[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 20:18:25 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จดหมายจากท่าน ว.วชิรเมธี กับ คุณโดม วุฒิชัย  (อ่าน 12190 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:53:43 »

เนื้อหานานแล้วนะครับ ตั้งแต่ปี 50 สมัยที่จตุคามกำลังดัง

เป็นการตอบจดหมายที่ดีมาก ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปหลาย ๆ อย่าง เลยอยากให้ลองอ่านกันดูครับ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
 
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:54:46 »

เจริญพร คุณโดม วุฒิชัย

ก่อนอื่นอาตมภาพคงต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ที่ทอดเวลาออกไปอย่างเนิ่นช้าเหลือเกินสำหรับการตอบจดหมายของคุณโยม แต่การที่ช้าออกไปนั้นมีเหตุผลอยู่อย่างน้อย ๓ ประการ นั่นคือ (๑) เมื่อแรกที่จดหมายมาถึงนั้น เป็นช่วงเวลาที่อาตมภาพเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจยังประเทศภูฏานเป็นเวลา ๒ อาทิตย์ (๒) หลังกลับมาเมืองไทยแล้วก็ยังคงมีศาสนกิจรัดตัวมากเสียจนแทบหาเวลาลงนั่งเขียนอะไรยาวๆ ได้ยากเหลือเกิน

สภาพเช่นนี้ทำให้เข้าใจท่านพุทธทาสภิกขุเป็นอย่างมากว่า ทำไมในช่วงหลังท่านจึงใช้วิธีพูดแทนการเขียนและในที่สุดก็เลิกเขียนหนังสือแต่ใช้วิธี “พูดหนังสือ” แทนอย่างสิ้นเชิง และ (๓) ต้องการสังเกตปรากฏการณ์ “จตุคามรามเทพ” ให้ถึงที่สุดก่อนว่า เมื่อกระแสนี้ขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ

ซึ่งมาถึงนาทีนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าการทอดเวลาออกไปด้วยเหตุผลในข้อ ๓ นั้น นับว่ามีคุณมหาศาล เพราะทำให้อาตมภาพได้ทันอยู่ ทันดู ทันรู้ ทันเห็น “ปาฏิหาริย์” ของจตุคามรามเทพอย่างหมดเปลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็การได้เห็นหลวงปู่นริศ รำและร้องมโนราห์, เห็นหลวงหนุ่ยยิงปืน กรีดหน้า ประทับทรง และแสดงอุปเทห์ (วิชาพิศดาร) เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เห็นอดีตเสือดำที่มาบวชเป็นพระเสกน้ำมนต์พิสดารจนล้นออกจากบาตร เห็นพระอาจารย์อ๊อดเสกตะกรุดลูกปืนผสมจตุคามฯ เห็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่งขึ้นไปเสกจตุคามบนเครื่องบินโบอิ้ง, F 16 และในเรือรบหลวงของแผ่นดิน กระทั่งว่าเดินทางไปเสกกันตามสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดีย อินโดนีเซีย นอร์เวย์ และท่ามกลางทะเลลึกซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสะดือทะเล และเหนืออื่นใดก็คือ ได้ทันเห็นบันใดขึ้นพระธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราชทรุด พระมหาธาตุเอียง (ทรุด) อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ปรากฏการณ์อันสะท้อนให้เห็นถึง “ปาฏิหาริย์” แห่งการเสกจตุคามรามเทพเหล่านี้เอง ที่ในที่สุดได้เป็น “ตัวเร่ง” ให้กระแสจตุคามฯ ทรุดฮวบลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดนำมาสู่การตรวจสอบของมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกระแสแห่ง “มโนธรรม” ของสังคมจากผู้รู้เริ่มตีกลับ ทำให้เสียงแห่งความถูกต้องดีงาม เริ่มมีคนได้ยิน และสุดท้ายนำไปสู่ภาวะ “ขาลง” อย่างรวดเร็วของจตุคามรามเทพอย่างที่เห็นในวันนี้

บางครั้ง การรอคอยด้วยความอดทนและด้วยความเข้าใจในบางกรณี ก็ทำให้เราได้เห็นการคลี่คลายของปัญหาต่างๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับ “ปุจฉา” ที่คุณโยมถามมานั้น อาตมภาพขอตอบตามลำดับดังต่อไปนี้
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:55:15 »

(๑) การปลุกเสกที่แท้จริงในความหมายของพุทธศาสนานั้น คืออะไร ?

