พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต
บทที่ 15
ตถาคตายุษประมาณปริวรรต
ว่าด้วยประมาณอายุกาลของพระตถาคต ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายย่อมสามารถ ท่านทั้งหลายจงเชื่อ
พระวาจาที่เป็นจริงของพระตถาคต พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น เป็นครั้งที่ 2 ว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายจงวางใจเถิด ท่านทั้งหลายจงเชื่อพระวาจาที่เป็นจริง ของพระตถาคต พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้นเป็นครั้งที่ 3 ว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายจงวางใจเถิด ท่านทั้งหลายจงเชื่อพระวาจาที่เป็นจริงของพระตถาคต ครั้งนั้น คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงที่ยืนอยู่หน้าพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้ประคองอัญชลี
แล้วกราบทูลข้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ได้กราบทูลข้อความนี่กะพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ 2 ว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ได้กราบทูลข้อความนี่กะพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ 3 ว่า
ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต
พระผู้มีพระภาค ทรงพิจารณาคำทูลเชิญทั้งสามครั้งของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น แล้วตรัสกะพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง การได้กำลังที่มั่นคงถึงปานนิ้ของเรา ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ชาวโลกรวมทั้งเทวดา มนุษย์และอสูร ย่อมรู้ว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี เสด็จออกจากศากยสกุล ไปสู่หลักชัยอันประเสริฐคือมณฑลแห่งโพธิพฤกษ์ ในมหานครคยา แล้วจึงได้ตรัสรู้ ท่านทั้งหลายไม่ควรมีความคิดเห็นอย่างนั้น ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว เป็นเวลาร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย มีปรมาณูปฐวีธาตุ อยู่ใน 50 ร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุ บังเอิญมีบุรุษคนหนึ่งหยิบปรมาณูไปหนึ่งธุลี เดินทางไปในทิศตะวันออก สิ้นร้อยพันจนนับไม่ถ้วน ใน 50 โลกธาตุ
แล้วจึงวางปรมาณูหนึ่งธุลีนั้นลงโดยปริยายนี้ บุรุษนั้น พึงทำโลกธาตุทั้งปวงนั้น ให้ปราศจากปฐวีธาตุ สิ้นร้อนพันหมื่นโกฏิกัลป์ เขาพึงทิ้งละอองปรมาณูในปฐวีธาตุทั้งปวงเหล่านั้น ในทิศตะวันออก โดปริยายนี้ และโดยการทิ้งเป็นแสนครั้งอย่างนี้ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลายท่านทั้งหลายคิดว่า เรื่องนี้เป็นอย่างไรใครๆสามารถคิด คำนวณ ตวง หรือประมาณโลกธาตุเหล่านั้นได้หรือ? เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ คณะของพระโพธิสัตว์ และกลุ่มของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงนั้นได้ กราบทูลข้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โลกธาตุเหล่านั้น ไม่สามารถนับได้ ไม่สามารถคำนวณได้ ย่อมสุดวิสัยของความคิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ก็ไม่อาจคิด คำนวณ ชั่ง กำหนดนับ ด้วยวิชาอันเลิศได้
