23 พฤศจิกายน 2567 07:26:55
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
นั่งเล่นหลังสวน
สุขใจ ห้องสมุด
.:::
ประวัติศาสตร์ของ “กลิ่นเหม็น” ในเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5-7
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ของ “กลิ่นเหม็น” ในเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5-7 (อ่าน 484 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2475
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
ประวัติศาสตร์ของ “กลิ่นเหม็น” ในเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5-7
«
เมื่อ:
16 กรกฎาคม 2565 20:07:23 »
Tweet
แหล่งชุมชนที่สร้างมลภาวะทางอากาศและกลิ่นต่าง ขณะเดียวกันคนในชุมชนนั้นก็ต้องรับปัญหาสุขาอนามัยที่เกิดขึ้น
ในภาพเป็นตลาดท่าเตียน กรุงเทพฯ (ภาพจาก www.
matichon.co.th
)
ประวัติศาสตร์ของ “กลิ่นเหม็น” ในเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5-7
เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2565
ละครย้อนยุคหลายๆ เรื่อง แสดงให้เห็นบ้านเมืองร่มรื่นน่าอยู่ ไม่มีมลพิษจากสารเคมี ไม่มีรถติด ผู้คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน สรุปง่ายว่า “น่าอยู่สุดๆ”
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าทำได้จริง และท่านคิดจะย้อนกลับไป โปรดอ่านข้อมูลต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจ
เมื่อเดือนมกราคม 2562 ผศ.ดร.นิภาพร รัชตพัฒนากุล ได้นำเสนอข้อมูลประวัติศาสตร์ “ความเหม็น” ของกลิ่นต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในกรุงเทพฯ “กลิ่นเหม็น” ของพระนครไว้ใน บทความ “นาสิกประสาตภัย” : ประวัติศาสตร์ของกลิ่นเหม็นในเมืองกรุงเทพฯ (ศิลปวัฒนธรรม, มกราคม 2562) ซึ่งในที่นี้สรุปย่อมาเพียงบางส่วน เพื่อให้เห็น “มลพิษ” ในอดีตที่ไม่ได้เกิดจากสารเคมีและเทคโนโยลีหน้าต่างเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องมลพิษทางอากาศ
ปัญหามลภาวะทางอากาศเป็นปัญหาสำคัญในช่วงที่เมืองกรุงเทพฯ ขยายตัวเป็นอย่างมากภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริงใน พ.ศ.2398 ส่วนกรุงเทพฯ นั้น แม้ตั้งแต่ พ.ศ 2394 จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่หรือมหานคร แต่ก็มีมลภาวะทางอากาศในลักษณะเฉพาะของตนเอง
“ความเหม็น” ของกลิ่นต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในพระนครนั้นทำให้เมื่อตั้งกรมสุขาภิบาลเมื่อ พ.ศ.2440 และเริ่มปฏิบัติภารกิจภายหลังออก “ประกาศจัดการสอาดในจังหวัดพระนคร” (22 พฤษภาคม พ.ศ.2441) ก็เน้นจัดการปัญหาเรื่อง “…ของปฏิกูลต่างๆ ซึ่งมีกลิ่นเหม็นอันไม่เปนที่พึงใจ และซึ่งบางทีจะเปนเหตุให้เกิดโรคภยันตรายบางอย่างได้…”
ประกาศฉบับนี้ซึ่งมีเนื้อหาทั้งสิ้น 13 ข้อ เน้นจัดการกับ “กลิ่น” ขยะ ของเสียจากร่างกายมนุษย์และสัตว์ ซากสัตว์ ซากศพ กลิ่นจากบรรดาโรงเลี้ยงสัตว์ ช้าง ม้า โค กระบือ หมู ไก่ เป็ด และโรงงานที่มีกลิ่นเหม็นต่างๆ เช่น โรงย้อมคราม โรงทำน้ำเคย โรงทำขนมจีน โดยห้ามสร้างโรงเลี้ยงสัตว์ โรงงานที่มีกลิ่นเหม็น ไว้ใกล้ถนนและแหล่งที่อยู่อาศัย
