[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 16:34:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ  (อ่าน 3756 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 19:53:36 »




อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ






วันนี้ จะได้เล่าประวัติของพระพุทธเจ้าโดยย่อ เป็นเครื่องต่อสู้อุปสรรคที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา
ทีนี้จะได้เล่าถึงอุปสรรคการออกทรงผนวชของพระพุทธเจ้าให้ฟัง เมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์
ของพระนางสิริมหามายา พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ทรงเห็นพระราชกุมารแปลกว่ามนุษย์ธรรมดา
พระองค์มีความสงสัยในพระทัย ต่อมาพระองค์ได้ทรงเชิญพราหมณ์ ๘ คน มาพิจารณาลักษณะ
ของมหาบุรุษพราหมณ์ทั้ง ๗ ได้พยากรณ์เป็น ๒ นัย คือ นัยหนึ่งเขาบอกว่าถ้าพระองค์
เป็นฆราวาสจะได้พระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อพระองค์ทรงผนวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
มีอัญญาโกณทัญญะพราหมณ์ ผู้เป็นอันดับ ๘ ได้พยากรณ์เป็นคติอันเดียวว่า เมื่อพระราชกุมาร
ทรงเจริญวัยขึ้น จะได้ทรงผนวชเป็นพระพุทธเจ้า

เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ผู้เป็นบิดาได้ทรงฟังคำพยากรณ์อย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงพิจารณา
ถึงประโยชน์ เมื่อพระราชกุมารได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ประโยชน์ที่พระองค์ทรงได้มีอะไรบ้าง
เมื่อพระองค์ออกทรงผนวช ประโยชน์ที่ได้มีอะไรบ้าง แต่พระองค์เข้าพระทัยไม่ถึง
ในการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เข้าพระทัยในการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพราะเหตุนั้น
พระองค์จึงทรงมีความปราถนาอยากให้พระราชกุมารนั้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ พระองค์จึงได้ทรง
หาช่องทางป้องกันการที่จะทรงผนวชของมหาบุรุษนั้น จึงได้ตรัสถามอุบายของพราหมณ์ว่า
เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยขึ้นจะออกผนวชนี้ด้วยเหตุใด และจะป้องกันได้อย่างไร
พราหมณ์จึงกราบทูลว่า พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นเทวทูต
ก็จะออกทรงผนวช พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงหาวิธีป้องกัน มิให้พระราชกุมารนั้นออกทรงผนวช
โดยสร้างปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ทรงเลือกสรรสาวสนมกำนัลในที่มีรูปสมบัติ
และคุณสมบัติ มาเพื่อบำรุงบำเรออะไรต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องป้องกัน


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 19:54:01 »


ที่เล่ามานี้ เพื่อต้องการให้เข้าใจว่า อุปสรรคเครื่องขัดขวางและสิ่งกางกั้นในการที่ทำความดี
ของแต่ละท่านย่อมมีอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา แม้แต่พระมหาบุรุษผู้ถึงพร้อมด้วยพระบารมีก็ยังมีอยู่
อย่างนี้ เมื่อพระองค์ได้โอกาสดีพระองค์ก็ออกทรงผนวช ก็ยังมีบุคคลทั้งหลายพูดกันต่าง ๆ นานา
ตามแต่ทัศนะของบุคคล บางคนก็หาว่าพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช เป็นกาลกิณีบุคคล
บางคนก็วิพากย์วิจารณ์ไปนานับปการเหลือที่จะพรรณนา แต่แล้วพระมหาบุรุษผู้ออกทรงผนวชได้แล้ว
ก็ได้ทรงตั้งใจประพฤติปฏิบัติตปธรรม ในสำนักบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ อยู่เป็นเวลาถึง ๖ พรรษา
ก็หาสำเร็จไม่ ที่ได้อธิบายมานี้อยากจะให้เข้าใจว่ามีอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. ผู้ที่มีบารมีอันเต็มเปี่ยม ไม่น่าจะมีอุปสรรคแต่ก็มี

