24 พฤศจิกายน 2567 02:47:01
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
.:::
การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ) (อ่าน 5850 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
เมื่อ:
14 เมษายน 2553 07:00:45 »
Tweet
การ
เกิด
ขึ้น
แห่ง
อัตตา
โดย
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
การเกิดขึ้นแห่ง "อัตตา" นั้น มาจากจิตที่ตั้งไว้ผิด พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า
จิตที่ตั้งไว้ผิด
ย่อมนำมา
ซึ่ง
อันตรายซึ่งร้ายยิ่งกว่าอันตรายที่ศัตรูใจอำมหิตจะพึงกระทำ
ให้
จิตที่ตั้งไว้ถูก
จะนำมา
ซึ่งประโยชน์มากกว่า
คนที่หวังดีที่สุด
มีบิดามารดา เป็นต้น
จะทำให้ได้
ทั้งนี้เป็นการชี้ให้เห็นโทษของการที่ตั้งจิตไว้ผิด แต่สิ่งที่มนุษย์ในโลกกำลังกลัวกันนั้น หาใช่จิตที่ตั้งไว้ผิดไม่ เพราะเขายังไม่รู้จักสิ่งๆ นี้ และไม่เคยคิดถึงสิ่งๆ นี้ จึง
ไปสนใจกลัวสิ่งซึ่งไม่น่ากลัวเท่า
สิ่งๆ นี้ เช่น กลัวลัทธิการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามบ้าง กลัวสงคราม หรือ การอดอยาก กลัวผีสาง กลัวเทวดา กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ กลัวกันจนถึงกับหมดความสุข
หรือกลายเป็น
ความทุกข์ทั้งกลางวันและกลางคืน
ทุกข์ภัยทั้งหมดของโลกมาจากจิตที่ตั้งไว้ผิดนี่เอง คือ จิตที่ตั้งไว้ผิด ก็ทำให้เกิดลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาขึ้น ทำให้เกิดการอดอยาก การเบียดเบียน และการสงคราม ฯลฯ เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว ชาวโลกก็หาได้สนใจไม่ ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ จึงจัดการแก้ไขไปอย่างผิดๆ กระทำไปด้วยความกลัว
เพราะไม่มีธรรมะ ซึ่งสามารถขจัดความกลัวออกไปเป็นอย่างดี
(แม้ลำพัง ความกลัวล้วนๆ ท่านก็ถือว่า เป็นจิตที่ตั้งไว้ผิดเหมือนกัน) เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า มีจิตที่ตั้งไว้ผิด
อยู่เป็นตอนๆ ต่อเนื่องกันไป
หลายระดับ เมื่อไม่มีการตั้งจิตไว้ในลักษณะที่ถูกต้องเลย สิ่งที่เรียกว่า
"อัตตา"
หรือ
ความเห็นแก่ตัวจัด
ความเห็นว่ามีตัวมีตน จึงเต็มไปหมด
แม้กระนั้น ก็ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่สนใจว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร จนทำให้โลกนี้ตกอยู่ในสภาพ ที่อยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา คือ ความมืดมนอลเวง เต็มไปด้วยปัญหายุ่งยาก ซึ่งสรุปแล้วก็คือ ความทุกข์ แล้วก็แก้ไขความทุกข์กันไปเรื่อยๆ ด้วยอาการที่รู้สึกว่า ตื่นเต้นสนุกดี คือได้ลองฝีมือใช้ความรู้ใหม่ๆ แปลกๆ แม้จะแก้ไขความทุกข์ของโลกไม่ได้ ก็ยังเพลิดเพลิน อยู่ด้วยความรู้ หรือ ความสามารถใหม่ๆ เหล่านั้น
เป็นเสมือนเครื่องหลอก
ให้อุ่นใจไปทีก่อน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อาการเช่นนี้เอง ที่เป็น
เครื่องปิดบัง
ไม่ให้ไปสนใจถึงต้นเหตุอันแท้จริง ของวิกฤตการณ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ
ไม่สนใจในเรื่องจิตที่ตั้งไว้ผิด
กล่าวคือ "
อัตตา
"
กระแส
แห่งการมี "
ตัวตน-ของตน
" จึงไหลไปเรื่อย
ฉะนั้น ทำให้เรา
เห็นได้ว่า
กำเนิด
ของ
อัตตา หรือ
"ตัวเรา-ของเรา"
ก็คือ
อวิชชา
น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ใครๆ ก็พยายามจะแสดงตนว่า เป็นผู้รู้จักอวิชชา และ
ให้ความหมายของ
อวิชชา
กันไปเองตามชอบใจ
ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นผู้เข้าใจ หรือรู้จักอวิชชา อย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็เป็นที่น่าขบขัน ที่ความรู้นั้น
ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว และยังแถมเข้ากันไม่ได้กับ ความหมายของอวิชชาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
อวิชชาไม่ได้หมายถึงความไม่รู้อะไรเลยแต่เพียงอย่างเดียว กลับจะหมายถึงรู้อะไรมากมายไม่มีที่สิ้นสุดด้วยซ้ำไป แต่เป็นความผิดทั้งนั้น คือเห็นกลับตรงกันข้ามไปหมด เช่น
เห็นมูลเหตุของความทุกข์
เป็น
มูลเหตุของความสุขไป
อย่างที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ว่า ความทุกข์นั้น มันอะไรกันแน่ อะไรเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ สภาพที่ปราศความทุกข์จริงๆ นั้นเป็นอย่างไร