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โคจรแห่งจิตในฐานะนี้ จะไม่หวนกลับมา แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ดำรงอยู่ในภูมิที่ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โลกธาตุเหล่านั้น ไม่สามารถประมาณได้
ครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้นว่า ดูก่อนกุลบุตร เราจะบอกแก่ท่านทั้งหลาย เราจะประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ดูก่อนกุลบุตรโลกธาตุมีประมาณเท่าใด บุรุษนั้น ได้วางธุลีปรมาณูในโลกธาตุจำนวนเท่านั้น และไม่ได้วางไว้ในโลกธาตุเท่าใด ธุลีปรมาณูมีประมาณเท่านั้น ย่อมไม่มีในร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุทั้งหมดนั้นที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตลอดร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมา เราจะแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในสหาโลกธาตุนี้ และร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุอื่นๆ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าอื่นที่เรายกย่อง อย่างเช่น พระตถาคตทีปังกร เป็นต้น การนิพพานที่สมบูรณ์ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น เราจึงสร้างขุมทรัพย์คือการแสดงธรรมด้วยกุศโลบาย ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย
เราพิจารณาถึงอินทรีย์ กำลัง และความเป็นผู้เยาว์ ของสัตว์ทั้งหลายที่มาแล้วๆจึงให้ชื่อเฉพาะตนไว้ในสัตว์เหล่านั้น ตถาคตย่อมประทานการนิพพานไว้เฉพาะในสัตว์นั้นๆ ยังสัตว์ทั้งหลายให้ยินดี
ด้วยธรรมบรรยายสูตรต่างๆ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตย่อมกล่าวแก่สัตว์ทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้ว
ด้วยวิธีการต่างๆ ผู้มีกุศลมูลน้อย ผู้มีกิเลสมาก อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เรา) ได้ออกจากวงศ์ตระกูลตั้งแต่ยังหนุ่ม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ไม่นาน ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตได้ตรัสรู้มาแล้ว
เป็นเวลานาน แต่ประกาศอย่างนี้ว่า เราได้ตรัสรู้มาไม่นาน ดังนี้ พระองค์นำไป
เพื่อประโยชน์แก่การอบรมสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสธรรมบรรยายนี้ เพื่อประโยชน์แก่การบูชา
ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตได้ตรัสธรรมบรรยายนี้ เพื่อประโยชน์ในความเป็นระเบียบของสัตว์
ทั้งหลาย ด้วยการแสดงตนหรือแสดงผู้อื่น ด้วยการอาศัยตนหรืออาศัยผู้อื่น พระตถาคตประกาศธรรมบรรยายใดๆ ธรรมบรรยายเหล่านั้นทั้งหมด
ที่พระตถาคตตรัสแล้วย่อมเป็นจริง วาทะที่เป็นเท็จของพระตถาคตนั้นย่อมไม่มี ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เป็นเพราะว่า ไตรโลกธาตุที่พระตถาคต
ทรงเห็นแล้วนั้นล้วนเป็นจริง มัน (ไตรโลกธาตุ)
ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่ตกไป ไม่ผุดขึ้น ไม่เวียนว่าย ไม่ดับ ไม่เป็น ไม่เป็นหามิได้ ไม่มี ไม่มีหามิได้ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้นหามิได้ ไม่เป็นภาพลวงตา ไม่เป็นภาพลวงตาหามิได้ พระตถาคตไม่มองโลกธาตุ
เหมือนที่ประชาชนคนพาล คนโง่มอง
ธรรมที่ประจักษ์ทั้งหลาย
เป็นธรรมที่ไม่มีการปิดบัง ในสถานะของพระตถาคต พระตถาคต