๒. เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างพระบารมีอันเต็มเปี่ยมแล้ว การตรัสรู้ของพระองค์ไม่น่าจะลำบากเลย
แต่ทำไมจึงได้ดำเนินทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ก็ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้เลย ต่อเมื่อพระองค์
มาพิจารณาถึงช่องทางที่พระองค์ทรงดำเนินและสิ่งที่ทรงปรารถนา สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือว่า
พระองค์ทรงหาช่องทางทำลายเสียซึ่งภพของจิต หรือหาช่องทางปรับปรุงจิตให้เป็นปกติ
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งให้ถึงซึ่งวิสังขารของจิต

ความปรารถนาอันนี้ของพระองค์มีอยู่อย่างนี้แล้ว พระองค์จึงได้หาช่องทางดำเนิน วิธีที่ดำเนินนั้น
พระองค์เป็นผู้กำหนดถึงเรื่องภพก่อนว่า การสืบภพของจิตมันสืบอย่างไร มันต่อกันอย่างไร
พระองค์พิจารณาได้รู้กระแสของจิตที่สืบต่อภพ โดยเดินไปตามสัญญาอารมณ์ พูดมาถึงเพียงนี้
พวกเราก็คงเข้าใจ สำหรับพวกเราทุกท่านก็คงมองเห็นอย่างจิตของพวกเราทุกท่านที่ประหวัด
ไปในสัญญาที่ผ่านมาแล้ว ในคำพูดที่เราพูดมาแล้วตั้งแต่อดีต ดีก็ดี ชั่วก็ดี สิ่งที่มีสาระ
และไม่มีสาระก็ดี จิตของเราย่อมประหวัดเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์เหล่านั้น เมื่อจิตของเราประวัด
เข้าไปสู่อารมณ์เหล่านั้น ให้คุณหรือโทษ คือ ความสุข ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความร่าเริง
อะไรเหล่านี้เป็นต้น อาการที่จรและประหวัดไปอย่างนั้นแหละเรียกว่า จิตเดินเข้าไปสู่ภพ
คือภพของจิต

จะอธิบายให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ที่สุด อย่างบุคคลที่จะมรณะ เมื่อจิตของเขาประหวัดไปถึง
อารมณ์อย่างไร การเคลื่อนไหวไปสู่ภพก็ต้องเป็นไปตามอาการอย่างนั้น สมมุติอย่างบุคคล
ผู้มีจิตอันเศร้าหมอง ในเมื่อคิดไปสู่อารมณ์ที่ไม่ดีแล้ว คติภพที่ไปก็ไม่ดี เมื่อบุคคลผู้มีจิตประหวัด
ไปในทางที่ดี คือในสิ่งที่ตัวทำดีหรือนึกถึงสิ่งที่เราประกอบไว้ เป็นไปเพื่อการทำประโยชน์ที่ดี
เป็นกุศล จิตของเราก็ปีติยินดีต่อกุศล

ที่เล่าสู่ฟังก์เพื่อให้เข้าใจว่าอาการที่ประหวัดไปของจิตอย่างนี้เรียกว่า “จิตเดินเข้าไปสู่ภพ”
เมื่อพระองค์มารู้อาการที่จิตเข้าไปสู่ภพอย่างนี้ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ สติ
ดังนี้ขึ้นมายับยั้งเป็นปฐมก่อน เมื่อจิตประหวัดเข้าไปสู่อารมณ์ พรองค์ก็ต้องยับยั้งอยู่ด้วย
ความเฉลียวระลึกรู้แล้วพิจารณาถึงโทษคุณ ในอาการที่ประหวัดไปนั้น เมื่อมันประหวัดไปอย่างนี้
มันจะให้สุขอย่างนี้ ให้ทุกข์อย่างนี้ ให้โทษอย่างนี้ ให้คุณอย่างนี้ มีผลเสียผลได้อย่างนี้
ในเมื่อสติเข้าไปยับยั้งแล้ว ปัญญาที่วิจารณ์ดังกล่าวแล้วนี้ จะต้องปรากฏมีมาในอันดับที่สอง
เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงสร้างสติตัวนี้ยับยั้งจิตของท่าน ในเมื่อมันจะประหวัดเข้าไปสู่ภพ
พยายามกระทำจนชำนิชำนาญ จนสามารถล็อคคอจิตไว้ได้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว
พระองค์ก็มองเห็นประโยชน์ว่า ในเมื่อรั้งจิตไว้อย่างนี้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว ย่อมให้ผลดี
คือ ความรู้ ความเข้าใจ ในการเคลื่อนไหวของจิตที่แสดงเข้าไปสู่ภพดังนี้ ความทุกข์
หรือความเข้าใจย่อมปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นลำดับต่อไป