และ
วิธีปฏิบัติ
อย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึง
สภาพที่ไม่มีความทุกข์
เราอาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้ชนิดใดๆ มากมายเท่าใดก็ตาม ถ้าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ในสิ่งทั้ง ๔ ดังที่กล่าวมานี้แล้ว
ต้องถือว่าเป็น
อวิชชา ทั้งนั้น คือเป็นความรู้ที่ใช้ไม่ได้เลยในการที่จะกำจัดความทุกข์ ฉะนั้น ถ้าจะมีคำแปลที่ถูกต้องรัดกุมของคำว่า อวิชชาแล้ว จะต้องแปลว่า
ธรรมชาติ
ที่ปราศจากความรู้ชนิดที่จะดับทุกข์ได้ หรือ
กล่าวว่าสภาวะที่
ปราศจาก
ความรู้ที่ดับทุกข์
ได้
นั่นแหละคือ
อวิชชา
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้โดยเฉพาะคือ ตรัสเอาความไม่รู้
อริยสัจจ์ทั้ง๔
ว่าเป็นอวิชชา หมายความว่า แม้เขาจะมีความรู้มากมายเท่าไรอย่างไรก็ตาม
แต่ถ้าไม่รู้อริยสัจจ์ทั้ง๔
แล้วก็ถูกจัดว่าเป็นอวิชชา ฉะนั้นจึงทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกว่า โลกเรากำลังอยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา หรือ ความรู้ที่ไม่ใช่วิชชาของพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถจะช่วยชาวโลกได้ ในที่สุด ก็เข้าทำนองที่เรียกว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" กล่าวคือ ความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นเครื่องทำให้โลกวินาศอยู่ภายใต้ความรู้นั้นเอง
ตามหลักธรรมะในพุทธศาสนา พึงทราบไว้เสียก่อนว่า บรรดาเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่จิตนั้น ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า
อารมณ์เป็นที่ตั้งอาศัย หรือที่เรียกว่า
เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ
"
อารมณ์
" แปลว่า สิ่งอันเป็นที่ยึดด้วยความยินดี แต่ความหมายอันแท้จริงนั้น
เป็นที่ยึดหน่วงเพื่อยินดีก็ได้ หรือไม่พอใจก็ได้
แล้วแต่ว่า จิตนั้นได้รับการอบรมมาอย่างไร คือมีอวิชชานั่นเอง เมื่อ ตาหูจมูกลิ้นกาย
กระทบ รูปเสียงกลิ่นรสวัตถุ
ก็เกิดความรู้สึก
แต่ความรู้สึกของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน
และอาจรู้สึก
ตรงกันข้ามก็ได้
แม้จะเป็นไปในทางใจก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งการเกิดขึ้นมาของ "ตัวตน-ของตน" ด้วยกันทั้งนั้น
เว้นเสียแต่ว่า
จิตนั้นเป็นจิตที่หมดอวิชชาโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น
อวิชชา
จึงเป็นมูลเหตุให้เกิด "
ตัวตน-ของตน
" ขึ้นมา
เพราะอาศัย
สิ่งที่เรียกว่า อารมณ์
เป็นเหตุปัจจัย
ถ้าเป็นอารมณ์ร้ายก็เกิด
"ตัวตน" อย่างร้าย
ถ้าเป็นอารมณ์ดีก็เกิด "ตัวตน" อย่างดี
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 12:58:08 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #1 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 07:22:41 »
เมื่อมีความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตนเกิดขึ้นมาอย่างเต็มในรูปนี้แล้ว ก็นับได้ว่า การเกิดหรือชาติใหม่ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว และหลังจากนั้นความทุกข์จักต้องตามมาโดยสมควรแก่กรณี คือมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนในกรณีของผู้ที่หมดอวิชชาเช่นพระอรหันต์นั้น ท่านไม่มีความรู้สึกว่า พอใจหรือไม่พอใจ กล่าวคือ
ไม่คิดปรุงให้เป็นอารมณ์ดี หรือเป็นอารมณ์ร้ายขึ้นมาได้ ความรู้สึกว่า "ตัวเรา-ของเรา" จึงไม่มีช่องทางที่จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้เป็นเพราะไม่มีอวิชชาเข้ามาบันดาล มีแต่วิชชาที่แท้จริงอยู่ประจำ การกระทบของอายตนะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก็เป็นแต่สักว่าการกระทบ
พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็สิ้นสุดลง ไม่คิดปรุงเป็น
ความรู้สึก
หรือเป็น
ความอยาก
ขึ้นต่อไป ความรู้สึกว่า "ตัวตน-ของตน" จึงไม่เกิดขึ้น เพราะกระแสแห่งการเกิดถูกตัดตอนเสียแล้ว ตั้งแต่ในขั้นของการกระทบ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า
เพราะอวิชชามีอยู่ อารมณ์จึงเกิดมีความหมายขึ้นมา จิตที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา ย่อมคิดปรุงเป็นความรู้สึกที่เป็น "ตัวเรา-ของเรา"
