ภวตัณหา กับ โพธิปัญญา พระถังซัมจั๋งและศิษย์รอนแรมกันมาระหว่างทางถูกโจร ๒ คน คุมพรรคพวกเข้าปล้น เห้งเจียชักตะบองออกตีจนโจร ๒ คนตาย พระถังซัมจั๋งโกรธเห้งเจียด่าว่า โหดร้าย ไร้ศีลธรรม เห้งเจียเถียงว่า ขืนไม่ฆ่ามันๆจะฆ่าอาจารย์ อาจารย์กับศิษย์ต่างเคืองซึ่งกันและกัน
ครั้นตกกลางคืน พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์เข้าขอพักค้างที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งหารู้ไม่ว่าเป็นบ้านของบิดาของสมุนโจรที่เห้งเจียตีตาย ฝ่ายบุตรชายเจ้าของบ้านสมุนโจร คิดแก้แค้นแทนบิดาจึงคุมพรรคพวกเข้าจับตัวเห้งเจีย หมายจะฆ่าเพื่อแก้แค้น แต่กลับถูกเห้งเจียตีจนตาย มิหนำซ้ำ ยังตัดคอนำมาเป็นหลักฐานให้พระถังซัมจั๋งดู
พระถังซัมจั๋งโกรธสุดขีด จึงร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจีย มงคลที่สวมหัวบีบจนเห้งเจียล้มกลิ้งไปกลิ้งมา พระถังซัมจั๋งเดือดดาลไล่เห้งเจีย ไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียน้อยใจเป็นอย่างยิ่งร้องว่าตนจะไม่ยอมร่วมทางไปด้วยเช่นกัน ครั้นจะกลับไปถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องก็รู้สึกอับอายลูกสมุนลิง คิดดังนั้น จึงเหาะละลิ่วไปยังสำนักน่ำไฮ้ของพระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์กวนอิมขอให้เห้งเจียพักอยู่ที่นี่ก่อน เพราะว่าเล็งโดยฌานรู้ว่า การไปไซทีนั้น หากปราศจากเห้งเจียนำทางแล้วเป็นไปไม่ได้ เมื่อพระถังซัมจั๋งให้โป้ยก่ายนำทาง ครั้นเมื่อยามคับขันแล้วจะต้องมาตามที่นี่อยู่ดี
ด้านพระถังซัมจั๋งเมื่อไล่เห้งเจียไปแล้ว สั่งให้โป้ยก่ายจูงม้านำทาง พอตะวันใกล้เที่ยงพระถังซัมจั๋งให้โป้ยก่ายเหาะไปบิณฑบาต โป้ยก่าย เหาะหายไปนานจนพระถังซัมจั๋งหิวจัดทุรนทุราย ซัวเจ๋งจึงรับอาสาไปหาน้ำมาให้พระถังซัมจั๋งรองท้อง พระถังซัมจั๋งจึงอยู่กับม้าขาว และหาบห่อจีวร เพียงลำพัง
ทันใดนั้น เห้งเจียปรากฏกายออกมาพร้อมด้วยหม้อน้ำ ก้มลงถวายน้ำแด่พระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งยังโกรธไม่หายร้องด่าว่าแล้วยังขับไล่อีก เห้งเจียโกรธลุกขึ้นฉวยตะบองได้ทุบตีพระถังซัมจั๋ง จนล้มคว่ำสลบแน่นิ่งไป จากนั้นเห้งเจียหอบข้าวของและห่อจีวรหนีไปยังถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องภูเขาฮ้วยก๊วยซัว
โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งพบกันระหว่างทาง แล้วรีบเดินทางกลับมาเห็นพระถังซัมจั๋งนอนนิ่งอยู่ เข้านวดเฟ้นจนฟื้นขึ้นมา พระถังซัมจั๋งเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทั้งโป้ยก่ายและซัวเจ๋งโกรธแค้นกัดฟันกรอดๆ แค้นที่เห้งเจียกลับกลายมาทรยศเนรคุณต่ออาจารย์ของตัวเอง
