การใช้ปลัดขิก
ปลัดขิก แต่เดิมนิยมให้เด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ 3-4 ขวบขึ้นไปแขวนไว้ที่เอว
เพราะเด็กอายุประมาณนี้จะเริ่มมีเอวแล้ว และเด็กในระยะนี้ จะมีภูมิคุ้มกันตนน้อยลง
เพราะว่าหย่านมแล้ว แนวโน้มที่จะเจ็บไข้ไม่สบายมีมากขึ้น
ความเชื่อที่ว่าผีสาง ทั้งหมายจะทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบาย จึงให้แขวนปลัดขิกไว้
ทั้งนี้เพราะปลัดขิกที่นำมาแขวนให้กับเด็กชายนั้น จะอยู่ในลักษณะขององคชาตจำลองย่อส่วน
โดยปราศจากหนังหุ้มปลาย ระดับของการแขวนปกติแล้วก็อยู่ที่เอวมิใช่คอ
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้อยลงมาใกล้กับระดับองคชาต (ไอ้จู๋) ของเด็กให้มากที่สุด
เพื่อจะหลอกผีให้เข้าใจผิดไปว่าเด็กชายนั้นใช่เด็ก หากเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว
โดยมีองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้ม
ส่วนปลัดขิกเหล่านี้ หากจะให้มีความขลังยิ่งขึ้น ก็ควรจะต้องผ่านการปลุกเสกเสียด้วยอีกต่างหาก
หรือสรุปง่าย ๆ ว่าคติความเชื่อเดิมคือการห้อยเอาไว้หลอกผีว่าเด็กนี้ไม่ใช่เด็ก
แต่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจากลักษณะของไอ้จู๋ที่ปลายเปิดเหมือนของผู้ใหญ่นั่นเอง
วิธีใช้ปลัดขิกกับการค้าขาย
ในที่สุดปลัดขิกหรือขุนเพ็ด ก็ได้ประกาศอิสระภาพยกฐานะตัวเองขึ้นไปอีกระดับ จากของหลอกผี
ก็กลายเป็นสิ่งสมควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้ สถิตอยู่ตามศาลหรือเป็นเครื่องนำโชคลาภตั้งไว้บูชา
หรือเป็นเครื่องมือเพื่อนำความเจริญก้าวหน้าเนื่องในการทำมาค้าขาย
โดยทั่วไปจะนำปลัดขิกไปจิ้มลงบนสินค้าพร้อมกับมีคาถากำกับว่า
“โอม ระรวย มหาระรวย สามสิบสองควยแห่ห้อมล้อมหี ค้าง่ายขายดีแหกหีกลับบ้าน”
(ควรร่ายด้วยลมหายใจเฮือกเดียว แต่ทำไมจึงต้องสามสิบสอง เรื่องนี้ยังสืบไม่ได้)
หรือบ้างก็ว่า
“โอม ไอ้ขลิกไอ้ขลัก เงี่ยงหักเงี่ยงหงิก ปกเอยปกหาง
หางเอยหางอะไร บุรุษชอบหี สตรีชอบควย ทำให้กูร่ำรวย
โพะหัว โพะหัว โพะหัว”
(คาถาของหลวงพ่อซ่วน เมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา)
แต่หากจะตรองดูก็จะเห็นว่า การที่ใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเป็นคาถากำกับ
ก็เพื่อจะให้พวกผีๆ เข้าใจไปว่า สินค้าที่วางขายนั้นเป็นของที่ไม่มีราคาค่างวดวิเศษวิโสอะไร
ไม่คุ้มกันที่พวกผีจะมาใส่ใจเสียเวลามารบกวน
ปลักขิกนั้นมีเคล็ดการใช้แตกต่างกันไป บางสำนักนิยมให้ถูกเนื้อถูกตัว คือคาดที่เอว
ให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้ แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมให้ปลัดขิกแขวนออกมาให้คนอื่นๆ เห็น
จะยิ่งมีอานุภาพ