เนื่องมาจากอารมณ์นั้นๆ
อารมณ์ที่ประทับใจแรงและนาน เราเรียกเป็นอารมณ์ใหญ่ อารมณ์ที่มีความประทับใจนิดหน่อย เรียกอารมณ์เล็ก ส่วนที่อยู่ในระหว่างนั้นเรียกว่า อารมณ์ธรรมดา กรรมต่างๆ ที่กระทำลงไป
สุดแต่กำลัง
ของอารมณ์ที่ใหญ่หรือเล็ก อารมณ์ที่เป็นเหตุให้ทำกรรมขนาดใหญ่ ย่อมมีกำลังมากพอที่จะทำให้ร่างกายสั่น หรือใจสั่น หมายความว่า มีการประทับใจมาก จึงมีเจตนามาก มีผลเกิดขึ้นคือ ทำให้เกิด "ตัวเรา-ของเรา" ชนิดที่ใหญ่หลวง ทำให้เกิดความระส่ำระสายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ถ้าอารมณ์น้อยก็เป็น "ตัวเรา-ของเรา" อย่างน้อย และมีความทุกข์น้อย ฉะนั้น จึงเป็นตัวตนอย่างมนุษย์ธรรมดาก็ได้
ฉะนั้น ใครจะเป็นตัวตนอย่าง
สัตว์นรก หรือสัตว์เดียรฉาน
ก็ได้
หรือเป็นตัวตนอย่างเทวดา หรือพรหมก็ได้
ในกรณีที่เป็นตัวตนอย่างมนุษย์นั้น ก็อาจจะผิดแปลกแตกต่างกันไปอีก ทั้งนี้แล้วแต่ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นอะไรในขณะนั้น เช่น เป็นบิดามารดา เป็นลูกหลาน เป็นภรรยาสามี เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นนายเป็นบ่าว เป็นคนสวยคนไม่สวย เป็นคนแพ้คนชนะ
กระทั่งรู้สึกว่า ตัวเป็นคนโง่ หรือคนฉลาด เป็นคนมีบุญมีบาป คนดีคนชั่ว คนมีสุขหรือคนมีทุกข์
ดังนี้เป็นต้น นี้คือ "ตัวตน"
ที่ถูกปรุงขึ้นมาด้วยอวิชชาในรูปต่างๆ กัน
ล้วนแต่จะต้อง
เป็นทุกข์ เพราะความยึดถือว่า
เป็นอย่างนั้นๆ ด้วยกันทั้งนั้น เพราะจะต้องมีความเห็นแก่ตัว
ตามความเข้าใจว่า
ตัวเป็นอย่างไร
ก่อนแต่จะเกิดความยึดถือขึ้นมานั้น จะต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่า "
ตัณหา
" ขึ้นก่อน ตัณหาแปลว่า
ความอยาก
เมื่อมีความอยาก ชนิดหนึ่งชนิดใดในสิ่งใดก็ตาม สิ่งที่เราเรียกกันว่า ความยึดถือ หรืออุปาทาน ก็เกิดขึ้น เพราะในความรู้สึกอยากนั้นเอง จะต้องมีความรู้สึกเป็นตัว
ผู้อยาก
รวมอยู่ด้วยเสมอไป อารมณ์ถูกใจก็เกิดความอยากขึ้นชนิดหนึ่ง อารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็เกิดความอยากขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เป็นความอยากด้วยกันทั้งนั้น
ความรู้สึกที่เป็นผู้อยากนั่นแหละคือ "ตัวตน"
ในที่นี้ ความรู้สึกทั้งสองชนิดนี้เรียกว่า
ความยึดถือ หรือ อุปาทาน
คือยึดถือว่าเป็น "
ตัวเรา
" และยึดถือว่าเป็น "
ของเรา
"
ผู้ศึกษาจะสังเกตเห็นได้เลาๆ แล้วว่า ตัณหาและอุปาทานนี้มีมูลมาจาก
อวิชชา
กล่าวคือ เพราะไม่รู้จึงได้ไปอยากไปยึดถือ มีความโลภก็เพราะไม่รู้ว่าไม่ควรโลภ มีความโกรธก็เพราะไม่รู้ว่าไม่ควรโกรธ มีความหลงก็เพราะไม่รู้ว่าไม่ควรหลง นี้แสดงว่า
โลภโกรธหลงมีมูลเหตุมาจากอวิชชา
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกทั้งหลายที่เป็นของผิด ก็ล้วนแต่มาจากอวิชชาทั้งนั้น
ตัณหา(ความอยาก) แบ่งออกได้เป็น ๓ ประการ คือ อยากไปตามความใคร่ในของอันน่ารักน่าใคร่ นี้เรียกว่า
กามตัณหา
,ความอยากชนิดที่ทำให้อยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรือแม้อยากจะมีชีวิตอยู่ นี้เรียกว่า
ภวตัณหา
,ความอยากประเภทสุดท้ายนั้นตรงกันข้ามจากภวตัณหา กล่าวคือ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้นอยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ แม้กระทั่งอยากไม่มีชีวิตอยู่นี้ เรียกว่า
วิภวตัณหา
การทำความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง
ในความหมายของ
ตัณหา
ทั้ง ๓ นี้
เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าปนกันจนฝั่นเฝือแล้วก็ยากที่จะเข้าถึงธรรมะได้ ฉะนั้น จำเป็นจะต้องรู้จักแยกแยะให้เป็นประเภทๆ ไป
ความรู้สึกของ "ตัวตน" ก็มีอยู่ตามประเภทของตัณหา
คือเป็น ๓ ประเภทเหมือนกัน
"ตัวตน" ในประเภทกาม
ก็ทะนงเกี่ยวกับเรื่องกาม
"ตัวตน" ในประเภทรูปพรหม
ก็ทะนงตัวว่า
สูงหรือประเสริฐกว่าพวกที่พัวพัน
ในกาม
"ตัวตน" ประเภทอรูปพรหม
ก็ทะนงตัวว่า
ความบริสุทธิ์ของตนนั้น
สูงกว่า
ความบริสุทธิ์
ของพวก
รูปพรหม
ดังนั้นมันจึงเป็น
มานะหรือทิฎฐิ
ไปด้วยกันทั้งนั้น และยังมี
ความทุกข์