พระถังซัมจั๋งให้เศร้าใจที่ไม่มีจีวรครอง ขอร้องให้ซัวเจ๋งช่วยตามไปเอาคืนมาให้ด้วย ซัวเจ๋งคว้าอาวุธเหาะลิ่วไปยังถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง พบเห็น เห้งเจียกำลังจัดขบวนไปไซทีใหม่ โดยเนรมิตพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวขึ้น
ซัวเจ๋งเห็นเข้า ให้โกรธสุดขีดคว้าตะบองไล่ทุบตีซัวเจ๋งตัวปลอมจนตาย เห้งเจียสั่งให้สมุนรุมกันจับซัวเจ๋ง ซัวเจ๋งเห็นเหลือกำลังจึงล่าถอย เหาะไปยังสำนักน่ำไฮ้เพื่อไปฟ้องพระโพธิสัตว์กวนอิมเรื่องเห้งเจียทรยศ เนรคุณ ซ้ำร้ายคิดกำเริบจะเดินทางไปอาราธนาพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง
ครั้นถึงน่ำไฮ้ซัวเจ๋งพบเห้งเจียยืนอยู่ข้างกวนอิม ตรงเข้าไล่ทุบไล่ตีเห้งเจียจนพระโพธิสัตว์กวนอิมร้องห้ามไว้ แล้วสอบถามเรื่องราวที่ว่าเห้งเจียทรยศเนรคุณ แล้วชี้แจงให้ซัวเจ๋งฟังว่าเห้งเจียนั้นอยู่ที่สำนักน่ำไฮ้ตลอดเวลาไม่ได้ไปไหน
ซัวเจ๋งให้รู้สึกประหลาดใจ แล้วเล่าเหตุการณ์เพิ่มเติมอีกว่า ตนได้ไปพบเห้งเจียอีกตนหนึ่งที่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง เห้งเจียได้ฟังให้โกรธที่มีผู้ที่บังอาจ มาปลอมแปลงเป็นตนไปทำร้ายพระถังซัมจั๋ง จึงชวนซัวเจ๋งเหาะลิ่วไปสู่ภูเขาฮ้วยก๊วยซัว
เมื่อไปถึงพบเห้งเจียอีกตนหนึ่ง เห้งเจียไม่พูดจาซักถามอะไร ตรงเข้าทุบตีด้วยความแค้นใจ ต่างสู้รบกันนัวเนียจนซัวเจ๋งไม่รู้ว่าจะช่วยฝ่ายไหนดี เห้งเจียจึงรบหลอกล่อให้สู้กันไปจนถึงพระพักตร์พระโพธิสัตว์กวนอิม เพื่อภาวนาคาถาให้มงคลบีบขมับ
ครั้นเมื่อกวนอิมภาวนาคาถาแล้ว เห้งเจียทั้งสองต่างล้มกลิ้งไปมาด้วยกันทั้งคู่ แสร้งร้องเรียกชื่อขานรับด้วยกันจนแยกไม่ออกว่าตัวไหน ตัวจริงตัวไหนตัวปลอม
เมื่อไม่สำเร็จ เห้งเจียรบล่อลงไปในนรกเพื่อให้ยมบาลเปิดบัญชีดูว่า ใครบังอาจปลอมแปลงมา ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน จึงสู้รบกันต่อไปอย่างไม่จบสิ้น
จนกระทั่งพระโพธิสัตว์ เตจ๋องอ๋อง(ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน) ได้ใช้ให้สิงห์ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า (ชื่อทีเทีย) ล้มตัวนอนลงกับดิน จึงรู้ความลับของเห้งเจียทั้งสองสิ้น ทีเทียกราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า แม้เห้งเจียปลอม (ภวตัณหา) ตัวนี้ก็เป็นตัวจริงเหมือนกัน แต่ไม่สามารถ พูดออกมาได้ในตอนนี้ เพราะจะเกิดการจลาจลโกลาหล จนไม่มีความสุขได้ เลยเพราะฤทธิ์ของเห้งเจียทั้งสองนี้เสมอกัน ไม่มีใครแยกแยะได้ เว้นแต่พระยูไล ความนี้พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋องแจ้งให้เห้งเจียทั้งสองทราบ
