[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 18:00:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไซอิ๋ว (ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะ) : ปีศาจแรดนอเดียว (อัสมิมานะ)  (อ่าน 1709 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2559 15:53:16 »




ปีศาจแรดนอเดียว (อัสมิมานะ)

ย่างเข้าฤดูหนาว (ชีวิตเริ่มเยือกเย็น สงบเย็นลง) พระถังซัมจั๋ง และสานุศิษย์รอนแรมฝ่าลมหนาวจนบรรลุถึงภูเขาสูงใหญ่ยอดเทียมเมฆ ชื่อ กิมเต๋าซัว พระถังซัมจั๋งรู้สึกหิวจึงให้เห้งเจียเหาะไปบิณฑบาต เห้งเจียเกรงว่าปีศาจจะมาจับพระถังซัมจั๋งตอนที่ตนไม่อยู่ จึงเอาไม้ตะบองขีดเป็นวงล้อมพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วบอกพระถังซัมจั๋งให้อยู่แต่เฉพาะในวงเพราะ บริเวณนี้มีอันตรายยิ่งนัก กำชับว่า “อันวงแห่งความว่าง (สุญญตา) นี้มั่นคง ยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก ถึงจะมีสิงห์สาราสัตว์ ภูตผีปีศาจ ก็ไม่อาจกล้ำกรายเข้าใกล้ได้ ขอเพียงพระอาจารย์อย่าได้ออกนอกวง นี้เป็นอันขาด” สั่งเสร็จ แล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไป
 
ไม่นานอากาศเริ่มหนาวเย็น ด้วยวงวางอยู่ในที่กลางแจ้ง และอากาศ เริ่มมีความหนาวเย็นมากขึ้นทุกที โป้ยก่ายชักชวนพระถังซัมจั๋งว่าไปหาที่หลบลมกันดีกว่า เพราะเราอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วไม่เห็นมีภัยใดมาใกล้กราย คงไม่อันตรายใดๆหรอก
 
ด้วยความหนาวเย็น ทั้งสามพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวจึงออกเดินทางมีโป้ยก่ายนำหน้า ไม่ช้าเดินพลัดเข้าไปในถ้ำของปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋อง (อัสมิมานะ = การถือตนของตน) โดยไม่รู้ตัว โป้ยก่าย กับซัวเจ๋งเห็นในถ้ำมีเสื้อหนาวทิ้งอยู่ในถ้ำ รีบหยิบขึ้นมาสวมเพื่อกันหนาว หาเฉลียวใจไม่ว่าเป็นเสื้อหนาวของปีศาจ ดังนั้นเมื่อสวมเสร็จ เสื้อเริ่มหดรัดตัวตรึงมือตรึงเท้าล้มกลิ้งลงไปกันหมด
 
ฝ่ายปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋องเฝ้าดูอยู่ เห็นเช่นนั้นหัวเราะกึกก้องด้วยความชอบใจออกมาจับพระถังซัมจั๋ง และสานุศิษย์เข้าไปขังไว้ในถ้ำลึก และรอให้เห้งเจียกลับมาเพื่อเตรียมจับไว้อีก จะได้มีเนื้อไว้เหลือเฟือแจกจ่าย ให้หมู่ลูกสมุน
 
กล่าวถึงเห้งเจียกลับมาจากบิณฑบาต ขณะอยู่บนท้องฟ้ามองลงไป แลเห็นวงว่างไม่มีพระถังซัมจั๋งให้ร้อนใจยิ่งนัก รู้ได้โดยทันทีว่าพระถังซัมจั๋ง ต้องถูกปีศาจจับเสียแล้วเป็นแน่แท้ เที่ยวเดินหาจนกระทั่งไปพบตาเฒ่า พระภูมิเจ้าที่จำแลงมา ชี้ให้เห็นถ้ำกิมเต๊าต๋องอันเป็นสำนักของปีศาจ แรดนอเดียว (อัสมิมานะ = การถือตน ของตน ตัวกู ของกู) เห้งเจียรีบไปยัง หน้าถ้ำแล้วร้องตะโกนท้ารบโหวกเหวก
 