อยู่นั่นเอง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 14:02:58 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #2 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 07:41:56 »
เมื่อกล่าวโดยทาง
ปรมัตถ์
แล้ว ภาวะทั้งหมดนี้มีได้ในมนุษย์เราครบทุกชนิดของตัณหาและของ "ตัวตน" เช่น ในบางคราว จิตของคนเราผละไปจากกามของรักของใคร่ ไปยึดถือที่เกียรติไม่เกี่ยวกับกาม นี้ก็คือ
อาการ
ที่ถูกภวตัณหาครอบงำ หรือกล่าว
อย่างสมมติ
ก็ว่า กำลังเป็น "ตัวตน" ชนิด
รูปพรหม
ทีนี้บางคราวจิตเลื่อนไปสูงกว่านั้น คือไม่เห็นแก่กามไม่เห็นแก่เกียรติ แต่ไป
พัวพัน
กับนามธรรมอันละเอียด เช่น ความรู้จริงความดีจริง มีจิตใจสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ไปมี "ตัวตนอยู่ที่สิ่งที่ไม่มีรูปอันบริสุทธิ์แบบ
อรูปพรหม
จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการเทียบเคียงดูจนเห็นว่า พวกที่หลงใหลในนกเขา ต้นบอน หรือต้นไม้ดัด เป็นต้น
ย่อม
มีใจสะอาดกว่าพวกกำลังหลงใหลกามคุณ คือเรื่องทางเพศตรงข้าม ส่วนพวกที่
สนใจพิจารณา
รูปธรรม หรือ นามธรรมบางอย่าง เขาผู้นั้นย่อมมีใจสะอาดขึ้นไปกว่าพวกเล่นนก เล่นบอน หรือไม้ดัด ฯลฯ
ฉะนั้น
การแบ่งเป็นชั้นๆ คือ ชั้น
กามาวจร รูปาวจร และ อรูปาวจร
จึงมีได้เป็นได้ในหมู่คนเราที่ยังเป็นๆ อยู่นี้แหละ
ตามแต่ที่อวิชชาจะดึงไป
ในรูปไหน แต่ทั้งหมดนั้น ยังเป็นเพียงตัณหาที่มีมูลมาจากอวิชชา และจะต้องมีความทุกข์
ในรูปที่ต่างกัน
เมื่อเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า
ตัณหา
แล้ว เราจะได้พิจารณากันถึงการที่ตัณหาเกิดขึ้นได้ในอารมณ์นั้นๆ จนกระทั่ง เกิดอุปาทานหรือ "อัตตา" ต่อไป ตัวอย่างเช่น
เมื่อเรา
เห็น
ดอกไม้ที่งดงามดอกหนึ่ง
ความรู้สึก
อาจจะเกิดขึ้นในทางที่เป็นตัณหาก็ได้ ไม่เป็นตัณหาเลยก็ได้ เช่น ถ้าเรารู้สึกสวยงามติดอกติดใจหลงใหลในสี และในกลิ่น การเห็นเช่นนี้ ก็กลายเป็นตัณหาไป
แต่ถ้า
การเห็นนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกไปในการศึกษา
เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาล้วนๆ หรือเกิดความรู้สึกว่า ดอกไม้นี้เป็น
มูลเหตุ
ของความเหน็ดเหนื่อยความหมดเปลือง และความลุ่มหลงของมนุษย์ หรือมันเป็น
อนิจจังทุกขังอนัตตา
ที่ซ่อนไว้
ภายใต้ความงามและความหอม อย่างนี้เรียกว่า
ยังไม่ถูกกามตัณหาครอบงำ
และการเห็นก็ไม่ได้
เป็นที่ตั้งของตัณหา
เพราะไม่มี
อวิชชา
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่
กลับมีวิชชา
เข้ามาแทน ตัณหาก็ไม่เกิด จึงไม่เป็นทุกข์ เพราะตัวตนไม่เกิด นี่คือ
หลักเกณฑ์ อันเกี่ยวกับความหมายของอารมณ์ที่มากระทบ
ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดีและมากเพียงไร ก็ยังบังคับควบคุมอารมณ์ของตนไว้ได้โดยมิให้เกิดเป็นตัณหา
ผู้ใดไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของ
อวิชชา
แล้ว
อารมณ์
ก็เป็นสักว่า
อารมณ์ สัมผัสหรือความรู้สึก
ที่เกิดมา
จากอารมณ์นั้นๆ
ก็เป็นแต่สักว่า
การสัมผัส และความรู้สึก
ไม่ก่อให้
เกิดตัณหา หรือ
ความยึดมั่น
ในอะไรๆ หมายความว่า
ไม่ทำ
ความทุกข์
ให้เกิดขึ้น แต่เป็นความว่างจากทุกข์อยู่ตามเดิม และสติปัญญายังงอกงาม
ไปในทาง
ที่จะทำลายความทุกข์
ใน
กาล
ข้างหน้ายิ่งขึ้น
ตัณหาประเภทที่ ๑ ที่อาศัยอารมณ์อันเป็นไปในทางกาม และยิ่งเมื่อมีความหมายเกี่ยวด้วยเพศตรงกันข้ามด้วยแล้ว ก็ย่อมจะเป็นตัณหาที่แรงและสมบูรณ์ ฉะนั้น ตัณหาที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ ย่อมถูกจัดไว้เป็นตัณหาของสัตว์ทั่วไป ใน
ภูมิกามาวจร
คือ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ และเทวดา
ตัณหาประเภทที่ ๒ แปลกเป็นพิเศษออกไป คือไม่ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า กาม และยังรู้สึกรังเกียจต่อสิ่งที่เรียกว่า กาม เสียด้วย ข้อนี้หมายความว่า คนเราบางพวก หรือบางขณะ มีจิตใจที่ไม่แยแสต่อกาม
ในกรณีของคนธรรมดาสามัญ ก็เช่น ความอยากในเกียรติยศ
หรือ ความดีความงาม
อะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตามที่ตนยึดถือ
หรือที่รู้สึกว่า
น่าปรารถนา
บางคราวเรารู้สึกอยากจะอยู่เฉยๆ โดยไม่มีใครมากวน บางคราวอยากจะเดินทางไกล หรือไปพักผ่อนในที่เงียบ ที่ชายทะเล ไปนั่งนิ่งๆ คนเดียว
