ได้ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคณะของพระโพธิสัตว์ ชาวโลกรวมทั้งเทพและอสูรทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ในกาลก่อนซึ่งเป็นกาลเวลาแห่งอดีต เราได้แสวง สัทธรรมปุณฑรีกสูตร สิ้นกัลป์ที่ไม่สามารถประมาณนับได้ โดยเป็นผู้ไม่หวั่นไหวและไม่เหน็ดเหนื่อย ในกาลก่อน เราได้เป็นพระราชา สิ้นกัลป์มิใช่น้อย สิ้นร้อยพันกัลป์มิใช่น้อย ได้ตั้งประณิธานไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ความประพฤติของเรา ไม่เปลี่ยนไปจากความหวังที่คิดไว้ เราได้พยายามด้วยการยังบารมี 6 ให้สมบูรณ์ เป็นผู้ให้ทานอันประมาณมิได้ ได้บริจาคทองมณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ แก้วประพาฬ เงิน ทอง มรกต ปะการัง พลอย หมู่บ้าน เมือง นิคม ชนบท ราษฎร ราชธานี ภรรยา บุตร ธิดา ทาสี ทาสา กรรมกร บุรุษ ช้าง ม้า รถ ได้สละสรีระของตน ได้สละแขน ขา อวัยวะเบื้องสูง หรือศีรษะ องค์แห่งอินทรีย์ (อวัยวะเครื่องสัมผัส =ตา หู จมูก ฯลฯ)
และชีวิต จิตแห่งการยึดมั่น แม้ครั้งหนึ่ง ก็ไม่เกิดขึ้นแก่เรา
ก็โดยสมัยนั้น โลกนี้ยังมีอายุยืนยาว ก็เราได้สร้างราชสมบัติตามความถูกต้องแห่งธรรม ตามกาล มิใช่ตามความถูกต้องตามวิสัย ด้วยชีวิตหลายร้อยพันปี เรานั้นได้อภิเษกผู้พี่ไว้ ในราชสมบัติแล้ว ก็พยายามแสวงหาพระธรรมอันประเสริฐทั้ง 4 ทิศ คำอย่างนี้ ได้ให้ประกาศแล้วด้วย (การตี) ระฆังว่า ผู้ใดจักให้ธรรมอันประเสริฐแก่เรา หรือจักบอกสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤาษีตนหนึ่ง ท่านได้กล่าวคำนี้แก่เราว่า "ข้าแต่มหาราชมีพระสูตรหนึ่ง ชื่อว่า
สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงธรรมอันประเสริฐยิ่ง ถ้าท่านจักเข้าถึงความเป็นทาส (ของข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจักให้ท่านได้ฟังพระธรรมนั้น ข้าพเจ้าครั้นได้ฟังแล้ว เกิดความพอใจยินดีถ้อยคำของฤาษีนั้น มีใจเป็นของตน เกิดปีติโสมนัสอย่างสูง ได้เข้าไปถึงที่อาศัยของฤาษีนั้น ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวว่า งานใดอันทาสพึงกระทำแก่ท่าน ข้าพเจ้าจักกระทำงานนั้น เรานั้น ครั้นเข้าถึงความเป็นทาสของฤาษีนั้นแล้ว ได้กระทำงานคนรับใช้ เช่น การหาหญ้า ไม้ น้ำ ผักกาด และผลไม้เป็นต้น และเราได้เป็นผู้รักษาประตูด้วย ครั้นเราทำงานต่างๆ ในเวลากลางวัน กลางคืนได้ประคองเท้าของท่านผู้นอนอยู่บนเตียงความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่ได้มีแก่เรา งานอย่างนี้ที่เรากระทำอยู่ถึงพันปีบริบูรณ์
ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาค
เพื่อขยายข้อความนี้ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
42 เราได้ระลึกถึงอดีตกาลล่วงมาแล้วหลายกัลป์ เมื่อครั้งเรายังเป็นธรรมราชา ผู้ประกอบด้วยธรรม เราได้ครองราชสมบัติ
เพราะเหตุแห่งธรรม มิใช่เพราะเหตุแห่งความปรารถนา เพราะเหตุแห่งธรรม
เป็นสิ่งประเสริฐสุด
43 เรากระทำการโฆษณานี้ไปสู่ทิศทั้ง 4 ว่าผู้ใดพึงบอกธรรม แก่เรา เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤษีองค์หนึ่ง ผู้เป็นปราชญ์ ได้
บอกชื่อพระสูตรว่า สัทธรรม (ปุณฑรีกะ)
44 ท่าน (ฤาษี) ได้บอกแก่เราว่า "ท่านมีความปรารถนาพระธรรม ท่านจงยอมเป็นทาส(ของข้าพเจ้าก่อน) ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจะบอกธรรมแก่ท่าน