โดยกรมสุขาภิบาลจะดูแลเฉพาะภายในพระนคร ขณะที่พื้นที่นอกพระนครซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของราษฎรส่วนใหญ่นั้นอยู่นอกเหนือการจัดการ จนกระทั่ง พ.ศ.2459 และ พ.ศ.2466 จึงได้ประกาศขยายเขตสุขาภิบาลออกไปครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวตามลำดับ
คราวนี้เราไปดูกันว่า “กลิ่นเหม็น” ของพระนครในเวลานั้นล่องลอยมาจากต้นตอใดกันบ้าง
“กลิ่น” จากขยะและน้ำเสีย
ขยะและน้ำเสียเป็นปัญหาที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยทั่วไปไม่เพียงเฉพาะในเขตพระนคร โดยกรมสุขาภิบาลมีหน้าที่ในการจัดวางถังขยะ การรวบรวมขยะ และการทำลายขยะ ซึ่งในทศวรรษ 2440 มีถังขยะวางอยู่ตามถนนหลวงในเขตพระนครทั้งสิ้น 80 ถัง และวางอยู่ตามถนนหลวงบริเวณพระราชวังดุสิตอีก 8 ถัง
ข้อมูล พ.ศ.2441 บันทึกไว้ว่า ใน 1 วันเจ้าหน้าที่เหล่านี้สามารถรวบรวมขยะได้ประมาณ 13 ตัน และจากบันทึกในอีก 20 ปีต่อมา ราว พ.ศ.2460-65 หลังจากขยายเขตสุขาภิบาลครอบคลุมพื้นที่สำเพ็ง เยาวราช ปริมาณขยะที่เก็บได้ต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 155 ตัน
ขยะเหล่านี้จะถูกนำไปถมตามคูคลอง หรือพื้นที่ที่เป็นหลุมบ่อหรือที่ลุ่มที่ต่ำในแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยต่างๆ เช่น ชุมชนชาวเขมร โดยการจัดเก็บขยะของกรมสุขาภิบาลจะจัดเก็บเฉพาะถังขยะที่จัดตั้งบนถนนหลวง ไม่เกี่ยวกับตรอกซอกซอยต่างๆ ซึ่งต่อมาทางการได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนในการขนเก็บขยะในตรอกซอกซอยเพิ่มเติมด้วย แต่คงจะยังไม่พอเพียงจึงทำให้วิธีการเทขยะลงในคลองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป การทำลายขยะด้วยวิธีการนำไปถมตามจุดต่างๆ ในพระนครนั้นเป็นวิธีการที่เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลชาวต่างชาติไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากกขาดแคลนงบประมาณและความต้องการถมที่ลุ่มที่ต่ำภายในพระนครทำให้ยังคงใช้วิธีการนี้ต่อไป
หากเมื่อชุมชนขยายตัว การนำขยะไปเทถมไม่ว่าจะที่ใดก็รบกวนราษฎรที่นั้น
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2460 ขยะที่รวบรวมได้จากตอนเหนือของพระนครถูกนำไปถมบริเวณถนนราชดำเนิน ส่วนขยะจากตอนกลางของพระนครเอาไปถมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และขยะจากตอนใต้ของพระนครเอาไปถมที่วัดดอน ซึ่งสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชุมชนในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก
เมื่อ พ.ศ.2470 ฝรั่งที่อาศัยอยู่บริเวณถนนวิทยุเดือดร้อนเข้าชื่อกันแจ้งว่า กรมนคราทรได้ขนขยะไปเทที่สระใหญ่ในสวนลุมพินีริมถนนวิทยุด้านตะวันออกตอนเหนือ น้ำในสระเน่าเหม็นมีลูกน้ำอยู่เต็ม โดยปิดทางน้ำไว้ไม่ให้ไหลลงคลองอย่างเก่า แล้วสระนี้ใหญ่มากเอาขยะมาถม 2 ปีกว่าจะเต็ม พวกฝรั่งจึงย้ายหนีไปหลายคน รวมทั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตตัวแทนผู้เขียนจดหมายร้องเรียนก็ต้องย้ายออก
