[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 13:49:17 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การวัดความฉลาดของคน : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี  (อ่าน 1157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1117


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 86.0.4240.75 Chrome 86.0.4240.75


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 ตุลาคม 2563 14:59:00 »




การวัดความฉลาดของคน ทางธรรมเรามองที่พฤติกรรม

การวัดความฉลาดของคน มีวิธีวัดอย่างไร ถ้าเป็นความฉลาดทางโลก เราก็วัดที่ปริญญาว่าเรียนจบปริญญาไหน ปริญญาตรี โท เอก ยิ่งเรียนสูงยิ่งมีความรู้ความฉลาดมาก อันนี้เป็นวิธีหนึ่งของการวัดความฉลาดทางโลก ส่วนทางธรรมนี้ วิธีวัดความฉลาดทางธรรมนี้วัดอย่างไร ก็วัดตอนที่มีวันหยุดนี่ อย่างช่วงที่มีวันหยุด ๔ วันนี่ ว่าไปไหนกัน ถ้าไปเที่ยวก็ไม่ฉลาด ถ้าไปทำบุญฉลาด ถ้าไปอยู่วัดฉลาด ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะว่าทางธรรมนี้ ถือว่าการทำบุญเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่จิตใจ ส่วนการไปเที่ยวนี้เป็นพิษเป็นภัยแก่จิตใจ การไปเที่ยวนี้เหมือนเป็นการเสพยาเสพติด ส่วนการไปทำบุญเหมือนกับการไปรับประทานอาหาร “บุญ” คืออาหารของจิตใจ แต่การเที่ยวหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นยาเสพติดของใจ เสพแล้วก็ติด ที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ไม่รู้กี่แสนล้านชาติแล้วนี้ ก็เพราะติดยาเสพติดนี้เอง ติดการเที่ยวกัน ติดการหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ที่เราเรียกว่า “กามตัณหา” นี้เอง ความอยากหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกาย ที่หาได้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่มไม่มีวันพอ มีแต่จะมีแต่หิวมีแต่อยากอยู่เรื่อยๆ

ร่างกายนี้ตายไป ความอยากไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ความอยากอยู่ในใจ ความอยากก็เลยดึงใจให้มาหาร่างกายอันใหม่ มาเกิดใหม่ มาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกันใหม่ เป็นอย่างนี้มาเป็นเวลายาวนาน ตายจากร่างนี้ก็ไปหาร่างใหม่ ได้ร่างใหม่เดี๋ยวก็ตาย ตายก็ไปหาร่างใหม่ เพราะความอยากที่จะเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มันไม่มีวันหมดจากจิตจากใจ จากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้เอง มันจะหมดได้ก็คือจากการทำบุญนี้เอง เพราะการทำบุญจะทำให้ใจอิ่ม หายอยาก จะสามารถกำจัดความอยากทางตาหูจมูกลิ้นกาย ให้หมดสิ้นไปได้ด้วยการทำบุญ นี่แหละคือการวัดความฉลาดทางธรรม วัดที่พฤติกรรม วัดที่การกระทำ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ คุณสมบัติมีอยู่ข้อหนึ่งก็คือ “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” เป็นธรรมที่เหมาะกับคนฉลาด คนที่ไม่ฉลาดนี้เปรียบเหมือนไก่ ไก่จะคุ้ยหาแต่ตัวหนอนแต่ตัวไส้เดือน แต่ถ้าไปเจอเพชรไปเจอพลอย ก็จะเขี่ยทิ้งๆ เพราะไม่รู้คุณค่าของเพชรของพลอย ว่ามีคุณค่ายิ่งกว่าตัวหนอนตัวไส้เดือน เพราะถ้ามีเพชรสักเม็ดหนึ่งนี้ ไปซื้อตัวหนอนตัวไส้เดือนได้เป็นแสนตัว ไม่ต้องมาคุ้ยเขี่ย เป็น “เศรษฐีไก่” มีตัวหนอนตัวไส้เดือนกินไปตลอดจนวันตายถ้ารู้จักเก็บเพชรเอาไว้เก็บพลอยเอาไว้ แต่นี่เขี่ยทิ้งหมด เจอเพชรเจอพลอย เขี่ยทิ้งๆ จะหาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือน แสดงว่าไก่มันไม่ฉลาด ไก่มันโง่

ถ้าเป็นคนนี่ จะเอาไส้เดือนหรือจะเอาเพชรจะเอาพลอย ถ้าเดินไปเจอตัวหนอนตัวไส้เดือน กับเจอเพชรเจอพลอยนี้ คนมันฉลาดกว่าไก่ก็ต้องเอาเพชรเอาพลอย มันไม่เอาตัวหนอนตัวไส้เดือน ถึงแม้จะเอาไปตกปลาได้ก็ตาม สมัยก่อนเขาตกปลานี้ เขาก็หาตัวไส้เดือนนี่มาเป็นเหยื่อ ถ้าไปค้นหาตัวไส้เดือน ไปเจอเพชรนี่ ไม่ต้องเอาแล้วไส้เดือน เอาเพชรนี้ไปซื้อปลากี่ตัวมากินก็ได้ คนฉลาดจะคิดอย่างนี้ ฉันใด ศาสนาก็เหมือนกัน ศาสนาเหมือนเพชรเหมือนพลอย “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” นี่ เราเรียกว่า “พระรัตนตรัย” “รัตนะ” ก็คือเพชรพลอยที่มีคุณค่าอันมหาศาล เพราะผู้ใดได้เพชรพลอยนี้ไปเป็นสมบัติแล้ว จะเหมือนมีทรัพย์ที่จะซื้อความสุขใจ ซื้อได้อย่างเต็มเปี่ยมและตลอดไปด้วย จะซื้อความสุขได้ตลอด จะมีเงินซื้อความสุขไปตลอด แต่คนไม่ฉลาดกลับจะไปเห็นตัวหนอนตัวไส้เดือนสำคัญกว่า ก็คือการเห็นการไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย สำคัญกว่าการมาหาความสุขทางใจ

นี่คือพระคุณของพระรัตนตรัย “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ถ้าผู้ใดได้มาพบได้มาได้ยินได้มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจากพระพุทธเจ้าเองก็ดี หรือจากพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ก็จะได้ความรู้ได้ปัญญา ได้ความฉลาด ได้รู้จักวิธีหาความสุขที่แท้จริง หาความสุขที่ถาวร หาความสุขที่ไม่มีความทุกข์ตามมา แต่ถ้าไม่ได้เจอกับ “พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์” จะไม่มีใครรู้จักวิธีหาความสุขที่แท้จริงที่ถาวร ที่ไม่มีความทุกข์ตามมา ก็จะไปหาแต่ความสุขที่เป็นความสุขชั่วคราว ความสุขที่มีความทุกข์ตามมา เช่น หยุด ๔ วันนี้ ไปเที่ยวกัน มีความสุขขณะไปเที่ยว พอกลับมาบ้านกลับมาที่ทำงาน ความสุขนั้นก็หายไป ความทุกข์ที่เกิดจากความอยากไปเที่ยวใหม่ ก็จะโผล่ขึ้นมา ความทุกข์ที่เกิดจากการที่ต้องหาเงินมาเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวต่อก็จะตามมา ถ้าไม่สามารถหาเงินหาทองเพื่อไปเที่ยวต่อได้ เวลาไม่ได้เที่ยวอยู่บ้านก็หงุดหงิดรำคาญใจ เศร้าใจ ว้าเหว่

นี่คือผลที่เกิดจากการไปหาความสุขจากการไปเที่ยว ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย นอกจากการไปเที่ยวแล้วก็ อย่างอื่นก็มีการซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ เรียกว่าไปช้อปปิ้งกัน บางทีของ ๒ อย่างนี้มันไปด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยแล้วก็ไปช้อปปิ้งด้วย แล้วก็ไปกินไปดื่มด้วย นี่เป็นเรื่องของการเสพกาม เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นเหมือนยาเสพติด ระหว่างอาหารกับยาเสพติดนี้เราจะเอาอะไร คนโง่จะเลือกอะไร คนฉลาดจะเลือกอะไร คนโง่มันก็จะเลือกยาเสพติด พวกที่ติดยามันไม่เอาหรอกอาหาร เวลามันมาขอเงิน ถามว่า “ไม่มีอาหารกินเหรอ” มันก็บอก “ไม่มี” แต่พอจะให้อาหารมันไม่เอา มันจะเอาเงิน เอาเงินไปซื้อยาเสพติด นี่คือคนโง่ เสพยาแล้วเป็นยังไง ร่างกายก็ซูบผอม ไม่กินอาหาร เอาเงินไปเสพยา ระหว่างต้องเลือกระหว่างการซื้ออาหารกับซื้อยาเสพติด คนติดยาจะเลือกอะไร เขาก็ต้องเลือกยาเสพติด เสพยาเสพติดแล้วมันบรรเทาความทรมานใจ ที่เกิดจากการอยากเสพยาได้ชั่วคราว แต่รับประทานอาหาร มันไม่ได้ทำให้ความทรมานใจหายไป แต่มันไม่ได้มองถึงว่ามันหายก็ชั่วคราวเท่านั้นเอง ความทรมานใจที่เกิดจากการติดยาเสพติด อยากเสพยาเสพติด มันจะรู้สึกทรมานใจมาก ต้องไปหายาเสพติดมาเสพ แล้วความทรมานใจนี้ก็จะหายไปชั่วคราว เดี๋ยวความทรมานใจใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาอีก ร่างกายก็จะต้องตายไปถ้าไม่ได้รับประทานอาหาร หรือรับประทานไม่มากพอ ยาเสพติดก็จะไปทำลายร่างกาย พิษของยาเสพติด

นี่คือลักษณะของคนฉลาดกับของคนโง่ ทางธรรมเรามองที่พฤติกรรมว่า มีพฤติกรรมไปในทาง “กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา” หรือไม่ ถ้าไปก็แสดงว่าโง่ ไม่ฉลาด ถ้าไปในทาง “การทำบุญทำทาน การรักษาศีล การภาวนา” เราเรียกว่าเป็นคนฉลาด เพราะ “การทำบุญทำทาน การหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย” นี้เป็นเหมือนอาหารของจิตใจนั่นเอง มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษต่อจิตใจ ยิ่งรับประทานมากเท่าไหร่ จิตใจยิ่งเจริญเติบโต ยิ่งได้ความสุขมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ จนถึงความสุขที่สมบูรณ์ ความเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ คือ ได้เป็นพระอริยะเจ้า ถ้าหาเองถ้าทำเองก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นพระอรหันตสาวก นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการไปทำบุญกัน ในวันที่มีเวลาว่างจากภารกิจการงานต่างๆ อย่าเอาเวลาอันมีค่านี้ไปกับการเสพยาเสพติดเลย อย่าไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ อย่าไปเที่ยว อย่าไปช้อปปิ้ง อย่าไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกันเลย มาหาความสุขทางใจกันดีกว่า มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาภาวนา แล้วใจจะมีแต่ความสุข ความทุกข์ที่เกิดจากความอยากต่างๆ มันจะลดน้อยลงไปตามลำดับ และหมดไปได้ในที่สุด


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน 

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.96 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 20:05:56