แล้วก็พอใจในรสชาติที่เกิดขึ้นเพราะการทำอย่างนั้น เมื่อเป็น
สิ่งที่ถูกใจ
ก็มี
ความ
อยาก
ตัณหาชนิดนี้จึงไม่ควรถูกจัดไว้เป็น
พวกกาม
ดังที่กล่าวในประเภทที่ ๑ แต่เป็นตัณหาอีกประเภทหนึ่งที่รังเกียจกาม และ
ที่ยิ่ง
ขึ้นไปกว่านั้นก็คือ ความลุ่มหลงของผู้ที่พอใจในสุขอันเกิดจาก
ฌาณ
(การนั่งเพ่งจนจิตแน่วแน่)
อย่างบทกลอนที่เราได้ยินกันในหนังสือแบบเรียนสมัยก่อนว่า "เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา จำศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกคืนวัน" นี่มีความหมายอันแสดงว่าเป็นความต้องการ หรือความมุ่งมาดอย่างแรงกล้าอย่างหนึ่ง
อันเป็น
ที่
ตั้ง
แห่ง
ความ
ลุ่มหลง
เหมือนกัน
รวมความว่า นักสมาธิหรือพวกบำเพ็ญตบะแบบโยคี ถ้าเขา
ทำไปเพราะ
ความหวังความสุขจากความสงบล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกามเลย ก็เรียกว่า
ตัณหาที่ไม่เกี่ยวด้วยกาม
แต่ถ้ามีความเชื่อและมีความมุ่งหมายว่า การบำเพ็ญตบะนั้น
จะนำมาซึ่ง
ผลเป็นความสุขจากเพศตรงข้าม
ในชาตินี้
หรือ
หลังจากตายแล้ว เช่นการไปเกิดในสวรรค์ที่สมบูรณ์ไปด้วย
กามคุณ
เป็นต้น
ความอยากของเขาก็ต้องจัดเป็น
กามตัณหา
ไปตามเดิม ข้อนี้อาจจะเปรียบเทียบได้กับบางคน
ที่ยึดมั่นในเกียรติหรือความดีจริง แต่ถ้ามีความหวังอยู่ว่า เกียรติหรือความดีนั้น
จะเป็น
ทางมาซึ่งวัตถุปัจจัย
อันเป็นที่ตั้ง
ของกามารมณ์ หรือความสุขอันเกิดจากเพศตรงข้าม
ในเวลาต่อไปแล้ว
ตัณหาของเขาก็กลายเป็น
กามตัณหา
ไป
ตามเดิม
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 14:57:12 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #3 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 08:10:54 »
คำที่เราได้ยินกันทั่วๆ ไปว่า มนุษยโลก พรหมโลก หรือ บางทีเรียกว่า กามโลก รูปโลก อรูปโลกนี้ ก็หมายถึง
ภาวะทางจิตใจ
ของเรานี่เอง
กามโลก
คือ ภาวะของสัตว์ที่จิตใจติดในกาม
รูปโลก
คือภาวะของบุคคลที่มีจิตใจมองข้ามกาม แต่ยังไปติดอยู่ที่ความพอใจของสิ่งที่เป็น
รูปธรรม
ล้วนๆ
ที่ตนนำมาเป็นอารมณ์สำหรับการเพ่งจิต หรือการบำเพ็ญฌาน
และ
อรูปโลก
ก็หมายถึงภาวะทางจิตที่ใจสูงไปกว่านั้นอีก เพราะมี
ตัณหาละเอียดประณีต
ยิ่งขึ้น เป็น
ภาวะ
ของหมู่ชนที่มีความ
ลุ่มหลง
ในสิ่งที่ไม่มีรูป หรือเป็นนามธรรมล้วนๆ
ซึ่งตนนำมาใช้เป็นอารมณ์สำหรับการเพ่งจิตหรือเพ่งฌานของตน
เมื่อทำสำเร็จก็นำมาซึ่ง
ความพอใจ
ลุ่มหลงที่สุขุม
ยิ่งขึ้น
ไป
ตัณหามีได้
ในภพ(ภาวะ)ทั้ง ๓
ซึ่งพอจะจัดคู่กันได้ว่า
กามตัณหาย่อมเป็นไปในกามภพ ภวตัณหาย่อมเป็นไปในรูปภพ
นี่แหละคือความปรารถนาของมนุษย์ ผู้ที่พยายามคิด ด้วยหวังว่า จะพบสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้จะมาถึงที่สุดเช่นนี้แล้ว ก็ยังหาได้ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่ เพราะความที่เขาไม่สามารถนำ "ตัวตน-ของตน"
ออก
ไปเสียได้
นั่นเอง เขาจึง
ตกอยู่
ในขอบ่วงของตัณหาเรื่อยไป หรือ
จะพยายาม
เท่าไรก็ออกไปพ้นจากขอบ่วงของตัณหาไม่ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆ
จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม
ทางลัด
สำหรับตัณหานั้น ไม่ว่าชนิดไหนหมด
มันจะต้องมีมูลฐานอยู่ที่อารมณ์ทั้ง ๖ คือ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสทางกายและสัมผัสทางใจนั่นเอง
อารมณ์ทั้ง ๖ นี้มิได้หมายถึงแต่อารมณ์เฉพาะหน้า เพราะว่าแม้อารมณ์
ใน
อดีต
ที่ล่วงไปแล้ว ก็ยังเป็นอารมณ์ของตัณหาได้อยู่ดี
ด้วยการเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์ใน
ปัจจุบัน
บ้าง ด้วยการย้อนระลึกนึกถอยหลังไปถึงบ้าง
ซึ่งเราเรียกกันว่า ความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ ที่นี้ สำหรับอารมณ์ใน
อนาคต
ที่จะพึงได้ข้างหน้านั้น ก็เป็นอารมณ์ของตัณหาอย่างยิ่ง
ด้วยเหมือนกัน ข้อนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า "
ความหวัง
" และดูจะเป็นปัญหายุ่งยากกว่าอย่างอื่นด้วยซ้ำไป
เพราะว่าเราอาจจะหวังกันได้
มากๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และมันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
กำลังใจ
จนกระทั่ง พากันถือว่า
ชีวิตนี้อยู่ได้ด้วย
ความหวัง
อารมณ์ใน
อนาคต