ต่อมามีจดหมายชี้แจงมาจากเสนาบดีมหาดไทยบอกว่า ได้พิจารณาเป็นอย่างดีแล้วถึงได้เอาขยะไปทิ้งที่สวนลุมพินี แล้วคนที่โดนกลิ่นเหม็นจากลมขยะก็ถือว่าเป็นจมูกส่วนน้อย แต่บังเอิญเป็นจมูกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต และฝรั่ง รวมทั้ง นายฮง นาวานุเคราะห์ เจ้าของบริษัทออนเหวง คงจะอยากได้กำไรเพิ่มจากการเผาขยะ จึงได้ไปโพนทะนาในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์เพื่อหวังผลอื่นๆ
อันที่จริงในช่วงเวลานั้นมีเทคโนโลยีเกี่ยวกับการทำลายขยะอยู่บ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากข้อเสนอของวิศวกรกรมสุขาภิบาล นาย
R. Belhome
ในโอกาสที่กรมสุขาภิบาลจะขยายเขตสุขาภิบาลใน พ.ศ.2459 ที่เสนอให้สร้างเตาเผาขยะ โดยเปรียบเทียบให้เห็นชนิดของขยะ ปริมาณ และวิธีจัดการขยะของเมืองกรุงเทพฯ และเมืองอื่นๆ ว่าขยะของแต่ละเมืองนั้นไม่เหมือนกัน วิธีการทำลายก็แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามเจ้าพระยายมราชไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ โครงการสร้างเตาเผาขยะจึงต้องพับไป
นอกจากกลิ่นขยะดังที่ยกตัวอย่างข้างต้นยังมีกลิ่นเหม็นจากน้ำเสียอีกด้วย
ผู้เดือดร้อนส่วนหนึ่งร้องเรียนผ่านหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็น “ปากเสียงแทนประชาชน” ตัวอย่างเช่นผู้ที่อาศัยอยู่ริมคลองสะพานหัน หรือโอ่งอ่างเดือดร้อนเพราะเวลาน้ำแห้งเหม็นขี้โคลนกลิ่นของเน่าหมัก ที่คนทิ้งจนเรือเกือบเดินเข้าออกไม่ได้ แถมยังประชดว่ากรมสาธารณสุข ฉายหนัง ออกใบปลิว แจ้งความจิปาถะ เพื่อให้ราษฎรรักษาอนามัย แต่ไม่เห็นสนใจกลิ่นเหม็น ชาวบ้านก็ไม่รู้จะไปแจ้งใคร เพราะไม่รู้หน้าที่นี้เป็นของแผนกไหน แล้วถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่สั่งการก็คงทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังเสนอให้ขุดลอกคลองใหม่ด้วยเงินเรี่ยไรจากพ่อค้าก็คงได้ แล้วจะช่วยกันรักษา เพราะขุดดีกว่าถมทิ้ง
สาเหตุของการเกิดน้ำเสียนั้น นอกจากปริมาณน้ำเสียที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณประชากรในเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาการระบายสิ่งปฏิกูลในพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น ซึ่งในขณะนั้นการชำระล้างสิ่งปฏิกูลยังคงใช้กลไกธรรมชาติ จากการขึ้นลงของกระแสน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลักแล้ว
นอกจากนี้การปรับปรุงพระนครด้วยการสร้างถนนแบบสมัยใหม่ ที่สร้างรางระบายน้ำบนผิวถนนและท่อระบายน้ำใต้ดินไปพร้อมกัน ผลข้างเคียงที่ตามมาคือทำให้ถนนหลวงถูกยกพื้นขึ้นสูงกว่าเดิม ทำให้บริเวณโดยรอบกลายเป็นหลุมบ่อหรือที่ลุ่มที่ต่ำไป เมื่อฝนตกจึงทำให้น้ำขังบริเวณพื้นที่ต่ำเหล่านี้ ส่วนในยามหน้าแล้งพื้นที่ต่ำก็จะกลายเป็นที่ฝังกลบขยะที่รวบรวมมาจากในพระนครดังที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้พื้นที่เหล่านี้เป็นทั้งบ่อขยะและบ่อน้ำเน่าสลับกันไปทุกฤดูกาล
