"หลวงพ่อแดง" แห่งวัดเขาบันไดอิฐ ท่านเป็นพระเกจิที่มีญาณสมาธิแก่กล้า มีจิตตานุภาพสูงพอที่จะเพ่งเครื่องรางให้ขลังได้ ผ้ายันต์และเหรียญลงยันต์ของหลวงพ่อแดงจึงมีผู้นิยม
เสาะหาไปบูชากันมาก แม้ท่านจะมรณภาพไปตั้งแต่ 16 มกราคม พ.ศ. 2517 แต่ความนิยมเลื่อมใสศรัทธา ความเชื่อมั่นในกฤตยาคม อภินิหาร และอาคมขลังในวัตถุมงคลของท่านก็ยัง
ไม่เสื่อมคลาย หลวงพ่อรูปนี้ท่านมีอะไรดี ทำไมใครๆ ทั่วสารทิศจึงพากันมาวัดเขาบันไดอิฐกันไม่ขาดสาย...
"หลวงพ่อแดง" หรือ "พระครูญาณวิลาศ" เกิดที่ ต.บางจาก อ.เมือง จ.เพชรบุรี บิดาชื่อนายแป้น มารดาชื่อนางนุ่ม นามสกุล อ้นแสง เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ. 2422
ในวัยเด็กท่านก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสืออย่างเด็กสมัยนี้จนกระทั่ง อายุ 20 ปี พ่อแม่ก็หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับท่านอาจารย์เปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อจะ
ได้เล่าเรียนและบวชเป็นพระภิกษุต่อไป
พระภิกษุแดงเมื่อได้บวชก็ประพฤติเคร่งครัดต่อพระวินั ยและปฏิบัติต่อพระอาจารย์เปลี่ยนเป็นอย่างดี อาจารย์เปลี่ยนจึงรักใคร่มากกว่าศิษย์คนอื่นๆ และยังไดสอนวิชาการวิปัสสนา และ
วิธีนั่งปลงกัมมัฏฐานให้ รวมถึงถ่ายทอดวิชากฤตยาคมให้อย่างไม่ปิดบังหวงแหน เหตุนี้จึงทำให้พระภิกษุแดงเพลิดเพลินในการศึกษาวิชา ความรู้ จนลืมสึก ยิ่งนานวันก็ยิ่งสำนึก ในรสพระธรรม
ก็เลยไม่คิดสึกเลย จึงกลายเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีอาวุโสสูงสุด
จนกระทั่งพระอาจารย์เปลี่ยนมรณภาพลง พระภิกษุแดงรับหน้าที่เป็นสมภารวัดเขาบันไดอิฐแทน กลายเป็น "หลวงพ่อแดง" ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา และแม้ท่านจะได้เป็นสมภาร
ซึ่งต้องมีภารกิจมาก แต่ท่านก็ยังปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิในถ้ำเพื่อแสวงหาวิมุตติภาวนาทุกวัน ญาณสมาธิจึงแก่กล้า จิตนิ่ง บริสุทธิ์ จนว่ากันว่าท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์
หลวงพ่อแดงไม่เคยอวดอ้างในญาณสมาธิของท่าน แต่ผลของความศักดิ์สิทธิ์ในเลขยันต์เป่ามนต์ของท่านก ็ได้สำแดงออกมาให้ประจักษ์ว่าคุ้มครองป้องกันภัยได้แ น่ๆ โดยมีเรื่อง
เล่ากันมาว่า ในระหว่าง พ.ศ. 2477 ถึง พ.ศ. 2480 เวลานั้นเกิดโรคระบาดสัตว์ วัวควายเป็น โรครินเดรอ์เปรส ซึ่งเป็นโรคปากเท้าเปื่อยที่ติดต่อร้ายแรง พากันล้มตายเป็นเบือ สัตว์แพทย์ก็
ไม่มี ต้องขอให้ทางการมาช่วยฉีดยา ราษฎรจึงพากันไปหาหลวงพ่อให้ช่วยปัดเป่าป้องกันโรคระ บาดสัตว์ให้ด้วย
