอร์โมนธรรมชาติจากพืช มีศักยภาพในการรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง ช่วยชะลอความเสื่อม และป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมเนื่องจากการสูงวัย มีความปลอดภัยเพราะมีการใช้กันมายาวนาน

สุขภาพหญิงวัยทองกว่า ๑,๐๐๐ ล้านคนทั่วโลกยังคงแสวงหาสมุนไพรจากธรรมชาติ ว่านชักมดลูกตัวเมียเป็นสมุนไพรธรรมดาๆ ปลูกง่าย ใช้เป็นยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิตซับซ้อน จึงมีราคาไม่แพง ผู้หญิงทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก จะปลูกและใช้เพื่อการพึ่งตนเองของชุมชนก็ได้ จะพัฒนาเป็นเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชนก็ได้อีกด้วย

สนใจศึกษาข้อมูลลึกซึ้งสอบถามสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หากสนใจถามการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพว่านชักมดลูก
 มติชนสุดสัปดาห์




‘ย่างไฟ’ ใจกลางกรุง  

การย่างไฟ เป็นความรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพที่พบได้ในชุมชนภาคอีสานของไทย

จากการเก็บความรู้ของเครือข่ายหมอพื้นบ้านอีสาน ๗ จังหวัดร่วมกับมูลนิธิสุขภาพไทยตั้งแต่ ๑๐ กว่าปีก่อน พบว่าการย่างไฟ คือกระบวนการรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ช่วยให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนดี ช่วยให้หายไวขึ้น และป้องกันเลือดตกในหรือเลือดคั่งค้าง

ซึ่งในสังคมเกษตรกรรมแบบเดิม ชาวบ้านที่ตกต้นไม้ ถูกชนจากสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ฯลฯ ก็จะนำผู้ป่วยมาทำการย่างไฟ แต่ในปัจจุบันคนที่ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือจักรยานยนต์ก็ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้บำบัดรักษาได้เช่นกัน

เมื่อมีความรู้ดีๆ จากชุมชนอยู่กับมูลนิธิสุขภาพไทยก็เลยได้นำมาใช้ประโยชน์ เหตุการณ์ประมาณกลางเดือนธันวาคมปีกลาย เจ้าหน้าที่มูลนิธิท่านหนึ่งประสบอุบัติเหตุรถชนกัน ยังดีมีแต่คนเจ็บ ไม่มีใครเสียชีวิต อาการบาดเจ็บจากแรงกระแทกไปถึงหน้าอก รวมทั้งอาการฟกช้ำตามร่างกาย เช่น หัวไหล่ สะโพก ขาหนีบ หน้าขา หน้าแข้ง ก็ค่อยๆ ปวดระบมในวันหลังเกิดเหตุ

ก่อนวันสิ้นปี น้องๆ ในสำนักงานจึงนำเสนอแพ็กเกจ “ย่างไฟ” ขึ้นที่สำนักงานมูลนิธิ ยกภูมิปัญญาอีสานมาไว้กลางเมืองหลวง

 
กระบวนการย่างไฟนั้นควรทำในตอนกลางวัน ในพื้นที่โล่งใต้ร่มไม้หรือชายคา อุปกรณ์สำคัญคือแคร่ไม้ไผ่ให้คนเจ็บได้นอน

ที่สำนักงานมูลนิธิไม่มีแคร่จึงประยุกต์ใช้ม้านั่งยาวยกมาใช้ ซึ่งมีลักษณะต้องตามตำราคือ เป็นไม้ซีกๆ เพื่อให้ความร้อนผ่านถึงได้ (ถ้าเป็นแคร่ก็ควรมีร่องห่างให้ความร้อนผ่านได้)

สูตรสมุนไพรของหมอพื้นบ้าน ซึ่งเคยรวบรวมไว้มีถึง ๘ ตำรับ มาจากหมอพื้นบ้านในภาคอีสาน เช่น มหาสารคาม อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ และสุรินทร์ เป็นต้น  ขอยกตัวอย่างสัก ๒ ตำรับ คือ ๑ ตำรับบ้านเชียงเหียน ต.เขวา อ.เมือง จ.มหาสารคาม ตัวยาได้แก่ ใบและยอดเปล้าน้อย ใบและยอดหนาด ใบและยอดมะขามเปรี้ยว ตะไคร้หอมใช้ทั้งต้น ไพล (ใช้ทั้งต้นหรือใช้เฉพาะหัวก็ได้) ขมิ้นชัน (ใช้ทั้งต้นหรือใช้เฉพาะหัวก็ได้) ต้นเหมือดแอ๋ (ใบและยอด) ใบพลับพลึง สมุนไพรทั้งหมดนี้นำมาอย่างละเท่าๆ กัน และนำข้าวเปลือก (ทางอีสานจะหาข้าวเหนียวได้ง่ายก็ใช้ข้าวเปลือกข้าวเหนียว) ๒๐ ลิตร หรือประมาณ ๑ ถัง

ตำรับที่ ๒ จากหมอพื้นบ้านอำเภอเขาวง จ.กาฬสินธุ์ มีตัวยาคือ ใบเปล้าใหญ่ ใบเปล้าน้อย ใบหนาด ใบละหุ่ง ใบมะขามเปรี้ยว ใบพลับพลึง ตะไคร้หอมใช้ทั้งต้น เถาเอ็นอ่อน (ใช้ทั้งเถา ใบและยอดด้วยก็ได้) เปลือกต้นแดง (ทุบให้แตก) หัวไพล และข้าวเปลือกข้าวเหนียวเช่นกัน

วิธีการใช้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรตำรับไหนก็จะทำคล้ายๆ กันคือ นำสมุนไพรทั้งหมดมาในอัตราส่วนเท่าๆ กัน เช่น อย่างละ ๑ กิโลกรัม นำมาสับหรือหั่นให้เป็นชิ้นๆ แล้วคลุกเคล้า  เวลาผสมกันให้ใส่ข้าวเปลือกลงไปผสมด้วย

ขั้นตอนการย่างไฟ เตรียมแคร่ เตรียมสมุนไพร ก่อไฟ ถ้าทำในชุมชนมักจะใช้ฟืนจากไม้สมุนไพร เช่น มะขามป้อม ขี้เหล็ก สะแกนา มะขาม ซึ่งเป็นไม้ที่ให้ไฟร้อนสม่ำเสมอ แล้วหาแผ่นสังกะสียาววางไว้ใต้แคร่ เพื่อนำเอาฟืนติดไฟหรือถ่านเกลี่ยให้ทั่วสังกะสีให้ความร้อนส่งไปทั่วแคร่นั่นเอง แต่ทางมูลนิธิประยุกต์เพราะไม่มีแผ่นสังกะสี ใช้เตาถ่าน ๓ ใบ จึงก่อไฟด้วยถ่านไร้ควัน วางเตาเว้นระยะตั้งแต่หน้าอกถึงเท้า  จากนั้นวางสมุนไพรที่สับเป็นชิ้นๆ ลงบนแคร่ให้ทั่ว แล้ววางผ้าหรือเสื่อทับลงไปที่สมุนไพรต่างๆ  

ขอแนะนำเสื่อที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เสื่อกก ไม่ควรใช้เสื่อพลาสติก แล้วต้องพรมน้ำให้ชุ่มเสื่อ ความชื้นจะเป็นตัวนำความร้อนและสมุนไพรมาสัมผัสผิวของผู้ป่วย ก่อนทำการย่างไฟ ภูมิปัญญาดั้งเดิมให้ผู้ย่างดื่มเหล้าขาวผสมน้ำตาลทรายแดง กินไม่มากนะ แค่ถ้วยเล็กๆ ประมาณ ๓๐-๔๐ ซีซีเท่านั้น เพื่อให้เลือดลมในร่างกายหมุนเวียน เป็นการปรับธาตุร่างกาย และเป็นยาดั้งเดิมที่ใช้แก้อาการช้ำในด้วย บางคนที่ไม่ดื่มสุราจะไม่กินก็ได้

ก่อนการย่างควรอาบน้ำอุ่นหรือน้ำต้มใบมะขามและใบหนาด แต่ถ้าผู้ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลต้องระวังอย่าให้น้ำถูกแผลจะทำให้แผลแห้งช้า

หลังอาบน้ำควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อการระบายอากาศ  ให้นอนบนเสื่อบนแคร่ แล้วหาผ้าห่มหรือผ้าคลุมตั้งแต่คอถึงเท้า

ในชุมชนอีสานจะใช้ผ้าย้อมครามผืนใหญ่มาห่มคลุม เพราะผ้าครามช่วยระบายความร้อนได้ดี ไม่ทำให้ผู้ย่างไฟอึดอัด
 
การนอนย่างไฟควรให้มีคนเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา เพื่อประเมินความร้อนว่ามากหรือน้อยไป หากมากไปจะเกิดผิวหนังพองได้ แต่ถ้าไม่ร้อนเลย สรรพคุณสมุนไพรก็ไม่ส่งผลต่อผู้ย่างไฟนั่นเอง

การเฝ้าดูนี้ยังช่วยในการพรมน้ำที่เสื่อให้ชุ่มอยู่เสมอเป็นการช่วยกระจายความร้อนด้วย

การย่างไฟในชุมชนจึงเป็นสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวรวมไปถึงเพื่อนบ้านที่มาช่วยกัน  ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยถึงผู้ประสบอุบัติเหตุ  นอกจากนี้หมอพื้นบ้านยังทำพิธีสู่ขวัญหรือช้อนขวัญหรือการสะเดาะเคราะห์ให้ด้วย ซึ่งวิถีเป็นวัฒนธรรมสุขภาพแบบองค์รวมที่รักษากายและใจไปพร้อมกัน

ที่กลางกรุงเมืองหลวง ชาวมูลนิธิสุขภาพไทยหลายคนรับเอาภูมิปัญญาดั้งเดิมอันงดงาม แสดงความห่วงใยจึงจัดทำการย่างไฟให้ถึง ๓ รอบ แม้ว่าจะหาสมุนไพรได้ไม่ครบสูตร แต่ก็ได้สมุนไพรใกล้ตัวสำคัญๆ คือไปเด็ดใบมะขามจากสวนหน้าสำนักงาน เก็บใบพลับพลึงมาจากบ้าน และไปตลาดซื้อเพียงหัวขมิ้นชัน หัวไพล และต้นตะไคร้ รวม ๕ ชนิดก็ได้สรรพคุณดีและมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ช่วยบรรเทาอาการเจ็บระบมของผู้รับอุบัติเหตุได้อย่างดี
 มติชนสุดสัปดาห์




ส้มป่อย สมุนไพรมหามงคล  

ในประเพณีสิบสองเดือนของไทยนั้น กล่าวได้ว่าวันมหาสงกรานต์เป็นเทศกาลรื่นเริงที่สืบทอดมายาวนานและเป็นที่นิยมของมหาชนมากที่สุด แม้รัฐบาลยุคมาลานำไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเปลี่ยนวันปีใหม่ตามอย่างฝรั่งมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๓ แล้ว

แต่ตรุษไทยก็ยังคึกคักกว่าตรุษฝรั่งหรือยิ่งกว่าตรุษจีนเสียอีก ทั้งนี้เพราะวันมหาสงกรานต์มีตำนานเล่าขาน และความเชื่อดึกดำบรรพ์ที่ผูกพันเป็นประเพณีชีวิตชาวไทยมานานนับพันปีไม่มีเสื่อมคลาย

และยังมีสมุนไพรตัวหนึ่งที่สร้างสีสันในตำนานตรุษไทย

นั่นคือ ส้มป่อย (ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia concinna (Willd.) DC. )

ส้ม หมายถึงรสเปรี้ยว  ป่อย หมายถึง ประเพณี  ซึ่งชื่อนี้ก็บ่งบอกความสำคัญของสมุนไพรชนิดนี้ว่า เป็นสิ่งรสเปรี้ยวที่เกี่ยวกับประเพณี
 
เนื่องจากเทศกาลตรุษไทยไม่เหมือนตรุษชาติอื่น ตรงที่มีมิติโหราศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเศรษฐกิจ และชะตาของบ้านเมืองในคราวขึ้นศักราชใหม่  ซึ่งบางปีก็ดี บางปีก็ไม่ดีนัก  อย่างปีนี้เถลิงศกใหม่ปีกุนราศีมีนยกขึ้นสู่ราศีเมษในวันอาทิตย์ นางมหาสงกรานต์ประจำวันนี้ชื่อ ทุงสะเทวี ขี่ครุฑถือจักรสังข์มาอย่างน่าเกรงขาม ท่านว่าปีนี้ผลผลิตข้าวไม่สู้ดีนัก และจะเกิดเหตุจลาจล ถึงขั้นยุทธสงครามในบ้านเมือง ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่การจราจรนั้นเกิดจลาจลแน่ๆ ในช่วงสัปดาห์สงกรานต์ ซึ่งจะมียอดคนบาดเจ็บ เสียชีวิตเป็นจำนวนมากยิ่งกว่าสงครามกลางเมืองเสียอีก

เคล็ดลับหนึ่งในการชำระล้างอัปมงคล ให้กลับร้ายกลายเป็นดี ก็คือการสรงน้ำพระพุทธรูป การรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ การปล่อยนกปล่อยปลา และการเล่นน้ำดับร้อนทั่วหล้า ส้มป่อยจึงเป็นสมุนไพรตัวเลือกอย่างหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มความศักดิ์สิทธิ์ให้น้ำมหาสงกรานต์ แต่ดั้งเดิมนั้น ส้มป่อยเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลปี๋ใหม่เมืองล้านนา น้ำที่ใช้ในการสรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่จะขาดสมุนไพรรสเปรี้ยวตัวนี้ไม่ได้เลย

ส่วนของส้มป่อยที่นิยมใช้ คือ ฝัก ถ้าได้ฝักส้มป่อยที่เก็บในวันพระใหญ่เดือนห้าที่แห้งคาต้นเลยก็ยิ่งดี โดยเลือกฝักที่มี ๗ ข้อ ใช้จำนวน ๗ ฝัก  นอกจากเป็นเคล็ดมงคลแล้ว ฝักสมบูรณ์ที่แห้งคาต้นเมื่อนำไปย่างไฟอ่อนๆ จนกรอบ จะมีกลิ่นหอมสะอาด จากนั้นหักเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่แช่น้ำจะได้กลิ่นเปรี้ยวหอมอบอวล เมื่อนำไปอาบ ดำหัว หรือทำน้ำมนต์ประพรม เชื่อว่า สามารถไล่เสนียดจัญไร ล้างอาถรรพ์ แก้คุณไสย ยาสั่ง ยาแฝด และยังช่วยเพิ่มพลังจิตวิญญาณ เสริมมงคลชีวิตให้สดใสตลอดทั้งปี

นอกจากใช้น้ำส้มป่อยอาบคนเป็นเพื่อความสุขสวัสดีแล้ว ยังใช้อาบน้ำคนตายเพื่อส่งวิญญาณไปสู่สุคติอีกด้วย
 
หากทำตามสูตรโบราณแท้ๆ น้ำส้มป่อยต้องผสมขมิ้นชัน จึงจะขลังยกกำลังสอง เพราะนักเลงว่านนับถือว่า หัวขมิ้นชัน เป็นว่านพญายาตัวหนึ่งที่ใช้ล้างคุณไสยที่ศัตรูกระทำ สูตรน้ำส้มป่อยตำรับนี้มีชื่อว่า “สุคันโธทกะ” (สุคันธะ = กลิ่นหอม, + อุทกะ = น้ำ) หรือ “น้ำหอม” นั่นเอง

สูตรดั้งเดิมประกอบด้วย ฝักส้มป่อยแห้งปิ้งไฟ หักแช่ในน้ำขมิ้นชันสด นอกจากนี้ยังมีดอกคำฝอย ลอยดอกไม้สดจำพวกมะลิ สารภี เพื่อเพิ่มความหอมจรุงใจ ให้สมชื่อว่าน้ำสุคนธ์หรือน้ำหอมอโรมาเทอราปี (Aromatherapy) ตำรับไทยโบราณขนานแท้

ในอดีตชนชั้นสูงนิยมใช้น้ำสุคนธ์เป็นทั้งน้ำหอมและน้ำเสริมสิริมงคล จนกลายเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ ดังคำกลอนของท่านสุนทรภู่ที่กล่าวอาลัยถึงพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๒ ว่า
 
“เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ  ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นกลิ่นสุคนธา           วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์”
 
สันนิษฐานว่า การที่ชาวล้านนาเลือกส้มป่อยเป็นไม้มงคลในเทศกาลตรุษไทย น่าจะมีอะไรที่มากกว่าความขลังในตำนาน

เพราะถ้าว่ากันตามตรง ต้นส้มป่อยเป็นพืชพรรณไม้หนามที่ไม่มีอะไรสะสวยน่าดูน่าชมเลย

แต่การที่คนโบราณท่านโปรโมตส้มป่อยให้เป็นสมุนไพรในวัฒนธรรม แสดงว่าต้องมีคุณประโยชน์อะไรที่จับต้องได้ เช่น สรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหาร

แปลกแต่จริง ใบส้มป่อยเป็นผักพื้นบ้านสีเขียว รสเปรี้ยว แต่กลับอุดมด้วยแคโรทีนหรือโปรวิตามิน A จากพืช ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ  ที่สำคัญคือ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงต้านโรค และต้านอนุมูลอิสระ

ทุกวันนี้ สารพัดเมนูอาหารล้านนา เป็นต้นว่า ต้มปลา ต้มเนื้อ ต้มขาหมู ต้มข่าไก่ก็ยังนิยมใส่ยอดใบส้มป่อยอ่อนๆ เพื่อดับคาวและให้รสเปรี้ยวละมุน

หรือเมนูพื้นๆ อย่างน้ำพริกอ่องใบส้มป่อย ใบอ่อนส้มป่อยสดจิ้มน้ำพริก ลาบ แจ่วก็ช่วยให้เจริญอาหารได้ไม่จำเจ หากมื้อไหนไม่มีเวลาบรรจง เพียงมีข้าวสวย ปลา ผัดกับยอดส้มป่อยแค่นี้ก็เป็นจานด่วนรสเลิศแล้ว

ส่วนสรรพคุณทางยาของส้มป่อย แม้จะดูพื้นๆ แต่ก็มีความสำคัญต่อสุขภาพชีวิตของชาวบ้านไกลปืนเที่ยง ห่างไกลหมอ โดยเฉพาะทางแถบป่าดงภาคเหนือในอดีตที่ชุกชุมด้วยไข้ป่าคร่าชีวิตคนนับหมื่น หากไม่มีน้ำต้มส้มป่อยดื่มแก้ไข้มาลาเรีย คงมีสถิติคนตายมากกว่านี้

ในปัจจุบันแม้ไข้ป่าหรือที่เรียกตามภาษาแพทย์แผนไทยว่า ไข้เหนือ จะสร่างซาไปแล้ว แต่ความสำคัญของส้มป่อยต่อสุขภาพของมหาชนยังมีอยู่เพียบ

สัปดาห์นี้ขอให้ได้น้ำส้มป่อยกลิ่นหอมบำรุงสุขภาพจิตใจ สร้างเสริมมงคลชีวิตรับขวัญปีใหม่ไทยกันถ้วนหน้า ฉบับหน้าเจาะลึกสรรพคุณใบและฝักส้มป่อยกัน
 



ที่ผ่านมาได้เล่าถึงส้มป่อย เป็นพืชสมุนไพรแห่งความเป็นสิริมงคล พืชศักดิ์สิทธิ์ หรือไม้ที่ช่วยขจัด ปลดปล่อยความโชคร้าย ไล่เคราะห์กรรมและความอัปมงคลให้ห่างไกลชีวิตของเรา จึงเป็นสมุนไพรที่ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะฤกษ์ยามดีขึ้นปีใหม่ไทยก็ต้องมีน้ำส้มป่อยประพรมให้สวัสดีมีชัยกันถ้วนหน้า

นอกจากนี้ ในความเชื่อของชาวล้านนา ส้มป่อยยังเป็นพืชที่ใช้ในพิธีกรรมการขอลดโทษหนักให้เบาบาง หรือขอให้สิ่งที่ผิดพลั้งไปให้กลับคืนมา ดังเช่นชาวเหนือจะเรียกผู้ที่ไปทำสิ่งไม่ดีว่า ไป “ขึด” จะทำให้คนคนนั้นพบกับความชั่วร้ายหรือสิ่งไม่ดีกับชีวิต หรือบางคนที่ทำผิดข้อห้ามของครูอาจารย์หรือบรรพบุรุษที่เรียกกันว่าผิดครูนั้น ชาวล้านนาจะให้ผู้นั้นอาบน้ำด้วยน้ำส้มป่อย เพื่อให้สิ่งไม่ดีลดหรือเบาบางลง หรือของขลังของดีในตัวที่จะเสื่อมไปเพราะการทำไม่ดีนั้นได้กลับคืนมาดังเดิม

นอกจากการใช้ประโยชน์ด้านพิธีกรรมแล้ว มากล่าวถึงสรรพคุณที่เจาะเฉพาะสรรพคุณของใบกับฝักส้มป่อย ดังนี้
 
นํ้าต้มยอดอ่อนหรือใบอ่อน ผสมน้ำผึ้ง ดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ รักษาไต สำหรับใบเพสลาดต้มน้ำดื่ม ขับระดูขาว ฟอกโลหิตระดูสตรีให้งาม หรือทั้งใบทั้งฝักต้มน้ำอาบสำหรับสตรีใกล้คลอดช่วยให้คลอดลูกง่าย หรือสำหรับสตรีหลังคลอดช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วแทนการอยู่ไฟได้ ช่วยรักษาผิวพรรณให้ผ่องใสมีน้ำมีนวล

หากคุณแม่สุขภาพดี คุณลูกก็พลอยแข็งแรงสมบูรณ์ไปด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำใบมาตำห่อผ้าทำลูกประคบคลายเส้นเอ็น แก้เคล็ดขัดยอก และแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
ฝัก เป็นส่วนที่นิยมใช้กันมากในด้านเป็นยาสระผมแก้รังแค บำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม แก้ผมร่วงแตกปลายและยังช่วยปลูกผมแก้ผมหงอกก่อนวัย เรียกได้ว่าเป็นแชมพูยาแผนไทยขนานแท้ เพราะฝักส้มป่อยมีสารซาโปนิน (Saponin) จำพวกอะคาซินิน เอ-บี (Acacinin A-B) สูงถึง 20.8% อันเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ของส้มป่อยว่า Acacia นั่นเอง

สารซาโปนินนี่เองเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดฟองที่คงทนถาวร เป็นทั้งแชมพูยาสำหรับสระผมและเป็นสบู่ยาชำระผิวพรรณให้สะอาดหมดจด ลบรอยฝ้ารอยด่างดำให้จางลง
ฝรั่งเองก็รู้จักคุณสมบัติข้อนี้ของฝักส้มป่อยเป็นอย่างดี จึงมีชื่อเรียกสามัญว่า Soap Pod หรือฝักสบู่นั่นเอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดน้ำต้มฝักส้มป่อยจึงเหมาะกับการใช้อาบและรดน้ำดำหัวในประเพณีสงกรานต์ของชาวเหนือ ซึ่งต้องยกย่องภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพชน ที่นำเอาสิ่งดีงามมาใช้ในเทศกาลมงคลเช่นนี้  แต่ยังมีสรรพคุณหลักของฝักส้มป่อยที่อินเทรนด์ กับปัญหาหมอกควันพิษในภาคเหนือ นั่นคือ สรรพคุณรักษาโรคทางเดินหายใจ ที่มีสาเหตุมาจากฝุ่นจิ๋ว  PM ๒.๕

วิธีทำน้ำยา ง่ายนิดเดียวคือ นำฝักส้มป่อยที่ปิ้งไฟพอหอมเหลือง แล้วหักผักเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับชงน้ำร้อน จิบชุ่มคอ ชื่นใจ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว จึงช่วยลดอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ต้องเผชิญกับหมอกควันได้

ถ้ากล่าวตามแบบฉบับตำรายาไทยดั้งเดิม ระบุสรรพคุณว่า

ใบ แก้โรคตา ชำระเมือกมันในลำไส้ ยาถ่ายเสมหะ ถ่ายระดูขาว แก้บิด ฟอกล้างโลหิตระดู ประคบให้เส้นเอ็นหย่อน

ใบ ยังนำมาใช้ในสูตรยาอบสมุนไพร มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยชะล้างสิ่งสกปรก รักษาโรคผิวหนัง บำรุงผิวพรรณ แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย และยังเป็นส่วนประกอบในยาลูกประคบสมุนไพร ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง หรือทำเป็นลูกประคบแก้เส้นตึงให้เส้นอ่อน

ในตำรับยากลางบ้าน ที่ผู้คนใช้กันสืบต่อมานั้น ก็จะนำใบอ่อน ต้มเอาน้ำผสมกับน้ำผึ้ง กินเป็นยาขับปัสสาวะ ฝักมีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ไข้จับสั่น และเมื่อนำฝักมาปิ้งไฟให้เหลือง นำมาชงน้ำ ใช้จิบแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว

วัฒนธรรมพื้นบ้านแต่เดิมที่ยังไม่มีแชมพูสระผม ก็ใช้น้ำฝักส้มป่อยสระผม ทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางาม ไม่มีรังแค ฝักยังนำมาตำพอกหรือชุบสำลีปิดแผลโรคผิวหนังด้วย
 
ปัจจุบันตำรายาในบัญชียาหลักแห่งชาติที่ประกาศให้ใช้บริการในหน่วยบริการสุขภาพต่างๆ นั้น ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร มีตำรับยาแผนไทยอยู่ตำรับหนึ่ง ชื่อ “ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง” ซึ่งมีส้มป่อยเป็นสมุนไพรร่วมด้วย

ตัวยาประกอบด้วย ดีเกลือฝรั่ง ยาดำ ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย ฝักคูน รากขี้กาแดง รากขี้กาขาว รากตองแตก ฝักส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู เถาวัลย์เปรียง ขี้เหล็ก หัวหอม หญ้าไทร ใบไผ่ป่า สรรพคุณ แก้อาการท้องผูก กรณีที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล

ต้นส้มป่อยเป็นพันธุ์ไม้หนามคล้ายต้นชะอม ทนแล้งจัดได้ แพร่พันธุ์ได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับเป็นยารักษามหาชนทั่วประเทศไทยไม่เฉพาะแต่ชาวเหนือเท่านั้น

ดังนั้น จึงสมควรที่ชาวไทยทุกภูมิภาค จะช่วยกันฟื้นฟูการใช้ส้มป่อย เป็นการสืบสานมรดกภูมิปัญญาสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
   มติชนสุดสัปดาห์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 เมษายน 2562 16:26:14 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 25 เมษายน 2562 16:28:22 »


บอน พืชพิษ กินได้แต่ต้องทำให้ถูกวิธี  

สัปดาห์ที่ผ่านมานำเสนอแม่ค้าข้าวแกงที่เข้าใจผิด นำเอาบอนซึ่งถือเป็นพืชพิษมาปรุงอาหารเพราะคิดว่าคือ อ้อดิบ หรือเรียกว่า คูน หรือ โหรา ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocasia gigantea (Blume) Hook. F. H.

จึงขอขยายความให้เข้าใจยิ่งขึ้น เนื่องจากการนำพืชพิษมาปรุงเป็นอาหารต้องมีความรู้หรือภูมิปัญญาการทำอาหาร และที่สำคัญยิ่งต้องมีจรรยาบรรณในการประกอบการ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ คิดว่าตนเองรู้ดีแต่ใช้พืชผิดชนิดจะทำให้ผู้บริโภคเป็นอันตรายได้

บอน จัดเป็นพืชพิษชนิดหนึ่ง ในเมืองไทยมีรายงานพืชในสกุลเดียวกับบอน จำนวน ๕ ชนิด คือ
๑) Colocasia esculenta (L.) Schott เรียกว่า เผือกหรือบอนหรือ Cocoyam, Taro
๒) Colocasia fallax Schott เรียกว่าตุนเขียว หรือ Dwarf taro, Silver leaf dwarf elephant ear
๓) Colocasia gigantea (Blume) Hook. F. H. เรียกว่าคูน หรือโหรา หรือออกดิบ
๔) Colocasia lihengiae C.L. Long & K. M. Liu เรียกว่าบอนยูนนาน เป็นพืชนำเข้ามาจากต่างประเทศ
และ ๕) Colocasia menglaensis J.T. Yin & Z. F. Xu เรียกว่าบอนเมงลา
 
บอนที่มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Elephant ear, Cocoyam, Dasheen, Eddoe, Japanese taro, Taro มีชื่อพื้นเมืองไทยว่า ตุน (เชียงใหม่) บอนหอม (ภาคเหนือ), บอนจืด (ภาคอีสาน), บอนเขียว บอนจีนดำ (ภาคกลาง), บอนท่า บอนน้ำ (ภาคใต้), คึ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ขื่อที้พ้อ ขือท่อซู่คึทีโบ คูชี้บ้อง คูไทย ทีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), กลาดีไอย์ (มาเลย์-นราธิวาส) กลาดีกุบุเฮง (มาเลย์-ยะลา) เผือก บอน (ทั่วไป) เป็นต้น

ในทางพฤกษศาสตร์ บอนและเผือก เป็นพืชชนิดเดียวกัน บอนเป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Araceae อวบน้ำ ชอบขึ้นบนดินโคลนหรือบริเวณที่มีน้ำขัง มีหัวใต้ดิน ใบรูปไข่แกมรูปหัวใจ ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบเว้าลึกรูปสามเหลี่ยม ก้านใบสีเขียวหรือออกม่วง ดอก สีครีมหรือเหลืองนวล ออกเป็นช่อ ดอกตัวผู้อยู่ตอนบน ดอก ตัวเมียอยู่ตอนล่าง ก้านช่อสั้นกว่าก้านใบ มีใบประดับสีเหลืองรองรับ ผลสด รูปขอบขนาน เมล็ด ขนาดเล็กจำนวนมาก พบได้ทุกภาคของไทย

เผือกและบอน มีชื่ออย่างเดียวกันแต่มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันบางประการ คือ เผือกจะมีก้านใบและเส้นใบเป็นสีม่วง ลงหัวเป็นหัวเผือก ส่วนบอนมีสีเขียวทุกส่วนของลำต้น มีการลงหัวบ้าง ไม่ลงหัวบ้าง

ก้านใบของบอนและเผือกนำมาแกงกินได้ แต่ต้องกำจัดส่วนที่เป็นพิษออกก่อน โดยการนำมาต้ม ถ้าเป็นก้านเผือก ต้มประมาณ ๑๕ นาที พิษก็จะกำจัดออกไปหมด แต่ถ้าเป็นบอนต้องต้มไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นนำมาใช้ทำอาหารประเภทต้ม เช่น แกงส้ม แกงกะทิ แกงบอน เป็นต้น

ส่วนของไหลและหัวใต้ดินนำมาลวกหรือต้มรับประทานเป็นอาหารได้ ส่วนใบอ่อนและก้านใบอ่อนนำมาลอกเปลือกออก ใช้จิ้มน้ำพริกกินได้แต่ต้องทำให้สุกก่อนจึงจะไม่คัน

โดยนำมาต้ม ๒-๓ ครั้ง แล้วคั้นเอาน้ำทิ้งหรือนำไปเผาไฟก่อนนำมาใช้ปรุงอาหาร เวลาปอกเปลือกควรสวมถุงมือและสับเป็นท่อนๆ ก่อนนำไปต้ม เพราะพิษที่ถูกผิวหนังจะทำให้คันมาก

ถ้าไม่ใส่ถุงมือ ภูมิปัญญาโบราณให้ทามือด้วยปูนแดงที่กินกับหมากให้ทั่วทั้งมือก่อนสัมผัส นอกจากนี้ก้านบอนยังนำมาดองเพื่อกินได้อีกด้วย
 
วิธีการเลือกบอนมาเป็นอาหาร ให้เลือกใช้ต้นอ่อนพันธุ์สีเขียวสดและไม่มีสีขาวนวลเคลือบอยู่ตามแผ่นใบและก้านใบ โดยบอนสีเขียวสดจะเรียกว่า “บอนหวาน” (ชนิดคันน้อย) ส่วนชนิดที่มีสีซีดกว่าและมีสีขาวนวลกว่าจะเรียกว่า “บอนคัน” (ชนิดคันมาก)

ส่วนที่นำมาใช้แกง คือ หลี่บอน เป็นยอดอ่อนหรือใบอ่อนของบอนที่อยู่ใกล้กับโคนต้นหรือจะนำไปปรุงกับเครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะขามเปียก มะดัน ส้มป่อย น้ำมะกรูด เป็นต้น

หรือจะนำมาขยำกับเกลือเพื่อให้ยางบอนออกมากที่สุด เพื่อช่วยดับพิษคันหรือช่วยทำลายผลึกของแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ที่มีอยู่มากในต้นบอน

บางคนใช้วิธีการนึ่งบอนแต่ต้องนึ่งให้สุก โดยลองจับดูแล้วมีลักษณะนิ่มจนเละ เพราะถ้าบอนไม่สุกเมื่อกินจะทำให้เกิดอาการระคายคอ และการปรุงแกงบอน ควรใช้น้ำมะขามเปียกหรือน้ำส้มป่อยก็ได้

หากสัมผัสลำต้นหรือยางจากบอนจะทำให้เกิดอาการคันและปวดแสบปวดร้อนได้ ต่อมาจะเกิดอาการอักเสบ บวมและพองเป็นตุ่มใส หากนำมาเคี้ยวหรือรับประทานสดจะทำให้เกิดอาการคันคออย่างรุนแรง เนื่องจากผลึกของแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ทำให้น้ำลายไหลออกมามาก ทำให้ลิ้น ปาก เพดาน และใบหน้าบวมจนทำให้พูดได้ลำบาก

หากมีอาการเป็นพิษรุนแรงจะทำให้พูดไม่ได้ ลิ้นหนัก คันปาก ลำคอบวมและอักเสบอย่างรุนแรง จึงต้องระมัดระวัง
 
ประโยชน์ด้านสมุนไพร สำหรับหมอยาไทยที่มีความรู้และลดพิษจากบอนจึงสามารถปรุงยา เช่น หัวใช้เป็นยาระบาย ห้ามเลือด น้ำคั้นจากก้านใบใช้เป็นยานวด แก้ฟกช้ำ ลำต้นบดใช้พอกแผลรวมทั้งแผลจากงูกัด ชาวเขาเผ่ามูเซอ เย้า ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย เจ็บคอ เสียงแหบ ตำรายาไทยใช้ ไหล ตำผสมเหง้าขมิ้นอ้อย ขี้วัว กะปิ และเหล้าโรงเล็กน้อย พอกฝีมะตอย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา มีการศึกษาในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดจากใบบอนแห้งด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อหนอง มีเส้นใยช่วยในการดูดซับสารก่อกลายพันธุ์ สารสกัดจากรากบอนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก หัวใต้ดินของต้นบอนมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต น้ำจากก้านใบมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้นและทำให้เลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ได้รับยานั้นมากขึ้น แต่การศึกษาเหล่านี้ยังอยู่ในระดับห้องทดลองยังจำเป็นต้องศึกษาวิจัยต่อไป

บางพื้นที่นำใบบอนมาต้มให้หมูกินหรือนำมาสับผสมเป็นอาหารหมู

ที่น่าติดตามข้อมูลเพิ่มเติม คือ มีกลุ่มชาวบ้านตัดก้านบอนมาลอกเปลือกตากแห้งแล้วส่งขายต่างประเทศสร้างรายได้จากพืชพิษได้ด้วย

ใบบอนให้รูปทรงความสวยงามปลูกเป็นไม้ประดับได้ และพืชพิษยังปลูกไว้ช่วยรักษาริมตลิ่งของแม่น้ำลำคลองไม่ให้ถูกกัดเซาะได้อีกด้วย บอนพืชพิษใช้ให้ถูกวิธีมีประโยชน์หลายด้านอย่ามองข้าม
 มติชนสุดสัปดาห์



ผักยืนต้น คนกินสุขภาพดี คนปลูกให้โลกร่มเย็น    

ผักยืนต้นคืออะไร

คนทั่วไปอาจจะสับสนเพราะผักที่เรารู้จักและกินกันอยู่ทุกนี้ ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น และน่าจะนึกไม่ถึงว่าในความเป็นจริง

พืชผักที่เรากินกันอยู่ในทุกวันนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ มาจากไม้ยืนต้น หรือเรียกว่า ผักยืนต้นทั้งที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ถ้ารวมไม้พุ่มและไม้เลื้อยที่มีเถาขนาดใหญ่เข้าไปด้วยก็น่าจะมากถึงร้อยละ ๕๐ เลยทีเดียว

จากการศึกษาของนักศึกษาปริญญาเอกชาวเยอรมัน ที่มาทำการสำรวจพืชผักกินได้ในจังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าถิ่นอีสานในเมืองกาฬสินธุ์มีผักยืนต้นถึง ๓๔๘ ชนิด

ตามภูมิปัญญาอีสานกล่าวไว้ว่า “กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินปลาเป็นอาหาร”

ซึ่งอธิบายได้ว่า การกินข้าวเป็นหลักเนื่องจากข้าวเป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด (โดยเฉพาะกินข้าวกล้องยิ่งดี) เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ดีจากการกินข้าว แต่ในปัจจุบันมีสื่อหลายแหล่งกล่าวอ้างว่า คนที่เป็นเบาหวานไม่ควรกินข้าวเหนียว น่าจะเป็นข้อมูลไม่ครบถ้วนและไม่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เนื่องจากคนไทยโดยเฉพาะภาคอีสานและเหนือกินข้าวเหนียวมานานนับเป็นพันปี

หากมีปัญหาเบาหวาน น่าจะรู้จักกินในปริมาณที่เหมาะเพื่อให้ได้แป้งเข้าสู่ร่างกายที่พอดี และควรมีการออกกำลังหรือทำงานที่มีการใช้แรงสม่ำเสมอ มิใช่ให้เลิกกินข้าวเหนียว
 
กินผักเป็นยา มีความหมายว่ากินผักจะช่วยทำให้เกิดสมดุลของธาตุในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยง่าย ปัจจุบันมีงานวิจัยต่างๆ ยืนยันได้ว่าในผักต่างๆ มีวิตามินแร่ธาตุมากมาย มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก มีสารที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย พืชผักช่วยขับถ่ายช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย กินผักมีแต่ประโยชน์ต่อร่างกาย

การกินปลาเป็นอาหาร หมายถึงการได้รับสารโปรตีน เพื่อการเสริมสร้างและใช้ในการซ่อมแซมบำรุงให้ร่างกายปกติดี และโปรตีนจากปลาเป็นโปรตีนที่ส่งเสริมสุขภาพมากกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นๆ

การกินผักให้เกิดประโยชน์นั้น มีข้อมูลศึกษาไว้มากมายพอจะสรุปได้ ๒ แนวทาง คือ

กินตามฤดูกาล เพราะผักที่เจริญได้ดีในแต่ละฤดูกาลก็เพราะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อเรากินผักที่ตรงกับฤดูกาลเหมือนธรรมชาติสร้างให้มา เพื่อให้เรากินปรับสมดุลของร่างกายเรานั่นเอง

ในแต่ละฤดูกาลธาตุในร่างกายของเรามักจะแปรเปลี่ยนไปไม่สมดุล ก็ควรกินผักปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย เช่น ในช่วงฤดูร้อน (กุมภาพันธ์-พฤษภาคม) ความร้อนของฤดูกาลทำให้ธาตุไฟกำเริบ มีผลไปกระทบกับธาตุดินและธาตุน้ำในร่างกาย อาจทำให้ตัวร้อน ปวดหัว วิงเวียน อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ร้อนใน ท้องผูก ปัสสาวะน้อยและมีสีเหลืองจัด  ฤดูกาลนี้ควรกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว ขม จืด เย็น

ผักยืนต้นที่เหมาะกับการกินในหน้าร้อน เช่น ยอดอ่อนและดอกของผักกุ่มน้ำ (Crateva religiosa G.Forst. ) ซึ่งจะออกดอกในช่วงกุมภาพันธ์-เดือนมิถุนายน

ยอดอ่อนและดอกของผักกุ่มไม่สามารถกินเป็นผักสดได้ เพราะมีสารพิษไซยาไนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ตามภูมิปัญญาให้นำมาดองก่อนรับประทาน เพื่อกำจัดสารพิษออกไปก่อน

ดอกกุ่มน้ำดองช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว เช่นเดียวกับผักกุ่มบก (Crateva adansonii subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs) ซึ่งออกดอกกุมภาพันธ์-เดือนกรกฎาคม

ดอกช่วยแก้อาการเจ็บคอได้ด้วย
 
ในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน) เมื่อมีฝนตก ทำให้อากาศเย็น มีผลไปกระทบธาตุลม อาจทำให้ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เป็นหวัด ท้องอืดเฟ้อ ในฤดูนี้ควรกินอาหารเผ็ดร้อนและรสสุขุม เช่น แกงเลียง แกงส้ม

ผักยืนต้นที่กินได้ในฤดูนี้ เช่น มะรุม (Moringa oleifera Lam.) ยอดอ่อนและดอกนำมาลวกจิ้มกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แจ่ว ผลอ่อนและผลแก่นำมาแกงส้มได้ ผลอ่อนกินเป็นผักกับส้มตำหรือลาบ

ดอกใช้แก้อาการไข้หัวลมหรืออาการไข้เปลี่ยนฤดู เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง แก้หวัด

ใบมะรุมมีวิตามินเอสูง มีแคลเซียมสูงเกือบเท่านม มีธาตุเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามินซีมากพอๆ กับส้ม และมีโพแทสเซียมเกือบเท่ากล้วย
 
ฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) มีอากาศเย็น โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน อากาศเย็นมักมีผลต่อธาตุน้ำ อาจทำให้มึนหัว น้ำมูกไหล ผิวแห้ง ท้องอืด เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก

ในช่วงนี้ควรกินอาหารหรือผักที่มีรสขม เผ็ดร้อนและเปรี้ยว

ผักที่มีรสขม เช่น เพกา (Oroxylum indicum (L.) Kurz) ยอดอ่อน ดอกและฝักนำมากินเป็นอาหารได้  ดอกนิยมนำมาลวกกินกับน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ

ฝักมีรสขม ต้องนำมาเผาไฟให้สุกหรือผิวนอกเกรียม ขูดเอาส่วนที่ไหม้ออกจะช่วยลดความขมได้ นิยมนำมากินเป็นผักเคียงหรือนำมาผัดกับไข่ก็ได้

มีการศึกษาพบว่าฝักเพกาช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และหากถือคติโบราณ “หวานเป็นลมขมเป็นยา” แล้วละก็ กินผักรสขมอยู่เสมอๆ ก็น่าจะดีต่อสุขภาพ

ผักที่ให้รสขมอีกชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันคนเมืองรู้จักกันดีคือ แคนาหรือแคป่า (Dolichandrone serrulata (Wall. ex DC.) Seem.)

ดอกจะออกในช่วงมีนาคม-มิถุนายน ดอกนำมาใช้ประกอบอาหารได้ โดยนำมาทำเป็นแกงส้ม หรือนำมาลวกต้มจิ้มกินกับน้ำพริก

รสขมจากดอกจะช่วยทำให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้น ทำให้นอนหลับ ขับเสมหะ โลหิต และลม ที่คนเมืองกรุงรู้จักไม้ชนิดนี้ดีเพราะในช่วงเวลา ๑๐ ปีที่ผ่านมา นักตกแต่งสวนนิยมนำมาทำเป็นไม้ประดับตามหมู่บ้านจัดสรรหรือตามปั๊มน้ำมัน ในภูมิปัญญาอีสานเตือนไว้ว่าไม่ควรปลูกไม้ชนิดนี้ใกล้บ้าน เนื่องจากดอกมีละอองเกสรขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อหายใจเอาละอองเข้าไปจะทำให้เป็นหวัดหรือเกิดอาการภูมิแพ้ได้

ผักที่เป็นไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้อายุหลายปีเป็นทางเลือกที่ดี เพราะน่าจะมีโอกาสปนเปื้อนสารเคมีน้อยกว่าผักที่มีอายุสั้นหรือผักตามตลาดทั่วไป

การเลือกปลูกและกินก็มีหลากหลายให้เลือกได้ตามภูมินิเวศของต้นไม้และผู้ปลูก

ผักยืนต้นจึงน่าที่จะเป็นอนาคตที่ดีของอาหารปลอดภัย และช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกด้วย
 มติชนสุดสัปดาห์



ตรีผลา : ยาแก้โรคร้อน  

ว่ากันถึงอัตลักษณ์ของยาไทยไม่เหมือนยาฝรั่งก็ตรงที่ยาไทยเป็นยากินตามธาตุ ตามวัย และตามฤดูกาล

ถ้าถามว่าฤดูนี้ควรกินยาอะไร  ก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินได้ทันทีว่า ต้องกินยาชื่อ “ตรีผลา” ซึ่งหมอแผนโบราณท่านรู้ดีว่า “ตรีผลาเป็นพิกัดยาในคิมหันตฤดู”  พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ เป็นยาสามัญประจำฤดูร้อนนั่นเอง

ทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักยาตรีผลา แม้แต่ฝรั่งมังค่าที่นิยมยาไทย ก็ยังมีสำนวนติดปากว่า “นึกยาอะไรไม่ออก ก็บอกให้ใช้ตรีผลาไว้ก่อน” (When in doubt, use Triphala)

ในคอลัมน์นี้ก็เคยเขียนถึงพิกัด (กลุ่ม) ยาผลไม้พื้นบ้าน ๓ อย่างนี้ไว้บ้างแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นพิกัดยาโบราณที่ใช้กันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลโน้น ดูจากชื่อผลไม้ที่นำมาประกอบยา ได้แก่ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม ล้วนแต่เป็นชื่อสมุนไพรในพุทธประวัติ ที่พระท่านใช้ขบเคี้ยวเป็นยารักษาสุขภาพได้หลังเพล แต่ที่ยังไม่มีใครรู้กันก็คือตรีผลาเป็นยาสำหรับแก้โรคหน้าร้อน ไม่ว่าจะใช้เป็นพิกัดยาสมุนไพรเฉพาะ ๓ ชนิดนี้ หรือจะนำพิกัดตรีผลาไปเป็นส่วนหนึ่งของตำรับยาใหญ่ชุดอื่น ไม่ว่าจะเป็นตำรับยาแก้ไข้เด็ก ยาบำรุงโลหิตสตรี ยารักษาโรคหอบอันเกิดจากน้ำเหลืองเสียและเสมหะกำเริบ รวมทั้งโรคอุจจาระธาตุต่างๆ ด้วย เป็นต้น

ในหน้าร้อนอ่อนเพลียอย่างนี้ จึงขอแนะนำย้ำกันอีกครั้งให้รับประทานตรีผลาเป็นยาเย็นที่มีสรรพคุณคลายร้อน บำรุงร่างกายไปพร้อมๆ กัน และยังช่วยรักษาท้องไส้ให้ปลอดภัยจากโรคทางเดินอาหารที่มากับหน้าร้อนอีกด้วย

เคล็ดลับของการปรุงตำรับยาตรีผลาให้ได้ฤทธิ์ยาดีตรงตามพระคัมภีร์สรรพคุณแลมหาพิกัดที่มีมาแต่โบราณ ก็คือ ต้องใช้เนื้อผลที่แก่จัดของผลไม้ยาทั้ง ๓ ชนิด ที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ ดังนี้คือ สมอไทย (Terminalia chebula Retz. ) สมอพิเภก (Terminalia bellirica Roxb.) และมะขามป้อม (Phyllanthus emblica L. )

ทำไมต้องใช้ผลสมอไทยแก่

เพราะเนื้อผลแก่ไม่มีรสเปรี้ยวเพียงรสเดียวเหมือนผลอ่อน แต่มีรสฝาดแทรก เจือขมเล็กน้อย จึงมิใช่มีแต่ฤทธิ์ระบายถ่ายอย่างเดียว แต่มีฤทธิ์พิเศษที่หมอทองเอกแห่งท่าโฉลงน่าจะทราบดี คือ ฤทธิ์ “คุมธาตุ รู้เปิด รู้ปิดเอง”

คุมธาตุ ในที่นี้หมายถึงคุมอุจจาระธาตุ

รู้เปิด หมายถึงมีฤทธิ์ช่วยระบายเวลาท้องผูก

ส่วนรู้ปิด หมายถึงมีฤทธิ์หยุดระบายได้เองโดยอัตโนมัติ

เมื่อท้องร่วงเป็นกลไกป้องกันร่างกายเสียน้ำมากเกินไป นอกจากนี้ยังแก้ลมป่วงที่เกิดจากท้องร่วงอย่างแรง และแก้อาเจียน แต่ที่สำคัญคือ รสผลแก่ ช่วยถ่ายพิษไข้ ระบายพิษร้อนภายในอันเกิดจากดีพลุ่ง แก้ปิตตะ (ดี) พิการ ขับน้ำเหลืองเสีย แก้หืดไอ และบำรุงร่างกาย ยิ่งถ้าเอาผลสมอไทยแก่ดองฉี่วัว ใช้ดื่มแก้ปวดเมื่อย ตามเนื้อตัว ตามข้อ แก้อ่อนเพลียได้ดีนักเช่นกัน
 
ทําไมต้องใช้ผลสมอพิเภกแก่

เพราะเนื้อผลแก่มีทั้ง ๓ รส คือ เปรี้ยว ฝาด สุขุม ซึ่งไม่เพียงแก้เสมหะจุกคอ ช่วยให้ชุ่มคอ แก้คอแห้งผากยามร้อนบรรลัยเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงธาตุสี่ แก้ไข้

ส่วนผลมะขามป้อมแก่นั้นก็มีทั้ง ๔ รส คือ มีรสเปรี้ยวฝาดนำ และรสขมเจือเผ็ดตาม

นอกจากช่วยระบาย ทำให้ชุ่มคอแล้ว ยังช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้ร้อนในแก้ลมวิงเวียน และบำรุงหัวใจ มีฤทธิ์ใหม่ของมะขามป้อมที่พบจากการวิจัยในหนูทดลองคือ ช่วยลดพิษสารโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว ปรอท แคดเมียม ต่อตับและไต ซึ่งอินเทรนด์กับการแก้ปัญหามลพิษจากฝุ่นจิ๋ว ๒.๕ ในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ด้วย

ดังนั้น เนื้อผลไม้ยาทั้ง ๓ อย่างดังกล่าว เมื่อประกอบเข้าเป็นพิกัดยาตรีผลา จึงมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคร้อน และสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่มากับหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี

เดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์ยาตรีผลาออกมาแพร่หลายเป็นจำนวนมากทั้งในรูปแบบยาแคปซูล ยาเม็ด และยาน้ำ รวมทั้งเครื่องดื่ม จึงไม่ยากที่ผู้นิยมสมุนไพรไทยจะแสวงหามาไว้เป็นยาสามัญใกล้ตัวสำหรับเยียวยาสุขภาพในยามหน้าร้อนอย่างนี้

มติชนสุดสัปดาห์




เห็ดพิมานและเห็ดซางฮวง เห็ดในสกุลฟิลินัส  

ในช่วงปีที่ผ่านมา ข่าวทางสื่อมวลชนได้พูดถึง “เห็ดพิมาน” กันค่อนข้างบ่อยมาก

โดยเฉพาะกล่าวถึงตำรับยารักษามะเร็ง จนรายการทางโทรทัศน์นำไปขยายผล และนำเสนอข้อมูลการเพาะเลี้ยงเห็ดพิมานกันมากมาย

สนนราคาขายกันหลักล้านบาทต่อกิโลกรัม

คําว่า “เห็ดพิมาน” เป็นชื่อเรียกในภาษาไทย และในตำรายาแผนไทยเก่าแก่บางเล่มได้กล่าวไว้ว่า เห็ดพิมานเป็นยารักษาโรคที่มีการใช้บำบัดอาการรักษาได้หลายอาการ เช่น

ตำรับยาเย็น สำหรับผู้ที่มีอาการไข้ ให้ใช้เห็ดพิมาน ๑ ส่วน ฮากหนามแน่ ๑ ส่วน ฮากดอกซ้อน ๑ ส่วน ฮากเทียนดำ ๑ ส่วน หัวพันมหา ๑ ส่วน แมงวัน ๓ ตัว ฝนใส่น้ำเหล้า เด็ดแต้มตามตุ่มที่ออกตามตัวเนื่องมาจากพิษไข้ หรือใช้เป็นยากิน ซึ่งในตำรับประกอบด้วย จันแดง ๑ ส่วน เห็ดพิมาน ๑ ส่วน เห็ดขาม ฮากหวดข้าน้อย ฮากถั่วพู ฝนกินดีแล

เรื่องราวเห็ดพิมานเริ่มมีการศึกษาหาข้อเท็จจริงในปี พ.ศ.๒๕๓๕ มีนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการจัดจำแนกชนิด พบว่าเห็ดพิมานที่ปรากฏในตำรายาโบราณ พบว่ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phellinus rimosus  เป็นเห็ดที่อยู่ในสกุลฟิลินัส (Phellinus) ซึ่งเห็ดในสกุลนี้เป็นเห็ดที่มีการเจริญเติบโตจำเพาะกับต้นไม้ ดังนั้นเห็ดพิมานก็ควรจะเป็นเห็ดที่เจริญได้ดีบนต้นพิมานหรือกระถินพิมาน (Acacia tomentosa Willd. )

แต่ความรู้ในปัจจุบันกลับพบว่าเห็ดในสกุลฟิลินัสที่เจริญได้ดีบนต้นพิมานคือเห็ดฟิลินัส ชนิด Phellinus pomaceus (Pers.) Maire ส่วนเห็ดพิมานชนิด Phellinus rimosus (ซึ่งเราเข้าใจแต่เดิมนั้น) พบได้บนต้นแดง (Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub. ) จึงเรียกในภาษาไทยว่า “เห็ดหิ้งต้นแดง”
 
เห็ดในสกุลฟิลินัสที่มีการบันทึกในตำรายาจีนโบราณ และในตำราเภสัช (Chinese Pharmacopeia) ของจีน พบว่าคือชนิด Phellinus igniarius ซึ่งในภาษาไทยเรียก “เห็ดซางฮวง”

แต่ก็มีคนไทยตั้งชื่อเรียกอีกชื่อว่า “เห็ดอุ้งตีนหมี”

เห็ดชนิดนี้เจริญได้ดีบนต้นเต็ง (Shorea obtusa Wall. ex Blume)

“เห็ดซางฮวง” หรือ “เห็ดอุ้งตีนหมี” มีการบันทึกว่าใช้เป็นยาบำรุง ปรับสมดุลโลหิต โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่ปกติ เมื่อได้รับสารสกัดจากเห็ดนี้จะทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ลดอาการปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดี

ขอบอกให้ชัดว่า เห็ดชนิดนี้จะให้ผลได้ดีเมื่อได้ กินสารสกัด ไม่ใช่กินเนื้อเห็ดโดยตรง

การสกัดส่วนใหญ่เป็นการสกัดโดยใช้น้ำร้อนหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จึงทำให้ได้สารสำคัญที่อยู่ในเนื้อเห็ดมาใช้ประโยชน์สามารถออกฤทธิ์ในร่างกายได้

นอกจากนี้ สาระสำคัญที่ได้จากเห็ดส่วนใหญ่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ร่างกายดูดซึมเอาไปใช้ยาก

นักวิทยาศาสตร์จึงแนะว่าควรมีการตัดโครงสร้างทางเคมีของสารสำคัญนี้ให้มีขนาดเล็กลงก่อน ร่างกายจึงดูดซึมไปใช้ได้ดี

การตัดโครงสร้างทางเคมีของสารสกัดจากเห็ดนั้น มีการแนะนำ เช่น การกินร่วมกับวิตามินซี เป็นต้น

เรื่องชนิดเห็ดมีความซับซ้อนในชื่อเรียกพอสมควร ดังในประเทศจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีมีการใช้เห็ดชนิด Phellinus linteus ซึ่งเป็นเห็ดในสกุลฟิลินัสอีกชนิดหนึ่ง แต่ชื่อในภาษาไทยก็มีการเรียกชื่อซ้ำกันอีกว่า “เห็ดซางฮวง”  เป็นการเรียกทับศัพท์เดิมที่เป็นภาษาเกาหลีที่มีความหมายว่า “เห็ดสีเหลืองบนต้นหม่อน”

คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ทำการศึกษาเห็ดซางฮวงชนิดนี้ โดยการใช้เทคนิคการตรวจสอบดีเอ็นเอ  พบว่าเห็ดซางฮวงที่นิยมนำมาใช้ทำยาถูกแยกออกเป็น ๒ ชนิด คือ Tropicoporus linteus และ Sanghuangporus sanghuang ในส่วนของชนิด Tropicoporus linteus พบได้ในเอเชียนั้นจะเจริญได้ดีบนต้นเค็ง (Dialium cochinchinense Pierre) ดังนั้น เพื่อไม่ให้สับสน ในภาษาไทยควรเรียกเห็ดซางฮวงชนิดนี้ว่า “เห็ดเค็ง” (เพราะขึ้นในต้นเค็ง)  ส่วนเห็ดชนิด Sanghuangporus sanghuang ซึ่งส่วนใหญ่พบได้มากในที่มีอากาศเย็น เจริญได้ดีบนต้นหม่อน (Morus spp. ) ใต้หมวกเห็ดมีสีเหลืองสดใส ในภาษาไทยจึงเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า “เห็ดต้นหม่อน”

ในปัจจุบันมีงานวิจัยไม่น้อยกว่า ๓,๕๐๐ ชิ้น ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเห็ดในสกุลฟิลินัสนี้

สำหรับในประเทศไทย เท่าที่พบหลักฐาน เริ่มมีการศึกษาเห็ดในสกุลนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔ โดย ดร.แฟรงค์ ชาญบุญยสิทธิ์ ซึ่งได้รับเห็ดชนิด Phellinus linteus และ Phellinus igniarius จากเพื่อนที่เป็นคนจีน

โดยที่เวลานั้นเพื่อนชาวจีนเรียกเห็ดกลุ่มนี้ว่าเห็ดหลินจือ เพราะในอดีตเห็ดชนิดนี้ในประเทศจีนเรียกว่าเห็ดหลินจือ

ดังมีหลักฐานที่เรียกเห็ดหลินจือนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา (The University of Pennsylvania Museum of Archaeology and Anthropology, USA) ซึ่งเป็นของจักรพรรดิเฉียนหลง มีความยาว ๑๖ x๓/๘ นิ้ว

เห็ดดอกนี้เมื่อทำการจัดจำแนกโดยใช้ความรู้ในปัจจุบันพบว่าไม่ใช่เห็ดหลินจือแต่คือเห็ด สกุลฟิลินัส ชนิด
 Phellinus linteus
มติชนสุดสัปดาห์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 เมษายน 2562 16:33:16 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2562 16:01:14 »

.