วิสัชนา : คำว่า “ปลุกเสก” ไม่เคยมีอยู่ในสารบบคำสอนของพุทธศาสนา ดังนั้น จึงไม่มีความหมายพิเศษที่จะต้องตอบและจะต้องตีความ ขอให้เข้าใจสั้นๆ เพียงว่า การ “ปลุกเสก” นั้น มีขึ้นมาในพุทธศาสนาแบบไทยๆ ของเรานี่เอง
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:56:01 »

(๒) บรรดาสาวกที่กำลังเรียกร้องศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ และบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่รับปลุกเสกจตุคามรามเทพเดือนชนเดือนไม่มีวันว่างเว้นนั้น เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่สาวกและแก่ชาวโลก ?

วิสัชนา :
พระสงฆ์ที่รู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นอย่างดี คงไม่ทำในสิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ท่านเหล่านั้น อาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า แก่นพุทธศาสน์คืออะไร หน้าที่ของพระสงฆ์คืออะไร

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพที่แพร่หลายในหมู่สงฆ์ นับว่า มีคุณูปการอย่างสำคัญไม่น้อยก็ตรงที่ ในแง่หนึ่งมันได้สะท้อนให้เห็นภาวะ “ด้อยการศึกษา” ในหมู่พระสงฆ์อย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง คุณูปการข้อนี้ หากพินิจให้ดีก็น่าจะเป็นเหตุผลอันเพียงพอที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ครั้งมโหฬารของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และภาวะด้อยการศึกษาที่ว่านี้สะท้อนออกมาอย่างไม่ปิดบังว่ามันได้เกิดขึ้นและกินลึกเข้าไปถึงพระสงฆ์ทุกระดับชั้น

และนั่นจึงทำให้เราตอบคำถามได้อีกข้อหนึ่งว่า ทำไมเป็นเมืองพุทธ แต่ไทยกลับยิ่งทรุดลง เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เมืองพุทธที่เราเป็นกันอยู่นั้น มันเป็นเมืองพุทธแบบไทยๆ แท้ๆ เลย แทบไม่ใช่พุทธในความหมายของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แบบที่เคยเข้าใจกันมาแต่เดิม
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:56:41 »

(๓) ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบมนุษย์กับดอกบัวนั้น ท่านเปรียบกับบัวสามเหล่าหรือสี่เหล่าแน่ ?

วิสัชนา :
ในพระไตรปิฎกแปลไทยฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๙ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบมนุษย์กับบัว ๓ เหล่า ดังนี้

“...เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลี (กิเลส) ในตาน้อย มีธุลีในตามาก...มีอุปมาเหมือนในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ (เหล่าที่ ๑)ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่เสมอน้ำ (เหล่าที่ ๒)ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ ไม่แตะน้ำ (เหล่าที่ ๓)...”

และข้อความต่อมาตรัสขยายความตอนนี้ออกไปอีกเล็กน้อยว่า
“พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีธุลีในตาน้อย มีธุลีในตามาก มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมักเห็นปรโลก (โลกหน้า) และโทษว่าเป็นสิ่งน่ากลัวก็มี บางพวกมักไม่เห็นปรโลกและโทษว่าเป็นสิ่งน่ากลัวก็มี ฉันนั้น...”ส่วนบัว ๔ เหล่านั้น เป็นทัศนะของพระอรรถกถาจารย์ (อาจารย์ผู้อธิบายพระไตรปิฎก) ซึ่งท่านขยายความบัว ๓ เหล่านั้นออกเป็นบัว ๔ เหล่าโดยให้คำอธิบายไว้ดังนี้

๑) อุคติตัญญู = บัวพ้นน้ำ ที่พอต้องแสงอาทิตย์แล้วก็บานในวันนี้

๒) วิปจิตัญญู = บัวเสมอน้ำ ที่จะบานในวันรุ่งขึ้น

๓) เนยยะ = บัวจมอยู่ในน้ำ ที่จะขึ้นมาบานในวันที่ ๓

๔) ปทปรมะ = บัวใต้น้ำ เปรียบเหมือนบัวที่มีโรค ไม่มีโอกาสขึ้นมาบาน เป็นอาหารของปลาและเต่า

ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ทรงเปรียบมนุษย์เหมือนบัว ๓ เหล่าและตรัสย้ำอีกว่า มนุษย์นั้น เมื่อจำแนกด้วยคุณภาพการมีโอกาสรู้ธรรมแล้วก็มีเพียงสองประเภทคือ ประเภทหนึ่งสอนให้รู้ได้ง่าย และอีกประเภทหนึ่งสอนให้รู้ได้ยาก
หากสังเกตให้ดีจะไม่ทรงใช้คำว่า “ไม่สามารถสอนได้” แต่ทรงใช้คำว่า “สอนให้รู้ได้ยาก” เท่านั้น

ในทัศนะของผู้เขียน คิดว่า พระอรรถกถาจารย์อธิบายเพิ่มเติมพวกที่ “สอนให้รู้ได้ยาก” นั่นเอง แยกออกมาเป็นอีกพวกหนึ่งว่า เป็นบัวเหล่าที่ ๔ คือ ปทปรมะ ซึ่งหมายถึงพวกบัวใต้น้ำ คำว่า “สอนให้รู้ได้ยาก” นั้น เรามีสิทธิ์คิดต่อไปได้ว่า บางคนกว่าจะรู้ได้คงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพชาติ แต่เมื่อพิจารณาในช่วงชีวิตนี้ เขาอาจไม่มีโอกาสสอนให้รู้ได้เลย เช่น อาจารย์ของพระสารีบุตรที่ชื่อสัญชัย ปฏิเสธการไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งๆ ที่เกิดร่วมยุคสมัยกันและมีพระสารีบุตรซึ่งเป็นศิษย์เอกชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ท่านปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่ไปฟังพระพุทธเจ้า เพราะท่านก็ “หนึ่งในตองอู” เหมือนกัน หรือท่านพระเทวทัตที่บวชอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ยอมรับการสอนจนกระทั่งวาระสุดท้ายจึงสำนึกตัวได้

พระอรรถกาจารย์คงพิจารณาเห็นมนุษย์ในประเภทที่ “สอนให้รู้ได้ยาก” อย่างนี้เอง ว่าเป็นดุจบัวเหล่าที่ ๔ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบัวสามเหล่าหรือสี่เหล่า ก็ทำให้เราได้เข้าใจความจริงอย่างหนึ่งว่า ในโลกนี้นั้น มีมนุษย์ที่สอนให้รู้ได้ง่ายและสอนให้รู้ได้ยาก (ซึ่งไม่พบคำว่าไม่สามารถสอนให้รู้) อยู่ และสอนให้รู้ได้ยากนั้น อาจกินความไปถึงว่า ในชาตินี้ถ้ายังไม่รู้ ก็อาจเป็นชาติต่อไปที่เขาพอจะรู้อะไรขึ้นมาได้บ้าง ดังกรณีของพระเทวทัตที่ทรงทำนายว่า ในอนาคตจะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อ “อัฐฐิสสระ” นี่คือตัวอย่างของพวก “สอนให้รู้ได้ยาก” แต่หากมองเฉพาะชาตินี้ท่านก็เป็นบัวเหล่าที่ ๔
ทัศนะของพระอรรถกาจารย์ จึงไม่ขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องบัว ๓ เหล่า เพราะบัวเหล่าที่ ๔ นั้น ท่านเพียงแต่ขยายความออกไปจากนัยะที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเอาไว้ให้นั่นเอง



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:57:51 »

(๔) คุณโดมเขียนไว้อีกว่า “...ผมชอบใจที่ท่าน (ว.วชิรเมธี) บอกว่า ทุกวันนี้ คนไม่ขาดที่พึ่งกันหรอก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่พึ่งนั้น ยังอยู่ครบ แต่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปขาดคือ “ความรู้” ...เมื่อรู้ผิด ก็ไม่อาจเรียกว่า ความรู้ได้ใช่ไหมครับ”

วิสัชนา :
ถึงนาทีที่เขียนจดหมายตอบนี้ ผู้เขียนก็ยังคงยืนยันว่า สิ่งที่สังคมไทยขาดอย่างยิ่งก็คือ “ความรู้” เราไม่ได้ขาดที่พึ่งในลักษณะที่จะทำให้คนเกิดความอบอุ่นมั่นใจ แต่ที่พึ่งที่เราขาดไปก็คงเป็น “ที่พึ่งทางปัญญา” นั่นแหละ ไม่ใช่ที่พึ่งทางจิตใจอย่างแน่นอน และอาการขาดความรู้ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดที่พึ่งทางปัญญานั้น เป็นกันระบาดอยู่ทั่วไปในทุกวงการของสังคมไทยทั้งทางการเมือง การศาสนา การเศรษฐกิจ และสังคม