45 ความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่เป็นอุปสรรคแก่เรา ผู้ยอมเป็นทาส
เพราะเหตุแห่งพระ
สัทธรรม เราอุทิศตนปฏิบัติ มิใช่เพราะเหตุแห่งความเป็นสัตว์
และมิใช่เพราะเหตุแห่งความใคร่46 พระราชานั้น ได้ประกอบความเพียรแล้ว กรรมอย่างอื่นไม่มีในทิศทั้ง 10 พระองค์มีความทุกข์ สิ้นพันกัลป์เต็มบริบูรณ์ จึงได้รับพระสูตรที่ชื่อว่า "
สัทธรรม(ปุณฑรีกะ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน พระราชาในกาลนั้น คือพระราชาอื่นหรือ? ท่านทั้งหลาย ไม่ควรมีความเห็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร? เพราะว่าเราคือพระราชาในสมัยนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ฤาษีในสมัยนั้นคือบุคคลอื่นหรือได้ยินว่าท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นอย่างนี้ เพราะว่า ฤาษีในสมัยนั้น ก็คือภิกษุเทวทัตนี้เอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า พระเทวทัตคือกัลยาณมิตรของเรา บารมี 6 ประการ
ที่เราได้สมบูรณ์ได้ก็เพราะอาศัยพระเทวทัต
รวมทั้งมหาไมตรี มหากรุณา มหามุฑิตา และมหาอุเบกขา มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการอนุพยัญชนะ 80 ผิวสีทอง พละ 10 อภิญญา 4(ไวศารทฺย=ปัญญา) สังคหวัตถุ 4 พุทธธรรมของผู้เกล้าผม (ชฎิล) ทั้ง18 กำลังของมหาอิทธิฤทธิ์ การปกป้องสัตว์ในทิศทั้ง 10 ทั้งหมดนี้ ย่อมมีแก่เรา เมื่อคบกับพระเทวทัต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะบอกกล่าวแก่ท่านว่า ในอนาคต โดยกัลป์อันประมาณมิได้ นับมิได้ ภิกษุเทวทัตนี้ จักได้เป็นตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า
เทวราช ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ที่ไม่มีผู้เปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรมใน
เทวโสปานโลกธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อายุของพระเทวราชตถาคต มีประมาณ 20 กัลป์ พระองค์จักได้แสดงธรรมโดยพิสดาร สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์
ด้วยการละกิเลสทั้งปวง ณ เบื้องพระพักตร์ สัตว์มิใช่น้อย จักยกจิตขึ้นสู่
ปัจเจกโพธิญาณ สัตว์ทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักยกจิตขึ้นสู่
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงถึงความอดทนที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตเทวราชปรินิพพานแล้ว
พระสัทธรรมจักตั้งอยู่สิ้น 20 กัลป์ แต่สรีระของพระองค์ จักไม่สลายตามการแตกสลายของพระธาตุ แต่พระสรีระของพระองค์จะรวมเป็นกลุ่มเดียว เข้าไปสู่
สัตตรัตนสถูป สถูปนั้นสูง 6 พันโยชน์ กว้าง 40 โยชน์ เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงในที่นั้น จักทำการบูชาด้วย ดอกไม้ ธูป มาลัยหอม แป้ง(ผงลูบไล้) จีวร(ผ้า) ฉัตร ธงแถบ ธงปฏาก และคาถาทั้งหลาย พวกเขา (เทวดาแลมนุษย์) จักอยู่บูชาด้วยวัตถุเหล่านั้น ส่วนชนเหล่าใด กระทำการนอบน้อมประทักษิณสถูปนั้น บางพวกจำสำเร็จเป็นพระอรหันต์
ซึ่งเป็นผลสูงสุดของการสักการะนั้น บางพวกจักเข้าใกล้พระปัจเจกโพธิญาณ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่คำนวณไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักยกจิตขึ้นสู่