ฝ่ายเห้งเจียตัวจริงได้ยินเช่นนั้น ออกแรงรบล่อไปไซทีเสียก้องอึกทึกไปทั่วทั้งฟ้าแลดิน พระยูไลทรงตรัสเรียกให้สาวกออกมาดู แล้วกล่าวว่า “เธอจงสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งคอยดูสองจิตรบกัน” (โสหํ และ เนติ - จิตหนึ่งอยาก และจิตหนึ่งเพียรละความอยาก) แล้วยังเล่าเสริมให้สาวกฟังอีกว่า ลิงที่กำเนิดจากฟ้านั้นมี ๔ ประเภท เรียกว่า มูลวานร ๔ ได้แก่
๑.เจื๊อเก๊า (ธรรมปฏิสัมภิทา) มีฤทธิ์แปลงกายได้ทุกอย่าง รู้ฟ้า-ดิน
๒.เบ๊เก๊า (อรรถปฏิสัมภิทา) รู้ฟ้าดินด้วย รู้เรื่องมนุษย์ด้วย และเป็นอมตะ
๓.อวนเก๊า (ปฏิภาณปฏิสัมภิทา) มีฤทธิ์ลูบพระอาทิตย์ และพระจันทร์ได้
๔.ลักฮิ๊เก๊า-หกหู (นิรุกติปฏิสัมภิทา) รู้แจ้งสิ่งทั้งปวงมีหูที่ฟังเสียง ได้ไกลนับพันโยชน์
พระยูไลตรัสเรื่องมูลวานร ๔ (ปฏิสัมภิทา ๔) เสร็จเอาบาตรขว้างไปครอบลักฮิ๊เก๊าที่เหมือนกับเห้งเจียทุกประการ เห้งเจียตัวจริงกำลังโกรธ ไม่ฟังเสียงห้ามของพระยูไลเอาตะบองกระทุ้งลงไปในบาตรจนลิงหกหูถึงแก่ความตาย แล้วทูลลาเหาะมุ่งไปหาพระถังซัมจั๋งระหว่างทาง
ส่วนโป้ยก่ายเหาะไปยังถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง เอาคราดเก้าซี่สับพระถังซัมจั๋งตัวปลอม โป้ยก่ายตัวปลอมตายสิ้น แล้วนำหอบห่อจีวรของพระถัง ซัมจั๋งเหาะกลับมาสมทบกับคณะ เห้งเจียกับพระถังซัมจั๋งก็คืนดีกัน แล้วก็ออกเดินทางต่อไปทางทิศปราจีน
(ความตอนนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไปคนละทิศคนละทาง เพราะปัญญานั้นสามารถหยั่งรู้ในกิเลสตัณหาเป็นอย่างดี เกิดหลงทาง เมื่อปัญญาแยกตัวออกไปแล้ว สมาธิบังเกิดกิเลส คิดว่าความสงบนิ่งกำลังเข้าถึงสู่โพธิปัญญา อยากเป็นพระโพธิสัตว์(มิจฉาปัญญา) อยากเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่ควรอยากพ้นทุกข์ หรือ อยากดับทุกข์จึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นโพธิปัญญากับกิเลสตัวนี้ จึงมีความเหมือนกันจนแยกไม่ออก เปรียบดังการบวชเรียนที่แตกฉานภาษาบาลี สันสกฤต อธิบายธรรมะ ได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์แต่หาเข้าใจอย่างแท้จริงไม่ มีความคล่องแคล่วในการแยกแยะธรรมะ แตกฉาน ในภาษาในเรื่อง อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา จนกระทั่งหลอกได้แม้กระทั่งตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว เนื่องเพราะเป็นผู้ทรงวิชาความรู้ในพระไตรปิฎกยิ่งนัก เป็นที่สรรเสริญเยินยอแก่คนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ตัณหาอยากจะมีอยากจะเป็นเช่นนี้ (ภวตัณหา) จำต้องตีให้ตายเพราะอาจย้อนกลับมาอีกเมื่อไรก็ได้)
จาก
http://www.khuncharn.com/skills?start=21อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1สำรอง
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11779.0.html