การขาดที่พึ่งทางปัญญาด้านการเมืองนั้น ก็สังเกตได้จากคุณภาพของนักการเมืองไทย ที่จนป่านนี้ เราก็ยังมองไม่เห็นนักการเมืองระดับรัฐบุรุษเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา หากทอดตามองนักการเมืองไทยเราจะพบแต่นักเลือกตั้งซึ่งเล่นการเมืองเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง และนักธุรกิจการเมืองซึ่งเล่นการเมืองเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง

เรามองไม่เห็นนักการเมืองที่มีวิธีคิดระดับรัฐบุรุษอยู่ในวงการเมืองของไทย วันนี้ การเมืองไทยคงมีแต่นักการเมืองสองประเภทเท่านั้นคือนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มอำนาจใหม่ ทางเลือกทางการเมืองจึงมีเพียงสองทางตามประเภทของกลุ่มผู้ถือครองอำนาจ ในการเมืองไทย เรายังไม่เคยเห็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลในระดับที่สามารถมองภาพรวมของสังมคมไทยในระยะยาวไกลออกไปถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้าได้

เมื่อปีที่แล้ว (๒๕๕๐) ผู้เขียนเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและได้แวะเยือนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกมายาวนาน ระหว่างนั้นมีการประชุมกันเพื่อสร้างตึกใหม่หลายหลัง ในการสร้างตึกของมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งนี้มีการถกเถียงกันยาวนานร่วมปี เพราะพวกเขาคิดกันว่า ๑๐๐ ปีที่แล้วฮาร์วาร์ดเป็นอย่างไร ๑๐๐ ปี ที่เป็นอยู่เป็นอย่างไร และอีก ๑๐๐ ปี ข้างหน้าควรจะเป็นอย่างไรต่อ แค่สร้างตึกไม่กี่หลัง เขาคิดกันอย่างน้อย ๓๐๐ ปี มองอดีต มองปัจจุบัน และคาดการณ์ถึงอนาคตอย่างลึกซึ้งรอบคอบ เพื่อการสร้างตึกคราวนี้เขาระดมนักวิชาการ ปัญญาชน ศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดมาถกกันอยู่เป็นปีและประชุมกันหลายอาทิตย์

นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า “วิสัยทัศน์” และการรู้จัก “มองภาพรวม” ของสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เพราะคิดกันยาวไกลขนาดนี้ใช่หรือไม่ จึงทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนาน และอเมริกันชนจึงเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลกในแทบทุกภูมิภาค

จนกล่าวกันในวงการการตลาดระดับโลกว่า แบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกไม่น่าจะใช่เบนซ์ เป๊บซี่ โค้ก หรือไมโครซอฟ หากแต่เป็น “ฮาร์วาร์ด” ต่างหาก ฮาร์วาร์ดจึงมีค่าเท่ากับปัญญา (ฮาร์วาร์ด=ปัญญา) เมื่อไหร่สังคมไทยจะสามารถสร้างแบรนด์ทางปัญญาเช่นนี้ได้บ้าง ทั้งๆ ที่เรามีต้นทุนที่ดีที่สุดทางปัญญาคือพุทธศาสนา แต่คำถามคือ เราใช้ต้นทุนทางปัญญานี้กันอย่างไร ? และทำไมเมื่อคนไทยนับถือพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งปัญญา จึงเอาประโยชน์จากพุทธศาสนาได้เพียงระดับกากหรือกระพี้ คือ ติดอยู่เพียงเครื่องรางของขลังและลาภสักการะอย่างหน้ามืดตามัว ?

ในเมืองไทย ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นนักการเมืองไทย ที่เคยมีวิสัยทัศน์ในการมองอนาคตของสังคมไทยไกลเกิน ๑๐๐ ปีเลย เคยเห็นแต่นักการเมืองที่คิดถึงแต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด (เฉพาะหน้า) และครั้งต่อไป และคิดกันแต่เพียงว่า รัฐบาลหน้าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลผสม ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินนักการเมืองคนไหนลุกขึ้นมาประกาศว่า อีก ๓๐ ปี ๕๐ ปี จากนี้เป็นต้นไป สังคมไทยจะก้าวไปเป็นผู้นำทางปัญญา วิชาการ เทคโนโลยี่ เศรษฐกิจ หรือสันติภาพของโลกเลย

จำได้ว่า เมื่อสมัยที่สองของการเลือกตั้ง (หากจำผิดก็ขออภัย) บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีที่อเมริกันชนรักมากที่สุดคนหนึ่งเคยวางวิสัยทัศน์ว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เด็กระดับประถมทุกคนจะต้องรู้จักการใช้อินเทอร์เน็ตเป็น และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วในสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้ แม้จะยังไม่เป็นความจริงที่ครอบคลุมทั้งหมด แต่สิ่งซึ่งเราได้เห็นก็คือ เขาเป็นนักการเมืองที่คิดถึง “คนรุ่นต่อไป” ของประเทศในรอบ ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปี ข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว

ส่วนอดีตรองประธานาธิบดีของเขาคืออัล กอร์ ตอนนี้ มีวิสัยทัศน์ไกลถึงขนาดเสนอแผน “กู้โลก” ไม่ใช่ในรอบ ๑๐๐ ปี แต่เป็นล้านปีข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่ในสังคมไทยของเรา วิธีคิดที่สะท้อนการวางวิสัยทัศน์ยาวไกลในการพัฒนาประเทศไม่เคยหลุดออกมาจากปากของนักการเมืองไทยเลย และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเมืองไทย ไม่มั่นคง ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา เต็มไปด้วยคอรัปชั่น และแทนที่การเมืองจะเป็นเวทีแก้ปัญหา กลับกลายเป็นรากฐานที่มาของการพัฒนาประเทศในแทบทุกด้านเสียด้วยซ้ำ

การขาดที่พึ่งทางปัญญาด้านเศรษฐกิจ ก็คงเห็นแล้วว่า เราเคยมีประสบการณ์เรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ (ค่าเงินบาทผันผวน) ในปี ๒๕๒๗ และปี ๒๕๔๐ แต่แล้วเหตุการณ์แบบนี้ก็ย้อนกลับมาเล่นงานเราอีกครั้งในปี ๒๕๕๐ ซึ่งค่าเงินบาทเกิดการผันผวนครั้งใหญ่จนโรงงานปิดกันระนาว ภาวการค้าขาย การลงทุนงะงักงัน คำถามก็คือ ประสบการณ์เก่าๆ ไม่ทำให้เราได้รับบทเรียนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ ?

เวลามีปัญหาทางการเงินการคลัง เราจึงได้เห็นแต่คนที่เคยทำให้ประเทศล้มกลุ่มเดิมนั่นเอง ออกมาเป็นแนวหน้าในการแก้ปัญหาแบบเดิมๆการขาดที่พึ่งทางปัญญาด้านศาสนา แทบไม่มีอะไรให้พูดถึง เพราะความจริงนั้น มันสะท้อนความจริงอย่างเปิดเผยเสียจนไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง

การขาดที่พึ่งทางปัญญาด้านสังคม ก็เช่นเดียวกันกับทางศาสนาซึ่งไม่ต้องการคำอธิบายมากนัก คิดกันง่ายๆ แค่เพียงว่า มีคนเป็นห่วงการใช้ภาษาไทยในระดับ “แอ๊บแบ๊ว” ว่าเป็นต้นทางแห่งความหายนะของประเทศแล้วกลายเป็นข่าวครึกโครมใหญ่โตทุกสื่อมวลชน ในขณะที่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นซึ่งกัดกินสังคมไทยมาอย่างยาวนานอย่างค่านิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยมที่ทำให้คนทั้งประเทศมุ่งไปบูชาเงินกันจนเป็นสรณะอย่างใหม่ และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินโดยไม่ถามถึงคำว่า “จริยธรรม”

และการที่รายงานการวิจัยระบุว่า คนไทยรุ่นใหม่ยอมรับการโกงหรือคอรัปชั่นว่าเป็นเรื่องสามัญ ใครๆ เขาก็ทำกัน ไม่เห็นเสียหาย รวมทั้งสถาบันครอบครัวไทยเคยรายงานว่าปีหนึ่งๆ มีวัยรุ่นไทยทำแท้งอย่างน้อย ๓๐๐,๐๐๐ รายต่อปี สภาพเสื่อมโทรมของสังคมไทยอย่างลึกซึ้งที่กินลึกถึงขั้น “เคลื่อยย้ายกระบวนทัศน์” ของคนทั้งสังคมอย่างนี้ คนใหญ่คนโตในสังคมไทยไม่น้อยซึ่งมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลกลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่ากลับไปให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆ ระดับปลาซิวปลาสร้อย เช่นเรื่องภาษาและการตั้งชื่อเล่นเด็กๆ เกิดใหม่ นี่ไม่สะท้อนภาวะขาดปัญญาทางสังคมแล้วจะเรียกว่าอะไร