ตองแตก หรือ ทนดี
คือสมุนไพรชนิดไหนแน่?
 

มีสมุนไพรชนิดหนึ่งชื่อ ตองแตก หรือ ทนดี ซึ่งในเอกสารเก่าบ้างใหม่บ้างเกือบทั้งหมดบอกว่า ตองแตกและ ทนดี คือ สมุนไพรชนิดเดียวกัน

แต่เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมในตำรับยาจึงปรากฏสมุนไพรทั้ง ๒ ชื่อ

หากดูรายงานของหอพรรณไม้ กรมป่าไม้กล่าวไว้ว่า พืชที่อยู่ในกลุ่มนี้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยมี ๒ ชนิด คือ เปล้าตองแตก ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Baliospermum calycinum M?ll.Arg. และ ตองแตก ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Baliospermum solanifolium (Burm.) Suresh ซึ่งมีรายละเอียดของพืชทั้ง ๒ ชนิด ดังนี้
 
เปล้าตองแตก (Baliospermum calycinum M?ll.Arg.) จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กแต่ก็สูงได้ถึง ๓ เมตร มีชื่อพื้นเมืองเรียกว่า ตองแตกใบยาว ตองแตกเล็ก เปล้าดอย (ทั่วไป) เปล้าตองแตก (เชียงใหม่)

มีการกระจายในอินเดีย ภูฏาน บังกลาเทศ จีนตอนใต้ หิมาลายาตะวันออก เมียนมาร์ เนปาล ไทย เวียดนาม

ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว ๑๐-๒๐ ซ.ม. ขอบใบจักฟันเลื่อยหรือจักมน แผ่นใบด้านล่างมีขนเอน

ช่อดอกเพศผู้ยาวได้ถึง ๑๖ ซ.ม. ช่อดอกเพศเมียยาว ๒-๓ ซ.ม. ดอกเพศผู้ก้านดอกยาว ๑-๓ ม.ม. กลีบเลี้ยงรูปไข่กว้าง ยาว ๑-๒.๕ ม.ม. จานฐานดอกแยกเป็นต่อม ๕ ต่อม เรียงเป็นวง เกสรเพศผู้ ๙-๒๑ อัน ก้านชูอับเรณูยาว ๑-๒ ม.ม.

ดอกเพศเมียก้านดอกยาว ๑-๒ ม.ม. กลีบเลี้ยงรูปรีหรือรูปไข่ ยาว ๓-๘ ม.ม. เกลี้ยงหรือมีขน รังไข่เกลี้ยงหรือมีขนประปราย ก้านเกสรเพศเมียยาว ๑-๓ ม.ม.

ผลตั้งขึ้น รูปรีกว้างเกือบกลม ยาว ๑-๑.๒ ซ.ม. กลีบเลี้ยงติดทน ยาว ๕-๘ ม.ม. เมล็ดขนาดประมาณ ๔ ม.ม. สีน้ำตาลเข้ม

ในตำราอายุรเวทใช้รากแห้ง แก้ดีซ่าน และใช้รักษาก้อนในท้อง (abdominal lump) ม้ามโต ใบนำมากินเป็นผักได้แต่ต้องทำให้สุกก่อนกิน
 
ส่วน ตองแตก (Baliospermum solanifolium (Burm.) Suresh) มีชื่อพื้นเมืองเรียกว่า ตองแต่ (ประจวบคีรีขันธ์) ตองแตก ถ่อนดี ทนดี (ทั่วไป ตรัง) โทะโคละ พอบอเจ๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นองป้อม ลองปอม (เลย) เป็นต้น มีเขตการกระจายพันธุ์ในปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม ชายฝั่งทะเลมาเลเซีย เกาะบอร์เนียว สุมาตรา ชวา สุลาเวสี มาลูกู เลสเซอร์ เกาะซันดร้า

ประเทศไทยพบทั่วไปในป่าเบญจพรรณ หรือป่าดิบแล้ง จากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ ๙๐๐ เมตร เป็นไม้พุ่มสูงถึง ๒ เมตร

ใบเดี่ยว มักเป็นรูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน กว้าง ๓-๑๐ ยาว ๘-๑๒ ซ.ม. ก้านใบ ยาว ๒-๑๓ ซ.ม. ฐานใบมักจะมน ขอบใบ จักเป็นฟันเลื่อยหรือหยักมน บางครั้งขอบเว้าเป็นแฉก ๓-๕ แฉก ปลายมน หรือแหลม เกลี้ยง หรือมีขนแข็งเอน ทั้งสองด้านของใบ

ดอก แยกเพศ ออกเป็นช่อ ช่อดอกเพศผู้ ยาว ๑-๘ ซ.ม. ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ ม.ม. ช่อดอกเพศเมีย ยาว ๐.๑-๑ ซ.ม. ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๔ ม.ม.

ผลห้อยลง ค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๘-๑.๓ ซ.ม. กลีบเลี้ยงติดคงทน ขยายตัวเมื่อติดผล เมล็ด รูปไข่ สีน้ำตาล กว้าง ๓ ยาว ๓.๕ ม.ม. เป็นพรรณไม้ที่มีอายุอยู่ได้นานและทนทาน ตายยาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าไผ่ และตามที่รกร้าง จนถึงระดับความสูง ๗๐๐ เมตร

สรรพคุณของสมุนไพรตองแตก เมล็ด เป็นยาถ่ายอย่างแรงมาก (แรงกว่าใช้ราก)

ในส่วนของรากมีรสขมเล็กน้อย ใช้เป็นยาถ่ายแก้อาการบวมน้ำ แก้น้ำดีซ่าน ถ่ายเสมหะเป็นพิษ แก้ฟกบวม และทำลายพิษอุจจาระให้ตก

ส่วนใบ นำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคหืด

นอกจากนี้ ภายในเมล็ดจะมีน้ำมันซึ่งนำมาทำเป็นยาที่เรียกว่า ยารุ คือยาถ่ายอย่างแรงถึงกับถ่ายเป็นน้ำจึงต้องระมัดระวัง ถ้าใช้ภายนอกให้นำเมล็ดมาบดแล้วทาเพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณที่ทา และน้ำมันจากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดตามข้อได้

ในมาเลเซียมีการใช้โดยตัดเอารากสดหรือใบ มาแช่ในน้ำร่วมกับข้าวสาร ๗ เมล็ด ประมาณ ๓๐ นาที ให้ดื่มช่วยทำให้หยุดอาเจียนและคลื่นไส้
 
ตองแตก และ ทนดี มีการกล่าวไว้ในตำรับยา เช่น ตำรับยาวัดราชโอรสาราม กล่าวคือ ชื่อตองแตกปรากฏอยู่ในตำรับยาแก้อาโปธาตุกำเริบ กล่อนหิน แก้ริดสีดวง แก้ลมจุกเสียด แก้ลมเป็นก้อน เป็นเถาในท้อง แก้บวมทั้งตัว แก้ท้องมาน แก้เลือดเน่า แก้ก้อนในท้อง

ส่วนทนดีปรากฏอยู่ในตำรับยาแก้ชาติวาโยธาตุ กําเริบ หย่อน พิการ ยาแก้เลือดตีขึ้น ยาแก้วาโยธาตุพิการ ยาแก้ดานพืด ยาแก้ไข้เจลียง ยาแก้ดานทักขิณคุณ

หากพิจารณาจากตำรับยาวัดราชโอรสาราม การเข้ายาของตองแตกและทนดีมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง และก็พบเอกสารบางชิ้นบ้างครั้งก็บอกว่าเป็นต้นเดียวกัน

บางครั้งก็บอกว่าเป็นไม้คนละต้นกัน ซึ่งบางคนก็อ้างว่า เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย ซึ่งสังเกตได้จากใบที่แตกและไม่แตกออกจากกัน ใบทนดีแตกมากกว่าใบตองแตก ซึ่งถ้าดูลักษณะต้นที่บรรยายไว้ข้างต้น เห็นชัดว่า ใบเปล้าตองแตกไม่แยกออกเป็นแฉก มีขนเอนที่ท้องใบ ผลตั้งขึ้น ในขณะที่ตองแตกจะมีใบแยกออกเป็น ๓-๕ แฉก มีขนเอนที่ผิวใบทั้ง ๒ ด้าน

ผลมีลักษณะห้อยลง
 
ในการถ่ายทอดความรู้กันต่อๆ มา อ้างว่า ตองแตกและทนดีเป็นไม้ชนิดเดียวกัน ก็ยังเป็นที่สงสัย ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลทางวิชาการมาทำให้ชัดเจนต่อไป

มีข้อน่าสังเกตส่งท้ายว่า บางพื้นที่เรียกต้นตองแตกว่า “ต้นเรียกจิ้งจก” เนื่องจากในดอกและใบจะมีสารที่มีกลิ่นดึงดูดจิ้งจก ถ้าขยี้ดอกและใบไว้ตามซอกมุมต่างๆ จิ้งจกจะเดินออกมาตามกลิ่นนั้น เช่นเดียวกับต้นตำแยแมว ที่มีกลิ่นที่แมวชอบ ในต่างประเทศจึงนำมาสกัดเป็นครีมใช้ฝึกให้แมวถ่ายและปัสสาวะให้เป็นที่เป็นทางนั่นเอง

ดังนั้น ต้นตองแตกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ดักจับจิ้งจก สำหรับคนไม่ชอบหรือไม่ให้มารบกวนเราได้
 มติชนสุดสัปดาห์




มะเดื่ออุทุมพร
สมุนไพรในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
 

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในระหว่างวันที่ ๔-๖ พฤษภาคม ผ่านไปอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติเป็นที่ชื่นชมโสมนัสของปวงพสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้า

มีเกร็ดความรู้มากมายจากงานพระราชพิธีครั้งนี้ ที่คนส่วนใหญ่เพิ่งรู้ เช่น มีสมุนไพรธรรมดาสามัญหลายชนิดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในพระราชพิธี ได้แก่ ใบมะตูม ใบมะม่วง ใบทอง ใบตะขบ และมะเดื่ออุทุมพร

เชื่อกันในคติพราหมณ์ว่าใบมะตูม ๓ แฉก เป็นสัญลักษณ์แทนเทพพรของพระเจ้า ๓ องค์ ที่เรียกรวมกันว่าตรีมูรติ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม

ดังนั้น ในพระราชพิธีสำคัญอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมีการนำใบมะตูมมาประกอบน้ำมหาสังข์เพื่อหลั่งพรพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามถวายแด่พระมหากษัตริย์

และถ้าสังเกตให้ดีในพระราชพิธีดังกล่าวจะเห็นพราหมณ์ถวายช่อใบสมิต ซึ่งจะขอนำมากล่าวถึงในโอกาสต่อไป

ในที่นี้จะกล่าวถึงไม้มะเดื่ออุทุมพร ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและใช้ในตำรับยาสมุนไพร
 
มะเดื่ออุทุมพร (Ficus racemosa L.) เป็นไม้เนื้ออ่อนยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ จึงมีชื่อเรียกว่า มะเดื่อใหญ่ และยังมีลำต้นเกลี้ยงจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า มะเดื่อเกลี้ยงหรือเดื่อเกลี้ยง

เพื่อบ่งบอกชนิดให้แตกต่างจากมะเดื่อปล้อง (Ficus hispida Linn. f) ซึ่งลำต้นและกิ่งก้านมีข้อปล้องคล้ายข้อปล้องไม้ไผ่ และใบมะเดื่ออุทุมพรเป็นรูปหอกโคนมนต่างจากใบมะเดื่อฝรั่ง (Ficus carica L. ) ที่มีขอบใบหยักลึก ๓-๕ หยัก และที่มักเข้าใจผิดกัน คือ ลูกฟิก(Fig) ที่อบแห้งรสชาติหอมหวานนั้นไม่ใช่ผลมะเดื่ออุทุมพรซึ่งมีอีกชื่อว่ามะเดื่อไทย แต่เป็นผลแห้งของมะเดื่อฝรั่งที่นำเข้าจากต่างประเทศ หรือไม่ก็มาจากโครงการหลวงที่ส่งเสริมการปลูกมะเดื่อฝรั่งแทนการปลูกฝิ่น

คนไทยทั่วไปในปัจจุบันมักไม่เข้าใจในความสำคัญของมะเดื่ออุทุมพรมากนัก เพราะนอกจากเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่ทนทานแล้ว ลูกมะเดื่อชนิดนี้ก็ไม่น่ากินเหมือนลูกมะเดื่อฝรั่ง เพราะมีไข่และตัวแมลงหวี่อยู่ภายในเต็มไปหมด ดังคำกลอนสุนทรภู่ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งว่า

“ถึงบางเดื่อ โอ้มะเดื่อเหลือประหลาด บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน อุประไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา”
 
แต่สำหรับผู้รู้เรื่องพราหมณ์พิธีย่อมเห็นไม้มะเดื่อที่ชาวอินเดียเรียกว่า Udumbra (ซึ่งออกเสียงเป็นคำไทยว่า อุทุมพร และเพี้ยนเสียงไปเป็นคำว่าชุมพร) เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นบัลลังก์ที่ประทับของเทพตรีมูรติ คนที่อยู่ในรั้วในวังของไทยย่อมทราบดีว่ามะเดื่ออุทุมพรเป็นไม้มงคลนาม

จึงไม่แปลกที่มีพระมหากษัตริย์ไทยราชวงศ์บ้านพลูหลวงสมัยอยุธยาอย่างน้อยสองพระองค์ที่เรารู้จักกันดี ที่มีพระนามเล่นว่าดอกมะเดื่อ  คือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (หรือพระเจ้าเสือ) เหตุเพราะประสูติใต้ต้นมะเดื่อซึ่งถือว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก เนื่องจากหนึ่งในพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในภัทรกัป คือ โกนาคมโนก็ประสูติใต้ต้นมะเดื่ออุทุมพร

และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) เหตุเพราะพระราชมารดาสุบินว่าทรงได้ดอกมะเดื่อ

สำหรับพระองค์หลังนี้พระนามจริงมีความหมายเดียวกับพระนามเล่น และวัดที่พระองค์ทรงสร้างก็มีชื่อตามพระนามว่า วัดเจ้าดอกเดื่อ เนื่องด้วยไม้มะเดื่ออุทุมพรเป็นที่ประทับของเทพเจ้าดังกล่าวแล้ว

ดังนั้น ตั่ง ที่ประทับนั่งเล็กๆ ของพระมหากษัตริย์ในพิธีมูรธาภิเษก (พิธีสรงน้ำสหัสธาราอันเป็นเบื้องแรกแห่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก) จึงต้องเป็นที่ประทับไม้อย่างเดียวกัน  ดังพระราชาธิบายของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ ในพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า “ม้าที่สำหรับประทับสรงเรียกว่าตั่ง ทำด้วยไม้มะเดื่อรูปกลมมีขาสี่หุ้มผ้าขาว ตั่งไม้มะเดื่อนี้เป็นเครื่องสำหรับอภิเษก ใช้แต่เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน พระอัครมเหสี พระราชเทวีและพระสังฆราชกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า…ไม่เป็นของใช้ทั่วไป เป็นของเฉพาะแต่ผู้ที่ได้รับอภิเษก”
 
จากพระราชพิธีสรงน้ำมูรธาภิเษกบนตั่งไม้มะเดื่อทรงกลมเล็กๆ ก็เลื่อนขึ้นสู่พะราชพิธีบนพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ หรือที่เรียกว่าพระที่นั่งแปดทิศ ประดิษฐ์จากไม้มะเดื่ออุทุมพรรูปทรงแปดเหลี่ยมสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับนั่งรับน้ำมหาสังข์ใบมะตูมแต่ละทิศไปจนครบแปดทิศ เป็นสัญลักษณ์ว่าทรงรับพระราชภาระของแผ่นดินทั้งแปดทิศ การประกอบพระราชพิธีบนพระแท่นไม้มะเดื่อในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนที่จะถึงพระราชพิธีสถาปนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างสมบูรณ์บนพระที่นั่งภัทรบิฐที่ทรงรับเบญจราชกกุธภัณฑ์ และทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการ และคนส่วนใหญ่ก็มักไม่รู้ว่าพระที่นั่งภัทรบิฐก็สร้างขึ้นจากไม้มะเดื่ออุทุมพรด้วย

มะเดื่ออุทุมพรมีความศักดิ์สิทธิ์ในทางวัฒนธรรมประเพณีไทยฉันใด ในทางสรรพคุณสมุนไพรก็มีความสำคัญฉันนั้น

กล่าวได้ว่าชาวแพทย์แผนไทยทุกคนต้องรู้จักชื่อมะเดื่ออุทุมพรหรือมะเดื่อชุมพร

ใครไม่รู้จักจะเป็นหมอไทยไม่ได้โดยเด็ดขาด

เพราะพืชเภสัชวัตถุชนิดนี้มีค่าประดุจดังแก้ววิเชียรที่ส่องสว่างโลกโดยอยู่ในพิกัดยา “เบญจโลกวิเชียร “หรือ “ยาแก้วห้าดวง “และเนื่องจากยาทั้ง ๕ ชนิดในพิกัดนี้ใช้ส่วนราก จึงมีชื่อเรียกง่ายๆ ว่า “ยา๕ ราก” คือ รากชิงชี่ รากย่านาง รากคนทา รากเท้ายายม่อม และรากมะเดื่ออุทุมพร (หรือรากมะเดื่อชุมพร)

เนื่องจากยากลุ่มนี้มีฤทธิ์เย็นมากในคัมภีร์ตักศิลา ว่าด้วยไข้พิษไข้กาฬต่างๆ จึงใช้ยา ๕ รากกระทุ้งพิษไข้ทั้งปวง แต่ก่อนรากยากลุ่มนี้ใช้ฝนกิน หรือใช้สิ่งละเท่าๆ กันต้มดื่ม

แต่รูปแบบยาปัจจุบันทำเป็นยาผง ใช้ครั้งละ ๒-๓ ช้อนโต๊ะละลายน้ำสุกกินห่างกันราว ๓ ชั่วโมงต่อครั้ง จนกว่าไข้จะทุเลาหรือเมื่อกระทุ้งผื่นกาฬออกจนหมด

หากไม่ใช้ทั้ง ๕ ราก จะใช้รากมะเดื่ออย่างเดียวก็ย่อมได้ เพราะฤทธิ์ฝาดเย็นของรากมะเดื่อนั้นท่านว่า สามารถแก้ไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษร้อน กล่อมเสมหะและโลหิต แก้ท้องร่วงได้ชะงัดนัก

ผลดิบมีฤทธิ์แก้ท้องร่วงเช่นกัน และยังใช้รักษาเบาหวานได้ผลดี

ตรงกันข้ามกับผลสุกที่มีฤทธิ์ระบาย
 
ไม้มะเดื่ออุทุมพรมีคุณค่ามาก แม้ไม่มีใครอุตรินำไม้มะเดื่ออุทุมพรไปทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์เทียมเจ้าเหมือนอย่างเฟอร์นิเจอร์ไม้พะยูง ที่เศรษฐีเมืองจีนแย่งกันซื้อไปใช้เทียมราชูปโภคของฮ่องเต้  แต่ก็ควรหาทางอนุรักษ์บำรุงสายพันธุ์มะเดื่ออุทุมพรไว้เป็นไม้มีคุณค่าทางจิตใจ ปลูกเป็นมงคลหรือเป็นไม้บอนไซประดับบ้าน  ถ้าเป็นไปได้ก็ปลูกบำรุงรักษาต้นมะเดื่อเนื้อไม้ดีๆ ไว้สำหรับสร้างหรือซ่อมแซมเครื่องราชูปโภคให้สถาพรในแผ่นดินสืบไป

รากมะเดื่ออุทุมพรทำเครื่องยาไทย ใบอ่อนและช่อดอกตูมรสฝาดอ่อนๆ นำมาประกอบเป็นผักเคียงจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้มได้

นับว่าพระราชราชพิธีบรมราชาภิเษกในคราวนี้ช่วยให้คนไทยทั้งประเทศตาสว่างเรื่องไม้สิริมงคลมะเดื่ออุทุมพรเป็นอย่างดี
 มติชนสุดสัปดาห์




ทัดดอกทับทิม  

อากาศยังร้อน ทำให้นึกย้อนไปถึงเทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านมาของปี ๒๕๖๒ นางสงกรานต์ทัดดอกทับทิม

คงสงสัยว่าเหตุใดทับทิมจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีของไทย ซึ่งไทยก็รับมาจากวัฒนธรรมแขกหรืออินเดีย เพราะเป็นไม้ที่มีคุณประโยชน์

แต่โดยทั่วไปเมื่อเอ่ยถึงทับทิมคนส่วนใหญ่จะนึกถึงวัฒนธรรมจีนที่ใช้ทับทิมเป็นไม้ปัดเป่าสิ่งไม่ดี หรือให้ได้รับมงคล

วันนี้จึงขอแนะนำให้รู้จักทับทิม
 
คนจำนวนมากเข้าใจว่าเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศจีน อันที่จริงทับทิมมีถิ่นกำเนิดจากตะวันออกของประเทศอิหร่าน หรือทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย

ทับทิมเป็นพืชชอบอากาศหนาวเย็นและอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย ๓๐๐เมตร

ยิ่งอากาศหนาวเนื้อทับทิมจะมีสีแดงเข้มมากขึ้น

มีหลักฐานถิ่นกำเนิดทับทิมว่า ปลูกครั้งแรกในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศอิหร่านและประเทศใกล้เคียง) กว่า ๓๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล แล้วค่อยแพร่ไปในแถบประเทศเมดิเตอร์เรเนียน เอเชียตะวันออก และอเมริกา

การแพร่เข้ามาของทับทิมสู่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมา ๒ ทาง คือ ประเทศอินเดีย และประเทศจีนในราวศตวรรษที่ ๓-๔  ส่วนประเทศไทยน่าจะแพร่เข้ามาในช่วงสมัยอยุธยาผ่าน ๒ ทางเช่นกันคือ ทั้งทางประเทศอินเดียและศรีลังกา  และอีกทางคือ มาจากประเทศจีน ซึ่งจะมาจากการติดต่อค้าขายจากชาวจีนและอินเดีย พันธุ์ทับทิมเก่าแก่ที่มีการปลูกทับทิมในประเทศไทยในระยะแรกนั้นคือพันธุ์บางปลาสร้อย ที่มีแหล่งปลูกมากในแถบภาคใต้บริเวณอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดใกล้เคียง แล้วค่อยแพร่ไปสู่จังหวัดอื่นๆ
 
ทับทิมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Punica granatum L. มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Pomegranate มีชื่อท้องถิ่นในประเทศไทย เช่น ทับทิม (ภาคกลาง) มะเก๊าะ (ภาคเหนือ) พิลาขาว มะก่องแก้ว (น่าน) หมากจัง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) พิลา (หนองคาย) เซียะลิ้ว (จีน)

จากรายงานของหอพรรณไม้ กรมป่าไม้ กล่าวว่า ทับทิมในเมืองไทยมี ๒ รูปแบบ คือ Punica granatum L. var. granatum เป็นทับทิมลูกใหญ่และ Punica granatum L. var. nana ทับทิมหนู หรือ Dwarf pomegranate  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง ๑-๑๐ ม. กิ่งมักแตกแขนง มีหนามบริเวณซอกใบ ใบเดี่ยว รูปใบหอก ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมหรือมน ดอกออกที่ปลายกิ่ง ไม่มีก้าน หรือหากมีก้านสั้นมาก ผล รูปร่างค่อนข้างกลม

ในตำรายาไทย กล่าวถึงสรรพคุณไว้มากมาย
 
ใช้ เปลือกผล แก้ท้องเสีย แก้บิด ปิดธาตุ แก้แผลพุพองเน่าเปื่อย ห้ามเลือด แก้ตกขาว แก้หิด กลาก ฝาดสมาน สมานแผล ขับพยาธิ ฝนน้ำทาแก้น้ำกัดเท้า ราก ขับพยาธิเส้นด้าย ไส้เดือน ตัวตืด แก้ตานขโมย แก้เจ็บในคอ ฝาดสมาน

เมล็ด แก้โรคลักปิดลักเปิด บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้จุกแน่นอาหารไม่ย่อย แก้ท้องเสีย

เปลือกราก แก้สตรีตกเลือด ตกขาว หล่อลื่นลำไส้ ขับพยาธิตัวตืด ไส้เดือน ฝาดสมาน แก้ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด แก้ลักปิดลักเปิด

เนื้อหุ้มเมล็ด แก้ลักปิดลักเปิด ผลอ่อน ปิดธาตุ สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง แก้ปวดเอว บำรุงกำลัง

ดอก ใช้แก้หูชั้นในอักเสบ ห้ามเลือด แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้เลือดกำเดา แก้บาดแผล

ใบ ใช้แก้ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน แก้ท้องร่วง แก้บิด พอกแผลฟกช้ำ แก้อาเจียน รักษาตาเจ็บ อมกลั้วคอ ชะล้างแผลมีหนองเรื้อรังบนศีรษะ แก้โรคลักปิดลักเปิด

ต้นและเปลือกต้น ขับพยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด แก้ท้องร่วง แก้บิด สมานแผล แก้โรคลักปิดลักเปิด ทั้งห้า (ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล) ขับพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด สมานแผล แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องร่วง ท้องเสีย

ผลทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้ มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน และถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำทับทิมมีวิตามินซีสูงและยังมีสารเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด มีประโยชน์ช่วยลดภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง บรรเทาโรคหัวใจหรือช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้น และความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มพลัง กินเป็นประจำช่วยบำรุงผิวพรรณเสริมความงาม

ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรดื่มน้ำทับทิมคั้นวันละแก้วหรือดื่มเป็นประจำ ส่วนเปลือกทับทิมต้มน้ำใช้แก้โรคท้องเดินและโรคบิดได้
 
จากการศึกษาวิจัยพบว่าในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง ๒๒-๒๕% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิด นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูง สารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี สารสกัดจากเปลือกผลด้วยเอทานอลมีฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระ โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ

ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า ๑๓ ชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนเซลล์ร้ายขึ้นมานั่นเอง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่

ทับทิมเป็นผลไม้มงคลของจีน มีบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า “พระถังซัมจั๋ง” เป็นผู้นำเอาทับทิมจากอินเดียเข้าไปปลูกในประเทศจีน มีหลักฐานที่เมืองซีอาน กิ่งใบทับทิมจึงเป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้กับทุกงานหรือพิธีการต่างๆ ซึ่งความเชื่อนี้ก็ปรากฏในสังคมไทยตามวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีน

หากเห็นว่านางสงกรานต์ปีนี้ทัดดอกทับทิม ก็หวังว่าจะเป็นทั้งยาสมุนไพรช่วยให้เรามีสุขภาพดีและตามความเชื่อที่เป็นไม้มงคลปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิตตลอดปีด้วยนั่นเอง
 มติชนสุดสัปดาห์




ไฟเดือนห้า  

อากาศยังร้อนอบอ้าว แต่เชื่อว่าฤดูกาลกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูฝน

อดทนกันอีกนิด ด้วยอากาศยังร้อนและในฉบับที่ผ่านมาได้นำเสนอความรู้ “หนาวเดือนห้า” ยาแก้ไข้หนาวในฤดูร้อน ครั้งนี้ขอเสนอความรู้ต่อเนื่องถึง ไฟเดือนห้า ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ร่วมกันให้ดี

วงการแพทย์แผนไทยหรือการใช้สมุนไพรตามภูมิปัญญาดั้งเดิม เมื่อพูดถึงสมุนไพรไฟเดือนห้า ส่วนใหญ่แล้วจะกล่าวถึงสมุนไพรที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Asclepias curassavica L.

เป็นพืชในวงศ์ Apocynaceae มีชื่อสามัญว่า Bastard ipecacuanha, Butterfly Weed, Blood Flower, Milkweed, Silkweed

ไฟเดือนห้าเป็นไม้ต่างประเทศ มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเขตร้อน แต่นำเข้ามาเป็นไม้ประดับในเมืองไทยเป็นเวลานานแล้ว จึงมีชื่อพื้นเมืองที่หลากหลาย เช่น คำแค่ (แม่ฮ่องสอน) บัวลาแดง (เชียงใหม่) ค่าน้ำ เด็งจ้อน (ลำปาง) ไม้จีน (ประจวบคีรีขันธ์) ดอกไม้เมืองจีน ไม้เมืองจีน (สุราษฎร์ธานี) เทียนแดง (ภาคกลาง) เทียนใต้ (ภาคอีสาน) เหลียนเซิงกุ้ยจื่อฮวา จิงเฟิ่งฮวา (จีนกลาง)

ไฟเดือนห้านี้เป็นไม้ล้มลุก ใบเดี่ยว สีเขียวสด ดอกช่อ สีแดงอมส้ม กลีบดอกพับงอ ก้านช่อดอกมีขนสั้นนุ่มปกคลุม ผลรูปกระสวยยาว แห้งแตก เมล็ดรูปไข่ ยาว  แต่เป็นพืชมีพิษ กินแล้วส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เป็นอัมพาตและเสียชีวิตได้ วิธีการใช้ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม ต้องเป็นหมอที่ชำนาญ รู้จักการสะตุเพื่อลดพิษก่อนนำมาปรุงยา
 
ไฟเดือนห้า ที่กล่าวในตำรับยาไทยว่า เมล็ดมีรสขม เป็นยาเย็น ใช้เป็นยาบำรุงให้ร่างกายอบอุ่น ต้นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุไฟ ใช้เป็นยาแก้ไข้ตัวเย็นหมดสติ ไข้ตรีโทษ (อาการไข้กระหายน้ำ เหงื่อออกมา ซึม เบื่ออาหาร ปวดเมื่อย บางครั้งมีอาการอาเจียนเป็นสีเหลืองปนเลือด)  ใช้เป็นยาขับพิษเลือดในเดือนอยู่ไฟ แก้เลือดทำพิษในเรือนไฟ (การติดเชื้อที่มดลูกหลังการคลอดบุตร)

เมล็ดใช้เป็นยาแก้ปวด แก้อักเสบ ห้ามเลือด   เมล็ดใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน กลากเกลื้อน   รากใช้เป็นยารักษากระดูกร้าว หรือกระดูกหัก
 
สาระสำคัญที่พบในไฟเดือนห้า ได้แก่ Ascurogenin, Asclepin, Calotropin, Curassvicin เป็นต้น

จากการทดลองพบว่า สาร Ascurogenin, Asclepin และ Curassicin มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจของกระต่ายทดลอง ทำให้หัวใจของกระต่ายมีการบีบตัวแรงขึ้น

ยางจากต้นไฟเดือนห้ามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด สาร Calotropin มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งในโพรงจมูกที่อยู่นอกตัวของสัตว์ทดลอง

จากเอกสารต่างประเทศกล่าวไว้ว่า สมุนไพรไฟเดือนห้าชนิดนี้ ส่วนรากนำมาต้มดื่ม ใช้เป็นยาลดไข้ บิด และใช้ล้างตา เมื่อมีอาการติดเชื้อนัยน์ตา
 
ในส่วนของรากมีสารไกลโคไซด์ (glycoside) แอสคลิบปิดิน (asclepiadin) ซึ่งใช้เป็นยาแก้อาเจียนและเป็นยาถ่าย

นอกจากนี้ยังใช้แทนยาขับเสมหะหรือทำให้อาเจียนได้

ใบนำมาบดผสมกับเกลือ น้ำมันพืชและขนมปังใช้พอกมะเร็งที่ผิวหนัง

น้ำยางใช้เป็นยากัดหูดและรักษาตาปลา น้ำคั้นจากทั้งต้นใช้เป็นยารักษากลาก แผล ผื่นต่างๆ หรือโรคผิวหนัง การใช้สมุนไพรชนิดนี้อาจทำให้เกิดแผลเป็น

ส่วนของน้ำยางประกอบด้วย คาร์ดิโนไลด์ (cardenolides) และ ไตรเตอรปืน (esterified triterpenes) สารสกัดมีผลในการรบกวนการทำงานของสมอง

นอกจากนี้ในน้ำยางยังมีสารประกอบอีกหลายชนิด เช่น quercetin, caffeic acid, sterols, flavonoids carbohydrates, fatty acids และ acidic mucilage ในส่วนของต้นมีสาร beta-sitosterol ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดอาการโตของต่อมลูกหมาก และเสริมฮอร์โมนเพศหญิงให้กับร่างกาย

การใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น เช่น เส้นใยจากลำต้นนำมาปั่นรวมกับฝ้ายได้ ขนจากเมล็ดนำมาใช้คล้ายนุ่นในหมอนได้
 
แต่จากการพูดคุยสอบทานข้อมูลกับหมอแผนไทยบางท่าน มีความเห็นว่าไฟเดือนห้า ไม่น่าจะใช่พืชชนิดนี้

เนื่องจากตามตำราดั้งเดิมกล่าวไว้ว่า ไฟเดือนห้าเป็นไม้ยืนต้นและในรายงานของหอพรรณไม้ กรมป่าไม้ ได้กล่าวถึงพืชชนิดหนึ่งที่ทางภาคใต้เรียกว่า ไฟเดือนห้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Excoecaria oppositifolia Griff.

ทางภาคเหนือเรียกว่า ยางร้อนหรือตังตาบอด ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร

จัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับยางพารา (Euphorbiaceae) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย พม่า และอินโดจีน สำหรับประเทศไทยมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นในแทบทุกภาค ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น

พบในพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐๐-๑,๕๐๐ เมตร
 
ไฟเดือนห้าชนิดหลังนี้มีการนำมาใช้เป็นสมุนไพรหลายส่วน เช่น รากใช้เป็นยาขับโลหิต เนื้อไม้มีความแข็งแรงทนทานนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้

น้ำยางให้รสร้อนเมามีความเป็นพิษ หากสัมผัสกับผิวหนังจะทำให้เกิดอาการอักเสบและบวมแดง ถ้ากระเด็นเข้าตาทำให้ตาพร่ามัวได้หรืออาจทำให้ตาบอดได้เลย จึงต้องระวัง และน้ำยางทำให้ระคายเคืองผิวหนังด้วย

มีการศึกษาว่า สารทำให้ระคายเคือง คือ Excoecaria factor O1 ซึ่งเป็นเอสเตอร์ของ 5beta-hydroxyresiniferonol-6alpha 7alpha-epoxide นอกจากนี้ยางจากต้นนี้ ยังประกอบด้วย Excoecaria factor O2 และ O3  ส่วนวิธีการรักษาเมื่อถูกพิษยังไม่มีการรักษาโดยตรง ใช้วิธีการรักษาตามอาการ  หากถูกยางที่ผิวหนังให้ล้างยางออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด และทาด้วยครีมสเตียรอยด์  แต่หากเข้าตาควรล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งทันที และควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป

แต่มีบันทึกว่าส่วนใหญ่เป็นอาการตาบอดแบบชั่วคราว ในแถบคาบสมุทรมลายู และพบว่าที่ประเทศซาราวัก นิยมนำเนื้อไม้ชนิดนี้มาเผาให้เป็นถ่าน เพื่อใช้ในการหุงต้ม ในครัวเรือนได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีความระมัดระวังส่วนของน้ำยางให้มาก  แต่ถ้าพิจารณาถึงความเป็นพิษและหลักฐานการใช้ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านแล้ว ไฟเดือนห้าที่เป็นไม้ยืนต้นในตำรายาไทยก็อาจจะไม่ใช่พืชชนิดนี้เช่นกัน

จึงเชิญชวนผู้รู้และคนรุ่นใหม่ๆ ศึกษาค้นคว้าว่าไฟเดือนห้าคือสมุนไพรชนิดใดแน่ๆ ต่อไป  
 มติชนสุดสัปดาห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤษภาคม 2562 16:03:00 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2562 16:03:47 »

.


หนาวเดือนห้า    

ไม่ได้ประชดประชันอากาศร้อนสุดๆ ของเดือนเมษายนปีนี้  แต่กำลังจะพูดถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ใช้แก้ไข้ของเดือนห้าในประเทศไทยที่ร้อนจนทำให้จับไข้  อาการไข้ในเดือนร้อนๆ นี้มักมีอาการหนาวสั่นมาด้วย  หมอพื้นบ้านอีสานจะนำเอาสมุนไพรชื่อ ต้นหนาวเดือนห้า มาเข้ายาดับพิษไข้ จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องสมุนไพรนี้เอง  แต่จากการศึกษาสมุนไพรที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ พบว่า “หนาวเดือนห้า” มีถึง ๓ ชนิด ดังนี้
 
๑ )หนาวเดือนห้า ที่แพทย์แผนไทยเรียกว่า พระขรรค์ไชยศรี ซึ่งมีลักษณะกิ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยม ในบางพื้นที่จึงเรียกว่า เครือเขาเหลี่ยม (ลำปาง) ส่วนของเถามีมือเกาะที่เหนียวมากจึงเป็นที่มาของชื่อท้องถิ่นว่า “เถาวัลย์ปลิง” (ตราด) ในภาคกลางเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า “ฝนแสนห่า” คาดว่าน่าจะมาจากลักษณะของใบที่ดกหนา ปลายเรียวแหลมเหมือนหยดน้ำ ในแถบจังหวัดเลยเรียกว่า “พูพ่อค้า” เพราะใบคล้ายใบพลูและมีการนำมาจำหน่ายเป็นการค้า

หนาวเดือนห้าชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myxopyrum  smilacifolium subsp. smilacifolium เป็นไม้เลื้อย มีการกระจายอยู่ในอินเดีย (แถบอัสสัม เมกฮาลายา) สปป.ลาว เมียนมา ไทยและเวียดนาม มีการใช้เป็นสมุนไพรได้หลายส่วน คือ ลำต้นและใบ แช่น้ำ ทาแก้อาการชาตามแขนขา  ถ้าใช้ทั้งห้า ผสมเปลือกต้นตูมกาขาว (Strychnos nux-blanda A.W. Hill) และผักบุ้งร้วม (Enydra fluctuans DC.) ทั้งต้น นำสมุนไพรทั้ง ๓ ชนิดต้มน้ำดื่ม แก้มะเร็งตับ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นยาอันตราย หากใช้มากเกินไป จะทำให้เหงื่อออกมากจนอาจถึงเสียชีวิตได้

เถา รสเบื่อ เมา เย็น ขับเหงื่ออย่างแรง แก้ไข้ ลดความร้อน ใช้มากเป็นยาอันตรายเนื่องจากขับเหงื่อมากอาจเสียชีวิตได้เช่นกัน

การแพทย์พื้นบ้านจีนและอินเดียใช้เป็นยาแก้หอบหืดและแก้ไอ มีการทดลองในหนูพบว่าสารสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้สามารถนำมาใช้เป็นยาขยายหลอดลมได้

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากส่วนของใบยังใช้เป็นสารช่วยลดการเกิดสภาวะเครียดในร่างกาย สารที่พบคือ iridoid glycoside สารสกัดจากใบมีประสิทธิภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
 
๒) หนาวเดือนห้า ที่มีชื่อท้องถิ่นว่า ช้างสารซับมัน (นครศรีธรรมราช) ซึ่งใช้เป็นชื่อทางราชการไทยว่า ดังอีทก (นครราชสีมา) หนาวเดือนห้า (หนองคาย) โหรา (ปัตตานี) หนาวเดือนห้าชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erycibe elliptilimba Merr. & Chun เป็นไม้รอเลื้อย

มีการกระจายอยู่ในแถบจีนตอนใต้ (กว่างตง เกาะไหหลำ) กัมพูชา สปป.ลาว ไทย เวียดนาม  จากงานวิจัยของโรงพยาบาลศิริราชพบว่า สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำมาใช้รักษาการติดเชื้อและมะเร็งมาเป็นเวลานาน  จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสารสกัดน่าจะมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งเต้านมและทำให้เกิดการหยุดวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็ง  แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาในเรื่องกลไกการต้านมะเร็งต่อไป

การแพทย์ดั้งเดิมของจีนใช้ส่วนของลำต้นและรากเป็นยากระจายลมและลดการเจ็บปวด หมอพื้นบ้านอีสานใช้เป็นยาแก้ไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุ  สำหรับงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากหนาวเดือนห้าชนิดนี้สามารถต้านแบคทีเรียได้หลายชนิดด้วย
 
๓) หนาวเดือนห้า ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erycibe subspicata Wall. ex G. Don มีรายงานว่าพบมากที่ จ.หนองคาย เป็นไม้รอเลื้อยมีการกระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย สิกขิม ภูฏาน เมียนมา ไทย เวียดนาม กัมพูชา จากการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบสารสกัดคือ coumarins สองชนิด ชื่อ scopoletin และ scopolin การพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารทั้งสองนี้ โดยอาศัยข้อมูลทางสเปคโตรสโคปิ ซึ่งสารเคมีดังกล่าวยังไม่เคยมีรายงานว่าพบในพืชชนิดนี้มาก่อน จึงน่าสนใจมาก

หนาวเดือนห้าที่ใช้กันในกลุ่มหมอยาพื้นบ้านภาคอีสาน น่าจะเป็นชนิด Erycibe elliptilimba Merr. & Chun และชนิด Erycibe subspicata Wall. ex G. Don

การใช้ประโยชน์ทางยาปรากฏให้เห็นมากในกลุ่มหมอพื้นบ้าน ตัวอย่างเช่น ตำรับยาของนายสำอาง วงจันทะเลียง ประกอบด้วย เครือผีผ่วน เข็มแดงดง เครือตาปลา เม็ดขาม หมากบ้า จันแดง-ดำ หอม ไค่ จำปาเหลือง ข่าไก่ป่า ดูกแห้ง ดูกไก่ดำ กำแพงเจ็ดชั้น เครืองูเง่า ฮังฮ้อน หนาวเดือนห้า หอยขม หอยทะเล รากเอี่ยนด่อน แก่นจำปาขาว เขากวาง หางกระเบน ขี้นกอินทรีย์ รากพังคี แฮนทำทาน แฮนจงอาง แฮนงูเห่า ก่องก่อยลอดขอน รากข้าวกี่ ทรายเดน นางหวาน รากพิลา รากจำปาน้ำ

นำสมุนไพรทั้งหมดมาฝนรวมกันด้วยน้ำสะอาด ให้ผู้ป่วยกิน ยาที่ประกอบด้วยสมุนไพรจำนวนมากชนิดเช่นนี้เรียกว่า “ยาซุมใหญ่” มักใช้เป็นยารักษาโรคที่เรียกว่าไข้หมากไม้ ซึ่งจัดว่าเป็นโรคประจำถิ่นของคนอีสานซึ่ง เข้าใจว่าโรคนี้เกิดจากแบคทีเรียหรือเชื้อราที่เจริญอยู่บนผลไม้ที่ตกและเน่าอยู่ใต้ต้นไม้ในป่า

เมื่อคนเข้าไปเดินในป่าได้รับเชื้อนี้มาก็จะแสดงอาการไข้ในรูปแบบต่างๆ

ตามภูมิปัญญาอีสานแบ่งอาการของไข้หมากไม้ไว้ถึง ๕๕ อาการ เช่น อาการไข้ที่เรียกว่า “ออกกลอมนางนอน” เป็นอาการไข้ที่มีอาการเท้าเย็น มือเย็น เย็นตั้งแต่หัวถึงเท้า คลำดูที่ไหนก็เย็นไม่มีอุ่นเลย

ที่เรียกว่าไข้หมากไม้ เพราะเข้าใจว่าเชื้อจากหมากไม้หรือที่เรียกในภาษาไทยกลางว่าผลไม้ เป็นสาเหตุของโรค ดังนั้น ข้อคลำหรือข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หมากไม้ ห้ามกินผลไม้ทุกชนิด เป็นต้น

แต่จากการที่ได้มีโอกาสสำรวจข้อมูลกับแพทย์แผนไทยหลายท่านพบว่า ในตำรายาดั้งเดิมก็กล่าวไว้ว่าหนาวเดือนห้าเป็นไม้ยืนต้น ไม่ใช่ไม้เถา ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่าหนาวเดือนห้าในตำรับดั้งเดิมอาจไม่ใช่พระขรรค์ไชยศรีในทุกตำรับ คำถามและการไขปัญหาเหล่านี้ยังควรทำให้กระจ่างชัดหรือศึกษากันต่อไป
  มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2562 16:20:32 »

.


