ฝืนความอยาก คำว่าพอนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหยุดความอยากต่างๆ พอหยุดความอยากต่างๆ แล้วความพอมันก็ปรากฏขึ้นมาเอง ความอิ่มมันก็ปรากฏขึ้นมาเอง เพราะความพอกับความอยากมันเป็นเหรียญ ๒ ด้าน ถ้าเราหงายเหรียญขึ้นมาด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็อยู่ข้างล่าง มันจะโผล่ขึ้นมา ๒ ด้านพร้อมกันไม่ได้ เหมือนกับความมืดกับความสว่าง มันก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้ ความสุขกับความทุกข์ก็เกิดจากความอยากและความไม่อยากนั่นเอง หรือเกิดจากความอิ่มนั่นเอง เวลามีความอยากก็เกิดมีความทุกข์ขึ้นมา ความอิ่มก็หายไป พอเวลาไม่มีความอยากความอิ่มก็โผล่ขึ้นมา นี่วิธีที่จะทำให้ใจของเราอิ่มนี้ไม่ใช่ไปทำตามความอยาก ถึงแม้ว่าจะอิ่มแต่อิ่มเดี๋ยวเดียว อิ่มแล้วเดี๋ยวก็หิวใหม่ ทำตามความอยากความอยากก็จะสงบตัวลงชั่วคราว แล้วเดี๋ยวความอยากก็โผล่ขึ้นมาใหม่ วิธีที่จะทำให้ความอยากมันสงบแบบไม่โผล่กลับขึ้นมาก็คืออย่าไปทำตามความอยาก ฝืนมัน มันอยากสูบบุหรี่ก็อย่าไปสูบมัน เดี๋ยวสักพักหนึ่งความอยากมันหมดแรงแล้วมันก็จะไม่มีความอยากจะสูบบุหรี่ ช่วงที่จะฝืนมันถ้าเราทรมานเราก็ใช้ยาหม่องของพระพุทธเจ้ามาแก้ความทรมานได้ ยาหม่องก็คือการใช้สติทำใจให้สงบนั่นเอง
ดังนั้น ก่อนที่เราจะมาต่อสู้กับความอยากได้ด้วยปัญญาเราจึงต้องมีสมาธิก่อน สมาธินี่เป็นเหมือนกับยาที่จะมาช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานใจเวลาที่เราฝืนความอยากเวลาที่เราไม่ทำตามความอยาก พอมันอยากเราก็เข้าสมาธิไป หรือมองมุมกลับมองให้เห็นว่าการที่เราไปหาความสุขจากสิ่งที่เราอยากได้นั้นมันอาจจะกลายเป็นความทุกข์ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บางทีอยากได้แต่พอไปหามากลับไม่ได้ก็ผิดหวังเสียใจอีก แต่ถ้าไม่อยากได้ก็จะไม่มีวันผิดหวังไม่มีวันเสียใจ หรือถ้าได้สิ่งที่ได้มาแล้วเดี๋ยวมันอาจจะจากเราไปก่อนก็ได้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิ่งที่เราได้มานั้นจะอยู่กับเราไปตลอดเวลา จะต้องมีวันพลัดพรากจากกันไม่ช้าก็เร็ว ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตาย พอเกิดการพลัดพรากจากกัน ก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา
นี่คือเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบในการต่อสู้กับความอยากต่างๆ ต้องสู้ด้วยการใช้เหตุผลใช้ปัญญาใช้ความจริงว่าถ้าทำตามความอยากแล้วจะไม่มีวันสิ้นสุด จะต้องทำอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่อยากจะทำตามความอยากก็ต้องมองเห็นผลที่จะเกิดว่าสิ่งที่เราได้มานั้นมันอาจจะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาแทนการเป็นความสุขก็ได้ พอเห็นว่าเป็นความทุกข์แล้วก็เปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า อย่างบางคนแต่งงานกันแล้วถึงมาเสียใจในภายหลัง รู้อย่างนี้ไม่แต่งดีกว่า เพราะก่อนที่จะอยู่ร่วมกันก็ดีแสนดี พอมาอยู่ร่วมกันไม่กี่วันกลายเป็นพยามารขึ้นมาเสียแล้ว เกิดสงครามขึ้นมาในบ้านเสียแล้วโดยไม่คาดฝัน