ปีศาจแรดนอเดียว (อัสมิมานะ)ย่างเข้าฤดูหนาว (ชีวิตเริ่มเยือกเย็น สงบเย็นลง) พระถังซัมจั๋ง และสานุศิษย์รอนแรมฝ่าลมหนาวจนบรรลุถึงภูเขาสูงใหญ่ยอดเทียมเมฆ ชื่อ กิมเต๋าซัว พระถังซัมจั๋งรู้สึกหิวจึงให้เห้งเจียเหาะไปบิณฑบาต เห้งเจียเกรงว่าปีศาจจะมาจับพระถังซัมจั๋งตอนที่ตนไม่อยู่ จึงเอาไม้ตะบองขีดเป็นวงล้อมพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วบอกพระถังซัมจั๋งให้อยู่แต่เฉพาะในวงเพราะ บริเวณนี้มีอันตรายยิ่งนัก กำชับว่า “อันวงแห่งความว่าง (สุญญตา) นี้มั่นคง ยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก ถึงจะมีสิงห์สาราสัตว์ ภูตผีปีศาจ ก็ไม่อาจกล้ำกรายเข้าใกล้ได้ ขอเพียงพระอาจารย์อย่าได้ออกนอกวง นี้เป็นอันขาด” สั่งเสร็จ แล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไป
ไม่นานอากาศเริ่มหนาวเย็น ด้วยวงวางอยู่ในที่กลางแจ้ง และอากาศ เริ่มมีความหนาวเย็นมากขึ้นทุกที โป้ยก่ายชักชวนพระถังซัมจั๋งว่าไปหาที่หลบลมกันดีกว่า เพราะเราอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วไม่เห็นมีภัยใดมาใกล้กราย คงไม่อันตรายใดๆหรอก
ด้วยความหนาวเย็น ทั้งสามพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวจึงออกเดินทางมีโป้ยก่ายนำหน้า ไม่ช้าเดินพลัดเข้าไปในถ้ำของปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋อง (อัสมิมานะ = การถือตนของตน) โดยไม่รู้ตัว โป้ยก่าย กับซัวเจ๋งเห็นในถ้ำมีเสื้อหนาวทิ้งอยู่ในถ้ำ รีบหยิบขึ้นมาสวมเพื่อกันหนาว หาเฉลียวใจไม่ว่าเป็นเสื้อหนาวของปีศาจ ดังนั้นเมื่อสวมเสร็จ เสื้อเริ่มหดรัดตัวตรึงมือตรึงเท้าล้มกลิ้งลงไปกันหมด
ฝ่ายปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋องเฝ้าดูอยู่ เห็นเช่นนั้นหัวเราะกึกก้องด้วยความชอบใจออกมาจับพระถังซัมจั๋ง และสานุศิษย์เข้าไปขังไว้ในถ้ำลึก และรอให้เห้งเจียกลับมาเพื่อเตรียมจับไว้อีก จะได้มีเนื้อไว้เหลือเฟือแจกจ่าย ให้หมู่ลูกสมุน
กล่าวถึงเห้งเจียกลับมาจากบิณฑบาต ขณะอยู่บนท้องฟ้ามองลงไป แลเห็นวงว่างไม่มีพระถังซัมจั๋งให้ร้อนใจยิ่งนัก รู้ได้โดยทันทีว่าพระถังซัมจั๋ง ต้องถูกปีศาจจับเสียแล้วเป็นแน่แท้ เที่ยวเดินหาจนกระทั่งไปพบตาเฒ่า พระภูมิเจ้าที่จำแลงมา ชี้ให้เห็นถ้ำกิมเต๊าต๋องอันเป็นสำนักของปีศาจ แรดนอเดียว (อัสมิมานะ = การถือตน ของตน ตัวกู ของกู) เห้งเจียรีบไปยัง หน้าถ้ำแล้วร้องตะโกนท้ารบโหวกเหวก