หลวงพ่อแดง จึงปลุกเสกลงเลขยันต์ในผืนผ้ารูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ แจกให้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายนำไปผูกปลายไม้ปักไว้ที่คอกสัตว์ของตน ปรากฏผลว่า คอกสัตว์ที่ปักผ้าประเจียด
ยันต์หลวงพ่อแดงไม่ตายเลย ทุกบ้านในตำบลใกล้เคียงวัดเขาบันไดอิฐ เมื่อรู้กิตติศัพท์จึงพากันมาขอยันต์หลวงพ่อแดงทุกวันมิได้ขาด
กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือมหาสงครามเอเชียบูรพา มีทหารญี่ปุ่นมาขึ้นที่ประจวบคีรีขันธ์ ก็เกิดการต่อสู้กับทหารอากาศของไทยที่นั่น ชาวเพชรบุรีก็ตระหนกตกใจ แล้วชักชวน
กันหาหลวงพ่อแดง ท่านก็ลงผ้าประเจียดยันต์แจก ให้คุ้มครองป้องกันตัว
เมืองเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. 2487 เกิดภัยสงครามชนิดร้ายแรง มีระเบิดลงทุกวันทำลายสถานีรถไฟ สะพานข้ามแม่น้ำ บ้านเรือน โรงเรียนต้องสั่งปิด ข้าราชการไม่ได้ไปทำงาน ทุกหน่วย
ราชการปิดหมด และปรากฏเรื่องเป็นที่ฮือฮาว่า บ้านคนที่มีผ้ายันต์หรือห้อยเหรียญหลวงพ่อแดง กลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย หลวงพ่อแดงจึงดังใหญ่ จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กิตติคุณของ
หลวงพ่อในทางกฤตยาคมจึงปรากฏความศักดิ์สิ ทธิ์แพร่หลายยิ่งขึ้น
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อแดง ปรากฏอีกครั้ง เมื่อเกิดคอมมิวนิสต์ญวนเหนือบุกญวนใต้ ประเทศไทยต้องส่งกองพันเสือดำ ออกไปช่วยพันธมิตรรบในญวนใต้ ก็ปรากฏว่าทหารไทย
ที่ไปปฏิบัติหน้าที่รบในเวียดนาม คนที่มีเหรียญหลวงพ่อแดงห้อยคออยู่ ไม่ถูกอาวุธเป็นอันตรายแก่ชีวิตสักคน ทั้งๆ ที่เข้าประจัญบานอย่างหนัก เป็นที่สงสัยของเพื่อนทหารต่างชาติว่าทหารไทยมี
ของดี อะไร ได้รับคำตอบจากทหารไทยว่ามี "เหรียญหลวงพ่อแดง"
ท่านเป็นพระใจดีมีเมตตาสูง และอารมณ์ดีเสมอ ไม่ชอบดุด่า ว่าใคร โดยเฉพาะคำหยาบคายถึงพ่อแม่ ท่านห้ามขาด ท่านว่าทุกคนเขาก็มีพ่อมีแม่ การด่าถึงบุพการีทำให้ความดีงาม
เสื่อมถอย ถึงห้อยพระพระท่านก็ไม่คุ้มครอง
หลวงพ่อแดง มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่ออายุ 96 ปี พรรษาที่ 74 ก่อนตายท่านเคยพูดกับพระปลัดบุญส่ง ธมัมปาโล รองเจ้าอาวาสวัดขณะนั้นว่า
"เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉัน
ให้เหลืองเหมือนทองคำ"
พระบุญส่งจึงรับปาก และได้ทำตามที่หลวงพ่อประสงค์ทุกอย่างและหลังจากที่หลวงพ่อแดงมรณภาพแล้วก็ได้เกิดเหตุอัศจ รรย์ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อภินิหารของหลวงพ่อแดงมีจริง
กับผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองเพชรบุรีท่านหนึ่ง ซึ่งจู่ๆ ท่านก็มีนิมิตฝันเห็นบ่อน้ำโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้ นก้ามปูใหญ่ พอขุดก็พบบ่อน้ำนั้นจริงๆ บ่อน้ำแห่งนี้หลวงพ่อแดงเคยพูดไว้สมัยที่ท่านยังมี