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ น้ำเน่าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่เกิดขึ้นในพระนครยังเป็นต้นตอที่สำคัญของกลิ่นต่างๆ ภายหลัง ดังตัวอย่างข่าวเรื่อง “แพรกบ้านใน” ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบางกอกไทม์ ฉบับวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2464 เจ้าพนักงานได้แปลเป็นภาษาไทยบรรยายกลิ่นรุนแรงของโรงฟอกหนังไว้ว่า
ถนนสี่พระยาและบริเวณที่ใกล้เคียงสกปรกจนไม่มีคำใดจะกล่าว ท่อน้ำโสโครกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่สะพานพิทยเสถียรไปจนสะพานที่สถานทูตอังกฤษ ท่อน้ำเหล่านี้ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ทำให้อากาศเสีย เป็นเหตุให้ทารกตายหลายร้อยคน ท่อน้ำบางแห่งเปิดอยู่เสมอกลิ่นเหม็นมากทำให้ผู้คนร่างกายทรุดโทรม แต่สยามปล่อยกันโดยไม่ฟังเสียงแย้งของสาธารณชน
“กลิ่น” จากสิ่งปฏิกูล
ในขณะนั้นการขับถ่ายในที่โล่งเป็นวัตรปฏิบัติโดยทั่วกัน กระทั่งภายหลังออก “ประกาศจัดการสอาดในจังหวัดพระนคร” การถ่ายในที่โล่งเช่นคูคลองและถนนหลวงจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ด้วยเหตุนี้งานสร้างส้วมสาธารณะจึงกลายเป็นภารกิจเร่งด่วนของกรมสุขาภิบาลอีกอย่างหนึ่ง แม้กระนั้นจากข้อมูลจำนวนส้วมสาธารณะที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลก็น่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังเห็นได้จากเมื่อหลวงสาทรศุภกิจได้รับมอบภารกิจให้สำรวจส้วมสาธารณะบริเวณสำเพ็งเมื่อ พ.ศ.2444 ซึ่งมีส้วมสาธารณะและส้วมเอกชนรวมกันประมาณ 214 หลุมนั้น
ส่วนการจัดเก็บสิ่งปฏิกูลนั้นทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนอย่างน้อย 2 แห่ง คือบริษัทออนเหวงและบริษัทสะอาดเป็นผู้จัดเก็บ โดยบริษัทรวบรวมสิ่งปฏิกูลทั้งจากส้วมสาธารณะ และส้วมส่วนตัวในวังหรือบ้านของคหบดีลงเรือไปเททิ้งตามลำคลองต่างๆ เช่น คลองบางขุนพรหม คลองบางกะปิ คลองบางกอกน้อย ราษฎรที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ต่างเดือดร้อนรำคาญจากกลิ่นและมีการเสนอให้ใช้เรือกลไฟบรรทุกสิ่งปฏิกูลออกไปทิ้งในทะเล
อีกจำนวนหนึ่งก็นำไปใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติในสวนผักทางตอนใต้ของพระนคร ทำให้ทุกครั้งที่ลมพัดโชยจากแม่น้ำเจ้าพระยา จึงหอบเอากลิ่นไปกระทบนาสิกของฝรั่งทั้งหลายที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวบางรัก ศาลาแดง จนทำเรื่องร้องเรียนให้ห้ามการปลูกผักโดยใช้ปุ๋ยจากสิ่งปฏิกูลในดินแดนเหนือลมเหล่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้นหมูเร่ร่อนที่เพ่นพ่านอยู่ในพระนครยังทำให้กลิ่นจากสิ่งปฏิกูลขจรขจายไปทั่วเมือง จะโยกย้ายหากินไปตามถานวัดต่างๆ ในละแวกเดียวกัน เช่น วัดประทุมคงคา วัดสัมพันธวงศ์ และมีหมูอีกฝูงที่อาศัยอยู่ในละแวกวัดบพิตรพิมุข วัดจักรวรรดิ วัดไชยชนะสงคราม วัดสระเกศ โดยจะกินอุจจาระที่ถานพระเป็นอาหาร ภายหลังกินเสร็จหมูเหล่านี้ยังได้เที่ยวสะบัดหัวสะบัดหางจนอุจจาระกระเด็นเปรอะเปื้อนตามถนนหนทาง เจ้าอาวาสวัดส่วนใหญ่รู้สึกว่าหมูพวกนี้เป็นสาเหตุแห่งความสกปรกของวัด แต่ทำอะไรไม่ได้และอยู่ด้วยความ “เคยชิน”