อันนี้เพราะเราไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้ก่อน ไม่ได้มองเห็นด้วยปัญญาว่าไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีการรับประกันว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีจะดีกับเราเสมอไป วันดีคืนดีก็อาจจะพลิกกลายเป็นของไม่ดีไป จากการเป็นมิตรก็จะกลายเป็นศัตรูขึ้นมาก็ได้ ต้องคิดแบบนี้เรียกว่าคิดด้วยปัญญา แล้วมันจะทำให้ความอยากนี้มันหดตัวลง มันจะไม่กล้าทำตามความอยาก จะไม่อยากทำตามความอยาก นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้าในการแสวงหาความสุขของพระนิพพาน คำว่า “นิพพาน” ก็คือใจที่ได้ชำระความอยากต่างๆ ให้หมดสิ้นไปนั่นเองธรรมะบนเขา วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
ปฏิบัติเพื่อดับความทุกข์ใจ
ที่เราปฏิบัตินี้เพื่อดับความทุกข์ใจเท่านั้นเอง เราดับสังขารไม่ได้ เราดับนามขันธ์ไม่ได้ ร่างกายเราดับมันไม่ได้ ต้องปล่อยมันดับเอง ถ้าดับด้วย “ฆ่า” มันก็ผิดอีก มันไม่จำเป็นต้องไปฆ่ามัน มันไม่มีโทษเข้าใจไหม ตัวที่เป็นโทษไม่ใช่ขันธ์ ตัวที่เป็นโทษก็คือตัณหาความอยากของเรา ที่เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้กับเรา ร่างกายมันไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเรา เวทนา สัญญา สังขาร มันไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเรา ตัวที่สร้างความทุกข์ให้กับเราก็คือความอยาก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ที่เกิดจากความหลง ความหลงที่ไปคิดว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวเราเป็นของเรา เราก็เลยมาแก้ความหลงด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาสอนว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา แล้วปล่อยมัน ร่างกายมันจะแก่ก็ปล่อยมันแก่ มันจะเจ็บก็ปล่อยมันเจ็บ มันจะตายก็ปล่อยมันตาย เวทนามันจะสุขก็ปล่อยมันสุข มันจะทุกข์ก็ปล่อยมันทุกข์ มันจะไม่สุขไม่ทุกข์ก็ปล่อยมันไม่สุขไม่ทุกข์ อย่าไปยุ่งกับมัน ให้รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้
เวทนาก็เกิดจากภาพที่ได้เห็น เสียงที่เราได้ยิน กลิ่นที่เราได้ดม รสที่เราได้สัมผัสด้วยลิ้น แล้วก็อาการเเข็งเจ็บก็ผ่านทางร่างกายเท่านั้นเอง มันเป็นธรรมชาติที่ใจมารับรู้ แต่ใจไม่รับรู้เฉยๆ ไปเกิดความอยาก เกิดความรัก ความชัง ในสิ่งที่รับรู้ เวทนาแบบนี้รัก เวทนาแบบนี้ไม่รัก พอสุขเวทนาก็รักก็อยากจะให้อยู่ไปนานๆ พอหายไปก็ทุกข์แล้ว ทุกขเวทนายังไม่ทันเกิดเลย เพียงแต่สุขเวทนาหายไปก็ทุกข์แล้ว เวลาบ๊ายบายจากกันอย่างนี้ เวลาเห็นคนที่เรารักเราก็ดีใจ อยู่ด้วยกันก็มีความสุข พอเขาต้องไปทำงานไปต่างจังหวัดไปต่างประเทศไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วก็สุขเวทนาหายไปแล้ว ใจก็ทุกข์ขึ้นมาแล้ว เพราะอยากให้สุขเวทนาอยู่ต่อไป แต่ถ้าเราไม่มีความอยากให้สุขเวทนาอยู่ หายก็หายไป เขาไปก็ไป เราก็เฉย มันก็ไม่เดือดร้อนสนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโตวัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน