“พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานที่วัดโพธิ์ ก่อนย้ายเข้าวัดพระแก้ว ?พระแก้วมรกตเมื่อมิได้ประดับเครื่องทรง (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เหตุการณ์เกี่ยวกับ
“พระแก้วมรกต” หลังถูกอัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันท์ มีเอกสารโบราณหลายฉบับกล่าวไว้ตรงกันว่า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษก และเสร็จสิ้นการสร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากโรงพระแก้วในวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แต่ ดร. ศานติ ภักดีคำ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือชิ้นหนึ่งระบุว่า
ก่อนหน้าที่จะมีการย้ายพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระแก้วมรกตได้ถูกย้ายไปประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์
หรือวัดพระเชตุพนฯ ก่อน มิได้ย้ายจากวัดแจ้งเข้าวัดพระแก้วโดยตรงอย่างที่เอกสารหลายชิ้นระบุ
หลักฐานที่ว่านี้ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ชื่อว่า “สังคีติยวงศ์” แต่งโดย สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯในสมัยที่ยังเป็นพระพิมลธรรม
เมื่อปี พ.ศ. 2332 เป็นเอกสารที่เล่าถึงตำนานการสังคายนาพระไตรปิฎก ภาษาบาลี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ในส่วนที่กล่าวถึงการย้ายพระแก้วอยู่ใน สังคีติยวงศ์ ปริจเฉทที่ 8 เขียนเป็นภาษาบาลีว่า
“รตนพุทฺธพิมฺพํ อาราเธตฺวา นาวาสงฺฆาเฏน อติสกฺการปริปุณฺเณน โพธาราเมตํ ปติฏฺจฐาเปตฺวา ชยภูมึวิจาเรตฺวา” (ข้อความต้นฉบับใช้ “ฐ” ไม่มีเชิง)
ข้อความนี้ พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ได้แปลว่า “…จึงให้อาราธนาพระพุทธพิมพ์แก้วปฏิมา ลงเรือขนานมา พร้อมด้วย
สักการบูชายิ่งครบถ้วนทุกประการมาประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธาราม แล้วจึงให้เที่ยวพิจารณาหาสถานที่ชัยภูมิได้แล้ว…”
และในบทเดียวกันยังกล่าวถึงการอัญเชิญพระแก้วจากวัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ไปยังพระอุโบสถ วัดพระแก้วว่า
“อถโฃ นาคเสนตฺเถเรน สตฺถุธาตุปจฺจตฺถริตํ ปวรสุภนิลาภาสํ มรกฏพุทฺธพิมฺพํ นาชาปูชาสกฺกาเรหิ โพธารามโต อานยิตฺวา สิริรตนสาสฺตาราเม
ปวรสุนฺทรอุโปสถาคาเรตมฺปิ ฐปาเปสุํ…” (ข้อความต้นฉบับใช้ “ฐ” ไม่มีเชิง)
แปลโดยพระยาปริยัติธรรมธาดาได้ความว่า “…ครั้นแล้วโปรดเกล้า ให้เชิญพระพุทธพิมพ์มรกต อันพระนาคเสนเจ้า ได้บรรจุพระสัตถุธาตุไว้
ทรงรัศมีเขียวงามประเสริฐแห่ออกจากวัดโพธารามมาวัดพระศรีรัตนศาสดารามประดิษฐานไว้ในโรงอุโบสถอันงามประเสริฐนั้นแล้ว…”
ปัญหาที่ตามมาก็คือ หลักฐานตามที่ปรากฏใน สังคีติยวงศ์ มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เมื่อเทียบกับเอกสารอื่นๆ? ตรงนี้ ดร. ศานติ มองว่า สังคีติยวงศ์
ถูกเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2332 หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพียง 7 ปี จึงใกล้กับเหตุการณ์การย้ายพระแก้วมากกว่าเอกสารอื่นๆ
ที่เขียนขึ้นภายหลังเป็นเวลานาน “แม้กระทั่งพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ฉบับตัวเขียน” ซึ่งเป็นเอกสารที่ชำระขึ้นในปี พ.ศ. 2338
ก็ยังถืิอว่าหลัง สังคีติยวงศ์ อยู่หลายปี
ดร. ศานติ ยังเชื่อว่า สมเด็จพระพนรัตน์ น่าจะเป็น “ประจักษ์พยาน” ที่ได้เห็นการเคลื่อนย้ายด้วยตาตนเองด้วย เพราะสมเด็จพระพนรัตน์
ซึ่งขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมได้ครองวัดโพธิ์มาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แม้จะเคยถูกพระเจ้าตากลงทัณฑกรรม แต่เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นครองราชย์
พระองค์ได้ทรงคืนสมณศักดิ์และให้พระพิมลธรรมครองวัดโพธิ์ดังเดิม
และหากพิจารณาถึงความสำคัญของวัดโพธิ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเคยถูกใช้จัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วยแล้ว ความเป็นไปได้ที่
พระแก้วมรกตจะเคยถูกประดิษฐานที่วัดโพธิ์ ตามที่สมเด็จพระพนรัตน์กล่าวใน สังคีติยวงศ์จึงมีค่อนข้างสูง และยังอาจเป็นพระพุทธรูปประธาน
ในพระราชพิธีครั้งนั้นด้วย เหมือนเช่นการใช้พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งประดิษฐานพระแก้วมรกต ในการประกอบพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
ในลักษณะเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ดร. ศานติ สรุปปิดท้ายว่า ข้อมูลดังกล่าว เพียงลำพังยังไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปได้ว่า พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์จริง
แม้จะมี “ความเป็นไปได้สูง” แต่ก็ยังต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเอกสารชั้นต้นอื่นๆ ในประเด็นนี้ต่อไป
อ้างอิง: “พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานที่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)? ข้อมูลที่ถูกหลงลืมใน ‘สังคีติยวงศ์'”. ดร. ศานติ ภักดีคำ. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ พฤศจิกายน 2553.