“กลิ่น” ซากศพ
กลิ่นสุดท้ายคือ กลิ่นของซากศพ การจัดการกับซากศพและซากสัตว์ก็เป็นภารกิจอีกอย่างหนึ่งของกรมสุขาภิบาล โดยเริ่มแรกเมื่อมีการจัดการกับซากศพนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาด โดยประกาศจัดทำสำมะโนประชากรใน พ.ศ.2452 กำหนดให้เจ้าบ้านจะต้องแจ้งแก่นายอำเภอเมื่อในครัวเรือนมีผู้เสียชีวิต เพื่อรับใบอนุญาตในการเผาหรือฝัง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบศพเหล่านั้นก่อนว่าตายจากโรคระบาดหรือไม่ เพื่อแนะนำวิธีการจัดการกับศพได้อย่างถูกต้องตามหลักการป้องกันการแพร่กระจายของโรค
นอกจากกลิ่นไหม้และควันไฟที่ลอยมาจากสถานที่เผาศพของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาท เช่น ไทย พม่า มอญ ลาว กลิ่นจากซากศพยังล่องลอยมาจากหลุมศพของกลุ่มศาสนาอื่นๆ เช่น มุสลิม จีน และฝรั่ง ซึ่งมีธรรมเนียมในการฝัง จากการสำรวจในสมัยรัชกาลที่ 5 มีจำนวนหลุมฝังศพในเมืองกรุงเทพฯ ทั้งสิ้นราว 15,884 หลุม โดยหลุมศพเหล่านี้ส่วนมากตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระนคร โดยเฉพาะสีลม บางรัก ถนนตก (บ้านทวาย) ถนนจันทร์ จำนวนหลุมศพมากที่สุดคือป่าช้าสุเหร่าบ้านอู่ 6,000 หลุม (ซอยข้างโรบินสัน บางรัก) และสุสานแต้จิ๋ววัดดอน 4,200 หลุม
หลุมฝังศพเหล่านี้ไม่มีปัญหามากนักเพราะมีหลักการปฏิบัติกันมาช้านาน ยกเว้นบางกรณี เช่น สุสานจีนแต้จิ๋วกับจีนไหหลำที่วัดดอนฝังศพตื้นเกินไป ทำให้สุนัขคุ้ยเขี่ย แล้วเวลาฝนตกก็ชะเอาน้ำหนองไหลมากับศพด้วย อีกทั้งยังขุดศพที่เน่าเปื่อยขึ้นมาล้างที่คลอง ทำให้เหม็นมากและน้ำในลำคลองที่ใช้อาบกินใช้ไม่ได้ กระทรวงนครบาลได้ส่งแพทย์สุขาภิบาลไปตรวจก็เห็นจริงตามนั้น ว่าเป็นพื้นที่สกปรก เหม็น และน่ากลัวมาก
นอกจากปัญหาการขุดหลุมตื้นเกินไป ยังมีปัญหาเรื่องกลิ่นจากพิธีล้างป่าช้าของกลุ่มการกุศลชาวจีนที่ทำให้แก่ศพคนอนาถาหรือศพไร้ญาติ บริเวณวัดดอนกลายเป็นนาสิกประสาตภัยอย่างมหันต์ของชุมชนต่างศาสนาและวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่รอบๆ
ในช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 พระนครสมัยนั้นน่าจะเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ที่โชยมาตามลมน่าจะถูกกลบด้วยกลิ่นจากกองขยะ น้ำเน่า ซากศพ โรงฟอกหนัง โรงขนมจีน กะปิน้ำปลาสารพัด แม้แต่คุณเปรมกับแม่พลอยครอบครัวผู้ดีข้าราชการก็อาจจะเดินสวนกับหมูเร่ร่อนที่เพิ่งอิ่มจากถานพระ แต่ด้วยความ “เคยชิน” กลิ่นเหล่านี้อาจไม่เหม็นสำหรับหลายคน
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ เท่ากับ ลบ ประวัติศาสตร์ของ กรุงเทพฯ
สุขใจ จิบกาแฟ
มดเอ๊ก
3
4407
20 สิงหาคม 2559 20:08:49
โดย
มดเอ๊ก
“หม่อมเจ้าพรรณราย”พระมเหสีผู้ทรง“ออกรับแขกเมือง” สมัยรัชกาลที่ 4
สยาม ในอดีต
ใบบุญ
0
2098
15 พฤศจิกายน 2562 10:39:42
โดย
ใบบุญ
ประวัติศาสตร์ของ "ไก่"
สุขใจ ตลาดสด
Kimleng
1
5529
09 มิถุนายน 2565 16:06:45
โดย
Kimleng
กำลังโหลด...