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักเป็นผู้ไม่หวนกลับมาอีก ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุสงฆ์อีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาล กุลบุตรหรือกุลธิดาบางคน จำได้ฟังความเป็นไปของ
สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ครั้นฟังแล้ว จักไม่สงสัย ไม่ลังเลใจ เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมหลุดพ้น ประตูแห่งทุคติทั้งสามจะถูกปิด เขาจะไม่ไปเกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน และยมโลก เขาผู้บังเกิดในพุทธเกษตรทั้ง 10 ทิศ
จักได้ยินพระสูตรนี้ ทุกชาติ การถึงฐานะ อันประเสริฐ จักมีแก่เขา ผู้เกิดในโลกของเทวดาและมนุษย์ เมื่อเกิดในพุทธเกษตรใด เขาจักเกิดใน
สัตตรัตนปัทมะ ที่เกิดขึ้นเองในพุทธเกษตรนั้น เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต
ได้ยินว่า เวลานั้น พระโพธิสัตว์นามว่า ปรัชญากูฎะ ได้มาจากทิศเบื้องล่างพุทธเกษตรของ พระประภูติรัตนตถาคต พระองค์ได้กราบทูลพระประภูตรัตนตถาคตอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอให้พวกเราทั้งหลาย จงไปสู่พุทธเกษตรของตน ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ได้ตรัสกับปรัชญากูฏโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตรท่านจงรอครู่หนึ่งขอให้ท่านกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะ ร่วมกัน
วินิจฉัยธรรมบางอย่างก่อน แล้วค่อยไปสู่พุทธเกษตรของตน ในภายหลัง ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จขึ้นจากท่ามกลางของสมุทร อันเป็นที่ประทับของพระสาครนาคราช ได้ประทับนั่งบนดอกบัวที่มี 1,000 กลีบ มีขนาดเท่าล้อเกวียน แวดล้อมด้วยพระโพธิสัตว์มากมาย เหาะขึ้นไปทางอากาศไปสู่ที่ใกล้พระผู้มีพระภาค มีภูเขาคิชฌกูฏ ครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จลงจากดอกบัวถวายบังคมพระผู้มีพระภาคศากยมุนี และพระประภูตรัตนตถาคต ด้วยเศียรเกล้าแล้วเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ปรัชญาภูฏะ ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวคาถาต่างๆ อันน่ายินดี น่าประทับใจ ณ เบื้องพระพักตร์พระโพธิสัตว์ปรัชญาภูฏะ แล้วจึงประทับนั่งที่ส่วนข้างหนึ่ง
ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์ ได้ตรัสกะพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า "ข้าแต่พระมัญชุศรี ธาตุแห่งสัตว์เท่าใด ที่ท่านผู้ไปสู่ท่ามกลางมหาสมุทรได้แนะนำแล้ว สัตว์ทั้งหลายประมาณมิได้ นับมิได้ คือไม่อาจให้รู้ได้ด้วยวาจา และไม่อาจให้หยั่งรู้ได้ด้วยจิต ดูก่อนกุลบุตรท่านจงรอครู่หนึ่ง ท่านจักได้นิมิตในกาลก่อน ในระหว่างที่ พระมัญชุศรีกุมารภูตะตรัสอย่างนี้ ในเวลานั้นดอกบัวหลายพันดอก ได้ผุดจากท่ามกลางมหาสมุทรขึ้นสู่ท้องฟ้า พระโพธิสัตว์หลายพันพระองค์ ได้ประทับนั่งบนดอกบัวเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้เสด็จไปสู่ภูเขาศิชฌกูฏ ทางอากาศ ครั้นขึ้นไปแล้ว ได้ประทับยืนปรากฏอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นเป็นผู้ที่พระมัญชุศรี อบรมให้ตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระโพธิสัตว์เหล่าใด ดำรงอยู่ในมหายานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจักสรรเสริญคุณของมหายานและบารมี 6 พระโพธิสัตว์เหล่าใด เป็นสาวกยานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จักสรรเสริญคุณของสาวกยาน
แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหมด ย่อมรู้ธรรมและคุณทั้งปวงของมหายานว่าเป็น
ศูนยตา ได้ยินว่าครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ปรัชญากูฏะว่า ดูก่อนกุลบุตร การอบรมสัตว์ทั้งปวงนี้ อันเราได้กระทำแล้ว ขณะที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ก็การอบรมนั้นยังปรากฏอยู่ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ปรัชญกูฏะได้ทูลถามพระมัญชุศรีกุมารภูตะ ด้วยเพลงขับเป็นคาถาว่า
47 ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ พระองค์
ได้ชื่อว่าบัณฑิต เพราะปัญญาที่ใช้อบรมสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งมีจำนวนนับไม่ได้ สิ่งนี้เป็นอานุภาพของใคร ข้าแต่ผู้เป็นเทพแห่งนรชน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกเหตุนั้นเถิด
48 ท่านได้แสดงธรรมหรือสูตรใด
ที่ชี้ทางแห่งโพธิญาณ แก่สัตว์เหล่านี้ ที่ได้ฟังแล้ว
มีจิตน้อมไปเพื่อโพธิญาณ จนได้ฐานะที่มั่นคงใน
พระสัพพัญญุตญาณ พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า เราได้กล่าว
สัทธรรมปุณฑรีกสูตรในท่ามกลางมหาสมุทรเราไม่ได้กล่าวถึงสูตรอื่นใด พระปรัชญากูฎะตรัสว่า "พระสูตรนี้ลึกซึ้ง ละเอียด พิจารณาเห็นได้โดยยาก พระสูตรอื่นใด ที่จะเสมอด้วยพระสูตรนี้ย่อมไม่มี มีสัตว์ผู้ใดบ้างละ ที่สามารถเข้าใจ
รัตนสูตรนี้เพื่อ
ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า ดูก่อนกุลบุตร มีพระธิดาของสาครนาคราช ซึ่งมีพระชนมายุ 8 ปี มีปัญญามาก มีอินทรีย์แก่กล้า สมบูรณ์ด้วย กาย วาจา ใจ ที่ได้ฌานมาก่อน เป็นผู้ได้รับธารณี (มนตร์) ด้วยการเรียนทั้งพยัญชนะและอรรถ ที่พระตถาคตทั้งปวงตรัสแล้ว
เป็นผู้สามารถเข้าสรรพธรรมสัตวสมาธานสมาธิได้จำนวนพัน เพียงครู่เดียว เป็นผู้น้อมจิตไปสู่โพธิญาณ มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้แทน ความรักของตนให้แก่สัตว์ทั้งปวง
เป็นผู้สมควรในการยังคุณธรรมให้เกิดขึ้น
พระธิดาย่อมไม่เสื่อมจากคุณธรรมเหล่านั้น พระธิดามีพระพักตร์เบิกบาน ประดับดอกไม้ ลดา สีสวยงามยิ่งเป็นผู้มีจิตเมตตา ทรงกล่าวด้วยวาจา ที่ประกอบด้วยความกรุณา พระธิดาสมควรบรรลุพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์ปรัชญากูฎะตรัสว่า "เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนีผู้พยายามอยู่เพื่อพระโพธิญาณ ได้กระทำบุญมิใช่น้อย จนได้เป็นพระโพธิสัตว์ ความเพียรแม้เล็กน้อยก็มิได้ตกหล่น ตลอดหลายพันโกฏิ แผ่นดินและประเทศ
แม้ประมาณเมล็ดงาสรรษปะหนึ่ง ย่อมไม่มีในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่
ที่พระองค์มิได้สละพระสรีระ เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์ภายหลัง เมื่อพระองค์ทรงบรรลุโพธิญาณแล้ว ใครเล่าพึงเชื่อว่าเธอ (ผู้มีทุกข์) จะสามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ในครู่เดียว ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระธิดาของสาครนาคราช ประทับยืนอยู่ข้างหน้า ได้อภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เวลานั้น พระธิดาทรงกล่าวคาถานี้ว่า
49 พระสรีระ (ของพระองค์) บริสุทธิ์ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ประกอบด้วยลักษณะ32 ประการ เลื่องลือไปทั่วทุกทิศ