สังคมไทยของเรา เป็นสังคมอุดมอวิชชามาอย่างยาวนาน ความข้อนี้ปรากฏอยู่แม้แต่ในพระราชนิพนธ์แปล “พระมหาชนก” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่มีกี่คนที่ตระหนักรู้ เราพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมไทยด้วยการ “รักษาตามอาการ” แต่มีน้อยคนที่มากที่คิดถึงการยกเครื่องสังคมไทยในระดับการยกเครื่องทั้งระบบ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเรายังขาดที่พึ่งทางปัญญาอย่างที่กล่าวมานั่นเอง
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553 23:59:51 »

(๕) คำถามสุดท้ายของคุณโดมก็คือ “...ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรยังเป็นพราหมณ์ศึกษาอยู่กับอาจารย์สัญชัย ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เมื่อทั้งสองได้พบกับสาวกของพระพุทธเจ้าและได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอยากชวนอาจารย์ของตนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน ...อาจารย์สัญชัยปฏิเสธและกล่าวว่า “ในโลกนี้ มีคนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า” ลูกศิษย์ก็ตอบว่า “ก็คนโง่นะสิครับท่านอาจารย์” อาจารย์สัญชัยตอบไปทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น คนโง่จงมาสำนักเรา คนฉลาดจงไปสำนักพระพุทธเจ้า”

ท่าน (ว.วชิรเมธี) มีความคิดเห็นต่อคนเป็นอาจารย์สัญชัยในเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ ?

วิสัชนา :
ผู้เขียนมีความเห็นว่า คนอย่างอาจารย์สัญชัย ยังคงมีอยู่มากมายในสังคมไทย ในวันนี้ กล่าวคือ อาจารย์สัญชัย = คนไทยที่มองเห็น “ความด้อยการศึกษา” ของเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลก แล้วคิดด้วยกโลบายว่า นั่นเป็น “จุดแข็ง”

(แทนที่จะมองว่าเป็น “จุดอ่อน” ของสังคมไทยหรือของเพื่อนมนุษย์ที่ยังจมอยู่ในอวิชชาแล้วคิดหาทางแก้ไขร่วมกัน) ที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยมั่งคั่งต่อไปได้อย่างยาวนานจากการ “หลอก” เพื่อนร่วมชาติด้วยกันให้ “งมงาย” หนักข้อขึ้นไปอีก ทั้งเป็นความงมงายทางการเมืองด้วยการหลอกว่าการเลือกตั้งมีค่าเท่ากับประชาธิปไตย งมงายทางการบริโภค (ผ่านการตลาด)ด้วยการกระตุ้นให้อยากแล้วหลอกให้ซื้อและปลูกฝังกันว่าชีวิตที่ดีงามคือชีวิตที่มีเงินสูงสุดโดยที่ไม่มีการถามถึงคุณภาพของเงิน งมงายทางสังคมด้วยค่านิยมที่ว่า การโกงนั้นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” และงมงายทางจิตวิญญาณ ด้วยการสร้างเครื่องรางของขลัง และเทพอีกสารพัดชนิดที่จะเสด็จอุบัติตามจตุคามรามเทพกันขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ออกมาเผยแผ่ให้แก่ชาวพุทธและเพื่อนร่วมชาติ แล้วบอกว่านั่นคือ ความเจริญของพุทธศาสนาและนั่นคือการทำให้คนหันหน้าเข้าหาพระและวัดมากขึ้น)*1

อาจารย์สัญชัยที่เป็นศาสดาเก่าของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์ตายไปกว่าสามพันปีแล้ว แต่ “วัฒนธรรมคนอย่างอาจารย์สัญชัย” ที่คอยหากินจากคนที่ด้อยโอกาสกว่าตนด้วยตัณหาและเล่ห์เพทุบายนั้น ยังคงเฟื่องฟูและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งในสังคมไทย และที่น่าตกใจที่สุดก็คือ เดี๋ยวนี้คนอย่างอาจารย์สัญชัย อยู่ในเสื้อคลุมของพระสงฆ์ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

