ภาพวาดลาดเส้นโดย เอ. โบกูร์ เป็นภาพ “ผู้หญิงเมืองบางกอก”
จากบันทึกการเดินทางของ อ็องรี มูโอต์ ในสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆยุคหนึ่งสมัยหนึ่งความคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของสังคมไทย (หรือสยามในขณะนั้น) การเป็นเมียน้อยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือเป็นสิ่งที่ต้องประณามเหมือนยุคปัจจุบัน (ที่คลิปเมียหลวงรุมตบเมียน้อยเป็นที่นิยมสร้างความสะใจให้กับบรรดาผู้บูชาคุณธรรมทั้งหลาย)
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์เคยมีพระราชปรารภ “ความผัวเมีย” ว่าด้วยเรื่องกฎหมาย “ผัวเดียวเมียเดียว” ของชาวตะวันตกว่า
“ไม่เป็นเขตรพื้นภูมิของกุสลสามัญ…จะนับว่าเป็นกุสลกรรมบทสามัญมาเป็นกฎหมายสำหรับบ้านเมืองนั้นไม่ได้” เพราะ
“เป็นเหตุให้โทษต่างๆ แก่ชนเป็นอันมากแลบ้านเมือง” ซึ่งควร “จะต้องห้ามเสีย”
การเป็นเมียน้อยตั้งแต่อดีตจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย และมาตรฐานทางสังคมในขณะนั้น ถ้าสาวไทยบางคนจะอยากไปเป็น
“เมียน้อยของชาวจีน” ที่ก้าวขึ้นมามีฐานะหน้าตาทางสังคมด้วยการแสวงประโยชน์จากสิ่งที่ชาวสยามไม่นำพาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ชาวจีนที่ว่านี้ คือพวกที่ยื่นเรื่องไปยังทางการขอเป็นผู้รับเก็บภาษีจากสินค้าต่างๆ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายช่วยราชการแผ่นดิน หรือที่เรียกว่า
“เจ้าภาษีนายอากร” ซึ่งผู้ที่ประมูลได้สิทธิในการเก็บภาษีก็จะได้รับพระราชทานสัญญาบัตรพร้อมกับบรรดาศักดิ์ และราชทินนามที่สอดคล้อง
กับชนิดภาษีนั้นๆ เช่น เจ้าภาษีน้ำตาล เป็นหมื่นมธุรสวานิช เจ้าภาษีถั่ว 5 ชนิด เป็นขุนปัญจพีชากร เป็นต้น
หลวงวิจิตรวาทการกล่าวว่า นายอากรชาวจีนเหล่านี้มีอำนาจเท่ากับ “เจ้าบ้านผ่านเมือง” มีเอกสิทธิและอิทธิพลมากมาย ไม่ต่างไปจาก
เจ้านครในยุโรปสมัยกลาง หรือเจ้าที่ดินในรัสเซียสมัยซาร์
หลวงวิจิตรฯ ยังกล่าวว่า “หญิงสาวชาวไทยในเวลานั้น ชอบเป็นเมียน้อยของเจ้าภาษีนายอากร ใครได้เป็นเมียน้อยของเจ้าภาษีนายอากรในเวลานั้น
ก็มีหน้ามีตาอวดเพื่อนได้ทีเดียว ดังข้อความในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา มีว่า ‘เมียน้อยเจ้าภาษีมิใช่ชั่ว หน้าเป็นเล่นตัวจนผัวหึง’…”
บทกลอนอีกชิ้นแต่งโดยหลวงจักรปาณี (มหาฤกษ์) สมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งหลวงวิจิตรฯ ยกอ้างไว้ในคราวเดียวกันนี้ ก็บ่งบอกได้ดีว่าคนไทย
มองชาวจีนว่าน่าอิจฉาเพียงใด
“ถึงโรงเจ้าภาษีตีฆ้องดัง | ตั้วโผนั่งแจ่มแจ้งด้วยแสงเหียน |
ไว้หางเปียเมียสาวขาวสล้าง | เป็นจีนต่างเมืองมาแต่พาเพียร |
อันความรู้สิ่งใดไม่ได้เรียน | ยังพากเพียรมาได้ถึงใหญ่โต |
เห็นว่าดีแต่วิชาขาหมูใหญ่ | เราเป็นไทยนึกขึ้นมาน่าโมโห |
มิได้ทำอากรและบ่อนโป | มาอดโซสู้กรรมทำกระไร” |
ที่ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ตั้งใจจะปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมด้วยหวังจะให้ค่านิยมเดิมได้รับการยอมรับขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ข้อเท็จจริงในอดีตล้วนมีเกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจเช่นเดียวกันกับกรณีนี้ที่แสดงถึงพัฒนาการทางสังคมอันเกิดจากการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ
ทำให้มาตรฐานเดิมๆ ที่สังคมเคยยอมรับกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เรื่องในอดีตเหล่านี้ก็ควรค่าแก่การศึกษามากกว่าที่มาปกปิด
ด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา
อ้างอิง:1. “กว่าจะเป็น ‘ผัวเดียวเมียเดียว’; สังเขปประวัติความเป็นมาของกฎหมายครอบครัวสมัยใหม่ในสยาม พ.ศ. 2410-2478”. สุรเชษ์ฐ สุลาภกิจ.
2. คำสอนเรื่อง ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของไทย. หลวงวิจิตรวาทการ. วิจิตรวาทการอนุสรณ์