เมื่อพวกเราเข้าใจถึงอุบายวิธีที่พระองค์หาช่องทางทำลายภพของจิตนี้ พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ก็ต้องพยายามสร้างสติ พิจารณาจิตของเราที่ประหวัดเข้าไปสู่ภพอย่างพระองค์ เมื่อเรามีสติ
คอยล็อคหรือรั้ง หรือค้านจิตของเราไว้ ไม่ให้จิตของเราประหวัดเข้าไปสู่ภพโดยธรรมชาติธรรมดา
ด้วยกำลังของสติอย่างนี้เสมอแล้ว พวกเราทุกท่านสามารถที่หาช่องทางกางกั้นของจิต
หรือกางกั้นจิตไม่ให้ไหลไปสู่ภพได้อย่างพระองค์ เมื่อสามารถรั้งหรือล็อคจิตไม่ให้ไหลสู่ภพเช่นนี้
จิตย่อมจำนนและอยู่ในอำนาจของตปธรรม คือ สติ อย่างที่พรรณนาสู่ฟังแล้ว

เมื่อเราสามารถบังคับหรือปฏิวัติจิตของเราได้อย่างนี้เต็มที่แล้ว อาการทั้งหมดที่จิตสั่งบัญชา
ออกมานั้น เราก็มีความสามารถที่จะรั้งหรือบังคับไว้ด้วยอำนาจของตปธรรมนี้เหมือนกัน
เพราะอาการทุกอย่างที่แสดงออกมาในทางกายและวาจา มันไม่ได้เป็นไปตามธาตุขันธ์
ของแต่ละส่วน มันต้องอาศัยอำนาจจิตเป็นผู้สั่งและบัญชา อาการที่แสดงทั้งหลายเป็นไป
ด้วยอำนาจของจิตสั่ง เมื่อหากพวกเราสร้างกำลังของสติเข้าไปยับยั้งจิตของพวกเราแล้ว
อาการทั้งหมดที่เคลื่อนไหวออกไป เป็นไปโดยทางกายและวาจาก็ตามย่อมไม่เป็นไปโดย
ธรรมชาติ จะต้องอาศัยสติตัวเฉลียวรู้นี้เป็นตัวรั้งไว้ก่อน แล้วจึงใช้ปัญญาวิจารณ์ถึงโทษและคุณ
ถึงผลเสีย ผลได้ต่อไป สมควรหรือไม่สมควรย่อมต้องญัตติด้วยกำลังของปัญหา

จะยกเหตุผลให้พวกเราได้เข้าใจ สมมุติว่าพวกเราผู้มองเห็นไฟ เราคุ้ยเคยอยู่กับไฟ
เรารู้จักคุณโทษของไฟได้ดี เมื่อมองปั๊บเราก็รู้ว่า ถ้าเราจับเข้าไปจะให้โทษอย่างนี้ ๆ
คุณค่าของไฟเป็นอย่างนี้ ๆ โดยที่เรามิได้พิจารณากำหนดแต่เรารู้เอง อาการที่ว่องไว
เป็นไปนี้เรียกว่า “ชวนะ” ต้องอาศัยความคุ้ยเคยฉันใดก็ดี ในเมื่อเรามีสติเข้าไปรับรู้
ในอาการเคลื่อนไหวของจิตอยู่เสมออย่างนั้น เราก็รู้เรื่องโทษและคุณ ในเมื่อจิตเคลื่อนไปอย่างนั้น
เหมือนกับที่เรามองเห็นไฟ เมื่อหากอาการของจิตที่เคลื่อนไปอย่างนี้เรารู้ชัดในโทษและคุณ
แล้วอาการปล่อยวางอารมณ์ของจิต ก็เหมือนกับเรา ไม่มีความสามารถจะเอื้อมมือ
เข้าไปจับไฟฉันนั้นเหมือนกัน และเมื่อเรามองเห็นประโยชน์ในการที่จิตเคลื่อนไปอย่างนี้
เมื่อประกอบและดำเนินไปจะมีคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ จิตก็ไม่มีช่องทางใดที่จะมาค้านในอาการ
คิดอย่างนั้น ย่อมสามารถจะทำไปได้ เพราะจิตยอมจำนนกำลังของตปธรรมอยู่แล้ว

บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 19:57:53 »



สมมุติอย่างพวกเราที่จะทำอย่างนี้ ๆ บางทีไม่มีความสามารถกระทำลงไปได้ เพราะอาการ
ของจิตมันเปลี่ยนแปลงอาการที่เป็นอยู่อย่างนี้ เนื่องจากจิตไม่จำนนของกำลังตปธรรมนั่นเอง
เมื่อพวกเรามีความสามารถสร้างกำลังชนิดนี้เข้ามาบังคับจิตแล้ว สิ่งทั้งปวงที่เรามองเห็นว่า
จะเป็นไปเพื่อคุณค่าประโยชน์สามารถที่จะน้อมจิตกระทำไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีทางใด
ที่จิตจะลุกขึ้นมางอแงต่อสู้กับอาการที่รู้เห็นอันนั้นเลย เมื่อหากพวกเราดำเนินให้เป็นไปอย่างนี้
ประโยชน์มีอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. เป็นผู้หักห้ามทำลายซึ่งภพของจิต หรือกางกั้นจิตไว้ไม่ให้ถึงภพ

๒. เป็นการทรมานหรือปฏิวัติซึ่งจิตของเราไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

นี่พูดถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งปฏิปทาที่พวกเราจะได้ดำเนินให้เป็นไป ทีนี้มานึกถึง
คุณค่าประโยชน์อันที่ประพุทธเจ้าดำเนิน เมื่อพระองค์เป็นผู้มีขัติธรรม ต่อสู้เหตุการณ์ภายนอก
และภายใน พวกเราทุกท่านให้ลองนึกถึงพระพุทธเจ้า ความเป็นอยู่ของพระองค์ และการกล้ายอม
เสียสละ พร้อมทั้งขันติธรรมของพระองค์ที่ต่อสู้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ พระองค์มีความสุข
อย่างที่พวกเราทุกท่านได้เห็น หรือได้ฟังในพุทธประวัติ พระองค์มีความสุขเหลือเกิน แต่พระองค์
มาพิจารณาถึงเรื่องความสุขที่เป็นไปในทางกาว เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค หรือ ความสุข
ที่เป็นไปในทางโลกีย์ พระองค์มองเห็นความสุขอันนี้ไม่เป็นว่าจะมีความสุขยืดยาวสักแค่ไหน
ความสุขอันนี้จะประกอบให้เราได้รับเพียงแค่ที่มีชีวิตอยู่ ในเมื่อมรณภาพแล้ว ความสุขอันนี้
จะติดตามไปไม่ได้

เมื่อพระองค์มาพิจารณาอย่างนี้แล้ว พรองค์จึงกล้ายอมเสียสละออกทรงผนวช พร้อมทั้งพระองค์
มาทรงพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ อันที่พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประโยชน์ที่พระองค์
จะดำเนินไปนั้น ย่อมจะแผ่ไพศาลไปยังสัตว์และบุคคลทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขตามพระองค์
พระองค์จึงกล้าออกทรงผนวช แต่เมื่อพูดถึงอุปสรรคอันตรายต่าง ๆ พระองค์ไม่น่าจะดำเนินให้เป็นไปได้
แต่แล้วพระองค์ผุ้ทรงมีขันติธรรมอย่างแรงกล้า จึงสามารถดำเนินประโยชน์อันนี้ให้สำเร็จไปได้

เพราะฉะนั้น พวกเราทุกท่านต้องหาช่องทางพิสูจน์ถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งหาช่องทาง
สร้างกำลังของขันติธรรมอันนี้มาต่อสู้เหตุการณ์ต่าง ๆ บางคนเขาอาจพูดเยาะเย้ยเราว่า
เราเป็นผู้มีความสุขไม่น่าจะออกมาอย่างนี้ มันเป็นเพราะกรรมอะไรเหล่านี้ เขาอาจจะพูดได้
แต่ในเมื่อเราไม่มีขันติธรรมและไม่พิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ที่ดวเรายอมเสียสละออกมาปฏิบัติ
และเมื่อเราได้ความดีสมดังปรารถนาของเราแล้ว ความสุขของพวกเรา เราเองย่อมเป็นผู้ได้รับดังนี้
และอาจสามารถนำประโยชน์อันนี้แผ่ไพศาลไปยังหมู่คณะที่ต้องการ