ชีวิตอยู่ว่าเป็น "บ่อน้ำวิเศษ" และขณะที่ขุดยังพบ "หัวพญานาคสีขาว" แบบปูนปั้นอยู่ที่ก้นบ่อด้วย 1 หัว เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันแห่มาเพื่อจะตักน้ำเอาไปใช้กันแต่ปรากฏว่าพบงูใหญ่ตัวหนึ่ง
นอนขดอยู่ใต้สังกะสีที่เอาไว้ปิดปากบ่อ ชาวบ้านที่เห็นบอกว่า ลักษณะงูที่เห็นนั้นมีหงอนที่หัวด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีชาวบ้านกล้าเข้าไปตักน้ำที่บ่อนี้ี้อีกเลย
ที่น่าแปลกอีกก็คือ นายตำรวจท่านหนึ่งซึ่งเคยมาช่วยงานในวัดก็ฝันเห็นหลวงพ่อแดง ท่านมาต่อว่า "ทำอะไรทำไมไม่บอก"
นายตำรวจก็ไปเล่าให้พระปลัดบุญส่งเจ้าอาวาสรูปปัจจุบ ันฟัง ท่านก็ไม่เชื่อแล้วยังสั่งให้ย้ายศาลเก่า 2 ศาล บริเวณเชิงเขาบันไดอิฐเพื่อปรับปรุงบริเวณ โดยไม่ยอมทำพิธีเซ่นไหว้
เจ้าที่เจ้าทาง เพราะท่านเป็นคนไม่เชื่อไสยศาสตร์ ปรากฏว่าพอตกเย็นก็เกิดอาการผิดปกติ อยู่ๆ คอก็เริ่มบิดและตัวแข็งไปทั้งตัว ขยับไม่ได้ ชาวบ้านมาเยี่ยมเห็นว่าอาการหนักมากจึงช่วยกัน
พาส่งโ รงพยาบาลเปาโล แต่พอถึงโรงพยาบาล อาการที่เป็นกลับหายราวปลิดทิ้ง และเมื่อเอ็กซเรย์พร้อมตรวจอย่างละเอียดก็ไม่พบว่าเป ็นอะไรเลย และระหว่างที่นอนพักรักษาตัวอยู่
ท่านก็พูดออกมาคนเดียวโดยไม่รู้ตัวว่า
"ของดีมีอยู่ ผ่านไปผ่านมาไม่ใช้ต้นก้ามปูตรงนั้นเป็นบ่อน้ำ ให้ขุดลงไปแล้วจะเจอ มีของดีทำไมไม่รักษา"
ในภายหลังที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วพระปลัดบุญส่งก็ได้ฝันอีกครั้ง ในความฝันท่านเห็นคนนุ่งผ้าถกเขมรมาหา มาบอกว่าเขาเป็นคนมัดหลวงพ่อเอง พูดแล้วเขาก็เอามือรีดที่ตัวหลวงพ่อเหมือน
รีดเอาไขมันออก ทั้งขาและแขน จนหลวงพ่อพระปลัดบุญส่งสะดุ้งตื่นและพอตื่นขึ้นมาก็ย ังเห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในห้องพอถามชื่อ เขาก็ถอยออกไปแล้วตอบกลับมาว่า "เขาเป็นเปรต" จากนั้น
ก็หายวับกลายเป็นแสงไฟ พร้อมเสียง "วี๊ด" ดังมาก ซึ่งพระในวัดก็ได้ยินกันทั่ว
เรื่องนี้ได้ทำให้ "พระปลัดบุญส่ง" เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐรูปปัจจุบัน ยังยอมรับว่าไสยศาสตร์และอภินิหารของหลวงพ่อแดงนั้นมีจริงเพราะเจอแล้วด้วยตัวท่านเอง
ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2502 หลวงพ่อแดงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูญาณวิลาศท่านมีวิทยาคมขลังเป็นที่นับถืออย่างมาก ในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรงขึ้นที่จังหวัดเพชรบุรีทำให้วัวควายล้มตายลงเป็นอันมาก ท่านได้ปลุก