50 (สรีระของพระองค์) ประกอบด้วยอนุพยัญชนะที่สมบูรณ์ของความเป็นสัตว์ทั้งปวง จึงเป็นที่สรรเสริญของสัตว์ทั้งปวง ราวกับว่าเป็นตลาดเสื้อผ้า
51 โพธิญาณของข้าพเจ้าได้มาด้วยความปรารถนา ข้อนี้พระตถาคตเป็นพยานของข้าพเจ้าได้
ข้าพเจ้าจักแสดงธรรมที่ปลดเปลื้องความทุกข์ให้พิสดารได้ ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระศาริบุตร ผู้มีอายุ ได้กล่าวกับธิดาของพระสาครนาคราชว่า ดูก่อนกุลบุตรี ความคิดในพระโพธิญาณเพียงอย่างเดียวเกิดขึ้นแล้ว (แก่ท่าน) ท่านเป็นผู้มีปัญญาอันประมาณไม่ได้ โดยไม่เสื่อม
แต่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ได้โดยยากยิ่ง แต่กุลสตรี ที่ไม่ยอมให้ความเพียรเสื่อมถอย ได้กระทำบุญสิ้นหลายร้อยกัลป์ และหลายพันกัลป์ ได้สร้างบารมี 6 ให้สมบูรณ์ แต่เธอก็ไม่บรรลุพุทธภาวะ แม้ในวันนี้ เพราะอะไร เพราะสตรีย่อมไม่ถึงสถานะ5 แม้ในวันนี้ สถานะ 5 คืออะไรบ้าง? คือที่ 1 สถานะของพรหม ที่2 สถานะของท้าวสักกะ ที่3 สถานะของมหาราช ที่4 สถานะของพระเจ้าจักรพรรดิ และที่5 สถานะของพระโพธิสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ได้ยินว่า เวลานั้น พระธิดาของสาครนาคราช มีแก้วมณีดวงหนึ่ง มีค่าควรแก่หลายพันโลกธาตุ พระธิดาสาครนาคราช ได้ถวายแก้วมณีนั้น แด่พระผู้มีพระภาค เพื่อความอนุเคราะห์ พระผู้มีพระภาคทรงรับแก้วมณีนั้นไว้ พระธิดาสาครนาคราช จึงทรงกล่าวคำนี้กันพระปรัชญากูฏะโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระว่า "ข้าพเจ้าได้ถวายแก้วมณีนี้ พระผู้มีพระภาคและพระผู้มีพระภาค ทรงรับแก้วมณีนั้นโดยเร็วมิใช่หรือ? พระเถระกล่าวว่า เมื่อท่านถวายโดยพลัน พระผู้มีพระภาค ก็รับโดยพลัน พระธิดาสาครนาคราชจึงตรัสว่า ข้าแต่พระศาริบุตร ผู้เจริญถ้าข้าพเจ้า มีฤทธิ์มาก
ข้าพเจ้าพึงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณได้เร็วกว่า ผู้รับแก้วมณีก็จะไม่มี ในเวลานั้น อินทรีย์แห่งสตรีนั้น ก็อันตรายไปต่อหน้าชาวโลกทั้งปวง และต่อหน้าพระศารีบุตรเถระ อินทรีย์แห่งบุรุษ ก็ปรากฏขึ้น พระธิดาของสาครนาคราช ได้แสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ ในเวลานั้น (พระนาง) ได้เสด็จไปสู่ทิศใต้ ครั้งนั้น ในทิศใต้ มีโลกธาตุ ชื่อว่า วิมล (พระนาง) ได้
แสดงตนเป็นองค์พุทธะ ประทับนั่งที่โคนสัตวตรัตนโพธิพฤกษ์ ทรงไว้ซึ่งลักษณะ 32 ประการ ผู้มีรูปประกอบด้วยอนุพยัญชนะทั้งปวง ผู้กำลังแสดงธรรมให้กระจายไปสู่ทิศทั้ง 10 ด้วยพระรัศมี สัตว์เหล่าใด ที่มีอยู่ในสหาโลกเหล่านั้น ย่อมมองเห็นพระตถาคตส่วนเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย
ได้ถวายสักการะบูชาพระองค์ ผู้กำลังแสดงธรรมอยู่ สัตว์เหล่าใด ได้ฟังธรรมของพระตถาคต สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นผู้ไม่เปลี่ยนแปลงใน
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ วิมลโลกธาตุและสหาโลกธาตุนี้ ได้สั่นไหวเป็น 6 จังหวะ สัตว์ทั้งหลายประมาณสามพันคนในมณฑลบริษัทของพระผู้มีพระภาคศากยมุนี ได้รับ
ขันติธรรมโดยทั่วกัน หมู่สัตว์อีกสามพันคน ได้การพยากรณ์ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระ
ได้เป็นผู้สงบแล้วบทที่11 สตูปสันทรรศนปริวรรต
ว่าด้วยการทัศนาพระสถูป ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร
อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้