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2554 19:58:12 »


เมื่อเราพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ เราไม่ต้องฟังเสียงบุคคลที่พูดเยาะเย้ยเหล่านั้นเลย
ตลอดจนกำลังของกรรมทั้ง ๒ ที่นำพา บางทีกรรมดี คือ บารมีธรรมของพวกเราเข้ามาบันดาล
เราจะทำอะไรเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย อาการที่ทำอะไรไปทั้งหมดไม่บกพร่อง บางทีอกุศล
ที่เราประกอบไว้มันมีกำลังเข้ามาบันดาล ทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่สะดวกสบายทางร่างกายก็อาจจะมี
โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน สิ่งกระทบต่าง ๆ ที่เป็นส่วนภายนอกก็อาจจะมี เมื่อเราไม่มีขันติธรรม
หรือไม่พิจารณาวิจารณ์ถึงประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วนั้น พวกเราทุกท่านก็อาจจะท้อใจ น้อยใจ
หรืออาจจะถอยอะไรเหล่านี้ เป็นต้น

เมื่อพวกเรามาพิจารณาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งพวกเราจะดำเนินตาม
รอยพระยุคลบาทของพระองค์ พวกเราก็ต้องหาช่องทางพิจารณาพิสูจน์เอาอุบายเหล่านี้มาแก้จิตใจ
ของพวกเรา ในเมื่อกำลังกรรมทั้ง ๒ มันเข้ามาบันดาลซึ่งเป็นไปในส่วนอกุศลกรรม เราย่าท้อแท้
อย่าน้อยใจ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ในเมืองพระองค์ออกทรงผนวช
พระองค์ก็มิได้ทรงสะดวกสบาย รู้สึกว่ามีอุปสรรคขัดข้องหลายสิ่งหลายอย่าง นับแต่พระราชบิดา
หาวิธีป้องกันมิให้พระองค์ออกทรงผนวช โดยนึกถึงคุณค่าประโยชน์ในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ถึง
ว่าจะได้ประโยชน์กว้างขวางอะไร มองเห็นเพียงแค่ใกล้ ๆ ว่าเมื่อพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ์แล้ว
ก็มีหน้ามีตา ความสุข ความเจริญ ของพระมหาบุรุษที่เป็นพระราชบุตรของเรานี้ จะได้รับผลประโยชน์
อย่างนี้ ๆ มองเห็นเพียงแค่นี้ ด้วยความมองเห็นการณ์ไกลของพระองค์ จึงได้หาอุบายวิธีป้องกัน

อุปสรรคอันตรายทั้งหมดเหล่านี้ของพวกเราก็ได้มองเห็นอยู่ชัด ๆ เราก็ต้องพิสูจน์พิจารณาอย่างพวกเรา
ที่มีบารมีแก่กล้าพอสมควร ได้บันดาลให้พวกเราออกบำเพ็ญตปธรรมในป่า โดยไม่ติดและไม่ห่วงใย
ในวัตถุต่าง ๆ อย่างบรรดาคนทั้งหลายเขาติด หรือบุคคลที่ยังไม่ถึง เขาหาช่องทางดิ้นรนเข้าไปหา
หรือบุคคลเข้าถึงแล้วเขาติด เขาจม เขาหมอบ ไม่มีทางใดที่จะหลีกออกจากความสุขมาได้
อันพวกเราผู้มีความสุขอย่างที่ได้มองเห็นกัน อาศัยอำนาจบารมีธรรมของพวกเราช่วยบันดาลไม่ให้
พวกเราติดหรือหลงไหลในสิ่งนั้น ให้พวกเราออกมาเสาะแสวงหาสถานที่ประกอบตปธรรม
เป็นการสร้างบารมีเพิ่มเติม หรืออาจจะหาช่องทางดำเนินตัวของตัวเองให้หมดภพ หมดชาติ หมดทุกข์
เข้าไปสู่อมตมหานฤพาน “เหลือแต่ดวงจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์” เข้าไปอยู่รวมกับวิญญาณของท่านผู้บริสุทธิ์
ไม่มีความอิจฉาเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความสุขความเจริญไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่มีโรคมีภัยอะไรต่าง ๆ เหล่านี้