เสกผ้ายันต์สีแดงขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้าให้ชาวบ้านนำไปผูกไว้ที่ปลายไม้ไผ่แล้วปักไว้ที่คอกวัวควาย คอกใดที่ผ้ายันต์ของท่านมาปักไว้ วัวควายของคอกนั้นจะไม่เป็นโรคติดต่อ
ชื่อเสียงของท่านจึงโด่งดังเป็นที่รู้จักแต่นั้นมา มีผู้คนไปขอของดีไว้ป้องกันตัวจากท่านมิได้ขาด ท่านจึงได้ทำผ้ายันต์และตะกรุดไว้แจก ผู้ที่นำตะกรุดและผ้ายันต์ของท่านไปบูชามัก
จะประสบกับอิทธิปาฏิหาริย์อยู่เสมอ
เหรียญรุ่นหนึ่ง เนื้อทองแดง พิมพ์นิยมเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูญาณวิลาศ" พร้อมรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศ ลูกศิษย์จึงได้ทำการฉลองสมณศักดิ์ให้ท่าน
ในการนี้ท่านได้สร้างเหรียญขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้มาร่วมงาน นับว่าเป็นเหรียญรุ่นหนึ่งของท่าน เป็นเหรียญทองแดงรมดำ จำนวน ๑๕,๐๐๐ เหรียญ และเป็นเหรียญเงินจำนวน ๘๓ เหรียญ
เท่าจำนวนอายุของท่านที่ย่างเข้าปีที่ ๘๓ ตัวเหรียญเป็นรูปวงรีคล้ายรูปไข่ ส่วนกว้างที่สุดประมาณ ๒.๖ เซนติเมตร สูงสุดประมาณ ๓.๔ เซนติเมตร เนื้อโละทำด้วยทองแดงรมดำ
ด้านหน้าบนซ้ายมือมีอักษรปั๊มนูนสูงว่า "พ.ศ. ๒๕๐๓" ทางด้านขวามือมีอักษรเขียนว่า "อายุ ๘๒ ปี" ส่วนด้านล่างเขียนว่า "พระครูญาณวิลาศ (แดง)" ส่วนด้านหลัง ลงหัวใจพระพุทธคุณต่างๆ
ไว้ด้วยภาษาขอม ตรงกลางด้านหลังลงยันต์สี่ มีหัวขมวด เป็นเหรียญที่ดังมากพุทธคุณมีประสบการณ์สูงทาง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ปัจจุบันหายากมากๆ
เหรียญรุ่นสอง และ เหรียญรุ่นแจกแม่ครัว เนื้ออัลปาก้าหลังจากที่เหรียญรุ่นหนึ่งสร้างประสบการณ์ต่างๆ มากมายจนกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิเป็นที่เลื่องลือ ผู้คนต่างพากันมาขอเหรียญร่วมทำบุญ จนเหรียญรุ่นหนึ่งหมดไปจากวัด
จึงได้มีการสร้างเหรียญรุ่นสอง สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ลักษณะองค์หลวงพ่อและอักขระเลขยันต์เหมือนกับเหรียญรุ่นหนึ่ง แต่ต่างกันที่คำว่า "เอ" (ซึ่งเป็นอักษรขอมตำแหน่งล่างสุด)
ของรุ่นหนึ่งจะมีดูคล้าย "ฃ" แต่ของรุ่นสองดูคล้ายเลข "๘" เหรียญรุ่นสองนี้มีประสบการณ์แคล้วคลาดมากมายไม่แพ้รุ่นหนึ่งเลย ในการสร้างรุ่นที่สองนี้ ท่านได้สั่งทำเหรียญขนาดเล็กด้วยอัลปาก้า
เพื่อสำหรับแจกแม่ครัวเรียกว่า "รุ่นแจกแม่ครัว" อีกด้วย
เหรียญรุ่นโจว เนื้อทองแดงในงานฉลองอายุท่านเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางวัดได้สร้างเหรียญขึ้นใหม่โดยใช้ข้อความและตัวอักษรเหมือนรุ่นหนึ่งทุกอย่าง แต่ใบหน้าหลวงพ่อเปลี่ยนไป ในปีเดียวกันนี้มีพ่อค้าได้สร้างเหรียญ