ตรัสคำใด คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นจริง ไม่ผิด ไม่เปลี่ยนแปลง พระตถาคตทรงประกาศธรรมบรรยายที่ต่างกัน ด้วยภูมิฐานที่ต่างกัน เพื่อประโยชน์
คือการก่อให้เกิดกุศลมูล แก่สัตว์ทั้งหลายที่มีความประพฤติต่างกัน มีความปรารถนาต่างกัน มีความรู้ ความไม่รู้ และการปฏิบัติที่ต่างกัน
ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เพราะว่า พระตถาคต ย่อม
กระทำการสิ่งที่พระตถาคต
ควรกระทำเท่านั้น พระตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว สิ้นกาลนาน มีพระชนมายุไม่กำหนด ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล พระตถาคตยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ย่อมแสดงถึงนิพพาน ด้วยอำนาจ (การศึกษา) ของพระสาวก ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย แม้ในขณะนี้ เรายังไม่ทำพรหมจรรย์ของพระโพธิสัตว์
ที่มีอยู่ในอดีตให้สมบูรณ์ ประมาณอายุของเราก็ยังไม่เต็ม ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย แม้ในวันนี้ เราจักมีอายุอีกสองเท่าของร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ จากการที่อายุของเรายังไม่เต็มบริบูรณ์ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย บัดนี้ เรายังไม่ปรินิพพาน แต่จักประกาศการปรินิพพาน เพราะเหตุไร? ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย
โดยปริยายนี้ เราจักยังสัตว์ทั้งหลายให้ถึงพร้อมว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่ได้สร้างกุศลมูล ผู้
งดเว้นจากการทำกุศล เป็นผู้ทุกข์ยาก มีความโลภในกามคุณ
เป็นผู้มืดบอด ถูกครอบงำด้วยตาข่ายแห่งทิฏฐิ ทราบว่า พระตถาคตยังดำรงอยู่ แล้วปฏิบัติพระโพธิญาณเพื่อความสนุกสนาน ไม่ยังพระโพธิญาณที่ได้โดยยากนั้น ให้เกิดขึ้น ด้วยคิดว่า เราอยู่ใกล้ชิดพระตถาคตแล้ว เขาทั้งหลายจึงไม่ปรารถนาความเพียร เพื่อสลัดออกจากโลกธาตุทั้งสาม ไม่ยังความรู้ที่ได้โดยยากจากพระตถาคตให้เกิดขึ้น ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตจึงประกาศถ้อยคำด้วยกุศโลบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเกิดขึ้นของพระตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? เป็นเพราะว่า การที่สัตว์ทั้งหลายได้พบพระตถาคตนั้น ต้องใช้เวลาหลายร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ หรืออาจไม่ได้พบเลย ได้ยินว่า เราได้แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลาย มีภาวะที่เกิดขึ้นยากและหาได้ยากพวกเขารู้ว่า ความเป็นพระตถาคตนั้น เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก และเป็นภาวะที่ยากยิ่งกว่าประมาณการมาก จึงยังความอัศจรรย์ใจให้เกิดขึ้น ทั้งเกิดความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจขึ้น กุศลมูลทำให้เกิดจิตที่อิงอาศัยพระตถาคตของพวกเขา เป็นไปเพื่อความปรารถนา เพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน พระตถาคตที่ยังไม่ปรินิพพาน ได้เห็นประโยชน์นี้ จึงประกาศการปรินิพพาน เพื่อให้เกิดความปรารถนาต่อการศึกษาของสัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย นี่คือธรรมบรรยายที่พระตถาคตประกาศ ในกรณีนี้ พระตถาคตจึงตรัสถูกต้องแล้ว
ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย มีบุรุษแพทย์คนหนึ่ง เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ มีปัญญาเป็นผู้ฉลาดในการวิเคราะห์โลกทั้งปวง เขามีบุตรจำนวนมาก 10 คน หรือ 20 คนหรือ30 คน หรือ 40 คน หรือ 50 คน หรือ 100 คนก็ตาม เมื่อแพทย์คนนี้ไปสู่ถิ่นอื่น บุตรทั้งปวงของเขาถูกโรคร้ายหรือโรคธรรมดาก็ตามเบียดเบียน พิษธรรมดา หรือพิษร้ายนั้น ทำให้พวกเขาประสบทุกขเวทนาอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อพิษร้ายกำเริบ พวกเขาก็นอนกลิ้งไปมาบนพื้นดิน ครั้งนั้น เมื่อนายแพทย์ผู้เป็นบิดาของพวกเขากลับมาจากต่างถิ่น บุตรเหล่านั้นของเขา กำลังเจ็บปวดทุกขเวทนาเพราะพิษร้ายนั้น บุตรบางคนมีความเข้าใจผิด บางคนก็เข้าใจถูกต้อง บุตรเหล่านั้นทั้งหมดที่ประสบทุกข์ เพราะพิษร้าย
ครั้นได้เห็นบิดาก็พากันยินดี และกล่าวว่า ข้าแต่บิดาท่านผู้มาแล้วด้วยความสุขสวัสดิ์ จงพิจารณาเถิด ขอท่านจงยังพวกเราให้พ้นจากภยันตรายนี้จะเป็นพิษธรรมดาหรือพิษร้ายก็ตาม ข้าแต่บิดา ขอท่านจงไว้ชีวิตแก่พวกเรา ครั้งนั้น เมื่อนายแพทย์นั้นได้เห็นบุตรมีความทุกขเวทนากำเริบนอนกลิ้งไปมาบนพื้นดิน จึงเตรียมหาเภสัชประกอบด้วยสี กลิ่น รส บดบนแท่งศิลา เพื่อให้บุตรดื่ม ได้กล่าวกับบุตรเหล่านั้นว่า ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงดื่มมหาเภสัชนี้ อันประกอบด้วยสี กลิ่น และรส ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย ครั้นดื่มมหาเภสัชนี้แล้ว จักหายจากพิษร้ายนี้ โดยเร็วทีเดียว ท่านทั้งหลายจักดำรงอยู่ด้วยดีและไม่มีโรค บุตรเหล่าใดของนายแพทย์นั้น มีความเข้าใจดี พวกเขาได้เห็นสี ดมกลิ่น และลิ้มรสของยา จักหายจากโรคโดยเร็ว บุตรเหล่านั้นทั้งหมด
เมื่อดื่มอยู่ก็จะหายจากโรคนี้โดยสิ้นเชิง ส่วนบุตรเหล่าใดของนายแพทย์นั้น เข้าใจผิด พวกเขายินดีกับบิดาแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่บิดา ท่านกลับมาด้วยความสุขสวัสดี จงดูเถิด ขอท่านจงรักษาพวกเราทั้งหลาย พวกเขากล่าวอย่างนี้ แล้วไม่ดื่มยาที่เตรียมมานั้น ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร? เป็นเพราะว่าเภสัช
ที่เตรียมมานั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจแก่บุตรเหล่านั้น ทั้งสี กลิ่น และรส เนื่องจากความเข้าใจผิด ครั้งนั้น นายแพทย์จึงคิดว่า บุตรของเรา เข้าใจผิดเรื่องพิษหรือพิษร้ายนี้ พวกเขาจึงไม่ดื่มมหาเภสัชนี้ และไม่ยินดีกับเรา
เราจักยังบุตรเหล่านี้ให้ดื่มเภสัชด้วยกุศโลบาย แพทย์คนนั้น ปรารถนาให้บุตรทั้งหลายเหล่านี้ ดื่มเภสัชด้วยอุบายจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราเป็นผู้ชรา แก่ เฒ่าแล้ว การทำ
กาลกิริยา ก็ปรากฏใกล้เข้ามาแล้ว ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงอย่าโศกเศร้าอย่างเสียใจ เราได้เตรียมมหาเภสัชนี้ไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนา ท่านจงดื่มเภสัชเถิด เมื่อนายแพทย์
สอนบุตรเหล่านั้นด้วยอุบายอย่างนี้ แล้วไปสู่ชนบท และประเทศอื่นๆ ครั้นไปแล้ว ยังบุตรที่ป่วยอยู่ให้เข้าใจว่า ตนตายไปแล้ว บุตรเหล่านั้น เศร้าโศก คร่ำครวญอย่างยิ่งในสมัยนั้นว่า บิดาผู้เป็น