ไอ เจ็บคอ ปรุงยาสมุนไพรใช้เองได้  

ช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ไปไหนมาไหนเจอแต่คนเป็นหวัดคัดจมูก มีอาการไอและบ่นเจ็บคอกันทั่ว

อันที่จริงอาการไอและเจ็บคอที่เกี่ยวเนื่องจากเป็นหวัดนั้น ไม่ได้รุนแรงจนต้องไปเข้าโรงพยาบาล ยกเว้นไอเรื้อรังต่อเนื่องเกินกว่า ๓ สัปดาห์ และไอจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้เกิดจากหวัด เช่น ไอจนมีเลือดออกมาปน ก็ควรไปพบแพทย์ตรวจดูอาการให้ละเอียด

ไอ เจ็บคอ ที่เป็นกันทั่วไปนั้น เราสามารถดูแลตนเองและปรุงยาแก้ไอเจ็บคอใช้เองได้ไม่ยาก
หลายครั้งเราก็หลงลืมภูมิปัญญาประจำบ้านของเราไป

เข้าใจกันง่ายๆ ก่อนว่า อาการไอ เป็นอาการตามธรรมชาติของร่างกายที่พยายามขับสิ่งแปลกปลอมหรืออาจเป็นของเสียในทางเดินหายใจ

อาการไอของคนเป็นหวัดก็คือ ร่างกายจะช่วยขับเสมหะหรือเสลดออกมาจากคอนั่นเอง และบางทีก็มาจากการติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบที่ทางเดินหายใจเนื่องมาจากอาการไข้หวัด ทำให้คออักเสบบ้าง หลอดลมอักเสบบ้าง ก็ทำให้เกิดอาการไอเช่นกัน ก่อนที่จะแนะนำสมุนไพรใกล้ตัวแก้อาการไอ ขอแนะนำการดูแลตนเองที่ง่ายช่วยลดอาการไอได้ดี คือ การรักษาความอบอุ่นบริเวณคอและหน้าอก เพราะถ้าหน้าอกและคอมีความเย็นชื้นจะไปกระตุ้นให้อาการไอกำเริบได้ง่าย ใครที่กำลังไอและอาจเป็นไข้หวัดอยู่นั้น ลองหาผ้าพันคอบางๆ อย่าให้หนามากเพราะอากาศจะถ่ายเทไม่ดี ทำให้อึดอัดได้ แม้ตอนนอนก็หาผ้าพันคอบางๆ พันไว้หลวมๆ เพื่อรักษาความอบอุ่นในร่างกายไว้ แล้วพยายามนอนหลับให้เพียงพอร่างกายก็จะช่วยบำบัดรักษาไปในตัวได้อย่างรวดเร็ว

สมุนไพรหรือยาจากธรรมชาติใกล้ตัวที่สุดที่ช่วยลดอาการไอและเจ็บคอ ซึ่งหาได้ทุกครัวเรือน คือ น้ำธรรมดาๆ แค่ให้ดื่มน้ำธรรมดาให้มากๆ ตลอดวันก็จะมีส่วนลดหรือเจือจางเสมหะ ช่วยลดการระคายเคืองบริเวณคอ บางคนที่มีอาการคอแห้งแล้วทำให้ไอนั้น น้ำก็ไปช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นลดอาการไอได้
ถ้าน้ำธรรมดายังรู้สึกแก้ไอไม่ดีนัก ก็ให้จิบน้ำอุ่นๆ บ่อยๆ ก็จะช่วยขับเสมหะออกมาได้ดียิ่งขึ้น ก็ช่วยลดอาการไอ บางรายใช้วิธีว่า ตื่นเช้ามา ให้เอาเกลือสักครึ่งช้อนชาผสมลงในน้ำ ๑ แก้ว เอามากลั้วคอ แล้วก็ดื่มน้ำเกลือแบบนี้ด้วย ช่วยลดอาการไอและเจ็บคอได้

มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเก็บความรู้จากชุมชนตั้งแต่ราวปี ๒๕๒๘ พบสูตรยาแก้ไอที่ทำมาจากน้ำแช่ข้าวเหนียว  วิธีทำ นำข้าวเหนียวมา ๑ กำมือ ล้างน้ำก่อน แล้วแช่ในน้ำสะอาดที่จะใช้ดื่มได้เลย ให้แช่ทิ้งไว้ ๒-๓ ชั่วโมง กรองเอาแต่น้ำไว้ กินครั้งละอึกสองอึก ทุกๆ ๓-๔ ชั่วโมง บางครั้งก็อาจผสมเกลือเล็กน้อยในน้ำแช่ข้าวเหนียวก่อนจะกินแก้ไอเจ็บคอก็ได้ ตามธรรมดาที่ชาวอีสานซึ่งหุงกินข้าวเหนียวประจำนั้น ก่อนที่จะนึ่งข้าวเหนียวก็ต้องเอาข้าวมาแช่น้ำ เรียกว่า น้ำหม่าข้าว น้ำนี้เอามากินแก้ไอ ขับเสมหะได้ ปัจจุบันถ้าจะปรุงให้สะอาด ก็นำน้ำหม่าข้าวนี้มาตั้งไฟให้เดือดก่อน แล้วใส่เกลือเล็กน้อย กินเป็นยาแก้ไอ สูตรโบราณได้เช่นกัน

นํ้าอุ่น หรือน้ำที่นำมาปรุงเข้ากับสมุนไพรอีกหลายชนิดก็เป็นยาแก้ไอแก้เจ็บคอได้ ที่หาง่ายทำง่าย เช่น น้ำคั้นมะนาวผสมน้ำธรรมดา แต่งด้วยน้ำผึ้งและเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ แก้เจ็บคอได้ดี บางครั้งใช้สูตรร้อน คือ ชงชาอุ่นๆ แล้วบีบน้ำมะนาวใช้จิบกินแก้อาการไอก็ได้ บางครั้งชงน้ำขิงอุ่นๆ โดยฝานขิงแก่สด เป็นแผ่นบางๆ เทน้ำร้อนลงไป ปิดฝาถ้วยไว้สัก ๕-๑๐ นาที รอจนยาออกฤทธิ์และน้ำขิงหายร้อนพอจิบได้ก็เป็นยาแก้ไอเจ็บคอได้

ยาแก้ไอสูตรนิยมอีกขนานคือ มะขามป้อม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายมากมาย แต่ถ้าใช้วิธีพึ่งตนเองที่ง่ายที่สุด ก็หามะขามป้อมผลแก่สดๆ ๒-๓ ลูก เอามาตำให้เนื้อมะขามป้อมพอแหลก แล้วเอาเนื้อมาจิ้มเกลือเล็กน้อย อมไว้สักครู่หรือค่อยเคี้ยวกินให้รสยามะขามป้อมออกบริเวณคอ ก็จะช่วยอาการไอและเจ็บคอได้  แต่อยากแนะนำสูตรยาแก้ไอแก้เจ็บคอสูตรเด็ดที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขภาพไทย และญาติมิตรใกล้ใช้เป็นประจำ ยามเมื่ออาการไอและเจ็บคอไม่ยอมหายสักที ก็ต้องทนรสขมของต้นฟ้าทะลายโจร ในตำรับยาดั้งเดิม ให้ใช้ใบสดๆ เด็ดมา ๑ ใบ ล้างน้ำสะอาด นำมาอมไว้ในปาก ค่อยขบใบให้ตัวยาออกมาที่คอ ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ออกมาช่วยบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ลดไข้ จึงช่วยทั้งอาการไอเจ็บคอและอาการไข้หวัดด้วย

แต่ถ้าหาต้นสดทำยายาก แนะนำให้หายาฟ้าทะลายโจร ที่ทำแบบเม็ดลูกกลอนตามตำรับวิธีทำดั้งเดิม ซึ่งทางมูลนิธิสุขภาพไทยบุกเบิกทำมากว่า ๓๐ ปี ที่สำนักงานจึงมีผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรลูกกลอนอยู่ประจำสำนักงานและบ้านของเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งด้วย พอก่อนนอนก็อมเม็ดยาลูกกลอนฟ้าทะลายโจร ๑ เม็ด ถ้าทนความขมไหวก็อมจนละลายหมด

ถ้ามือใหม่อดทนอมไว้สัก ๕-๑๐ นาที แล้วกลืนยาลงไป พอตื่นเช้าอาการไอและเจ็บคอจะลดลงมาก และร่างกายจะช่วยขับเสมหะออกมามากด้วย

แนะนำว่า ในเวลากลางวันก็อดทนกับความขมสัก ๒ รอบ เช้าอมยาเม็ดฟ้าทะลายโจรสัก ๑ เม็ด แล้ว บ่ายอีกสักครั้ง เชื่อแน่ว่าบรรเทาอาการไอและเจ็บคอลงไปได้มาก แล้วอย่าลืมที่แนะนำไว้ในการดูแลสุขภาพข้างต้น พร้อมดื่มน้ำมากๆ ให้ดียิ่งขึ้น หายไข้หายไอแล้ว ควรหมั่นออกกำลังกาย โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ค่อยมารบกวนเรา
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ภูมิปัญญาล้านนา ปั้นยาให้เป็นลูก (ลูกกลอน)  

การทำยาลูกกลอนมี วิธีปรุงยา หลายวิธี เช่น

๑) นำสมุนไพรที่แห้งมาบดเป็นผงแล้วปั้นเป็นลูก โดยใช้ตัวประสาน คือ น้ำ ซึ่งมีการใช้หลายชนิด เช่นน้ำที่ได้จากการนึ่งข้าว น้ำผึ้ง หรือน้ำคั้น น้ำต้ม จากหญ้าฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) และอื่นๆ

๒) นำสมุนไพรที่แห้ง ตำเป็นผงแล้ว ชุบน้ำยาที่มีสรรพคุณเสริมฤทธิ์ตัวยา เช่น น้ำฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) แล้วตากแดดให้แห้ง โดยอาจทำหลายครั้ง และเปลี่ยนน้ำยาชุบตัวอื่นแล้วปั้นเป็นลูกกลอน

ตัวอย่างตำรับยา ยาสีมุนหลวง เอาใบหัสกึน ใบมะข่าง ใบพิดพิวทั้ง ๒ (เจตมูลเพลิงขาว เจตมูลเพลิงแดง) ใบข่า ใบปูเลย (ไพล) ใบบูราทั้ง ๒ (บัวราขาว บัวราดำ) ใบผีเสื้อทั้ง ๒ (คนทีสอขาว และ คนทีสอดำ) ใบเปล้าทั้ง ๒ (เปล้าน้อย เปล้าใหญ่) เอาเท่ากัน แล้วตำผง ตำเอาน้ำผักแคบ (ตำลึง) ชุบตาก ๓ ที ชุบน้ำผักหนอก ๓ ที ชุบน้ำฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) ตากแดด ๓ ที แล้วปั้นลูกกลอนไว้ใช้เทอะ ใช้เมื่อมีดบาด (พร้าถูก) กรณีอื่น น้ำยาที่ใช้ชุบ เช่น เปลือกกุ่มน้ำ เปลือกกุ่มบก เปลือกผักอีลืม (มะรุม) น้ำปูเลย (ไพล)

๓) นำสมุนไพรแช่น้ำ หรือสุราหรือน้ำสมุนไพรอื่นเป็นเวลา เช่น ๑ วัน ๓ วัน หรือ ๗ วัน แล้วนำมาปั้นเป็นลูกกลอน บางครั้งก็อาจผสมสมุนไพรอื่นหรือไม่ก็ได้ ยาลูกกลอนที่ได้นำไปตากแดดให้แห้ง

การทำยาลูกกลอนมี วิธีปรุงยา หลายวิธี เช่น
๑) นำสมุนไพรที่แห้งมาบดเป็นผงแล้วปั้นเป็นลูก โดยใช้ตัวประสาน คือ น้ำ ซึ่งมีการใช้หลายชนิด เช่นน้ำที่ได้จากการนึ่งข้าว น้ำผึ้ง หรือน้ำคั้น น้ำต้ม จากหญ้าฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) และอื่นๆ

๒) นำสมุนไพรที่แห้ง ตำเป็นผงแล้ว ชุบน้ำยาที่มีสรรพคุณเสริมฤทธิ์ตัวยา เช่น น้ำฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) แล้วตากแดดให้แห้ง โดยอาจทำหลายครั้ง และเปลี่ยนน้ำยาชุบตัวอื่นแล้วปั้นเป็นลูกกลอน

ตัวอย่างตำรับยา ยาสีมุนหลวง เอาใบหัสกึน ใบมะข่าง ใบพิดพิวทั้ง ๒ (เจตมูลเพลิงขาว เจตมูลเพลิงแดง) ใบข่า ใบปูเลย (ไพล) ใบบูราทั้ง ๒ (บัวราขาว บัวราดำ) ใบผีเสื้อทั้ง ๒ (คนทีสอขาว และ คนทีสอดำ) ใบเปล้าทั้ง ๒ (เปล้าน้อย เปล้าใหญ่) เอาเท่ากัน แล้วตำผง ตำเอาน้ำผักแคบ (ตำลึง) ชุบตาก ๓ ที ชุบน้ำผักหนอก ๓ ที ชุบน้ำฮ่อมเกี่ยว (กะเม็ง) ตากแดด ๓ ที แล้วปั้นลูกกลอนไว้ใช้เทอะ ใช้เมื่อมีดบาด (พร้าถูก) กรณีอื่น น้ำยาที่ใช้ชุบ เช่น เปลือกกุ่มน้ำ เปลือกกุ่มบก เปลือกผักอีลืม (มะรุม) น้ำปูเลย (ไพล)

๓) นำสมุนไพรแช่น้ำ หรือสุราหรือน้ำสมุนไพรอื่นเป็นเวลา เช่น ๑ วัน ๓ วัน หรือ ๗ วัน แล้วนำมาปั้นเป็นลูกกลอน บางครั้งก็อาจผสมสมุนไพรอื่นหรือไม่ก็ได้ ยาลูกกลอนที่ได้นำไปตากแดดให้แห้ง

๔) เตรียมยาลูกกลอนเหมือนข้อแรกแล้ว แต่นำมาทำต่อโดยแช่ลงในน้ำยาสมุนไพรที่ต้องการเพิ่มฤทธิ์ แล้วจึงเอาออกตากแดด ๓ ครั้งเก็บไว้กิน ตัวอย่าง ตำรับยาแก้ลูกน้อย (หมายถึงยาแก้อาการที่เป็นยาเม็ดเล็ก)  “ท่านให้เอาหัสสคึนห้าบาท เทียนดำ สิบสองบาท แล้วเอามารวมกัน ตำเอาฮ่อมเกี่ยวเป็นน้ำ แช่ยาไว้ ๑ คืน แล้วเอามาปั้นเป็นลูกตากแห้ง แล้วสักกัตวาสรูป ๗ ครั้งหรือ ๗ ที เอาไว้ใช้เทอะ เป็นสันนิบาตใส่น้ำอุ่นน้ำขิงกิน เป็นเหน็ดเหนื่อยเมื่อยตัว ใส่น้ำผึ้งกิน ไข้สั่นใส่น้ำมันงาทา ใส่น้ำอุ่นกิน เลือดดังตก ใส่น้ำเหล้า น้ำผึ้งกิน เจ็บหัว มะแคว้งเป็นน้ำ ยานี้ใส่ตบหัวดีและเป็นนิ่วใส่น้ำเยี่ยววัวดำกิน เป็นไอ ใส่เหล้ากิน ตำรับนี้มีการยักกระสายตามอาการ การเตรียมใช้พิธีกรรมประกอบด้วย”

ยาแก้ลูกน้อย อีกตำรับหนึ่งกล่าวไว้ “ให้เอาแก่นหมากซักหนุ่ม ในยังขาวอยู่นั้นทั้งเปลือก ทั้งแก่นใน ขั้วหื้อผ่อย (คือคั่วให้กรอบ) บูราขาว เทียนดำ ๑๐ พริกน้อย ๑๐ ขิง ๒๐ ข่า ๓๐ หอมขาว ๓ กีบ ขั้วจุอัน (ขั้วทุกชนิด) บดให้ละเอียด น้ำสุราแช่ไว้คืนหนึ่งแล้ว ปั้นเป็นลูกเท่าพริกน้อย ไว้กินหายพยาธิ เจ็บหัวมัวตา เจ็บท้อง เจ็บอก…”

ยาห้ามลงท้อง “เมื่อเป็นระดู เอาเอิบเชย (คืออบเชย) ไม้เนาใน พริกน้อย ๗ ลูก ผีเสื้อ ๗ ยอด ขิง ๗ กลีบ ปั้นลูกกลอน แล้วเอาแหนเครือ เอายาลูกกลอนลงแช่ แล้วเอาออกตากแดดหื้อพอ ๓ ที แล้วเอาไว้กินหาย”

ยาธาตุ “เอาใบมะปินหนุ่ม (มะตูม) ๓ ร้อย ปิ๊ดปิวแดง (เจตมูลเพลิงแดง) ๓ ร้อย จุ่งจาริง (บอระเพ็ด) สามร้อยหญ้าเยี่ยวหมู ๓ ร้อย ขิงแกง ๖ ร้อย โขงขะเมา ๖ ร้อย เปลือกกุ่ม ๑๐ ร้อย พริกน้อย (พริกไทยดำ) ๖ ร้อย ลูกส้มจีน ๖ ร้อย มะข่าง ๓ ร้อย ตำผงให้ละเอียดแล้ว เอาน้ำผึ้งปัน (พัน) หนึ่ง” (ความหมาย ๑,๐๐๐ เท่ากับน้ำประมาณ ๑ ขวดน้ำปลา ในที่นี้ ถ้าเอายาใส่ให้ได้เต็มขวด เท่ากับ ๑,๐๐๐) มาหุงกับยาผสมกันแล้ว ทำเป็นลูกเท่าลูกมะทัน กินวันละ ๑ ลูก ให้ครบ ๑๐ วัน พยาธิหายหมด

ยาธรณีจันทร์คาด “มหาหิง ๑ บาท ยาดำ ๑ บาท การบูน ๑ บาท ลูกจันทร์ ๑ บาท พริกไทย ๔ บาท ตำผงผสมกันน้ำมะกรูดเป็นกระสาย ปั้นเป็นลูกเท่า ลูกพุทรา หรือลูกมะแคว้งขม (ลูกมะแว้ง)” กินครั้งละ ๕ ลูก เป็นยาระบายโรคลมต่างๆ ได้ดีนัก

การกินยาลูกกลอนตามแบบฉบับภูมิปัญญาล้านนาไม่ได้กินเป็นเม็ดๆ เท่านั้น  พบว่าบางครั้งจะนำเอายาลูกกลอนแช่ในน้ำธรรมดา หรือแช่ในเหล้า ก่อนจะกินด้วย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่น่าสนใจเพราะช่วยทำให้ยาแตกสลายตัวหรือละลายยาก่อนที่จะกินเข้าไปนั่นเอง นักวิชาการจากล้านนาที่คลุกคลีงานภูมิปัญญาด้านสุขภาพล้านนา พบว่ากิ๊กยาหรือการปั้นยาให้เป็นลูกของล้านนานั้น มีสิ่งน่าสนใจ ๓ ประการ คือ การนำยาลูกกลอนที่เตรียมมาแช่หรือชุบในสมุนไพรทำให้การรักษาได้หลากหลายมากขึ้น และเป็นการเพิ่มฤทธิ์หรือเสริมฤทธิ์สรรพคุณด้วย  การเตรียมยาที่มักเทียบเคียงขนาดและน้ำหนักยาที่แน่นอน เพื่อให้ขนาดยาเท่ากันทุกเม็ด โดยใช้ขนาดของผลสมุนไพรเป็นเกณฑ์ และที่น่าสนใจคือ ยาลูกกลอนเตรียมไว้ไม่จำเป็นที่จะใช้กินเป็นยาภายใน แต่เตรียมไว้ใช้เป็นยาทาภายนอกได้ด้วย  ภูมิปัญญาดั้งเดิมช่างน่าสนใจก็ตรงนี้
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



น้ำมันหมอเดชา ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นยานอนหลับที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพองค์รวม  

มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ รับรองตำรับยาหมอพื้นบ้าน ๒ ตำรับ ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ คือ ตำรับน้ำมันจอดกระดูก ของหมอนาด ศรีหาตา จังหวัดกาฬสินธุ์ และตำรับน้ำมันหมอเดชา ของหมอเดชา ศิริภัทร จังหวัดสุพรรณบุรี

ตำรับแรกเป็นยาทาถูนวดภายนอกที่ใช้สำหรับการต่อกระดูก

ส่วนตำรับที่สองเป็นยารับประทานที่มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ แก้ลมประกังหรืออาการปวดข้างเดียว ในที่นี้จะขอกล่าวถึงตำรับน้ำมันหมอเดชา ซึ่งกำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์

จากกรณีอาจารย์เดชาประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกือบเป็นผู้ต้องหาครอบครองกัญชาเถื่อน กลายมาเป็นหมอพื้นบ้านหมาดๆ คนแรกและคนเดียวแห่งเมืองขุนแผนแสนสะท้าน  ความดังของน้ำมันเดชา จากน้ำมันเถื่อนกลายเป็นน้ำมันถูกกฎหมายก็คือ ผู้ป่วยนับหมื่นคนที่ได้รับแจกน้ำมันเดชาฟรีมีความพอใจในผลของการใช้ยาที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นจนถึงขนาดที่ร่ำลือกันว่า “กัญชาเป็นยาวิเศษ” ทำให้เสียงเรียกร้องให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ในเมืองไทยอย่างถูกกฎหมายดังกระหึ่มยิ่งขึ้นทุกที แม้ค่านิยมสังคมไทยจะรังเกียจการกินเหล้าเมากัญชา

แต่ในศาสตร์การแพทย์แผนไทยมีการใช้ตำรับยาผสมกัญชาเพื่อรักษาโรคมาช้านาน ในขณะที่แพทย์แผนฝรั่งเพิ่งเริ่มรู้จักนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์เมื่อ ๒๐ กว่าปีมานี้เอง แม้หมอฝรั่งจะรู้จักใช้กัญชาทีหลัง แต่ก็ดังล้ำหน้าไปกว่าพี่หมอไทยมาก จนหมอฝรั่งอย่างราฟาเอล มีชูแลม ได้รับยกย่องให้เป็นบิดากัญชาโลก เพราะได้รับรางวัลโนเบล สาขาวิทยาศาสตร์ชีวเคมีและฟิสิกส์จากผลงานค้นพบเภสัชสารในกัญชาที่ชื่อว่า แคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่อยู่ในสมองของมนุษย์ที่เรียกว่า เอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid) แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ท่านพบว่าสารสำคัญในกัญชาช่วยให้ระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (ECS-Endocannabinoid System) ในร่างกายทำงานเยียวยารักษาโรคและฟื้นฟูระบบสรีระต่างๆ ให้เป็นปกติ

ท่านถึงกับสรุปว่า “แทบจะไม่มีระบบสรีระใดในร่างกายที่ ESC ไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ของระบบนั้นๆ” พูดชัดๆ ก็คือ สารแคนนาบินอยด์ของกัญชา มีความเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคเกือบทุกโรคในร่างกายมนุษย์นั่นเอง  บิดากัญชาโลกชาวยิวท่านนี้ยังตั้งชื่อสารแห่งความความสุขในสมองมนุษย์ที่สารกัญชาช่วยสร้างขึ้นมาว่า “อานันดาไมด์” (Anandamide) ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า “อานันท์” แปลว่า ความยินดีปรีดา และสารความสุขอานันดาไมด์นี้เองที่ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายให้เข้มแข็ง ซึ่งสอดคล้องกับสรรพคุณของกัญชาในยาไทยที่ระบุว่ากัญชาเป็นยานอนหลับ รักษาสรรพโรค ช่วยให้มีกำลัง กินข้าวได้ เช่น ตำรับยาศุขไสยาสน์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ช่วยให้นอนหลับอย่างมีความสุข (สอดคล้องการพบสารแห่งความสุขอานันดาไมด์ในยุคปัจจุบัน)  ขณะนี้กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้เริ่มผลิตตำรับกัญชายาศุขไสยาสน์เพื่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง เช่นเดียวกับน้ำมันหมอเดชา ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยฯ กำลังผลิตยาตำรับนี้เพื่อผู้ป่วยในเดือนกันยายนนี้  ต้องขอบอกกล่าวข่าวดีว่า อาจารย์เดชา ศิริภัทร ได้มอบตำรับยาของท่านให้เป็นสมบัติของชาติไปเรียบร้อยโรงเรียนกระทรวงสาธารณสุขแล้ว

อาจารย์เดชามอบตำรับยาของท่านให้เป็นโอสถทานแก่สาธารณชน โดยมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนพึ่งตัวเองในทางยาที่มีราคาแพง

จึงสมควรที่คนไทยจะได้รู้จักการปรุงยาตำรับนี้ไว้เริ่มจากการเตรียมเครื่องยา ประกอบด้วยดอกกัญชาแห้ง ๑๐๐ กรัม และน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น ๑,๐๐๐ มิลลิลิตร

ขั้นตอนการปรุงยา : ตั้งน้ำมันมะพร้าวในกระทะร้อนในระดับอุณหภูมิ ๑๒๐ องศาเซลเซียส คงที่ โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด จากนั้นจึงใส่ดอกกัญชาลงไปเจียวในน้ำมัน ใช้เวลา ๓๐ นาทีจึงดับไฟและใช้กระชอนตักกากกัญชาออกมา น้ำมันในกระทะที่ได้คือ “น้ำมันหมอเดชา” ที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะของกัญชาซึ่งเป็นกลุ่มสารเทอร์ปีน (Terpenes) ที่ได้จากการสกัดด้วยน้ำมันมะพร้าว ซึ่งนอกจากช่วยให้น้ำมันหมอเดชาหอมหวนชวนรับประทานแล้วยังเสริมฤทธิ์การหลับลึกอีกด้วย

มีคำถามว่าทำไมต้อง ๑๒๐ องศาเซลเซียส  

นี่คือเคล็ดลับของการหุงน้ำมันกัญชา ณ องศานี้แหละ เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้เกิดกระบวนการดีคาร์บ็อกซีเลชั่น (Decarboxylation) คือ การถอดกลุ่มคาร์บอกซิล (Carboxyl :-COOH) ออกจากโครงสร้างเคมีของกัญชา เพื่อให้ได้อนุพันธุ์กัญชาที่ออกฤทธิ์ยาที่มีประสิทธิผลมากที่สุดนั่นเอง แต่ทั้งนี้ต้องใช้เวลา ๒๐-๓๐ นาที เพราะถ้าหุงนานเกินกว่านี้ก็จะได้อนุพันธุ์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่สารกลุ่มแคนนาบินอยด์ที่ตรงกับสารในสมองมนุษย์ ขนาดการใช้น้ำมันยาเพื่อช่วยให้นอนหลับ สำหรับผู้ใหญ่ควรเริ่มต้นที่ ๕ หยดใส่ช้อนรับประทานครั้งเดียวก่อนนอน

สำหรับเด็กลดลงตามส่วนอายุและน้ำหนัก ถ้าหากขนาดการใช้ดังกล่าวยังไม่ได้ผลภายใน ๕-๗ วัน ให้ปรับขึ้นเป็น ๘-๑๐ หยด หรือมากกว่านี้จนกว่าจะช่วยให้หลับลึก

ข้อควรระวังคือ ห้ามใช้น้ำมันยาในขนาดที่ทำให้เมา เมื่อได้ขนาดยาที่เหมาะสมแล้วสามารถใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะสูตรน้ำมันหมอเดชาเป็นสูตรฤทธิ์อ่อน (microcode) สามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน โดยสามารถใช้ต่อเนื่องอย่างปลอดภัยจนกว่าโรคหายจึงชะลอการใช้หรือเว้นระยะการใช้ห่างออกไป

“น้ำมันหมอเดชา” เป็นนิมิตหมายของความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน ที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

จึงขอให้ผู้ที่ต้องการยาฟังข่าวจากกรมการแพทย์แผนไทยฯ ว่า “น้ำมันหมอเดชา” ล็อตแรกจำนวนแสนขวด (ขนาดบรรจุ ๕ มิลลิลิตร) จะประกาศให้ใช้ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งใด เพื่อจะได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครผู้ป่วยในโครงการวิจัยน้ำมันหมอเดชา กับโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านท่านมากที่สุด นอกจากผู้ป่วยจะได้รับน้ำมันกัญชาที่มีมาตรฐานฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายแพงให้กับกัญชาใต้ดินแล้ว ท่านยังมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการพัฒนาคุณภาพตำรับยากัญชาไทยให้ก้าวไกลอีกด้วย
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



บุนนาค นากบุด และบุนนาคน้ำ  

สมุนไพร ๓ ชนิดนี้จะเปรียบเปรยเรียกกันว่า ๓ มิตรก็น่าจะได้  แต่ในทางวิชาการนับว่าลึกซึ้งกว่านั้น เพราะอยู่สายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่เรียกว่า พืชในสกุลเดียวกัน คืออยู่ในสกุลเดียวกับบุนนาค หรือสกุล Mesua ซึ่งมีรายงานพบในประเทศไทย ๓ ชนิดด้วยกัน คือ

บุนนาค Mesuaferrea L. ชื่อสามัญ Ceylon ironwood

นากบุด Mesua nervosa Planch. &Triana ชื่อสามัญ Chestnut ironwood

บุนนาคน้ำ Mesua ferruginea (Pierre) Kosterm.

คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับต้นบุนนาคมากกว่าต้นบุนนาคน้ำและต้นนากบุด เนื่องจากบุนนาค เป็นสมุนไพรที่มีการใช้ในยาไทยหลายตำรับ

บุนนาคเป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นเปลา สูงได้ถึง ๓๐ เมตร เรือนยอดทึบ และแคบ ทรงพุ่มใหญ่เป็นรูปเจดีย์ มีพูพอนเล็กน้อยตามโคนต้น กิ่งก้านเรียวเล็กห้อยลง เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกตื้นๆ หลุดร่วงง่าย เปลือกชั้นในมีน้ำยางสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย เนื้อไม้สีแดงคล้ำ เป็นมันเลื่อม ใบอ่อนสีชมพูแดง ห้อยลงเป็นพู่ จะออกพร้อมกันทั้งต้นในช่วงไม่กี่วันในแต่ละปี ใบเป็นใบเดี่ยว ปลายใบเรียวแหลม ดอกเดี่ยว หรือเป็นคู่ที่ซอกใบ หรือปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว มี ๕ กลีบ ซ้อนกัน ดอกเมื่อบานเต็มที่มีกลิ่นหอมเย็นไปได้ไกล ผลสด รูปไข่ แข็งมาก เมล็ดแบน แข็งมี ๑-๔ เมล็ด สีน้ำตาลเข้ม  ในธรรมชาติพบบุนนาคได้ตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง

การใช้ประโยชน์ ยอดอ่อนบุนนาคกินได้แบบผักจิ้ม มีรสเปรี้ยวอมฝาด ในตำรายาไทยใช้ส่วนดอกที่มีกลิ่นหอมเย็น รสขมเล็กน้อย เป็นยาฝาดสมาน บำรุงธาตุ และขับลม แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืดตาลาย ใจสั่น ชูกำลัง บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจให้แช่มชื่น แก้ร้อนในกระสับกระส่าย รักษาอาการร้อนอ่อนเพลีย  แก้กลิ่นสาบในร่างกาย  เมื่อใช้เป็นตำรับยาไทยนั้น นำเกสรบุนนาคเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งห้า ได้แก่ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง และเกสรทั้งเจ็ด ที่เพิ่มดอกจำปา และดอกกระดังงา และเกสรทั้งเก้า ที่เพิ่มดอกลำดวน และดอกลำเจียกด้วย

ตำรับยาเกสรที่กล่าวไว้ จะมีสรรพคุณในกลุ่มเหล่านี้ คือ บำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในกระสับกระส่าย  นอกจากนี้ หากใช้บุนนาคอย่างเดียวก็มีการใช้เป็นเครื่องหอมเพราะกลิ่นหอมมาก ใช้แต่งกลิ่นต่างๆ ใช้ในการเข้าเครื่องยา เป็นยาฝาดสมาน บำรุงธาตุ แก้ไอ แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน ดับกระหาย บำรุงโลหิต และยังบดให้เป็นผงผสมกับเนยเหลว เป็นยาพอกแก้ริดสีดวงทวาร

นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยจากดอกบุนนาคมีสาร mesuol และ mesuone ที่มีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะ คือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค น้ำมันจากเมล็ดก็มีฤทธิ์เหมือนน้ำมันจากดอกด้วย

ในภูมิปัญญาสมุนไพรยังใช้น้ำมันจากเมล็ดรักษาโรคปวดตามข้อ และใช้ทารักษาโรคผิวหนัง  สำหรับใบซึ่งมีรสฝาดนำมาใช้รักษาบาดแผลสด พอกบาดแผลสด  ใช้เป็นยาสุมหัวแก้ไข้หวัดได้โดยตำเป็นยาพอกผสมน้ำนมและน้ำมันมะพร้าว  แก่นมีรสเฝื่อนใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน  รากมีรสเฝื่อนใช้ขับลมในลำไส้   เปลือกต้นมีรสฝาดร้อนเล็กน้อย ใช้เป็นยาฟอกน้ำเหลือง เปลือกมียางมากแต่ก็เป็นยาฝาดสมานและมีกลิ่นหอมเล็กน้อย นำเปลือกมาต้มรวมกับขิงกินเป็นยาขับเหงื่อได้ กระพี้มีรสเฝื่อนเล็กน้อย แก้เสมหะในคอ

ต้นบุนนาค มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน พม่า ไทย คาบสมุทรมาเลเซีย และสิงคโปร์  สำหรับในประเทศไทยพบมากในภาคเหนือ มีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ เช่น สารภีดอย (เชียงใหม่) ก๊าก่อ ก้ำก่อ (แม่ฮ่องสอน) ปะนาคอ ประนาคอ (ปัตตานี)

ในเอกสารและสื่อต่างๆ มีชื่อท้องถิ่นเรียกว่านาคบุตร นากบุต รากบุค ด้วย ซึ่งแต่เดิมมีการจัดจำแนกว่า บุนนาคและนากบุด เป็นไม้ชนิดเดียวกัน  ต่อมาในเอกสารของหอพรรณไม้ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ได้แยกต้นนากบุดออกเป็นอีกชนิดหนึ่งคือ นากบุด Mesua nervosa Planch. &Triana ชื่อสามัญ Chestnut ironwood  

นากบุด เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่  มีการกระจายพันธุ์อยู่ในป่าดิบชื้นของภาคใต้ เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ผลัดใบ มีความสูงของลำต้นตั้งแต่ ๑๐ เมตรไปจนถึง ๒๕ เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาเป็นทรงพุ่มแน่นทึบคล้ายพีระมิด เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้ภายในมีสีขาวนวล มีความแข็งและเหนียว ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน แผ่นใบเรียบมีสีเขียวเป็นมัน แข็ง หนา และค่อนข้างกรอบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ดอกมีสีขาว ลักษณะคล้ายดอกบุนนาค ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจตลอดทั้งวันเช่นกัน เมื่อดอกบานเต็มที่ก็จะร่วงโรยไปภายในวันเดียวกัน เมื่อต้นแก่ทุกส่วนของนากบุด ทั้ง เปลือก ดอก ผล ต้น ราก ใบ ล้วนมีคุณค่าทางสมุนไพรทั้งสิ้น และยังนิยมปลูกเป็นไม้ประดับด้วย เนื่องจากมีทรงพุ่มแน่นทึบและให้ดอกกลิ่นหอมสวยงาม  จากความรู้ในท้องถิ่นได้กล่าวไว้ว่านาคบุดต่างจากบุนนาคตรงที่ใบมีความอ่อนมากกว่า จึงนิยมนำไปทำเป็นผัก กินเป็นอาหาร และนากบุดเป็นพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อไม้ที่อนุญาตให้ปลูกได้ในสวนป่า

สําหรับ บุนนาคน้ำ เป็นพืชขนาดเล็กชอบขึ้นตามริมฝั่งน้ำพบได้ในแถบอันดามัน มีจำนวนประชากรน้อย ไม่ปรากฎรายละเอียดของพืชชนิดนี้มากนัก
และไม่มีรายงานการใช้ประโยชน์พืช ๓ ชนิดมีชื่อคล้ายกัน มีความน่าสนใจที่นำมาเรียนรู้ให้เกิดการใช้ประโยชนอย่างเต็มที่ต่อไป
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 พฤศจิกายน 2562 16:23:25 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2562 16:24:47 »

.


เสม็ดขาว ราชินีไม้ป่าริมทะเล    

กล่าวกันว่า เสม็ดขาวจัดได้ว่าเป็นราชินีแห่งไม้ในป่าริมทะเล 

มารู้จักข้อมูลทางวิชาการกันก่อน ในประเทศไทยรายงานว่าพบอยู่ ๒ ชนิด คือชนิด Melaleuca cajuputi Powell มีชื่อท้องถิ่น เสม็ด (ทั่วไป) เสม็ดขาว (ภาคตะวันออก) เหม็ด (ภาคใต้)  ชื่อสามัญว่า Cajeput tree, Milk wood, Paper bark tree ส่วนอีกชนิดหนึ่ง คือ Melaleuca leucadendra (L.) L. เป็นไม้ต่างถิ่น มีชื่อสามัญเรียกว่า Cajeput tree, River cajeput tree, Weeping paperbark tree, White tea tree

เสม็ดขาวมีการกระจายพันธุ์อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เมียนมา ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไปจนถึงออสเตรเลีย

เสม็ดขาวจัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ชมพู่ (Myrtaceae) เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นได้ถึง ๒๕ เมตร มีเรือนยอดแคบเป็นพุ่มทรงสูง ลำต้นมักบิด เปลือกลำต้นเป็นสีขาวนวลจนถึงสีน้ำตาลเทา มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ เรียงซ้อนกันเป็นปึกหนานุ่ม ลอกออกได้เป็นแผ่นๆ ตามยอดอ่อน ใบอ่อน และกิ่งอ่อนมีขนสีขาวเป็นมันคล้ายเส้นไหมขึ้นปกคุม ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปใบหอก ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด โดยจะออกตามซอกใบหรือใกล้กับปลายกิ่ง และกิ่งมักห้อยลง  ผลเป็นผลแห้ง แตกออกได้เป็นพู ๓ พู ลักษณะของผลเป็นรูปถ้วย ปลายปิด ขนาดเล็ก ผลแก่เป็นสีน้ำตาลอมเทาถึงสีคล้ำ ผลแห้งแตกด้านบน ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งออกดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี

การขยายพันธุ์ใช้วิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีมากในสภาพที่ลุ่มมีน้ำขัง มักพบได้ทั่วไปตามชายทะเล ป่าชายหาดใกล้ทะเล ในที่ลุ่มมีน้ำขัง ตามขอบของป่าพรุ ในประเทศไทยพบต้นเสม็ดขาวได้มากทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้  ส่วนในต่างประเทศพบได้ที่พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

เสม็ดขาวเป็นพืชที่มีการนำมาใช้ประโยชน์กันมาก โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย ใบสดนำมาใช้กลั่นทำเป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งใช้เฉพาะยอดอ่อน (ไม่ควรใช้ใบแก่เกินไป) และควรเก็บจากต้นที่อยู่บนที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง น้ำมันที่กลั่นได้เรียกว่า “น้ำมันเขียว” (Cajuput oil) หรือ “น้ำมันเสม็ด” ซึ่งจะมีกลิ่นคล้ายกับการบูร  น้ำมันเสม็ดนี้มีคุณสมบัติในทางยาคล้ายกับน้ำมันยูคาลิปตัส แต่มีสีเหลืองอ่อน  ร้อยละ ๖๐ มีสาระสำคัญ คือ 1, 8-cineole ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย  เป็นน้ำมันที่ไม่เป็นพิษ และทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อยมาก จึงมีการนำมาทำเป็นน้ำยาไล่ยุงหรือแมลงและใช้เป็นน้ำยาแต่งกลิ่นในสบู่และเครื่องสำอางได้เป็นอย่างดีด้วย

สรรพคุณยาสมุนไพร ใบสดมีรสขมหอมร้อน กินช่วยขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบ ใช้เป็นยาขับลม แก้จุกเสียด ท้องอืด ท้องขึ้น ถ้ากินมากจะเป็นยาขับพยาธิ และมีฤทธิ์ทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ยังช่วยแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อในกระเพาะลำไส้ และยังใช้ทำเป็นยาหม่องแก้ปวดศีรษะ ปวดหู และใช้อุดฟันแก้ปวดฟัน ใบและเปลือกเมื่อนำมาตำรวมกันใช้เป็นยาพอกแผลที่กลัดหนอง จะช่วยดูดหนองให้แห้ง หรือใช้ทาฆ่าเหา ฆ่าหมัด และไล่ยุงก็ได้

เคยมีงานวิจัยระบุว่าน้ำมันเสม็ดสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดสิวได้ดี จึงสามารถนำไปสู่พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวได้ เช่น สบู่เหลวล้างหน้าป้องกันสิว

ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียและออสเตรเลีย มีการใช้เป็นยาแก้กลาก เกลื้อน และการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและความเจ็บปวดจากแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก ลดการติดเชื้อต่างๆ จัดได้ว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านที่สำคัญชนิดหนึ่งเลย คนพื้นเมืองในออสเตรเลียนำใบมาบดขยี้ สูดดมแก้อาการติดเชื้อในลำคอ และน้ำมันเขียวที่กลั่นได้จากใบเสม็ดขาวก็นำมาใช้แต่งกลิ่นอาหารด้วย

เสม็ดขาวยังกินเป็นอาหารได้ กินเป็นผัก ดอกและยอดอ่อนมีรสชาติเฉพาะออกเผ็ดๆ กินเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้ หรือนำใบมาต้มกับน้ำดื่มแบบน้ำชาก็ได้รสชาติ เสม็ดขาวยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ให้ควาย แพะหรือสัตว์อื่นๆ ได้ด้วย  เนื้อไม้เสม็ดขาวมีคุณสมบัติคงทนต่อสภาพที่เปียกชื้นและในน้ำเค็มได้ดี นำมาทำเสาเข็ม สร้างบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำรั้วได้ดี และจะเอาเศษไม้มาเผาทำถ่านก็ได้ เปลือกต้นนำมาใช้มุงหลังคา ทำฝาบ้าน (ชั่วคราว) ใช้ทำหมันเรือ ใช้อุดรูรั่วของเรือ และยังใช้ย้อมแหหรืออวน ใช้ห่อก้อนไต้สำหรับใช้จุดไฟ ซึ่งชาวประมงพื้นบ้านชอบใช้อย่างยิ่ง ในต่างประเทศนิยมนำมาทำเป็นถ่านใช้ในการหุงต้ม

ภูมิปัญญาจากเสม็ดขาวพบได้มากทางภาคใต้ของประเทศไทย ในช่วงหน้าแล้งยาวนาน หากมีฝนตกจนป่าเสม็ดชุ่มชื้น และมีแสงแดดจัดประมาณ ๔-๕ วัน ก็จะมี “เห็ดเสม็ด” งอกขึ้นมา (เรียกอีกอย่างว่า “เห็ดเหม็ด” เป็นเห็ดจำพวก Ectomycorrhiza และมีชื่อวิทยาศาสตร์ Boletus griseipurpureus Corner) โดยเป็นเห็ดมีรสค่อนข้างขม แต่ถือเป็นเห็ดยอดนิยมของชาวใต้เลยทีเดียว

นอกจากป่าเสม็ดจะเป็นแหล่งกระจายพันธุ์ของเห็ดเสม็ดแล้ว ป่าเสม็ดยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้งและนกน้ำอีกด้วย และในเวียดนามมีภูมิปัญญาที่น่าสนใจ คือ การใช้ป่าเสม็ดเป็นที่กักเก็บน้ำเพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำที่เป็นกรดให้มีความเป็นกรดลดลง ก่อนนำไปใช้ปลูกข้าวด้วย ในต่างประเทศมีการผลิตน้ำมันเขียวออกจำหน่ายอย่างคึกคักมาก โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่ประเทศไทยกลับมีการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากเสม็ดขาวไม่มากนัก ทั้งๆ ที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมอยู่ในดินแดนภาคใต้ ยังไม่ช้าเกินไปหากช่วยกันรณรงค์ให้มีการปลูกและการใช้ประโยชน์จากเสม็ดขาวให้มากขึ้น และช่วยกันอนุรักษ์ป่าชายทะเลด้วย เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาและสายพันธุ์ของเสม็ดขาวเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนวงกว้างต่อไป
   ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ยาแก้ไข้ประจำบ้าน ตำรับยาไทย    

ไข้มีหลายชนิด วิธีและยาแก้ไข้ก็ย่อมมีหลายวิธีเช่นกัน

ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาระบาดของไข้เลือดออก ดังที่มีข่าวผู้ที่เสียชีวิตจากไข้เลือดออกแล้วหลายราย หากใครที่มีอาการไข้สูงเกือบตลอดเวลา และเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ใบหน้าสังเกตว่าหน้าแดงๆ และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา อาการเช่นนี้ควรรีบไปโรงพยาบาลด่วน แต่ถ้าอากาศเปลี่ยน ถูกลมฝนเย็นชื้นทำให้มีอาการไข้ตัวร้อน มีไข้ต่ำๆ ไม่สูงปรี๊ด หรือจะเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วละก็ เรามีภูมิปัญญาไทยและมีวิธีการพึ่งพาตนเองแก้ไข้ที่เป็นกันทั่วไปได้

บางคนอาจตั้งคำถามว่า ไข้ต่ำๆ คือไข้แบบไหน หรือไข้ที่จัดว่าสูงนั้น อุณหภูมิสูงแค่ไหน

โดยปกติอุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ ๓๗ องศาเซลเซียส แต่ก็พบว่าคนทั่วไปอาจมีอุณหภูมิระหว่าง ๓๖.๖-๓๗.๒ องศาเซลเซียสก็ถือว่าเป็นปกติ ถ้ามีอุณหภูมิสูงมากกว่า ๓๗.๕ องศาเซลเซียส เรียกว่ากำลังเป็นไข้แล้ว  ในทางวิชาการบอกว่า ไข้ต่ำ เมื่อวัดไข้ด้วยการอมปรอทนั้นจะมีอุณหภูมิระหว่าง ๓๗.๒-๓๘.๒ องศาเซลเซียส ถ้าวัดได้ระหว่าง ๓๘.๒-๓๙.๒ องศาเซลเซียส เรียกไข้ปานกลาง สำหรับไข้สูงจะมีอุณหภูมิระหว่าง ๓๙.๒-๔๐.๓ องศาเซลเซียส  แต่ยังไม่หมดยังมีไข้สูงมาก ที่วัดทางปากหรืออมปรอทแล้ว วัดได้มากกว่า ๔๐.๓ องศาเซลเซียส อันนี้อันตรายสุดๆ แสดงว่ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดแล้ว

ในการดูแลสุขภาพตนเองนั้นเราสามารถบรรเทาอาการไข้ที่เป็นกันทั่วไป คือไข้ต่ำๆ หรืออาจมีไข้ปานกลางได้บ้าง ซึ่งหลักการลดไข้ที่ดีที่สุด คือการดื่มน้ำมากๆ และเช็ดตัวลดไข้หรือเป็นการเช็ดตัวเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย และการกินยาลดไข้ ซึ่งปกติเรามักคุ้นเคยยาสามัญประจำบ้าน พาราเซตามอลที่เป็นยาฝรั่ง  แต่ปัจจุบันนี้เรามีการศึกษาวิจัยถึงตำรับยาไทยซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม พบยาไทยชื่อว่า ยาจันทน์ลีลา มีสรรพคุณลดไข้ได้ไม่แตกต่างจากยาพาราเซตามอล อีกทั้งไม่พบการก่อพิษระยะสั้นและระยะกึ่งเรื้อรัง และปัจจุบันนี้ได้รับการยกระดับจากยาสามัญประจำบ้านสู่รายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งมีบริการให้คนไข้ตามโรงพยาบาลต่างๆ ด้วย

เมื่อสัปดาห์ก่อนเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขภาพไทยคนหนึ่งเป็นไข้ และเริ่มมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล และเริ่มรู้สึกเมื่อยตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ถึงกับอาการไข้หวัดใหญ่ที่ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมากๆ รู้สึกว่าจะเป็นแค่หวัดธรรมดามีไข้ต่ำๆ ตัวร้อน โชคดีที่มียาจันทน์ลีลาติดไว้ประจำบ้าน กินไปทั้งหมด ๔ ครั้ง ห่างกัน ๔-๕ ชั่วโมง นอนพัก และดื่มน้ำมากๆ ด้วย พบว่าอาการดีขึ้นหรือไข้หายไปอย่างรวดเร็ว

สูตรตำรับจันทน์ลีลา ตามที่ประกาศไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในผงยา ๙๙ กรัม ประกอบด้วย โกฐสอ โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา แก่นจันทน์ขาวหรือจันทร์ชะมด แก่นจันทน์แดง ลูกกระดอม เถาบอระเพ็ด รากปลาไหลเผือก หนักสิ่งละ ๑๒ กรัม พิมเสน หนัก ๓ กรัม ระบุข้อบ่งใช้ บรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู ขนาดและวิธีใช้  ชนิดผง ผู้ใหญ่ กินครั้งละ ๑-๒ กรัม ละลายน้ำสุก ทุก ๓-๔ ชั่วโมง เมื่อมีอาการ หรือถ้าบรรจุ แคปซูล ๕๐๐ มิลลิกรัม กินครั้งละ ๒-๔ แคปซูล  เด็ก อายุ ๖-๑๒ ปี กินครั้งละ ๕๐๐ มิลลิกรัม – ๑ กรัมละลายน้ำสุกทุก ๓-๔ ชั่วโมง หรือกินครั้งละ ๑-๒ แคปซูล  นอกจากแก้ไข้ตัวร้อนที่เป็นกันทั่วไปแล้วสตรีคนใดมีไข้ทับระดูหรือไข้ระหว่างมีประจำเดือนก็สามารถใช้ยาจันทน์ลีลาช่วยลดไข้ได้เช่นกัน แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก  และหากกินยาเกิน ๓ วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

สมุนไพรแต่ละชนิด พอจำแนกสรรพคุณได้ดังนี้ โกฐสอ ใช้แก้ไข้ แก้หืด แก้ไอ ทำหัวใจให้ชุ่มชื่น แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้จับสั่น ชาวจีนก็นำมาใช้เป็นยาแก้ไข้หวัด และถือว่าเป็นสมุนไพรของสตรีใช้เกี่ยวกับระดู ปัจจุบันมีการนำสารจากโกศสอผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิวด้วย

โกฐเขมา เป็นยาบำรุงธาตุ ขับลม แก้จุกแน่น แก้หอบหืด แก้หวัดคัดจมูก แก้ไข้ แก้ลมตะกัง แก้เหงื่อออกมาก ฯลฯ

โกฐจุฬาลัมพา ในตำรายาไทยใช้แก้ไข้เจลียง (อาการจับไข้วันเว้นวันเป็นไข้จับสั่นประเภทหนึ่ง) แก้ไข้เพื่อเสมหะ ไข้มาลาเรีย แก้หืด แก้หอบ แก้ไอ ใช้เป็นยาขับเหงื่อ

แก่นจันทน์ขาวหรือจันทร์ชะมด เนื้อไม้เป็นยาบำรุงเลือดลม บำรุงธาตุไฟให้สมบูรณ์ และใช้แก้ไข้ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ แก้ลม แก้อ่อนเพลีย

แก่นจันทน์แดง จะใช้แก่นที่มีเชื้อราจับทำให้แก่นมีสีแดง ใช้แก้พิษไข้ภายนอกและภายใน แก้ไข้ทุกชนิด แก้กระสับกระส่าย แก้ร้อนดับพิษไข้ทุกชนิด ฯลฯ

ลูกกระดอม น้ำต้ม เมล็ด กินลดไข้ แก้พิษผิดสำแดง เป็นยาถอนพิษ ผลมีรสขม บำรุงน้ำดี ดับพิษโลหิต แก้ไข้

เถาบอระเพ็ด เรารู้จักกันดีว่าเถามีรสขมจัดคุณสมบัติเย็น ใช้แก้ไข้ทุกชนิด และเป็นยาขมเจริญอาหาร

รากปลาไหลเผือก ถ่ายพิษต่างๆ ถ่ายพิษไข้พิษเสมหะ แก้ไข้ ตัดไข้ทุกชนิด ฯลฯ

ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดตำรับยาจันทน์ลีลา พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สนับสนุนการใช้ของภูมิปัญญาดั้งเดิม คือ มีฤทธิ์แก้ไข้ ต้านการอักเสบ และแก้ปวด และไม่พบพิษเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรัง

ฤดูฝนนี้ทุกคนมีโอกาสเป็นไข้และไข้หวัดทั่วไป จึงควรมียาสามัญประจำบ้านจันทน์ลีลาไว้ทุกครัวเรือน และช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อป้องกันไข้เลือดออกด้วย
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