นั้นแหละเป็นปัญหายุ่งยากที่สุดสำหรับมนุษย์เรา คือมันเป็นไปได้กว้างขวางที่สุด ปัญหายุ่งยากของโลกในปัจจุบันนี้ ซึ่งจะเป็นวิกฤติการณ์ขนาดใหญ่เล็กชนิดไหนก็ตาม หรือถึงกับจะวินาศกันทีเดียวทั้งโลกก็ตาม
ล้วนแต่
มีมูล
มาจากอารมณ์
ในอนาคต
ของ
ตัณหา
ทั้งนั้น
รวมความว่า อารมณ์
ทั้งที่เป็น
อนาคตและปัจจุบัน ก็
ล้วนแต่เป็น
ตัณหา
ไปด้วยกันทั้งนั้น
จากที่กล่าวมาแล้ว ผู้ศึกษาจะต้องสังเกตให้เห็นว่า ในตัณหาทั้ง ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา นั้น ตัณหาประการแรกมีกามเป็นอารมณ์ และตัณหา ๒ ประการข้างหลังนั้น หาได้มีกามเป็นอารมณ์ไม่ เราจึงอาจจะแยกตัณหาออกเป็น ๒ ประเภท คือ ตัณหาที่เนื่องด้วยกาม และไม่ได้เนื่องด้วยกาม
ทำให้กล่าวได้ว่า ศัตรูหรืออันตรายของมนุษย์เรา
สำหรับในทางฝ่ายจิตแล้ว
ก็มีอยู่ ๒ อย่างนี้ และนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า
"กาม" และ "ภพ"
ซึ่งเป็นคำบัญญัติขึ้นเฉพาะที่พวกโยคี หรือมุนี ใช้พูดกันว่า "สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวก็คือ กาม หรือ ภพ" เขาจึงออกแสวงหาหนทางรอดพ้น ด้วยการทำความเพียรอย่างยิ่ง ส่วนคนในปัจจุบันนี้ แทบจะไม่รู้จักสิ่งทั้ง ๒ นี้ว่าเป็นอะไร และไม่สนใจที่จะรู้จัก มีแต่บากบั่นพยายามเพื่อจะให้ได้กามและภพ
ตามความต้องการ
และไม่มองเห็นว่า เป็นสิ่งที่เป็นอันตราย อย่างที่เรียกว่า "เห็นงูเป็นปลา" แล้วก็เก็บเอามากอดรัดยึดถือไว้ด้วย
อุปาทาน
คือ ความรู้สึกเป็น "ตัวเรา-ของเรา"
ทั้งนี้ โดยไม่รู้ว่าตนกำลัง
หลงรัก
สิ่งที่เป็นอันตราย
เพราะ
เราควรจะอยู่โดย
ไม่ต้องมีความ
หลง
รักในสิ่งใดเลย คือ อยู่ด้วย
จิต
ที่บริสุทธิ์
ไม่มีความรู้สึกว่า
เป็น "ตัวเราหรือเป็นของเรา" ในสิ่งใด และสามารถปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ไปได้
ด้วยจิตที่บริสุทธิ์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 16:15:52 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #4 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 08:30:23 »
การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
(:88:)ป้า แป๋ม ซาหวัดดีทักทายกันก่อนทำงาน
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 เมษายน 2553 08:34:45 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #5 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 09:06:50 »
สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า กามและภพนั้น เมื่อเรารู้จักมันดีแล้ว เราจะเห็นได้เองว่า
กาม
เป็น
ที่ตั้งแห่ง
ความยึดถือ
ว่า
"ของเรา"
ส่วน
ภพ
นั้น เป็น
ที่ตั้งแห่ง
ความยึดถือ
ว่า "
ตัวเรา
" แต่เราต้องไม่ลืมหลักที่มีอยู่ว่า ถ้ามีความรู้สึกว่า "ของเรา"เมื่อใด ก็ต้องมีความรู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา" ซ่อนลึกอยู่ในนั้นด้วย มนุษย์
ตกเป็นเหยื่อ เป็นทาส
ของความหลอกลวง ของสิ่งที่เรียก่า "
ตัวเรา-ของเรา
" นั้น โดยไม่มีความรู้สึกตัวแม้แต่น้อย นี่แหละ คือข้อที่ถือกันเป็นหลัก ในหมู่ผู้รู้ว่า ซาตานหรือพญามารนั้น จะต้องมาหรือมีอยู่ในลักษณะที่ไม่มีใครรู้จักตัวเสมอไป หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ รู้ผิด เห็นเป็นไม่ใช่พญามารหรือศัตรู แต่เห็นเป็น "ตัวเรา" เสียเอง พญามารจึงทำอันตรายเราได้ตามชอบใจ เป็นความเสียหายเหลือที่จะพรรณนาได้ แต่พอเกิดรู้จักเข้าเท่านั้น พญามารก็จะหายหน้าไปทันที หรือที่ชอบพูดเป็นสำนวนปุคคลาธิษฐานว่า "พญามารจะขาดใจตาย หรือปักหัวหักคอตัวเองตายลงทันที" นี่แหละคือ
อวิชชา
ที่คิดว่าเป็น "ตัวเรา" ถ้าว่างจาก "ตัวเรา" ก็คือ
จิตที่บริสุทธิ์
แต่ชาวโลกไม่มีประสีประสาต่อสิ่งที่เรียกว่า พญามาร นี้เลย จึงมี "ตัวเรา" ที่ทำความเผาลนให้แก่ตัวเองด้วยความสนุกสนาน หรือด้วย
ความสมัครใจ
อย่างเป็นกิจประจำวัน
คือ
ซ้ำซาก
ไม่มีที่สิ้นสุด
จนกระทั่ง หนักเข้าๆ
ตัวเองก็ตอบไม่ได้
ว่า นี่จะทำไปทำไมกัน ทั้งหมดนี้เป็นโทษของการที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า
กามและภพ หรือ "ตัวเรา-ของเรา"
อย่างเดียวเท่านั้น
การที่มนุษย์เป็นทุกข์กันอยู่ในโลกกระทั่งถึงวันนี้