คุณโดม ขึ้นต้นจดหมายว่า “จดหมายจากยุคสมัยอันเศร้าหมอง” ก็เพราะมองเห็นแต่ปัญหามากมายที่ครอบงำสังคมไทยอยู่โดยทั่วไป ซึ่งนั่นเป็นสิทธิที่เราทุกคนควรจะรู้สึกไปในทำนองนั้นได้เป็นธรรมดา เพราะสภาพการณ์แวดล้อมประจักษ์อยู่แก่ตาของเราเช่นนั้น แต่ในทัศนะของผู้เขียนกลับเชื่อมั่นว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาในยามที่สังคมอินเดียโบราณเข้าถึงจุดที่วิกฤติที่สุด และท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า “จุดเยือกแข็งยังคงมีอยู่ท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก” หลวงพ่อชาเคยกล่าวว่า “ในสังสารวัฏก็มีนิพพาน ในความสกปรกก็มีความสะอาด” ด้วยเหตุดังนั้น ผู้เขียนจึงมองโลกในแง่ดีว่า ท่ามกลางยุคสมัยอันหม่นหมองนี้เอง หากรู้จักมองอย่างลึกซึ้ง เราจะค้นพบทางออกอันผ่องใสจากวิกฤติของสังคมไทอย่างแน่นอน

อย่างน้อยที่สุด วิกฤติจตุคามรามเทพ ก็ช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่า ภาวะด้อยการศึกษาของชาวพุทธซึ่งหมายรวมถึงคนไทยทั้งประเทศ มีความเข้มข้นแค่ไหนเพียงไร รู้แค่นี้ เห็นแค่นี้ หากความรู้นี้นำเราไปสู่การปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์และการศึกษาของคนไทยโดยรวม ก็นับว่า เราค้นพบนิพพานกลางสังสารวัฏระดับหนึ่งแล้ว

ขออนุโมทนาที่คุณโยมโดม เขียนจดหมายอันทรงคุณค่าเช่นนี้มาถึงอาตมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โอกาสหน้าคงได้อ่านจดหมายเช่นนี้อีกบ่อยๆ




ขอเจริญพร

ว.วชิรเมธี

พรรษกาล  / ๓ สิงหาคม ๒๕๕๐
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553 00:01:13 »

*1 มีอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบจากจตุคามรามเทพแล้วสรุปด้วยความยินดีว่า กระแสจตุคามรามเทพ ทำให้วัยรุ่นไทยหันหน้าเขาวัดมากขึ้น งดการมั่วสุมตามแหล่งอบายมุขแต่มาชุมนุมกันด้วยเรื่องเทพแทน

ผู้เขียนสงสัยต่อตัวผู้วิจัยว่า งานวิจัยเช่นนี้ ก่อให้เกิดความยินดีทางวิชาการได้อย่างไร ในเมื่อวัยรุ่นไทยเหล่านั้นเข้าวัดก็จริง แต่ไม่ได้เข้าไปหาพระเพื่อฟังและศึกษาธรรม ทั้งไม่ได้เข้าวัดด้วยศรัทธาปสาทะในศาสนา หากแต่เข้าไปหา “เทพที่อยู่ในวัด” ต่างหาก

การที่คนเข้าวัด แต่ไปศรัทธาพ่อมดหมอผีในวัดโดยแทบแยกไม่ออกว่าอย่างไหนพระอย่างไหนผี และการที่คนศรัทธาในเทพของต่างศาสนาอย่างงมงายซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดพุทธศาสนา คือ ภาวะที่สะท้อนความวิปริตทางเชื่อของชาวพุทธไทย

อาการผิดสำแดงทางพุทธศาสนาอย่างนี้ ทำไมงานวิจัยชิ้นนั้นจึงมองไม่เห็น นี่เป็นข้อน่าเป็นห่วงมากว่า คุณภาพการศึกษาของไทยและคุณภาพของครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ เป็นอย่างไร ?
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553 00:02:47 »

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : เวบบล๊อก พ่อพเยีย

ภาพประกอบไม่ได้ลงนะครับ

เป็นภาพท่าน ว. เฉยๆ

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553 08:19:45 »