ที่พึ่ง เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้อนุเคราะห์เรา ได้ตายไปแล้ว บัดนี้ เราทั้งหลาย
จะเป็นอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง บุตรเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า ตนเป็นผู้อนาถา เพื่อพิจารณา
เห็นว่า ตนไม่มีที่พึ่งบ่อยๆ ก็เป็นผู้มีความทุกข์ เศร้าโศก ความเข้าใจผิดถูกก็จะเกิดขึ้นแก่บุตรเหล่านั้น เพราะมีความทุกข์โศกเศร้าบ่อยๆ พวกเขา
ยอมรับรู้เภสัชที่ปรุงด้วย สี กลิ่นและรสนั้น
ในสมัยนั้น พวกเขาจะ
ยอมรับเอาเภสัชนั้น เมื่อพวกเขารับเภสัชไปอยู่ก็จักหายจากอาพาธนั้น ขณะนั้นแพทย์นั้นทราบว่า บุตรเหล่านั้นหายจากอาพาธ จึงปรากฏตนอีกครั้ง ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เธอย่อมเข้าใจว่าเหตุนั้น เป็นอย่างไร? เมื่อนายแพทย์
ใช้กุศโลยายนั้น ใครๆไม่ควรโจทย์ด้วยถ้อยคำที่เป็นเท็จ (กุลบุตรทั้งหลาย) กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค มิใช่อย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต มิใช่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เป็นอย่างนั้น เราได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ สิ้นร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ที่ประมาณมิได้ ที่นับไม่ได้ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราแสดงกุศโลบายอย่างนี้ แก่สัตว์ทั้งหลาย เพื่อประโยชน์
แก่การศึกษาอย่างต่อเนื่อง การกล่าวเท็จใดๆจึงไม่มีแก่เรา ผู้ดำรงอยู่ในสถานะนั้น
ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค เพื่อแสดงเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วยมาตราจำนวนมาก จึงได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้
1 ประมาณกาลแห่งพระโพธิญาณที่เราได้บรรลุแล้ว ไม่อาจทราบได้ด้วยจำนวนตลอดพันโกฏิกัลป์ เราก็ยังแสดงธรรมคือพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น ตลอดกาลเป็นนิตย์
2 เรายังพระโพธิสัตว์ทั้งหลายให้ดื่มด่ำ แล้วให้ตั้งอยู่ในพระโพธิญาณ ได้อบรมสัตว์จำนวนหลายหมื่นโกฏิ มิใช่น้อย ตลอดหลายโกฏิกัลป์
3 เราได้แสดงนิรวาณภูมิ แล้วกล่าวถึงอุบาย เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของสัตว์ทั้งหลาย ในกาลนั้น เรายังไม่นิพพาน ยังแสดงธรรมอยู่ในที่นี้
4 เราปกครองตนเองและสัตว์ทั้งหลาย ส่วนชนทั้งหลาย ผู้รู้ผิด เป็นผู้โง่เขลา เป็นผู้ไม่เห็นเรา ย่อมดำรงอยู่ในที่นั้น
5 ชนเหล่านั้นเห็นอาตมภาวะของเราว่า นิพพานแล้ว ย่อมกระทำการบูชาต่างๆในพระธาตุ ย่อมมองไม่เห็นเรา ย่อมยังความปรารถนาให้เกิดขึ้น ต่อจากนั้น จิตอันสุจริตของเขาก็จะเกิดขึ้น6 สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้สุจริต นุ่มนวล อ่อนโยน เป็นผู้สละความใคร่แล้ว ต่อแต่นั้น เราได้รวบรวมหมู่สาวก แล้วแสดงตนบนภูเขาคิชฌกูฎ
7 ภายหลังเราจึงกล่าวแก่พวกเขาอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่นิพพานในสถานที่นี้ มันเป็นกุศโลบายของเราเท่านั้น เพราะเราเกิดในชีวโลกนี้บ่อยๆ
8 เราเมื่อสัตว์เหล่าอื่นสักการะบูชา จึงได้แสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐของเราแก่พวกเขา แต่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้ฟังคำของเรา นอกจากพระโลกนาถจะนิพพานไปเท่านั้น