ก็มีมูลมาจากกามและภพ เป็นมาไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปีแล้ว ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแก่สิ่งที่เรียกว่า
กามและภพ
แต่มีอยู่ที่วัตถุหรือสิ่งที่เป็นอารมณ์
ภายนอก
โลกแห่งปัจจุบันนี้เป็นโลกของวัตถุนิยมยิ่งขึ้นทุกที เป็นโลกของกามขึ้นทุกที แม้จะทำให้ละเอียดประณีตสุขุมเพียงไร ก็หาได้ปลอดภัยจาก
โทษของกาม
ไม่
มีแต่จะกลายเป็น
โทษของ
กาม
อย่างประณีตละเอียดสุขุมยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เป็นเพราะความไม่ประสีประสาต่อความรู้เรื่องกามและภพ ความตกเป็นทาสของกาม หรือวัตถุ มีแต่ขยายตัวกว้างออกไป สามารถลุกล้ำเข้าไปได้แม้ในเขตวัดวาอารามของพุทธศาสนา
ซึ่งถือว่าเป็นป้อมค่ายที่มั่นคงที่จะใช้ต่อต้านกามหรือวัตถุนิยม
แต่ป้อมค่ายก็พังทลายไป ดังจะสังเกตได้ว่า นักบวชสมัยนี้ตกเป็นทาสของกามของวัตถุเพียงใด ลุ่มหลงแต่กามหรือติดในวัตถุกันไปแล้วแค่ไหน ไม่ผิดแผกไปจากชาวบ้านเลย นี้เรียกว่า การขยายตัวของวัตถุนิยม ซึ่งเคยเรียกกันครั้งกระโน้นว่ากาม เมื่อเป็นดังนี้แล้ว
ใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่ใคร ในการที่จะทำตนให้ปลอดภัยจากอันตรายของวัตถุนิยม หรือสิ่งที่เรียกว่ากาม
เมื่อใครตกอยู่ในอิทธิพลของกามแล้ว ย่อมต้องตกอยู่ในอำนาจของภพโดยไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะมันเป็นของเนื่องกันอย่างสนิท เมื่อมีกามแล้ว ก็ประกาศตนเป็นเจ้าของของกามนั้น ซึ่งมีความหมายเป็นภพ
ครั้นมีผู้แข่งขันหรือแย่งชิง "ตัวเรา" ที่เป็น
ภพ
ก็มี
กำลังแก่กล้า
หรือเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก "ตัวเรา"
ก็เปลี่ยนจาก
กามหรือราคะ มาเป็นโทสะ
และเป็นโทสะยิ่งขึ้นจนถึงขนาดที่เรียกว่าลืมตัว
คือมึนเมาใน "ตัวตน" จัดเกินไป จึงทำอะไร
ตามอำนาจของโทสะ
ซึ่งเรียกกันว่าจะต้อง "รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต" ความไม่ยอมกันและกัน ยิ่งมีมากขึ้น ในหมู่มนุษย์ที่มึนเมาในตัวตน โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เพราะไปมัวหลงคำนึงแต่เรื่องเสียหน้าไม่เสียหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของ
ภพ
อย่างเดียวเท่านั้น อันนี้แหละเป็น
มูลเหตุ
ที่ทำให้คนเราเหมือนสัตว์ที่กัดกันจนตาย โดยไม่คำนึงถึงว่าจะได้อะไรมา เพราะ
อำนาจ
ของ "ตัวตน"ได้ครอบงำหรือปิดบังดังกล่าวแล้ว แม้จะเอาสิ่งที่เป็นกามมายั่วมากล่อมมาขู่อย่างไร ก็หาได้เป็นที่สนใจในขณะนี้
ลำพัง
กามอย่างเดียวคนเราก็ฆ่ากันได้
พอเปลี่ยนไปเป็นรูปของภพ
ก็ฆ่ากันได้ง่ายขึ้นไปอีก นี้คือ
อาการที่กามและภพกำลังครอบงำจิตใจ
คนเราอยู่ ฉะนั้น
หน้าที่
ของพวกเราก็คือ
การสะกัดกั้น
กระแสแห่งกาม ไม่ให้
ครอบงำ
จิตใจชั้นหนึ่งก่อน
ถ้า
เมื่อมันครอบงำจิตแล้ว
ก็
สะกัดกั้นไม่ให้เป็น
ภพ
ซึ่ง
เป็นเหตุให้คนทำอะไรลงไป
ตามชอบใจ
ตัวเอง
โดยไม่คำนึงถึงอารยธรรม วัฒนธรรม หรือ
แม้แต่
ศาสนา นี้คืออันตรายของเรื่อง
กามและภพ
ที่เนื่องมาจากกาม
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 17:32:03 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #6 เมื่อ:
14 เมษายน 2553 11:10:44 »
ถึงแม้ว่ามนุษย์เกือบทุกคน
มักจะตกอยู่ใต้อำนาจของกามหรือภพอันเนื่องจากกามแต่ก็มีบุคคลบางจำพวกมองเห็นโทษของกามโดยประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นโดยการได้ผ่านกามมาแล้ว อย่างโชกโชน หรือ ด้วยการศึกษาอบรมจิตใจ เพื่อให้มองเห็นอย่างนั้นก็ตาม ย่อมมองเห็นกามว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจเพราะเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ จึงจัดกามไว้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
หรือแม้แต่บุญกุศลซึ่งคนบูชากันนักนั้น
ก็พลอย
ถูกรังเกียจไปด้วยฐานะ
ที่เป็นปัจจัย
ของกาม
ทั้งอย่างที่เป็นของมนุษย์และเป็นของสวรรค์ จึงทำให้เขาชะเง้อมองหาสิ่งอื่นซึ่งเป็นกุศลอันแท้จริง
ที่อาจจะตัดความเยื่อใยในกามให้ขาดออกไปได้