สูตรยาดีจากวัดคีรีวงก์ รักษาโรคสะเก็ดเงิน    

ตามการรับรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ทั้งยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด เพียงแต่สันนิษฐานกันว่าเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ จึงทำลายเซลล์ผิวหนังของร่างกายเราเอง ทำให้เกิดการอักเสบลุกลามจนเกิดเป็นผื่นหนาขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะพบที่บริเวณข้อศอก หัวเข่า หนังศีรษะ ต่อมาจึงแผ่ลามไปทั่วทั้งตัวเริ่มจากเป็นผื่นสีแดง ต่อมาจึงตกสะเก็ดเป็นขุยสีขาวหรือสีเงิน

ผู้ป่วยมีอาการเจ็บ คันและแสบร้อนมาก เมื่อผิวแห้งมากจนแตกจะมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ถ้าเป็นมากจะปวดบวมตามข้อต่อ เบื่ออาหารและมีไข้ร่วมด้วย  ในรายที่เป็นโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ ได้มากขึ้น เช่น ข้ออักเสบ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และภาวะติดเชื้อ นอกจากภาวะความเจ็บป่วยทางกายแล้ว คนเป็นโรคสะเก็ดเงินยังมีภาวะป่วยทางจิตด้วย ตั้งแต่ ความรู้สึกหดหู่ใจ ขาดความมั่นใจ จนแยกตัวออกจากสังคม และอาจถึงขั้นเป็นโรคจิตซึมเศร้า  แม้ในทางแพทย์แผนไทยจะถือว่าโรคสะเก็ดเงินเป็นกุฏฐโรคหรือโรคเรื้อนชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ว่าจะทางสัมผัสทางอาหาร ทางเพศสัมพันธ์ หรือทางสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ดังนั้น จึงไม่ควรแสดงความรังเกียจหรือความกลัวเมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้เป็นโรคสะเก็ดเงิน ตรงกันข้ามควรรู้สึกเห็นอกเห็นใจและแนะนำการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

สําหรับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันมีการใช้ทั้งยาทาภายนอกจำพวกน้ำมัน เช่น ไดทรานอล (Dithranol) ยารับประทานจำพวกสเตียรอยด์ เช่น คาลซิโปรไทรออล (Calciprotriol) และถ้าอาการรุนแรงมากก็ใช้ยาฉีดไบโอโลจิก (Biologic) และการอาบรังสีอัลตราไวโอเลต หรือถ้าเป็นแบบชาวบ้านใช้วิธีการอาบแดดช่วงเช้าหรือสายๆ ซึ่งก็ได้รังสียูวีช่วยบรรเทาอาการโรคสะเก็ดเงินได้บ้างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าต้องการหายขาดก็ต้องใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านซึ่งมียารักษาหลายสูตรตำรับด้วยกัน ในที่นี้ขอนำเสนอยาทาภายนอกสูตรตำรับน้ำมันงาของพระมหาขวัญชัย อคฺคชโย เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์ ตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร พระอาจารย์ขวัญชัยเป็นหมอพื้นบ้านตามระเบียบกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเหมือนหมอเดชา ศิริภัทร ที่โด่งดังอยู่ในขณะนี้ ท่านได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านจากหลวงปู่เจียม อติเมโธ อดีตเจ้าอาวาส ผู้เป็นทั้งหมอพระ และวิปัสสนาจารย์ชื่อดังแห่งหลังสวน แต่สำหรับในหมู่นักเล่นพระเครื่องจะรู้จักหลวงปู่เจียมในฐานะเกจิอาจารย์ชื่อดัง เหรียญรุ่นแรก ฉลองอายุครบ ๑๐๔ ปีของหลวงปู่องค์นี้เป็นของดีที่แสวงหากันในวงการพระเครื่อง

พระอาจารย์ขวัญชัยเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่เจียมตั้งแต่ยังเป็นสามเณรน้อย จนทุกวันนี้ท่านเป็นพระมหาเปรียญ จบปริญญาโทแล้วท่านก็ยังรักษา สืบสานภูมิปัญญาของหลวงปู่เจียม และต่อยอดให้วัดคีรีวงก์เป็นศูนย์เรียนรู้สมุนไพรชุมชน และเป็นสถานพยาบาลหมอพื้นบ้านที่ไม่เพียงให้บริการรักษาผู้ป่วย แต่ยังให้ความรู้และสอนผู้ป่วยทำยาสมุนไพรรักษาตัวเองด้วย

โรคหนึ่งที่วัดคีรีวงก์มีชื่อเสียงในการรักษาได้ผลดี แม้ไม่โอ้อวดว่ารักษาหายขาด แต่ก็มีผู้ป่วยเดินทางมารักษากันมาก คือ โรคสะเก็ดเงิน  ซึ่งพระอาจารย์ท่านทำบัตรผู้ป่วยนอกบันทึกอาการ ประวัติโรค และตำรับยาที่ใช้รักษา สำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงินระดับขั้นต้นถึงปานกลาง ท่านจะอธิบายให้รู้จักเครื่องยาแต่ละตัว พร้อมกับสาธิตขั้นตอนการหุงน้ำมันยาอย่างละเอียด  เภสัชวัตถุในตำรับยามีดังนี้ สุพรรณถันเหลือง (กำมะถันเหลือง) ๑ ขีด (๑๐๐ กรัม) ยาเส้นแห้ง ๒ ขีด (๒๐๐ กรัม) ปูนแดงที่กินกับหมาก ๒ ขีด (๒๐๐ กรัม) ขมิ้นอ้อยแห้ง ๒ ขีด (๒๐๐ กรัม) น้ำมันมะพร้าว ๑ ลิตร

ขั้นตอนการหุงน้ำมัน ตั้งกระทะเหล็กพร้อมน้ำมันมะพร้าว บนเตาถ่านหรือเตาแก๊ส ใช้ไฟอ่อนๆ ความร้อนประมาณ ๕๐-๖๐ องศาเซลเซียส ใส่กำมะถันลงในน้ำมันร้อน ใช้ตะหลิวเจียวผงกำมะถันจนละลายกลายเป็นของเหลว และเปลี่ยนสภาพเป็นของแข็งสีแดงส้ม สักพักจึงตักกำมะถันออก จากนั้นจึงใส่ยาเส้นลงไปในน้ำมันกำมะถัน คนพลิกยาเส้นกลับไปมาอย่าหยุดจนยาเส้นกรอบ จึงตักยาเส้นที่สะเด็ดน้ำมันออก ขั้นต่อไปใส่ปูนแดงลงไปเจียวจนละลายในน้ำมันกลายเป็นสีแดงจึงใส่ขมิ้นอ้อยลงไปเจียวอย่าหยุดมือ ราวอีกครึ่งชั่วโมง จนได้น้ำมันสีเหลืองอมแดง จึงตักกากขมิ้นอ้อยออก ตั้งน้ำมันในกระทะไว้ให้เย็นจากนั้นจึงกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้น้ำมันยาใสสีอำพัน ประมาณ ๘๐๐ มิลลิลิตร เก็บใส่ขวดแก้วปิดฝาเพื่อเก็บไว้ใช้เป็นยารักษาโรคสะเก็ดเงินต่อไป

วิธีใช้ยา : ใช้วันละครั้ง เวลาเย็น หลังอาบน้ำชำระร่างกาย เช็ดตัวแห้งแล้ว ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำมันทาผิวหนังบริเวณที่เป็นสะเก็ดเงินทั่วร่างกาย  ทำเช่นนี้ราว ๒ สัปดาห์ รอยโรคสะเก็ดเงินจะจางลงอย่างชัดเจน  จากนั้นทาน้ำมันต่อไปจนครบ ๒ เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าโรคสะเก็ดเงินได้จางหายไปจากชีวิตแล้ว

อ้อ เกือบลืมบอกไป ก่อนหุงยาและก่อนทายาทุกครั้งให้ตั้งนะโม ๓ จบ บูชาพระรัตนตรัย และระลึกถึงคุณของพระสงฆ์คือหลวงปู่เจียมและพระอาจารย์ขวัญชัยที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตใหม่แก่เรา
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2562 15:55:23 »


มะพูด ผลไม้โบราณ    

ในช่วงนี้จะพบว่าผลไม้เก่าแก่ชนิดหนึ่งกำลังออกลูกสะพรั่ง  เรียกกันว่า มะพูด  คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นกลางคนอีกจำนวนมากก็อาจไม่รู้จักกันแล้ว วันนี้เรามารู้จักมะพูดกัน

มะพูด มีชื่อสามัญว่า Garcinia ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia dulcis (Roxb.) Kurz ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ไข่จระเข้ ตะพูด ส้มปอง ส้มม่วง (จันทบุรี), พะวาใบใหญ่ (จันทบุรี, ชลบุรี), ปะหูด (ภาคเหนือ), ปะหูด มะหูด (ภาคอีสาน), จำพูด มะพูด (ภาคกลาง), ตะพูด พะวา ประหูด ประโหด ประโฮด มะนู (เขมร), ปะพูด เป็นต้น

ต้นมะพูดมีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ ๗-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นทรงกลมหรือเป็นรูปไข่ เป็นทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นตั้งตรง และอาจมีลักษณะเป็นปุ่มปมตะปุ่มตะป่ำ ซึ่งเกิดจากการหลุดร่วงของกิ่งก้านทั่วไป เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม เรียบ และแตกเป็นร่องตื้นๆ ตามยาวของลำต้น  เมื่อเปลือกต้นเกิดบาดแผลจะมียางสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไหลซึมออกมา

ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการใช้กล้าปักชำ

การกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้น และตามชายห้วยหรือพื้นที่ริมน้ำในป่าเบญจพรรณ ประเทศไทยพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พื้นที่แถบชายแดนจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ  ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่อินเดียจนถึงลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ชวา และบอร์เนียว

ขยายความลักษณะทางพฤกษศาสตร์อีกสักนิด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ โคนใบกว้างมนตัดตรง เว้าเล็กน้อยคล้ายกับรูปหัวใจและค่อยๆ สอบเรียวเล็กไปที่ปลายใบ ส่วนขอบใบเรียบ เนื้อใบเหนียวและหนา  หลังใบเรียบลื่นเป็นมัน เมื่อแห้งเป็นสีเหลืองอมสีเทา  ส่วนก้านใบสั้นย่นขรุขระและมีขนบางๆ

ดอกเป็นช่อ ช่อละประมาณ ๓-๕ ดอก มีกลีบดอก ๕ กลีบซ้อนกันอยู่ มีลักษณะตูมเป็นรูปทรงกลม จะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม  ผลเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปไข่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕-๖ เซนติเมตร ผิวผลเรียบและเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองสดอมสีส้ม เนื้อในผลเป็นสีเหลือง มีรสเปรี้ยวอมหวาน ภายในผลมีเมล็ดประมาณ ๒-๕ เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปรี สีน้ำตาล โดยจะติดผลในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน แต่ในบางปีก็มาออกผลล่ามาเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ผลมะพูดน่าสนใจมาก เป็นสมุนไพรใช้ได้ในครัวเรือน น้ำคั้นจากผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อาการไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะหรือกัดเสมหะ

ผลมะพูดยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และสรรพคุณแบบโบราณว่าช่วยขับถ่ายโลหิตเสียให้ตก และแก้อาการช้ำในด้วย

ส่วนของรากมีรสจืด ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการร้อนใน ช่วยถอนพิษผิดสำแดง เปลือกต้นมีรสฝาด นำไปต้มกรองใช้น้ำเป็นยาชำระล้างบาดแผลต่างๆ ได้

เมล็ดนำมาบดผสมกับน้ำส้มหรือผสมเกลือ นำมาใช้ทาแก้อาการบวม ในชวาและสิงคโปร์ใช้เมล็ดตำละเอียดรักษาอาการบวมเช่นกัน  นอกจากนี้ มีข้อมูลจากต่างประเทศรายงานว่า ผลมะพูดมีฟอสฟอรัสและคาร์โบไฮเดรตสูง และมีกรดซิตริก (ให้รสเปรี้ยว) ในปริมาณมากด้วย ในต่างประเทศใช้น้ำจากผลเป็นยาละลายเสมหะ แก้ไอ รักษาอาการลักปิดลักเปิดหรือโรคขาดวิตามินซี เช่นเดียวกับในประเทศไทย น้ำคั้นจากรากใช้ลดไข้ ลดพิษและขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำคั้นจากเปลือกใช้ล้างแผล

นอกจากนี้ ยังใช้ใบมาเป็นสีย้อมธรรมชาติซึ่งจะให้สีเขียวสวยงามดี และเมื่อนำไปผสมกับสีครามจะให้สีน้ำตาล ในบางประเทศใช้น้ำคั้นจากเปลือกนำไปย้อมให้สีน้ำตาลทำเสื่อปูรองนั่งหรือนอนได้  และเปลือกต้นยังสกัดนำไปย้อมสีเส้นไหมได้สวยงามด้วย โดยจะให้สีเหลืองคล้ายสีเหลืองของดอกบวบที่มีสีเหลืองสด ยางจากผลดิบเรียกว่า “รง” (gamboge) จะให้สีเหลืองก็นำมาใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำคั้นจากเปลือกมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ และมีงานวิจัยเชิงลึกพบว่ามะพูดมีสารประกอบที่มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด สันนิษฐานว่าสารนั้นไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ชนิดหนึ่ง เรียกว่า HMG-CoA reductase ซึ่งช่วยลดไขมันในเลือด

ผลสุก มีรสหวานอมเปรี้ยว กินเป็นผลไม้ ในปัจจุบันมีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้และผลไม้กวนจำหน่ายกันแล้ว ผลดิบมีรสเปรี้ยวค่อนข้างมากจึงนำมาใช้แทนมะนาวในการทำแกงต่างๆ ได้ มะพูดเป็นไม้ยืนต้นที่มีทรงพุ่มสวยงาม มีใบและผลเด่นที่สวยงามโดดเด่น จึงนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกเพื่อให้ร่มเงาได้ เช่น ปลูกในบริเวณศาลา ใกล้ทางเดิน ริมน้ำ ในสวนผลไม้ เป็นต้น

คนไทยแต่ดั้งเดิมมีความเชื่อว่า หากปลูกต้นมะพูดไว้ในบริเวณบ้านจะช่วยส่งเสริมให้ลูกหลานเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา พูดในสิ่งที่ดีงาม พูดจาไพเราะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ซึ่งมักจะนิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน ในอดีตมีการใช้ประโยชน์จากมะพูดกันมาก แต่ปัจจุบันจำนวนประชากรมะพูดลดลงมาก คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว

มะพูด ไม้โบราณอีกชนิดหนึ่งที่น่าส่งเสริมให้มีการปลูกและนำมาพัฒนาใช้ประโยชน์ต่อไป
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



เห็ดขี้ควายและเห็ดขี้วัว    

เครื่องยาไทยมีทั้งมาจากพืช สัตว์ และธาตุวัตถุ  ในส่วนที่มาจากพืชมักจะนับรวมเห็ดไว้ด้วยกัน แม้ว่าความรู้สมัยใหม่จัดให้เห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งแยกต่างหากที่ไม่ใช่พืชแล้ว แต่ยาไทยก็เหมารวมเห็ดในกลุ่มพืชสมุนไพรด้วย

ที่น่าสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นอยู่ที่เครื่องยาของหมอพื้นบ้าน ที่นำมาใช้ในการเป็นยารักษาโรคหลายอย่างนั้นถูกจัดให้เป็นยาหรือสารเสพติด คนไทยในเวลานี้รู้จักกันดี เช่น กัญชง กัญชา กระท่อม และที่จะมาแนะนำในวันนี้ก็คือเห็ดขี้ควาย ซึ่งหมอพื้นบ้านใช้เป็นยาสมุนไพรที่เรียกกันว่า สุขไสยาสน์ (ศุขไสยาสน์)  เห็ดชนิดนี้ก็ถูกจัดให้เป็นยาเสพติดเช่นกัน

เห็ดขี้ควาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ Psilocybe cubensis (Earle) Singer มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคือ magic mushroom หรือเห็ดที่มีเวทมนตร์ก็ได้  ซึ่งก็คือเห็ดที่มีฤทธิ์กับระบบประสาทนั่นเอง ที่ได้ชื่อว่าเห็ดขี้ควายเพราะมักจะพบได้ตามกองขี้ควายแห้ง มีลักษณะทางกายภาพ หมวกดอกมีสีเหลืองปนน้ำตาล ทั้งดอกมีสีอ่อน แต่กลางหมวกมีสีเข้มกว่าบริเวณอื่นๆ ใต้หมวกดอกมีลักษณะเป็นครีบ มีสีน้ำตาลดำ บริเวณก้านใกล้กับหมวกดอกมีวงแหวนปรากฏอยู่

เห็ดขี้ควายเป็นเห็ดที่กินได้ ซึ่งในอดีตที่ยังไม่ถูกจัดให้เป็นยาเสพติดก็เคยมีการนำมาใส่ในอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ  บางพื้นที่ก็นำมาทาเกลือปิ้งกินกันเอร็ดอร่อย

ในตำรายาไทยกล่าวว่า เห็ดขี้ควายมีรสเบื่อเมา มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด แก้นอนไม่หลับ แก้พิษไข้ร้อน กระสับกระส่าย 

หมอไทยใช้เห็ดขี้ควายเป็นยาทำให้ง่วงหรือนอนหลับ จึงเรียกยานี้ว่ายาสุขไสยาสน์ แต่ถ้าใครที่กินหรือสูบเข้าไปจำนวนมากจะทำให้มีอาการมึนเมา ประสาทหลอน เห็นภาพและแสงต่างๆ มีลักษณะอาการคล้ายกับเสพแอลเอสดี ที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้

สารในเห็ดที่ทำให้เกิดอาการมึนเมาและประสาทหลอนคือสารไซโลไซบิน (Psilocybin) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่คล้ายกับสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งไปรบกวนการทำงานของเซโรโทนิน ปริมาณที่ทำให้เกิดพิษคือ เมื่อกินหรือเสพเข้าไปมากกว่า ๑๕ ดอก หรือกินเห็ดแห้งเข้าไป ๑-๔ กรัม

เพราะกลไกการทำงานของเห็ดขี้ควายเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยจึงจัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้าหรือส่งออกต้องจำคุกตั้งแต่ ๒-๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐๐,๐๐๐-๑,๕๐๐,๕๐๐บาท ถ้าเป็นผู้เสพ จำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ในอเมริกามีการจดสิทธิบัตรขั้นตอนการสกัดสารไซโลไซบินและไซโลซินจากเห็ดขี้ควายมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ( ค.ศ.๑๙๕๘ และเลขสิทธิบัตร US3183172A) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนายาจากสารสกัดจากเห็ดขี้ควายร่วมกับเห็ดอื่น โดยจดสิทธิบัตรไว้เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๑ (ค.ศ. ๒๐๑๘ เลขสิทธิบัตร ๒๐๑๘๐๐๒๑๓๒๖) รวมถึงในต่างประเทศยังมีผู้พยายามพัฒนายาจากเห็ดขี้ควาย เพื่อใช้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อให้คลายเครียด ลดความซึมเศร้าด้วย

คราวนี้ยังมีเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่มักมีความเข้าใจว่าเป็นเห็ดอันเดียวกันกับเห็ดขี้ควาย เรียกว่าเห็ดขี้วัว ที่จริงแล้วเป็นเห็ดคนละชนิดกัน เห็ดขี้วัวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panaeolus cyanescens Sacc. เดิมใช้ชื่อว่า Copelandia cyanescens (Sacc.) Singer แต่ใน web ต่างๆ ที่เป็นภาษาไทยเขียนผิดเป็น Copelandia ctandscens (Berk. & Br.) Sing. ซึ่งชื่อนี้ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลเห็ดของโลก (Index fungorum) และจากหนังสือสารานุกรมไทยรวมสมุนไพร รวมหลักเภสัชกรรมไทย รวมเวชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๑ ของคุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร ตีพิมพ์ในปี ๒๕๔๐ กล่าวไว้ว่า เห็ดขี้วัว มีรสเมาเบื่อ สรรพคุณแก้ลมกองละเอียด แก้นอนไม่หลับ แก้พิษไข้ร้อนกระสับ  ซึ่งลักษณะที่กล่าวมาก็คล้ายกับเห็ดขี้ควาย ในทางวิชาการเห็ดขี้วัวไม่ใช่เห็ดขี้ควาย แต่เป็นเห็ดชนิดหนึ่งในเห็ดหลายๆ ชนิด ที่มีอัลคาลอยด์ชื่อ tryptamine ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือทางจิต เห็ดขี้วัวที่รู้จักกันดีในท้องตลาดเป็นสายพันธุ์ฮาวาย เนื่องจากพบและบริโภคที่ฮาวายบ่อยที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะมีแหล่งกำเนิดในเอเชีย

ขอบอกว่ามีเห็ดมากกว่า ๑๘๐ ชนิดได้รับการยอมรับว่ามีอัลคาลอยด์ ชนิดไซโลซิน (psilocin) และ/หรือแอลเอสซีแอล และในจำนวนนี้มีอยู่จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๑๗ สายพันธุ์ เช่น เห็ดขอนสีทองเกล็ดแดงหรือ Gymnopilus (๑๓ สายพันธุ์) เห็ด Panaeolus (๗ สายพันธุ์) เห็ด Copelandia (๑๒ สายพันธุ์) เห็ด Hypholoma (๖ สายพันธุ์) เห็ด Pluteus (๖ สายพันธุ์) เห็ด Conocybe (๔ สายพันธุ์) และเห็ด Agrocybe, Galerina และ Mycena (อย่างละ ๑ สายพันธุ์)

การแพร่กระจายของเห็ดขี้ควายชนิด Psilocybe ส่วนใหญ่พบในป่าเขตร้อนชื้นของเม็กซิโกและนิวกินี ในเม็กซิโกมีเห็ดที่มีคุณสมบัติที่มีผลต่อระบบประสาทสูงสุดจำนวน ๗๖ ชนิด ในจำนวนนี้มี ๔๔ ชนิดเป็นกลุ่มเห็ดขี้ควายในสกุล Psilocybe (ประมาณ ๓๙% ของโลกเลย)

ในเม็กซิโกจึงมีประวัติการใช้ทั่วไปยาวนานและใช้กันมากที่สุดในเรื่องทำให้เกิดอาการประสาทหลอนตามธรรมชาติ

ในประเทศไทยมีฝรั่งชื่อเทอเรนซ์ แม็กเคนน่า (Terence McKenna) ศึกษาบริเวณแหล่งโบราณคดีโนนนกทา บ้านโนนนกทา ตำบลกุดธาตุ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น สันนิษฐานว่ามนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับเห็ดชนิดนี้มาเป็นเวลานานมาก ตั้งแต่ ๑๕,๐๐๐ ปีก่อน

บนที่ราบ Tassili ทางตอนเหนือของประเทศแอลจีเรีย พบภาพเขียนภายในถ้ำที่มีอายุย้อนหลังไปถึง ๙,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แสดงภาพร่างกายมนุษย์ที่มีรูปคล้ายเห็ดขี้ควายในร่างกายของพวกเขา จึงเป็นหลักฐานเก่าแก่ว่ามนุษย์ยุคนั้นรู้จักเห็ดในกลุ่มนี้แล้ว และยังมีหลักฐานในประเทศจีนแสดงถึงการเยียวยาแบบพื้นบ้านดั้งเดิมในสมัยราชวงศ์ชินในศตวรรษที่ ๒ โดยการใช้เห็ดชนิดนี้รักษาโรคคูรูหรือโรคหัวเราะ (laughing sickness)

จากอดีตถึงปัจจุบันที่ประเทศต่างๆ จดสิทธิบัตรเห็ดขี้ควาย ย่อมแสดงถึงศักยภาพของเห็ดกลุ่มนี้ได้ดีที่สามารถพัฒนาเป็นยาหรือเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ได้  หวังว่าปลดล็อกกัญชง กัญชา กระท่อมแล้วขอเห็ดขี้ควายเพื่อการแพทย์ด้วยนะ
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



กระเจี๊บบแดง    

ขอชวนผู้อ่านพาเที่ยวหนีร้อนเมืองไทยไปท่องแดนอารยธรรมเก่าแก่ ที่มีหมุดหมายปลายทางคือแดนไอยคุปต์ ประเทศอียิปต์ ประเทศที่ตั้งอยู่บนทะเลทรายซาฮารา และมีแม่น้ำไนล์เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิต  ช่วงที่ไปนี้อากาศตอนกลางวันก็ร้อนพอๆ กับประเทศไทย แต่กลางคืนจะเย็นสบาย  ใครที่เคยอ่านหรือดูสารคดีเกี่ยวกับประเทศนี้มาก็จะไม่ตราตรึงเท่าได้เห็นกับตาตนเอง  ใครที่เคยมาถึงประเทศอียิปต์ ก็อดที่จะทึ่งไม่ได้กับความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างอายุหลายพันปี ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก  มาท่องเที่ยวและถือโอกาสเรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนด้วย จึงเที่ยวตลาดเดินชมสินค้าและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ด้วยความที่ทำงานด้านสมุนไพร สายตาก็สอดส่ายหาสมุนไพรที่วางขายในตลาด พบว่ามีเครื่องเทศขายและสมุนไพรแห้งจำนวนมาก แต่มาสะดุดตากับสมุนไพรชนิดหนึ่งมาก เก็บความสงสัยมาถามกับเพื่อนชาวอียิปต์ว่า ทำไมในตลาดทุกแห่งมีกระเจี๊ยบแดงแห้งขายอยู่ทั่วไป และขายกันหลายร้านมาก ซึ่งน่าจะเป็นสมุนไพรที่คนอียิปต์นิยมบริโภคกันมาก

มาได้ความรู้ว่า กระเจี๊ยบแดงของอียิปต์จะปลูกมากที่เมือง Aswan ซึ่งอยู่ทางตอนบนของประเทศติดกับประเทศซูดาน และในภาษาถิ่นเรียกกระเจี๊ยบแดงว่า Karkade ซึ่งเครื่องดื่มกระเจี๊ยบแดงของชาวอียิปต์นี้เป็นที่ชื่นชอบของคนในประเทศมาก เพราะถามใครๆ ก็บอกว่าเป็นเครื่องดื่มแสนชื่นใจ นอกจากนี้ ในอียิปต์และซูดาน เวลาจัดพิธีแต่งงานก็จะมีประเพณีการเสิร์ฟ Karkade ด้วย แสดงว่าเป็นเครื่องดื่มมงคลกินแล้วสุโขสโมสร

เพื่อนชาวอียิปต์บอกเล่าประสบการณ์ว่า คนอียิปต์ชอบดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงกันมากเพราะช่วยเรื่องลดความดัน แต่จากประสบการณ์ชาวอียิปต์ยังแนะว่า ถ้าดื่มแบบร้อนๆ จะช่วยเพิ่มความดัน ถ้าดื่มแบบเย็นจะช่วยลดความดัน ข้อนี้เป็นประสบการณ์เฉพาะ ซึ่งต้องลองพิสูจน์ต่อไป  สำหรับคณะท่องเที่ยวชาวไทยนั้นได้มีโอกาสชิมน้ำกระเจี๊ยบสไตล์อียิปต์ ที่เสิร์ฟมาในแก้วเล็กๆ “เวลคัมดริงก์” ลิ้มรสได้ว่ามีรสชาติเข้มข้นกว่าบ้านเมืองไทย และออกหวานมากกว่าเปรี้ยว เพราะคนอียิปต์จะชอบกินของหวาน  เมื่อสอบถามวิธีการทำก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรา กินทั้งแบบร้อนและเย็น และยังนิยมทำกินกันสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ชากระเจี๊ยบสำเร็จรูปที่ผสมสมุนไพรอย่างอื่นด้วย เช่น มินต์ อบเชย ขิง เป็นต้น

กระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. ชื่ออังกฤษ Jamaica sorrel, Roselle ถือเป็นไม้ท้องถิ่นของแอฟริกา แต่ทุกวันนี้ก็มีการปลูกได้ในประเทศเขตร้อนทั่วโลก

ตำรายาไทยบอกสรรพคุณเด่นของกระเจี๊ยบแดงไว้ว่า แก้นิ่ว ทางเดินปัสสาวะอักเสบ แก้ไอ ขับเสมหะ ในช่วงอากาศร้อนทั้งปีแบบไทยๆ แนะนำต้มน้ำกระเจี๊ยบแต่งน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ช่วยแก้กระหายน้ำได้ดีเลิศ และความรู้ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะนำสูตรการทำกระเจี๊ยบแดงหมัก เพื่อช่วยบำรุงเลือด เพิ่มการไหลเวียน

วิธีการทำคือ
ต้มน้ำให้เดือด พอน้ำเดือดให้ใส่กระเจี๊ยบแดงแห้งลงไป ๑๐ นาที แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาแต่น้ำกระเจี๊ยบ จากนั้นตั้งไฟแล้วใส่น้ำตาลลงไป ต้มให้เดือดสัก ๕ นาที แล้วยกลงแช่น้ำเย็นทันที ใส่ยีสต์ลงไป แล้วนำใส่ถังหมักต่อไป และให้ใส่สายยางลงไปในถังหมักแต่ไม่ให้ปลายสายยางด้านในถังจมน้ำไวน์ เพื่อไม่ให้อากาศภายนอกเข้าถังโดยผ่านอากาศภายในถังหมัก หลังจากนั้น ใช้ดินน้ำมันพอกปากถังให้สนิทไม่ให้รั่ว ทิ้งไว้ประมาณ ๗-๑๕ วัน นำไปต้มฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ ๗๕ องศาเซลเซียสแล้วนำมาแช่น้ำเย็นเพื่อทำการน็อกเชื้อ นำมากินเป็นน้ำกระเจี๊ยบหมักได้

ประโยชน์และความนิยมในการกินน้ำกระเจี๊ยบกินได้ทั้งปี เราก็ควรลงมือปลูกเป็นสมุนไพรประจำบ้านกันได้ เพราะกระเจี๊ยบแดงเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนแล้ง มีระบบรากลึก สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ถ้าต้องการปลูกเพื่อเก็บดอก ควรปลูกในช่วงปลายฤดูฝน พรวนดินบริเวณที่จะปลูกให้ร่วน หยอดเมล็ดหลุมละ ๓-๕ เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้น ๑ เมตร ระหว่างแถว ๑-๑.๕ เมตร  การปลูกให้เลือกที่น้ำไม่ขัง หรือปลูกตามหัวไร่ปลายนา ขอบสระ คันนา

กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชไวแสง คือจะเริ่มออกดอกเมื่อช่วงเวลากลางวันเริ่มหดสั้น ราวต้นฤดูหนาว หรือเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เมื่อกระเจี๊ยบแดงอายุได้ ๓-๔ เดือน คือประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนก็เริ่มเก็บกลีบเลี้ยงไปได้เรื่อยๆ  การเก็บใช้กรรไกรหรือมีดตัดดอก เลือกตัดดอกที่โตและแก่ก่อน เหลือดอกอ่อนและเล็กไว้เพื่อให้โต จึงค่อยเก็บเกี่ยว การตัดให้ตัดชิดก้านดอก

การแปรรูปเพื่อนำมาใช้หรือสร้างรายได้เสริมก็เอาดอกกระเจี๊ยบแดงที่เอาเมล็ดออกแล้ว มาล้างน้ำแบบสรงน้ำสัก ๒-๓ ครั้ง กระเจี๊ยบแดงล้างง่ายเพราะไม่ค่อยมีขี้ฝุ่นจับ ล้างเสร็จแล้วสะเด็ดน้ำให้แห้ง นำมาตากแดดประมาณ ๕ วัน ช่วงแรกควรพลิกบ่อยๆ จะช่วยให้สีกระเจี๊ยบสวยเสมอกัน  ระวังอย่าให้ดอกกระเจี๊ยบมาซ้อนกัน จะทำให้เน่าง่าย หากพบดอกกระเจี๊ยบเน่าให้รีบทิ้งทันที เพราะอาจลามไปยังดอกอื่นได้ ตากแดดจนแห้งกรอบดีแล้ว จึงนำเก็บใส่ภาชนะบรรจุให้มิดชิด

ใครที่ยังไม่มีโอกาสท่องโลกชมพีระมิดของจริงนั้น ถ้าได้นั่งชมสารคดีพาเที่ยวอียิปต์ก็แนะนำให้ชงน้ำกระเจี๊ยบร้อนหรือเย็นไปด้วย น่าจะฟินสุดๆ
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



มะนาว ยาดีประจำบ้าน    

ที่สำนักงานของมูลนิธิสุขภาพไทยปลูกต้นมะนาวไว้ ๑ ต้นงอกงามดีในกระถางใบใหญ่ แต่ไม่ได้ปลูกในวงท่อซีเมนต์ตามการส่งเสริมของหน่วยงานรัฐเพื่อทำสวนมะนาวสร้างรายได้ทั้งปีและใช้เทคนิคบังคับมะนาวออกลูกในหน้าแล้ง  ชาวมูลนิธิปลูกไว้กินหรือพึ่งตนเองเป็นอาหารและปรุงเป็นยาสมุนไพรเท่านั้นเอง  จากประสบการณ์ พบว่าถ้าทุกบ้านพอมีที่ปลูกเพียงแค่ ๑ ต้น บำรุงรักษาให้ดี ก็มีลูกมะนาวไว้ใช้ได้พอเพียงแน่นอน

มะนาวคือพืชใกล้ตัว ปลูกได้ประจำบ้านหรือถ้าจะเดินหาซื้อในตลาดสดมาใช้ก็หาง่ายมาก มะนาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หยิบมาใช้ในคราวจำเป็นได้สะดวกสุดๆ มะนาวมีสรรพคุณเด่นสุดในการใช้แก้ อาการไอ เจ็บคอ แม้ว่ายังมียาแก้ไอหรือลูกอมแก้เจ็บคอมากมายหลายชนิดที่ขายตามร้านยา
แต่เป็นเรื่องน่าภูมิใจที่สามารถปรุงยาแก้ไอและเจ็บคอที่อร่อยมากๆ ได้ด้วยตนเอง

เห็นประโยชน์แบบนี้ แต่ไม่ใช่ดื่มน้ำมะนาวทีเดียวมากๆ เพราะคิดว่ายิ่งกินมากยิ่งดี วิธีใช้ให้เหมาะสมก็สำคัญคือ ให้ใช้วิธีการจิบน้ำมะนาวบ่อยๆ หรือเมื่อมีอาการไอ เจ็บคอ หรือมีอาการเสมหะติดคอ การจิบทีละน้อยๆ จะได้ผลดีกว่า และได้ลิ้มชิมรสชาติอร่อยด้วย

การจิบจะช่วยให้ตัวยาน้ำมะนาวออกฤทธิ์ภายในปากและคอได้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยแก้ไอแก้เจ็บคอได้ตรงจุด แต่การดื่มพรวดรวดเดียว ตัวยาจะลงท้องไปที่กระเพาะอาหาร อาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะความเปรี้ยวได้ มีข้อน่าสังเกตเพิ่มเติมว่า พอจิบน้ำมะนาวแล้วรู้สึกแสบคอมากกว่าเดิม ถ้าเกิดอาการแบบนี้ เป็นไปได้ว่าน้ำมะนาวที่ปรุงไว้อาจเข้มข้นเกินไป ให้เติมน้ำสะอาดเพิ่มเล็กน้อยหรือเจือจางน้ำมะนาว แต่ก็อย่าปรุงสูตรน้ำมะนาวจนรสจืดจางไม่เหลือสรรพคุณทางยาอยู่เลย

สูตรน้ำมะนาว ๑ ต่อ ๑ ต่อ ๑ คือ น้ำมะนาว ๑ ส่วน น้ำสะอาด ๑ ส่วน และน้ำผึ้ง (น้ำเชื่อม) ๑ ส่วน เคยทดลองทำแล้ว รสชาติออกมาพอดี ใช้จิบเป็นยาแก้ไอแก้เจ็บคอได้ลงตัวที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีใช้ที่ได้ผลที่มาจากประสบการณ์ผู้ใช้มากมายอีกหลายวิธี เช่น นำมะนาวมาฝานหรือหั่นพร้อมเปลือกมะนาว ขนาดเป็นชิ้นเล็กๆ หรือนึกถึงมะนาวชิ้นเล็กที่กินกับเมี่ยงคำก็ได้ นำมะนาวชิ้นเล็กๆ นี้มาอมและเคี้ยว ขอให้ค่อยๆ เคี้ยวเพื่อให้น้ำมะนาวค่อยๆ ออกฤทธิ์ในปากและคอเช่นกัน เคี้ยวกินน้ำแล้วก็คายกากทิ้งได้ บางครั้งอาจนำชิ้นมะนาวไปแตะเกลือเล็กน้อย ก็ช่วยตัดรสเปรี้ยว เวลาอมเคี้ยวก็ได้รสชาติอร่อยขึ้น ใครที่มีอาการไอ เจ็บคอ ให้ลองเคี้ยวกินมะนาวชิ้นเล็กๆ นี้ ทุกๆ ๑-๒ ชั่วโมง หลังจากอมเคี้ยวมะนาวไปหลายครั้งแล้ว แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำสะอาดบ้าง เพื่อล้างกรดมะนาวที่ติดตามซอกฟันด้วย

ในน้ำมะนาวที่มีกรดซิตริกนั้น นอกจากสรรพคุณลดการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บคอแล้ว ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดไข้ แก้กระหายน้ำ หรือแก้อ่อนเพลีย อันที่จริงในน้ำมะนาวมีสาระสำคัญออกฤทธิ์ทางยาสมุนไพรแล้ว ในผิวมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ด้วย น้ำมันจากผิวเหล่านี้ก็คืออะโรมาเธอราปีส์ หรือน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ทางการแพทย์ได้ เวลาเราคั้นน้ำมะนาวดื่มจะได้น้ำมันจากผิวผสมลงไปด้วย น้ำมันจากผิวมะนาวยังช่วยแก้อาการท้องอืดเฟ้อ และช่วยแก้อ่อนเพลียเช่นเดียวกับในน้ำมะนาว หากคุณไม่ได้มีไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีเสมหะเหนียวติดดคอ มะนาวก็เป็นยาบำรุงร่างกายประจำบ้านหรือประจำสำนักงานได้ดี เพราะน้ำมะนาวมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีวิตามินซีตามธรรมชาติช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา และถ้าดูตำรับยาอายุวัฒนะตามภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ทางมูลนิธิได้สูตรมาจากการรวบรวมความรู้โบราณ แนะนำไว้ว่า ให้ใช้มะนาว ๕๐ ลูก น้ำผึ้ง ๑ ขวด พริกไทยร่อนครึ่งลิตร (นำมาตำให้ละเอียดก่อน) มะนาวนำมาห่อในผ้าขาวบางแล้วใส่ขวดโหลไว้ ใส่พริกไทยร่อนและเทน้ำผึ้งดองไว้อย่างน้อย ๓ วัน จึงนำมากินเป็นยา กินน้ำผึ้งครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา เช้า-เย็น และอาจนำลูกมะนาวที่ดองไว้มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ กินเนื้อทีละน้อยๆ ทุกวัน

น่าจะเตรียมมะนาวไว้เป็นสมุนไพรตู้ยาประจำบ้านกันทุกครัวเรือน มะนาวปลูกไม่ยาก ที่ต้องระวังอย่าให้น้ำขังจนรากเน่า ซึ่งปัจจุบันมีการเผยแพร่ความรู้วิธีปลูกในกระถางหรือในท่อซีเมนต์กันมากมาย  ยาสมุนไพรดีๆ ไม่ต้องเสาะหากันไกลตัว สามารถปลูกไว้ใช้เองได้ง่ายๆ ด้วยมือเรา
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2562 16:00:24 »


ผักหวานบ้าน กินอร่อย เป็นยาสมุนไพรด้วย  

มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่ประชาคมอาเซียน ตั้งแต่เวียดนาม เขมร ลาว ฟิลิบปินส์ มาเลเซีย ไทย ไปจนนอกเขตอาเซียน เช่น อินเดีย จีน คือ ผักหวานบ้าน ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sauropusandrogynus (L.) Merr. อยู่ในตระกูล  Euphorbiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม สูงประมาณ ๐.๕-๒ เมตร ใบเดี่ยวรูปไข่ปลายแหลม ขอบเรียบ ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ใบดูคล้ายใบมะยม ดอกสีขาวมีกลีบรองดอกแดง ออกตามง่ามใบ ช่วงที่ออกดอก เป็นช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ผักหวานบ้าน เป็นผักที่คนไทยน่าจะรู้จักดีในแง่นำมากินเป็นอาหาร โดยนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาปรุงเป็นน้ำแกงหรือแกงจืด หรือนึ่งลวกกินกับน้ำพริก หรือทำแกงเลียง แกงส้มก็ได้

มีเรื่องน่าเรียนรู้ว่าผักหวานบ้านที่ภาคเหนือของไทยนั้นเรียกว่า จ๊าผักหวาน นอกจากนำมากินเป็นอาหารเช่นภาคอื่นๆ แล้ว ในตำรายาล้านนานั้นผักหวานบ้านมีบทบาทมากในแง่สรรพคุณทางยาสมุนไพร โดยนำส่วนของรากผักหวานบ้านมาเข้ายาตำรับรักษาโรคและอาการต่างๆ เช่น โรคขางทุกชนิด ขางเป็นอาการแสดงของธาตุไฟทำให้ไม่สบาย ได้แก่ ขางทำให้มีอาการเสียดด้านข้าง เสียดท้อง ไอก็ดี ร้อนก็ดี ง่วงหลับก็ดี ขางไฟ ขางแกมสาน ขางรำมะนาด (เจ็บในคอ) ขางปิเสียบเป็นอาการจุกเสียดและร้อน มีอาการใจสั่น ยังมีการใช้ในการเข้ายาแก้มะเร็ง (หมายถึงอาการเป็นก้อนเนื้อซึ่งอาจหมายถึงเนื้องอกที่ผิดปกติ) และใช้ผสมในตำรับยาแก้ฝีสาร ซึ่งจะใช้เป็นยาชะล้างฝีที่มีอาการร้อน และเข้ายาแก้ไข้ฝีเครือดำขาวเหลือง เข้ายาแก้พิษ นอกจากนี้ รากผักหวานบ้านยังเข้าตำรับยามุตขึด (หมายถึงโรคสตรี) อาการบวมพอง และใช้กรณีคนไม่อยากอาหาร อาการเจ็บหูก็ใช้เป็นยาหยอดด้วย

มีการเก็บข้อมูลความรู้จากหมอพื้นบ้านใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พบว่ามีการใช้รากผักหวานบ้าน เข้ายาแก้ลมผิดเดือนและยาแก้กินผิด (อาการผิดสำแดง) โดยใช้ในรูปแบบยาฝน ประกอบด้วย รากมะนาว รากผักดีด รากผักหวานบ้าน รากยอ รากจำปี รากทองพันชั่ง นำมาฝนกับน้ำกิน และพบตำรับยาหมอพื้นบ้านที่ อ.สันป่าตอง ใช้รากผักหวานบ้านเข้าตำรับยาฝนแก้อาการเจ็บในปาก และแก้อาการปากเหม็นด้วย

ผักหวานบ้านเป็นยาเย็น ใบ ต้นและรากมีรสเย็น จึงมักนำมาใช้รักษาอาการที่เกิดจากธาตุไฟ หรือใช้เข้ายาถอนพิษไข้และแก้พิษ ระงับความร้อน และในอดีตนำมาใช้แก้คางทูมด้วย หากนำใบมาใช้นิยมใช้ใบสด แต่ถ้าใช้ราก ควรเลือกเก็บรากที่มีอายุตั้งแต่ ๒ ปีและมักนำไปตากแห้งเพื่อเก็บไว้ใช้ต่อไป

หมอแผนโบราณที่ประเทศเวียดนาม มีการนำผักหวานบ้านมาใช้ในหลายโรค เช่น ใช้รากรักษาอาการไข้ ส่วนใบสดใช้รักษากรณีหญิงคลอดบุตรและรกไม่เคลื่อน โดยใช้ขนาด ๓๐-๔๐ กรัมต่อวัน ต้มน้ำกิน โดยหมอพื้นบ้านจะเป็นคนดูแลอย่างใกล้ชิดและกำหนดปริมาณการกินยาด้วยตนเอง

ผักหวานบ้านยังใช้เป็นยาทาป้ายแผลในปาก แก้ฝ้าขาวในเด็กทารก  นำใบสดมาคั้นน้ำแล้วนำน้ำยาไปต้ม จากนั้นผสมน้ำผึ้งนำไปทาที่ลิ้นและเหงือกของทารกที่เป็นฝ้าขาว  ใบนำมาใช้แก้บวม หัด และอาการปัสสาวะออกน้อย รากก็เข้ายาช่วยขับปัสสาวะและลดอาการบวมได้ด้วย  และที่น่าสนใจคือการประชุมสมาชิกประเทศอาเซียนในปีนี้ ได้มีการยอมรับถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นว่าการใช้ผักหวานบ้าน เป็นสมุนไพรช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำนมในแม่ที่ไม่มีน้ำนมให้บุตร (Promoting lactation) ด้วย

ผักหวานบ้าน จึงนับเป็นผักชนิดหนึ่งของอาเซียนหรือแห่งเอเชียเลยก็ได้ ที่ควรส่งเสริมให้ปรุงในมื้ออาหารต่างๆ อาจถือได้ว่าเป็นเมนูนานาชาติ ต้มจืดผักหวานบ้าน หรือมีรสเผ็ดร้อนอย่างแกงเลียงผักหวาน หรือแกงพื้นบ้านอื่นๆ ก็ได้  เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ผักหวานบ้านยังเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์เย็น กินแล้วระงับความร้อนในร่างกาย กินก่อนประชุมสุดยอดอาเซียนน่าจะช่วยให้ร่างกายเย็นๆ หายร้อนรุ่มประชุมกันได้อย่างราบรื่นจนบรรลุผลสำเร็จด้วยดี

ผักหวานบ้านปลูกง่ายขึ้นง่าย สามารถขึ้นได้เองด้วย เก็บกินได้ตลอดทั้งปี หรือจะปลูกสร้างรายได้เสริมเก็บใบขายก็ยังได้ จำไว้ว่าผักหวานบ้านกินอร่อยและเป็นยาสมุนไพรด้วย
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์  



เมี่ยง และเมี่ยงหมัก  

เมี่ยง เป็นคำในภาษาล้านนามีความหมายถึงใบสดของต้นชา (Camellia sinensis var. assamica (J.W.Mast.) Kitam.) ที่เก็บมาเฉพาะใบที่ไม่อ่อนเกินไป แล้วนำมาดองจนเปรี้ยวเป็นเมี่ยงหมัก

เมี่ยง ยังหมายถึง ใบสดของใบชาที่นำมาปรุงอาหาร เช่น ยำเมี่ยง

สำหรับเมี่ยงหมักนี้ มีการทำเป็นอาชีพกันเลย ซึ่งพบมากในแถบอำเภอดอยสะเก็ด และอีกหลายตำบลในที่อื่นๆ เช่น บ้านแม่กำปอง ป่าเมี่ยงตำบลห้วยแก้ว ตำบลเทพเสด็จ จังหวัดเชียงใหม่ ตำบลแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง

พื้นที่เหล่านี้มีการเก็บและปลูกเมี่ยงผสมผสานกันไปในป่า ซึ่งมักปลูกตามที่ลาดชันเล็กน้อย บนดอยที่สูง ประมาณ ๑,๕๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล จากการเก็บข้อมูลภรรยาพ่อหลวง อายุ ๕๐ ปี ในจังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า เกิดมาก็เห็นพ่อแม่ทำอาชีพเมี่ยงมาตั้งแต่เกิด ในอดีตการเก็บเมี่ยง ทำปีละ ๔ ครั้ง คือ เมี่ยงหัวปีเดือนเมษายน เมี่ยงกลางเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม เมี่ยงซ้อยเดือนตุลาคม เมี่ยงเหมยเดือนสาม เดือนสี่ (เดือนทางเหนือ)

หลังเก็บเมี่ยงแล้วจะทำการนึ่งเมี่ยง มัดให้แน่น ก่อนจะดองเก็บไว้กินเอง แต่หากไม่ดอง ก็จะนำเมี่ยงที่นึ่งแล้วส่งให้แก่โรงหมักเมี่ยง

ในสมัยก่อนเราจะไม่กินเมี่ยงหมักแบบหัวปี หรือเมี่ยงใบอ่อน แต่ปัจจุบันผู้สูงอายุ นิยมกินเมี่ยงอ่อน จึงมีการเก็บเมี่ยงอ่อน และการเก็บเมี่ยงในปัจจุบันจะไม่เก็บเป็นเวลาเหมือนในอดีตแล้ว

วิธีทำเมี่ยง จะเก็บใบเมี่ยงโดยมีอุปกรณ์โลหะวงแหวนติดที่นิ้วชี้ ใช้นิ้วตวัดตัดเอาใบที่อยู่ประมาณด้านล่างของช่อใบซ้อนรวมกัน ใบต้องไม่แก่เกินไป แล้วต้องเหลือหูใบไว้  

แม่หลวงเล่าว่า อาจใช้ใบอ่อนถ้าต้องการเมี่ยงอ่อน ใบอ่อน นิ่ม มีสีเขียวอ่อน เมี่ยงที่ได้ก็จะฝาดนิดหน่อย ทำโดยเอาใบเมี่ยงไปมัดด้วยตอก ต้องใช้ตอกแบนๆ ห่อเป็นกำ เอาไปนึ่งแล้วเอามาแช่น้ำทิ้งไว้มันก็จะส้ม (เปรี้ยว) ไปเอง

ปัจจุบันใช้วิธีเก็บรวมกันใส่ถุงตาข่ายเป็นถุงๆ แล้วนำมานึ่งทั้งถุง การนึ่งต้องใช้ไฟจากฟืนที่เก็บมาตั้งแต่ช่วงฤดูพักตัวของเมี่ยง เก็บฟืนมาไว้เป็นร้อยๆ ดุ้น โดยต้องใช้ไม้ที่ตายคาต้น หรือไม้ล้มในป่า  ไฟที่ใช้ในการนึ่งเมี่ยง ต้องให้ร้อนต่อเนื่อง มิฉะนั้นใบเมี่ยงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ

หลักการหมักเมี่ยง จะต้องให้เมี่ยงอัดแน่น ปราศจากอากาศ และต้องปิดสนิทไม่ให้น้ำฝนไหลลงไป เพื่อทำให้เมี่ยงไม่เสีย  หากเสียก็จะเกิดกลิ่นเหม็น  การทำเมี่ยงแบบธรรมชาติ ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน หรือถ้าเป็นปีก็จะเปรี้ยวมากขึ้น แต่หากทำขาย ต้องการจะขายเร็ว อาจมีการผสมน้ำส้มสายชู

วิธีการกินก็จะเอาใบเมี่ยงพร้อมใช้มาสักห้าหกใบ นำมาแผ่แล้วใส่พริกแห้ง หอมขาว (กระเทียม) และเกลือ ห่อไว้รวมกันแล้วนำมากินได้ หากจะทำเมี่ยงทรงเครื่องก็ผสมขิงดอง มะพร้าวคั่ว อย่างใดอย่างหนึ่ง

สมัยก่อนนิยมห่อเมี่ยงอมเป็นคำคำ โดยเฉพาะทำวางใส่จานเลี้ยงแขกในงานศพเป็นของว่าง (อาจทำให้แขกตาสว่าง) นอกจากนี้ มีตำรับยำเมี่ยง ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนที่อยู่กับป่าเมี่ยง โดยมีการนำใบสดของเมี่ยงมาผสมกับเครื่องยำ อาจใช้ปลากระป๋องร่วมด้วย โดยมักใส่สะเรียมดง และเพี้ยฟาน จึงจะอร่อย  สําหรับชุมชนชาวเหนือนั้นมีประวัติพัฒนาการผลิตชาน้อยกว่าเมี่ยง เพราะการแปรรูปทำชาทำได้ยากต้องอาศัยเทคโนโลยีการผลิตซึ่งชุมชนไม่สามารถทำได้ง่าย อีกทั้งการลงทุนใช้งบประมาณมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีการพัฒนานำใบชาแก่มาทำให้แห้ง อัดเป็นหมอน ใช้ดับกลิ่น เป็นการใช้ความหอมจากใบเมี่ยงพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว  ปัจจุบันการทำเมี่ยงลดลงไปมาก เพราะคนกินเมี่ยงน้อยลง การขายก็ขายได้น้อยลง ผู้คนไม่เห็นคุณค่า พร้อมกับการส่งเสริมการปลูกกาแฟเป็นอาชีพซึ่งรายได้ดีกว่ามาก เมี่ยงจึงเป็นอาชีพรองหรืออาชีพเสริม