9 เราเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ฆ่า จึงไม่แสดงอาตมาภาวะนั้น เมื่อสัตว์ปรารถนาจะพบเรา เราจึงแสดงพระสัทธรรมแก่สัตว์ผุ้ปรารถนาเหล่านั้น
10 ความตั้งใจมั่นของเราเป็นเช่นนี้ ทุกเมื่อ ตลอดพันโกฏิกัลป์ จนนับไม่ได้ เราไม่เคยไปจากภูเขาคิชกูฎนี้ เพื่ออยู่อาศัยในที่อื่น เป็นเวลาหลายโกฏิกัลป์
11 สัตว์ทั้งหลายที่เห็นโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมสำคัญว่า มันกำลังถูกเผาไหม้อยู่ เมื่อนั้นพุทธเกษตรนี้ของเรา ย่อมเต็มไปด้วยเทวดาและมนุษย์
12 พวกเขามีการละเล่น มีความเพลิดเพลิน สิ่งสวยงามวิจิตร มีอุทยาน ปราสาทและวิมานหลายโกฏิ ล้วนประดับด้วยภูเขารัตนมณี และต้นไม้ที่สมบูรณ์ด้วยดอกและผล
13 เทวดาในเบื้องบน ประโคมดนตรี โปรยเมล็ดฝนคือดอกมณฑาระ จนปกคลุมเราพระสาวก และพระมุนีเหล่าอื่น ผู้ตรงอยู่ในพระโพธิญาณ
14 พุทธเกษตรนี้ของเรา ซึ่งตั้งอยู่อย่างนี้ในกาลทุกเมื่อ ชนเหล่าอื่นย่อมสำคัญว่า มันกำลังถูกเผาไม้อยู่ ย่อมองเห็นโลกธาตุว่า น่ากลัว ลำบาก เต็มไปด้วยความทุกข์โศกหลายร้อยชนิด
15 ชนทั้งหลายที่ยังไม่ได้ยินชื่อของเราผู้เป็นตถาคต ตลอดหลายโกฏิกัลป์ ทั้งยังไม่ได้ฟังชื่อของพระธรรมและพระสงฆ์ของเรา ที่เป็นอย่างนี้ เพราะผลของกรรม16 สัตว์ทั้งหลาย ผู้นุ่มนวล อ่อนโยน จะเกิดขึ้นในมนุษย์โลกนี้ ครั้นเกิดขึ้นแล้ว จะเห็นเราที่กำลังแสดงธรรมอยู่ เพราะกุศลกรรม(ของพวกเรา)
17 เราจะไม่กล่าวถึงการกระทำ ที่ยิ่งไปกว่าคำที่เป็นจริง แก่ชนเหล่านั้นในกาลไหนๆ เพราะเหตุนั้น เราผู้ประจักษ์ จึงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน เราจึงกล่าวว่าพระชินเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ที่หาได้ยาก
18 ความงามแห่งประภาที่เป็นเช่นนี้ และไม่มีที่สุด เนื่องจากพลังแห่งปัญญาของเรา และเราอายุยาวนาน ไม่กำหนดกาลกัลป์ เพราะประพฤติพรหมจรรย์ในอดีตกาล
19 ดูก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอย่าก่อความสงสัยในเรื่องนี้ ท่านจงละความสงสัยทั้งหมดเสีย อย่าให้เหลือ เราได้กล่าววาจาที่เป็นจริงนี้แล้ว ถ้อยคำของเราไม่เคยเป็นเท็จในกาลไหนๆ
20 จริงอยู่นายแพทย์นั้น ได้ศึกษาในอุบาย เพราะเหตุแห่งบุตรผู้เข้าใจผิด จึงกล่าวว่า คนที่มีชีวิตนั้นตายเสียแล้ว ผุ้มีความรู้ ไม่ควรตำหนินายแพทย์ ด้วยความเข้าใจผิด
21 เราผู้เป็นบิดาแห่งโลก เป็นพระสยัมภู เป็นนายแพทย์ เป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งปวง เป็นผู้ยังไม่สิ้นธุระ รู้ว่า ชนทั้งหลายเข้าใจผิด หลงงมงายและโง่เขลา จึงแสดงการสิ้นธุระ
22 อะไรเป็นเหตุแห่งการปรากฏบ่อยๆของเรา เมื่อชนทั้งหลายไม่มีศรัทธา ไม่ฉลาด โง่ ลุ่มหลง และมัวเมาในกามคุณ ย่อมถึงทุคติ เพราะเหตุแห่งความประมาทนั้น
23 เราทราบความประพฤติ(ของชนทั้งปวง) ตลอดกาลเป็นนิตย์ จึงกล่าวแก่สัตว์ทั้งหลายว่า เราเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ด้วยคิดว่า จะนำผู้นี้เข้าไปในพระโพธิญาณได้อย่างไร ชนเหล่านั้นจะรับพุทธธรรมได้อย่างไรบทที่ 15 ตถาคตยุษประมาณปริวรรต ว่าด้วยประมาณอายุกาลของพระตถาคต
ในธรรมบรรยาย สัทธธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท14-15-16.htm