ปีศาจต๋อกกั๊กได้ยินเสียงท้ารบจึงออกมาจากถ้ำ สู้กับเห้งเจีย เป็นการโกลาหล ต๋อกกั๊กขว้างห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบจิต) ไปรวบ คล้องตะบองยู่อี่ (จิตอันเป็นเสรี) ของเห้งเจียไว้ได้ เห้งเจียรู้ว่าเสียทีวิ่งหนีปีศาจไปนั่งร้องไห้เพราะจนปัญญาที่จะช่วยเหลือพระถังซัมจั๋ง พักหนึ่ง จึงคิดขึ้นมาได้ รีบหกคะเมนตีลังกาไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้กราบทูลความทุกข์ยากให้ทรงทราบ
เง็กเซียนฮ่องเต้จึงโปรดให้ถัักทะลีทีอ๋อง (กุศล = ความดีงาม) และโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมปรุงแต่งประกอบจิต) ผู้บุตรยกกองทัพรามสูร ลงไปปราบต๋อกกั๊ก แต่กลับพ่ายอีกด้วยแพ้ที่ถูกห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) ของต๋อกก๊กรวบเก็บอาวุธวิเศษไว้เสียจนหมดสิ้น
เห้งเจียเหาะไปหาเทพฮ้วยเต็กแชกุน (พระเพลิง) จุ้ยเต็กแชกุน (พระสมุทร)มาสู้กลับถูกห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) รวบเก็บอาวุธไว้เสียสิ้น เห้งเจียถอนขนของตนเนรมิตเป็นเห้งเจียจำแลง มากมายถูกห่วงวิเศษของปีศาจรวบเก็บไว้หมด เห้งเจียพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะห่วงวิเศษได้ จึงรำลึกถึงพระยูไลขึ้นมา จึงเหาะหกคะเมนตีลังกาลิ่วไปยังไซที เขาเล่งซัว วัดลุยอิมยี่ เข้าทูลถึงอุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้น กับพระถังซัมจั๋งในขณะนี้
พระยูไลทรงทราบเหตุการณ์เป็นการล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว จึงรับสั่งให้พระอรหันต์ ๑๘ องค์ (ธาตุ๑๘ = สภาวะที่ดำรงอยู่ ตามเหตุแห่งปัจจัย ที่ปรุงแต่งขึ้น) เหาะไปพร้อมกับเห้งเจีย พร้อมกับยาเม็ดกิมตัน (สมาบัติ = สภาวะที่เข้าถึงสงบประณีต) เพื่อร่วมแรงปราบปีศาจ พระยูไลได้สั่งความกับพระอรหันต์ ๒ องค์ใน ๑๘ องค์ว่า "หากมิเป็นการแล้วให้เห้งเจียเหาะขึ้นไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนเถิด" เมื่อพระอรหันต์ทั้ง ๑๘ (ธาตุ๑๘)ไปถึงปากถ้ำกิมเต๊าต๋อง เห้งเจียร้องท้า ให้ต๋อกกั๊กออกมาสู้รบกัน สู้กันพักหนึ่งต๋อกกั๊กใช้ห่วงวิเศษ (สมถะ = ธรรมที่เป็นเครื่องสงบระงับจิต) รวบยากิมตัน (สมาบัติ = สภาวะที่เข้าถึงสงบประณีต)ไว้ได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นพระอรหันต์เห็นไม่ได้การแล้ว จึงบอกเห้งเจียตามที่พระยูไลแนะนำมา เห้งเจียหกคะเมนตีลังกาขึ้นไปหา พรหมท้ายเสียงเลากุน(อุเบกขา = ความวางใจเฉย ไม่ยินดียินร้าย) ทูลความให้ทรงทราบ
พรหมท้ายเสียงเลากุนรับฟัง ดังนั้นทำการสำรวจวิมานดูรู้ว่าที่แท้ ปีศาจต๋อกกั๊กกุยใต้อ๋อง คือแรดนอเดียว (อัสมิมานะ = การถือตน) พาหนะของพระองค์เอง พรหมท้ายเสียงเล่ากุน (อุเบกขา = ความวางใจเฉย ไม่ยินดี ยินร้าย) จับพัดวิเศษได้เหาะเสด็จลงมาที่ถ้ำกิมเต๊าต๋อง เมื่อต๋อกกั๊กออกมาจากถ้ำก็เอาพัดวิเศษโบกใส่ ทำให้ร่างกลับกายเป็นแรดนอเดียว จากนั้นพรหมท้ายเสียงเล่ากุนขึ้นขี่เหาะกลับไปพรหมโลก
ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปในถ้ำแก้ไขพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวออกมาได้แล้ว พระภูมิเจ้าที่นำอาหารบิณฑบาตมาถวายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ ฉันภัตตาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อหมายทิศปัจฉิมเป็นสำคัญ
(ความตอนนี้เริ่มต้นด้วยฤดูหนาวคือ ความเย็นสงบที่เกิดขึ้นภายหลังจากผ่านอุปสรรคต่างๆ จิตเริ่มจับสาระได้ว่าคุณธรรมอันประเสริฐ คือ ความซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จึงทำให้มีความสงบเย็น จิตเริ่มเข้าใกล้ชั้นพรหมเป็นลำดับ และหากตั้งมั่นในสุญญตา - ความว่าง ก็จะปลอดภัย แต่ทว่าใน ความเยือกเย็นอันสงบนี้ยังมีปีศาจอีกตนหนึ่งแฝงกายอยู่คือ อัสมิมานะ - การถือเราถือเขา ตัวกูของกู เมื่อออกนอกความว่าง (สุญญตา) ยามใด ยามนั้นสมาธิถูกรัดมัดไว้ด้วยอัสมิมานะ
เนื่องจากเชื่อในศีล หลงในศีล ว่าตนเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้สมถะ ไม่เชื่อในปัญญา เป็นสมาธิที่ขาดปัญญา อัสมิมานะจึงเกิดขึ้น เพราะปัญญา จะทำหน้าที่ให้เข้าใจว่า สมถะมีความคล้ายใกล้เคียงสุญญตา มีอำนาจให้จิตสงบระงับหลุดพ้นสิ่งปรุงแต่งใดๆได้ อย่างไรตามเมื่อสมถะที่เกิดมี อัสมิมานะขึ้นเป็นกิเลสตัณหาชั้นพรหม เป็นภวตัณหา - ความอยากจะมี อยากจะเป็นพาลทำตนดุจพระอริยะเจ้า เพราะมีตัณหาในอัสมิมานะที่ว่า “ฉันเป็นหนึ่ง ๆๆ”
เมื่อมีอัสมิมานะเกิดขึ้น ให้เพ่งพิจารณาถึง ธาตุ ๑๘-พระอรหันต์ ๑๘ องค์ เพื่อพิจารณาว่าสภาวะที่ดำรงอยู่นั้นเป็นไปตามปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้น อันได้แก่
๑. จักขุธาตุ-จักขุปสาท
๒. รูปธาตุ-รูปารมณ์
๓. จักขุวิญญานธาตุ-จักขุวิญญาน
๔. โสตธาตุ-โสตปสาท
๕. สัททธาตุ-สัททารมณ์
๖. โสตวิญญานธาตุ-โสตวิญญาน
๗. ฆานธาตุ-ฆานปสาท
๘. คันธธาตุ-คันธารมณ์
๙. ฆานวิญญานธาตุ - ฆานวิญญาน
๑๐. ชิวหาธาตุ - ชิวหาปสาท
๑๑. รสธาตุ-รสารมณ์
๑๒. ชิวหาวิญญานธาตุ-ชิวหาวิญญาน
๑๓. กายธาตุ-กายปสาท
๑๔. โผฏฐัพพธาตุ-โผฏฐัพพารมณ์
๑๕. กายวิญญานธาต-กายวิญญาน
๑๖. มโนธาตุ-มโน
๑๗. ธรรมธาตุ-ธรรมารมณ์
๑๘. มโนวิญญานธาตุ-มโนวิญญาน)
จาก
http://www.khuncharn.com/skills?start=14อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1สำรอง
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11748.0.html