ปีศาจต๋อกกั๊กได้ยินเสียงท้ารบจึงออกมาจากถ้ำ สู้กับเห้งเจีย เป็นการโกลาหล ต๋อกกั๊กขว้างห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบจิต) ไปรวบ คล้องตะบองยู่อี่ (จิตอันเป็นเสรี) ของเห้งเจียไว้ได้ เห้งเจียรู้ว่าเสียทีวิ่งหนีปีศาจไปนั่งร้องไห้เพราะจนปัญญาที่จะช่วยเหลือพระถังซัมจั๋ง พักหนึ่ง จึงคิดขึ้นมาได้ รีบหกคะเมนตีลังกาไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้กราบทูลความทุกข์ยากให้ทรงทราบ
 
เง็กเซียนฮ่องเต้จึงโปรดให้ถัักทะลีทีอ๋อง (กุศล = ความดีงาม) และโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมปรุงแต่งประกอบจิต) ผู้บุตรยกกองทัพรามสูร ลงไปปราบต๋อกกั๊ก แต่กลับพ่ายอีกด้วยแพ้ที่ถูกห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) ของต๋อกก๊กรวบเก็บอาวุธวิเศษไว้เสียจนหมดสิ้น
 
เห้งเจียเหาะไปหาเทพฮ้วยเต็กแชกุน (พระเพลิง) จุ้ยเต็กแชกุน (พระสมุทร)มาสู้กลับถูกห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) รวบเก็บอาวุธไว้เสียสิ้น เห้งเจียถอนขนของตนเนรมิตเป็นเห้งเจียจำแลง มากมายถูกห่วงวิเศษของปีศาจรวบเก็บไว้หมด เห้งเจียพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะห่วงวิเศษได้ จึงรำลึกถึงพระยูไลขึ้นมา จึงเหาะหกคะเมนตีลังกาลิ่วไปยังไซที เขาเล่งซัว วัดลุยอิมยี่ เข้าทูลถึงอุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้น กับพระถังซัมจั๋งในขณะนี้
 
พระยูไลทรงทราบเหตุการณ์เป็นการล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว จึงรับสั่งให้พระอรหันต์ ๑๘ องค์ (ธาตุ๑๘ = สภาวะที่ดำรงอยู่ ตามเหตุแห่งปัจจัย ที่ปรุงแต่งขึ้น) เหาะไปพร้อมกับเห้งเจีย พร้อมกับยาเม็ดกิมตัน (สมาบัติ = สภาวะที่เข้าถึงสงบประณีต) เพื่อร่วมแรงปราบปีศาจ พระยูไลได้สั่งความกับพระอรหันต์ ๒ องค์ใน ๑๘ องค์ว่า "หากมิเป็นการแล้วให้เห้งเจียเหาะขึ้นไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนเถิด" เมื่อพระอรหันต์ทั้ง ๑๘ (ธาตุ๑๘)ไปถึงปากถ้ำกิมเต๊าต๋อง เห้งเจียร้องท้า ให้ต๋อกกั๊กออกมาสู้รบกัน สู้กันพักหนึ่งต๋อกกั๊กใช้ห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) รวบยากิมตัน (สมาบัติ = สภาวะที่เข้าถึงสงบประณีต)ไว้ได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นพระอรหันต์เห็นไม่ได้การแล้ว จึงบอกเห้งเจียตามที่พระยูไลแนะนำมา เห้งเจียหกคะเมนตีลังกาขึ้นไปหา พรหมท้ายเสียงเลากุน(อุเบกขา = ความวางใจเฉย ไม่ยินดียินร้าย) ทูลความให้ทรงทราบ
 
พรหมท้ายเสียงเลากุนรับฟัง ดังนั้นทำการสำรวจวิมานดูรู้ว่าที่แท้ ปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋อง คือแรดนอเดียว (อัสมิมานะ = การถือตน) พาหนะของพระองค์เอง พรหมท้ายเสียงเล่ากุน (อุเบกขา = ความวางใจเฉย ไม่ยินดี ยินร้าย) จับพัดวิเศษได้เหาะเสด็จลงมาที่ถ้ำกิมเต๊าต๋อง เมื่อต๋อกกั๊กออกมาจากถ้ำก็เอาพัดวิเศษโบกใส่ ทำให้ร่างกลับกายเป็นแรดนอเดียว จากนั้นพรหมท้ายเสียงเล่ากุนขึ้นขี่เหาะกลับไปพรหมโลก
 
ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปในถ้ำแก้ไขพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวออกมาได้แล้ว พระภูมิเจ้าที่นำอาหารบิณฑบาตมาถวายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ ฉันภัตตาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อหมายทิศปัจฉิมเป็นสำคัญ
 
(ความตอนนี้เริ่มต้นด้วยฤดูหนาวคือ ความเย็นสงบที่เกิดขึ้นภายหลังจากผ่านอุปสรรคต่างๆ จิตเริ่มจับสาระได้ว่าคุณธรรมอันประเสริฐ คือ ความซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จึงทำให้มีความสงบเย็น จิตเริ่มเข้าใกล้ชั้นพรหมเป็นลำดับ และหากตั้งมั่นในสุญญตา - ความว่าง ก็จะปลอดภัย แต่ทว่าใน ความเยือกเย็นอันสงบนี้ยังมีปีศาจอีกตนหนึ่งแฝงกายอยู่คือ อัสมิมานะ - การถือเราถือเขา ตัวกูของกู เมื่อออกนอกความว่าง (สุญญตา) ยามใด ยามนั้นสมาธิถูกรัดมัดไว้ด้วยอัสมิมานะ
 
เนื่องจากเชื่อในศีล หลงในศีล ว่าตนเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้สมถะ ไม่เชื่อในปัญญา เป็นสมาธิที่ขาดปัญญา อัสมิมานะจึงเกิดขึ้น เพราะปัญญา จะทำหน้าที่ให้เข้าใจว่า สมถะมีความคล้ายใกล้เคียงสุญญตา มีอำนาจให้จิตสงบระงับหลุดพ้นสิ่งปรุงแต่งใดๆได้ อย่างไรตามเมื่อสมถะที่เกิดมี อัสมิมานะขึ้นเป็นกิเลสตัณหาชั้นพรหม เป็นภวตัณหา - ความอยากจะมี อยากจะเป็นพาลทำตนดุจพระอริยะเจ้า เพราะมีตัณหาในอัสมิมานะที่ว่า “ฉันเป็นหนึ่ง ๆๆ”
 
เมื่อมีอัสมิมานะเกิดขึ้น ให้เพ่งพิจารณาถึง ธาตุ ๑๘-พระอรหันต์ ๑๘ องค์ เพื่อพิจารณาว่าสภาวะที่ดำรงอยู่นั้นเป็นไปตามปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้น อันได้แก่
 
๑. จักขุธาตุ-จักขุปสาท
 
๒. รูปธาตุ-รูปารมณ์
 
๓. จักขุวิญญานธาตุ-จักขุวิญญาน
 
๔. โสตธาตุ-โสตปสาท
 
๕. สัททธาตุ-สัททารมณ์
 
๖. โสตวิญญานธาตุ-โสตวิญญาน
 
๗. ฆานธาตุ-ฆานปสาท
 
๘. คันธธาตุ-คันธารมณ์
 
๙. ฆานวิญญานธาตุ - ฆานวิญญาน
 
๑๐. ชิวหาธาตุ - ชิวหาปสาท
 
๑๑. รสธาตุ-รสารมณ์
 
๑๒. ชิวหาวิญญานธาตุ-ชิวหาวิญญาน
 
๑๓. กายธาตุ-กายปสาท
 
๑๔. โผฏฐัพพธาตุ-โผฏฐัพพารมณ์
 
๑๕. กายวิญญานธาต-กายวิญญาน
 
๑๖. มโนธาตุ-มโน
 
๑๗. ธรรมธาตุ-ธรรมารมณ์
 
๑๘. มโนวิญญานธาตุ-มโนวิญญาน)




จาก http://www.khuncharn.com/skills?start=14

อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1

สำรอง http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11748.0.html

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.418 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 11 มีนาคม 2567 12:24:50