ในมุมยาสมุนไพร เมี่ยงเป็นสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐานแห่งอาเซียน เพราะสามารถใช้ประโยชน์ในยามฉุกเฉินได้ดี เช่น กรณีแผลไฟไหม้ที่ไม่รุนแรง หรือแก้อาการเป็นพิษบางอย่าง  ในตำรับยาล้านนา ได้มีการใช้เมี่ยงเป็นยา ที่บันทึกในใบลานดังนี้ ยาถีบแก้สะป๊ะ (แก้ได้หลายอย่าง) เอากาฝากเหมือดคน กาฝากกอก กาฝากเมี่ยง กาฝากผักหละ กาฝากเดื่อป่อง กาฝากฝูงคอบ หอยทะระ นมผา หนังแรด ฝนตกน้ำกินเทอะ (เสียเถอะ) มดทะขึด (มุตกิต) เป็นตุ่มยังลึงค์ เอาขี้เมี่ยงเละ หรือน้ำเมี่ยงใส่น้ำมะนาวทา ยาแก้ร้อนจะใคร่ให้เย็นดั่งอั้น (ยาแก้ร้อน จะให้เย็น) เอาขี้เมี่ยงเละ อันเคี่ยวเสียยังเตานั้นมาตีให้ย่อย แช่น้ำข้าวจ้าวไว้แล้วเอา ผักแคบ ผักเข้า ผักหนอก ผักแว่น หญ้าผากควาย ลับมืน (ชุมเห็ด) หญ้าไซ ใบบง มือมะน้ำ (น้ำเต้า) มะฟัก อ้อยดำ หัวแหย่ง นมผา หอยทะระ ยา ๑๔ ต้นนี้เย็นนักให้กิน ยาห้ามอาเจียน ราก ให้เอารากเมี่ยง แจนปูดิน ฝนตกน้ำจ้าวกินหาย ยาแก้กิ๊วท้อง (ปวดบิดในท้อง) เอายอดไม้แพ่ง แก่นหมากลิ้นคู้ ปมครั่ง จี่มะก๊อ น้ำเมี่ยงตำปั้นเป็นเลี่ยม ฝนน้ำอุ่นกิน ยาคอแห้ง เอาหน่วยหมากแคว้ง น้ำอ้อยดิบ ขี้ยองข่า ขิงแคง พริกน้อย ใบเมี่ยงแห้ง ตำเป็นผง ปั้นลูกกลอน

แม้ว่าเมี่ยงจะสู้กาแฟไม่ได้ในเวลานี้ แต่เมี่ยง ยังทำรายได้ให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี สามารถเก็บขายได้ทุกวัน  อาจต้องมารณรงค์ให้ชาวล้านนาและนักท่องเที่ยวกินเมี่ยง และช่วยกันพัฒนาเมี่ยงเป็นผลิตภัณฑ์หรืออาหารที่น่าสนใจ รวมถึงทำใบชาคุณภาพ ให้อาชีพเก็บชา ยังคงอยู่คู่กับชุมชนต่อไป
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ฤๅษีผสมแล้ว ไม้ดอกไม้ยา  

ฤๅษีผสมแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันว่า Plectranthus scutellarioides (L.) R.Br. (ในอดีตไม่ได้จัดให้ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์นี้) มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า coleus และแน่นอนมีชื่อภาษาไทยว่า ฤๅษีผสมแล้ว ซึ่งไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อ

ฤๅษีผสมแล้วมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน หรือสอบเรียว ขอบใบหยักเว้า แผ่นใบมักหยิกย่น มีลวดลายและสีต่างกันตามพันธุ์ มีขนดอกมีสีขาวอมม่วงถึงม่วง ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น ๕ แฉก เกสรตัวผู้ ๒ คู่ยาวไม่เท่ากันผลแห้งมีขนาดเล็กมาก ออกดอกและผลตลอดปี

ผลมีเปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียว

ฤๅษีผสมแล้ว เป็นพืชที่อยู่ในสกุลเดียวกับเนียมหูเสือ อยู่วงศ์ Lamiaceae ซึ่งฤๅษีผสมแล้วที่มาจากสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้น ใบมีสีเขียวหรือมีสีที่ไม่ฉูดฉาดนัก มีอายุประมาณ ๒ ปี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา จีน เมียนมา ไทย ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซียและออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๑๐๐-๑,๖๐๐ เมตร แต่ต้นไม้ในป่าเขานี้ได้รับการค้นพบและมีนักตกแต่งสวนชาวดัตช์หรือเนเธอร์แลนด์นำเข้าไปในยุโรป ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๙๔ ซึ่งนำสายพันธุ์ไปจากชวา

ตอนที่นำไปดินแดนยุโรปใหม่ๆ นั้น สายพันธุ์ดั้งเดิมมีสีเพียงไม่กี่สีและรูปร่างเป็นแบบใบไม้ธรรมดา จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๑๐ นักปรับปรุงพันธุ์ทำการคัดพันธุ์ จนกระทั่งเกิดต้นฤๅษีผสมที่มีสีหลากหลายและมีรูปแบบของใบที่แตกต่างกันจำนวนมาก นี่อาจจะเป็นที่มาของชื่อเรียกไทยๆ ของพืชชนิดนี้ว่า ฤๅษีผสมแล้ว

หลังจากการปรับปรุงสายพันธุ์หรือพัฒนาพันธุ์ขึ้นแล้ว พบว่าต้นที่พัฒนาใหม่มีความแตกต่างจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง

ในปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ของฤๅษีผสมแล้วมาโดยตลอด ขณะนี้มีมากถึง ๑๐ กลุ่มสายพันธุ์ที่มีความสำคัญในตลาดไม้ดอกไม้ประดับของประเทศสหรัฐอเมริกา

เนื่องจากรูปร่างของต้นและสีที่แตกต่างกันอย่างมากมาย ซึ่งเป็นที่ถูกใจของชาวตะวันตกมาก เมื่อพัฒนาสายพันธุ์ได้มากมายการจัดฤๅษีผสมแล้วในทางวิชาการจึงจัดให้อยู่ในสกุลพืชที่แตกต่างกันหลายสกุล และทำให้มีชื่อที่เป็นชื่อพ้องจำนวนมาก เช่น การจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกับโหระพา (Ocimum) มาจนถึงสกุล Coleus
แล้วในที่สุดเปลี่ยนมาเป็นสกุล (Plectranthus สำหรับสายพันธุ์ป่าหรือสายพันธุ์เดิมนั้น เป็นพืชที่มีการลงหัว ส่วนของหัวนำมากินเป็นอาหารได้ ส่วนของใบก็นำมากินเป็นผักสดได้เช่นกัน หรือนำมากินร่วมกับขนมปังและเนย ในบางชุมชนมีการนำมาขูดใส่ลงในเบียร์ท้องถิ่นด้วย

ในด้านสรรพคุณสมุนไพร ฤๅษีผสมแล้วนำมาใช้ดูแลสุขภาพ เช่น แก้อาการอาหารไม่ย่อย แก้อาการเยื่อบุตาอักเสบ ปวดหัว ฟกช้ำ ในบางชุมชนใช้เป็นยาทำให้แท้งและเป็นยาถ่ายพยาธิด้วย ในส่วนของรากใช้เป็นแก้บิดและแก้อาการเด็กทารกร้องไห้ตลอด ๓ เดือน ส่วนของใบใช้เป็นยาขับพยาธิ ยาช่วยย่อยและยาช่วยกดประสาท นอกจากนี้ยังใช้เป็นยารักษากระเพาะปัสสาวะและตับทำงานผิดปกติ

สายพันธุ์ป่าที่มีใบสีม่วงดำ ใบและต้นอ่อนสามารถมาคั้นเอาน้ำดื่มแต่ต้องระวังเพราะทำให้แท้ง แต่ถ้าใช้ให้ถูกต้องสามารถใช้เพื่อการขับรกของสตรีหลังคลอดบุตรได้ นอกจากนี้ใช้เป็นยาพอกภายนอกเพื่อรักษาอาการบวมตามที่ต่างๆ และพอกแผลที่เกิดจากฝีดาษ ไข้ทรพิษ ใบอ่อนนำไปย่าง แล้วบีบเอาแต่น้ำใส่บาดแผล ได้ทั้งแผลสดและแผลที่เป็นหนองแล้ว  น้ำคั้นจากต้นหรือทั้งต้นนำไปต้มดื่ม ใช้เป็นยาขับระดู รักษาริดสีดวงทวาร ตาอักเสบและเป็นหนอง

ในตำรายาไทยมีการใช้ฤๅษีผสมแล้ว (น่าจะเป็นการใช้พันธุ์พื้นเมือง) เป็นส่วนประกอบของตัวยาเช่นกัน ซึ่งปรากฏเห็นในตำรับยาของวัดโพธิ์ โดยใช้ชื่อว่า “สีสมแล้ว” เข้ายาแก้มุศกายะ ธาตุตานโจร (ไข้เป็นบางเวลา มือและเท้าเย็น หอบ ลิ้นกระด้าง คางแข็ง) และแก้โรคฟกบวมในหูทั้ง ๒ ข้าง จนเป็นหนองไหล มีกลิ่นเหม็นเน่า

ฤๅษีผสมแล้วที่เป็นสายพันธุ์ป่าที่มีใบสีม่วงดำ ยังมีการนำใบมาคั้นน้ำแล้วใช้น้ำในการสักตามตัวด้วย และก็ยังนิยมนำสายพันธุ์ป่ามาปลูกเป็นไม้ประดับหรือใช้ตกแต่งสวนเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในเอกสารบางชิ้นกล่าวถึงพืชอีกชนิดหนึ่งว่า มีชื่อท้องถิ่นว่า ฤๅษีผสมแล้ว แต่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemigraphis alternata (Burm.f.) T.Anderson โดยทั่วไปพืชชนิดนี้มักเรียกกันว่า ดาดตะกั่ว ซึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นคู่ๆ ไปตามข้อลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ถึงรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย หลังใบเป็นสีเขียว แต่ถ้าถูกแดดจัดๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมเขียว หรือเมื่อถูกแสงแดดจะเห็นเป็นประกาย

ดาดตะกั่วใช้เป็นสมุนไพรได้เช่นกัน ต้นใช้เป็นยาทารักษาโรคผิวหนัง ในประเทศมาเลเซียใช้ต้นนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ตกเลือด ใบใช้เป็นยาแก้บิด แก้ริดสีดวงทวาร และใช้ขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วได้ ซึ่งน่าจะมาจากใบมีสาร Potassium salt อยู่มาก จึงเป็นตัวช่วยในการขับปัสสาวะได้ดี

สมุนไพรทั้ง ๒ ชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ในบางท้องที่จึงเรียกชื่อเหมือนกันว่าฤๅษีผสมแล้ว แต่ในการนำมาใช้ปรุงยาตามตำรับดั้งเดิม จะต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้น และอาจทำการศึกษาวิจัยให้แน่ชัดว่าควรใช้พืชชนิดไหนให้ถูกต้องกับตำรับยาต่อไป [/size]   ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ฟักข้าว พืชพื้นบ้านคุณค่ามหาศาล  

เมื่อเอ่ยถึง “ฟักข้าว” เชื่อว่าหลายท่านเคยได้ยินชื่อนี้ แต่ก็อาจมีบางท่านไม่เคยได้ยิน ถ้าไปค้นหาในโลกอินเตอร์เน็ต ก็พบความนิยมของผู้บริโภคมากมาย มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่แปรรูปมาจากฟักข้าว เช่น น้ำฟักข้าว สบู่ฟักข้าว แยมฟักข้าว น้ำมันฟักข้าว

วันนี้มารู้จักฟักข้าวในทางวิชาการและยาสมุนไพรกัน

ฟักข้าว มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ขี้กาเครือ (ปัตตานี) หรือชื่อเรียกพื้นเมืองของทางภาคเหนือว่าผักข้าว ซึ่งถือว่าเป็นพืชพื้นบ้านที่พบมากทางภาคเหนือของประเทศไทย จัดอยู่ในวงศ์แตง CUCURBITACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Momordica cochinchinensis Spreng. และฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย และในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน เวียดนาม พม่า ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศด้วย ผลอ่อนของฟักข้าวสามารถนำมาปรุงอาหารได้ เช่น แกงปลาแห้งแบบทางเหนือ แกงส้ม แกงเลียง ต้มจิ้มน้ำพริก ต้มกะทิ ยอดใช้ลวกจิ้มน้ำพริก

การใช้ประโยชน์จากฟักข้าวในทางยานั้น รากใช้เป็นยาเย็น โดยเข้ายามะเร็งฝีสาน และหมอพื้นบ้านล้านนาใช้รากเข้าตำรับยาถอนพิษ ล้างพิษ และขับสารพิษ โดยปรุงยาเป็นยาฝน ประกอบด้วยตัวยาเมล็ดฟักข้าว นำมาสะตุ กาสะลักนำมาสะตุ เถาพระขรรค์ไชยศรี รากมะไฟ รากผักฮ้วนหมู หัวแหย่ง และเขากวางอ่อน นอกจากนี้ฟักข้าวยังใช้ร่วมในตำรับยาแก้ไข้ แก้ฝีที่มีอาการเจ็บปวดมากด้วย

ในประเทศจีนมีการใช้เมล็ดแก่ของฟักข้าวเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการอักเสบบวม กลากเกลื้อน ฝี อาการฟกช้ำ ริดสีดวง แก้ท้องเสีย อาการผื่นคันและโรคผิวหนังติดเชื้อต่างๆ ในเวียดนามใช้น้ำมันจากเยื่อหุ้มเมล็ดมาย้อมสีข้าว และใช้ข้าวย้อมสีนั้นมาหุงนำไปไหว้เจ้าในแต่ละเดือน และสมัยที่ชาวเวียดนามยังอยู่ในศึกสงครามก็ได้น้ำมันดังกล่าวมาให้เด็กกินแก้อาการขาดสารอาหาร จำพวกขาดเบต้าแคโรทีนอยด์

แคโรทีนอยด์เป็นสารสีในพืชและพบในสิ่งมีชีวิตที่มีการสังเคราะห์แสงในแบคทีเรียและในรา แต่ในมนุษย์เราไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหาร แคโรทีนอยด์มีถึง ๖๐๐ ชนิด เช่น แซนโทฟิลด์ และแคโรทีน ในร่างกายเราจะเปลี่ยนแคโรทีนอยด์เป็นวิตามินเอ สารแคโรทีนอยด์มีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนต์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยดวงตาของเรา มีฤทธิ์ปกป้องกระจกตา ทำให้การมองเห็นดีนั่นเอง

มีงานวิจัยที่ทำการศึกษาหาปริมาณของแคโรทีนอยด์ในผลของฟักข้าว พบว่าส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณแคโรทีนอยด์และไลโคปีนสูงกว่าส่วนเนื้อของผลฟักข้าว และเมื่อเทียบปริมาณไลโคพีน ที่พบในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวกับที่พบในผลไม้ชนิดต่างๆ ได้แก่ ผลมะเขือเทศ แตงโม ฝรั่ง เกรปฟรุตและผลไม้อื่นๆ ที่มีสีแดง พบว่าฟักข้าวมีปริมาณไลโคปีนสูงกว่าหลายเท่าตัว ดังนั้น ฟักข้าวจึงเป็นแหล่งของไลโคปีนที่สำคัญ เป็นที่ต้องการของร่างกายของเรา มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิดด้วย

มีคณะวิจัยทำการสกัดสารสำคัญจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวโดยใช้วิธีหีบ พบว่าน้ำมันที่สกัดออกมาได้มีสีแดงเข้ม มีกลิ่นเฉพาะตัว และทำการวิเคราะห์หาปริมาณแคโรทีนอยด์แบบรวมๆ พบว่าน้ำมันจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวที่หีบออกมาได้มีค่าแคโรทีนอยด์รวมคิดเป็นร้อยละ ๐.๓ โดยน้ำหนัก  นอกจากสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์แล้วยังพบกรดไขมันอีก ๑๔ ชนิด ที่พบมากที่สุดคือ Linolelaidic acid คิดเป็นร้อยละ ๗๐.๘๔ น้ำมันฟักข้าวนอกจากสามารถพัฒนาเป็นยาในรูปแบบแคปซูลชนิดนิ่มได้แล้ว ยังพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดังเช่นในประเทศเวียดนามมีการผลิตออกมากันบ้างแล้ว และที่น่าสนใจคือพัฒนาเป็นผลิตถัณฑ์เครื่องสำอางชะลอริ้วรอยได้อีกด้วย

ในประเทศไทย มหาวิทยาลัยมหิดลทำการศึกษาวิจัยฟักข้าวเกี่ยวกับสรรพคุณหรือประโยชน์ต่างๆ พบว่าเมล็ดฟักข้าวมีโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี-เอดส์ และยับยั้งเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีการจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว งานวิจัยอื่นของไทยและต่างประเทศยังพบว่าเมล็ดแก่ของฟักข้าวมีโปรตีน มอร์มอโคลชิน-เอส และโคลชินิน-บี มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมซึ่งเป็นแหล่งผลิตกรดอะมิโน และต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง

ประเทศญี่ปุ่นทำการวิจัยพบว่าโปรตีนจากสารสกัดน้ำของผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลอง โดยลดการแผ่ขยายของหลอดเลือดรอบก้อนมะเร็งและชะลอการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งดังกล่าว ในห้องทดลองน้ำสกัดผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการทำให้เซลล์แตกตาย

แม้ว่าการทดลองจำนวนมากยังอยู่ในระดับสัตว์ทดลอง และในระดับห้องปฏิบัติการยังมีการศึกษาวิจัยในมนุษย์ไม่มากนัก แต่ถ้าเราเรียนรู้การกินฟักข้าวให้เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ก็น่าจะทำได้ทันที

ฟักข้าว ผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าและประโยชน์มากมาย ปลูกง่าย เป็นไม้เถาเลื้อยเมื่อออกดอกออกผลก็สวยงาม นำมาปรุงอาหารก็อร่อย กินเป็นสมุนไพรก็มีสรรพคุณดี ลองหามาปลูกและหามากินกันนะ
  ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 พฤศจิกายน 2562 16:02:57 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2562 15:44:47 »


กระท่อม พืชยา    

กระท่อม เป็นพืชที่มีการใช้เป็นยามาอย่างยาวนานแต่โบราณ

ใช้ใบกระท่อมเพื่อรักษาการติดเชื้อในลำไส้ บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอและท้องร่วง โดยใช้ใบสดหรือใบแห้งนำมาเคี้ยว สูบ หรือชงเป็นน้ำชา  แต่เป็นที่รู้กันว่ากระท่อมถูกจับให้เป็นยาเสพติด กลายเป็นพืชต้องห้ามตามกฎหมายเป็นครั้งแรกเมื่อ ๗๖ ปีก่อน ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของการออก พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.๒๔๘๖ เนื่องจากฝิ่นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่นสุก ฝิ่นดิบ มีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น รัฐก็เลยใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการกับกระท่อม ซึ่งเป็นพืชยาชนิดนี้เพื่อให้รัฐจัดเก็บภาษีฝิ่นได้ตามเป้าหมายนั่นเอง

ต่อมา กระท่อมจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ ตามความหมายในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๗ ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม

กัญชาเหมือนจะมีผู้คนมาสนับสนุนการพัฒนาในด้านการแพทย์กันพอสมควร แม้ว่ายังมีข้อกังวลข้อถกเถียงถึงผลข้างเคียงจากกัญชา แต่ก็ถือว่ากัญชาได้เข้าสู่กระบวนการศึกษาและพัฒนาเพื่อการแพทย์เต็มตัวแล้ว แต่กระท่อม ซึ่งถือว่าเป็นพืชประจำถิ่นในภาคใต้ของไทยยังมีแรงสนับสนุนให้เป็นพืชยาเพื่อการแพทย์ไม่มากนัก

กระท่อม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่ ปลายแหลม โคนป้าน หูใบระหว่างก้านใบเป็นแผ่นคล้ายใบ ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามปลายกิ่ง มี ๑-๓ ช่อ ช่อกลางสั้นมาก แต่ละช่อประกอบด้วยดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงเป็นหลอดสั้น ปลายมี ๕ แฉก กลีบดอกเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น ๕ หยัก เมล็ดมีปีก

กระท่อมเป็นพืชที่อยู่ในสกุล Mitragyna หอพรรณไม้ กรมป่าไม้ รายงานไว้ว่าพืชในสกุลนี้ในประเทศไทยมีอยู่ ๕ ชนิด ได้แก่

Mitragyna diversifolia (Wall ex G. Don) Havil.[/
size] มีชื่อท้องถิ่นว่า กระท่อมขี้หมู กระทุ่มดง กระทุ่มนำ ท่อมขี้หมู ตุ้มน้ำ

Mitragyna hirsuta Havil.[/size] มีชื่อท้องถิ่นว่า กระทุ่มโคก ตุ้มเขา ทุ่มพาย

Mitragyna parvifolia Korth. มีชื่อท้องถิ่นว่า กระทุ่มใบเล็ก

Mitragyna rotundifolia (Roxb.) Kuntze มีชื่อท้องถิ่นว่า กระทุ่มเนิน แก่นเหลือง ตุ้มกว้าว

Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. มีชื่อท้องถิ่นว่า กระท่อม ท่อม อีถ่าง

กระท่อมมีหลายสายพันธุ์ถือเป็นความร่ำรวยทางชีวภาพ ในแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกันที่ลักษณะของใบ คือ พันธุ์ก้านแดงมีก้านและเส้นใบสีแดง พันธุ์แตงกวามีเส้นใบสีเขียวอ่อนกว่าแผ่นใบ พันธุ์ยักษ์ใหญ่มีใบขนาดใหญ่กว่าพันธุ์อื่นและส่วนบนของขอบใบเป็นหยัก  พันธุ์ที่นิยมบริโภคกันมาก คือ พันธุ์ก้านแดง ที่มีวิทยาศาสตร์ว่า Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. มีชื่อท้องถิ่นว่า ท่อม (ภาคใต้) กระท่อม อีถ่าง (ภาคกลาง) และกระท่อมพบได้ในเขตร้อนและกึ่งร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปแอฟริกา  ถือเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกินี

การศึกษาพบว่าใบกระท่อมมีสารสำคัญ เรียกว่า ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน เช่น สารไซโลไซบิน (psilocybin) ที่พบในเห็ดขี้ควาย LSD และยาบ้า ทำให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงานทำให้สามารถทำงานได้นานและทนมากขึ้นและทนต่อความร้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน  จึงไม่ต้องแปลกใจที่สังคมเกษตรแต่ก่อนเก่า ก่อนที่กระท่อมจะกลายเป็นยาเสพติด ผู้ใช้แรงงานในท้องไร่ท้องนา หรือแม้แต่ทหารเดินทัพออกศึกในอดีตก็ได้กระท่อมเสริมพลัง กินใบกระท่อมช่วยให้ทำงานกลางแจ้งได้ทนนานขึ้นนั่นเอง

ฤทธิ์ทางเภสัชของ ไมทราไจนีน (Mitragynine) ที่ลดอาการเจ็บปวดได้ เมื่อให้กินทางปากในขนาด ๒๐๐ มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม ซึ่งมีฤทธิ์เทียบเท่ากับการได้รับมอร์ฟีนในขนาด ๕ มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม

กระท่อมจึงเป็นยาที่นำมาใช้เพื่อลดอาการขาดยาจากสิ่งเสพติดอื่น เช่น ฝิ่นและมอร์ฟีน เป็นต้น และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ามอร์ฟีนเมื่อใช้ในระยะเวลาที่จำกัด

กระท่อมยังนำมาใช้แทนแอมเฟตามีน (ยาบ้า) เพื่อเพิ่มพละกำลัง ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการใช้กระท่อมในลักษณะนี้ในหลายประเทศทั่วโลก

การใช้ของต่างประเทศพบว่า ใช้เป็นยารักษาอาการเรื้อรังต่างๆ เช่น ช่วยลดความดันโลหิต บรรเทาเบาหวาน แก้ไอ แก้ระบบย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น ท้องเสีย บิดมีตัว ปวดท้องและกำจัดพยาธิในเด็ก และใช้เป็นการกระตุ้นร่างกายให้ทำงานหนักได้  และมีรายงานจากต่างประเทศกล่าวถึงการเริ่มศึกษาใบกระท่อมช่วยอาการซึมเศร้า โรควิตกกังวลและอื่นๆ อีกหลายโรคด้วย และข่าวว่าเพื่อนบ้านเราทั้งเวียดนามและเมียนมา กำลังปลูกกระท่อมกันมากมาย

ความรู้พื้นบ้านของเรามีการนำใบกระท่อมตำพอกแผลภายนอก เช่น ใบกระท่อมนำมาย่างร่วมกับใบหนาด (Blumea balsamifera (L.) DC.) ใบยอบ้าน (Morinda citrifolia L.[/size]) และใบเพกา (Oroxylum indicum (L.) Kurz) ตำรวมกัน นำมาพอกในตำแหน่งที่อยู่ขอม้าม แก้ม้ามโต (กรณีม้ามโต ทดสอบได้จากการเอามือจับบริเวณผิวหนังที่ตำแหน่งของม้าม จะรู้สึกว่าร้อน)

ข้อควรระวัง การกินใบกระท่อมมากๆ เป็นระยะเวลานานจะทำให้เม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และถ้ากินกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบ จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในลำไส้ได้

เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น  ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นในลำไส้ จึงไม่ควรกินกากใบประท่อม  และบางรายกินมากไปทำให้เกิดการอาเจียนและท้องเสีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจมีอาการทางจิตได้

กระท่อมยังมีประโยชน์ทางการแพทย์อีกมาก ในเวลานี้รอลุ้นว่ารัฐสภาจะพิจารณากฎหมายกระท่อมเพื่อการแพทย์ที่ภาคประชาสังคมได้รวบรวมรายชื่อเสนอไว้อย่างไร เพราะกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติด กระท่อม คือ พืชยา จึงควรมีกฎหมายมากำกับและพัฒนาเป็นการเฉพาะนั่นเอง [/size]   ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ไชหิน สมุนไพรบำรุงดิน เป็นทั้งอาหารและยา    

มีพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หมอพื้นบ้านอีสานเรียกว่า “ตองหมอง”

ณ เวลานี้คาดว่าน่าจะเป็นพืชที่มีเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน

แต่ในทางราชการโดยหอพรรณไม้ กรมป่าไม้ เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า “ไชหิน” ซึ่งน่าจะมาจากการสำรวจพบครั้งแรกที่จังหวัดชัยภูมิหรือสุรินทร์ ซึ่งชาวบ้านที่นั่นเรียกว่า “ไซหิน

ชาติพันธุ์กูยในจังหวัดสุรินทร์เรียกไม้ชนิดนี้ว่า “การะ

ในขณะที่คนชาติพันธุ์เขมรในจังหวัดสุรินทร์เรียกสมุนไพรนี้ว่า “เรียะ” หรือ “เรียง” แต่เมื่อคนภาคกลางภาษาทางกลางก็ออกเสียงเป็น “ไชหิน”

ตองหมอง หรือไชหิน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Droogmansia godefroyana (Kuntze) Schindl. เป็นไม้พุ่ม สูง ๑-๒.๕เมตร  ลำต้นมีขนสีขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี โคนใบเว้า ปลายใบมนมีติ่งแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบหนา มีขนทั้งสองด้าน  ช่อดอกออกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยก สีเขียว กลีบดอกรูปดอกถั่วสีแดงแกมม่วง ยอดเกสรเป็นพู  ผลเป็นฝักแห้งมีรูปร่างขอดเป็นข้อๆ มี ๕-๖ ข้อ  ปลายสุดมีติ่งแหลม มีขนสีขาวปกคลุมหนาแน่น เมล็ดรูปกลมแบน

ตองหมองในภาคอีสานนั้น พบได้ในตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงบนภูเขา และพบรายงานของต่างประเทศว่าขึ้นได้ในประเทศเขมร ลาวและเวียดนาม แสดงว่าพืชชนิดนี้มีการกระจายอยู่ในพื้นที่ที่ไม่กว้างมากนัก

ช่วงเวลาการออกดอก (สีสวยงามดี) และออกผลอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน  เป็นพืชขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

เหตุที่เรียกว่า ตองหมอง น่าจะมาจากวัฒนธรรมการใช้ประโยชน์ของพืชชนิดนี้ เนื่องจากขนาดใบประมาณเท่าฝ่ามือ ชาวบ้านนำมาใช้ห่อของ ซึ่งใบอะไรที่ใช้ห่อของมักเรียกรวมๆ ว่า “ตอง” และด้วยใบตองหมองมีขนสีขาวปกคลุมอย่างหนาแน่นจนทำให้ใบมีลักษณะเป็นสีขาวหม่นๆ ชาวอีสานจึงเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า ตองหมอง นั่นเอง

ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของตองหมอง คือ ใช้เป็นอาหารตามธรรมชาติให้กับสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือได้มาแทะเล็มได้ดี ไม่ใช่แค่เป็นอาหารให้สัตว์เลี้ยงเท่านั้น ใบอ่อนและยอดอ่อน มีรสฝาด กินกับเมี่ยงหรือนำมากินเป็นผักสดกับน้ำพริกหรือแจ่วก็อร่อยดี  นอกจากประโยชน์ด้านอาหารแล้ว คนอีสานหรือในภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพนำมาปรุงเป็นยาสมุนไพรด้วยการนำมาต้มน้ำดื่มแก้ปวด และอาจารย์วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล และคณะ ได้เคยทำการศึกษาในเขตภาคอีสานมาตั้งแต่ราวปี ๒๕๔๓ ร ายงานว่ามีการใช้เป็นยาพื้นบ้านอยู่หลายตำรับ เช่น ใช้รากต้มน้ำดื่มแก้อาเจียนที่มีเลือดออกทั้งทางปากและทวารหนัก ซึ่งต่อมาก็สอดคล้องกับการรวบรวมความรู้ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พบว่า รากตองหมองนำมาต้มรวมกับรากแกลบหนู (Dendrolobium lanceolatum (Dunn) Schindl.) ต้มดื่ม รักษาอาการถ่ายเป็นมูกเลือด  นอกจากนี้ ในตำรายาพ่อปรีชา พิณทอง ซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านท่านหนึ่งที่มีการรวบรวมความรู้ไว้ มีการใช้ตองหมองในหลายตำรับ เช่น

ตํารับแก้ทราง ใช้ทั้งต้นและราก แช่อาบ ตำรับแก้สะดวงดัง (ริดสีดวงจมูก) ใช้ ฮาก (ราก) ตองหมอง ไฮมี้ (Ficus sp.) ไม้ฮังแฮ้ง (แครกฟ้า หรือ Heterophragma sulfureum Kurz) ข่าลิ้น (กัดลิ้น หรือ Walsura trichostemon Miq.) ฮากหญ้าหวายนา (Calamus sp.) ต้มกิน ตำรับแก้เลือดออกทางทวาร ให้เอาฮากเจียงปืน (ครอบจักรวาล หรือ Xantonnea parvifolia Craib) เครือเขามวก (Parameria laevigata (Juss.) Moldenke.) ฮากก้ามปู (ต่อไส้ หรือ Allophylus cobbe (L.) Raeusch.) ฮากสาเหล้าน้อย (ซำซาเตี้ย หรือ Bridelia harmandii Gagnep.) ฮากตองหมอง ฝนกินหรือแช่กิน

ตำรับแก้เลือดทั้งปวง ให้เอาฮากเจียงปืน เครือเขามวก ฮากก้ามปู ฮากสาเหล้าน้อย ฮากตองหมอง ฝนกิน ตำรับแก้ป้าง (ม้าม) หย่อนให้เอา ฮากเจียงปืน ฮากชะมัดน้อย (Micromelum falcatum (Lour.) Tanaka) ฮากมูกน้อย (พุดทุ่ง หรือ Holarrhena curtisii King & Gamble) ฮากตองหมอง เอาทั้งหมดอย่างละเท่ากัน ต้มกิน

ตำรับแก้ไข้ ให้เอาฮากดูกอึ่ง (แกลบหนู หรือ Dendrolobium lanceolatum (Dunn) Schindl.) ฮากตองหนัง (Ficus callosa Willd.) ฮากเอ็นอ้า (โคลงเคลง หรือ Melastoma saigonense (Kuntze) Merr.) ฮากตองหมอง

เอาสมุนไพรทั้งหมดอย่างละเท่ากัน ต้มกิน

ในต่างประเทศมีรายงานการใช้เช่นกัน เช่น นำรากและยอดอ่อนมาต้มบ้วนปาก แก้ปวดฟัน ใช้ทั้งต้นนำมาต้มดื่ม ทำให้หยุดอาเจียน แก้ไข้มาลาเรีย แก้อาการท้องเสียและแก้อาการเลือดไหลออกทางปากและทวารหนัก รากต้มดื่มทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ รากเมื่อนำมาสกัดด้วยเอทานอลจะได้สารสำคัญที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเพศหญิงและยังมีคุณสมบัติลดอัตราการตายของเซลล์เนื่องมาจากกระบวนการออกซิเดชั่น และการศึกษาที่น่าสนใจว่า “ตองหมอง” จะช่วยลดความหมองให้ผิวพรรณ คือมีคุณสมบัติในการลดการเหี่ยวย่นของผิวในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนด้วย

ไชหิน หรือตองหมอง เป็นสมุนไพรที่เราไม่ค่อยรู้จัก แต่เป็นพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาได้ในหลายรูปแบบ  นอกจากนี้ ตองหมองยังเป็นพืชในตระกูลถั่ว ปลูกเป็นพืชบำรุงดินได้เป็นอย่างดี ผลผลิตใบดอกผลก็นำมาเป็นอาหาร ยา เครื่องสำอางได้ จึงไม่ควรมองข้ามพืชพันธุ์แห่งดินแดนที่ราบสูงอีสานบ้านเรา
   ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ลำโพง ยาบ้าที่ใช้เป็นยาดีแก้หอบหืด และริดสีดวงจมูก    

ลําโพงทั่วไปมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datura metel Link. แต่ลำโพงชนิดที่มีฤทธิ์แรงทางยา คือ ลำโพงกาสลัก ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์สายพันธุ์ย่อยว่า Datura metel Linn.var.fastuosa (Bernh.) Safford  เหตุที่มีชื่อไทยว่า ลำโพง เพราะลักษณะเด่นของดอกขนาดใหญ่ยาวถึงครึ่งฟุต ปากบานเหมือนปากลำโพงโทรโข่งนั่นเอง  และส่วนดอกนี่แหละที่คนไทยนิยมใช้เป็นยาดี

สำหรับชาวฝรั่งเขามองเอกลักษณ์ของสมุนไพรชนิดนี้ที่ผลของมันที่เหมือนลูกตุ้มหนาม จึงเรียกชื่ออย่างเก๋ไก๋ว่า Green Thorn Apple หรือ “แอปเปิลเขียวหนาม” แต่คนไทยกลับเรียกว่า “มะเขือบ้า” เพราะเป็นพืชพันธุ์ในวงศ์เดียวกับมะเขือ แต่เติมสร้อยคำว่า “บ้า” ลงไปเพื่อเตือนให้ระวังฤทธิ์ร้ายของมันนั่นเอง
 
สําหรับชาวอีสานบ้านเฮาไม่รู้จักชื่อลำโพง แต่ถ้าเอ่ยชื่อมะเขือบ้า ก็แม่นแล้ว แต่ก่อนตามหมู่บ้านมักพบเห็นคนบ้าลำโพง อันเป็นเรื่องปกติวิสัยของสังคมชนบท ซึ่งเป็นที่มาของชื่อมะเขือบ้านั่นแหละ

ชาวฮินดูเองก็นิยมเสพลำโพงในพิธีกรรม จึงมีชื่อลำโพงว่า ฮินดู ดาตูรา (Hindu datura)

มหาตมะคานธี มหาบุรุษของอินเดียเคยกล่าวไว้ในหนังสือ อัตชีวประวัติ “ข้าพเจ้าทดลองความจริง” ว่า ท่านเคยทดลองสูบลำโพงด้วย  สำหรับเมืองไทย ลำโพงกลายเป็นยาบ้าสมุนไพรใกล้มือชาวบ้าน เพราะเป็นพืชยืนต้นขนาดเล็กสูงแค่ ๑-๒ เมตร ที่แพร่พันธุ์ง่าย เหมือนวัชพืช หาได้ทั่วไป
 
กล่าวเฉพาะ “ลำโพงกาสลัก” ที่หมอไทยใช้เป็นยานั้น มีอัตลักษณ์สำคัญคือ มีลำต้น กิ่งก้าน และดอกสีม่วงเข้ม จนมีฉายาที่รู้กันในหมู่นักเสพลำโพงว่า “มะเขือบ้าดอกดำ”

ปกติลำโพงทั่วไปมักมีกลีบดอกขาวชั้นเดียว แต่ชนิดดอกม่วงจะมีกลีบดอกซ้อนกัน ๒-๓ ชั้นขึ้นไป ยิ่งมีกลีบซ้อนมากชั้นเท่าใดก็ยิ่งมีฤทธิ์ยาแรงมากขึ้นเท่านั้น

ในทางเภสัชวิทยาพบว่า ใบ ยอด และดอกลำโพงกาสลัก มีสารโทรเพนอัลคาลอยด์ (tropane alkaloids) ที่ออกฤทธิ์ได้แก่ ไฮออสซิน (hyoscine) และไฮออสไซอะมีน (hyoscyamine) ซึ่งมีผลข้างเคียงคล้ายยาอะโทรปีน (atropine) ที่ใช้กระตุ้นหัวใจในคนถูกพิษยาฆ่าแมลงและในผู้ป่วยระหว่างผ่าตัด  นั่นคือ ปากคอแห้ง กระหายน้ำ กระสับกระส่าย รูม่านตาขยายไม่สู้แสง ประสาทหลอน เพ้อคล้ายคนวิกลจริต ถ้าเสพมากอาจถึงขั้นโคม่า หมดสติได้

ชาวฝรั่งหลายคนที่นิยมเสพชาชงเมล็ดลำโพง พร้อมสูบดอกลำโพงเกินขนาดก็เคยมีประวัติถูกหามเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการดังกล่าว แต่ก็ไม่เคยมีประวัติผู้เสียชีวิตเพราะเสพลำโพงเลย แต่ถ้าใช้ส่วนต่างๆ ของลำโพงให้ถูกวิธีก็จะเป็นยาดีรักษาโรคได้หลายอย่างที่สำคัญ คือ แก้โรคหอบหืด ริดสีดวงจมูก โพรงจมูกอักเสบหรือไซนัส และโรคทางลมทั้งหลาย เนื่องจากสารสำคัญในลำโพงมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบของร่างกาย จึงเป็นยาขยายหลอดลม แก้หอบหืด คอตีบ ริดสีดวงจมูก และไซนัสได้ผลดี  รูปแบบยาก็ง่ายมาก เพียงเอาดอกลำโพงหั่นตากแห้งมวนใบจาก หรือกระดาษสูบอัดควันยาเข้าจมูกพอประมาณอย่าให้ถึงกับมึนเมา  ใช้สูบขณะที่จับหอบหืดเมื่อบรรเทาแล้วจึงหยุดสูบทันที กรณีเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก สูบวันละ ๒-๓ ครั้งหลังอาหาร จนกว่าจะหายหรือไม่เกิน ๕ วันให้เว้นยาสัก ๓ วัน จึงสูบต่ออีก  แต่ถ้าจะทำยาสูบตามต้นตำรับยาในพระคัมภีร์ชวดารแก้โรคลมอันทำให้เกิดริดสีดวงในคอนั้น ท่านมิได้ใช้การมวนยาเส้นใบหรือดอกลำโพงโดยตรง แต่ท่านให้เอาใบลำโพงสด ดีปลี พริกไทย หัวหอมแดง ลูกมะเขือขื่น อย่างละเท่าๆ กัน ตำเอาน้ำแล้วชุบกระดาษข่อยผึ่งแดดให้แห้ง ทำอย่างนี้ ๓ หน แล้วมวนสูบ รับรองเห็นผลแน่นอนกว่าวิธีแรก  และไม่เกิดผลเสียข้างเคียง แต่ถ้าวิธีนี้ยุ่งยากก็ใช้วิธีแรก
 
ในพระคัมภีร์ชวดารยังกล่าวถึงตำรับยาพอกผสมใบลำโพงใช้แก้โรคลมร้ายลมพิษทั้งปวง  ท่านว่า ลมอันใดนิ่งแน่ไปยาอันใดแก้ไม่ได้ ท่านให้เอา ใบลำโพง ผักเสี้ยนผี ผักเสี้ยนบ้าน และใบละหุ่ง อย่างละเท่าๆ กัน ตำละเอียด พอกตัวผู้ไข้ตั้งแต่สะดือไปจนถึงหน้าอก  ถ้าให้ได้ผลชะงัดต้องเอาพริกไทย รากเจตมูลเพลิงแดง ข่า อย่างละเท่าๆ กัน และพริกเทศ ปริมาณ ๓ เท่า ตำพอกฝ่าเท้า และเอาหอมแดง หัวไพลสด และมะกรูด ๓ ผล ตำพอกกระหม่อม  ถ้าจะช่วยให้ผู้ไข้ฟื้นเร็วขึ้น ก็ต้องเผาเหล็กนาบให้ร้อนแดงนำไปอังให้ชิดอย่าให้ถึงยา แล้วเอาปากกัดเข้าที่ศีรษะแม่เท้า (หัวนิ้วโป้งเท้า ฮา) ให้หนักๆ ถ้าร้องโอยแล้วมิเป็นไร หายแล

เนื่องจากลำโพงมีสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบหรือฤทธิ์แก้ทางลมเหมือนกัญชา จึงช่วยระงับปวดเรื้อรัง แก้อาการปวดเกร็งในกระเพาะ ลำไส้ และมดลูก หรืออาการปวดเมื่อยทั่วร่างกายได้ดี  คนที่ทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทุกวันอย่างชาวไร่ ชาวนา  แต่ก่อนจึงนิยมเสพลำโพงเป็นอาจิณเพื่อคลายความเมื่อยล้า นอนหลับสบาย

แพทย์แผนโบราณท่านมีตำรับยาผสมลำโพงช่วยกล่อมให้ทารกหายโยเยนอนหลับไม่สะดุ้ง แม้ลำโพงจะมีโทษมากแต่ถ้ารู้จักใช้ก็ปลอดภัยกว่ายาแก้ปวดหลายชนิดที่ทำให้เป็นแผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร
 
มีสรรพคุณของเมล็ดลำโพงอีกอย่างหนึ่งคือ ช่วยบำรุงประสาทได้ดีให้มีความความจำแม่นเพียงรับประทานแต่น้อยวันละไม่เกิน ๒-๓ เม็ด แต่มีผู้นำไปใช้ไม่ถูกวิธี คือไม่ประสะฆ่าพิษก่อนใช้จึงทำเกิดอาการฟั่นเฟือน

วิธีฆ่าพิษเมล็ดลำโพงง่ายๆ คือ นำไปคั่วไฟอ่อนๆ จนน้ำมันออกหมด แล้วจึงรับประทานก่อนนอนเพียง ๒ เม็ด ช่วยให้นอนหลับสนิท ความจำดี 

ลำโพงหาง่าย ปลูกง่าย ใช้ได้โดยไม่ต้องขอ อย. หรือกลัว ป.ป.ส. หรือ ตร.มาจับ  เดี๋ยวนี้ทางการนิยมปลูกต้นลำโพงดอกสีม่วงอ่อนเป็นไม้ประดับข้างทางด้วยซ้ำ ทั้งที่สารเมาไฮออสซินของลำโพง อันตรายมากกว่าสาร THC ของกัญชาด้วยซ้ำ

ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ชี้ช่องให้แบนลำโพง แต่ต้องการให้ปลดปล่อยพืชกระท่อม กัญชง กัญชาให้เป็นยาที่ผู้ป่วยเข้าถึงได้เหมือนสมุนไพรฤทธิ์เบื่อเมาทั้งหลาย
   ที่มา - สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 17 มกราคม 2563 16:12:15 »


ฟ้าทะลายโจร
: ยาปฏิชีวนะไทย ปลอดภัยจากเชื้อดื้อยา

คงไม่มีใครไม่ได้ยินแอดโฆษณาของ สสส.ที่ว่า ทุกๆ ๑๕ นาทีจะมีคนไทยตายจากเชื้อดื้อยาหนึ่งคน เท่ากับว่าปีหนึ่งมีคนไทยตายจากเชื้อดื้อยาถึงราว ๓๕,๐๐๐ คน คิดเป็นมูลค่าสูญเสียทางเศรษฐกิจราวปีละ ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท

เหตุที่ไทยหันมาตื่นตัวในเรื่องนี้ก็เพราะองค์การอนามัยโลกเพิ่งแจ้งเตือนว่า พลเมืองโลกราว ๑๐ล้านคนต่อปีต้องสังเวยชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ ที่น่าวิตกก็คือ คนตายส่วนใหญ่ถึง ๙ ล้านคนอยู่ในทวีปยากจนของเอเชียและแอฟริกา คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลถึง ๓,๕๐๐ ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

ประเทศไทยจึงเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียที่มีพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสุ่มเสี่ยง ที่พบมากก็คือ แค่เป็นหวัดก็จัดยาชุดซึ่งมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะมารับประทาน นอกจากจะไม่มีผลในการรักษาโรคหวัดซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้ว ยังทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะด้วย

จนกระทั่งเมื่อราว ๒ ปีที่แล้วมีอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยท่านหนึ่งรณรงค์ให้ใช้สมุนไพรแทนยาปฏิชีวนะแผนปัจจุบัน โดยชูคำขวัญว่า “ยาตัวแรกที่ต้องนึกถึงเมื่อเป็นหวัดคือฟ้าทะลายโจร” และแนะให้หมอสั่งจ่ายยาฟ้าทะลายโจรเป็นยาตัวแรก (first line drug) สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคหวัด ซึ่งนับเป็นการรณรงค์เชิงบวกที่มียาปฏิชีวนะไทยให้ทดแทน ไม่ใช่แค่รณรงค์ให้ระวังการใช้ยาปฏิชีวนะแผนปัจจุบันเท่านั้น
 
อันที่จริง ฟ้าทะลายโจรไม่ใช่ยาสมุนไพรไทยดั้งเดิม แต่เป็นสมุนไพรจีนที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ชื่อ “ชวนซินเหลียน” ซึ่งหมายถึง “ดอกบัวในหัวใจ” ก็บ่งบอกถึงความสำคัญของสมุนไพรตัวนี้ นับว่าสอดคล้องกับหมอไทยที่ให้ชื่อสมุนไพรตัวนี้ว่า “ฟ้าทะลายโจร” หมายถึงฟ้าประทานยาดีให้มาปราบโรคต่างๆ ที่เป็นเหมือนโจรร้ายนั่นเอง

ซินแสใช้รสขม ฤทธิ์เย็นของ “ชวนซินเหลียน” เพื่อดับร้อน ลดบวม ลดพิษไม่ให้เข้าเส้นลมปราณของปอดและหัวใจ เป็นสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิดที่หมอจีนให้ใช้เป็นยาเดี่ยวได้

เมื่อ ๓๐ ปีมาแล้ว โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย ได้รวบรวมข้อมูลสรรพคุณและการใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งในและต่างประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการวิจัยฟ้าทะลายโจรในยุคแรกๆ เพื่อผลักดันสมุนไพรตัวนี้เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยทางคลินิกของโรงพยาบาลบำราศนราดูร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลโรคติดต่อของกระทรวงสาธารณสุข โดยศึกษาวิจัยเปรียบเทียบการใช้ยาฟ้าทะลายโจรแคปซูลกับยาเตตร้าซัยคลินเพื่อรักษาโรคอุจจาระร่วงและบิดอันเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผลปรากฏว่าคนไข้ที่รับยาฟ้าทะลายโจรสามารถลดจำนวนอุจจาระเหลวและลดปริมาณน้ำเกลือที่ใช้ แม้จะมีช่วงระยะเวลารักษาคนไข้จนหายเท่ากับการใช้ยาเตตร้าซัยคลินก็ตาม

ต่อมามีงานวิจัยมากมายที่รับรองสรรพคุณของฟ้าทะลายโจรในการรักษาอาการหวัดตัวร้อน เจ็บคอและโรคท้องเสีย ท้องร่วง มีผลให้ อย.ยินยอมให้ระบุสรรพคุณรักษาโรคทางเดินหายใจและโรคทางเดินอาหารดังกล่าวของฟ้าทะลายโจรไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ นอกจากสามารถทดแทนยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการของโรคหวัดจากเชื้อไวรัสแล้ว ยังมีรายงานการวิจัยใหม่ๆ เช่น ของคณะนักวิจัยทางแพทย์และเภสัชวิทยา ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่สามารถทำยาครีมจากสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) และอนุพันธุ์ของสารแอนโดรกราโฟไลน์เพื่อใช้ในการทำลายเชื้อไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) ได้เทียบเท่าอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และยังสามารถทำลายโปรตีนที่เป็นโครงสร้างสำคัญของเชื้อไวรัส (Human Papilloma Virus) ที่ก่อมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิผลภายใน ๔๘ ชั่วโมงด้วย

ที่สำคัญคือไม่มีเชื้อที่ดื้อยาฟ้าทะลายโจร ตรงกันข้ามแม้แต่นักวิชาการในกรมการแพทย์แผนไทยฯ ก็ยังยอมรับว่ายาฟ้าทะลายโจรช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย

ฟ้าทะลายโจรเป็นยากระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันก่อนที่อาการโรคจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสจะกำเริบ ดังนั้น เมื่อเริ่มมีอาการหวัด ครั่นเนื้อครั่นตัว เริ่มมีน้ำมูกไหลให้เริ่มรับประทานยาเพื่อตัดไข้ ในที่นี้ขอแนะนำขนาดการใช้ของแพทย์แผนไทยที่ใช้ได้ผลในรูปแบบยาผงละลายน้ำสุก คือรับประทานครั้งละ ครึ่งช้อนชา (๒.๕ กรัม) วันละ ๔ ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอน  หากมีอาหารหนักขึ้นถึงขั้นเจ็บคอ ให้เพิ่มขนาดการใช้เป็นครั้งละ ๑ ช้อนชา วันละ ๔ ครั้งเช่นกัน

ข้อควรระวังคือ แม้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่ในรายที่แพ้ยาเกิดอาการมวนท้อง วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลายเนื่องจากความดันตกให้หยุดยาทันที และห้ามใช้ติดต่อกันเกิน ๕ วันเพราะฤทธิ์เย็นของยาอาจทำให้เกิดอาการเหน็บชา แขนขาอ่อนแรงได้

ห้ามใช้ในคนไข้ที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติกและโรคไตอักเสบเนื่องจากเชื้อแกรมบวกสเตรปโตค็อคคัด (Streptococcus group A) ดังนั้น ทุกครั้งที่เป็นหวัดต้องท่องคำเตือนตนเองให้ขึ้นใจว่า “อย่าซื้อยาปฏิชีวนะมากินแก้หวัด เพราะอาจสร้างเชื้อดื้อยา รักษาไม่หาย เสี่ยงตายมากกว่า” พร้อมกันนั้นก็บอกกับตนเองว่า “เป็นหวัดคราใดให้นึกถึงฟ้าทะลายโจรเป็นยาตัวแรก” นั่นแหละท่านจึงจะสามารถหยุดสร้างเชื้อดื้อยาด้วยตัวของท่านเอง
   ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