*1 มีอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบจากจตุคามรามเทพแล้วสรุปด้วยความยินดีว่า กระแสจตุคามรามเทพ ทำให้วัยรุ่นไทยหันหน้าเขาวัดมากขึ้น งดการมั่วสุมตามแหล่งอบายมุขแต่มาชุมนุมกันด้วยเรื่องเทพแทน




http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/8.gif
จดหมายจากท่าน ว.วชิรเมธี กับ คุณโดม วุฒิชัย



(:SHOCK:)ใช่เลย ช๊อค



ผู้เขียนสงสัยต่อตัวผู้วิจัยว่า งานวิจัยเช่นนี้ ก่อให้เกิดความยินดีทางวิชาการได้อย่างไร ในเมื่อวัยรุ่นไทยเหล่านั้นเข้าวัดก็จริง แต่ไม่ได้เข้าไปหาพระเพื่อฟังและศึกษาธรรม ทั้งไม่ได้เข้าวัดด้วยศรัทธาปสาทะในศาสนา หากแต่เข้าไปหา “เทพที่อยู่ในวัด” ต่างหาก

การที่คนเข้าวัด แต่ไปศรัทธาพ่อมดหมอผีในวัดโดยแทบแยกไม่ออกว่าอย่างไหนพระอย่างไหนผี และการที่คนศรัทธาในเทพของต่างศาสนาอย่างงมงายซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดพุทธศาสนา คือ ภาวะที่สะท้อนความวิปริตทางเชื่อของชาวพุทธไทย

อาการผิดสำแดงทางพุทธศาสนาอย่างนี้ ทำไมงานวิจัยชิ้นนั้นจึงมองไม่เห็น นี่เป็นข้อน่าเป็นห่วงมากว่า คุณภาพการศึกษาของไทยและคุณภาพของครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ เป็นอย่างไร ?
[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2553 08:26:37 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553 09:02:26 »





อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ น้องแม๊ค
ขอบคุณมากมายสำหรับการแบ่งปันข้อมูลดีๆนะคะ ไว้เทียบเคียงกับกรณีอื่นๆ
ที่คล้ายกันได้ เป็นพุทธวัจนะโดยตรง

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2553 09:13:24 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553 11:25:54 »

*1 มีอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบจากจตุคามรามเทพแล้วสรุปด้วยความยินดีว่า กระแสจตุคามรามเทพ ทำให้วัยรุ่นไทยหันหน้าเขาวัดมากขึ้น งดการมั่วสุมตามแหล่งอบายมุขแต่มาชุมนุมกันด้วยเรื่องเทพแทน




http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/8.gif
จดหมายจากท่าน ว.วชิรเมธี กับ คุณโดม วุฒิชัย



(:SHOCK:)ใช่เลย ช๊อค



ผู้เขียนสงสัยต่อตัวผู้วิจัยว่า งานวิจัยเช่นนี้ ก่อให้เกิดความยินดีทางวิชาการได้อย่างไร ในเมื่อวัยรุ่นไทยเหล่านั้นเข้าวัดก็จริง แต่ไม่ได้เข้าไปหาพระเพื่อฟังและศึกษาธรรม ทั้งไม่ได้เข้าวัดด้วยศรัทธาปสาทะในศาสนา หากแต่เข้าไปหา “เทพที่อยู่ในวัด” ต่างหาก

การที่คนเข้าวัด แต่ไปศรัทธาพ่อมดหมอผีในวัดโดยแทบแยกไม่ออกว่าอย่างไหนพระอย่างไหนผี และการที่คนศรัทธาในเทพของต่างศาสนาอย่างงมงายซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดพุทธศาสนา คือ ภาวะที่สะท้อนความวิปริตทางเชื่อของชาวพุทธไทย

อาการผิดสำแดงทางพุทธศาสนาอย่างนี้ ทำไมงานวิจัยชิ้นนั้นจึงมองไม่เห็น นี่เป็นข้อน่าเป็นห่วงมากว่า คุณภาพการศึกษาของไทยและคุณภาพของครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ เป็นอย่างไร ?
[/color]

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕





บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
ยังทุกข์
นักโพสท์ระดับ 7
**

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 121


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 10.0.648.6 Chrome 10.0.648.6


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2555 03:21:10 »

เห็นๆกันอยู่ ความเป็นจริงเรื่องของพุทธศาสนา ในเมืองไทย
การที่โลกยกย่องไทยเป็นเมืองพุทธของโลก นั่นคือ......................
 คุรจะยิ้ม   หรือร้องให้    ละ.....
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.342 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 20 ธันวาคม 2567 07:55:47