เมื่อพวกเรามองเห็นคุณค่าบารมีที่บันดาลให้แก่พวกเราทุกท่านมาแล้ว พวกเราอย่าเข้าใจว่าบารมีธรรม
ของพวกเราที่สร้างสมอบรมมานี้จะบันดาลให้พวกเราสำเร็จเข้าไปสู่มรรคผล โดยไม่ต้องประกอบอะไร
เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างที่เล่าสู่ฟังว่า เมื่อพระองค์ออกทรงผนวชแล้ว ทำทุกรกิริยาถึง ๖ พรรษา
ก็ไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ ต่อเมื่อพระองค์ทรงดำเนินถูก จึงเป็นไปเพื่อความสำเร็จมรรคผล

เพราะเหตุนั้น พวกเราก็เหมือนกันอาศัยบารมีของพวกเราอย่างเดียว แต่เมื่อพวกเราประกอบทางปฏิปทา
ของพวกเราไม่เป็นไปเพื่อมรรคผล ก็ไม่มีช่องทางใดที่จะเป็นไปเพื่อมรรคผล กำลังของบารมีก็เพียงแค่
พวกเรามองเห็นว่า บันดาลไม่ให้พวกเราลุ่มหลงในวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น

เพราะฉะนั้น พวกเราที่ต้องการดำเนินเข้าไปสู่มรรคผลนั้น ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าว่าพระองค์
ทรงดำเนินไปอย่างไร ที่พระองค์ปรารถนาต้องการจะทำลายภพทำลายชาติ เพราะภพชาติ
เป็นสาเหตุใหญ่แห่งความทุกข์ ภพชาติเป็นต้นเหตุสิ่งต่าง ๆ มันมาจากภพทำลายชาติ ภพของจิต
อยู่ที่ไหน เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นว่าการเดินจนของจิตเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์ต่าง ๆ มีความดีใจ
มีความเสียใจ ในเมื่อจิตประหวัดไปตามอารมณ์สัญญานั้นเป็นธงของภพชาติ การจรเข้าไปสู่ภพเรียกว่า
ทางไต่เต้าเข้าไปหาภพ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ ตัวเฉลียวระลึกรู้เป็นเบื้องต้น
เข้าไปกางกั้นจิต แล้วใช้ปัญญาพิจารณาถึงประโยชน์ให้เห็นชัด อย่างที่พวกเรามองเห็นไฟดังกล่าวแล้วนั้น
จิตของเราจะไม่มีความสามารถเดินเข้าไปสู่ภพ จิตของพวกเราจะไม่ปรารถนาภพ จิตของพวกเราจะปรารถนา
ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ พระนิพพาน

ด้วยเหตุนั้น พวกเราได้ยินได้ฟังสัมโมทนียกถา โดยอุบายวิธีแนะนำให้พวกเราทุกท่านได้มีความปลื้มปีติ
ในธรรมะที่พระองค์ได้ทรงดำเนินตลอด เล่าถึงเรื่องอุบายวิธีที่พระองค์ทรงหาช่องทางดำเนินเข้าไปสู่
การทำลายภพของจิต หรือปฏิบัติจิตไม่ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ พร้อมที้งหาช่องทางเอาธรรมะเข้ามาเป็น
“วิหารธรรม” ของพวกเรา จะได้เอาธรรมะเข้ามาเป็นเครื่องอยู่ ให้พวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจต่อคุณค่า
ของธรรมะที่พวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อหากพวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจแล้ว และเข้าใจแล้ว
จงพากันหาช่องทางดำเนินประพฤติปฏิบัติตามพวกเราทุกท่านก็จะได้รับความสุข ความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ในบวรพระพุทธศาสนาต่อไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ




ที่มา พลังจิต
บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
น้ำมนต์
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 36


เย็นฉ่ำ เย็นชื่น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2555 02:06:22 »


  สาธุ....... อนุโมทามิ
บันทึกการเข้า

เพียงหยดน้ำหยดหนึ่งจากฟากฟ้า
ไม่นานนักก็ระเหยกลับสู้ผืนนภา
คำค้น: อุบาย วิธี จิต บำเพ็ญ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.215 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 19 พฤศจิกายน 2567 01:25:35