ขึ้นอีกรุ่นเพื่อนำไปให้ท่านปลุกเสก คราวนี้ได้เปลี่ยนใบหน้าหลวงพ่อให้ชราภาพมากขึ้น ข้อความด้านหน้าเหรียญด้านบนปั๊มคำว่า " พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ระลึกอายุครบรอบ ๘๙ ปี" ด้านล่างปั๊มคำว่า
"พระครูญาณวิลาศ (แดง) " อักษรเลขยันต์ด้านหลังเหมือนรุ่นหนึ่ง แต่ได้ตอกภาษาจีนอ่านว่า " โจว" ไว้ที่ใต้ตัวอุ เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อทองคำ นาค เงิน และทองแดงรมดำ เนื้อทองแดงมีจำนวน
๒,๐๐๐ เหรียญ
เหรียญรุ่นแม่ทัพสร้าง เนื้อทองแดงพ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านมีอายุครบ ๙๐ ปี แม่ทัพภาคที่ ๑ ได้ขอให้ท่านทำเหรียญขึ้นอีกรุ่นเป็นรูปอาร์ม เนื้อทองแดงมีจำนวน ๔๘,๐๐๐ เหรียญ ส่วนเนื้อเงินและทองคำ มีจำนวนลดหลั่นลงไป
เหรียญรุ่นนี้เรียกว่า "รุ่นแม่ทัพสร้าง" และยังมีเนื้ออัลปาก้าอีกด้วย
พ.ศ. ๒๕๑๓ คณะนายทหารตำรวจจากโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่น ๑๒
ได้สร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกในการรับราชการครบ ๓๐ ปี
เหรียญรุ่นนี้ท่านได้เซ็นชื่อ "แดง" ไว้
และใช้ตอกเป็นโค๊ดไว้ที่ด้านหน้าของเหรียญ
พระผงญาณวิลาศ หลังจากนั้นทางวัดได้สร้างเป็นพิมพ์พระสมเด็จและนางพญามีทั้งหมด ๓ พิมพ์ ๓ สี คือ สีเหลือง แดงและดำ ด้านหลังปั๊มยันต์และอักขระของหลวงพ่อ เรียกว่า "พระผงญาณวิลาศ"
พิมพ์สมเด็จมีสีแดง สีเหลือง สีขาว พิมพ์ใหญ่จะมีขนาดกว้าง ๒.๒ เซ็นติเมตร สูง ๓.๖ เซ็นติเมตร นอกจากนี้ยังมี "พิมพ์คะแนน" ที่มีขนาดเล็กลงมา ทำขึ้นสำหรับคั่นเวลานับจำนวน
พิมพ์ใหญ่ได้ครบทุก ๑๐๐ องค์ พระผงรุ่นนี้มีประสบการณ์มากมาย แม้กระทั่งตำรวจพลร่มโดดร่มลงมาแต่ร่มไม่กาง แต่กลับรอดตายราวปาฏิหาริย์โดยในคอแขวนพระผงญาณวิลาศ
ของหลวงพ่อแดงนั้นเอง
เหรียญรุ่นคุกเข่า และ เหรียญสองพี่น้อง(โบสถ์ลั่น)วัตถุมงคลของท่านยังมีอีกหลายรุ่น เช่น ยุวพุทธิกสมาคม ชลบุรี สร้างรุ่นพิเศษ "ไตรภาคี" เนื้อผงสีแดง พิมพ์พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ และพระพุทธชินราช นำมาให้ท่านปลุกเสก ,
รุ่นวัดเทพธิดา (หลังโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย ) สร้าง , เหรียญรุ่นที่มีรูปท่านกับหลวงพ่อเจริญที่เรียกว่า "เหรียญสองพี่น้อง" ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ , เหรียญที่มีรูปท่านเต็มองค์นั่งคุกเข่า
อยู่ด้านหน้าเหรียญ เรียกว่า "เหรียญคุกเข่า" ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗
ข้อมูลประวัติหลวงพ่อแดงเกิด ปี พ.ศ.2421 เดือนเมษายน ปีระกา ณ บ้านามเรือน เพชรบุรี เป็นบุตรของ นายแป้น นางนุ่ม อ้นแสง