ถั่วพู อาหารดี ยาดี

ถั่วพู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psophocarpus tetragonolobus (Linn. ) DC. เป็นไม้เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นๆ ใบเป็นใบย่อยมีสามใบ ดอกเล็กคล้ายดอกแค สีม่วง ฝักเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีปีกออกข้าง เป็นสี่ปีก ยาวประมาณ ๓-๔ นิ้ว เป็นพืชเขตร้อนและขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกประเภท

ถั่วพูเป็นอาหารดีแล้ว ใครจะคิดว่าถั่วพูเป็นยาดีด้วย มีการบันทึกในตำรายามาอย่างยาวนาน ตามภูมิปัญญาไทยใช้ส่วนของรากแก้ร้อนใน

หมอพื้นบ้านบางท้องถิ่น ใช้รากถั่วพู ต้มกับน้ำดื่ม แก้อาการร้อนในตับ ใช้รากฝนกับสุรา ดื่มแก้อาการบวมในคอ หรือรากฝนกับดีปลี และเจตมูลเพลิงแดง แก้อาการอ่อนเพลีย นำส่วนหัวมาเป็นยาบำรุง โดยการใช้หัวตากแห้ง บดเป็นผงกิน หรือนำผงยาผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ ๒ เม็ด หรือนำหัวถั่วพูหั่นตากแห้ง แล้วเอามาคั่วไฟให้เหลืองมีกลิ่นหอม ใช้ชงน้ำร้อนดื่มเป็นแก้อ่อนเพลียหรือเป็นยาชูกำลังให้กับคนไข้ได้ดี

ส่วนของฝักถั่วพูยังใช้เป็นยาแก้ไข้ร้อน แก้หอบ เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย

ที่น่าสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นในตำราใบลานของชาวล้านนา หรือในภาคเหนือของไทยนั้น มีการใช้หัวและรากถั่วพูเข้ายาในหลายตำรับ เช่น

ถั่วพู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psophocarpus tetragonolobus (Linn. ) DC. เป็นไม้เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นๆ ใบเป็นใบย่อยมีสามใบ ดอกเล็กคล้ายดอกแค สีม่วง ฝักเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีปีกออกข้าง เป็นสี่ปีก ยาวประมาณ ๓-๔ นิ้ว เป็นพืชเขตร้อนและขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกประเภท

ถั่วพูเป็นอาหารดีแล้ว ใครจะคิดว่าถั่วพูเป็นยาดีด้วย มีการบันทึกในตำรายามาอย่างยาวนาน ตามภูมิปัญญาไทยใช้ส่วนของรากแก้ร้อนใน

หมอพื้นบ้านบางท้องถิ่น ใช้รากถั่วพู ต้มกับน้ำดื่ม แก้อาการร้อนในตับ ใช้รากฝนกับสุรา ดื่มแก้อาการบวมในคอ หรือรากฝนกับดีปลี และเจตมูลเพลิงแดง แก้อาการอ่อนเพลีย นำส่วนหัวมาเป็นยาบำรุง โดยการใช้หัวตากแห้ง บดเป็นผงกิน หรือนำผงยาผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ ๒ เม็ด หรือนำหัวถั่วพูหั่นตากแห้ง แล้วเอามาคั่วไฟให้เหลืองมีกลิ่นหอม ใช้ชงน้ำร้อนดื่มเป็นแก้อ่อนเพลียหรือเป็นยาชูกำลังให้กับคนไข้ได้ดี

ส่วนของฝักถั่วพูยังใช้เป็นยาแก้ไข้ร้อน แก้หอบ เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย

ที่น่าสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นในตำราใบลานของชาวล้านนา หรือในภาคเหนือของไทยนั้น มีการใช้หัวและรากถั่วพูเข้ายาในหลายตำรับ เช่น

ยาซะมะเร็ง (หมายถึงยาชำระล้าง) ที่มีอาการเจ็บร้อนเหมือนไฟไหม้ ให้ใช้รากผักกันเถิง รากปอบ้าน รากผักหวานบ้าน หัวถั่วพู ฝนใส่น้ำข้าวเจ้ากิน

ยาปิเสียบ ( ปิ เป็นอาการร้อนจากลม เช่น ปิแดด) เมื่อมีอาการปิเสียบ จะมีอาการจุกแน่น เมื่อรักษาจนรู้สึกตัวดีแล้ว ให้เอาหัวถั่วพู รากผักหวานบ้าน ฝนทำยากิน

ยารำมะนาดขาง เจ็บในคอ ใช้รากงิ้วหนุ่ม รากผักเข้า รากส้มเห็ด หัวถั่วพู รากแตงเถื่อน และอื่นๆ ฝนกับน้ำข้าวเจ้ากินแก้เจ็บคอ นอกจากนี้ ถั่วพูยังเป็นสมุนไพรในตำรับยารักษาอาการร้อนภายในร่างกาย ซึ่งทางล้านนาเรียกโรคขางแกมสานร้อนขึ้นถึงกระหม่อม และยามะเร็งคุตเสียบขึ้น ยามะเร็งคุตซะสาน (ปวดหัวข้างเดียวที่มีก้อนขึ้นตามตัวด้วย) ยามะเร็งสรรพว่า ยามะเร็งทั้งปวง (คำว่า “มะเร็ง” ตามภูมิปัญญาของล้านนา อาจเกิดจากอาการที่ความร้อนภายในกระทำให้มีการแสดงออกทางร่างกาย เช่น ทำให้ผิวหนังมีแผลเปื่อย ไม่ได้หมายถึงมะเร็งตามการแพทย์แผนปัจจุบัน)

ทางล้านนายังมีการใช้ถั่วพูในตำรับยาขางพู้ปากสุก (ขางเป็นโรคเกิดจากไฟธาตุสูง) ยาริดสีดวงเจ็บในเขี้ยว (ปวดฟัน) และยาฝีไข้เจ็บออกหู
สำหรับสูตรนี้จะใช้ส่วนรากถั่วพู และยังพบตำรับยาสานแกมขางอีกด้วย

หากพิจารณาจากตำรับยาก็พบว่า หัวและรากถั่วพู จัดเป็นยาเย็นเพื่อลดอาการร้อนและไข้ฝี

เพื่อนบ้านไทยในประเทศเวียดนาม ก็มีการกินและใช้ถั่วพูกันกว้างขวาง บ้านใครมีที่ก็มักปลูกเป็นผักสวนครัวปนกับผักอื่นๆ ซึ่งกินฝักอ่อนและปรุงอาหารกินคล้ายกัน แต่ยังกินใบอ่อนและดอกที่ยังไม่บานด้วย

ที่น่าสนใจเขากินเมล็ด เป็นอาหารบำรุงให้เด็กอ่อนอายุมากกว่า ๕ เดือน โดยเอาเมล็ดมาทำเป็นผงชงน้ำ ซึ่งสามารถเป็นการทดแทนน้ำนมในหญิงที่ขาดอาหาร หรือให้เด็กกิน เป็นการเสริมโปรตีนทดแทนในร่างกายด้วย ด้านยาสมุนไพรชาวเวียดนามใช้ ถั่วพูแก้ปวดตา ปวดหู และปวดฝี ในประเทศจีนแถบมณฑลยูนนานก็นิยมใช้รากถั่วพูในการลดความร้อนภายในร่างกายด้วย

ถั่วพู ปลูกง่ายและมีคุณค่าอาหารสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย และมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในภูมิปัญญาไทยและอาเซียนก็นิยมนำมาใช้ดูแลสุขภาพกันอย่างกว้างขวาง

ถั่วพูนับเป็นพืชอาหารและยา และเป็นตัวอย่างของการสร้างความมั่นคงทางอาหารและยาที่มีคุณค่า

ถั่วพูโตเร็ว ปลูกได้ทุกบ้าน ปลูกไม่นาน เพียงต้นเดียวก็ให้ผลผลิตฝักถั่วพูมากมาย ให้เมล็ดถึง ๒๐-๓” เมล็ดในหนึ่งฝัก นำมากินหรือแจกเมล็ดพันธุ์เพื่อขยายต่อไปได้อีกมาก
   ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 03 มีนาคม 2563 15:51:50 »


ข้าวเม่านก ยาสมุนไพรไม่ใช่อาหาร

ข้าวเม่านก คือชื่อพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการใช้ตามภูมิปัญญากันอย่างแพร่หลาย ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้จัก

ข้าวเม่านก เป็นพืชในวงศ์ถั่ว ชื่อวิทยาศาสตร์ Tadehagi triquetrum (L.) H.Ohashi ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เช่น ข้าวเม่านกคอกิ่ว (ภาคกลาง) ขี้กะตืก ขี้กะตืกแป (เลย ภาคอีสาน) มะแฮะนก (เชียงใหม่) หญ้าคอตุง (ลำปาง) นอจูบี้ กวางหินแจ๊ะ (ปกาเกอะญอ) หนอนหน่าย (ลาว) ข้าวเม่านก เป็นไม้ล้มลุก ต้นสูงประมาณ ๑๕-๕๐ เซนติเมตร กิ่งก้านเป็นสันเหลี่ยม แตกสาขามาก

ยอดและกิ่งอ่อนสีแดงมีลักษณะเป็นมันเหลือบ ใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปไข่หรือรูปใบหอก

แผ่นใบด้านบนเรียบด้านล่างมีขน

ดอกเป็นช่อกระจะ รูปทรงกระบอก กลีบดอกเป็นสีม่วง ลักษณะเป็นรูปดอกถั่ว

ผลเป็นฝักแบนยาว คอดเป็นข้อ ๖-๘ ข้อ

ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดง ผลแห้งสีน้ำตาล ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด

ในภาคอีสานเรียกชื่อตามลักษณะผลว่า “ขี้กะตืกแป” เพราะผลแบนๆ คล้ายขี้กะตืกหรือพยาธิตัวแบนนั่นเอง

ผลนี้มีขนเมื่อคนเดินผ่านจะติดตามเสื้อผ้าได้ ในเมืองไทยข้าวเม่านกเป็นพืชขึ้นได้ทั่วไปทั้งในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทั่วทุกภาคที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ๑๐๐-๑,๐๐๐ เมตร ขึ้นตามไหล่เขา ทุ่งหญ้า ชอบขึ้นในที่รกร้างหรือริมทางด้วย

และพบได้ในศรีลังกา อินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และออสเตรเลียตอนเหนือ

เมื่อข้าวเม่านกกระจายอยู่ทั่วไป จึงมีภูมิปัญญาท้องถิ่นใช้เป็นยาสมุนไพรมากมาย ถ้าใช้ส่วนราก ในตำรับยาชื่อ “ยาแฮงสามม้า” (สมุนไพรชื่อม้าสามชนิด) ใช้รากของม้าสามต๋อนหรือที่เคยรู้จักกันในนาม “สาวน้อยร้อยผัว” (Asparagus racemosusWilld.) ม้าแม่ก่ำ (Polygala chinensis L.) และข้าวเม่านก ซึ่งบางท้องถิ่นเรียกว่า ตานคอม้า (Tadehagi triquetrum (L. ) H.Ohashi) นำราก ๓ อย่างมาต้มกินหรือดองกับเหล้า กินเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย และบำรุงเลือดลม

รากข้าวเม่านก ใช้ผสมกับ รากอัคคีทวาร (Rotheca serrata (L.) Steane&Mabb.) ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ถ้าใช้ทั้งต้นจะช่วยแก้อาการไอเรื้อรังและวัณโรค โดยนำมาต้มเคี่ยว ใช้ดื่มวันละ ๑ แก้ว เป็นประจำทุกวัน ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนใช้รากต้มน้ำ กินเป็นยาแก้อาการเจ็บท้อง ท้องอืด มีลมในท้อง ชาวขมุใช้รากข้าวเม่านกและสมุนไพร ๒-๓ ชนิด ต้มกับน้ำ กินเป็นยาแก้อาการปวดท้อง

ชาวลั้วะและชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนใช้รากต้มกับน้ำ กินเป็นยาแก้ปวดหลังปวดเอว ตำรายาพื้นบ้านบางแห่งใช้รากต้มกับน้ำ กินหรืออาบแก้อาการปวดบวม

ตำรับยาที่ใช้ ใบ เช่น นำใบต้มกับน้ำ ดื่มเป็นยาช่วยบำรุงประสาท กิ่งและใบใช้เป็นยาเย็นแก้ไข้ แก้ร้อนในได้ วิธีทำ เช่น นำกิ่งมาผสมกับผักหวานบ้าน (Sauropus androgynus (L.) Merr.) ก้านตรง (Colubrina asiatica (L.) Brongn.) เอาสมุนไพรทั้งหมดต้มน้ำกินเป็นยาเย็น แก้ร้อนใน หรือใช้ใบชงกับน้ำร้อนกินก็ได้ ใบเพสลาด (ไม่อ่อนไม่แก่) นำมาคลุกกับน้ำยำกินเป็นยาขับปัสสาวะและช่วยลดความร้อนในร่างกาย

ใบต้มกับน้ำกินยังเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคตานซาง แก้อาการผอมเหลือง

ชาวไทลื้อจะใช้ใบและลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาฆ่าพยาธิ กินทุกวันอย่างน้อย ๑ เดือน

ใบยังใช้เป็นยาภายนอก เช่น ใช้ใบแห้งของข้าวเม่านกกับใบแห้งกระดังงา แช่น้ำมันงา ใช้ทาผมหรือหมักผม ๓๐ นาที ค่อยสระออก ใช้เป็นยาแก้รังแคหรือการติดเชื้อบนหนังศีรษะ ใบสดยังใช้ตำพอกหรือนำมาบดใส่แผลและแผลมีหนอนในวัวควาย ภูมิปัญญาชาวบ้านใช้ใบสดปิดปากไหหมักปลา เพื่อป้องกันแมลงวันมาวางไข่ได้ด้วย

การใช้ข้าวเม่านกทั้งต้น เช่น หมอยาพื้นบ้านอีสานใช้ต้นนำมาต้มน้ำให้เด็กอาบ ซึ่งก่อนอาบให้กิน ๓ อึก เป็นยาแก้ซาง แก้เด็กผอมจ่อย (ผอมแห้ง) ไม่แข็งแรง พุงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเด็กน้อยเป็นหวัด ไซนัสอักเสบ น้ำมูกไหล ก็ใช้ทั้งต้นนำมาแช่กับน้ำกิน ถ้าใครมีอาการเหม็นในหูและโพรงจมูก ใช้ทั้งต้นนำมาต้มกิน โดยให้กินไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหาย ใครที่มีอาการปอดไม่ค่อยดี ก็จะใช้ทั้งต้นต้มกิน กินครั้งละ ๑ ถ้วย เช้าและเย็น หรือนำใบแห้งบดให้เป็นผงกินครั้งละ ๑ กรัมผสมกับน้ำอุ่น กินเช้าและเย็นจนกว่าจะหาย

การใช้ทั้งต้นและราก มีความน่าสนใจโดยดูจากภูมิปัญญาของชนเผ่า ใช้ต้มกินหรือเคี้ยวกินเป็นยาแก้ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย อาหารเป็นพิษ เป็นยาขับปัสสาวะ โรคกระเพาะอาหาร เป็นยาแก้โรคตับ ตับอักเสบ และดีซ่าน เป็นยาบำรุงไต และเฉพาะชาวเขาเผ่าอีก้อ กะเหรี่ยง แม้ว และมูเซอ ต้มกับน้ำดื่มหรือเคี้ยวกินเป็นยาบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย รวมถึงอาการปวดหลัง

ชาวชาติพันธุ์เชื่อว่าการไม่มีแรงหรือร่างกายอ่อนเพลียมักจะเกิดจากเลือดลมเดินไม่สะดวก ยาบำรุงกำลัง ช่วยทำให้เลือดสะอาด แข็งแรง เลือดลมเดินได้สะดวก จึงช่วยให้เรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมา

ในต่างประเทศมีรายงานว่าใช้ใบชงเป็นชามีแทนนินสูง ๗-๘.๕% โดยทั่วไปมีการนำใบสดมาต้มดื่มรักษาริดสีดวงทวาร ใบสดนำมาหมักกับน้ำดื่มแก้ปวดท้อง รากใช้เป็นยาแก้ไข้ ทั้งใบและผลใช้ขับปัสสาวะและละลายนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ รากนำมาต้มหรือแช่น้ำดื่มแก้ไอเรื้อรัง อายุรเวทในศรีลังกาใช้ทั้งต้นเป็นยาขับพยาธิ แก้อาการชักกระตุกในเด็ก แก้ฝีหนอง แก้ปัญหาที่เกิดความผิดปกติในกระเพาะและทางเดินปัสสาวะ ใช้ภายนอกนำมาตำพอกแก้ปวดเอวด้วย

ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่า ข้าวเม่านก มีสารพวก ondensed tannins จึงมีคุณสมบัติในการช่วยสมานแผลและฆ่าเชื้อโรค ยังมีคุณสมบัติคล้ายสารกันบูดด้วย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ มีรายงานพบว่าข้าวเม่านก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ hosphodiesterase เช่นเดียวกับต้นเครือเขาแกบ (entilago denticulate Willd.)

การพบฤทธิ์ดังกล่าวนับเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนายารักษาโรคหัวใจ โรคหอบหืด รักษาอาการซึมเศร้า ปรับระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ไปจนถึงช่วยบรรเทาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

คงนึกไม่ถึงว่าพืชล้มลุกชื่อแปลกจนคิดว่าเป็นวัชพืช ข้าวเม่านก เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่น่าศึกษาให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้นจนพัฒนาให้เป็นยาที่ดีให้กับประชาชนคนทั่วไปได้
  ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



“สะตือ” ไม้โบราณ ประโยชน์ร่วมสมัย
แก้อีสุกอีใส ท้องร่วง และอีกสารพัด!


ต้นสะตือพบได้มากตามวัดที่มีการสร้างมาอย่างยาวนาน เช่น วัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วัดนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๐๐ และแน่นอนว่า ที่เรียกว่า วัดสะตือ เพราะมีต้นสะตือใหญ่เติบโตอยู่ในวัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้นสะตือมีมาก่อนสร้างวัด

ในวัดนี้มีหลวงพ่อโต ปางพระพุทธไสยาสน์ จัดเป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดของไทยด้วย และเป็นหนึ่งของการไหว้พระเก้าวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกเช่นกัน

ใครเคยไปท่องเที่ยวไหว้พระ ไม่แน่ใจเคยสังเกตเห็นต้นสะตือหรือไม่?

ต้นสะตือยังพบที่วัดลุ่มมหาชัยชุมพล หรือชื่อเดิมคือวัดลุ่มมหาชัยชุมภูพล ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล อำเภอเมือง จังหวัดระยอง

วัดนี้ไม่มีประวัติความเป็นมาว่าผู้ใดสร้างและสร้างเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างมา ๓๐๐ กว่าปีแล้ว เพราะมีจารึกในประวัติหน้าหนึ่งว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พาทหารและพลเรือนอพยพมาผูกช้าง ม้า พักแรมที่โคนต้นสะตือใหญ่ ซึ่งเป็นบริเวณวัดลุ่มกับวัดเนินติดต่อกัน ก่อนจะบุกไปเมืองจันทบุรีเพื่อรวบรวมไพร่พลและจัดตั้งทัพ เพื่อยกทัพกลับมากอบกู้เอกราช

ต้นสะตือที่วัดแห่งนี้น่าจะมีอายุมากกว่า ๓๐๐ ปี และยังคงปรากฏอยู่ มีขนาดใหญ่โต แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่นเป็นบริเวณกว้าง

นอกจากนี้ ที่วัดสิงห์ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ก็มีต้นสะตือใหญ่อายุไม่น้อยกว่า ๓๒๐ ปี แวะไปชมกันได้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก

มารู้จักต้นสะตือกันสักนิด

ในภาษาอีสานเรียกว่า “กกแห่” ซึ่งมีการนำไปตั้งเป็นชื่อสถานที่หลายแห่งในภาคอีสาน เช่น วัดท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีข่าวใหญ่เรื่องตลิ่งพัง เมื่อครั้งน้ำท่วมจังหวัดอุบลราชธานีในปี พ.ศ.๒๕๖๒ ที่ผ่านมา

ต้นสะตือยังมีชื่อท้องถิ่น เช่น ดู่ขาว เดือยไก่ (สุโขทัย) ประดู่ขาว (สุรินทร์) สะตือ (ภาคกลาง) แห้ (สกลนคร) กกแห่ (ภาคอีสาน)

มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crudia chrysantha (Pierre) K.Schum.

สะตือเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง ๓๐ เมตร ลำต้นมักแตกกิ่งต่ำ เรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง ถึงค่อนข้างกลม เปลือกสีน้ำตาลเทาเรียบหรือแตกเป็นแผ่นหนา เปลือกชั้นในสีน้ำตาลถึงแดงเข้ม  กิ่งอ่อน ยอดอ่อน และใบอ่อนมีขนสั้นนุ่มสีเทา และเกลี้ยงในเวลาต่อมา  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียนสลับ มีใบประกอบย่อย ๔-๖ ใบ เรียงสลับ ปลายเป็นติ่ง โคนสอบ ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว ออกเป็นช่อเดี่ยวตามง่ามใบและปลายกิ่ง ผลค่อนข้างแบน รูปรี มีเส้นนูนตามขวางด้านข้างฝักห่างๆ และมีขนสีน้ำตาลคลุมหนาแน่น ปกติมี ๑ เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ในช่วงเวลานี้พอดี และจะออกผลช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม

ต้นสะตือเป็นไม้ที่พบได้ในภูมิภาคอินโดจีน

สำหรับในประเทศไทยพบกระจายห่างๆ ในภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน และภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่ปราจีนบุรี ไม่ค่อยพบเห็นในภาคเหนือ เพราะขึ้นตามที่ราบ ท้องนา และริมลำธารในป่าดิบแล้ง ความสูงระดับต่ำๆ สะตือเป็นไม้ที่ช่วยรักษาการพังของตลิ่งได้เป็นอย่างดี

แต่ในปัจจุบันคนไม่เข้าใจไม่มีความรู้จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากต้นสะตือ ไม่เห็นความสำคัญนี้ จึงตัดทำลายทิ้งกันไปจนเกือบหมด

ปัจจุบันสะตือได้รับการขึ้นทะเบียนที่ไม่น่าภูมิใจนัก คือ เป็นพืชหายากของประเทศไทยไปแล้ว

ประโยชน์ในทางสมุนไพร สะตือจัดเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มาแต่ดั้งเดิม เช่น ใบใช้ต้มอาบแก้อีสุกอีใส โรคหัด เปลือกต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง

ใช้ได้ทั้งต้น (หรือเรียกใช้ทั้งห้า) หรือนำเอาทุกส่วนของต้นสะตือ ปรุงต้มเป็นยาแล้วเอาน้ำกินและอาบ กินครั้งละ ๑ ถ้วยชา แก้ไข้หัว หัดหลบลงลำไส้ เหือด ดำแดง สุกใส ฝีดาษ แก้ไข้หัวทุกชนิด

ลำต้นในอดีตนำมาใช้ทำครก สาก กระเดื่อง และเครื่องใช้ต่างๆ ที่น่าสนใจและภูมิปัญญาในโลกปัจจุบันคงจะไม่รู้กันแล้ว

แต่ถ้าฟังผู้เฒ่าในภาคอีสานเล่าความรู้จะพบว่า ดอกสะตือมีกลิ่นหอม เมื่อได้กลิ่นดอกสะตือแล้วทำให้มีความสุขและอยากรับกินอาหารมากขึ้น

ต้นสะตือมีความสำคัญมาก และเชื่อว่าหลายท่านไม่เคยรู้ กล่าวคือ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้จัดสร้างดาบเหล็กน้ำพี้ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ในคราวมีพระชนพรรษาครบ ๖ รอบ ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ “ดาบเหล็กน้ำพี้” นี้มีความยาว ๙.๒๔ เมตร มีน้ำหนัก ๔๕๐ กิโลกรัม ใช้เวลาหล่อดาบถึง ๓ เดือน

และตรงด้ามและฝักทำมาจากไม้สะตือนี่เอง

สะตือปลูกให้ร่มเงาในที่สาธารณะหรือริมน้ำ สะตือจัดว่าเป็นไม้ที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งที่ควรส่งเสริมให้มีการปลูก

โดยเฉพาะในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่ใกล้แม่น้ำลำคลอง เพราะนอกจากจะช่วยในการรักษาระบบนิเวศของพื้นที่

แม้ว่าปีนี้จะแล้งมาก แต่ช่วยกันปลูกเพิ่มตั้งแต่วันนี้ ในปีไหนที่น้ำมาก หน้าน้ำหลาก สะตือจะช่วยป้องกันรักษาตลิ่งและพื้นดินไว้ และมาช่วยกันรักษาพันธุ์ของไม้โบราณชนิดนี้ด้วย ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



“กระบก” ไม้ท้องถิ่นที่ไม่ควรมองข้าม : บำรุงเส้นเอ็น บำรุงไขข้อ แก้ข้อขัด บำรุงไต ฆ่าพยาธิในท้อง

วัฒนธรรมการตั้งชื่อต้นไม้มักจะตั้งชื่อตามลักษณะหรือประโยชน์ใช้สอยของต้นไม้นั้น

ดังเช่นต้นไม้ที่นำเสนอไว้ในเทศกาลปีใหม่ ชื่อ ต้นเติม (Bischofia javanica Blume) น่าจะมีความหมายมาจากลักษณะของไม้ชนิดนี้เป็นไม้เบิกนำ เจริญเติบโตเติมขึ้นไปเรื่อยๆ ในพื้นที่ว่าง

ซึ่งตรงข้ามกับกระบก คนอีสานเรียกหมากบก หรือบก ที่มีความหมายว่าน้อยลง เบา บาง หรือหมดไป

ตามความเชื่อของคนอีสานจึงจัดให้เป็นไม้ที่ไม่เป็นมงคลนัก จะปลูกนอกบ้านตามไร่นาหรือในพื้นที่ป่าชุมชน ไม่ให้นำมาปลูกในบ้าน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เงินทองหมดไป

บางคนเชื่อว่าต้นบกขึ้นที่ไหนจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง

แต่ในแง่ประโยชน์มีมากมาย ในเวลาไม่กี่ปีมานี้มีคนพูดกันมากจนเปรียบเทียบให้ “เม็ดกระบก” คือ “อัลมอนด์อีสาน” ที่เคี้ยวกินอร่อย

และยังพบว่ามีคุณค่าโภชนาการและมีน้ำมันในเม็ดที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสมองด้วย ในถิ่นชนบทของอีสานยังจะพบต้นกระบกได้

กระบก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn. เป็นไม้ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคเหนือเรียกมะมื่น ภาคอีสานเรียกหมากบก ภาษาชองเรียกชะอัง สุโขทัยและโคราชเรียกมะลื่น ภาษาส่วยในจังหวัดสุรินทร์เรียกหลักกาย

เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Irvingiaceae สูงได้ถึง ๕๐ เมตร

ไม่ผลัดใบหรือถ้ามีการสลัดใบทิ้งทั้งต้นจะออกใบใหม่อย่างรวดเร็ว เปลือกต้นสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงสลับ ผิวเกลี้ยง

ดอกขนาดเล็ก มีขนนุ่ม ออกดอกรวมกันเป็นช่อโตที่ปลายกิ่ง สีขาวอมเขียวอ่อน ผลกลมรี ทรงกล้วยไข่ ขนาดใกล้เคียงกับมะม่วงกะล่อนขนาดเล็ก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จะเข้มขึ้น สุกเป็นสีเหลืองอมเขียว เนื้อเละ เมล็ดแห้ง

พบเห็นได้ในประเทศเพื่อนบ้านด้วยตั้งแต่เมียนมา กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไปถึงอินเดีย กระบกมักขึ้นในป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ที่สูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเล จนถึงประมาณ ๓๐๐ เมตร

กระบก ๑ ต้นให้ผลครั้งละมากมาย ผลสุกเป็นอาหารทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย  ถ้านำเมล็ดที่มีเปลือกแข็งหุ้ม มากะเทาะเอาเปลือกออก นำเมล็ดที่อยู่ข้างในมาคั่วกินรสมันกรอบอร่อย เป็นที่นิยมกินกันมาก นับเป็นพืชเศรษฐกิจชุมชนที่ดีอีกชนิดหนึ่ง และอาจพัฒนาบรรจุซองทันสมัยขายไปทั่วโลกได้

ในภูมิปัญญาสมุนไพร ตำรายาไทย กล่าวว่า เนื้อในเมล็ด มีรสมันร้อน บำรุงเส้นเอ็น บำรุงไขข้อ แก้ข้อขัด บำรุงไต ฆ่าพยาธิในท้อง

สำหรับยาพื้นบ้านอีสาน มีการใช้กระบกมากมาย เช่น ใช้แก่นกระบกแก้ผื่นคัน ตำรับยาแก้ไอ

ใช้กระบก ผสมแก่นต้นซี (พันจำ Vatica odorata (Griff.) Symington) และแก่นกล้วยเห็น (มะป่วน Mitrephora vandiflora Kurz) หรือผสมแก่นเดื่อป่อง (Ficus hispida L.f.) แก่นซี แก่นก้านของ (ปีบ Millingtonia hortensis L.f.) และแก่นมะพอก (Parinari anamensis Hance) ต้มน้ำหรือแช่น้ำดื่ม แก้ไอ

ใช้กระบกผสมลำต้นก้ามปู (ต่อไส้ Allophylus cobbe (L.) Raeusch.) และแก่นต้นแสง (Xanthophyllum lanceatum J.J.Sm.) แช่น้ำอาบ แก้ผื่นคัน นำแก่นหมากบกผสมกับแก่นมะพอกต้มน้ำดื่มแก้ฟกช้ำ ส่วนของลำต้นกระบกนำมาต้มน้ำดื่ม รักษาโรคปอดพิการ แก้ไอเป็นเลือด

ใช้กระบกผสมเหง้าขมิ้นอ้อย (Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) รากก้างปา (ทองแมว (Gmelina elliptica Sm.) เมล็ดงา ครั่ง มดแดง และเกลือ ต้มน้ำดื่ม แก้เคล็ดขัดยอก เปลือกต้น ผสมลำต้นเหมือดโลด (Aporosa villosa (Lindl.) Baill.) ใบสมัดใหญ่ (หวดหม่อน Clausena excavata Burm.f.) ลำต้นเม่าหลวง (Antidesma puncticulatum Miq.) และเปลือกต้นอีฮุม (มะรุม Moringa oleifera Lam.) ตำพอกแก้ปวด

ยาพื้นบ้านล้านนา ใช้เปลือกต้น ผสมเหง้าสับปะรด (Ananas comosus (L.) Merr.) งวงตาลหรือช่อดอกตัวผู้ (Borassus flabellifer L. ) รากไผ่รวก (Thyrsostachys siamensis Gamble) นมควาย (Uvaria rufa Blume) ทั้งต้น และสารส้ม ต้มน้ำดื่ม รักษาโรคหนองใน

กระบกมีเนื้อไม้ค่อนข้างเหนียวแน่น เลื่อยยาก แต่ปลวกกินได้ง่าย ในบางท้องถิ่นใช้ไม้เพื่อก่อสร้างภายในอาคารหรือทำอุปกรณ์ต่าง ๆ บ้าง และนำมาเป็นฟืนหรือเผาถ่าน ให้ถ่านที่มีคุณภาพดี เมล็ดนำไปอบหรือคั่ว กินอร่อยรสมันอมหวาน แถบจังหวัดระยองนำเมล็ดกระบกมาบดละเอียด คลุกน้ำตาล ห่อด้วยใบตอง เรียกข้าวราง เมล็ดมีน้ำมันมากมีการนำมาทำสบู่ เทียนไข ใบอ่อนก็กินเป็นผักสด

น้ำมันจากเมล็ดกระบกนำมาทำไบโอดีเซลได้ และใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายรูปแบบ และผู้ที่สนใจการฟื้นฟูระบบนิเวศ จะพบว่าพืชที่เติบโตอยู่ใต้ต้นกระบกจะเจริญได้ดี เนื่องจากผลกระบกที่ร่วงหล่นจะกลายเป็นแหล่งจุลินทรีย์ชั้นดีให้กับพืชข้างเคียงชนิดต่างๆ

ปัจจุบันมีการวิจัยพบว่าเมล็ดกระบกจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ได้แก่ กรดปาล์มมิติก กรดลอริก ไมริสติก และกรดสเตียริก ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ กรดไลโนเลอิก กรดโอเลอิกและกรดปาล์มมิโตเลอิก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงไต ช่วยบำรุงเส้นเอ็นและไขข้อ

กระบกจึงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่สมควรส่งเสริมให้มีการปลูกเพิ่ม และนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป
  ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



“กล้วย” ยาไทย
เปิดสูตรในตำรายาพื้นบ้านรักษาได้สารพัดโรค!


กล้วยๆ ยาไทย กล้วยที่วางขายสำหรับตลาดการแปรรูป จึงเห็นเป็นกล้วยสีเขียว แต่ถ้าขายตามหน้าสวน ก็จะเห็นทั้งสองแบบ เพราะหากเก็บมาขายไม่ทัน กล้วยสีเขียวก็ทยอยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ในขณะที่ยังคงความหวาน

บางครั้งการทำกล้วยทอด กล้วยอบนั้น ต้องใช้กล้วยที่ค่อนข้างห่าม

กล้วยที่วางขายสำหรับตลาดการแปรรูป จึงเห็นเป็นกล้วยสีเขียว แต่ถ้าขายตามหน้าสวน ก็จะเห็นทั้งสองแบบ เพราะหากเก็บมาขายไม่ทัน กล้วยสีเขียวก็ทยอยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ในขณะที่ยังคงความหวาน

บางครั้งการทำกล้วยทอด กล้วยอบนั้น ต้องใช้กล้วยที่ค่อนข้างห่าม

การนำกล้วยมาใช้ประโยชน์ทางยาสมุนไพรที่มีลักษณะเหลือง สุก หรือห่าม มีผลต่อประโยชน์ในการรักษาแตกต่างกัน

ผลดิบ รักษาอาการแน่นจุกเสียดและอาการท้องเสีย เพราะมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ สารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้ สารสิโตอินโดไซด์ (sitoindoside ชนิด I, II, III, IV และ V) และยังมีสารลิวโคไซยานิดินส์ (leucocyanidins) ที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

วิธีปรุงยา ใช้ผลกล้วยดิบหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้งและบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ปริมาณ ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

มีรายงานทางเภสัชวิทยาว่ากล้วยออกฤทธิ์ป้องกัน รักษาอาการท้องเสีย และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แต่ต้องระมัดระวังการใช้ผลกล้วยดิบเป็นยาในระยะเวลายาวนาน อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งยังไม่มีผู้ศึกษาพิษแบบเรื้อรังของสารกลุ่มนี้

ขณะเดียวกันมีรายงานอาการแพ้จากยางกล้วย และสารเอมีนในกล้วยอาจทำให้เกิดอาการไมเกรน ดังนั้น ไม่ควรกินกล้วยดิบต่อเนื่องนานๆ

หากกินแก้อาการโรคดีขึ้นแล้ว ควรหยุดยา

กล้วยในตำรายาพื้นบ้าน ในหนังสือคู่มือหลักเภสัชกรรมของการแพทย์พื้นบ้านล้านนาจากพับสา/ใบลาน กล่าวถึงการใช้ ใบตองกล้วยตีบ ในการเตรียม ยาหลาม เป็นยาที่อาศัยความร้อนในการสกัดยาที่บรรจุในกระบอกไม้ วิธีปรุงเอาสมุนไพรใส่ในกระบอกไม้ไผ่ ไม้ซาง โดยใช้ด้านล่างของกระบอกกลับขึ้นเป็นด้านบนหรือเป็นปากกระบอก ใส่สมุนไพรลงไปหลาม ปิดปากกระบอกด้วยใบตองกล้วยตีบ

ตัวอย่าง “ตำรายาหลาม” ใน คัมภีร์มหาตำรายาเภสัช ฉบับเพชรรัตน์สุวรรณล้านนาไทย แก้ไข้รั้ง ไข้เรื้อ เป็นไข้ป้าง หื้อเอารากหญ้าผากควาย ๓ ราก รากขัดมอน ใส่บอกไม้ไผ่หลามทางปิ้น (ใส่กลับกัน) เอาตองก้วยตีบตึดปากบอกไม้หลาม (เอาใบตองกล้วยตีบปิดปากกระบอกไม่ให้รั่ว) หื้ออว่ายขึ้นปากบอก (กลับปลายกระบอกขึ้นเป็นปากกระบอกแทน) กิน ๑ ที ๒ ที บ่หาย ๓ ที หายแล”

นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยใบตองกล้วยตีบ เช่น ใน ตำราน้อยเส่ง ไชยพล บ้านป่าเมี้ยง แม่กำปอง กิ่งอำเภอแม่ออน สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ให้ผู้ป่วย นั่งนอนบนใบตองกล้วยตีบแล้วทายาที่ตำไว้ เช่น ในโรคมะเร็งสะทีก คือ “แรกขึ้นมันเจ็บหัว หื้อ (ให้) เจ็บหัว เจ็บตน ไข้ ๗วัน และเป็นขางขาวตัวผู้ เป็นขางซายตัวเมีย เอาทองทั้ง ๒ กุ่มทั้ง ๒ ปิว (เจตมูลเพลิงแดง และ เจตมูลเพลิงขาว) หอมเทียม (กระเทียม) หอมบั่วแดง (หอมแดง) ใบหมากนาว ตำห่อผ้า  ชั้น ตั้งปากหม้อนึ่งปะคบยา ๓ ชั้น แล้วหื้อตั้งขันข้าวคุปี (ทุกปี) เทอะ หากบ่อยู่ (ถ้าเอาไม่อยู่) เอาดิน ๓ ซีก (๒.๘๓ กรัม) เข้าเบง รากงิ้ว รากเดื่อ ตำเป็นน้ำแล้วจิ่งเอาตองก้วยตีบรอง ๓ ชั้น แล้วหื้อนั่งนอน จิ่งทายาหาย” และการรักษาอาการ ลงท้อง เช่น เอาทันขอ เปลือกกอก กล้วยตีบ มาปิ้งไฟแช่น้ำกินหายฯ

ในตำรายาแก้ไข้เด็กของทางล้านนา ในยาจากน้ำกล้วยตีบ บางกรณีให้ใช้ หน่อกล้วยตีบลนไฟ หรือหมกไฟ บีบเอาน้ำมาใช้ ในตำรับยาในใบลานบางฉบับ มักใช้ ลักแลนกล้วยตีบหรือใบตองกล้วยตีบที่แห้งคาต้น นำมาเข้ายา หรือผสมในลูกประคบ และยาอบ กล้วยตีบ จัดเป็นยาเย็น เหมือนสมุนไพร ผักเข้า(ฟักข้าว) ผักตำลึง จึงนำมาเข้ายาแก้พิษ

ถอนพิษร้อนต่างๆ

ต้นกล้วย เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี  ออกลูกเก็บผลแล้วต้นจะแห้งตาย

ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์จำกัด แต่ในความจริงต้นกล้วยมีประโยชน์ให้ต้นไม้อื่นได้อาศัยร่มเงาให้ไม้อื่นได้เติบโต เหมือนไม้พี่เลี้ยงให้ต้นไม้ข้างๆ ก่อนที่มันจะถูกตัดทิ้งไป

ปลูกกล้วยแล้วนำความชุ่มชื้นให้กับพื้นดินรอบๆ พื้นดินใครยังว่างๆ จะแปลงมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมก็ไม่ว่ากัน ปลูกกันมากๆ ละกัน แค่ดูแลระยะแรกจากนั้นปล่อยให้โตเองได้จ้า
  ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์



“ว่านหอมแดงแรงฤทธิ์”
บรรเทาพิษโรคทางเดินหายใจ


เมื่อเอ่ยชื่อหอมแดง คนทั่วไปมักนึกถึงหอมแกงตามตลาดที่นิยมใช้ทำอาหารรสแซบจำพวกลาบ ต้มยำ เป็นต้น

แต่สำหรับแพทย์แผนไทย ถ้าตำรับยาใดมีเครื่องยาชื่อหอมแดง นั่นหมายถึง “ว่านหอมแดง” ที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Eleutherine bulbosa (Mill.) Urb. ซึ่งเป็นคนละชนิด คนละวงศ์กับหอมแดงหรือหอมแกงที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Allium ascalonicum L.

ว่านหอมแดงเป็นพืชพันธุ์ต่างถิ่นจากอินเดียที่เข้ามาสู่พื้นบ้านไทยนานมากจนกลายเป็นพืชประจำถิ่นที่ขึ้นอยู่ในป่าดิบร้อนชื้นของไทยได้ ไม่เหมือนหอมแกงที่ต้องปลูกประคบประหงมในแปลงเกษตรเท่านั้น

ข้อพิสูจน์ว่าว่านหอมแดงเข้ามาอยู่ในไทยเก่าแก่กว่าหอมแกงก็คือ วัฒนธรรมความเชื่อคนไทยเชื่อว่า ว่านชนิดนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ในทางคงกระพันชาตรี แก้คุณไสยได้

ในบางท้องถิ่นเช่นแถบจังหวัดเลย จะปลูกว่านหอมแดงไว้ตามคันนา ด้วยความเชื่อว่าว่านนี้ช่วยบันดาลให้ข้าวแตกกอแผ่รวงออกไปเต็มท้องนา จึงเรียกว่านหอมแดงในอีกชื่อหนึ่งว่า “ว่านข้าวแผ่”

ส่วนคนที่อีโรติก คิดว่าว่านตัวนี้ช่วยทำให้ข้าวตั้งท้องดี จึงเรียกอีกชื่อว่า “ว่านชู้ข้าว” หรือ “ว่านชายชู้”

อย่างไรก็ตาม อัตลักษณ์ของหัวว่านตัวนี้ก็คือ สีแดง ที่เห็นได้ชัดๆ แค่ใช้มีดกรีดหัวก็จะมีน้ำสีแดงเข้มไหลออกมา สามารถใช้ย้อมสีอาหารได้

ชาวไทยภูเขาหลายชนเผ่ายังนิยมใช้แต่งสีแดงบนเปลือกไข่ในพิธีมงคลต่างๆ

ส่วนหัวหอมแกงแม้มีกาบสีแดงแต่ไม่มีสารที่แต่งสีแดงได้ อันที่จริงว่านหอมแดงกับหอมแกงมีสรรพคุณคล้ายๆ กันคือช่วยให้ระบบทางเดินหายใจแข็งแรง แต่ที่แนะนำให้ใช้ว่านหอมแดงก็เพราะเป็นสมุนไพรที่ปลอดสารและปลอดภัยมากกว่าหอมแกงที่ปลูกแบบเคมีเกษตร

แม้ว่านหอมแดงจะหาซื้อตามตลาดไม่ได้เหมือนหอมแกง แต่ก็มิได้หายากอย่างที่คิดเพราะเป็นพืชมีเหง้าปลูกขยายพันธุ์ได้ง่าย

ว่านหอมแดงอาจจะไม่นิยมนำมาทำอาหาร แต่เป็นเครื่องยาสำคัญในยาแผนโบราณหลายตำรับ อย่างในตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวงก็มีถึง ๒๓ ตำรับ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นยารักษากลุ่มโรคซางในเด็กเล็ก โรคซางทำให้เด็กมีอาการไข้ ตัวร้อนจัด เซื่องซึม ปากคอแห้ง อาเจียน ดูดนม กินอาหารไม่ได้เพราะมีเม็ดซางผุดขึ้นในช่องปาก ลิ้น ลำคอ และมักจะมีอาการท้องเดินท้องเสียร่วมด้วย

ในคัมภีร์สรรพคุณแลมหาพิกัด กล่าวว่า หัวว่านหอมแดงใช้แก้ลมอากาศธาตุ นำมาบดผงละลายน้ำร้อน แก้ลมวิงเวียน ตาพร่าและแก้ท้องขึ้น ในคัมภีร์โรคนิทานใช้หัวว่านหอมแดงสด ร่วมกับเมล็ดผักชี กระเทียม ขมิ้นอ้อย ไพล เมล็ดพันธุ์ผักกาด กับยอดกุ่มบก กุ่มน้ำ อย่างละเท่าๆ กัน ตำพอกกระหม่อมทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ แก้สมองพิการ บรรเทาอาการปวดศีรษะรุนแรงชนิดที่ตามืดหูอื้อ

ในตำรายาศิลาจารึกวัดโพธิ์สมัยรัชกาลที่ ๓ มีตำรับยาหนึ่งชื่อ “สนั่นไตรภพ” ซึ่งมีกัญชาเป็นส่วนประกอบและเป็นหนึ่งใน ๑๖ ตำรับสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุขรับรอง ในสูตรตำรับหลวงนี้มีน้ำคั้นว่านหอมแดง ๑ ทะนาน ประกอบอยู่ด้วย ช่วยแก้กร่อนกษัยทั้งปวง

คำว่ากษัย ในที่นี้หมายถึงกลุ่มโรคเรื้อรัง ที่พิษของโรคทำให้ร่างกายทั้งระบบเสื่อมโทรมลง ทำให้ร่างกายซูบซีด โลหิตจาง ปวดเมื่อยเรื้อรัง อ่อนแรง มือเท้าชา เป็นต้น

สําหรับหมอพื้นบ้าน ใช้หัวว่านหอมแดงสดจับหวัดในเด็กโดยนำมาตำผสมกับเปราะหอมสุ่มกระหม่อมเด็กแก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หายใจไม่ออก และยังใช้ทาท้องเด็ก แก้ท้องอืดได้ชะงัด

สำหรับผู้ใหญ่อาจจะใช้วิธีบุบหัวว่าน ๓-๔ หัวต้มรมไอน้ำสูดหายใจให้จมูกโล่ง

ชาวบ้านบางถิ่นนิยมต้มหัวว่านหอมแดงกินทั้งเนื้อทั้งน้ำเป็นประจำทุกวันช่วยบำรุงเลือดลม บำรุงกำลังวังชาไม่ให้แก่ก่อนวัย และยังช่วยชะลอไม่ให้แก่ตามวัยด้วย (ฮา)

ที่สำคัญคือช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บในยามนี้

ซึ่งมีทั้งโรคที่มากับฝุ่นละอองขนาดต่างๆ ทั้ง PM 10 และ PM 2.5 รวมทั้งไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่สายตรงจากอู่ฮั่น ซึ่งเหยื่อไวรัสที่เสียชีวิตส่วนใหญ่วัยเกิน ๖๐ เนื่องจากร่างกายเสื่อมถอย  มีโรคแทรกซ้อนมากกว่าวัยอื่นนั่นเอง

ว่านหอมแดง เป็นพันธุ์ไม้เพาะปลูกง่ายไม่ต้องใช้เคมี ขนาดยามแล้งยังแตกใบเขียวเรี่ยดิน มีดอกขาวฟอร์มสวยคล้ายดอกกล้วยไม้ จึงมีคนนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ส่วนพวกนักเลงว่านนิยมปลูกเป็นไม้มงคลไว้แก้คุณไสยได้สารพัด

แต่มีเคล็ดเพื่อความขลังว่าต้องปลูกวันเสาร์ ขณะปลูกและเวลารดน้ำต้องท่องคาถาบูชาพระเจ้า ๕ องค์ นโมพุทธายะ ๓ จบ

ยุคนี้เราควรนำภูมิปัญญาหมอไทยการใช้ว่านหอมแดงมาใช้เป็นยาและอาหารให้แพร่หลายในวิถีชีวิตประจำวัน
เช่น นำมาต้มดื่มเป็นยา หรือตุ๋นกับไก่บ้านเป็นยาและอาหารบำรุงกำลัง

เดี๋ยวนี้มีหมอยาไทยต่อยอดสกัดน้ำมันหอมระเหยจากหัวว่านมาปรุงเป็นยาหม่องน้ำและบาล์ม เพื่อใช้สูดดมแก้หวัดคัดจมูก และทาแก้แผลแมลงสัตว์กัดต่อย

ว่านหอมแดงจึงเป็นสมุนไพรประโยชน์สามอย่างแบบทรีอินวัน คือ เป็นทั้งไม้ประดับ ไม้มงคล และพืชสวนครัวที่ใช้เป็นยาและอาหารในโลกแห่ง “โรคไร้พรมแดน”
  ที่มา : สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มติชนสุดสัปดาห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 มีนาคม 2563 15:57:51 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2563 13:15:58 »


หัสคุณ    
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Clausena excavata Burm. f.
วงศ์ : RUTACEAE

ไม้ต้น ไม่ผลัดใบ สูง ๑๐-๒๐ เมตร ลำต้นเป็นร่อง กิ่งคล้ายทรงกระบอก มีขนมาก เปลือกต้นสีเทา เรียบ
ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับและเวียน มีจุดโปร่งแสง ใบย่อย ๓-๘ คู่ รูปไข่ถึงรูปใบหอก ปลายใบแหลม เรียวแหลมสอบเรียว โคนใบมน ขนาดไม่เท่ากัน เส้นใบหลักเส้นเดียว แขนงเบี้ยว เส้นใบย่อยชั้นที่สามเป็นร่างแห ไม่มีหูใบ
ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ช่อย่อยเป็นแบบช่อกระจุก ดอกสมบูรณ์เพศ รูปปลายยอดแบน ดอกย่อยมากสีเขียวถึงสีขาวแกมเหลือง วงกลีบเลี้ยงรูปถ้วย แยกเป็น ๕ หยักซี่ฟัน กลีบดอก ๕ กลีบ จรดกัน รูปแถบแกมรูปขอบขนาน เกสรเพศผู้ ๑๐ อัน รังไข่เหนือวงกลีบ รูปทรงกระบอก
ผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด รูปทรงรี หรือรูปขอบขนาน อวบน้ำ มี ๑-๓ เมล็ด เมล็ดเกือบเกลี้ยง สีเหลืองถึงแดงเมื่อสุก
ตำรายาโบราณ ใบ รสหอมเผ็ดร้อน ตำทาแก้คัน พอกประคบหรืออบไอน้ำ แก้ผื่น คันตามผิวหนัง
ดอก รสหอมร้อน ฆ่าเชื้อโรคแผลเรื้อรัง
ลำต้น รสร้อน ขับลม
ยอดอ่อน ใบอ่อน จิ้มน้ำพริก ใส่ข้าวยำ
  มติชนสุดสัปดาห์




มะม่วงหัวแมงวัน    
Buchanania lanzan Spring
วงศ์ : ANACARDIACEAE 
ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงได้ถึง ๒๐ เมตร กิ่งอ่อนมีขนครุยสีกำมะหยี่ กิ่งแก่เกลี้ยง
ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง
ดอกช่อแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวหรือสีขาวแกมเขียว ออกเป็นช่อแน่น มีกลิ่นหอมมาก กลีบดอกรูปขอบ เกสรเพศผู้แบน เกลี้ยง ยาวเท่ากับกลีบดอก รังไข่มีขนสั้นนุ่ม
ผลสดเมล็ดเดียวแข็ง เบี้ยว ทรงรูปไข่หรือคล้ายทรงกระบอก ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร แบนข้างเล็กน้อย เกือบเกลี้ยง เปลี่ยนเป็นเกลี้ยง สีแดงแกมเขียวเมื่อแก่
 
ตำรายาโบราณ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้อักเสบจากพืชพิษ
ราก รสเผ็ดร้อน ยาฝาดสมาน แก้ร้อนใน แก้ท้องผูก เป็นยาถ่ายอย่างแรง ทำให้ท้องร่วง
ใบ รักษาโรคผิวหนัง
ผล แก้ไอ แก้หอบหืด
ความเป็นพิษ รับประทานมากเกินไปอาจระคายเคืองในลำคอได้ เพราะมียางคล้ายมะม่วงทั่วไป
  มติชนสุดสัปดาห์