ในที่สุด เขาก็ค้นพบภาวะทางจิตใจอย่างใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับกามเลย ซึ่งแท้จริงก็เป็นสิ่งที่มีตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ได้มองข้ามมันไปเสีย เช่น บางขณะจิตของคนเราผละไปจากกาม ไปพอใจอยู่ในความว่างจากกามเป็นครั้งเป็นคราว แต่เขาก็ไม่สนใจ และไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อนเสียด้วยซ้ำไป เว้นแต่จะเป็นบุคคลพิเศษซึ่งเห็นกามเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ถ้าใครเผอิญมาเป็นดังนี้ เราก็ต้องยอมรับว่า เขาเป็นบุคคลที่ผิดไปจากพวกคนธรรมดา
นั่นแหละคือมูลเหตุ
แห่งการเกิดขึ้นของพวกพรหม
และภูมิทั้ง ๒ นี้เอง คือ
ภูมิหรือภพที่ไม่เนื่องด้วยกาม แม้จะยังมีความรู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา-ของเรา" เหลืออยู่เต็มที่
แต่ก็ถือว่าเป็น
เส้นเขตแดน ปักปันกันระหว่างโลกุตตรภูมิ ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนา กับโลกียภูมิ
ซึ่งไม่เป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนาแต่ประการใด
ดังนั้น
ทุกคนจะต้องมองให้เห็นอย่างชัดว่า หลักพุทธศาสนานั้น เป็นไปเพื่อ
โลกุตตรภูมิ
หาใช่
เพื่อ
กามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภมิ แต่ประการใดไม่
ถ้าจะมีพูดถึงเรื่องหลังเหล่านี้บ้าง ก็ขอให้เข้าใจไว้เถิดว่า
พูดเพื่อ
เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
นี่แหละคือ ตัวอุปสรรคของ
การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
และเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวให้พ้นไปทั้ง
กามและภพ
จนกระทั่งไม่เป็น
ภพ
ในลักษณะไหนหมด นั่นแหละคือข้อยืนยันที่ว่า โลกุตตรภูมิหรือนิพพานนั้น จะเป็นภพชนิดไหนไปไม่ได้เลย เพราะเป็นสิ่งที่
ปราศจาก
"ตัวตน-ของตน" โดยแท้จริง เราต้องก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้จริงๆ เท่านั้น
จึงจะพบกับ
ตัวแท้ของพุทธศาสนา
ไม่หลงเอา
โลกียภูมิ
มาเป็นพุทธศาสนา
แล้วยังมายืนยันทุ่มเถียงกันคอเป็นเอ็น หรือ
สอนให้ผู้อื่นให้เข้าใจผิด
ซึ่งนับว่าเป็นการ
ทำบาปอย่างยิ่ง
สรุปความสั้นๆ ว่าถึงเป็นพรหมแล้ว แม้จะปราศจากกามโดยสิ้นเชิง ก็ยังไม่หลุดพ้นจาก
อุปาทาน
ที่ยึดถือว่า "
ตัวตน-ของตน
" และยังถูกจัดว่าเป็น
โลกียภูมิ
เป็น
วัฏฏสงสาร
เพราะเขายังมี "ตัวตน-ของตน" อย่างเต็มที่
ยังเป็นปุถุชนไม่ใช่อริยบุคคลอยู่นั่นเอง
หวังว่า การกล่าวยืนยัน
สัจธรรม
เช่นนี้ ผู้ที่ยกตัวเองว่า เป็นปราชญ์ในการสอนพุทธศาสนาทั้งหลาย จะไม่เหมาเอาว่าเป็นการพูดโดยอัตโนมัติ พูดนอกตำหรับตำรา หรือผิดไปจาก
หลักอภิธรรม
ที่ตนเคยศึกษาเล่าเรียนมา
เพราะถ้าจะปฏิบัติพุทธศาสนากันเพื่อให้
เข้าถึง
ตัวแท้ของพุทธศาสนาโดยเร็วแล้ว
เราจำเป็นต้อง
ข้ามสิ่งทั้งหลาย
ที่จะทำให้เราเสียเวลา เช่นการเรียนพุทธประวัติ ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา คัมภีร์ต่างๆ ชาดกต่างๆ ตลอดจนอภิธรรม
ซึ่งอาจทำให้
ผู้ศึกษาหรือผู้สอน
เกิดมี "ตัวตน" และ "ของตน"
ใหญ่ขึ้นไป
อีก
Credit by
:
http://www.watnawamin.org/?name=knowledge&file=readknowledge&id=54
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 18:25:52 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
«
ตอบ #7 เมื่อ:
19 ตุลาคม 2554 18:52:03 »
อ้างจาก: sometime ที่ 14 เมษายน 2553 08:30:23
การเกิดขึ้นแห่งอัตตา (พุทธทาสภิกขุ)
(:88:)ป้า แป๋ม ซาหวัดดีทักทายกันก่อนทำงาน
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ตุลาคม 2554 19:06:20 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: img
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
ส่วนที่ต้องศึกษาปฏิบัติ กำมือเดียวก็.. พุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
0
2534
01 มีนาคม 2554 11:06:49
โดย
เงาฝัน
๕ ไกวัลยธรรม ในฐานะจตุราริยสัจจ์ :พุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
3
4758
05 ตุลาคม 2554 15:54:48
โดย
เงาฝัน
ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
5
5786
18 กรกฎาคม 2554 17:47:41
โดย
เงาฝัน
วิเวกที่ท่านยังไม่รู้จัก : พุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
4
5887
01 สิงหาคม 2554 19:20:01
โดย
เงาฝัน
เรื่อง สามัญญลักษณะ :พุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
3
3366
19 ตุลาคม 2554 11:03:08
โดย
เงาฝัน
กำลังโหลด...