อุปสมบท ประมาณปี พ.ศ.2441 ณ วัดเขาบันไดอิฐ
มรณภาพ วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ.2517 ตรงกับแรม 8 ค่ำ เดือน 2 ปีขาล
รวมสิริอายุ 95 ปี
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมวัตถุมงคลของท่านมีหลายรุ่น เช่นเหรียญรุ่นแรก ปี 2503 มี 2 เนื้อ คือ เนื้อเงิน เนื้อและทองแดง
เหรียญรุ่นสอง ปี 2507 ลักษณะคล้ายกับรุ่นแรก
เหรียญรุ่นตระกูลโจว ปี 2510 ที่ระลึกครบรอบ 89 ปี
เหรียญรุ่นแม่ทัพภาค ปี 2511 , ปี 2513
เหรียญรุ่น จ.ป.ร.12
พระผงญาณวิลาศ มีหลายพิมพ์และหลายเนื้อ
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมาพุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง เมตตามหานิยม
ประวัติวัดเขาบันไดอิฐวัด เขาบันไดอิฐ แต่เดิมเคยเป็นสำนักสงฆ์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มามีฐานะเป็นวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ใน ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี บนเขาบันไดอิฐแห่งนี้มีถ้ำอยู่มากมาย
มีหลักฐานว่าในแผ่นดินพระบรมราชาที่ 2 พระเชษฐาธิราช พ.ศ.2171 "พระศรีศิลป์" ซึ่งเป็นเชื้อสายพระเจ้าทรงธรรม ได้ถูกจับกุมและถูกเนรเทศจากอยุธยามาคุมขังอยู่ที่ถ้ำเขาบันไดอิฐแห่งนี้
เพราะคิดคดซ่องสุมผู้คน คิดแย่งชิงราชสมบัติ แต่แผนการได้รั่วไหลออกมาเสียก่อน
เมื่อ "พระศรีศิลป์" มาถูกจองจำที่นี่ก็ได้มี "หลวงมงคล" ซึ่งเป็นพระญาติทางฝ่ายมารดาของพระศรีศิลป์ คุมบ่าวไพร่ มาทำการขุดเจาะถ้ำ ทางด้านอื่นให้ทะลุติดต่อกันหลายถ้ำจนถึงถ้ำใหญ่
ที่คุมขังพระศรีศิลป์ ซึ่งมีแผ่นกระดานตีปิดปากถ้ำ และมีทหารเฝ้ายามคอยส่งอาหารและน้ำ ใส่ตะกร้าหย่อนลงไปให้ ปรากฏว่าอาหารและน้ำไม่มีใครแตะต้องคงอยู่ตามเดิม ตะโกนเรียกก็ไม่มี
เสียงขานรับ ก็คิดว่าพระศรีศิลป์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว จึงรายงานให้ทางกรุงศรีอยุธยาทราบและมีคำสั่งให้ถมดินปิดปากถ้ำเสีย
"พระ ศรีศิลป์" เมื่อลอบออกจากถ้ำมาได้ ก็หลบซ่อนตัว ซ่องสุมผู้คน และทหารทำการขบถต่อแผ่นดิน ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เพชรบุรี แต่ต่อมาได้ถูกจับตัวส่งกลับไปกรุงศรีอยุธยาและถูกสำเร็จโทษ
ตามประวัติ ศาสตร์กล่าวว่า "พระอาจารย์แสง" เป็นพระอาจารย์ของ "พระเจ้าเสือ" สอนทางเวทย์มนต์คาถา และเหตุที่พระอาจารย์ธุดงค์มาอยู่ที่วัดเขาบันไดอิฐก็เพราะน้อยใจที่กล่าว ตักเตือน
พระเจ้าเสือไม่ให้ประพฤติในทางโหดร้ายต่อสตรีไม่ได้ พระอาจารย์แสงเห็นว่าพฤติกรรมเช่นนี้ กษัตริย์ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้ความขลังของวิชาที่เรียนมาเสื่อมลงด้วย
"พระเจ้าเสือ" พระองค์นี้มีนิสัยดุดัน ชอบหมกมุ่นในกามราคะ ชอบฆ่าสัตว์ แต่ทรงพระปรีชาสามารถในทางไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ไพร่ฟ้าประชาชนเกรงกลัวมาก จึงขนานนามพระองค์ว่า
"พระเจ้าเสือ" (ขุนหลวงสรศักดิ์) มีบันทึกอยู่ในพงศาวดารความว่า
"พอพระทัยเสวยน้ำ จัณฑ์ และเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถี อายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดโยกโคลงไปทรงพระโกรธ ลงพระอาญาถองยอดอกตายคาที่ ถ้าสตรีได้ไม่ดิ้นเสือกโคลงนิ่งอยู่ชอบอัชฌาลัย
พระราชทานบำเหน็จรางวัล ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัชฉาชาติฉนากฉลามทางชลมารค ทรงทะเลเกาะสีชัง เขาสามมุข และประเทศใดย่อมเสวยน้ำจัณฑ์ไปพลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางไน
และมหาดเล็กชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไปมิได้ มีวิจารณปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดท้างไปในทะเล ให้ปลาฉลากฉลามกินเป็นอาหาร
ประการหนึ่งปราศจากเบญจางคิกศีลมักพอพระทัย ทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาปรากฏเรียกว่า "พระเจ้าเสือ"
ครั้ง ที่พระเจ้าเสือเสด็จมาเยือนเมืองเพชร พระองค์โปรทราบเบ็ดโดยเรือพระที่นั่งพายในท้องที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม กรรมการเมืองเพชรสมัยนั้นได้จัดสร้างพลับพลารับเสด็จไว้ที่บ้านคุ้งตำหนัก
และตามตำนานยังมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า พระเจ้าเสือได้ประกาศเป็นกฎหมายไม่ให้ราษฎรจับปลาที่พระองค์ทรงโปรด ปลาที่พระองค์ทรงโปรดมากคือปลาตะเพียน และปลาหมอ
นอกจากพระเจ้าเสือ จะเสด็จมาเมืองเพชร เพื่อตกปลาและคล้องช้างแล้ว พระองค์ยังมีพระประสงค์เพื่อขอร้องให้พระอาจาร์แสงกลับไปกรุงศรีอยุธยาด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ อาจารย์แสงไม่ยอมกลับ
พระองค์จงจนพระทัยยอมพระอาจารย์ แต่ก็โปรดฯให้บูรณะซ่อมแซมวัดเขาบันไดอิฐขึ้นใหม่ให้สวยงามหลายอย่าง วัดจึงเจริญรุ่งเรือง
และในสมัยโบราณก็ถือเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่ วัดจะต้องมีเกจิอาจารย์หรือพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญทางด้านอาคม รวมถึงเก่งทางวิปัสสนาหรือทางใน ซึ่งจะต้องมีการถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ใกล้ชิด
เหมือนที่วัดเขาบันไดอิฐ เพราะปรากฏยืนยันเป็นหลักฐานได้ว่าวัดเขาบันไดอิฐยังมีพระอาจารย์ชื่อว่า "เหลือ" เป็นพระมีเวทย์มนต์ขลังมาก ผู้คนนับถือเยอะ เล่ากันว่าในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อทหารเมืองเพชรจะออกรบจะต้องมาขอผ้ายันต์และตะกรุดโทน หรือไม่ก็สักยันต์ลงกระหม่อม รดน้ำมนต์เพื่อเพิ่มความขลังให้รอดปลอดภัยกลับมา