มังคุด    

Garcinia X mangostana L. (1)
GUTTIFERAE (CLUSIACEAE)
ไม้ต้น สูง ๑๐-๑๒ เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีเหลือง
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรีแกมขอบขนาน เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง ใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า
ดอกเดี่ยวหรือดอกช่อมีดอกย่อยสองดอก ออกที่ซอกใบคล้ายปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวแกมเหลือง กลีบดอกสีแดง ฉ่ำน้ำ
ผลสด ค่อนข้างกลม
สรรพคุณตำรายาไทย
เปลือกผลมังคุดตากแดดให้แห้ง ฝนกับน้ำปูนใสใช้ทาแผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมังคุด
พบว่าสาร mangostin, l-isomangostin และ mangostin triacetate เมื่อกรอกปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวมีผลระงับการอักเสบที่อุ้งเท้าซึ่งทำให้อักเสบด้วย carrageenan และการอักเสบที่หลังโดยฝังก้อนสำลี (cotton pellet pellet implantation) ในหนูที่ตัดต่อมหมวกไตออกทั้งสองข้าง สารเหล่านี้ก็ยังสามารถระงับอาการอักเสบได้
นอกจากนี้ mangostin ยังมีผลในการรักษาแผลในหนูขาวได้ด้วย
สาร xanthone I ในเปลือกมังคุดซึ่งสกัดด้วยเบนซินมีผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งทำให้เป็นหนองได้
  มติชนสุดสัปดาห์


มะดัน    

Garcinia schomburgkiana Pierre
GUTTIFERAE (CLUSIACEAE)
 ไม้ต้น สูง ๓-๗ เมตร
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน รูปใบหอกหรือรูปไข่แกมขอบขนาน
ดอกแบบช่อกระจุกสั้น แยกเพศอยู่ร่วมต้น สีเหลืองส้ม
ผลเป็นแบบผลสดเปลือกแข็งเมล็ดเดียว รูปกระสวย
ตำรายาโบราณ ผล แก้กระษัย ฟอกโลหิต ฟอกประจำเดือน
  มติชนสุดสัปดาห์



ชะมวง    

Garcinia cowa Roxb. ex Choisy
GUTTIFERAE
ไม้ต้นขนาดกลาง เปลือกไม้สีน้ำตาลเข้ม แตกกิ่งมาก
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก คล้ายกระดาษ
ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้ ๓-๘ ดอก ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบ ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม ก้านช่อดอกสั้นหรือพบน้อยมากที่ไร้ก้าน โคนดอกมีสี่ใบประดับ ใบประดับรูปลิ่มแคบ
กลีบดอกสีเหลือง ยาวกว่ากลีบเลี้ยงสองเท่า
เกสรเพศผู้ออกเป็นกระจุกสี่อัน เชื่อมติด รวมเป็นกระจุกที่ส่วนกลางสี่ด้านของอับเรณู ๔๐-๕๐ อัน มีหรือไม่มีก้านชูอับเรณู ส่วนมากสั้น อับเรณูสี่ช่อง ช่องยาวแตกได้ ไร้เกสรเพศเมียเป็นหมัน
ดอกเพศเมียมักเป็นแบบดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ ขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้
เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันเชื่อมติดกันที่ประมาณครึ่งหนึ่งและโคนรังไข่ที่เชื่อมติดอยู่
ก้านชูอับเรณูยาวหรือสั้น ปรกติพบว่าสั้นกว่ารังไข่ รังไข่รูปทรงรูปไข่ ๔-๘ ช่อง ยอดเกสรเพศเมียเรียงเป็นรัศมี ๔-๘ พู มีปุ่มเล็ก ขนาด ๖-๗ มิลลิเมตร
ผลเป็นแบบผลสด ผลสุกทึบแสงสีเหลืองแกมน้ำตาล รูปทรงรูปไข่แกมรัปทรงกลม เบี้ยว ปรกติเป็นติ่งแหลมอ่อน ๒-๔ เมล็ด แคบ รูปกระสวย โค้งเล็กน้อย
ตำรายาไทยโบราณ ใช้ ใบ เป็นยาระบาย ราก แก้ไข้ ยาพื้นบ้านอีสานใช้
ราก ผสมรากปอด่อน (Helicteres hirsuta Lour.) รากตูมกาขาว (Strychnos nux-blanda A. W. Hill.) และรากกำแพงเจ็ดชั้น (Salacia chinensis L.) ต้มน้ำดื่ม รับประทานวันละสามครั้ง เช้า กลางวัน เย็น เป็นยาระบาย
ใบสด รับประทานหรือผสมในต้มหมูชะมวงรับประทานได้
  มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2563 15:34:30 »



ลำไย ผลไม้และยาพื้นบ้านนานาชาติ

ลำไยเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่ครั้งหนึ่งวัยรุ่นนำเอาคำเรียก “ลำไย” เป็นศัพท์สแลงเพื่อเรียกเพื่อนฝูงที่ทำตัวเชื่องช้าและน่ารำคาญว่าเป็นพวก “ลำไย” โดยไม่รู้ที่มาว่าทำไมลำไยอันแสนอร่อยและมีคุณค่านี้ถูกใช้เรียกเป็นคำตำหนิไปได้

ลำไยเป็นพืชที่เกิดเองตามป่าหรือตามธรรมชาติ และต่อมาก็นำมาปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Euphoria longana, Lamk. หรือ Dimocarpus longan Lour. หรือ Nephelium longana Camb. อยู่ในตระกูล SAPINDACEAE

เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๐ เมตร ดอกเล็กออกเป็นช่อ ผลกลมโต เปลือกลูกสีน้ำตาล มีรสหวานหอมน่ากิน พบเห็นปลูกทั่วไปในจีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย

ลำไยจะออกดอกตามธรรมชาติช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม และเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม

 ลําไยสด ๑๐๐ กรัม ในด้านโภชนาการมีความน่าสนใจ

ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต ๒.๓๘-๒๒.๕๕% แคโรทีนอยด์ ๒๐ ไมโครกรัม วิตามินเค ๑๙๖.๕ มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่ง ๐.๐๑ มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ๐.๑๔ มิลลิกรัม เรตินอล ๓ ไมโครกรัมโปรตีน ๑.๒ กรัม ไขมัน ๐.๑% วิตามินซี ๔๓.๑๒-๑๖๓.๗ มิลลิกรัม กรดนิโคตินิก ๑.๓ มิลลิกรัม กรดอะมิโนซึ่งพบเป็นแกรมม่าอะมิโนบิวทีริก แอซิด ในปริมาณ ๕๑-๑๘๐ มิลลิกรัม เส้นใยอาหาร ๐.๔% ความชื้น ๘๑.๔% เถ้า ๐.๗% น้ำตาลรีดิวซ์ ๓.๘๕-๑๐.๑๖% น้ำตาลที่พบมักเป็นกลูโคส ฟรุกโตส แซคคาโรส และซูโครส กรดอินทรีย์ มาลิก อ๊อกซาลิก ซิตริก ซัคซินิกและทาร์ทาริก

นอกจากนี้ ยังพบสารประกอบที่ระเหยได้ ๒๘ ชนิด โดยสารประกอบหลักที่ให้กลิ่นหลักมักเป็น Bocimene, ๓,๔-dimethyl-๒,๔,๖-octatriene, ethyl acetate, allo-ocimene, ๑-ethyl-๖-ethylidene-cyclohexene และนักวิทยาศาสตร์พบว่า วิธีการสกัด สายพันธุ์และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันจะพบสารประกอบของกลิ่นต่างกันไป เมื่อวิเคราะห์ใบ พบสารประกอบ เคอร์เซติน ๑๕-hentriacontanol, epifriendelinol, stigmasterol glucoside, stigmasterol, ?-sitosterol ในส่วนของดอก มีสารประกอบ fucosterol, stigmasterol อยู่ในอัตราส่วน ๔๐-๖๐ และยังมี sterol อื่นๆ อีกด้วย

สารประกอบทางเคมีจากเปลือก พบสารพวกฟีนอลิก ได้แก่ กรดแกลลิก คอริลาจิน อีลาจิก และสารควบคู่ของมัน, สาร (-)-epicatechin, ๔-๐-methylgallic acid flavones glycosides, glycosides of quercetin and kaemferol กลุ่มพอลิแซคคาไรด์ ได้แก่ L-arabinofurannose ๓๒.๘%, D-glucopyanose ๑๗.๖%, D-galactopyranose ๓๓.๗% and D-galacturonic acid ๑๕.๙%

สารประกอบทางเคมีพบในเมล็ด พบมากเป็นสารประกอบซาโปนิน นอกนั้นเป็นแทนนิน ไขมันและแป้ง การวิจัยระยะต่อมาพบสาร ethyl gallate ๑-B-o-galloyl-D-glucopyranose, methyl brevifolin carboxylate, grevifolinand ๔-๐-a-L-rhamnopyranose-ellagic acid, gallic acid, corilagin and ellagic acid

สารประกอบทางเคมีพบในเนื้อลำไย ได้แก่ กลุ่มฟอสโฟไลปิด คือ ไลโสฟอสฟาติดีล คอลีน ฟอสฟาติดิล คอลีน ฟอสฟาติดิล อินโนซิทอล ฟอสฟาติดิล เซอรีน ฟอสฟาติดิล เอทาโนลามีน ฟอสฟาติดิล และฟอสฟาติดิกแอสิด กลีเซอรอล ฟอสฟอลิปิด และอาจจะมีผลดีในการเพิ่มภูมิต้านทานในมนุษย์

ปัจจุบันเทคโนโลยีการปลูกและการเก็บเกี่ยวลำไยดีขึ้นได้ผลผลิตมากขึ้น จึงนำไปสู่การพัฒนาการใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของลำไย

มีงานวิจัยในส่วนเปลือกของผล พบว่ามีสารโพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ แทนนิน โพลีแซคคาไรด์ สารสกัดจะแสดงฤทธิ์ ต้านแบคทีเรีย ต้านไวรัส และต้านการอักเสบ ต้านเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง

นอกจากนี้ จากเอกสารวิจัยแสดงผลการสกัดเปลือกผล ด้วยการใช้แรงดันไฮโดรสเตติกที่สูง สารสกัดที่ได้มีปริมาณสารสำคัญมากกว่าวิธีอื่น พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง มีฤทธิ์ต้านเอ็นไซม์ไทโรสิเนส และยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ผลดีในหลอดทดลอง

ในการศึกษาการสกัดดอกลำไยพบว่ามีโพลิฟีนอลสูง โดยนำสารสกัดด้วยน้ำนี้ทดลองกับหนูที่เหนี่ยวนำให้ได้รับอาหารที่มีแคลอรีjสูง มีไขมันสูง พบว่าสารสกัดน้ำดอกลำไยมีแนวโน้มในการลดไขมันได้

การสกัดดอกลำไยยังมีการใช้สารละลายอินทรีย์ชนิดอื่นอีกหลายชนิด ให้ผลดีในการต้านอนุมูลอิสระ

เปลือกต้นลำไยและใบลำไย พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีสารอีลาจิคสูง ซึ่งสารดังกล่าวมีแนวโน้มนำมาใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางได้

สารสกัดเมล็ดลำไยด้วยแอลกอฮอล์เมื่อนำมาป้อนให้หนูไมซ์ ที่เหนี่ยวนำด้วย สารสโคโปลามีนขนาด ๓๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เมล็ดลำไยพันธุ์อีดอสกัดที่ทำการวิจัยในไทย พบว่ามีฤทธิ์ต้านเอ็นไซม์ไทโรสิเนสสูง พบว่ามีส่วนช่วยเรื่องการจดจำและการเรียนรู้

เนื้อลำไยแห้งที่สกัดด้วยวิธีอัลตราโซนิกเซลดิสอินตีเกรเตอร์ พบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงและต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง

 นอกจากนี้ มีรายงานวิจัยที่กล่าวถึงสารสกัดทุกส่วนของผล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และสามารถพัฒนาเป็นสารเสริมเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายร่วมกันกับยาอื่นได้ดี แต่ยังไม่มีการศึกษาทางคลินิกและศึกษาผลต่อฤทธิ์หรือสรรพคุณอื่นมากนัก เช่น ฤทธิ์ต้านเบาหวาน ลดความอ้วน ขณะเดียวกันพบว่ามีการจดสิทธิบัตรงานวิจัยไทย ได้แก่ กรรมวิธีการสกัดเป็นสารสกัดที่รู้ปริมาณสารองค์ประกอบ และสิทธิบัตรการผลิตลำไยผงกันแล้ว

และเนื่องจากลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจมูลค่านับพันล้านบาท จึงมีงานวิจัยกรรมวิธีการเก็บเกี่ยวผลลำไยว่าทำอย่างไรไม่ให้เสียหายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา

ลำไยมีอายุหลังการเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ ๓-๔ วันเปลือกผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ ถ้าเก็บไว้ที่ ๕ องศาเซลเซียสจะเก็บได้นาน ๒ สัปดาห์ หากอุณหภูมิต่ำกว่านั้นจะทำให้เปลือกเสียหายได้

ในวิถีชาวบ้านยังใช้เนื้อไม้ลำไยมาทำครก สาก กระเดื่อง และนำกิ่งไม้ลำไยทำเชื้อเพลิง เช่นทำฟืนและถ่านได้ด้วย

คนไทยปลูกลำไยส่งไปจีนจำนวนมาก เพราะคนจีนมีความเชื่อว่าลำไยเป็นผลไม้มงคล นำมาใช้ในพิธีกรรมหลายอย่าง เช่น เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความหวานชื่น ใช้ในพิธีแต่งงาน ในงานมงคลอื่นๆ

ลำไยยังเป็นผลไม้สัญลักษณ์ให้ชีวิตรุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า

หรือแม้แต่ในงานขาว-ดำเองก็มีลำไยประกอบในพิธีกรรมให้หมายถึงสิ่งดีๆ ของลูกหลานด้วย

หลายคนชอบกินทั้งลำไยสด แห้ง และน้ำลำไยรสหอมหวาน แต่เชื่อว่าหลายท่านไม่ทันรู้ว่าลำไยใช้เป็นยาสมุนไพรที่มีการใช้อยู่ในหลายประเทศ

ยาพื้นบ้านในประเทศจีน มีภูมิปัญญาดั้งเดิมว่า

ใบ มีรสจืดและชุ่มสุขุม ใช้เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวารหนัก ฝีหัวขาด และไข้หวัด โดยนำใบมาต้มน้ำกิน

ดอก ใช้ดอกสดหรือตากแห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย

เมล็ด ต้มหรือบดเป็นผง รักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผลและใช้ห้ามเลือด

ราก หรือ เปลือกราก ต้มน้ำกินหรือต้มเคี่ยวให้ข้น แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย

เปลือกผล ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น หรือใช้เป็นยาทาภายนอกโดยเผาเป็นเถ้าและบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เนื้อหุ้มเมล็ด นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้า เป็นยาบำรุงม้าม เลือดลม และหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อน
 
ตํารับยาจีน นิยมใช้ลำไยผสม ในตำรับยาแพทย์แผนโบราณ เพื่อคลายอาการปวดประสาทและการบวมโดยเฉพาะบวมในสตรีหลังคลอดบุตร โดยใช้ร่วมกับยาอื่นๆ และมีตำรับยาที่ใช้เนื้อลำไยเพียงอย่างเดียวดองเหล้า ไว้นาน ๑๐๐ วัน สูตรยา ลำไยแห้งปริมาณ ๖๐ กรัม ดองเหล้าที่ทำจากข้าว ๕๐๐ มิลลิลิตร ใช้บำรุงสุขภาพ โดยเฉพาะม้าม เลือดพร่อง และรักษาจิตใจ สำหรับผู้สูงอายุ และผู้ที่อ่อนแอหรือไฟธาตุต่ำ

ส่วนเปลือกและเมล็ด ยังใช้ฟื้นฟูร่างกายสำหรับหญิงหลังคลอด และใช้สำหรับเพิ่มภูมิต้านทาน ตำรับยาจีน นิยมใช้เนื้อลำไย ร่วมหรือเสริมฤทธิ์ในการรักษาผู้ป่วยที่อ่อนเพลีย

ใน ประเทศเวียดนาม ใช้เนื้อผลแห้งเป็น อาหาร ยาบำรุง นัยว่ามีประโยชน์ต่อม้าม ไตและปอด สติปัญญา และใช้สำหรับแก้อาการนอนไม่หลับ โรคประสาทที่มีอาการอ่อนเพลียอย่างเรื้อรัง อ่อนแรง อาการจิตซึม (neurasthenia) แก้ความจำไม่ดีหรือสูญเสียความจำบางส่วน ซึ่งมักใช้ในรูปสารสกัดหรือยาต้มขนาดยา ๙-๑๐ กรัมต่อวัน และมีการนำเอาเมล็ดซึ่งมีสารซาโปนินอยู่มาก นำมาใช้เป็นแชมพู และนำเมล็ดบดเป็นผง ใช้ทาโรคผิวหนัง อย่างเช่นตุ่มพุพอง

ในส่วนของ ไทย มีการใช้คล้ายคลึงกัน คือ

ส่วนของ ราก ซึ่งมีรสร้อน ต้มกับน้ำตาลกรวด ดื่มแก้เสมหะและลม

รากสด ใช้ต้มกับน้ำตาลกรวดกินแก้ฟกช้ำ ช้ำใน พลัดหกล้ม จะขับของเสีย เลือดเน่าออกทางทวารได้ผลดี รากหรือเปลือกต้น รสฝาดร้อน แก้เสมหะ แก้ลมป่วง แก้ลมจุกเสียด

ข้อควรระวัง ไม่กินหรือใช้เนื้อลำไยในกรณีมีอาการเจ็บคอหรือไอมีเสมหะ หรือเป็นแผลจนอักเสบมีหนอง
 
ขอแนะนำให้รู้จักประโยชน์จากลำไยที่อยู่ในตำรับยาไทยและในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มเติม

๑.รักษามาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง ๑๐-๒๐ กรัม และน้ำ ๒ แก้ว ผสมเหล้าอีก ๑ แก้ว กินก่อนมีอาการไข้ ๒ ชั่วโมง
๒. ปัสสาวะขัด ใช้เนื้อในเมล็ดต้มน้ำกิน แก้ปัสสาวะขุ่นขาว หรือใช้ดอกลำไยสดประมาณ ๓๐ กรัม ต้มกับเนื้อหมู เอาน้ำกิน ๓-๕ ครั้งก็ได้
๓. สตรีที่คลอดบุตรแล้วมีอาการบวม ใช้เนื้อลำไยผสมกับลูกพุทราและขิงสด ต้มน้ำกิน
๔. ท้องเสีย ใช้เนื้อลำไย ๑๔ ลูก ขิงสด ๓ แว่น ต้มน้ำกิน
๕. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาไฟเป็นเถ้า และเอาผสมน้ำมันมะพร้าวใช้ทา
๖. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดที่ลอกเอาเปลือกสีดำออก ชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวทาบริเวณที่เป็น
๗. น้ำร้อนลวก ใช้เปลือกผลบดเป็นผงหรือเผาให้เป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันลูกมะเยา ทาแผลจะหายปวดและไม่เป็นแผลเป็น
๘. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทา ตรงบริเวณที่เป็น

ลำไยเป็นผลไม้รสหอมหวานอร่อยและเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้อย่างดี และมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรแทบทุกส่วน เมื่อกินเนื้อแล้ว เปลือกและเมล็ดลำไยหากคิดเป็นของเสียโยนทิ้งก็คิดเป็น ๑๖-๔๐% ของน้ำหนักลูกลำไย แต่ถ้าคิดเป็นโอกาสในการพัฒนา ก็จะพบว่าเป็นส่วนที่มีศักยภาพในการใช้เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่หาได้ง่าย สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้หลายชนิดที่นักวิจัยไทยสามารถต่อยอดจากองค์ความรู้ยาพื้นบ้านหรือยาดั้งเดิม

ใครที่นิยมชมชอบกินลำไย แต่พบว่ามีอาการแพ้ที่มักมีอาการที่เรียกว่าร้อนในนั้น มีคำแนะนำจากรายงานวิจัยของจีนว่า ให้กินลำไยที่ผ่านขบวนการให้ความร้อนแล้ว จะช่วยลดสารในลำไยที่อาจทำให้แพ้ได้ ใครที่ไม่แพ้สารเหล่านี้ก็กินลำไยสดๆ ได้เพลิน

แต่คนที่รู้ตัวว่ากินสดแล้วร้อนในง่ายก็เปลี่ยนมากินขนมหวานที่ใส่ลำไย หรือน้ำต้มลำไยแทน ให้ได้ประโยชน์จากลำไยกันทุกคน
...ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์




มะม่วง อาหารและยาประจำบ้าน

เชื่อว่าถ้ามีการสำรวจต้นไม้ที่คนไทยอยากปลูกไว้ประจำบ้าน เชื่อว่าทุกบ้านที่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ น่าจะเลือกมะม่วงมาเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน

ที่สำนักงานมูลนิธิสุขภาพไทยก็ปลูกมะม่วงไว้  ๒ ต้น พอชำเลืองมองไปเพื่อนบ้านข้างเคียงมูลนิธิสุขภาพไทยก็มีมะม่วงเกือบทุกบ้าน

จึงขอมาคุยเรื่องมะม่วงกัน
 
มะม่วง (Mangifera indica Linn. ) เป็นต้นไม้ที่ให้ผลให้เรากินตลอดทั้งปี เด็กเล็ก เด็กโต ที่เล่นอยู่กับบ้าน ช่วงไม่ต้องไปโรงเรียน ก็มักไปหาไม้สอย (ไม้ส้าว) มาสอยมะม่วง

ปกติเราบริโภคมะม่วงเป็นอาหารมากกว่าใช้ประโยชน์ทางยาสมุนไพร

มะม่วงเปรี้ยวเหมาะกับพริก เกลือ หรือน้ำปลาหวาน นัยว่าความเปรี้ยว จะลดน้อยลง หากได้เจอกับเกลือ โดยปอกแล้วเอาล้างด้วยน้ำเกลือเล็กน้อย วิธีนี้ใช้ทำยำมะม่วงดิบ ยกเว้นแต่มะม่วงมันมักไม่ต้องอาศัยเครื่องจิ้ม

มะม่วงหวานที่ออกเปรี้ยวหน่อย อย่างมะม่วงป่า มะม่วงสามปี (ชื่อสายพันธุ์มะม่วง) สุกๆ นำมาปอกหั่นแช่เย็น ใช้กินกับข้าวเปล่าๆ ก็อร่อยได้ ผู้สูงอายุนิยมหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมกินเป็นคำๆ ได้

หากกินมะม่วงหวานๆ ทุกวันและกินอย่างเดียว อาจทำให้ตาหวาน หรือมีขี้ตาแฉะๆ ซึ่งบอกถึงอาการร้อนใน หรือมีแคลอรีในร่างกายสูง (แต่ไม่มากเท่าทุเรียน)

จึงควรกินแต่พอดี อย่าบ่อยมากนัก

และท่านที่เป็นเบาหวานควรระวังน้ำตาลจากมะม่วงสุกจะมีผลเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้ามะม่วงดิบจะหวานลดลง มีแป้งมากกว่าน้ำตาล แต่กินมากๆ แป้งก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้
 
สําหรับในทางยาสมุนไพร มะม่วงมีคุณประโยชน์มากอย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว ดังนี้

มะม่วงที่วิจัยทางเภสัชวิทยามีอย่างน้อย ๒๐ สายพันธุ์ การใช้ทางพื้นบ้าน พบว่าส่วนที่ใช้เป็นยาของมะม่วง ได้แก่ เปลือกลำต้น ใบ ดอก ผลและเมล็ด ตัวอย่างตำรับยาพื้นเมืองล้านนาที่ใช้มะม่วง

๑. เจ็บตาเพราะดีนั้น (หมายถึงหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย อาการเจ็บตาเพราะดีกำเริบ) ให้เอาเปลือกมะม่วงกาสอ ชะเอ็ม (ชะเอม) เข้าหมิ้น (ขมิ้นชัน) รากมะกล้วย (ฝรั่ง) ชำพอ (หางนกยูงบ้าน) เท่ากัน เคี่ยวน้ำสามบวย เอาหนึ่ง (น้ำสามกระบวย เคี่ยวให้เหลือ ๑ กระบวย) แล้วเอาน้ำผึ้ง น้ำตาลลงคนไว้ให้เย็นแล้วเอาผ้าขาวปกตาแล้วเอาน้ำยารดนอกผ้า ให้รอดเข้าตาหาย
๒. อันหนึ่งยานิ่วให้เอาแกน (แก่นต้น) ผักหละ (ชะอม) แกนมะม่วง แกนมะเฟือง แกนมะคะทอง ต้มใส่ข้าวจ้าวกินดีแท้เชื่อแล้วแลฯ
๓. ยาแก้สรรพะ เอาผักหวานบ้าน รากจอยนาง หญ้าหลักนา กาฝากผักหละ เปลือกมะม่วงธิดา ขวั้นมะฟักขม เขากวาง โก้งมะปิน (หัวจุก) จันทร์ขาว-แดง ฝนตกน้ำกินเทอะ
๔. เบาหวาน ให้เอากาฝากมะม่วงสามปี ข้าวจ้าวต้มกินทุกวัน และเอาแกนข้าวสาลีต้มกินจำเริญ

ตํารับยาพื้นบ้านในอินเดีย ใช้ เปลือกต้นมะม่วง ผสมน้ำดื่ม ช่วยแก้ท้องร่วง ใช้สวนทวารหนัก ป้องกัน รักษาริดสีดวงทวาร โดยอาศัยฤทธิ์ฝาดสมาน

นอกจากนี้ เปลือก ยังใช้แก้บิด

ใบ ใช้แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ท้องอืดแน่น แก้เด็กเป็นตานขโมย ชะล้างบาดแผล ในอินเดียมีเครื่องดื่มน้ำมะม่วงเป็นที่นิยมมาก ใช้ช่วยร่างกายกรณีเป็นลมแดด และยังกินบำรุงกระเพาะอาหาร แก้คลื่นไส้วิงเวียน บรรเทาอาการกระหายน้ำ แก้อาเจียน

ผลสุก กินประจำ แก้เลือดออกตามไรฟัน

เมล็ด แก้ท้องเสีย รักษาบาดแผล ขับพยาธิ ในประเทศเวเนซุเอลา

ใช้ ใบ แก้อาการท้องร่วงที่มีอาเจียนร่วมด้วย

ใช้ ใบ แก้ปวดฟันและเหงือก โดยใช้ใบชงน้ำร้อนแล้วอมน้ำยาไว้ในปาก

ส่วน ดอก ใช้แก้อาการท้องเสียและบิด

ผลมะม่วงสุกได้รับการกล่าวขานว่าช่วยเสริมกำลัง ทำให้สดชื่น

ในมาเลเซีย ใช้เมล็ดชงน้ำร้อนดื่มแก้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ

แต่ในยาพื้นบ้านเวียดนามใช้ เปลือกของผล กินแก้ประจำเดือนมามาก เปลือกของต้นยังใช้แก้ไข้ ในกัมพูชาใช้เปลือกแก้อาการรูมาตอยด์ โดยนำมาต้ม และแก้ตกขาว โดยใช้เป็นยาสวนชะล้าง

การใช้มะม่วงตามภูมิปัญญาพื้นบ้านนั้นพบว่ามีความคล้ายกันทั้งในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย และกัมพูชา
 
มูลนิธิสุขภาพไทยเองเคยเผยแพร่ประโยชน์จากมะม่วงไว้บ้างแล้ว ขอนำมาส่งเสริมการใช้อีกครั้งว่า ชาใบมะม่วงมีส่วนช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศหญิง เพราะมีไฟโตเอสโตรเจน (Phyto Estrogen) บำรุงกำลัง โดยนำใบมะม่วงเขียวสด (ไม่อ่อนไม่แก่) พันธุ์ใดก็ได้ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นหยาบๆ ผึ่งแดดให้แห้ง คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนจนกรอบ ทิ้งไว้ให้เย็นเก็บในภาชนะปิดสนิท

วิธีดื่ม ให้นำชาใบมะม่วง ๑ หยิบมือใส่ถ้วยชา เทน้ำเดือดลงไป ๒๐๐-๒๕๐ ซีซี ตั้งทิ้งไว้ ๕-๑๐ นาที ดื่มขณะอุ่นๆ

ผลมะม่วง มีเบต้าคาโรทีน เส้นใย และวิตามิน สารสำคัญในเปลือกเป็นแทนนิน ส่วนใหญ่ ได้แก่ กรดแกลลิก เคอเซติน แคมเฟอรอล และอื่นๆ แต่ผลประกอบด้วยสารกลุ่มเอโทฟีโนน กรดแกลลิก คาโรทีนอยด์กลุ่มต่างๆ คลิบโตแซนทีน ลูเทอีน เซสควิเทอร์พีน เบต้าเซลินีน กลุ่มโมเทอร์พีน วิตามิน ได้แก่ วิตามินซี อัลคีนและแลคโตน โปรตีด ไลปิด คูมารินส์ ได้แก่ กรดอีลาจิก เบต้าซิโตสเตียรอล และสารกลุ่มฟวาโวนอยด์

ทางการแพทย์พื้นบ้านภาคเหนือ นิยมใช้กาฝากของมะม่วงสามปีปรุงยาลดความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ดี พบว่าบางคนเมื่อสัมผัสส่วนต่างๆ ของมะม่วงอาจทำให้แพ้ได้ เช่น ทำให้เกิดลมพิษ ผื่นคัน ผื่นแดง ตุ่มพุพอง

ในงานด้านเภสัชวิทยา มีงานวิจัยมะม่วงจำนวนมากในห้องทดลอง เช่น ฤทธิ์ต้านการอักเสบ บรรเทาเบาหวาน แอนตี้ออกซิแดนต์ แอนตี้ไวรัส บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และฆ่าพยาธิ ฆ่าพาราไซต์ ต้านมะเร็ง เอชไอวี ต้านการสลายของกระดูก ต้านการหดตัวกล้ามเนื้อเรียบ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้แพ้ ปรับสมดุลความต้านทาน ลดไขมันในเลือด ต้านจุลินทรีย์ ปกป้องตับ ปกป้องกระเพาะอาหาร ซึ่งผลการศึกษาเหล่านี้จำเป็นต้องวิจัยพิสูจน์ผลต่อไป

มะม่วงกินอร่อยมีผลดีต่อร่างกาย ทำเป็นยาสมุนไพรดูแลสุขภาพก็ได้ และมะม่วงเป็นพืชเศรษฐกิจ เสริมสร้างรายได้ด้วย ฤดูฝนนี้จึงขอเชิญชวนทุกคนมาเตรียมดินเตรียมพันธุ์ปลูกมะม่วงกันดีกว่า
...ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์




ภาพจาก topspicks.tops.co.th

อินทผลัม  ผลไม้พระอินทร์ กินเป็นลืมป่วย

ใครว่าลูกอินทผลัมปลูกได้แต่ในแดนตะวันออกกลางของโลกอาหรับ เพราะในยุคโลกาภิวัตน์อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

คนไทยหัวใสเคยนำเอาพันธุ์ปาล์มชื่อ “อันนะคีลฺ” หรือ “ผลไม้ของพระเจ้า” จากแถบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มาปลูกในไทยแลนด์เมื่อสิบปีที่แล้ว

อันที่จริง ผลจากต้นอันนะคีลฺนั้นเป็นผลไม้อบแห้งนำเข้าที่คนไทยเรานิยมบริโภคกันมานานแล้วในชื่อ “อินทผลัม”

คนไทยที่คิดตั้งชื่อนี้เป็นยอดนักอักษรศาสตร์ เพราะความหมายของชื่อยังสื่อถึงที่มาเดิม คือ เป็น “ผลไม้ของเทวดา” หรือ “ผลไม้ของพระอินทร์” (อินท = พระอินทร์, ผลัม = ผลไม้)

แม้คนไทยจะยืมภาษาบาลี-สันสกฤตมาใช้ แต่ก็เป็นคำใหม่ไม่ได้ยืมชาติไหนมา เพราะชาวอินเดียเองเขาเรียกชื่อผลไม้ปาล์มชนิดนี้ว่า “คะจอร์” (Khajoor)

ในที่นี้ขอให้เข้าใจตรงกันว่าอินทผลัม คือ ปาล์มชนิดที่มีผลกินได้ ทุกสายพันธุ์มีชื่อเรียกทางพฤกษศาสตร์เหมือนกัน คือ Phoenix dactylifera L.

การที่ใช้ชื่อสกุลเป็นชื่อนกฟีนิกซ์ ปักษาปรัมปราในเทพนิยายกรีก ก็เพราะลักษณะกิ่งก้านใบปาล์มชนิดนี้กางแผ่ออกไปทุกทิศทางคล้ายปีกนกฟีนิกซ์

แต่ความหมายที่สำคัญคือ อินทผลัมเป็นต้นไม้อายุยืน แม้ ๑๐๐ ปีก็ยังแตกดอกออกผลได้ รสหวานเหมือนเดิม ดุจเดียวกับชีวิตอมตะของนกฟีนิกซ์นั่นเอง

อินทผลัมเป็นที่รู้จักทั่วโลกในชื่อสามัญว่า เดตปาล์ม (Date Palm) หรือใช้ชื่อเดตส์ (Dates) คำเดียวที่แปลว่า “วันนัดพบ” อันเป็นสื่อรักที่รู้กันเวลาชายหนุ่มมอบผลอินทผลัมแก่หญิงสาวที่นัดเดต (Dates) กันนั่นเอง

อินทผลัมเป็นผลไม้แห่งบรรพกาล พบหลักฐานของปาล์มฟีนิกซ์ชนิดนี้แพร่พันธุ์อยู่ในยุคเมโสโปเตเมียก่อนคริสตกาลถึง ๕,๐๐๐ ปี เป็นผลไม้โปรดปรานของพระเจ้าที่มีชื่อปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เก่าแก่ของยูดาห์ไบเบิล และอัลกุรอ่าน

ไม่ใช่ปาฏิหาริย์หากเกิดจากความเพียรพยายามของเกษตรกรไทยหัวใหม่ ที่ไม่ต้องรอการส่งเสริมของภาครัฐที่ทำให้อินทผลัมปาล์มโบราณจากลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ยุคเมโสโปเมีย เดินทางมาสู่ถิ่นฐานบ้านใหม่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แดนสุวรรณภูมิ แหลมทอง กลายเป็นพืชผลเศรษฐกิจใหม่ของไทยในช่วงสิบปีหลังนี้

อินทผลัมที่ปลูกได้ดีในดินไทยคือ พันธุ์บาร์ฮี (Barhi) เป็นพันธุ์ที่เหมาะสำหรับรับประทานผลสด ซึ่งสามารถปลูกได้ในทุกภูมิภาคของไทยไม่น้อยกว่า ๒๐ จังหวัด

ไม่แน่ว่าในอนาคต ไทยแลนด์อาจเป็นแดนโอเอซิสของอินทผลัม และเป็นแหล่งส่งออกของอินทผลัมทั้งสดและแปรรูปทั้งอบแห้งและเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสุขภาพก็ได้
 
เนื่องจากอินทผลัมเป็นผลไม้รสหวานจัดในตัว แม้ผลสดที่ปลูกในเมืองไทยจะหวานน้อยกว่าผลแห้ง แต่ก็ยังมีคำถามเสมอว่า คนเป็นเบาหวานกินอินทผลัมได้ไหม

ก่อนตอบฟันธงต้องขอยกงานวิจัยของคุณหมอจูม่า เอ็ม.อัลกาบี (Jim’s M.Alkaabi) ผู้เชี่ยวชาญของโลกอาหรับเองยืนยันว่า เมื่อทดลองให้ผู้ป่วยเบาหวานกินผลอินทผลัมแล้ว พบว่าไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะ “อินทผลัม” จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลในเลือดต่ำ (Low Glycemic Index) จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

กล่าวคือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวของอินทผลัมนั้น ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ทำให้ไม่มีน้ำตาลตกค้างในกระแสเลือดเกินเกณฑ์ควบคุม

และจากงานวิจัยของนักวิจัยไทยพบว่าอินทผลัมช่วยบำรุงตับอ่อนและรักษาโรคเบาหวานได้

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้อินซูลินควบคุม หากเกิดอาการวูบเพราะน้ำตาลตกกระทันหันควรพกผลอินทผลัมติดตัวแล้วรีบกิน น้ำตาลจะกลับมาชดเชยอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวมุสลิมที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน พอตะวันตกดินแล้วจึงกินอินทผลัมกับน้ำบริสุทธิ์ตามคำสอนของท่านนบีศาสดา เพื่อให้ร่างกายฟื้นกำลังอย่างรวดเร็ว

ขอเตือนว่า อันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน มิใช่อยู่ที่น้ำตาลในเลือดเกินเท่านั้น แต่อยู่ที่น้ำตาลลดต่ำด้วย

อย่างไรก็ตาม ร่างกายคนเราปกติต้องการน้ำตาลวันละไม่เกิน ๖ ช้อนชา ซึ่งน้ำอัดลมขวดเล็กหรือน้ำชาเขียวสารพัดยี่ห้อขวดหนึ่งเฉลี่ยมีน้ำตาล ๖-๙ ช้อนชาแล้ว สำหรับอินทผลัมสด ๑ ผล จะมีน้ำตาลราว ๔ กรัมหรือเกือบ ๑ ช้อนชา (เท่ากับ ๕ กรัม)

ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรงดน้ำตาลจากแหล่งอื่นแล้วหันมาบริโภคอินทผลัมแทน แต่อย่าให้เกินปริมาณน้ำตาลที่ควบคุม
 
สรรพคุณสำคัญของอินทผลัมที่มีงานวิจัยยืนยันแล้วคือ อินทผลัมช่วยยับยั้งการหลั่งสารอินเตอร์ลิวคิน-๖ (Interleukin-๖) ที่ทำลายสมองในผู้สูงอายุ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคความจำเสื่อม

และมีงานวิจัยว่าสตรีตั้งครรภ์บริโภคอินทผลัม วันละ ๖ ผล เป็นเวลา ๔ สัปดาห์ (ราว ๑ เดือน) ก่อนคลอดจะช่วยให้คลอดธรรมชาติได้ง่ายและปลอดภัย เพราะอินทผลัมมีสารคล้ายฮอร์โมนออกซีโตซินที่ช่วยให้มดลูกบีบตัวในระหว่างคลอด และลดการตกเลือดหลังคลอด

ในทางกลับกันสตรีตั้งครรภ์อ่อนไม่ควรบริโภคอินทผลัมเพราะเสี่ยงต่อการแท้งลูก

ยิ่งกว่านั้น อินทผลัม ๑ ผลมีโพแทสเซียมสูง ๔๗ มิลลิกรัม ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้มากถึง ๔๐% และข่าวดีสำหรับท่านชายที่ประสงค์มีบุตร คือ อินทผลัมมีสารฟีลกูลีน (Philguline) ที่ช่วยบำรุงการหลั่งน้ำเชื้อ และรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วย
ช่วงนี้อินทผลัมสดเริ่มวายแล้ว คงต้องกินผลอบแห้งซึ่งหาได้ง่าย แต่ต้องระวังอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมน้ำตาลทรายเพราะแสลงต่อโรคเบาหวาน

หากจะกินเป็นยาให้ลดของหวานจากแหล่งอื่น กินไม่เกินวันละ ๖ ผล วันเว้นวัน

หากกินเป็นแบบนี้ ลืมป่วยไปได้เลย
...ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2563 15:37:04 »



ภาพจาก puechkaset.com

ว่านน้ำ สมุนไพรจากอดีตถึงปัจจุบัน

หน้าฝนเช่นนี้ ขอนำเรื่องสมุนไพรที่ชอบน้ำหรือขึ้นในที่ชื้นแฉะ และเป็นพืชสมุนไพรที่มีความน่าสนใจมากในระดับโลกชนิดหนึ่ง คือ ว่านน้ำ

หรือที่รู้จักกันดีในภาษาอังกฤษในนามว่า calamus และ sweet flag

ในทางวิชาการ พันธุ์พืชว่านน้ำอยู่ในสกุล Acorus ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตอนกลางและยุโรปตะวันออก แต่ก็มีหลักฐานบางชิ้นอ้างว่าถิ่นกำเนิดอยู่ในจีนและอินเดีย

แต่จะกำเนิดในถิ่นไหนก็คงศึกษากันต่อไป

แต่ที่แน่ๆ อย่างไม่น่าเชื่อก็คือ มีการใช้ประโยชน์สมุนไพรว่านน้ำมาตั้งแต่ยุคสมัยอียิปต์ กรีกและโรมัน

ซึ่งถือว่าว่านน้ำเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งแต่โบราณที่มีความสำคัญทางการค้าด้วย และเพราะว่านน้ำสามารถขยายพันธุ์ด้วยเหง้า ทั้งการค้าและธรรมชาติที่ช่วยให้มีการกระจายว่านน้ำอย่างกว้างขวาง

ต่อมาก็แพร่พันธุ์เข้าสู่ยุโรปในช่วงศตวรรษที่ ๑๖

ในเอเชียมีการพบเห็นตามธรรมชาติในแถบภูมิภาคมาเลเซีย แต่เข้าใจว่าเป็นการกระจายพันธุ์เข้ามาโดยไม่ใช่สายพันธุ์ป่าหรือจากพื้นที่ดั้งเดิม แต่เป็นสายพันธุ์ที่มีการนำมาปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ แต่ก็อยู่มานานจนคุ้นชินจนเป็นพืชพื้นถิ่น

นอกจากนี้ ยังพบในหลายพื้นที่ของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และปาปัวนิวกินี
 
ตามประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์รู้จักใช้ว่านน้ำทั้งการใช้ประโยชน์ด้านอาหารและยาในชีวิตประจำวัน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมของคนทั่วโลกมาเป็นเวลานานกว่า ๓,๐๐๐ ปี ชื่อเรียกที่เขียนว่า “acorus” มาจากคำว่า ‘acoron” ในภาษากรีก

โดยผู้ที่เรียกนามเช่นนี้เป็นคนแรก คือ นายแพทย์ไดออสคอริดีส ซึ่งแปลงชื่อมาจากคำว่า “coreon” ที่มีความหมายว่า “รูม่านตา” เนื่องจากมีการใช้ว่านน้ำตั้งแต่อดีตแล้วในการรักษาการอักเสบของลูกตา

และในการกำหนดชื่อสกุลของพืช ซึ่งแต่เดิมว่านน้ำจัดอยู่ในสกุล Acorus  และถูกจัดให้อยู่ในวงศ์พืชบอน หรือ Araceae  แต่ต่อมาทางวิชาการได้แยกออกมาให้อยู่ในวงศ์ของตัวเอง คือวงศ์ว่านน้ำหรือ Acoraceae  ซึ่งจัดว่าว่านน้ำเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเข้าใจว่าภาพในพีระมิดที่อียิปต์ก็มีรูปต้นว่านน้ำด้วย ว่านน้ำเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้นแฉะหรือบริเวณที่มีน้ำท่วมขังเป็นครั้งคราว เมล็ดที่สะสมในดิน ถ้าอยู่ในที่อุณหภูมิสม่ำเสมอจะมีอัตราการงอกต่ำและใช้เวลานาน

แต่ถ้าอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิขึ้นๆ ลงๆ จะมีอัตราการงอกสูงและใช้เวลาในการงอกไม่นาน

ซึ่งเหมือนเป็นกลไกธรรมชาติให้อยู่รอดในสภาวะแปรปรวนได้ดี
 
การใช้ประโยชน์ของว่านน้ำนั้น เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้ประโยชน์อย่างอเนกอนันต์มาตั้งแต่อดีต และใช้กันอย่างแพร่หลาย

แต่หลังจากเมื่อประมาณ ๕๐ ปีที่แล้วได้มีการศึกษาความเป็นพิษ พบว่าว่านน้ำมีสารพิษที่เรียกว่า B-asarone ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจึงห้ามใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากว่านน้ำมาตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๖๘ เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ในแถบเอเชียส่วนใหญ่มีการใช้ว่านน้ำเป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลายในหลายรูปแบบ และยังไม่เคยมีรายงานว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหรือตับถูกทำลาย

แต่เพื่อความไม่ประมาท การใช้ว่านน้ำก็ควรอยู่บนหลักการใช้ตามตำรา ตามตำรับของประสบการณ์ที่มีผู้ใช้ มิใช่นำมาใช้อย่างอุตริผิดเพี้ยน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพได้

มาดูการใช้ประโยชน์ของประเทศเพื่อนบ้านกันก่อน
 
ว่านน้ำมีการบันทึกไว้ในตำรายาจีนที่ชื่อว่า Shennong’s classic of materia medica ซึ่งได้เขียนไว้ในช่วง ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ถึงปี ค.ศ.๒๐๐ พูดง่ายๆ บันทึกเก่าประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้กล่าวไว้ว่าว่านน้ำใช้ในการรักษาอาการหูหนวก ตาบอด ตะคริวและความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร ในประเทศเนปาลใช้เหง้าว่านน้ำเคี้ยวกินแก้เจ็บคอ

ในประเทศอินเดียมีการใช้ว่านน้ำเป็นยารักษาโรคหลายชนิด ทั้งที่บันทึกในตำรายาอายุรเวทและในประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านอินเดียจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการใช้กันอยู่ เช่น โรคลมชัก การเจ็บป่วยทางจิต ท้องร่วงเรื้อรัง โรคบิด ไข้ เนื้องอกในช่องท้อง ไตและตับมีปัญหา โรคไขข้ออักเสบ

และในรัฐอัสสัมซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียนั้น คนท้องถิ่นเชื่อว่า “ว่านน้ำ” เป็นพืชวิเศษที่วิญญาณหรือปีศาจไม่สามารถเข้ามาทำลายผู้ที่มีว่านน้ำติดตัว จึงพกพาว่านน้ำไว้ป้องกันสิ่งไม่ดีด้วย โดยเชื่อว่ากลิ่นที่มีอยู่ในว่านน้ำช่วยขับไล่ และยังมีการนำเอาว่านน้ำวางไว้บนแท่นบูชาทั้ง ๔ ทิศ หรือที่ประตูทางเข้าเหมือนคอยปกปักรักษา

ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีและอินเดีย ชาวบ้านที่ยังคุ้นเคยวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมจะนำชิ้นส่วนของเหง้าว่านน้ำซ่อนไว้ในผม เชื่อว่าช่วยทำให้มีสุขภาพดี เหง้าของว่านน้ำมีกลิ่นหอม เป็นกลิ่นเฉพาะ ซึ่งอาจมีส่วนคล้ายหลักการกลิ่นบำบัด หรือ aromatherapy

ในประเทศโปแลนด์ มีการนำเอาไส้ในของลำต้นว่านน้ำที่ยังอ่อนอยู่มาทำเป็นขนมขบเคี้ยวให้เด็กกินในช่วงเทศกาล “เพ็นเทคอสต์” (เทศกาลขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเก็บพืชผล) และมีการนำเอาว่านน้ำมาประดับตกต่งในบ้าน

ในอดีตขนมที่ทำจากว่านน้ำเป็นที่นิยมมากในประเทศโปแลนด์ แต่ปัจจุบันพบเห็นน้อยลง

และในประเทศจีน เทศกาลที่สำคัญ เช่น เทศกาลแข่งเรือมังกร ประชาชนทุกครัวเรือนนำเอาริบบิ้นสีสวยงามมาผูกกับว่านน้ำแล้วแขวนไว้ที่ประตูบ้าน เทศกาลนี้มีมานานกว่า ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปี เข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว

ว่านน้ำเป็นสมุนไพรรักษาโรคและยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีสุขภาพดี ที่น่าดีใจคือ ในทางวิชาการจำแนกได้ว่า ว่านน้ำในโลกนี้มี ๒ ชนิด แล้วประเทศไทยซึ่งมีความอุดสมบูรณ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เรามีว่านน้ำทั้ง ๒ ชนิด
 
แต่โบราณมานั้น มนุษย์รู้จักนำว่านน้ำมาใช้ประโยชน์ทั้งด้านอาหารและยาสมุนไพร รวมถึงใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมมาเป็นเวลานานกว่า ๓,๐๐๐ ปี ซึ่งได้เล่าถึงในตอนที่ ๑

และเป็นที่น่าสนใจว่าในทางวิชาการของพันธุ์ว่านน้ำนั้น ทั้งโลกพบว่ามีอยู่ ๒ สายพันธุ์ และในประเทศไทยก็พบได้ทั้ง ๒ ชนิดนี้ด้วย

ขอชวนมาดูในตำรายาไทยที่เป็นตำรับดั้งเดิมก่อน คือ ว่านน้ำ

เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ใน “พิกัดจตุกาลธาตุ” ประกอบด้วย หัวว่านน้ำ รากนมสวรรค์ รากแคแตร รากเจตมูลเพลิงแดง

มีสรรพคุณ แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด แก้เสมหะ แก้โลหิตในท้อง แก้ไข้ แก้ลม

และยังพบในตำรับยาไทยอื่นๆ ที่มีการใช้เหง้า เป็นยาขับลม ยาหอม แก้ธาตุพิการ และใช้เป็นยาขมช่วยเจริญอาหาร ทั้งช่วยแก้อาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย และอ่อนเพลีย ใช้ราก แก้ไข้มาลาเรีย แก้หวัด หลอดลมอักเสบ แก้เจ็บคอ แก้ปวดฟัน เป็นยาระบาย แก้เส้นกระตุก บำรุงหัวใจ แก้หืด แก้เสมหะ

ยังพบวิธีการใช้ว่านน้ำนำมาเผาให้เป็นถ่าน กินถอนพิษสลอด
 
ในความรู้ที่กล่าวถึงสรรพคุณว่านน้ำนั้น มีการนำมาใช้ได้หลากหลายมาก

โดยส่วนใหญ่ใช้ส่วนหัว แก้ปวดศีรษะ เป็นยาขับลมในท้อง แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้ธาตุพิการ แก้ลมจุกแน่นในทรวงอก แก้ลมที่อยู่ในท้องแต่นอกกระเพาะและลำไส้

บำรุงธาตุน้ำ แก้ข้อกระดูกหักแพลง ขับเสมหะ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย แก้บิด ขับพยาธิ กินมากทำให้อาเจียน

บำรุงกำลัง แก้โรคลม แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อและปวดตามข้อ (ทำยาพอก) แก้ไข้จับสั่น บำรุงประสาท หลอดลม บิดในเด็ก ขับเสมหะ ขับระดู ขับปัสสาวะ

รากฝนกับสุราทาหน้าอกเด็กเพื่อเป็นยาดูดพิษแก้หลอดลมและปอดอักเสบ เหง้าต้มรวมกับขิงและไพลกินแก้ไข้ ผสมชุมเห็ดเทศ ทาแก้โรคผิวหนัง

คราวนี้มาดูพันธุ์พืช ในประเทศไทยมีรายงานจากกรมป่าไม้พบว่า ว่านน้ำมีอย่างน้อย ๒ ชนิด คือ A. calamus และ A. gramineus

ซึ่งจากการทำข้อมูลพบว่าในตำรายาต่างๆ มักกล่าวถึงว่าว่านน้ำที่ใช้ในเมืองไทยมีเพียงชนิดเดียว คือ A. calamus ทั้งๆ ความจริงในประเทศยังมีว่านน้ำอีกชนิดหนึ่ง คือ A. gramineus มีถิ่นกำเนิดในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านวัฒนธรรมและทางยา

แต่ด้วยยังไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานจากจีนและอินเดียว่าใช้ว่านน้ำชนิดนี้เป็นยาบำรุงประสาท ซึ่งมีงานวิจัยเชิงลึกสนับสนุนว่าว่านน้ำ A. gramineus หรือเรียกกันว่า ว่านน้ำเล็กนั้นใช้รักษาความผิดปกติในหลายอาการของระบบประสาทส่วนกลาง

หากสืบค้นข้อมูลจากสวนพฤกษศาสตร์คิว (Kew Garden) ได้รับรองว่าว่านน้ำในโลกนี้มีเพียง ๒ ชนิด (Species) และมี ๓ วาไรตี้ (Varieties) ซึ่งสอดคล้องกับการรายงานของ Flora of China คือ
 
๑. ชนิด Acorus calamus L. หรือเรียกชื่อสามัญว่า Common sweet flag มีถิ่นกำเนิดในยุโรป อินเดียตอนบน (temperate India) หิมาลัยและเอเชียตอนใต้ โดยแบ่งย่อยออกเป็น Acorus calamus var. americanus Raf. มีถิ่นกำเนิดในแคนาดา สหรัฐอเมริกาตอนเหนือ สาธารณรัฐบูเรียตียา ซึ่งเป็นเขตสหพันธ์ของประเทศรัสเซีย มีลักษณะของโครโมโซมเป็น ๒n หรือ diploids และ Acorus calamus var. angustatus Besser

มีการกระจายในไซบีเรีย จีน รัสเซีย ตะวันออกไกล ญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย หิมาลัย อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ในรายงานการใช้ประโยชน์จากจีนกล่าวว่าว่านน้ำจีน กล่าวถึง Acorus tatarinowii Schott.