วัดเขา บันไดอิฐยังมีประวัติและเรื่องราวอีกว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายระหว่าง พ.ศ.2240-2249 รัชกาลของพระพุทธเจ้าเสือ มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า "พระอาจารย์แสง" เคยบวชอยู่ที่
วัดมเหยงค์ กรุงศรีอยุธยา เป็นพระภิกษุที่มีเวทย์มนต์ขลัง เชี่ยวชาญทั้งในพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ การวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งได้ธุดงค์มาพักที่วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี "พระอาจารย์แสง"
จำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งนี้จนมรณภาพ เพราะเห็นว่าเป็นสถานที่ซึ่งสงบ วิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม (ในสมัยรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ก็เคยมาเยือนที่วัดเขาบันไดอิฐ และได้ร้อยกรองถึงสถานที่นี้ไว้ใน
"นิราศเมืองเพชร")
สถานที่น่าสนใจหน้าบันพระอุโบสถ วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงทางด้านความงามของศิลปะปูนปั้นชั้นครูที่ฝากผล งานไว้เหนือหน้าบันพระอุโบสถ เป็นลายปูนปั้นที่งดงามงามสกุลช่างเมืองเพชร เป็นรูปลายกนก
เปลวพลิ้วล้อมรูปครุฑ ถ้า วัด เขาบันไดอิฐมีถ้ำหลายแห่งที่น่านำชมโดยถ้ำแรก คือ “ถ้ำประทุน” มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตามผนังถ้ำทั้งสองด้าน ลึกเข้าไปจะเป็นถ้ำ “พระเจ้าเสือ” ที่ชื่อ
เช่นนี้เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่า พระเจ้าเสือได้เสด็จมาหาอาจารย์แสง และได้ถวายพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งนี้ ถัดจากถ้ำนี้เข้าไปทางด้านใต้จะมีถ้ำพระพุทธไสยาสน์
จะมีพระนอนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ และตรงซอกผนังถ้ำมีประทุนเรือทำด้วยไม้เก่าแก่มาก เป็นประทุนเรือที่พระเจ้าเสือถวายอาจารย์แสง นอกจากถ้ำทั้งสามนี้แล้ว ยังมีถ้ำอื่น ๆ เช่น ถ้ำพระอาทิตย์
ถ้ำพระจันทร์ ถ้ำสว่างอารมณ์ ถ้ำช้างเผือก และถ้ำดุ๊คซึ่งมีชื่อตามดุ๊คโยฮันฮัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการเมืองปอร์นสวิค (Braunschweig) ประเทศเยอรมัน ผู้เคยมาเยือนเพชรบุรีและมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้
ที่ตั้งและการเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 4 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวง 3171 ห่างจากเขาวังประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเขาขนาดย่อมมียอดสูง 121 เมตร