๒. ชนิด Acorus gramineus Sol. ex Aiton มีชื่อสามัญว่า Japanese sweet flag หรือ grassy-leaved sweet flag พบการกระจายในจีน หิมาลัย ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดจีน ฟิลิปปินส์ ดินแดนปรีมอร์สกีของรัสเซีย

นอกจากนี้ การสำรวจว่านน้ำในชนเผ่าต่างๆ ในประเทศจีน จำนวน ๖๘ ชนเผ่า ในปี ค.ศ.๒๐๑๙ พบว่า ยังมีการใช้ประโยชน์จากว่านน้ำในชีวิตประจำวัน คือ ชนิด Acorus calamus จำนวน ๒๙ ชนเผ่า Acorus calamus var. angustatus (สายพันธุ์ย่อย) จำนวน ๑๖ ชนเผ่า และ Acorus gramineus ๒๓ ชนเผ่า

ซึ่งจากงานวิจัยเชิงลึกในจีนก็ยังไม่พบอุบัติการณ์ที่คนในชนเผ่าเหล่านี้จะเป็นมะเร็งตับ หรือมีภาวะตับอักเสบแต่ประการใด
 
ในโปรแกรมพระไตรปิฎกไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๕ หน้า : ๔๖ ได้ถอดความจากต้นฉบับภาษาบาลีความว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรากไม้ที่เป็นยา คือ ขมิ้น ขิงสด ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิต ข่า แฝก แห้วหมู หรือรากไม้ที่เป็นยาชนิดอื่นที่มีอยู่ ซึ่งไม่ใช่ของเคี้ยวของฉัน รับประเคนแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ เมื่อมีเหตุจำเป็น ภิกษุจึงฉันได้ เมื่อไม่มีเหตุจำเป็น ภิกษุฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”

เมื่อตรวจสอบกับการศึกษายาในศาสตร์ของอายุรเวทที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งทำการศึกษาโดย Jyotir Mitra ในปี ค.ศ.๑๙๘๕ พบว่า ว่านน้ำ คือ Acorus calamus L. และที่กล่าวถึงเปราะหอม คือ ว่านน้ำเล็ก Acorus gramineus Sol.

ว่านน้ำใหญ่ และว่านน้ำเล็ก เป็นสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณและมีศักยภาพในยุคปัจจุบัน เราควรหันมาส่งเสริมการศึกษาและการใช้ประโยชน์กัน
...ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์




ฮังแฮ้ง หรือแครกฟ้า พืชหายาก

คําว่า “ฮังแฮ้ง” ถ้าออกเสียงในภาษาไทยกลางเรียกว่า “รังแร้ง” เป็นชื่อเรียกสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะมีที่มาจากการที่นกแร้งชอบมาทำรังบนต้นไม้ชนิดนี้

แต่น่าเสียดายที่นกแร้งน่าจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย แต่ยังพอหาได้ในประเทศเพื่อนบ้าน

และฟังว่าทางราชการมีโครงการเพาะพันธุ์พญาแร้งในเขตป่าห้วยขาแข้ง

ปัจจุบันจึงหาตัวนกแร้งตามธรรมชาติให้ดูกันยากมาก ได้แต่ดูภาพในอดีต และคำเปรียบเปรย “แร้งทึ้ง” “แร้งลง” ที่มีความหมายในทางลบถึงการแย่งชิงกันไม่น่าดู

ต้นฮังแฮ้งก็อยู่ในสถานะไม่ต่างจากนกแร้ง เพราะเป็นพืชที่จัดในกลุ่มหายากมากใกล้สูญพันธุ์ มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Heterophragma sulfureum Kurz อยู่ในวงศ์แคหางค่าง (Bignoniaceae)

พบได้ในแถบภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก ไม่พบในภาคใต้

มีชื่ออื่นว่า แคตุ้ย แคปี่ฮ่อ แคอ้อน แคอึ่ง (ลำปาง) แครกฟ้า (สุโขทัย อุตรดิตถ์) แคหางค่าง (ภาคเหนือ) แคทุ่ง (กำแพงเพชร) รังแรง รังแร้ง (ชัยภูมิ กำแพงเพชร) นางแฮ้ง รงแห้ง ฮังแฮ้ง (อีสาน นครราชสีมา) โพนผง (มหาสารคาม)

สำหรับชื่อทางราชการไทยเรียกว่า แครกฟ้า ซึ่งเป็นคนละชนิดกับต้นรกฟ้า (Terminalia alata B. Heyne ex Roth) ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่

แต่ฮังแฮ้งหรือแครกฟ้านี้เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ ลำต้นและกิ่งคดงอ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ออกเป็นวง วงละ ๓ ใบ ใบย่อย ๓-๔ คู่ รูปไข่กว้างหรือค่อนข้างกลม แผ่นใบกระด้าง ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีขนนุ่ม สีน้ำตาลอมเทาหนาแน่น

ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่ง กลีบดอกติดกันคล้ายรูปแตร ผลทรงกระบอกยาว แตกออกเป็น ๒ ซีก ผิวมีขนสีน้ำตาลเหลืองหนาแน่น เมล็ดจำนวนมาก มีปีกบาง จะขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าละเมาะ และที่แห้งแล้ง ตามคันนาก็เห็นได้

ในต่างประเทศพบได้ที่พม่า ลาว กัมพูชา จากฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ (Index fungorum) มีบันทึกไว้ว่า พืชในสกุลนี้มีเพียง ๒ ชนิด

ซึ่งอีกชนิดหนึ่งคือ Heterophragma quadriloculare (Roxb.) K.Schum. แต่ชนิดนี้ไม่มีรายงานว่าพบในประเทศไทย
 
ไม้ชื่อแปลกนี้มีประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและยา ผลอ่อน นำมาเผาไฟกินกับป่น กับลาบ คล้ายกับฝักเพกา

ในประเทศอินเดียนิยมนำไม้ไปทำเป็นเครื่องเรือน ตู้เก็บของ วงกบ วัสดุบุผนัง เรือ หมอนไม้รถไฟและงานตกแต่งอื่นๆ สำหรับการใช้ประโยชน์ทางยา เนื่องจากเป็นไม้หายาก พบได้เฉพาะบางพื้นที่ จึงมีข้อมูลค่อนข้างน้อย

แต่ในต่างประเทศมีรายงานว่า ฮังแฮ้ง ชนิด Heterophragma quadriloculare มีการนำมาใช้ในการรักษาเบาหวาน แต่ไม่มีรายงานการใช้ประโยชน์ด้านนี้ในประเทศไทย

มีรายงานจากนักศึกษาบางสถาบันกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่น่าจะเป็นข้อมูลที่เอามาจากต่างประเทศมากกว่าเป็นภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านของเรา

เพราะจากข้อมูลของหมอพื้นบ้าน พบว่า ฮังแฮ้งเข้ายาหลายตำรับในภาคอีสาน แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน หมอยาพื้นบ้านอีสานนำมาเข้ายารักษาโรค/อาการหลายอย่าง เช่น แก้ซางทั่วไป โดยเฉพาะเด็ก ตำรับยาให้เอาผักบุ้งช้าง เครือพลูช้าง ฮากดาบเงือก เห็ดบก เอาน้ำล้างบาตรของพระเป็นน้ำแช่อาบ แล้วกิน ยาร่วมด้วย เป็นยาแช่กิน

ตัวยาประกอบด้วยฮากขามป้อม เครือหมากเห็บ แก่นฮังแฮ้ง แก่นส้มมอ
 
ยาแก้ประดง แก่นตาไก้ แก่นตากวาง แก่นดูกใส แก่นดูกอึ่ง แก่นตับเต่า แก่นฮังแฮ้ง แก่นมุยขาว แก่นมุยแดง แก่นเฮื้อนกวาง ฮากเจียงปืนผู้ ฮากเจียงปืนแม่ จวงหอม แก่นนมงัว แก่นนมสาว ฮากกระจาย หัวเขือง หัวหวายนั่ง หัวหำฮอก แก่นขี้เหล็กน้อย แก่นขี้เหล็กใหญ่ แก่นขมิ้นต้น ขมิ้นเครือ แก่นเลือดนก แก่นถ่อนเลือด ทั้งหมดนี้เอาส่วนเสมอกัน ต้มกินเช้า-เย็น

ยาแก้ประดงหล่อย (มีอาการมึนตึงตามข้อมือ ข้อเท้า แข้ง ขา เดินไปมาไม่สะดวก ถ้าเป็นหนักเดินไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่หรือพลิกไปมาไม่ได้) ให้เอาแก่นตาไก้ แก่นตากวาง แก่นดูกใส แก่นดูกอึ่ง แก่นตับเต่า แก่นฮังแฮ้ง แก่นมุยขาว แก่นมุยแดง แก่นเฮื้อนกวาง ฮากเจียงปืนผู้ ฮากเจียงปืนแม่ จวงหอม แก่นนมงัว แก่นนมสาว ฮากกระจาย หัวเขือง หัวหวายนั่ง หัวหำฮอก แก่นขี้เหล็กน้อย แก่นขี้เหล็กใหญ่ แก่นขมิ้นต้น ขมิ้นเครือ แก่นเลือดนก แก่นถ่อนเลือด ทั้งหมดนี้เอาส่วนเสมอกัน ต้มกินเช้า-เย็น

ยาแก้สะดวงดัง (ริดสีดวงจมูก) ให้เอาฮากตองหมอง ไฮมี้ ไม้ฮังแฮ้ง ข่าลิ้น หญ้าหวายนา ฮากต้มกิน

ยาแก้ผิดกะบูน ใช้แก่นฝางแดง กวางผู้ ต้นหางกวาง แก่นบ้งมั่ง แก่นฮังแฮ้ง หีนส้ม (สารส้ม) ต้มกิน
 
มหาวิทยาลัยขอนแก่นทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกพบว่า ในเนื้อไม้ของฮังแฮ้งมีสารอิรีดอยด์ (Iridoid) ซึ่งเป็นสารช่วยลดอาการภูมิแพ้ และสารฟีนิลทานอยด์ (phenylethanoid) ซึ่งช่วยอาการเสื่อมของสมองในผู้สูงอายุ แต่หมอยาพื้นบ้านอีสานหลายท่าน แม้แต่หมอยาที่มีอายุมากแล้วยังเคยปรารภว่า ไม่เคยเห็นไม้ฮังแฮ้งจริงๆ เลย รู้จักแต่ว่ามีบันทึกอยู่ในตำรายา ใช้รักษาโรคได้หลายชนิด และถือเป็นไม้วิเศษ

ฮังแฮ้ง หรือรังแร้ง เป็นไม้ที่เคยอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน และมีการนำมาใช้ประโยชน์ทั้งอาหารและยาสมุนไพร แต่กำลังสูญพันธุ์หรือหายากยิ่งนัก

จึงเชิญชวนให้เร่งนำกลับมาปลูกและขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เพื่อการอนุรักษ์และศึกษานำประโยชน์มาใช้ให้กว้างขวางต่อไป
...ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2563 16:23:41 »



ต้นเทียนทะเล
ไม้คุ้มครอง ที่น่าส่งเสริมให้ปลูก


ข่าวคนลักลอบขโมยต้นเทียนทะเลนำไปขายเป็นไม้ประดับของสะสมของคนมีสตางค์เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนรู้

จนเมื่อต้นเทียนทะเลที่มีรูปทรงสวยงามค่อยๆ หายไปจากชายฝั่งทะเลเกือบหมด เป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์โดยแท้

ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้ออกคำสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ ๙๗๗/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรไม้เทียนทะเล

ใครลักลอบขุดต้องเจอโทษจำคุก ๑ ปี ปรับ ๑ แสนบาท

แม้ว่าสถานการณ์ของเทียนทะเลจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถูกจัดประเภทเป็น ‘ความกังวลน้อยที่สุด’ ในบัญชีแดงของ IUCN หรือ The International Union for Conservation of Nature ที่จัดไว้เพียงชนิดที่ถูกคุกคาม (๒๐๑๓)

แต่เชื่อว่าอีกไม่นานระบบนานาชาติจะจัดให้ต้นเทียนทะเลอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น

จึงชวนผู้อ่านมารู้จักต้นเทียนทะเล

ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านไม่คุ้นว่าพืชชนิดนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

เทียนทะเล มีชื่อไทยว่าเทียนเล ชื่อวิทยาศาสตร์ Pemphis acidula J.R. Forst. จัดว่าเป็นไม้ชนิดเดียวในสกุลนี้ที่มีรายงานพบในเมืองไทย เทียนทะเลเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงได้ถึง ๘ เมตร แต่บางต้นอาจสูงได้ถึง ๑๑ เมตร ลำต้นเป็นปุ่มปม แตกกิ่งแขนงจำนวนมาก ลำต้นมักบิดงอเนื่องมาจากแรงลม

บางครั้งพบลำต้นมีลักษณะเลื้อย แคระ สูงเพียง ๑๕ เซนติเมตร ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม เทียนทะเลเป็นพืชที่ไม่ผลัดใบ ดอกสีขาวออกตามซอกใบ กลีบดอก ๖ กลีบ กลีบดอกรูปขอบขนาน ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็วและสามารถสร้างรากและตาใหม่ได้เร็วมาก มักเริ่มออกดอกและออกเมล็ดเมื่อสูงประมาณ ๑-๔ เมตร

เทียนทะเลจัดเป็นพืชทนเค็ม พบได้ตามแนวชายฝั่งในเขตร้อนแถบอินโด-แปซิฟิก

ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นที่เป็นไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่สามารถเติบโตในดินทรายและดินเหนียว

ในประเทศไทยพบได้ในป่าชายเลนตามป่าชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ที่ผ่านมาผู้คนนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและบอนไซ ในระดับโลกจะพบเห็นได้ง่ายตามหมู่เกาะในทะเลแปซิฟิก

แต่ในบางพื้นที่พบว่ามีจำนวนประชากรลดลงอย่างมาก เนื่องจากการขยายพื้นที่อยู่อาศัยรุกรานพื้นที่ป่าธรรมชาติ และที่เร่งการสูญพันธุ์คือการขุดไปค้าขายทำบอนไซ

เนื่องจากเทียนทะเลมีการกระจายตั้งแต่แนวชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกข้ามไปยังมหาสมุทรอินเดีย ชายฝั่งทวีปเอเชียไปจนถึงออสเตรเลียและหมู่เกาะมาร์แชลในแปซิฟิก ระบบนิเวศของเทียนทะเล ชอบขึ้นตามแนวชายฝั่งที่เป็นทราย ตามเวิ้งของป่าชายเลน แนวประการัง ในบริเวณที่สัมผัสกับละอองเกลือและหนองน้ำที่แห้งกว่า ตามแนวชายฝั่งที่เป็นหินปูน หินปูนตามแนวชายฝั่ง หินปูนตามหน้าผาและบนหินปูนหินโผล่บนเกาะปะการัง จึงเหมือนธรรมชาติจัดสรรไว้

เทียนทะเลมีประโยชน์สำหรับการป้องกันชายฝั่งจากลมที่มีความแรง และเป็นพืชที่แข็งแรง ในเวลาเดียวกันก็มีความยืดหยุ่นได้ดีมาก

อย่างไรก็ตาม เทียนทะเลส่วนใหญ่จะไม่เติบโตที่อื่นนอกเหนือจากระบบนิเวศที่กล่าวมาแล้ว

ประโยชน์ของเทียนทะเลพบว่า ในทวีปเอเชีย ตามหมู่เกาะต่างๆ นำใบสดมากินเป็นผักดิบหรือนำมาต้มกิน ผลกินได้เหมือนผลไม้ นอกจากกินเป็นอาหารยังใช้เป็นยาสมุนไพรด้วย โดยใช้น้ำคั้นจากใบผสมกับเปลือกต้น 1 กำมือ หรือนำเปลือกไปแช่น้ำดื่ม ใช้เป็นยาทำแท้ง ส่วนของเปลือกใช้แก้โรคปากเปื่อย

การศึกษาพบว่า เปลือกต้นเทียนทะเลมีแทนนินเป็นองค์ประกอบ ๑๙-๔๓%

จึงมีการนำมาใช้ในการฟอกหนัง เปลือกเมื่อนำมาฝนให้สีแดงนำมาเป็นสีย้อมได้

เนื้อไม้มีน้ำหนักมาก แข็งแรงมากและทนทานต่อการทำลายของปลวกและแมลงที่เจาะไชไม้ เนื่องจากความแข็งของไม้จึงนำมาใช้เป็นฟืนและนำมาผลิตเป็นถ่านที่ให้คุณภาพดี

ในบางพื้นที่จึงเก็บเทียนทะเลมาใช้เป็นอาหาร ยา และไม้ใช้สอย

แต่เนื่องจากต้นมีขนาดเล็กและลำต้นเป็นปุ่มปม เหลือจำนวนประชากรไม่มาก จึงนำมาใช้เป็นอาหารและยาไม่กว้างขวาง

ส่วนใหญ่จึงนำมาใช้เป็นไม้ประดับ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียมีขบวนการค้าเมล็ดและต้นขนาดเล็กเพื่อนำมาทำเป็นบอนไซ

มองในสังคม เนื้อไม้ของเทียนทะเลมีคุณค่ามากต่อชุมชนในบางวัฒนธรรม เนื่องจากมีความแข็ง มีน้ำหนัก ไม่ผุ กร่อน นอกจากนี้ ยังมีผิวละเอียดตามธรรมชาติ สามารถใช้เป็นไม้เท้า เสารั้ว และแม้แต่ใช้เป็นสมอเรือ ในประเทศมอริเชียส (Mauritius) และเรอูนียง (Réunion) ซึ่งเป็นหมู่เกาะโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศส รู้จักต้นไม้นี้ในชื่อ bois matelot

ที่มัลดีฟส์มีการใช้ประโยชน์ไม้เนื้อแข็งของเทียนทะเลไปใช้ในการต่อเรือแบบดั้งเดิม เพื่อยึดแผ่นไม้ของตัวเรือเข้าด้วยกัน และด้วยความแข็งแกร่งของเนื้อไม้ยังนำมาทำ “ตะปู (ไม้)” ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ในเกาะมาโลโว (Marovo) ตองกา ตาฮิติและหมู่เกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย

และยังสามารถนำมาทำเครื่องมือของใช้ เช่น สาก ด้ามเครื่องมือ อาวุธและหวี

มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าสารสกัดจากเปลือกของเทียนทะเลออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบรัดตัวมากขึ้นและถี่ขึ้น

ซึ่งมีการใช้เป็นยาทำแท้งในเกาะวานูอาตู

สารสกัดจากเปลือกพบว่ามีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรีย สารสกัดจากใบพบว่ามีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ เนื้อไม้ที่ผุแล้วนำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้เป็นเครื่องสำอางประทินผิวด้วย

เทียนทะเลหรือเทียนเล ช่วยรักษาระบบนิเวศและสามารถสร้างอาชีพให้คนในชุมชนได้ จึงควรที่จะจัดให้มีการรณรงค์ในการฟื้นฟู เพราะขยายพันธุ์ให้มากขึ้นตลอดชายฝั่ง การประกาศควบคุมในเวลานี้เป็นเพียงช่วยป้องกันไม่ได้สูญพันธุ์

แต่ถ้าคิดเชิงบวก มาลงทุนเร่งการขยายพันธุ์สร้างรายได้ชุมชนสู้วิกฤตโควิด แทนที่จะป้องปรามไม่ให้เก็บหาอย่างเดียวก็น่าจะดีกว่า
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 25 กันยายน 2563 14:55:27 »



ดื่มน้ำตะไคร้ ต้านภัยโรค

สมุนไพรใกล้มือที่ซื้อหาไม่แพง แต่เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองสุขภาพได้อย่างดีที่ขอแนะนำยามฝนชุกนี้คือ ตะไคร้ (ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cymbopogon citrates Stapf.)

เพราะมีสรรพคุณหลักคือ ลดไข้ แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ ข้อมูลที่ควรรู้คือ ตะไคร้ ไม่ใช่พืชพันธุ์ต่างด้าวแถบอเมริกาใต้หรือแอฟริกามาดากัสการ์ตามที่มักเข้าใจผิดกัน แต่มีถิ่นกำเนิดเก่าแก่ในภาคพื้นเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อันเป็นที่ตั้งของแดนดินถิ่นสุวรรณภูมิของไทยด้วย

ดังนั้น ตะไคร้จึงเป็นพืชผักสวนครัวยอดนิยมที่มีชื่อเรียกประจำถิ่นต่างๆ ทั่วไทย เช่น จะไคร (เหนือ), คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หัวสิงไค (อีสาน), เซิดเกรยหรือเหลอะเกรย (เขมร-สุรินทร์), ไคร (ใต้) เป็นต้น

ในคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียกล่าวว่า ตะไคร้มีรสเผ็ดร้อน ขม ช่วยขจัดพิษออกจากร่างกาย รักษาโรคหลอดลมอักเสบได้ผลดี

ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยและพื้นบ้านกล่าวว่า รสหอมปร่าของตะไคร้ทั้งต้น ช่วยเยียวยาโรคอย่างน้อย ๔ กลุ่มอาการ คือ

(๑) กลุ่มอาการไข้ ได้แก่ ลดไข้ทั่วไป แก้ไข้ทรางในเด็ก แก้ไข้พิษ ไข้มาลาเรีย
(๒) กลุ่มโรคทางเดินหายใจ ได้แก่ แก้หวัด คัดจมูก แก้เจ็บคอ แก้หืด
(๓) กลุ่มโรคทางเดินอาหาร ได้แก่ แก้ท้องเสีย ขับลมในลำไส้ ซึ่งช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ปวดท้อง แก้อาเจียน ทั้งยังบำรุงไฟธาตุ ซึ่งช่วยย่อยอาหารให้แหลกและเจริญอาหาร
(๔) กลุ่มโรคทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ แก้เบาพิการ ขับปัสสาวะอ่อนๆ ขับนิ่ว แก้กษัยไตพิการ
ทั้งยังช่วยให้ประจำเดือนของสุภาพสตรีมาตามนัด

สรรพคุณโบราณของตะไคร้ดังกล่าวสอดคล้องกับผลงานวิจัยทางเภสัชสมัยใหม่ ที่ยืนยันว่าซิตรัล (Citral) สารสำคัญในน้ำมันตะไคร้ มีฤทธิ์ลดไข้ ต้านเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิดที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ทั้งยังยับยั้งเชื้อไวรัสเริมได้อีกด้วย

ดังนั้น จึงมีการทำเจลผสมน้ำมันตะไคร้เพียง ๕% w/w สำหรับล้างมือฆ่าเชื้อ เรื่องฤทธิ์ฆ่าเชื้อลดบวมสมานแผลของตะไคร้นั้น เป็นภูมิปัญญาที่ชาวบ้านรู้กันมานาน เวลาไก่ขาหัก อักเสบ บวมเดินไม่ได้ เขาจะใช้ใบตะไคร้ ๓-๔ ใบยาวพอประมาณนำมาขยี้ให้มีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยออกมา แล้วเอามาพันเป็นเฝือกรอบขาไก่ เปลี่ยนใบตะไคร้วันละครั้ง ราว ๕ วัน ไก่เดินได้ปร๋อเลย

อธิบายได้ว่าน้ำมันตะไคร้ช่วยฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ลดบวม และความร้อนของน้ำมันตะไคร้ ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมารักษาบริเวณที่อักเสบนั่นเอง

ต่อไปนี้เป็นวิธีต้มน้ำตะไคร้ดื่มเป็นยาอย่างง่ายที่สุด คือ เอาตะไคร้สดทั้งต้น ใบ เหง้า ราก ราว ๓ ต้น แล้วพับใบขดเป็นมัด ใส่หม้อต้ม มีน้ำพอท่วมยาต้มจนเดือด แล้วจึงราไฟลงให้น้ำเดือดอ่อนๆ ไปสัก ๕-๑๐ นาที

กรองเอาน้ำตะไคร้ดื่มขณะอุ่น ครั้งละครึ่งแก้ว (ราว ๑๐๐ ซีซี) วันละ ๓ เวลาหลังอาหาร เพียงเท่านี้รับรองได้ว่าอาการไข้ เป็นหวัด คัดจมูกและท้องเสีย ปวดท้อง จะไม่มาเยี่ยมกรายท่านอีกเลย โดยเฉพาะผู้สูงอายุเมื่อขับปัสสาวะเป็นปกติ ความดันโลหิตก็จะอยู่ในเกณฑ์ปกติด้วย โดยไม่ต้องกินยาฝรั่งเป็นอาจิณ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสุขภาพตามมา

ขณะนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โควิด-๑๙ ไม่จบในปีนี้แน่และไม่รู้จะจบในปีไหน

ดังนั้น เกิดเป็นคนไทยต้องป้องกันภัยให้ตัวเอง นอกจากใส่หน้ากาก ล้างมือแล้ว ควรดื่มน้ำตะไคร้เป็นประจำด้วย เพื่อเป็นตัวช่วยคุ้มครองสุขภาพจ้า
  …มติชนสุดสัปดาห์




กระแจะตะนาว ตำรับโบราณ  

คําว่า กระแจะตะนาว เดิมเราเข้าใจว่าคือ ต้นกระแจะ ที่อยู่แถบชายแดนไทยพม่าบนเทือกเขาตะนาวศรี

แต่ชื่อเรียกสมุนไพรแปลกแต่เพราะชื่อนี้ มีบันทึกไว้ในตำรายาไทยหลายแห่งหลายที่ เช่น ในศิลาจารึกวัดโพธิ์ แผ่นที่ ๓๑ ซึ่งมียาชื่อ มหาสมมิตร์ ก็พบ กระแจะตะนาว เป็นองค์ประกอบของยาตำรับนั้นด้วย

จากเอกสารและฐานข้อมูลหลายแหล่งกล่าวว่า “กระแจะตะนาว” หมายถึงชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งชาวมอญเรียกว่า ต้นตะนาว ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hesperethusa crenulata M.Roem. หรือที่เราคุ้นเคยว่าคือต้นทานาคา หรือต้นตูมตังที่เรียกกันในภาคอีสาน แต่ก็มีข้อมูลบางแหล่งกลับบอกว่า กระแจะตะนาว เป็นชื่อเครื่องหอมชนิดหนึ่งที่มีผลิตมากที่แถบถนนตะนาวใกล้ๆ เสาชิงช้าใจกลางกรุงกรุงเทพมหานครนี้เอง

จึงมีการตีความคำว่ากระแจะตะนาวไป ๒ ทาง คือ ชื่อพืชสมุนไพร และชื่อเรียกเครื่องหอมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อสืบค้นเอกสารจากหอสมุดแห่งชาติ ในหมวดเวชศาสตร์ ชื่อตำรายาเกร็ด เลขที่ ๕๑๑ มัดที่ ๓๒ ตู้ ๑๑๒ ชั้น ๔/๒ ได้กล่าวไว้ว่า การทำกระแจะตะนาว มีองค์ประกอบและวิธีการทำดังนี้

“ดอกพิกุล ๑ ดอกกดังงาเทษ ๑ เกษรษารภี ๑ ผิวมกรูต ๑ ใบภิมเสน ๑ ใบกระเจะ ๑ แฝกแหวมู ๑ ขอนดอก ๑ เกล็ดหอยเทษ ๑ โกฐหัวบัว ๑ เนื้อไม้ ๑ จันเทษ ๑ หญ้าฝรั่น ๑ ชมดเชียง ๑ ภิมเสน ๑ เอาสิงลส่วน ๑ ดอกกะเจียว ๑๖ ส่วน เอา น้ำกระแจะเปนกระสาย บททำแท่งตากไว้ในร่มย่าให้ถูกแดดกว่าจะแห้ง ใส่ขวดนึงไว้ แส…ตัวอักษรเลือน…แล”
  
บันทึกโบราณชิ้นนี้ก็แสดงว่า กระแจะตะนาว เป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย ดอกพิกุล ดอกกระดังงาเทศ เกสรสารภี ผิวมะกรูด ใบพิมเสน (ต้น) ใบกระแจะ แฝกแห้วหมู ขอนดอก เกล็ดหอยเทศ โกฐหัวบัว ไม้กฤษณา จันทน์เทศ หญ้าฝรั่น ชะมดเชียง พิมเสน (เกล็ด) อย่างละ ๑ ส่วน มาบดรวมกับดอกกระเจียว ๑๖ ส่วน โดยเอาน้ำกระแจะเป็นน้ำกระสาย นำส่วนประกอบที่ได้มาปั้นให้เป็นแท่งผึ่งให้แห้งในที่ร่ม อย่าให้ถูกแดด

จากตำรับดังกล่าวจะเห็นว่าองค์ประกอบทั้งหมดเป็นสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม การปรุงเครื่องหอมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและใช้ปรุงยาน่าจะเป็นเรื่องปกติของคนสมัยก่อน ดังจะเห็นได้จากสังคมในภาคอีสานก็มีการทำเครื่องหอมใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อขับไล่แมลง เห็บ เหา โลน เป็นต้น เครื่องหอมเหล่านี้ยังใช้เป็นเครื่องบำรุงจิต ลดความเครียดและอาจเป็นสุคนธบำบัดประเภทหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากเครื่องปรุงของกระแจะตะนาว ค่อนข้างชัดเจนว่าส่วนหนึ่งน่าจะใช้เป็นเครื่องหอม

แต่ก็มีอีกหลายท่านเห็นว่า กระแจะตะนาวเป็นพืชสมุนไพรในเครื่องปรุงยา เช่น ในตำรับยาชื่อ มหาสมมิตร์ กล่าวถึง กระแจะเป็นส่วน ประกอบยา ดังนี้ พิกุล (Mimusops elengi Sieber ex A.DC.) ส่วนดอกใช้บำรุงโลหิต มีกลิ่นหอม กระดังงาเทศ (Cananga odorata Hook.f. & Thomson) ดอกใช้เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ เป็นยาแก้ไข้ น้ำมันหอมระเหยใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ทำน้ำหอม สารภี (Mammea siamensis T.Anderson) เกสรมีสรรพคุณ ช่วยทำให้ชื่นใจ ช่วยบำรุงครรภ์รักษา มะกรูด (Citrus hystrix DC.) ผิวของผลปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น เป็นยาบำรุงหัวใจ พิมเสน (ต้น) (Pogostemon cablin (Blanco) Benth.) ตำรายาไทยใช้ใบเป็นยาลดไข้ ใช้ปรุงเป็นยาเย็น แก้ไข้ทุกชนิด ช่วยถอนพิษร้อน ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง

มักปรุงในตำรับยาเขียว ยาถอนพิษไข้ ยาจันทลีลา

กระแจะ (หรือกระแจะตะนาว) (Hesperethusa crenulata (Roxb.) Roem.) ส่วนของใบมีรสขมและเฝื่อน ใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นต้มกินแก้ลมบ้าหมู แต่บางตำรับให้ใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยว ช่วยในการคุมกำเนิด ช่วยแก้อาการปวดข้อ ปวดกระดูก

แฝกแห้วหมู (Cyperus rotundus L.) หัวใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ยาอายุวัฒนะ

ขอนดอก คือเนื้อไม้ที่มีราลงของไม้พิกุล หรือไม้ตะแบก ขอนดอก ใช้บำรุงตับ บำรุงปอด บำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์ แก้ลมกองละเอียด แก้ลมวิงเวียน บำรุงทารกในครรภ์ แก้ไข้ร้อนเพื่อตรีโทษ

เกล็ดหอยเทศ (Hydrocotyle sibthorpioides) ทั้งต้นใช้รักษาอาการหอบ หืด เจ็บคอ ลดไข้ ใช้รักษากระดูกหัก รักษาแผลเน่าเปื่อยที่เป็นฝีหนอง

โกฐหัวบัว (Ligusticum sinense Oliv.) เหง้า แก้ลมในกองริดสีดวง กระจายลมทั้งปวง (แก้ลมที่คั่งอยู่ในลำไส้ ทำให้ผายออกมา) ขับลม แก้ปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดกระดูก ในจีนใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ปวดศีรษะและปวดต่างๆ แก้โรคโลหิตจาง แก้ปวดประจำเดือน

ไม้กฤษณา (เนื้อไม้) (Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte) เนื้อไม้มีรสขม หอม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยบำรุงโลหิต

จันทน์เทศ (Myristica fragrans Houtt.) ใช้แก้ธาตุพิการ บำรุงกำลัง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต แก้จุกเสียด ขับลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ฯลฯ

หญ้าฝรั่น (Crocus sativus L.) ในประเทศเยอรมนีมีการใช้เพื่อเป็นยาคลายกล้ามเนื้อประสาท ช่วยผ่อนคลายความเครียดของระบบประสาท ยอดเกสรและกลีบดอกหญ้าฝรั่นช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าได้

ชะมดเชียง เป็นไขจากต่อมกลิ่นที่อยู่ระหว่างอัณฑะและสะดือของชะมด ชะมดเชียงมีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย ตำรายาแผนโบราณระบุว่า ใช้ปรุงเป็นยาชูกำลังและบำรุงดวงจิตมิให้ขุ่นมัว ใช้ผสมในยาแผนโบราณต่างๆ หลายขนาน แก้โรคลม โรคเกี่ยวกับโลหิต โรคตา เส้นประสาท ไอหอบหืด ฯลฯ

พิมเสน (เกล็ด) พิมเสนแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ พิมเสนที่ได้จากธรรมชาติและพิมเสนสังเคราะห์

พิมเสนธรรมชาติมาจากการระเหิดของยางจากต้นไม้ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในวงศ์ยางนา พิมเสนสังเคราะห์ ได้จากสารสกัดจากสมุนไพรหลายชนิด เช่น ต้นการบูร (Cinnamomum camphora (L.) Presl.) หนาด หรือพิมเสนหนาด (Blumea balsamifera (L.) DC.) หรือมาจากน้ำมันสนโดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา พิมเสนมีรสเผ็ดขม มีกลิ่นหอม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและปอด เป็นยาบำรุงหัวใจ

กระแจะตะนาว ตำรับโบราณชื่อนี้เป็นได้ทั้งเครื่องหอมที่สังคมไทยควรนำกลับมาฟื้นฟูภูมิปัญญาเพื่อนำของดีมาช่วยลดความเครียดในชีวิตประจำวัน ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพบำรุงกายใจได้อย่างดี
 …มติชนสุดสัปดาห์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 กันยายน 2563 14:58:47 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5800


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2563 16:04:57 »



ชมพู่ ผลไม้ยาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
ชมพู่เป็นไม้ชนิดหนึ่งในหลายร้อยชนิดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก


เมื่อค้นคว้าดูพบได้ถึง ๖ เล่ม คือเล่มที่ ๑, ๒๖, ๒๗, ๒๘, ๓๒ และ ๓๓

การบันทึกไว้ส่วนใหญ่ได้กล่าวถึงการเป็นผลไม้ที่กินได้ ที่น่าสนใจคือ ชมพู่ในพระไตรปิฎกนั้น คือ ชมพู่ชนิดใด เนื่องจากชมพู่เป็นต้นไม้ที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ก็มีด้วยกันหลายชนิด ซึ่งถือโอกาสเล่าถึงชมพู่ที่ปรากฏในประเทศไทย

โดยแบ่งตามลักษณะของพฤกษศาสตร์ได้ถึง ๓ กลุ่มใหญ่ๆ คือ

๑.ชมพู่น้ำดอกไม้ (Syzygium jambos (L.) Alston)

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า rose apple เข้าใจว่ามีถิ่นกำเนิดในอินเดียและมีการนำไปปลูกในที่ต่างๆ ทั่วโลก ผลมีลักษณะที่แตกต่างไปจากชมพู่ทั่วไป มีผลกลมคล้ายแอปเปิล ใช้รับประทานได้ มีกลิ่นหอมและมีรสหวานมาก เปลือกยังสามารถนำมาสกัดเป็นสารที่ให้สีน้ำตาลได้ด้วย

ในอดีตเคยมีการปลูกเป็นการค้า ปัจจุบันจัดเป็นพรรณไม้หายากชนิดหนึ่ง จึงทำให้มีการขายผลหรือลูกชมพู่ชนิดนี้ราคาแพง

ในการใช้ประโยชน์สมุนไพรพบว่า ประเทศเนปาลมีการใช้ส่วนต่างๆ ของต้นชมพู่เป็นยาบำรุงร่างกายและเป็นยาขับปัสสาวะ

ในประเทศอินเดียใช้ผลเป็นยาบำรุงร่างกายเพื่อฟื้นฟูและปกป้องสมองและตับ มีการนำผลชมพู่นำมาชงหรือแช่น้ำดื่มเพื่อขับปัสสาวะ เกสรดอกชมพู่ใช้ลดไข้ เมล็ดใช้แก้โรคท้องร่วง บิด และโรคหวัด

ในประเทศนิการากัวมีการอ้างถึงการแช่เมล็ดชมพู่ที่คั่วบดแล้ว นำมาชงดื่มเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ในประเทศคัมเบียใช้เมล็ดเป็นยาชา ใบนำมาต้มใช้รักษาอาการเจ็บตา

นอกจากนี้ ยังใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ขับเสมหะและรักษาอาการไขข้ออักเสบ น้ำหมักจากใบใช้เป็นยาแก้ไข้ ใบแห้งบดให้เป็นผง ใช้ทาตามตัวผู้ป่วยที่เป็นไข้ทรพิษเพื่อเป็นการลดความร้อนจากภายใน

เปลือกของต้นมีแทนนินอยู่ประมาณ ๗-๑๒.๔% จึงใช้เป็นยาสมานแผลได้ และยังนำมาเป็นยาทำให้อาเจียนและเป็นยาระบาย และยังมีการนำเปลือกของต้นนำไปทำเป็นยาต้มดื่มเพื่อบรรเทาโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบและเสียงแหบ

ชาวคิวบาเชื่อว่ารากมีประสิทธิภาพสำหรับแก้โรคลมชัก

๒.ชมพู่แก้มแหม่ม (Syzygium samarangense (Blume) Merr. & L.M.Perry)

มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า wax apple, Java apple, Semarang rose-apple และ wax jambu

มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนิยมปลูกไปทั้งภูมิภาค

มีการปรับปรุงพันธุ์จนได้ชมพู่ที่มีลักษณะแตกต่างกัน และเรียกชื่อได้มากมาย เช่น ชมพู่สีนาก ชมพู่พลาสติก ชมพู่กะหลาป๋า ชมพู่เพชรบุรี ชมพู่ทูลเกล้า ชมพู่ทับทิมจันท์ เป็นต้น ในอินโดนีเซียนิยมนำไปทำโรยักหรือนำไปดองที่เรียกอาซีนัน เปลือกผลมีลักษณะคล้ายไขเคลือบ เนื้อค่อนข้างแห้ง มีกลิ่นหอม

ชมพู่แก้มแหม่มมีการนำส่วนต่าง ๆ มาใช้เป็นยาพื้นบ้าน เช่น ในส่วนของเปลือกมีแทนนินสูง ใช้เป็นยาสมานแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลือกใบและรากของชมพู่แก้มแหม่มหรือบางที่เรียกว่า แอปเปิลมาเลย์ มีการนำมาใช้กับโรคที่แตกต่างกัน เช่น ชาวโอรังอัซลีในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ใช้ใบรักษาโรคผิวหนัง

ส่วนของดอกชมพู่แก้มแหม่มใช้เป็นยาสมานแผลและใช้ในการรักษาอาการไข้และหยุดอาการท้องเสีย

ในชมพู่มีส่วนประกอบทางเคมี เช่น แทนนิน และยังมี desmethoxymatteucinol (สารลดความอ้วน) 5-O-methyl-4′-desmethoxymatteucinol (ลดน้ำตาลในเลือด) กรดโอเลอิกและ B-sitosterol (ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์)
จากการทดสอบสารสกัดจากดอกพบว่ามีประสิทธิภาพอย่างอ่อนในการต่อต้านแบคทีเรียและราหลายชนิด เช่น Staphylococcus aureus, Mycobacterium smegmatis และ Candida albicans

๓.ชมพู่มะเหมี่ยว หรือ ชมพู่สาแหรก (Syzygium malaccense (L.) Merr. & L.M.Perry)

มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Malay rose apple มีการกระจายตัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เมียนมา ไทย มาเลเซีย นิวกินี หมู่เกาะบิสมาร์ก ตอนเหนือของออสเตรเลีย

ในหมู่เกาะนิวกินีนิยมนำดอกมาดองกับน้ำเชื่อมหรือกินสดแบบผักสลัด ใบอ่อนและยอดอ่อนในขณะที่ยังเป็นสีแดงก็นำมากินดิบร่วมกับข้าวได้

ในการนำมาใช้ทางสมุนไพร ใช้เปลือกไม้มารักษาวัณโรค การติดเชื้อในปาก ปวดท้องและโรคในช่องท้อง รักษาแผลในปากของเด็ก ใช้เป็นยาถ่ายและเป็นยาพื้นบ้านรักษากามโรค ส่วนของใบใช้แก้อาการตาแดง ใบนำมาต้มใช้เป็นยาล้างแผลที่เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง และยังใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นในตำรับยาแก้ไอ ปัสสาวะมีสีเหลือง แก้อาการเบื่ออาหาร ยาแก้ปวดกระดูก แก้เบาหวาน โรคหนองใน กระเพาะอาหารบวมหลังคลอด เจ็บคอ โรคหลอดลมอักเสบ และเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก

เฉลยคำตอบหลังจากรู้จักชมพู่ทั้ง ๓ ชนิดแล้ว น่าจะตอบได้ว่า ชมพู่ในพระไตรปิฎกนี้หมายถึง ชมพู่น้ำดอกไม้ เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย และในกลุ่มประเทศอินเดีย เนปาล และมีภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์ทางยาอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ ยังพอสรุปได้ว่า ชมพู่น้ำดอกไม้ แก้มแหม่มหรือมะเหมี่ยว ต่างก็เรียกว่าชมพู่เหมือนกัน แต่การนำมาใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพรมีลักษณะแตกต่างกันออกไป

ปัจจุบันมีการปลูกชมพู่ในทุกภาค โดยเฉพาะกลุ่มชมพู่แก้มแหม่มมีแหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสาคร แต่ปลูกเพื่อบริโภคผลเท่านั้น

หวังว่าต่อจากนี้เรามาช่วยกันฟื้นฟูภูมิปัญญาด้านสรรพคุณทางยา เพื่อเพิ่มคุณค่าของชมพู่ให้กว้างขวางเป็นประโยชน์มากขึ้น
…มติชนสุดสัปดาห์




ตาลแขก และข้าวมธุปายาส

สถานที่นิยมในการไปจาริกแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย คือ บ้านนางสุชาดา เพราะอยู่ใกล้พุทธคยา

เรื่องเล่าตามพุทธประวัติกล่าวว่า นางสุชาดาอธิษฐานขอให้ได้คู่ครองที่เหมาะสม ให้ได้ลูกคนโตเป็นผู้ชาย เมื่อนางได้สมใจตามคำอธิษฐาน จึงตั้งใจที่จะกวนข้าวมธุปายาสถวายแด่เทพเจ้าที่บันดาลให้นางได้สมความปรารถนาทุกประการ

ในวันที่นางกวนข้าวเสร็จ หญิงรับใช้ในบ้านมาแจ้งว่ามีเทวดาองค์หนึ่งมานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นนิโครธ (Ficus benghalensis L.) ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนางสุชาดาไปประมาณครึ่งกิโลเมตร

ซึ่งเทวดาที่เข้าใจนั้นก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง

นางสุชาดาจึงได้ปั้นข้าวมธุปายาสขนาดเท่าผลตาลจำนวน ๔๙ คำ ใส่ถาดทองคำ เพื่อนำไปถวายให้กับพระพุทธเจ้า (ในเอกสารบางฉบับกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปั้นข้าวเอง)

จากบันทึกนี้ทำให้หลายท่านเกิดความสงสัยว่า ข้าวมธุปายาสขนาดเท่าผลตาลจำนวน ๑ ถาดนั้น พระพุทธเจ้าทรงฉันได้หมดในคราวเดียวได้อย่างไร?

ถ้าท่านที่เคยไปอินเดียที่สถานที่จริงก็จะเข้าใจว่า ผลตาลที่มีบันทึกในพุทธประวัตินั้นไม่ใช่ผลตาลที่เรารู้จักที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในเมืองไทย

ผลตาลนี้น่าจะหมายถึงผลของ “ตาลแขก” ซึ่งเป็นอินทผลัมชนิดหนึ่ง

แต่เป็นไม้ที่มีขนาดเล็กกว่าอินทผลัมทั่วไป

ตาลแขกเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้เป็นจำนวนมากในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนางสุชาดา

ที่เข้าใจว่าเป็นผลตาลน่าจะเพราะคนถอดความมาจากบาลี คิดไปว่าเป็นต้นตาลในเมืองไทยเพราะพืชชนิดนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มของปาล์มเช่นกัน

เอกสารหลายชิ้นบางครั้งก็ข้ามหรือไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องการปั้นข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนมากนัก เพราะคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะปั้นข้าวเท่าผลตาลแล้วใส่มาในถาดใบเดียว

ตาลแขกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phoenix sylvestris (L.) Roxb.

แต่ในเอกสารบางแห่งในปัจจุบัน เรียกตาลแขกว่า “อินทผลัมไทย”

ความจริงแล้วตาลแขกไม่มีรายงานว่ามีอยู่ในประเทศไทย แต่จากการพูดคุยกับนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า เคยเห็นต้นตาลแขกบ้างที่ปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย

ตาลแขกมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียและทางตอนใต้ของปากีสถาน

เป็นพืชที่พบตามธรรมชาติในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุในปากีสถาน

มีรายงานว่านำไปปลูกทั่วไปในอินเดีย พม่า ไทย ศรีลังกา ภูฏาน บังกลาเทศ มอริตุส จีน

แต่น่าแปลกใจที่หอพรรณไม้ของกรมป่าไม้ ไม่มีรายงานว่าพบพืชชนิดนี้ในประเทศไทย

ตาลแขกชอบขึ้นตามป่าเปิดและทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่พบได้ตามที่ราบ ตามเชิงเขาหิมาลัยและตามแนวชายฝั่ง

เป็นพืชในกลุ่มปาล์ม สูงได้ถึง ๑๐-๑๖ เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ซึ่งไม่ใหญ่เหมือนอินทผลัมทั่วไป

มีทรงพุ่มขนาดใหญ่และลำต้นขรุขระปกคลุมด้วยรอยของฐานใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว ใบยาว ๓-๔.๕ เมตร สีเขียวอมเทามีหนามสั้นๆ สองสามอันที่ฐาน มีใบย่อยเล็กๆ (pinnules) จำนวนมากเรียงเป็นเส้นยาว ส่วนท้ายมีลักษณะเป็นติ่งสั้นๆ

ดอกมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม ดอกตัวผู้สีขาว ส่วนดอกตัวเมียสีเขียว ช่อผลสุกยาวประมาณ ๙๐ เซนติเมตร

ผล สีเหลืองอมส้มเมื่อสุก ผลเป็นแบบเบอร์รี่รูปรียาว ๒.๕-๓.๒ เซนติเมตร จึงยืนยันได้ว่าหากปั้นข้าวมธุปายาสขนาดเท่าผลตาลแขกจำนวน ๔๙ คำ ก็ได้ขนาดเท่าข้าวคำเล็กๆ ที่กินได้

เมล็ดยาวประมาณ ๑.๗ เซนติเมตร ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดนำมาเพาะทันทีที่ผลสุกแล้ว ต้องใช้เวลา ๒-๓ เดือนจึงจะงอกออกมาเป็นต้น

ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากอินทผลัมทั่วไปคือ ตาลแขกมีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน

แต่อินทผลัมทั่วไป ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่คนละต้น

และอินทผลัมทั่วไปไม่มีการนำเอาน้ำจากลำต้นมาทำน้ำตาลหรือเหล้าเหมือนกับต้นตาลแขก

การใช้ประโยชน์ ด้านอาหาร ผลมีรสหวานเหมือนอินทผลัมทั่วไป ส่วนยอดของต้นใช้ผลิตน้ำตาลสด เพื่อทำเครื่องดื่ม หมักเหล้า หรือเคี่ยวเป็นน้ำตาล สามารถเก็บน้ำหวานจากช่อดอกที่ยังไม่บานได้ โดยการตัดที่ปลายช่อดอก เอาภาชนะมารอง สามารถเก็บน้ำหวานได้ถึงวันละ ๕ ลิตร เป็นเวลาหลายเดือน

น้ำหวานนี้มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบร้อยละ ๑๔ผลและเมล็ดรับประทานได้ ส่วนกลางของลำต้นให้แป้งเหมือนต้นสาคู นอกจากส่วนของช่อดอกแล้วส่วนของลำต้นก็มีแป้งและน้ำตาลที่สามารถนำไปหมักเป็นแอลกอฮอล์ได้

ประโยชน์ ด้านยาสมุนไพร ผลช่วยบำรุงหัวใจ แก้อาการท้องอืดเฟ้อ แก้อาเจียนและรักษาอาการหมดสติ ผลนำมาบดแล้วผสมกับเมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดมะตูม ถั่วพิสตาชิโอและน้ำตาล ใช้เป็นยาที่ช่วยฟื้นฟูกำลัง

น้ำคั้นที่ได้จากลำต้นถือเป็นเครื่องดื่มคลายร้อน

รากใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ฟื้นฟูระบบประสาทที่อ่อนแอ ขับพยาธิ เยื่อใยที่ได้จากส่วนกลางของลำต้นใช้รักษาโรคหนองใน ลดไข้ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะและต้านอนุมูลอิสระ

ในประเทศอินโดนีเซียและอินเดียมีความเชื่อว่าน้ำตาลที่ได้จากต้นตาลแขกมีคุณภาพดีกว่าน้ำตาลที่ได้มาจากอ้อย น้ำที่ได้จากลำต้นมีวิตามินซีสูงมาก

ใบใช้รักษาอาการอักเสบในตา

ตาลแขกเป็นต้นไม้ที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันของคนพื้นเมืองในอินเดียและประเทศโดยรอบ โดยเฉพาะคนพื้นเมืองในบังกลาเทศ คล้ายกับการใช้ไผ่ในวัฒนธรรมของคนจีน เช่น ลำต้นใช้เป็นคานรองรับหลังคาในการก่อสร้างบ้านและใช้สำหรับเปลี่ยนเส้นทางของน้ำเข้าสู่กังหันของโรงน้ำ

ใบมักใช้ทำเสื่อ ทำไม้กวาด กระเป๋า และพัด เป็นต้น

ในขณะที่หนามยาวและเงี่ยงของตาลแขกใช้ทำเป็นแปรงสีฟันและเข็มแบบดั้งเดิม

น้ำจากลำต้นเรียกว่า “นีรา” (Neera) นำมาทำเป็นน้ำตาล (jaggery) และเหล้า (toddy) โบราณของอินเดีย ซึ่งจัดได้ว่าเป็นรายได้หลักของครอบครัว

ผลสุกนำไปเลี้ยงสัตว์ทำให้ได้น้ำนมที่มีไขมันเพิ่มมากขึ้น ลำต้นใช้ก่อสร้างและใช้ทำเชื้อเพลิง หรือใช้เป็นไม้ประดับ ตาลแขกเป็นพืชเศรษฐกิจให้กับชาวบ้านของทั้งอินเดียและบังกลาเทศเลย

น่าสนใจหากเรียนรู้จากเพื่อนบ้านแล้วนำตาลแขกมาปลูก เป็นพืชอาหารและสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาที่สามารถถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับเยาวชนรุ่นต่อไป

และยังช่วยส่งเสริมรายได้ชุมชนได้ด้วย
…มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า:  1 [2] 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.659 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 16 ธันวาคม 2567 18:55:06